เพรงนาง
หนึ่ง...ให้ความตายปลดปล่อยพันธนาการที่เจ็บปวด
อีกหนึ่ง...ให้ความตายพันธนาการตนเอง
...เพื่อที่จะกลับมา เป็นตัวเชื่อมให้เธอและเขา กลับมา "รัก" กันอีกครั้ง
อีกหนึ่ง...ให้ความตายพันธนาการตนเอง
...เพื่อที่จะกลับมา เป็นตัวเชื่อมให้เธอและเขา กลับมา "รัก" กันอีกครั้ง
Tags: พีเรียด
ตอน: ตอนที่ ๑๐ ฝืนใจ
ตอนที่ ๑๐
“ก็เพราะอะไรนั่นน่ะหรือ ก็เพราะความรักของเจ้าเปิ้นเป็นรักที่ต้องห้ามน่ะสิ…” คุณย่าบัวคำคลี่ยิ้มแล้วมองลึกเข้าไปภายในดวงตาของหญิงสาวตรงหน้า
“ความรักต้องห้าม ยังไงหรือคะ”
ไม่รู้เหมือนกัน ในยามที่ถามมาถึงตรงนี้ เธอไม่เข้าใจทำไมหัวใจถึงได้รู้สึกเจ็บปวดอย่างไรชอบกลก็ไม่รู้
ปานว่าจะเป็นเธอเสียเองที่ไม่สมหวังในความรัก
“ก็เพราะว่า ระหว่างที่ความฮักของเจ้าเปิ้นทั้งสองกำลังสุขงอม แลเจ้าน้อยภูมินทร์เปิ้นกำลังจะให้ผู้ใหญ่มาสู่ขอเจ้านางนั้นน่ะสิ เจ้าพ่อคำผาเมืองเจ้าหลวงแห่งวรนครในสมัยนั้นก็ได้บอกเจ้างามว่าเจ้าเปิ้นก็มีคู่แพงและคู่แพงคนนั้นเปิ้นเป็นถึงเจ้าอุปราชหอคำของเวียงอังวะ
“ทั้งเจ้าแสนเมืองเปิ้นเป็นคนใจดี ในข้อนี้เจ้าคำผาเมืองจึงอยากจะได้เจ้าเปิ้นมาเป็นเขยหลวง แต่ว่าเจ้างามไม่ชอบชาวม่านรามัญเพราะชาวไทลื้อซึ่งมีส่วนมากในวรนครต่างก็รู้ว่าชาวม่านเป็นนักรบกระหายเลือด โหดร้าย ชอบทำสงครามไปทั่ว และเวลานั้นวรนครก็ตกเป็นเมืองขึ้นของชาวม่านแม้จะไม่ปรารถนาแต่ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ด้วยเหตุที่เจ้าพ่อยกเจ้านางให้ชาวม่านจึงทำให้เจ้านางเสียใจและคัดค้านเจ้าพ่อตลอด ก่อนจะนำความทุกอย่างมาปรึกษากับอ้ายภูมินทร์คู่ฮักของเปิ้นที่วันเชียงหมิ่น”
“วัดเชียงหมิ่น...แล้วเจ้าน้อยภูมินทร์เขาว่าอย่างไรล่ะคะ”
หญิงสาวเอ่ยแทรกขึ้น หลังจากที่คุณย่าบัวคำได้หยุดจังหวะการเล่าจบลง เหมือนจะเปิดโอกาสให้หญิงสาวได้ถาม
“เจ้าน้อยภูมินทร์เปิ้นก็ได้เปิดเผยความจริงว่าเปิ้นบ่ใช่ชาวบ้านธรรมดาและเปิ้นก็เป็นเจ้าราชบุตรของเวียงยา ฐานะก็บ่ต่างกับเจ้าแสนเมืองสักนิด หากเจ้าคำผาเมืองยินดีที่จะได้เขยหลวงเป็นถึงเจ้าอุปราชเมือง เปิ้นก็จะขอให้เจ้าพ่อของเปิ้นมาขอเจ้านาง ว่ากันว่าขบวนสู่ขอเจ้าจันทร์งามนั้นใหญ่โตมโหฬารมากเลยนะ เพราะเวียงยาถึงจะเป็นบ้านป่าบ้านเขา แต่เวียงแห่งนี้ก็เป็นอีกเวียงหนึ่งซึ่งร่ำรวยมหาศาลเหมือนกัน ขบวนขันเงิน ขันทอง ขันหมาก ขันดอกไม้ มาจนครบชุด หากแต่ว่า...ตอนนี้แหละที่ย่าว่าความฮักมักทำให้คนเราเจ็บปวด”
คุณย่าบัวคำหยุดคำนั้นลงอีกครั้ง พร้อมกับทอดถอนใจ จันทร์เจ้าฉายประกายตาหม่นเศร้า หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองหญิงชรา เรื่องนี้เธอรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น แม้ว่าเจ้าบ่อนเมืองจะมาขอเจ้าจันทร์งามให้กับเจ้าราชบุตร ขบวนใหญ่โตมากเพียงใด หากเจ้าพ่อของเจ้านางกลับปฏิเสธ
“เจ้าคำผาเมืองท่านปฏิเสธใช่ไหมคะ”
“ใช่แล้วล่ะหนูจันทร์...ทั้งเจ้าบ่อนเมืองและเจ้าน้อยภูมินทร์จำต้องกลับเมืองไปอย่างจำยอมและผิดหวัง และเรื่องนั้นก็ถึงกับทำให้เจ้างามเปิ้นตรอมใจ ป่วยไข้ไปหลายวันเพราะหลังจากที่กลับเมืองไปแล้ว ข่าวคราวของเจ้าน้อยภูมินทร์กลับเงียบหายไปเลย”
“แล้วเจ้าแสนเมืองล่ะคะ ตอนนั้นเค้ากลับบ้านกลับเมืองของเขาไปหรือยัง”
“ยัง...ตอนนั้นเจ้าแสนเมืองยังไม่ได้กลับเมืองม่านหรอก ที่เปิ้นอยู่ตรงนั้นด้วยอาจจะทำให้เจ้าคำผาเมืองนึกเกรงใจก็เป็นได้ ก็เลยตอบปฏิเสธคำขอของเจ้าบ่อนเมืองกับเจ้าน้อยภูมินทร์ไป คนหนึ่งก็เป็นคนดี ส่วนอีกคนก็เป็นคนที่ฮักลูกของตน เจ้าคำผาเมืองเปิ้นจึงอยู่ในลักษณะของคำว่ากลืนไม่เข้าคลายไม่ออกและยิ่งเจ้าจันทร์งามลูกยามาเจ็บป่วยอีกครั้ง พ่อเมืองจึงยิ่งทุกข์ใจหนักบ่แพ้กัน”
สายลมเย็นเริ่มพัดเข้ามาในที่แห่งนั้นอีกครั้ง กลิ่นหอมของดอกพุดซ้อนลอยเวียนวนจนรู้สึกหอมจนติดจมูก จันทร์เจ้านั่งนิ่งสองหูแม้จะสดับตลับฟัง หากแต่ทั่วทั้งตัวกลับรู้สึกว่าเย็นยะเยือก ก่อนจะชาวาบไปทั่วร่าง หัวสมองที่รับรู้ซึ่งกลิ่นหอมหวนและเสียงที่เล่ามานั้นอย่างชัดเจน หากดวงตาที่ปรือและเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างมาควบคุมร่างกายของเธอนี่สิที่เป็นปัญหา
มันเสมือนบัดนี้สติที่เหลืออยู่ของเธอจะลอยคว้างขึ้นสูง มันเบาโหวงเหมือนไร้น้ำหนัก เมื่อก้มลงมามองพื้น ก่อนดวงตาคู่สวยจะเบิกขึ้น เมื่อภาพที่ปรากฏในครองจักษุนั้นชัดเจน
ใช่...ชัด มันชัดจนเธอไม่อยากจะเชื่อ
เธอเห็นภาพของคุณย่าบัวคำที่นั่งอยู่ และที่สำคัญ...
