รถด่วนขบวนสุดรัก
ชีวิตนี้เคยต้องรออะไรนานๆ มั้ยคะ โดยเฉพาะรอดูว่าเมื่อไหร่พ่อเนื้อคู่ตุนาหงัน โซลเม็ทของฉันจะโผล่มาเซอร์ไพรส์ในชีวิตจริงเสียที เพราะนั่งรอ นอนรอ ตบยุงรอมาก็หลายปีดีดักแล้ว รอไปก็กังวลไป สงสัยว่าชาตินี้ฉันคงจะได้ขึ้นคานแหงๆ
การรอคอยบางทีทรมานกว่าผลลัพธ์ แต่ถ้าผลลัพธ์ออกมาดีเหมือนรถด่วนขบวนสุดรักขบวนนี้ บางที...การ (อดทน) รอก็อาจจะให้ดอกผลที่น่าชื่นใจกว่าก็ได้
อย่าไปกังวลเลยค่ะว่าเราจะไปไม่ทันรถด่วนขบวนสุดท้ายหรือเปล่า ขอให้พากันสมัครใจไปกับ รถด่วนขบวนสุดรัก กันดีกว่า


Dear someone,

If love (still) kept you standing at the station when the last train's gone by…, then I thought maybe walking was better ‘coz we were the master of our choices.

So, do you wanna walk…?


Tags: เนื้อคู่ รถด่วนขบวนสุดท้าย ณนวล มัชฌิชา ภาณุวัฒน์

ตอน: ♥ บทที่ 4

ระหว่างที่แวะลงมาหาอะไรกินมื้อกลางวันในโซนพลาซ่าด้านล่างออฟฟิศ อันประกอบไปด้วยร้านรวงมากมายราวกับเป็นห้างสรรพสินค้าขนาดย่อม ภาณุวัฒน์ตัดสินใจเลี้ยวเข้าไปในร้านหนังสือร้านหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะขายแต่หนังสือจากต่างประเทศ เขากะว่าจะลองมาหาดูหนังสือตกแต่งบ้านและสวนดีๆ สักเล่ม สองเล่ม เผื่อจะได้ไอเดียอะไรดีๆ เอาไปปรับใช้กับของตัวเองบ้าง

ตอนนั้นชายหนุ่มก็ลืมนึกไปว่าเขาไม่จำเป็นต้องตกแต่งบ้านที่ตั้งใจจะใช้เป็นเรือนหอให้ต้องตาถูกใจใครบางคนอีกต่อไปแล้ว มานึกได้อีกทีก็ตอนที่เหลือบไปเห็นนิตยสารผู้หญิงฉบับหนึ่งพาดหัววางหราอยู่บนแผงด้านข้างแคชเชียร์เข้านั่นแหละ

Young Women ฉบับ ต้อนรับลมรักอันอบอุ่น กับเคล็ดลับรักหวานฉ่ำของดาราสาว...พิมพ์ตา
ชายหนุ่มรู้สึกคล้ายหูอื้อตาลายไปครู่หนึ่งเมื่ออ่านข้อความไฮไลท์บนหน้าปกที่เป็นภาพของดาราสาวกำลังกอดคอ แก้มแนบชิดอยู่กับแฟนหนุ่มพลางหัวเราะร่าราวกับทั้งหมดทั้งมวลของความสุขในโลกใบนี้ได้พากันมารวมตัวอยู่ที่เธอหมดแล้ว

ก็คงแน่ละ เขาเดาว่าตอนนี้เธอคงเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลก ...ไม่เหมือนเขา
ภาณุวัฒน์เอื้อมมือไปหยิบนิตยสารฉบับนั้นขึ้นมาช้าๆ ตอนที่ยกมันขึ้นมาเขารู้สึกเหมือนกับว่าน้ำหนักของนิตยสารเล่มนั้นมันหนักหนาเสียจนทำให้เขาถึงขั้นมือสั่นมือคลอนไปเลยทีเดียว

...ดาราสาวผู้พิสูจน์แล้วว่า รักแท้ ไม่ได้ต้องการเวลาเสมอไป !

