กลพรายใจ (วางแผงแล้ว สนพ.สื่อวรรณกรรม)
ความรักครั้งนี้...มีผีอยู่เบื้องหลัง

วาทการ เสียชีวิตอย่างกะทันหันในวัยยี่สิบปี แต่เพราะยังมีห่วง วิญญาณของเขาจึงขอร้องต่อมัจจุราชว่าจะยอมไปเกิดใหม่ เมื่อเห็นพี่สาวทั้งสองมีความรักมั่นคง

โดยเฉพาะ มัญชรี พี่สาวคนกลางที่จู่ๆต้องออกจากงานเชฟ เพราะเรื่องที่ตัวเองไม่ได้ก่อขึ้น แถมยังมีเหตุให้ต้องใกล้ชิดกับ เหมกร คาสโนว่าตัวพ่อที่เกลียดสุดชีวิต แม้แสงออร่าจะบ่งบอกว่าทั้งสองเป็นเนื้อคู่ หากดูเหมือนว่าชายหนุ่มและหญิงสาวจะไม่เคยลงรอยกันเลยสักครั้ง

เป็นเหตุให้วิญญาณน้องชายผู้แสนดีอย่างวาทการต้องคิดหา แผนเร่งรัดหัวใจ เพื่อทำให้คู่กัดหันมารักกัน ก่อนจะต้องไปเกิดใหม่ตามสัญญาที่ให้ไว้กับมัจจุราช งานใหญ่ขนาดนี้ วาทการจะทำสำเร็จไหมเนี่ย!
Tags: บุลินทร, เหมกร, มัญชรี, วาทการ, วรัท, สริตา, กลพรายใจ, ร้ายฝากรัก

ตอน: บทนำ

ก่อนอื่นต้องขออภัยนักอ่านทุกท่านนะครับที่หายไปนาน เพราะมัวแต่ไปแก้ไขนิยายอยู่ ตอนนี้เลยเอามาลงใหม่ครับ และเปลี่ยนชื่อใหม่จาก "ร้ายฝากรัก" เป็น "กลพรายใจ" ครับ

เนื่องจากมีการเปลี่ยนพล็อต และร้อยเรียงเรื่องราวใหม่ รวมทั้งเพิ่มเติมเพื่อให้น่าสนใจมากขึ้น แต่ตัวละครอย่างนายแดน กีวี่ และคนอื่นๆ ยังอยู่เหมือนเดิม ยังไงลองติดตามกันดูนะครับ และหวังว่าจะได้รับคำแนะนำเช่นเคย สำหรับคนที่ยังไม่เคยอ่านก็ฝากติดตามด้วยนะครับ





บทนำ


วาทการรู้สึกเหมือนร่างกายแทบจะลอยละลิ่ว เมื่อโดนมือหนึ่งกระชากแขนโดยแรง เขาต้องเดินกึ่งวิ่งตามฝ่ายนั้นไปอย่างทุลักทุเล เพราะหากช้าแค่นิดเดียว อาจจะล้มหน้าคะมำลงกับพื้นได้


คนที่เดินนำหน้าเขาเป็นผู้หญิง หล่อนแต่งกายด้วยชุดสีดำทั้งชุด คัตติ้งเนี้ยบ ดูโก้หรูเหมือนที่นักธุรกิจแถวหน้าใส่กัน หากเมื่อจ้องมองชัดๆ วาทการก็เห็นประกายเหมือนแสงนีออนฉายฉานออกมาจากด้านในเนื้อผ้า นี่หล่อนคงไม่ได้เอาหลอดไฟใส่ไว้ข้างในหรอกนะ


มันเป็นไปไม่ได้แน่ๆ อยู่แล้วละ อาจจะเป็นเนื้อผ้าแบบพิเศษมากกว่า ที่สามารถส่องรัศมีระยิบระยับได้ ยามคนใส่เคลื่อนไหว เหมือนที่น้ำยาปรับผ้านุ่มที่จะส่งกลิ่นหอมเวลาคนใส่ขยับตัวอย่างที่เขาเคยเห็นในโฆษณาเร็วๆ นี้