เธอเห็นร่างของเธอนั่งฟังหญิงชราอย่างตั้งใจ
มันเป็นไปได้อย่างไรกัน แล้วนี่มันหมายความว่าอย่างไร
ร่างของเธอนั่งอยู่ตรงนั้น แล้วตอนนี้สิ่งที่เห็นล่ะมันคืออะไร
เธอเห็นตนเอง...เห็นทุกอย่าง แถมยังชัดเจนเสียด้วยสิ
มันเกิดอะไรขึ้น...
แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็เวียนวนไปรอบๆ อีกครั้ง ภาพที่เห็นเริ่มพร่ามัว ทุกสิ่งทุกอย่างหมุนวน ก่อนสิ่งที่เห็นและเสียงที่ได้ยินจะค่อยๆ จางไปในที่สุด...
มือบางที่วางทาบอยู่บนพื้นรู้สึกเย็นเยือก เมื่อยามที่หยาดน้ำตาหยดแล้วหยดเล่าตกลงไปกระทบ นางไม่อาจจะสนใจมันอีกต่อไป หากมันจะตกจะเปียกก็ปล่อยมันไป ชีวิตที่เหลืออยู่กับหัวใจดวงน้อยอ่อนแรงเต็มที รอวันและเวลาให้มันหมดหน้าที่และลมหายใจเฮือกสุดท้ายที่เหลืออยู่ เพียงเพื่อที่จะรอให้ได้เจอกับเจ้าน้อยภูมินทร์อีกสักครั้ง
บัดนี้เจ้าพี่หายไปไหน ไยจึ่งไม่ออกมาพบน้องนางอีก
เจ้าพี่กลับเมืองไปแล้ว ทำไมไม่ส่งข่าวคราวมาบอกกันบ้าง ปล่อยให้ทุกอย่างเงียบแบบนี้ได้อย่างไรกัน
จันทร์เจ้าไม่เข้าใจ ทำไมตนถึงได้รู้สึกเช่นนั้นได้ มันเหมือนว่าความรู้สึกนึกคิดทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับแม่หญิงตรงหน้าจะเป็นความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเธอเอง
ที่สำคัญดวงตาและความรู้สึกที่เป็นไป เสมือนว่าเธอได้เห็นและรู้สึกผ่านเจ้านางน้อยผู้นี้
มันเป็นไปได้อย่างไร...แล้วมันเกิดอะไรขึ้น
“เจ้านางเจ้า...เจ้าหลวงเปิ้นบอกหื้อข้าเจ้าพาเจ้านางไปพบเปิ้นเจ้า”
เสียงคำแปงดังขึ้น นางขยับเข้ามาจนใกล้กับเจ้านางน้อยผู้อาภัพ พร้อมกับมะปิงที่ขยับมาพยุงหญิงสาวจากอีกด้านหนึ่ง
“เฮาบ่ไป เฮาบ่ไปไหนทั้งนั้น” เจ้านางปฏิเสธ พยายามจะขืนตัวไม่ไปตามที่คำแปงเอ่ยบอก
“เจ้านาง...โธ่ เจ้านางของคำแปง”
นางคำแปงน้ำตาร่วงผล็อยอีกครั้ง นึกสงสารต่อสภาพร่างกายของเจ้าจันทร์งามเป็นยิ่งนัก เมื่อหลายวันก่อนยังสวยสดงดงามปานแว่นฟ้าวาวงาม บัดนี้กลับหมองเศร้าไปเสียแล้ว
“บ่ไปก่บ่ไปเจ้า มะปิงไปทูลองค์เจ้าหลวงเน้อว่าเจ้านางเปิ้นไปบ่ได้”
หันมาสั่งความกับมะปิง ก่อนเด็กสาวจะรับคำสั่งและถอยออกไปในที่สุด
“คำแปงว่าเจ้านางกิ๋นอะหยังพ่องเต๊อะ ผ่อโละผอมไปนักขนาด บ่งามเลยหนาเจ้า”
“ช่างมัน บ่งามก็ช่างมัน เฮาจะต๋ายแล้วคำแปง”
“เจ้านาง!”
นางคำแปงยกมือขึ้นทาบอกอย่างตกใจ “อย่าอู้จะอี้แห๋มเน้อ คำแปงใจ๋บ่ดี เจ้านางจะต้องอยู่กับคำแปงเมินๆ เข้าใจ๋ก่เจ้า”
“แต่เฮาจะต๋ายแล้วคำแปง เจ้าป้อบ่เข้าใจ๋เฮา เฮาบ่ได้ฮักจาวม่าน เฮาฮักเจ้าน้อยภูมินทร์คนเดียวเต้าอั้น”
“ข้อนี้คำแปงเข้าใจ๋เจ้า...แต่เจ้านางก่ฮู้ ว่าเจ้าพ่อเปิ้นหมั้นหมายเจ้านางกับเจ้าแสนเมืองเปิ้นเมินแล้วหนาเจ้า แห๋มอย่างเจ้าเปิ้นก็เป๋นคนดี คำแปงเจื้อว่าเจ้าเปิ้นจะต้องฮักเจ้านางเหมือนกั๋น”
“แต่เฮาบ่ได้ฮักจาวม่านรามัญ จาวม่านพุกามเยี๊ยะหื้อบ้านเฮาเมืองเฮาต้องขึ้นต่อเปิ้น วรนครอยู่อย่างเป็นสุขบ่เกยรุกรานไผ แล้วเป๋นจะใดละจาวม่านเปิ้นถึงมาทำร้ายหมู่เฮา เยี๊ยะหื้อบ้านเฮาเวียงเฮาบ่มีอิสระ วรนครต้องเป๋นจะใด คำแปงก่หันบ่ไจ้ก่า เปิ้นมาอยู่บ้านอยู่เมืองเฮา ทำหื้อบ้านเฮาเดือดร้อนไปเต้าใดละ คำแปงบ่หันกา”