เขาอ่านพาดหัวรองตัวขนาดไม่ใหญ่ไม่โตนั้นด้วยความรู้สึกที่ถูกทิ่มตำเสียยิ่งกว่าโดนใครมาตะโกนด่าใส่หน้าเอาเสียอีก และโดยไม่รู้ตัว เขาเกือบจะทำนิตยสารฉบับนั้นแหลกคามือไปเสียแล้ว ชายหนุ่มรีบจ่ายเงินตรงแคชเชียร์ก่อนที่จะรีบเดินออกมาแม้เขาจะยังไม่แน่ใจตัวเองนักว่าควรจะหลบไปที่ไหนดี ชายหนุ่มรู้เพียงแต่ว่าเขาต้องออกไปไกลๆ ไปที่ไหนสักที่ ไปให้ไกลจากความจริงตรงหน้านี้

ขณะที่เดินถือนิตยสารฉบับนั้นออกมา ชายหนุ่มก็ได้ตระหนักถึงความจริงบางอย่างที่มันแย่เสียยิ่งกว่า ความจริงที่ว่าภาณุวัฒน์ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะหลบหนีไปไหนดีนี่แหละ มองไปทางไหน ก็ยังไม่เห็นมีที่ที่เหมาะสมกับอารมณ์เขาในเวลานี้เลยสักนิด สุดท้ายชายหนุ่มก็เลยตัดใจกลับไปนั่งทำงานต่อเสียเลย บางทีภาระการงานอาจจะช่วยให้เขาลืมอะไรๆ ไปได้เสียบ้างหรอก

ตั้งใจอย่างนั้นแล้วชายหนุ่มก็หมุนตัวจะเดินกลับเข้าตัวอาคารไป แต่เป็นเพราะว่าเขาเพิ่งเปลี่ยนใจกะทันหันและไม่ทันได้ระวัง พอรู้ตัวอีกที ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงโอดโอยของผู้หญิงคนหนึ่งร้องอยู่ใกล้ๆ

“เป็นอะไรมากหรือเปล่าคุณ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” ภาณุวัฒน์รีบไปดูอาการของหญิงสาวที่ถึงกับเสียหลักล้มก้นกระแทก อันเป็นผลมาจากการตัดสินใจเปลี่ยนทิศทางแบบปัจจุบันทันด่วนของเขาเมื่อกี้นี้

“โอ้ย... เจ็บสิยะ ถามได้ ลองมาเป็นฝ่ายถูกชนดูบ้างไหมเล่า” หญิงสาวหลับหูหลับตาโวยวายโดยไม่สนใจมองหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนทั้งนั้น เจ้าตัวตะแง๊วๆ โวยวายทั้งที่ยังลุกไม่ขึ้น และเอาแต่ลูบเนื้อลูบตัวตัวเองอยู่ป้อยๆ

“ก็ใครใช้ให้คุณมายืนอยู่ใกล้ๆ ผมล่ะ เล่นมายืนใกล้เสียขนาดนี้ ผมก็ชนเอาได้น่ะสิ” ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะโวยวายกลับไปบ้าง ถ้ายัยนี่หวังว่าเขาจะต้องทำตัวเป็นสุภาพบุรุษแสนดีกับผู้หญิงสาวๆ สวยๆ ล่ะก็ หล่อนคิดผิดไปถนัด

“เอ๊ะ ให้มันน้อยๆ หน่อยนะยะ ใครจะอยากไปยืนใกล้ๆ นายไม่ทราบ”

“ผู้ชายอะไร นอกจากจะซุ่มซ่าม แล้วยังไม่มีความรับผิดชอบ แถมยังแล้งน้ำใจอีกต่างหาก”
หญิงสาวต่อว่าฉอดๆ มาเป็นชุด ขณะพยายามทรงตัวลุกขึ้นอย่างยากลำบาก ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะวันนี้เธอใส่กระโปรงทรงแคบด้วยก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้น มัชฌิมาก็ไม่มีทางจะขอความช่วยเหลือจากผู้ชายหน้าตาอุทิศส่วนบุญให้ไม่รับ แถมยังปากร้ายอย่างอีตานี่เด็ดขาด ยิ่งเห็นหมอนั่นท่าทางขำกับความพยายามอันล้มเหลวของหล่อน มันก็ยิ่งน่าโมโห

ผู้ชายอะไรวะ ! ชนผู้หญิงล้มแล้วแทนที่จะรีบกุลีกุจอช่วยเหลือ ที่ไหนได้ กลับมาทำเป็นยืนขำค้ำหัวหล่อนอยู่นั่นแหละ