มัวแต่พิจารณาเสื้อผ้าของหล่อนอยู่นาน จนไม่รู้ตัวว่าตอนนี้อยู่แปลกที่ ที่นี่มีเพียงความว่างเปล่าและความมืดมิดโรยตัวอยู่โดยรอบ พื้นเบื้องล่างมีไอของอะไรบางอย่างลอยอบอวล หากไม่มีกลิ่นเหม็นไหม้ ก่อนที่จะมีประกายแสงสีน้ำเงินเข้มแกมส้มพร่างพรายทอเรื่อเรืองขึ้น เมื่อเดินผ่านบริเวณนั้นไป


เหมือนก้าวไปข้างหน้า หากยังอยู่ที่เดิม สงสัยว่าแสงสีที่ส่องมาอาจจะทำให้เกิดภาพลวงตาแบบนั้นกระมัง


วาทการจำได้ว่าเมื่อครู่ เขากำลังซ้อมดนตรีอยู่ที่มหาวิทยาลัยกับเพื่อน ที่สำคัญ มันเป็นตอนกลางวัน แต่ทำไมที่ๆ เขาอยู่ตอนนี้ ถึงได้แตกต่างราวกับอยู่คละซีกโลก


ก่อนจะเดินไปไกลกว่านี้ ชายหนุ่มตัดสินใจเรียกหญิงสาวนิรนาม


“คุณครับคุณ”


ได้ผล เมื่อหล่อนหยุดเดิน เขาถามต่อ


“คุณเป็นใครครับ เรารู้จักกันมาก่อนไหม แล้ว…พาผมมาที่ไหนเอ่ย” ถามพลางมองรอบกาย มันเงียบสงัดราวกับป่าช้า


หญิงสาวหันกลับมายิ้มมุมปากคล้ายจะขัน บอกว่า


“ไม่เคย เพิ่งเจอกันวันแรก” ใบหน้ารูปไข่หวานแฉล้มนั้นดูลึกลับอย่างประหลาด “ฉันชื่อเวทิตา หรือจะเรียกว่าวินนี่ก็ได้”


“เวทิตา…วินนี่ ชื่อเพราะดีนะ อ้อ ผมชื่อข้าวนะครับ” วาทการยิ้มเก๋ ถือโอกาสแนะนำตัวกลับ


“ฉันรู้แล้ว” อีกฝ่ายตอบเสียงเรียบ


วาทการพยายามจับผิดอะไรบางอย่างในแววคาและน้ำเสียงของอีกฝ่าย เป็นที่รู้กันว่า พวกนักดนตรีมักจะมีสาวๆ มาติดพันไม่มากก็น้อย ยิ่งพวกที่หน้าตาดีๆ ยิ่งแล้วใหญ่ วาทการเป็นอีกคนที่มักจะมีทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องคอยส่งดอกไม้ ส่งขนมให้ถึงห้องซ้อมอยู่เสมอ


ชายหนุ่มมีทั้งดวงตาเรียวรี คิ้วหนาได้รูป จมูกโด่งสวย ริมฝีปากรูปกระจับสีแดงระเรื่อที่ประกอบอยู่บนใบหน้าคมขาว ยิ่งเวลาอยู่กับแซ็กโซโฟนคู่ใจด้วยแล้ว ใครก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาทั้งหล่อและมีเสน่ห์


“แล้วคุณแอบชอบผมเหรอวินนี่ ถึงฉุดผมมาที่นี่ ทั้งๆ ที่เราไม่รู้จักกันมาก่อน” วาทการหัวเราะแหะ ท่าทางรายนี้จะมาแปลก เพราะถึงขั้นลากเขามาไกลขนาดนี้ แต่หล่อนยังทำท่าทีเฉยเมย ไม่สนใจเขา หรือว่าจะเป็นแผนของผู้หญิง ที่ว่าอยู่นิ่งๆ แล้วผู้ชายจะวิ่งเข้าหาเองก็ไม่รู้


“ปากปีจอจริงๆ เลยนายเนี่ย ลืมไปแล้วเหรอว่าเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น” คนถูกกล่าวหาแว้ดใส่ แอบเบ้ปากน้อยๆ เหมือนจะบอกว่าหน้าตาของอีกฝ่ายธรรมดามาก