“ข้าเจ้าหันเจ้า...แต่ข้อนี้มันบ่ไจ้สิ่งที่สำคัญมากนัก สำคัญอยู่ตี้ว่าเฮาจะต้องผูกมิตรไมตรีกับชาวม่านเปิ้นเอาไว้เจ้า หากเมื่อหน้าเกิดอะหยังขึ้นกับบ้านเมืองเฮา ชาวเปิ้นจะได้ช่วยเหลือได้ เรื่องสงครามมันหนักหนากว่าความฮักหนาเจ้า เจ้านางของคำแปงเจ้าพ่อเปิ้นทำถูกแล้วเจ้าที่ตอบปฏิเสธเจ้าหลวงเวียงยา สมมุติหนาเจ้าสมมุติว่าเจ้านางได้แต่งงานกับเจ้าน้อยภูมินทร์ แล้วเจ้าแสนเมืองเปิ้นโขดยกทัพมาตีเมืองเฮา ชาวบ้านเปิ้นจะเดือดร้อนขนาดไหน ทัพของพม่ารามัญเปิ้นใหญ่โตขนาดไหนเจ้านางก่ฮู้ คำแปงอยากจะอู้หื้อเจ้านางเข้าใจ๋นะเจ้า ขอหื้อเจ้านางเสียสละ เพื่อบ้านเมืองของตนเอง ดูอย่างเจ้ามิ่งเมืองปาราณิเจ้าแห่งเจียงฮุ่งโละ เปิ้นต้องขื่นขมขนาดไหนที่ต้องถูกต้อนมาอยู่เวียงยอง บ้านเมืองที่บ่ไจ้เป๋นของเปิ้น หมู่เฮาต้องพลัดพลาดจากบ้านเกิดเมืองนอนก่เพราะภัยสงคราวของจาวม่านรามัญ หรือว่าเจ้างามจะต้องการหื้อเกิดสงครามจะอั้นแล้วหื้อหมู่เฮาถูกกวาดต้อนย้ายถิ่นฐานแห๋ม”
นางคำแปงเล่าถึงเรื่องการเสียสละของบรรพบุรุษชาวไทลื้อซึ่งต้องพลัดพรากจากบ้านเกิดเมืองนอนหลังเกิดสงคราวขึ้นที่เวียงเชียงรุ่ง สิบสองปันนา ซึ่งบางส่วนนั้นคือต้นตระกูลของชาว วรนครซึ่งได้แยกย้ายมาตั้งถิ่นฐานยังเชิงดอยภูคาแห่งนี้
“เจ้านางเจ้า ความเสียสละเปิ้นย่อมมาก่อนความฮักเสมอหนาเจ้า”
“ถ้าเฮาบ่ได้เป๋นเจ้านาง บางทีเฮาคงจะได้แต่งงานกับคนที่เฮาฮักแล้วไจ้ก่อ”
“อันนั้นก็ไจ้อยู่เจ้า แต่จะทำอย่างไรได้ก็ในเมื่อตอนนี้ เจ้านางน้อยคือเจ้านางแห่งวรนคร เจ้านางเป๋นดังลูกเมืองที่จะต้องเสียสละหื้อกับบ้านเมือง ยังมีแห๋มหลายคนนะเจ้าที่อยากอยู่บนจุดนี้ แต่เปิ้นบ่มีบุญวาสนาเหมือนเจ้านาง”
“แต่เฮาบ่อยากเป๋นแล้ว เป๋นแล้วมันทำหื้อเฮาเจ็บขนาดนี้”
“เจ้านางของคำแปง...ขอหื้อกึ๊ดถึงบ้านเมืองเต๊อะเจ้า”
นางคำแปงเอ่ยเสียงแผ่ว ใจหนึ่งอยากจะสนับสนุน เพราะเป็นเรื่องของบ้านเมือง หากแต่อีกใจหนึ่งก็คิดเห็นใจเจ้านางที่ตนเลี้ยงดูมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก นึกสงสารจับใจ แลยิ่งมาเห็นแววตาหม่นเศร้านั้นแล้วนางก็ยิ่งเจ็บปวดไม่แพ้กัน
/////
มือของเจ้าคำผาเมืองค่อยเอื้อมไปวางทาบลงบนกระหม่อมของเจ้าจันทร์งามอย่างแผ่วเบา เห็นสภาพแล้วเจ้าพ่อก็ปวดใจไม่แพ้กัน
ตนเป็นต้นเหตุทำให้ลูกเจ็บป่วยขนาดนี้เลยหรือ ลูกรัก...พ่อขอโทษ
เจ้าหลวงลูบที่เส้นผมสลวยของเจ้านางน้อยแผ่วเบา ส่งมอบความรักความเมตตาผ่านมือหนาที่ลูบไล้ กลิ่นหอมจากเรือนผมของเจ้านางลอยมากรุ่นๆ
“เจ้าป้อ...”
เจ้านางที่หลับอยู่รู้สึกตัวขึ้น เมื่อตอนที่รับรู้ว่ามีมือของใครผู้หนึ่งมาลูบไล้ที่หัวของตนเอง นางถลาลุกขึ้น คล้ายดั่งจะเป็นการคารวะเจ้าหลวงตามศักติชั้น หากแต่ในเวลานั้นองค์พ่อเมืองกลับรั้งแขนของผู้เป็นลูกเอาไว้แล้วเอ่ยบอก
“บ่ต้องก่ได้เจ้างาม พ่อมาเยี่ยมผ่อว่าลูกเป๋นจะใดพ่อง”
“ผ่อว่าลูกต๋ายหรือยังไจ้ก่เจ้า”
น้ำเสียงแกมประชดดังขึ้น พร้อมกับดวงหน้าหม่นเศร้าก้มลงมองพื้นไม่กล้าสบตากับผู้เป็นบิดาอีก
“จะใดว่าอย่างนั้นล่ะลูก ลูกก่ฮู้ว่าพ่อเป๋นห่วงลูกบ่แพ้ไผ”
“เป๋นห่วง จะใดจะต้องทำหื้อลูกเจ็บขนาดนี้ล่ะเจ้า”
เสียงตัดพ้อยังคงดังอยู่ต่อเนื่อง จนองค์เจ้าหลวงอดจะทอดถอนใจออกมาไม่ได้ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องในที่สุด
“ปอละพ่อบ่อู้เรื่องนั้นละ วันพูกเจ้าแสนเมืองเปิ้นจะปิ๊กเมืองม่าน เปิ้นว่าจะปิ๊กมาขอลูกในพรรษาหน้า ป้อว่าวันพูกลูกควรจะไปส่งเปิ้นหนา”
“ข้าเจ้าป่วยหนา ไปบ่ได้ เจ้าป้อฮู้เอาไว้ตวยว่าลูกบ่ไป”
“เจ้างาม ลูกก่น่าจะฮู้หนาว่าควรจะเยี๊ยะจะใด” เจ้าหลวงหยัดกายลุกขึ้นเอ่ยเสียงเข้ม “วันพูกเจ้าแสนเมืองเปิ้นจะไปแล้ว ในฐานะของคู่แพงลูกควรจะต้องไปส่งเปิ้น”
“เจ้าป้อ”
ว่าจบร่างทรงสง่าของเจ้าหลวงคำผาเมืองก็เดินลงจากคุ้มของเจ้านางน้อยในทันที โดยไม่สนต่อคำทัดทานหรือเสียงเรียกร้องปานว่าจะขาดใจของเจ้าจันทร์งามสักน้อยนิด
จากนั้นเสียงสะอื้นร่ำไห้ของเจ้าจันทร์งามจึงเริ่มต้นอีกครั้ง ในที่สุดสิ่งที่นางกลัวมากที่สุดก็เดินทางมาถึง นั่นก็คือการถูกบังคับจากเจ้าพ่อเมืองให้ไปพบหน้ากับเจ้าแสนเมือง ชาวม่านพม่าที่นางเกลียดมากที่สุด
แล้วนางควรจะทำอย่างไร...