“แล้วตกลงจะนั่งอยู่ตรงนี้ไปอีกนานมั้ยคุณ ผมมีงานมีการต้องทำนะ ไม่ได้ว่างพอจะมายืนรอคุณอยู่ตรงนี้ได้เป็นวันๆ หรอกนะครับ คุณผู้หญิง”

พอได้ยินอีตาเบื๊อกตรงหน้าต่อว่ามาอย่างนี้ มัชฌิมาก็โกรธจนแทบควันออกหู

“ก็กระโปรงฉันมันแคบ ลุกไม่ขึ้นอยู่นี่ นายเห็นมั้ย หน็อย...ไม่มีน้ำใจจะช่วย แล้วยังมาทำปากเสียอีก คนอะไร เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น...” หญิงสาวโวยวายใส่เป็นชุด ยังไม่ทันได้สาแก่ใจดี ชายหนุ่มก็ยื่นมือมาตวัดดึงหล่อนให้ลุกยืนขึ้นเสียก่อน พอเห็นว่าหล่อนทรงตัวได้แล้วก็รีบปล่อยมือออกทันทีพร้อมกับทำหน้าเหมือนเบื่อหน่ายเรื่องตรงหน้านี้เต็มแก่แล้ว

“เอ้า ทีนี้ก็เลิกโวยวายเสียที ไม่รู้จักอายคนเขาบ้างหรือไงก็ไม่รู้” ชายหนุ่มทำหน้าเอือมระอาเหมือนหล่อนเป็นเด็กที่ผู้ใหญ่ไม่รู้จักสั่งสอน ทำเอามัชฌิมาเห็นแล้วก็ปรี๊ดขึ้นสมองขึ้นมาอีก

“นี่ คุณ ฉันก็พอจะดูออกอยู่หรอกนะ ว่าคนอย่างคุณน่ะ…” หล่อนเว้นจังหวะจงใจใช้สายตาเป็นเชิงประเมินค่าหยามเหยียด

“คงจะหาความเป็นสุภาพบุรุษในตัวได้ยาก”

ภาณุวัฒน์กำลังรอดูอยู่ว่าแม่สาวเจ้าอารมณ์จะว่าอะไรต่อไปอีก

“แต่แค่คำขอโทษง่ายๆ คนที่บ้านคุณเขาไม่สั่งสอนมาบ้างหรือไง” พูดออกไปแล้วก็เหมือนมัชฌิมาจะได้เห็นแววตาของคนตรงหน้าวูบประกายไฟขึ้นมาแวบหนึ่งก่อนจะถูกเกลื่อนรอยไป

“แล้วที่บ้านคุณเขาสอนมาบ้างหรือเปล่าว่า เป็นผู้หญิงอย่าเที่ยวไปทำปากเก่งกับผู้ชาย ไม่อย่างนั้นอาจเจอเรื่องเดือดร้อนเข้าสักวันก็ได้”

ชายหนุ่มทำเป็นพูดเตือนขณะที่ขยับเท้ามาใกล้ มัชฌิมาเลยใจเสียไปนิดหน่อย แต่ก็ยังอุ่นใจว่าที่ที่หล่อนยืนอยู่ตอนนี้ไม่ได้เปลี่ยวอะไรนัก แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แม่หล่อนสอนเสมอแหละว่าผู้ชายกับหมาบ้า บางทีก็เหมือนกันเสียจนแทบแยกไม่ออก

“ไม่ต้องมาขู่ฉัน” มัชฌิมาทำเป็นบอกเสียงดุกลับไปก่อนจะรีบพูดต่อ

“ถ้าคนอย่างนายไม่รู้จักคำว่าขอโทษก็ไม่เป็นไร ฉันขี้เกียจจะต่อปากต่อคำกับนายแล้ว พูดไปก็เสียเวลาเปล่า” พอพูดจบหญิงสาวก็ทำท่าจะรีบเดินผละไป แต่มือของชายหนุ่มไวกว่า มัชฌิมาเกือบหลุดปากร้องกรี๊ดออกไปแล้ว ถ้าเขาไม่รีบพูดขึ้นมาเสียก่อน