“จะเกิดอะไรขึ้นล่ะ อยู่ดีๆ คุณก็ลากๆๆ ผมมาที่นี่ไง” เขากำลังจะคว้าข้อมือหล่อนเพื่อแสดงท่าทางประกอบ แต่หล่อนเบี่ยงตัวหลบเสียก่อน ท่าทางทะนงตัวมากกว่าจะเล่นตัว


“อยู่ดีๆ ฉันจะไปลากนายมาได้ไง” เวทิตายิ้มเย็นเยียบ ยกมือขึ้นมากอดอกหลวมๆ บอกว่า “ถ้านาย…ยังไม่ตาย”


หัวใจของเขาหล่นวูบลงทันที ผู้หญิงอะไร เอาเรื่องความเป็นความตายมาล้อเล่นได้อย่างหน้าตาเฉย


“หมายความว่าไง ตาย?” จู่ๆ หล่อนฉุดกระชากลากถูมา บอกว่าเขาตายแล้ว จะให้เขาเชื่อได้อย่างไรว่ามันเป็นเรื่องจริง


“หมายความว่าไง? ถามได้ ฉันก็บอกอยู่โต้งๆ ว่าตอนนี้นายตายแล้ว และฉันเป็นมัจจุราช ที่ได้รับมอบหมายให้มาดูแลวิญญาณของนาย” เวทิตาบอกง่ายๆ ราวกับสิ่งที่พูดเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ แววตาของหญิงสาวมีประกายสีแดงเข้มฉายแวบหนึ่งราวกับจะแสดงอานุภาพ ก่อนที่มันจะเลือนหายไปพร้อมกับประโยคสุดท้ายของหล่อน


พอได้ฟัง ชายหนุ่มก็หัวเราะพรืด แม้อีกฝ่ายจะมีน้ำเสียงจริงจังแค่ไหน เขาไม่รู้หรอกนะว่าหล่อนกำลังจะเล่นอะไร รู้แต่ว่ามันตลกสิ้นดี


“คนอะไรพูดเพ้อเจ้อได้เป็นวรรคเป็นเวร เอาไปหลอกเด็กแถวบ้านเถอะคุณ”


“เป็นอย่างที่พี่ริคกี้พูดไว้ไม่มีผิด…พวกมนุษย์” หล่อนหัวเราะในลำคอเหมือนจะเยาะ


“แล้วคุณไม่ใช่พวกเดียวกับผมหรือไง พูดอะไรแปลกๆ”


“บอกแล้วไงว่าฉันคือมัจจุราช” คราวนี้น้ำเสียงหนักแน่นกว่าเดิม ท่าทางคล้ายจะรำคาญเขาเต็มที


“แค่การแต่งตัวก็ไม่ใช่แล้ว” ที่เขาเคยเห็น ส่วนมากจะเป็นผู้ชายอ้วน มีหนวด หน้าตาโหดเหี้ยม ใส่โจงกระเบน มีเขาสองข้างราวกับจะประกาศตัวว่าเป็นแฟนคลับวงคาราบาว


มองยังไงผู้หญิงคนนี้ก็ไม่น่าจะเป็นเจ้าแห่งความตายได้เลยสักนิด


“นั่นมันสมัยก่อน ตอนนี้โลกไปถึงไหนแล้ว มัจจุราชอย่างพวกฉันก็ต้องพัฒนาตัวเองเหมือนกัน ถ้าไม่ปรับตัว ก็จะตามวิญญาณสมัยนี้ที่ชอบปลิ้นปล้อนไม่ทัน พ่อของฉันบอกว่าเมื่อก่อน วิญญาณที่ว่าเลวๆ ยังสู้สมัยนี้ไม่ได้เลย เลวกว่าเยอะ ไม่รู้จะขยันสร้างกรรมอะไรกันนักหนา กว่าจะส่งวิญญาณพวกนี้ลงนรกได้ พวกเราก็แทบลมจับ” ก่อนที่เวทิตาจะทันได้พูดประโยคต่อไป วาทการก็ยกมือขึ้น สอดแทรกว่า