“เจ้านางเจ้า...”
นางคำแปงถลาเข้ามาหาผู้เป็นนายสาว สิ่งที่พ่อเมืองรับสั่งกับเจ้านางน้อยนั้นเด่นชัด นั่นไม่ใช่เพียงแค่การทำร้ายจิตใจของเจ้านางเพียงผู้เดียว แต่นั้นเป็นการบังคับหัวใจของเจ้างามด้วยเช่นกัน
“เฮาจะทำอย่างไรดี”
เสียงสะอื้นยังดังอยู่อย่างต่อเนื่อง ทั้งเจ็บปวดหัวใจและโกรธขึงคำรับสั่งของเจ้าพ่อเป็นยิ่งนัก นี่ท่านจะทำร้ายหัวใจของนางไปอีกนานเท่าไรกัน แล้วเมื่อไรหัวใจของเจ้านางจึงจะสมหวังสักที
“เจ้านาง...ถ้าคำแปงจะอู้อะหยั่ง เจ้านางบ่ดีโขดเน้อเจ้า”
“คำแปง เจ้าจะอู้อะหยัง”
“เหมือนที่คำแปงเคยบอกเจ้านาง ขอหื้อเจ้านางกึ๊ดถึงความเสียสละเพื่อบ้านเมืองไปต๋ามคำสั่งของเจ้าหลวงเปิ้น จะได้ก่”
“คำแปง...แต่เฮาทำใจ๋บ่ได้ เฮาบ่อยากหันหน้าเจ้าแสนเมือง”
“หันแห๋มเตื้อเดียวเจ้า จะใดเจ้าเปิ้นก็จะปิ๊กบ้านปิ๊กเมืองเปิ้นแล้ว”
“แต่จะใดเปิ้นก็ต้องปิ๊กมา...”
“อันนั้นก่อยเอาไว้กึ๊ดกั๋นทีหลัง คำแปงว่าเจ้างามทำตามคำสั่งของเจ้าป้อเต๊อะเจ้า”
“แล้วเจ้าน้อยภูมินทร์โละคำแปง เฮาสงสารเจ้าน้อยเปิ้นแต้ๆ เฮาฮักเปิ้นแต่บุญบ่มีสมกั๋น”
“เจ้านางเจ้า...เจ้านางกับเจ้าน้อยเปิ้นมีบุญกั๋นเท่านี้ เจ้านางควรจะดีใจ๋บ่ไจ้กาที่เคยได้ทำบุญกับเจ้าเปิ้นเอาไว้ บุญพาวาสนาส่งเกิดจาดหน้าเจ้านางอาจจะไปปะเจ้าเปิ้นก็ได้”
ผู้เป็นนางพี่เลี้ยงให้ข้อคิด อีกด้านหนึ่งก็เพื่อที่จะให้เจ้านางน้อยเบาใจลงไปบ้างนางจะได้ไม่ต้องอึดอัดใจในยามที่เจอเจ้าแสนเมือง
“เจื้อคำแปงเต๊อะเจ้า ขอหื้อเจ้านางอดทนเอาไว้ บ้านเมืองสำคัญกว่าความฮัก เสียสละเพื่อบ้านเมืองถือเป๋นบุญนักขนาดนะเจ้า”
ได้ยินคำพูดนั้นแล้ว ประกายตาของเจ้านางผู้อาภัพต่อความรักที่ทอดมองไปข้างหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าใจ
“เจ้าน้อยภูมินทร์ จาดนี้น้องบุญบ่สมเจ้าพี่เกิดจาดหน้าขอหื้อเฮาได้ฮักกั๋นไปทุกๆ จาดน้อ...”
สิ้นเสียงนั้นจันทร์เจ้าก็รู้สึกเหมือนว่า ร่างกายที่เบาโหวงนั้นจะเริ่มหนักอึ้งขึ้นมาอีกครั้ง ทั่วร่างกายรู้สึกเสียววาบ
ไปหมด ก่อนจะรู้สึกเหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างถูกดูดกลับมายังปัจจุบันอีกครั้งหนึ่ง
ร่างบางถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะพยายามสูดเอาลมหายใจเข้าไปจนเต็มปอดอีกครั้ง หากทุกครั้งมันก็ไม่อาจจะทำให้เต็มปอดสักที เรียวปากสวยจึงอ้าขึ้นพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะช่วยเหลือตนเองให้พ้นจากการหมดลมหายใจ
เป็นอยู่เช่นนั้นเกือบนาทีแล้วทุกอย่างจึงเหมือนเดิม ส่วนสองหูก็ยังคงได้ยินคุณย่าบัวคำเล่าอยู่อย่างต่อเนื่อง ทอดสายตามองไปรอบๆ ตัวก็เห็นว่าบรรยากาศโดยรอบเริ่มจะเย็นลงมากแล้ว ความมืดเริ่มโรยตัวลงมา หากแต่แปลกดูเหมือนว่าหญิงชราตรงหน้าจะไม่รู้สึกสะทกสะท้านต่อการที่จะต้องเล่าเรื่องราวได้ยาวนานขนาดนี้ หญิงสาวเลื่อนสายตาไปมองหน้าของผู้เล่าอีกครั้ง ก่อนจะเจอกับประกายตาที่มองตอบมาของหญิงชราพร้อมกับรอยยิ้มที่คลี่ออกในยามที่หยุดพักการเล่าเรื่องราว
“เจ้าจันทร์งามได้ไปส่งเจ้าแสนเมืองไหมคะ แล้วกับเจ้าน้อยภูมินทร์ล่ะคะ ทั้งสองได้กลับมาเจอกันอีกหรือเปล่า” หญิงสาวถามอย่างสนใจเพราะลำดับเรื่องราวที่เธอเห็นนั้นมันสิ้นสุดลงตรงนี้จริงๆ
เธอยังไม่รู้เลยว่าเจ้าจันทร์งามจะยอมไปส่งเจ้าแสนเมืองหรือไม่
แล้วถ้าไป หลังจากนั้นเหตุการณ์จะเป็นเช่นไรต่อไป...