“แล้วเจ็บตรงไหนมากหรือเปล่าคุณ จะให้ผมพาไปหาหมอมั้ย” ชายหนุ่มถามเหมือนเป็นห่วงด้วยน้ำเสียงที่แตกต่างไปจากการพูดจากวนประสาทอย่างเมื่อตอนก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง ทำเอามัชฌิมาถึงกับสับสนว่าอีตานี่จะมาไม้ไหนกันแน่

“ไม่เป็นไร ไม่ต้องไปหาหมอหรอก แค่นี้ฉันซื้อยามาทาเองได้” หล่อนเองก็ตอบเขากลับไปเสียงอ่อนลงเช่นเดียวกัน จากนั้นก็รีบเดินจ้ำออกมาโดยไม่คิดจะเหลียวหลังกลับไปมองผู้ชายคุ้มดี คุ้มร้ายคนนั้นอีก
คนเราสมัยนี้ ใช่ว่าจะไว้ใจกันได้ง่ายๆ เสียที่ไหน บางคน เห็นหน้าตาท่าทางรึก็ออกจะดูดี รู้อีกที ที่ไหนได้... พ่อเจ้าประคุณดันกลายเป็นฆาตกรโรคจิตไปแล้วเสียอย่างนั้น คนประเภทนี้ หล่อนเห็นทีจะขออยู่ให้ห่าง เอาให้ไกลร้อยโยชน์ พันโยชน์ แสนโกฏิปีเลยทีเดียว

มัชฌิมานึกบอกตัวเองอยู่ในใจ โดยไม่ทันได้นึกเฉลียวใจเลยสักนิดว่าอีตาผู้ชายคุ้มดี คุ้มร้ายที่หล่อนว่ากำลังถูกใครบางคนวางแผนชักพามาให้อยู่ใกล้กับหล่อนเข้าไปทุกทีแล้ว

♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥

ระหว่างที่มานั่งรอเพื่อนสาวทดลองแต่งหน้า ทำผม เพื่อเตรียมตัวจะเป็นเจ้าสาวอีกหนึ่งรายในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้ มัชฌิมาก็ถือโอกาสหยิบเอานิตยสาร Young Women ฉบับต้อนรับเดือนแห่งความรักขึ้นมาเปิดอ่าน ความจริงหล่อนไม่จำเป็นต้องอ่านมันอีกก็ได้ เพราะถึงจะไม่ได้เป็นคนลงมือเขียนเองทุกคอลัมน์ แต่ทั้งหมดนี้ก็ล้วนแต่เคยผ่านหูผ่านตาหล่อนมาแล้วทั้งนั้น

แต่ในเมื่อระหว่างรอมันไม่มีอะไรให้ทำได้ดีไปกว่านี้ มัชฌิมาก็เปิดแต่ละหน้าดูไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาหยุดอ่านจริงจังอีกครั้งตรงคอลัมน์ At first We’ve loved ฉบับนี้เป็นบทสัมภาษณ์ดาราสาว น้องใหม่ในวงการคนหนึ่งที่เพิ่งประกาศหมั้นไปไม่นานนัก แทบจะเรียกได้ว่าเป็นการหมั้นชนิดสายฟ้าแลบ แทบช็อควงการเลยก็ว่าได้ มีดาราหน้าใหม่อยู่น้อยคนนักที่จะกล้าประกาศตัวเช่นนี้ ส่วนใหญ่หล่อนเห็นแต่พวกที่ชอบหลบๆ เลี่ยงๆ หรือไม่ก็เปลี่ยนคู่ควงคนใหม่ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะคว้าเอาคนที่ดีที่สุด ถูกใจที่สุด รวยที่สุด ให้สมใจเข้าจนได้

ถ้าข้อมูลวงในของหล่อนไม่พลาด ก็ดูเหมือนว่าสาวเจ้าจะมีแฟนหนุ่มเป็นนักธุรกิจอยู่คนหนึ่งก่อนหน้าที่จะเปลี่ยนมาสวมแหวนของผู้กำกับหนังโฆษณาคนนี้ที่นิ้วนางข้างขวาเอาในตอนหลัง นัยว่าเกิดพบรักกันขึ้นมากลางกองถ่าย ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าป่านนี้อีตาแฟนเก่าจะทำใจได้หรือช้ำใจไปถึงไหนแล้ว