“หยุด…ผมไม่อยากฟังนิทานก่อนนอน”


“ฉันพูดความจริง มัจจุราชโกหกไม่ได้หรอกนะ มันเป็นกฎ” แววตาของหล่อนแฝงไปด้วยความดุดัน หากก็ไม่ทำให้อีกฝ่ายเกรงกลัวอะไร


“โอเคๆ ถ้าคุณยืนยันว่าตัวเองเป็นมัจจุราช ผมเชื่อก็ได้ แต่ตอนนี้ไปศรีธัญญากันดีกว่า”


“ศรีธัญญา?” หญิงสาวทำหน้าเหมือนไม่รู้จัก


“โรงพยาบาลบ้าไงครับ คุณกำลังมีปัญหาแน่ๆ” เขาคิดว่าผู้หญิงคนนี้ไม่บ้า เพ้อเจ้อ ก็คงหมกมุ่นอยู่กับหนังแฟนตาซีประเภทที่มีมัจจุราชจนฟุ้งซ่าน เก็บเอามาพูดเป็นตุเป็นตะได้หน้าตาเฉย


“นี่ ฉันไม่ได้บ้านะ” เวทิตากระแทกเสียง ทำท่าไม่พอใจ เมื่อโดนปรามาส


“คนบ้าที่ไหนจะบอกว่าตัวเองบ้าล่ะ อ้อ แล้วอย่าบอกนะว่าที่นี่คือยมโลก คุณกำลังจะพาผมไปลงนรกอะไรแบบนั้น” มันต้องเป็นโรงถ่ายหนัง ที่จัดฉากถ่ายเรื่องอะไรซักอย่างอยู่แน่ๆ อ้อ เขานึกออกแล้ว หรือว่านี่จะเป็นรายการประเภทแคนดิดกับคนทางบ้านนะ


“ที่นี่เป็นทางเชื่อมไปยมโลก มาได้แล้ว เราไม่มีเวลามาก เดี๋ยวไม่ทันรถไฟขบวนสุดท้าย” หล่อนทำเสียงเร่งเร้า


“’เอ้า ยังไม่เลิกเพ้อเจ้ออีก งั้นถ้าคุณเป็นมัจจุราชจริงๆ ลองแสดงอภินิหารให้ผมดูเป็นบุญตาหน่อย” ชายหนุ่มท้าทาย มาถึงขนาดนี้แล้ว เล่นด้วยก็ได้


หญิงสาวหัวเราะในลำคอราวกับพอใจอะไรบางอย่าง เอ่ยเสียงเรียบว่า


“ใจเย็นๆ เถอะ สิ่งที่ไม่เคยเห็น ไม่ได้แปลว่าไม่มีหรอกนะ!” เวทิตาคว้าข้อมืออีกฝ่ายฉับ ก่อนจะพาไปยังม่านลำแสงสีเงินยวงที่อยู่ข้างหน้าไม่ไกล


วาทการพยายามต้านทานแรงของอีกฝ่ายอย่างเต็มที่ หากก็ไม่สามารถทำได้ รู้ตัวอีกทีก็ทะลุผ่านม่านลำแสงนั้นเข้าไปแล้ว!

โปรดติดตาม...



บุลินทร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 เม.ย. 2554, 01:07:23 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 มิ.ย. 2555, 00:05:04 น.

จำนวนการเข้าชม : 2724





   ตอนที่ 1 >>
Pat 29 เม.ย. 2554, 10:37:04 น.
^^น่าตาม


Gingfara 29 เม.ย. 2554, 12:20:56 น.
น่าอ่านมากค่ะ


anOO 29 เม.ย. 2554, 19:23:17 น.
an-o จ้า มาหนนี้ แหวกแนวจังเลย


บุลินทร 29 เม.ย. 2554, 21:49:45 น.
ขอบคุณคุณ Pat คุณ Gingfara คุณโอ ที่เข้ามาให้กำลังใจนะครับ เดี๋ยวตอนต่อไปตามมาเร็วๆ นี้จ้า ^^


แมวเหมียวก้อย 3 ก.ค. 2554, 17:44:45 น.
มาตอนแรกก็เจอมัจจุราชแล้วว


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account