“ไปสิ เจ้านางเปิ้นได้ออกไปส่งเจ้าแสนเมือง ทั้งเจ้าน้อยภูมินทร์อีก ทั้งสองได้พบเจอกันอีกครั้งหลังจากนั้น...เอ้ ตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว ความจำของคนแก่ชักจะเบลอเสียแล้วล่ะ เอาไว้พรุ่งนี้ดีกว่าหนูจันทร์กลับบ้านก่อนเถอะเดี๋ยวแม่เพ็ญจะเป็นห่วง”
เมื่อเห็นว่าหญิงชราจบการสนทนาเอาไว้เพียงแค่นั้น จันทร์เจ้าจึงไม่อยากจะอิดเอื้อนฝืนให้คนแก่เล่าอีกต่อไป อีกอย่างนี่ความมืดก็เริ่มจะโรยตัวลงมามากแล้วอย่างที่คุณย่าบัวคำว่าจริงๆ เห็นทีเธอจะต้องกลับบ้านเสียที ว่าแล้วหญิงสาวก็ยกมือขึ้นไหว้หญิงชรา ตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะมาหาคุณย่าบัวคำตั้งแต่เช้า เพื่อจะให้รู้เรื่องให้จบไปสักที ว่าความเจ็บปวดที่มันเหมือนจะอัดแน่นอยู่ในหัวใจของหญิงสาวนั้นมันเกิดเพราะอะไรกันแน่
“ก็เพราะอะไรนั่นน่ะหรือ ก็เพราะความรักของเจ้าเปิ้นเป็นรักที่ต้องห้ามน่ะสิ…” คุณย่าบัวคำคลี่ยิ้มแล้วมองลึกเข้าไปภายในดวงตาของหญิงสาวตรงหน้า
“ความรักต้องห้าม ยังไงหรือคะ”
ไม่รู้เหมือนกัน ในยามที่ถามมาถึงตรงนี้ เธอไม่เข้าใจทำไมหัวใจถึงได้รู้สึกเจ็บปวดอย่างไรชอบกลก็ไม่รู้
ปานว่าจะเป็นเธอเสียเองที่ไม่สมหวังในความรัก
“ก็เพราะว่า ระหว่างที่ความฮักของเจ้าเปิ้นทั้งสองกำลังสุขงอม แลเจ้าน้อยภูมินทร์เปิ้นกำลังจะให้ผู้ใหญ่มาสู่ขอเจ้านางนั้นน่ะสิ เจ้าพ่อคำผาเมืองเจ้าหลวงแห่งวรนครในสมัยนั้นก็ได้บอกเจ้างามว่าเจ้าเปิ้นก็มีคู่แพงและคู่แพงคนนั้นเปิ้นเป็นถึงเจ้าอุปราชหอคำของเวียงอังวะ
“ทั้งเจ้าแสนเมืองเปิ้นเป็นคนใจดี ในข้อนี้เจ้าคำผาเมืองจึงอยากจะได้เจ้าเปิ้นมาเป็นเขยหลวง แต่ว่าเจ้างามไม่ชอบชาวม่านรามัญเพราะชาวไทลื้อซึ่งมีส่วนมากในวรนครต่างก็รู้ว่าชาวม่านเป็นนักรบกระหายเลือด โหดร้าย ชอบทำสงครามไปทั่ว และเวลานั้นวรนครก็ตกเป็นเมืองขึ้นของชาวม่านแม้จะไม่ปรารถนาแต่ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ด้วยเหตุที่เจ้าพ่อยกเจ้านางให้ชาวม่านจึงทำให้เจ้านางเสียใจและคัดค้านเจ้าพ่อตลอด ก่อนจะนำความทุกอย่างมาปรึกษากับอ้ายภูมินทร์คู่ฮักของเปิ้นที่วันเชียงหมิ่น”
“วัดเชียงหมิ่น...แล้วเจ้าน้อยภูมินทร์เขาว่าอย่างไรล่ะคะ”
หญิงสาวเอ่ยแทรกขึ้น หลังจากที่คุณย่าบัวคำได้หยุดจังหวะการเล่าจบลง เหมือนจะเปิดโอกาสให้หญิงสาวได้ถาม
“เจ้าน้อยภูมินทร์เปิ้นก็ได้เปิดเผยความจริงว่าเปิ้นบ่ใช่ชาวบ้านธรรมดาและเปิ้นก็เป็นเจ้าราชบุตรของเวียงยา ฐานะก็บ่ต่างกับเจ้าแสนเมืองสักนิด หากเจ้าคำผาเมืองยินดีที่จะได้เขยหลวงเป็นถึงเจ้าอุปราชเมือง เปิ้นก็จะขอให้เจ้าพ่อของเปิ้นมาขอเจ้านาง ว่ากันว่าขบวนสู่ขอเจ้าจันทร์งามนั้นใหญ่โตมโหฬารมากเลยนะ เพราะเวียงยาถึงจะเป็นบ้านป่าบ้านเขา แต่เวียงแห่งนี้ก็เป็นอีกเวียงหนึ่งซึ่งร่ำรวยมหาศาลเหมือนกัน ขบวนขันเงิน ขันทอง ขันหมาก ขันดอกไม้ มาจนครบชุด หากแต่ว่า...ตอนนี้แหละที่ย่าว่าความฮักมักทำให้คนเราเจ็บปวด”
คุณย่าบัวคำหยุดคำนั้นลงอีกครั้ง พร้อมกับทอดถอนใจ จันทร์เจ้าฉายประกายตาหม่นเศร้า หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองหญิงชรา เรื่องนี้เธอรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น แม้ว่าเจ้าบ่อนเมืองจะมาขอเจ้าจันทร์งามให้กับเจ้าราชบุตร ขบวนใหญ่โตมากเพียงใด หากเจ้าพ่อของเจ้านางกลับปฏิเสธ
“เจ้าคำผาเมืองท่านปฏิเสธใช่ไหมคะ”
“ใช่แล้วล่ะหนูจันทร์...ทั้งเจ้าบ่อนเมืองและเจ้าน้อยภูมินทร์จำต้องกลับเมืองไปอย่างจำยอมและผิดหวัง และเรื่องนั้นก็ถึงกับทำให้เจ้างามเปิ้นตรอมใจ ป่วยไข้ไปหลายวันเพราะหลังจากที่กลับเมืองไปแล้ว ข่าวคราวของเจ้าน้อยภูมินทร์กลับเงียบหายไปเลย”
“แล้วเจ้าแสนเมืองล่ะคะ ตอนนั้นเค้ากลับบ้านกลับเมืองของเขาไปหรือยัง”
“ยัง...ตอนนั้นเจ้าแสนเมืองยังไม่ได้กลับเมืองม่านหรอก ที่เปิ้นอยู่ตรงนั้นด้วยอาจจะทำให้เจ้าคำผาเมืองนึกเกรงใจก็เป็นได้ ก็เลยตอบปฏิเสธคำขอของเจ้าบ่อนเมืองกับเจ้าน้อยภูมินทร์ไป คนหนึ่งก็เป็นคนดี ส่วนอีกคนก็เป็นคนที่ฮักลูกของตน เจ้าคำผาเมืองเปิ้นจึงอยู่ในลักษณะของคำว่ากลืนไม่เข้าคลายไม่ออกและยิ่งเจ้าจันทร์งามลูกยามาเจ็บป่วยอีกครั้ง พ่อเมืองจึงยิ่งทุกข์ใจหนักบ่แพ้กัน”
สายลมเย็นเริ่มพัดเข้ามาในที่แห่งนั้นอีกครั้ง กลิ่นหอมของดอกพุดซ้อนลอยเวียนวนจนรู้สึกหอมจนติดจมูก จันทร์เจ้านั่งนิ่งสองหูแม้จะสดับตลับฟัง หากแต่ทั่วทั้งตัวกลับรู้สึกว่าเย็นยะเยือก ก่อนจะชาวาบไปทั่วร่าง หัวสมองที่รับรู้ซึ่งกลิ่นหอมหวนและเสียงที่เล่ามานั้นอย่างชัดเจน หากดวงตาที่ปรือและเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างมาควบคุมร่างกายของเธอนี่สิที่เป็นปัญหา
มันเสมือนบัดนี้สติที่เหลืออยู่ของเธอจะลอยคว้างขึ้นสูง มันเบาโหวงเหมือนไร้น้ำหนัก เมื่อก้มลงมามองพื้น ก่อนดวงตาคู่สวยจะเบิกขึ้น เมื่อภาพที่ปรากฏในครองจักษุนั้นชัดเจน
ใช่...ชัด มันชัดจนเธอไม่อยากจะเชื่อ
เธอเห็นภาพของคุณย่าบัวคำที่นั่งอยู่ และที่สำคัญ...