มัชฌิมาออกจะนึกเห็นใจผู้ชายเคราะห์ร้ายคนนั้นอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน ก็ถ้าหากว่าใครบางคนต้องโดนเลิกร้าง เลิกรัก ทั้งที่ยังไม่ทันได้ทำอะไรผิด แต่กลับต้องมาถูกบอกเลิกเพียงเพราะแค่คนใจคอไม่มั่นคงคนหนึ่งเกิดนึกอยากจะเปลี่ยนใจขึ้นมาเพียงเท่านั้น มันก็น่าเห็นใจอยู่ไม่หยอกหรอกนะ

ตอนที่มัชฌิมากำลังสัมภาษณ์ดาราสาวอยู่ ก็ลองแย็บๆ ถามไปบ้างเหมือนกัน เห็นพิมพ์ตาทำท่าเหมือนรู้สึกเจ็บปวดเกินกว่าที่จะพูดถึงก่อนจะตัดบทมาเพียงสั้นๆ ว่าตอนนี้เธอและเขาเป็นได้แค่เพียงพี่น้องที่ยังหวังดีต่อกันเพียงเท่านั้น

...ลูกแพร์ก็ยังรักและหวังดีกับเขาเสมอ ถึงเราจะไม่ได้เป็นคนที่ใช่สำหรับกันและกันอีกต่อไปแล้ว แต่เราก็ยังเป็นพี่เป็นน้องที่หวังดีต่อกันอยู่เหมือนเดิมค่ะ พี่เขาเข้าใจดีว่าตอนนี้ลูกแพร์รักคนอื่นแล้ว
พี่เขารู้ดีค่ะว่า ลูกแพร์รักพี่นายน์... พอมาถึงประโยคนี้ แม้จะทำทีเป็นอุบอิบพูดเสียงเบา แต่รอยเศร้าหมองของพิมพ์ตาก็จางหายไป และถูกแทนที่ด้วยแววตาสดใสเป็นประกายของคนที่ความรักเปี่ยมล้นเต็มหัวใจเพียงเท่านั้น

มัชฌิมาล่ะอยากรู้จริงๆ ว่าลงเป็นแบบนี้แล้วผู้ชายคนนั้นจะยังอยากเป็นพี่เป็นน้องกับพิมพ์ตา อย่างที่ดาราสาวให้สัมภาษณ์มาหรือเปล่า เพราะถ้าหากเป็นหล่อน ลองได้มาเห็นหรือแม้แต่ได้อ่านถ้อยคำหยอกล้อ กระหนุงกระหนิง รักกันจ๋าปานนี้ มีหวังจะให้เอ็นดู เป็นพี่เป็นน้องกันต่อไปไม่ไหวแน่
มัชฌิมาไม่ใช่คนใจกว้างขนาดนั้น หล่อนเป็นคนที่เจ็บแล้วรู้จักจำ แล้วก็เป็นประเภทที่ว่าค่อนข้างจะจดจำอะไรๆ ได้นานเสียด้วยสิ

“เป็นยังไงบ้าง มัช ใช้ได้มั้ย” นุ่น หรือนราภัทรออกมายืนหมุนตัวโชว์เพื่อนราวกับเป็นนางแบบสาวก็ไม่ปาน มัชฌิมาได้แต่ยิ้มขำกับกิริยาของหล่อนก่อนจะพินิจมองอีกครั้ง

ในบรรดาเพื่อนสาวทั้งสามคนของมัชฌิมา ทั้งปาจารีย์ นราภัทร และอรอุษา มัชฌิมาลงความเห็นว่านราภัทรนั้นเรียบร้อยที่สุด อ่อนหวานสมกับเป็นผู้หญิงมากที่สุดในกลุ่มแล้ว ปาจารีย์ออกจะเปรียว เปรี้ยวปรู๊ดปร๊าด แล้วก็คล่องเกินไป อยู่ห่างไกลจากคำว่าผู้หญิงเรียบร้อยพอๆ กันกับหล่อน ส่วนอรอุษารึก็ออกห้าว ตอนแรกที่เพิ่งรู้จักกัน มัชฌิมานึกว่าอร หรืออรอุษานี่เป็นทอมด้วยซ้ำไป พอเอาเข้าจริงดันกลายเป็นว่าอรอุษานี่แหละที่แต่งงานออกไปก่อนใครเพื่อน ทำเอาเพื่อนสาวที่ยังโสดสนิทอยู่ทั้งหมดในตอนนั้นอิจฉาตาร้อนผ่าวไปตามๆ กัน