เธอเห็นร่างของเธอนั่งฟังหญิงชราอย่างตั้งใจ
มันเป็นไปได้อย่างไรกัน แล้วนี่มันหมายความว่าอย่างไร
ร่างของเธอนั่งอยู่ตรงนั้น แล้วตอนนี้สิ่งที่เห็นล่ะมันคืออะไร
เธอเห็นตนเอง...เห็นทุกอย่าง แถมยังชัดเจนเสียด้วยสิ
มันเกิดอะไรขึ้น...
แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็เวียนวนไปรอบๆ อีกครั้ง ภาพที่เห็นเริ่มพร่ามัว ทุกสิ่งทุกอย่างหมุนวน ก่อนสิ่งที่เห็นและเสียงที่ได้ยินจะค่อยๆ จางไปในที่สุด...
มือบางที่วางทาบอยู่บนพื้นรู้สึกเย็นเยือก เมื่อยามที่หยาดน้ำตาหยดแล้วหยดเล่าตกลงไปกระทบ นางไม่อาจจะสนใจมันอีกต่อไป หากมันจะตกจะเปียกก็ปล่อยมันไป ชีวิตที่เหลืออยู่กับหัวใจดวงน้อยอ่อนแรงเต็มที รอวันและเวลาให้มันหมดหน้าที่และลมหายใจเฮือกสุดท้ายที่เหลืออยู่ เพียงเพื่อที่จะรอให้ได้เจอกับเจ้าน้อยภูมินทร์อีกสักครั้ง
บัดนี้เจ้าพี่หายไปไหน ไยจึ่งไม่ออกมาพบน้องนางอีก
เจ้าพี่กลับเมืองไปแล้ว ทำไมไม่ส่งข่าวคราวมาบอกกันบ้าง ปล่อยให้ทุกอย่างเงียบแบบนี้ได้อย่างไรกัน
จันทร์เจ้าไม่เข้าใจ ทำไมตนถึงได้รู้สึกเช่นนั้นได้ มันเหมือนว่าความรู้สึกนึกคิดทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับแม่หญิงตรงหน้าจะเป็นความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเธอเอง
ที่สำคัญดวงตาและความรู้สึกที่เป็นไป เสมือนว่าเธอได้เห็นและรู้สึกผ่านเจ้านางน้อยผู้นี้
มันเป็นไปได้อย่างไร...แล้วมันเกิดอะไรขึ้น
“เจ้านางเจ้า...เจ้าหลวงเปิ้นบอกหื้อข้าเจ้าพาเจ้านางไปพบเปิ้นเจ้า”
เสียงคำแปงดังขึ้น นางขยับเข้ามาจนใกล้กับเจ้านางน้อยผู้อาภัพ พร้อมกับมะปิงที่ขยับมาพยุงหญิงสาวจากอีกด้านหนึ่ง
“เฮาบ่ไป เฮาบ่ไปไหนทั้งนั้น” เจ้านางปฏิเสธ พยายามจะขืนตัวไม่ไปตามที่คำแปงเอ่ยบอก
“เจ้านาง...โธ่ เจ้านางของคำแปง”
นางคำแปงน้ำตาร่วงผล็อยอีกครั้ง นึกสงสารต่อสภาพร่างกายของเจ้าจันทร์งามเป็นยิ่งนัก เมื่อหลายวันก่อนยังสวยสดงดงามปานแว่นฟ้าวาวงาม บัดนี้กลับหมองเศร้าไปเสียแล้ว
“บ่ไปก่บ่ไปเจ้า มะปิงไปทูลองค์เจ้าหลวงเน้อว่าเจ้านางเปิ้นไปบ่ได้”
หันมาสั่งความกับมะปิง ก่อนเด็กสาวจะรับคำสั่งและถอยออกไปในที่สุด
“คำแปงว่าเจ้านางกิ๋นอะหยังพ่องเต๊อะ ผ่อโละผอมไปนักขนาด บ่งามเลยหนาเจ้า”
“ช่างมัน บ่งามก็ช่างมัน เฮาจะต๋ายแล้วคำแปง”
“เจ้านาง!”
นางคำแปงยกมือขึ้นทาบอกอย่างตกใจ “อย่าอู้จะอี้แห๋มเน้อ คำแปงใจ๋บ่ดี เจ้านางจะต้องอยู่กับคำแปงเมินๆ เข้าใจ๋ก่เจ้า”
“แต่เฮาจะต๋ายแล้วคำแปง เจ้าป้อบ่เข้าใจ๋เฮา เฮาบ่ได้ฮักจาวม่าน เฮาฮักเจ้าน้อยภูมินทร์คนเดียวเต้าอั้น”
“ข้อนี้คำแปงเข้าใจ๋เจ้า...แต่เจ้านางก่ฮู้ ว่าเจ้าพ่อเปิ้นหมั้นหมายเจ้านางกับเจ้าแสนเมืองเปิ้นเมินแล้วหนาเจ้า แห๋มอย่างเจ้าเปิ้นก็เป๋นคนดี คำแปงเจื้อว่าเจ้าเปิ้นจะต้องฮักเจ้านางเหมือนกั๋น”
“แต่เฮาบ่ได้ฮักจาวม่านรามัญ จาวม่านพุกามเยี๊ยะหื้อบ้านเฮาเมืองเฮาต้องขึ้นต่อเปิ้น วรนครอยู่อย่างเป็นสุขบ่เกยรุกรานไผ แล้วเป๋นจะใดละจาวม่านเปิ้นถึงมาทำร้ายหมู่เฮา เยี๊ยะหื้อบ้านเฮาเวียงเฮาบ่มีอิสระ วรนครต้องเป๋นจะใด คำแปงก่หันบ่ไจ้ก่า เปิ้นมาอยู่บ้านอยู่เมืองเฮา ทำหื้อบ้านเฮาเดือดร้อนไปเต้าใดละ คำแปงบ่หันกา”
“ข้าเจ้าหันเจ้า...แต่ข้อนี้มันบ่ไจ้สิ่งที่สำคัญมากนัก สำคัญอยู่ตี้ว่าเฮาจะต้องผูกมิตรไมตรีกับชาวม่านเปิ้นเอาไว้เจ้า หากเมื่อหน้าเกิดอะหยังขึ้นกับบ้านเมืองเฮา ชาวเปิ้นจะได้ช่วยเหลือได้ เรื่องสงครามมันหนักหนากว่าความฮักหนาเจ้า เจ้านางของคำแปงเจ้าพ่อเปิ้นทำถูกแล้วเจ้าที่ตอบปฏิเสธเจ้าหลวงเวียงยา สมมุติหนาเจ้าสมมุติว่าเจ้านางได้แต่งงานกับเจ้าน้อยภูมินทร์ แล้วเจ้าแสนเมืองเปิ้นโขดยกทัพมาตีเมืองเฮา ชาวบ้านเปิ้นจะเดือดร้อนขนาดไหน ทัพของพม่ารามัญเปิ้นใหญ่โตขนาดไหนเจ้านางก่ฮู้ คำแปงอยากจะอู้หื้อเจ้านางเข้าใจ๋นะเจ้า ขอหื้อเจ้านางเสียสละ เพื่อบ้านเมืองของตนเอง ดูอย่างเจ้ามิ่งเมืองปาราณิเจ้าแห่งเจียงฮุ่งโละ เปิ้นต้องขื่นขมขนาดไหนที่ต้องถูกต้อนมาอยู่เวียงยอง บ้านเมืองที่บ่ไจ้เป๋นของเปิ้น หมู่เฮาต้องพลัดพลาดจากบ้านเกิดเมืองนอนก่เพราะภัยสงคราวของจาวม่านรามัญ หรือว่าเจ้างามจะต้องการหื้อเกิดสงครามจะอั้นแล้วหื้อหมู่เฮาถูกกวาดต้อนย้ายถิ่นฐานแห๋ม”