นราภัทรนั้นสวย หวาน บอบบาง น่าทะนุถนอม… ยิ่งมาอยู่ในชุดเจ้าสาวสีขาวบริสุทธิ์แบบเรียบ แต่เก๋ ผมยาวสลวยถูกเกล้าเป็นเกลียวมวยหลวมๆ เหมือนไม่ได้ตั้งใจจากช่างทำผมฝีมือประณีต ก็ยิ่งขับให้ประกายความงดงามอิ่มสุขของว่าที่เจ้าสาวทอประกายฉายชัด

“สวย... สวยจนไม่มีอะไรจะเปรียบได้อยู่แล้ว” มัชฌิมาชมจากใจจริงๆ แต่พูดจาเหมือนไม่ได้ตั้งใจจะชมกันสักเท่าไหร่

“เอ๊ะ มัชนี่ ตกลงว่าสวยหรือไม่สวยกันแน่จ๊ะ” นราภัทรทำเสียงกระเง้ากระงอด งอนเพื่อนไปอย่างนั้นเอง

“แหม... ก็ต้องสวยสิจ๊ะ เมื่อกี้ก็เพิ่งบอกไปหยกๆ อยู่ว่านุ่นสวย...เสียจนแทบไม่มีอะไรจะให้เปรียบให้เทียบได้อยู่แล้ว” เจ้าตัวอมยิ้มเจ้าเล่ห์

“เห็นมั้ย มัชยังไม่เคยพูดซักคำเลยว่านุ่นไม่สวย”

“อย่ามาทำเป็นพูดดีเลย นุ่นคบกับมัชมาตั้งนาน ทำไมจะไม่รู้นิสัย”

“เอาน่า... ก็ตั้งใจชมจริงๆ นั่นล่ะ อย่ามาทำเป็นหน้าบูดอยู่หน่อยเลย เดี๋ยวหน้างามๆ กลายเป็นหมาหน้าย่นขึ้นมา จะมาหาว่าเราไม่เตือน ไม่ได้นะ”

“ไม่ต้องมาทำเป็นพูดดีเลย ถ้าพี่เอกมา นุ่นจะฟ้องพี่เอกว่ามัชแกล้ง แล้วก็จะบอกพี่เอกไม่ให้แนะนำเพื่อนเจ้าบ่าวสุดหล่อให้มัชรู้จักด้วย” พูดจบเจ้าตัวก็ทำปึ่งไป มัชฌิมาได้แต่นึกขำกับอารมณ์งอนเป็นเด็กๆ ของเพื่อนสาว ก็เพราะนราภัทรนิสัยเป็นแบบนี้ หล่อนจึงได้นึกเอ็นดูเพื่อนอยู่เสมอ นิสัยเหมือนน้องสาวคนเล็กของหล่อนไม่มีผิด

“ตามใจ... ถ้าอย่างนั้น มัชกลับแล้วนะ ถ้าพี่เอกมาก็บอกให้พี่เอกไปส่งด้วยแล้วกัน” เจ้าหล่อนว่าพลางทำท่าเตรียมเก็บกระเป๋า

“แล้วก็ฝากบอกพี่เอกด้วยว่า ให้เจ้าสาวหาเพื่อนเจ้าสาวคนใหม่ด้วย เพราะมัชไม่ว่างแล้ว”

“โอ๋... มัชฌิมาจ๋า มัชฌิมาสุดสวย”

“อย่าโกรธไปเลยนะจ๊ะ นุ่นแค่แหย่เล่นนิดเดียวเอง”

พอเห็นหล่อนเป็นฝ่ายงอนตุ๊บป่องเข้าบ้าง นราภัทรก็ต้องเปลี่ยนมาเป็นฝ่ายง้อไปโดยปริยาย ซึ่งนั่นก็เป็นนิสัยดั้งเดิมของหล่อนที่มัชฌิมารู้ดีอยู่แล้ว เจ้าตัวจึงแอบซ่อนรอยยิ้มไว้ในหน้าเพราะยังไม่อยากให้เพื่อนสาวได้สมใจง่ายๆ