นางคำแปงเล่าถึงเรื่องการเสียสละของบรรพบุรุษชาวไทลื้อซึ่งต้องพลัดพรากจากบ้านเกิดเมืองนอนหลังเกิดสงคราวขึ้นที่เวียงเชียงรุ่ง สิบสองปันนา ซึ่งบางส่วนนั้นคือต้นตระกูลของชาว วรนครซึ่งได้แยกย้ายมาตั้งถิ่นฐานยังเชิงดอยภูคาแห่งนี้
“เจ้านางเจ้า ความเสียสละเปิ้นย่อมมาก่อนความฮักเสมอหนาเจ้า”
“ถ้าเฮาบ่ได้เป๋นเจ้านาง บางทีเฮาคงจะได้แต่งงานกับคนที่เฮาฮักแล้วไจ้ก่อ”
“อันนั้นก็ไจ้อยู่เจ้า แต่จะทำอย่างไรได้ก็ในเมื่อตอนนี้ เจ้านางน้อยคือเจ้านางแห่งวรนคร เจ้านางเป๋นดังลูกเมืองที่จะต้องเสียสละหื้อกับบ้านเมือง ยังมีแห๋มหลายคนนะเจ้าที่อยากอยู่บนจุดนี้ แต่เปิ้นบ่มีบุญวาสนาเหมือนเจ้านาง”
“แต่เฮาบ่อยากเป๋นแล้ว เป๋นแล้วมันทำหื้อเฮาเจ็บขนาดนี้”
“เจ้านางของคำแปง...ขอหื้อกึ๊ดถึงบ้านเมืองเต๊อะเจ้า”
นางคำแปงเอ่ยเสียงแผ่ว ใจหนึ่งอยากจะสนับสนุน เพราะเป็นเรื่องของบ้านเมือง หากแต่อีกใจหนึ่งก็คิดเห็นใจเจ้านางที่ตนเลี้ยงดูมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก นึกสงสารจับใจ แลยิ่งมาเห็นแววตาหม่นเศร้านั้นแล้วนางก็ยิ่งเจ็บปวดไม่แพ้กัน
/////
มือของเจ้าคำผาเมืองค่อยเอื้อมไปวางทาบลงบนกระหม่อมของเจ้าจันทร์งามอย่างแผ่วเบา เห็นสภาพแล้วเจ้าพ่อก็ปวดใจไม่แพ้กัน
ตนเป็นต้นเหตุทำให้ลูกเจ็บป่วยขนาดนี้เลยหรือ ลูกรัก...พ่อขอโทษ
เจ้าหลวงลูบที่เส้นผมสลวยของเจ้านางน้อยแผ่วเบา ส่งมอบความรักความเมตตาผ่านมือหนาที่ลูบไล้ กลิ่นหอมจากเรือนผมของเจ้านางลอยมากรุ่นๆ
“เจ้าป้อ...”
เจ้านางที่หลับอยู่รู้สึกตัวขึ้น เมื่อตอนที่รับรู้ว่ามีมือของใครผู้หนึ่งมาลูบไล้ที่หัวของตนเอง นางถลาลุกขึ้น คล้ายดั่งจะเป็นการคารวะเจ้าหลวงตามศักติชั้น หากแต่ในเวลานั้นองค์พ่อเมืองกลับรั้งแขนของผู้เป็นลูกเอาไว้แล้วเอ่ยบอก
“บ่ต้องก่ได้เจ้างาม พ่อมาเยี่ยมผ่อว่าลูกเป๋นจะใดพ่อง”
“ผ่อว่าลูกต๋ายหรือยังไจ้ก่เจ้า”
น้ำเสียงแกมประชดดังขึ้น พร้อมกับดวงหน้าหม่นเศร้าก้มลงมองพื้นไม่กล้าสบตากับผู้เป็นบิดาอีก
“จะใดว่าอย่างนั้นล่ะลูก ลูกก่ฮู้ว่าพ่อเป๋นห่วงลูกบ่แพ้ไผ”
“เป๋นห่วง จะใดจะต้องทำหื้อลูกเจ็บขนาดนี้ล่ะเจ้า”
เสียงตัดพ้อยังคงดังอยู่ต่อเนื่อง จนองค์เจ้าหลวงอดจะทอดถอนใจออกมาไม่ได้ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องในที่สุด
“ปอละพ่อบ่อู้เรื่องนั้นละ วันพูกเจ้าแสนเมืองเปิ้นจะปิ๊กเมืองม่าน เปิ้นว่าจะปิ๊กมาขอลูกในพรรษาหน้า ป้อว่าวันพูกลูกควรจะไปส่งเปิ้นหนา”
“ข้าเจ้าป่วยหนา ไปบ่ได้ เจ้าป้อฮู้เอาไว้ตวยว่าลูกบ่ไป”
“เจ้างาม ลูกก่น่าจะฮู้หนาว่าควรจะเยี๊ยะจะใด” เจ้าหลวงหยัดกายลุกขึ้นเอ่ยเสียงเข้ม “วันพูกเจ้าแสนเมืองเปิ้นจะไปแล้ว ในฐานะของคู่แพงลูกควรจะต้องไปส่งเปิ้น”
“เจ้าป้อ”
ว่าจบร่างทรงสง่าของเจ้าหลวงคำผาเมืองก็เดินลงจากคุ้มของเจ้านางน้อยในทันที โดยไม่สนต่อคำทัดทานหรือเสียงเรียกร้องปานว่าจะขาดใจของเจ้าจันทร์งามสักน้อยนิด
จากนั้นเสียงสะอื้นร่ำไห้ของเจ้าจันทร์งามจึงเริ่มต้นอีกครั้ง ในที่สุดสิ่งที่นางกลัวมากที่สุดก็เดินทางมาถึง นั่นก็คือการถูกบังคับจากเจ้าพ่อเมืองให้ไปพบหน้ากับเจ้าแสนเมือง ชาวม่านพม่าที่นางเกลียดมากที่สุด
แล้วนางควรจะทำอย่างไร...
“เจ้านางเจ้า...”