“ถ้างั้น ก็ต้องบอกมาว่าก่อนว่าเพื่อนเจ้าบ่าวหล่อจริงหรือเปล่า” มัชฌิมาทำเป็นคาดคั้นเสียงดุ

“หล่อมากๆ จนถึงมากที่สุดเลยเชียวล่ะ” หญิงสาวตอบทันควัน แววตาเป็นประกาย

“ถ้าได้เจอคุณภาณุวัฒน์แล้ว รับรองว่ามัชจะต้องชอบ เชื่อนุ่นสิ”

“ขนาดนั้นเลยเชียว” มัชฌิมาทำเสียงสูงใส่ ยังไว้ฟอร์มอยู่นิดๆ

“ขนาดนั้นเลยเชียวล่ะ ไม่เชื่อ มัชคอยดูกับตาตัวเองได้เลย” นราภัทรยืนยันอย่างมั่นใจไม่แพ้กัน

“ถ้างั้น ก็โอเค มัชจะเคลียร์คิวมาเป็นเพื่อนเจ้าสาวให้เหมือนเดิมก็ได้” เจ้าตัวทำบอกเหมือนไม่ใส่ใจอะไรนักหนาก่อนจะบอกต่อเป็นเชิงคาดโทษ

“แต่ถ้า อีตาภาณุวัฒน์อะไรนี่ ไม่หล่อจริงนะ น่าดู”

“นุ่นบอกว่าหล่อ ก็ต้องหล่อสิน่า” หญิงสาวรับรองแข็งขันเต็มที่

“ว่าแต่มัชเถอะ เรื่องชุดน่ะเตรียมไว้หรือยัง ให้นุ่นดูแบบหน่อยได้มั้ย” นราภัทรวกกลับมาถามเรื่องชุดเพื่อนเจ้าสาวที่หล่อนลืมไปเสียสนิท คนลืมเลยสารภาพเสียงอ่อย

“คือว่า... มัชยังไม่ได้ดูเลยน่ะ” พอเห็นเพื่อนทำท่าจะโกรธ มัชฌิมาก็รีบบอกต่อทันที

“แต่มัชกะว่าจะชวนนุ่นไปดูด้วยกันวันนี้แหละ รอให้นุ่นลองชุด ลองแต่งหน้า ทำผมเสร็จเสียก่อน”

“โอเค ถ้างั้น นุ่นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเลยดีกว่า จะได้รีบไปช่วยมัชเลือกชุดไวๆ ไง” เจ้าหล่อนรีบบอกแล้วก็แทบจะระบำปลายเท้าออกไปด้วยความร่าเริง สมใจ

มัชฌิมามองตามว่าที่เจ้าสาวในชุดแต่งงานที่เดินตัวปลิวกลับไปยังห้องแต่งตัวอีกครั้ง ฉับพลันทันใด วูบหนึ่งหล่อนเกิดรู้สึกอิจฉาเพื่อนขึ้นมาเสียอย่างนั้น ก็มัชฌิมายังไม่รู้ชะตาตัวเองเลยนี่นะ ว่าจะมีโอกาสได้เป็นเจ้าสาวของผู้ชายดีๆ ที่ไหนสักคนอย่างที่เพื่อนๆ ของหล่อนพากันชิงล่วงหน้าไปก่อนแล้วบ้างหรือเปล่า

เฮ้อ... ก็ในเมื่อผู้ชายดีๆ สักคนมันหายากเสียยิ่งกว่าหนวดเต่า เขากระต่าย สงสัยหล่อนจะต้องอยู่เป็นแม่พวงมาลัยไปจนแก่ตายเสียแล้วกระมัง

มัชฌิมานั่งถอดถอนใจนึกปลงกับตัวเองอยู่ได้ไม่นาน นราภัทรก็เดินหน้านิ่วคิ้วขมวดออกมาจากห้องแต่งตัว ในมือถือโทรศัพท์ที่ยังพูดสายกับใครบางคนค้างอยู่

“อืม...ตกลงจะเอาอย่างนั้นจริงๆ เหรอ” เจ้าตัวถามกับคนปลายสายเหมือนไม่ใคร่จะมั่นใจกับข้อเสนอของอีกฝ่ายนัก

“ก็ได้ ยังไงนุ่นจะลองขอร้องมัชดูก่อนแล้วกันนะ...”