นางคำแปงถลาเข้ามาหาผู้เป็นนายสาว สิ่งที่พ่อเมืองรับสั่งกับเจ้านางน้อยนั้นเด่นชัด นั่นไม่ใช่เพียงแค่การทำร้ายจิตใจของเจ้านางเพียงผู้เดียว แต่นั้นเป็นการบังคับหัวใจของเจ้างามด้วยเช่นกัน
“เฮาจะทำอย่างไรดี”
เสียงสะอื้นยังดังอยู่อย่างต่อเนื่อง ทั้งเจ็บปวดหัวใจและโกรธขึงคำรับสั่งของเจ้าพ่อเป็นยิ่งนัก นี่ท่านจะทำร้ายหัวใจของนางไปอีกนานเท่าไรกัน แล้วเมื่อไรหัวใจของเจ้านางจึงจะสมหวังสักที
“เจ้านาง...ถ้าคำแปงจะอู้อะหยั่ง เจ้านางบ่ดีโขดเน้อเจ้า”
“คำแปง เจ้าจะอู้อะหยัง”
“เหมือนที่คำแปงเคยบอกเจ้านาง ขอหื้อเจ้านางกึ๊ดถึงความเสียสละเพื่อบ้านเมืองไปต๋ามคำสั่งของเจ้าหลวงเปิ้น จะได้ก่”
“คำแปง...แต่เฮาทำใจ๋บ่ได้ เฮาบ่อยากหันหน้าเจ้าแสนเมือง”
“หันแห๋มเตื้อเดียวเจ้า จะใดเจ้าเปิ้นก็จะปิ๊กบ้านปิ๊กเมืองเปิ้นแล้ว”
“แต่จะใดเปิ้นก็ต้องปิ๊กมา...”
“อันนั้นก่อยเอาไว้กึ๊ดกั๋นทีหลัง คำแปงว่าเจ้างามทำตามคำสั่งของเจ้าป้อเต๊อะเจ้า”
“แล้วเจ้าน้อยภูมินทร์โละคำแปง เฮาสงสารเจ้าน้อยเปิ้นแต้ๆ เฮาฮักเปิ้นแต่บุญบ่มีสมกั๋น”
“เจ้านางเจ้า...เจ้านางกับเจ้าน้อยเปิ้นมีบุญกั๋นเท่านี้ เจ้านางควรจะดีใจ๋บ่ไจ้กาที่เคยได้ทำบุญกับเจ้าเปิ้นเอาไว้ บุญพาวาสนาส่งเกิดจาดหน้าเจ้านางอาจจะไปปะเจ้าเปิ้นก็ได้”
ผู้เป็นนางพี่เลี้ยงให้ข้อคิด อีกด้านหนึ่งก็เพื่อที่จะให้เจ้านางน้อยเบาใจลงไปบ้างนางจะได้ไม่ต้องอึดอัดใจในยามที่เจอเจ้าแสนเมือง
“เจื้อคำแปงเต๊อะเจ้า ขอหื้อเจ้านางอดทนเอาไว้ บ้านเมืองสำคัญกว่าความฮัก เสียสละเพื่อบ้านเมืองถือเป๋นบุญนักขนาดนะเจ้า”
ได้ยินคำพูดนั้นแล้ว ประกายตาของเจ้านางผู้อาภัพต่อความรักที่ทอดมองไปข้างหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าใจ
“เจ้าน้อยภูมินทร์ จาดนี้น้องบุญบ่สมเจ้าพี่เกิดจาดหน้าขอหื้อเฮาได้ฮักกั๋นไปทุกๆ จาดน้อ...”
สิ้นเสียงนั้นจันทร์เจ้าก็รู้สึกเหมือนว่า ร่างกายที่เบาโหวงนั้นจะเริ่มหนักอึ้งขึ้นมาอีกครั้ง ทั่วร่างกายรู้สึกเสียววาบ
ไปหมด ก่อนจะรู้สึกเหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างถูกดูดกลับมายังปัจจุบันอีกครั้งหนึ่ง
ร่างบางถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะพยายามสูดเอาลมหายใจเข้าไปจนเต็มปอดอีกครั้ง หากทุกครั้งมันก็ไม่อาจจะทำให้เต็มปอดสักที เรียวปากสวยจึงอ้าขึ้นพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะช่วยเหลือตนเองให้พ้นจากการหมดลมหายใจ
เป็นอยู่เช่นนั้นเกือบนาทีแล้วทุกอย่างจึงเหมือนเดิม ส่วนสองหูก็ยังคงได้ยินคุณย่าบัวคำเล่าอยู่อย่างต่อเนื่อง ทอดสายตามองไปรอบๆ ตัวก็เห็นว่าบรรยากาศโดยรอบเริ่มจะเย็นลงมากแล้ว ความมืดเริ่มโรยตัวลงมา หากแต่แปลกดูเหมือนว่าหญิงชราตรงหน้าจะไม่รู้สึกสะทกสะท้านต่อการที่จะต้องเล่าเรื่องราวได้ยาวนานขนาดนี้ หญิงสาวเลื่อนสายตาไปมองหน้าของผู้เล่าอีกครั้ง ก่อนจะเจอกับประกายตาที่มองตอบมาของหญิงชราพร้อมกับรอยยิ้มที่คลี่ออกในยามที่หยุดพักการเล่าเรื่องราว
“เจ้าจันทร์งามได้ไปส่งเจ้าแสนเมืองไหมคะ แล้วกับเจ้าน้อยภูมินทร์ล่ะคะ ทั้งสองได้กลับมาเจอกันอีกหรือเปล่า” หญิงสาวถามอย่างสนใจเพราะลำดับเรื่องราวที่เธอเห็นนั้นมันสิ้นสุดลงตรงนี้จริงๆ
เธอยังไม่รู้เลยว่าเจ้าจันทร์งามจะยอมไปส่งเจ้าแสนเมืองหรือไม่
แล้วถ้าไป หลังจากนั้นเหตุการณ์จะเป็นเช่นไรต่อไป...
“ไปสิ เจ้านางเปิ้นได้ออกไปส่งเจ้าแสนเมือง ทั้งเจ้าน้อยภูมินทร์อีก ทั้งสองได้พบเจอกันอีกครั้งหลังจากนั้น...เอ้ ตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว ความจำของคนแก่ชักจะเบลอเสียแล้วล่ะ เอาไว้พรุ่งนี้ดีกว่าหนูจันทร์กลับบ้านก่อนเถอะเดี๋ยวแม่เพ็ญจะเป็นห่วง”
เมื่อเห็นว่าหญิงชราจบการสนทนาเอาไว้เพียงแค่นั้น จันทร์เจ้าจึงไม่อยากจะอิดเอื้อนฝืนให้คนแก่เล่าอีกต่อไป อีกอย่างนี่ความมืดก็เริ่มจะโรยตัวลงมามากแล้วอย่างที่คุณย่าบัวคำว่าจริงๆ เห็นทีเธอจะต้องกลับบ้านเสียที ว่าแล้วหญิงสาวก็ยกมือขึ้นไหว้หญิงชรา ตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะมาหาคุณย่าบัวคำตั้งแต่เช้า เพื่อจะให้รู้เรื่องให้จบไปสักที ว่าความเจ็บปวดที่มันเหมือนจะอัดแน่นอยู่ในหัวใจของหญิงสาวนั้นมันเกิดเพราะอะไรกันแน่
พายุ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 เม.ย. 2555, 21:11:30 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 เม.ย. 2555, 21:12:16 น.
จำนวนการเข้าชม : 1609
<< ตอนที่ ๙ การจากลา | ตอนที่ ๑๑ จากทั้งน้ำตา >> |