“โอเคๆ บายจ้ะ”

นราภัทรดีดฝาพับของโทรศัพท์มือถือให้ปิดเก็บตามเดิมพลางระบายลมหายใจแห่งความอึดอัดมาเสียยืดยาวเกินจำเป็น ก่อนจะหันมาทางมัชฌิมาเพื่อขอร้องให้หล่อนทำอะไรบางอย่างที่มัชฌิมาตรองดูแล้วไม่เห็นว่าจะมีความจำเป็นอย่างที่นราภัทรกล่าวอ้างมาเลยสักนิด

“มัชจ๋า...คือ เรื่องที่เราคุยกันว่าจะไปดูแบบชุดเพื่อนเจ้าสาวของมัชวันนี้น่ะ...” เจ้าตัวทำเป็นเลียบเคียงตีวนไปรอบๆ พุ่มไม้และทำท่าเหมือนเกรงอกเกรงใจจนไม่อยากจะพูดต่อ แต่ก็อาศัยจังหวะที่มัชฌิมาเลิกคิ้วสูงเป็นเชิงถามเพื่อให้คำตอบต่อไปทันที

“ถ้าเราไม่ว่างไปดูเป็นเพื่อนมัชแล้ว มัชจะโกรธเรามั้ยอ่ะ” ถามจบ นราภัทรก็ทำตาปริบๆ เรียกคะแนนสงสารจากเพื่อนเต็มที่

“โอ๊ย ไม่โกรธหรอก เรื่องแค่นี้เอง เดี๋ยวมัชไปดูเองคนเดียวก็ได้” เจ้าหล่อนรีบปฏิเสธเสียงใส

“ไอ้เราก็นึกว่ามีเรื่องคอขาดบาดตายอะไรนักหนา เห็นนุ่นทำท่าหยั่งกับว่ากลัวจะโดนมัชเชือดซะขนาดนั้น” มัชฌิมาว่าพลางหยิบกระเป๋าขึ้นสะพาย เตรียมเดินออกจากร้าน

“เดี๋ยวสิ มัช” เพื่อนสาวของหล่อนเป็นฝ่ายฉุดแขนมัชฌิมาไว้ก่อนจะบอกต่อ

“คือ เรายังมีเรื่องอยากรบกวนมัชอีกเรื่องหนึ่งด้วยน่ะ”

“เอ้า มีอะไรก็ว่ามาสิ มัวแต่ทำเป็นอมพะนำ อ้ำอึ้งอยู่อย่างนี้ เดี๋ยวก็ไม่รู้เรื่องกันพอดีหรอก”
มัชฌิมาบอกเป็นเชิงกระเซ้ามากกว่าจะต่อว่ากันจริงจัง นราภัทรหยุดรวบรวมลมหายใจอีกครั้งก่อนจะบอก

“คือว่า...คุณภาณุวัฒน์ที่จะมาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวให้พี่เอกน่ะ เขาอยากจะขอร้องให้มัชไปช่วยเลือกชุดเพื่อนเจ้าบ่าวเป็นเพื่อนเขาหน่อย มัชพอจะช่วยเพื่อนหน่อยได้มั้ยจ๊ะ” พูดออกมาได้แล้วนราภัทรก็ทำท่าโล่งเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก

“ทำไมเขาต้องอยากให้มัชไปเพื่อนด้วยล่ะ ผู้ชายก็แค่ใส่สูทไปก็น่าจะใช้ได้แล้ว ไม่เห็นจำเป็นที่จะต้องให้เราไปช่วยเลือกเลยนะนุ่น” มัชฌิมาท้วงอย่างไม่ยอมเห็นคล้อยด้วยง่ายๆ

“ก็... คือ คุณภาณุวัฒน์เขา เขาเลือกของไม่ค่อยเก่งน่ะ” เจ้าตัวตอบอึกๆ อักๆ

“อีกอย่าง นุ่นว่าถ้าเพื่อนเจ้าบ่าวกับเพื่อนเจ้าสาวไปช่วยกันเลือกชุดวันงานด้วยกัน มันคงจะเข้ากันได้ดียิ่งขึ้นอีกยังไงล่ะ” เจ้าตัวทำหน้าตาดีใจที่หาเหตุผลมาหว่านล้อมว่าที่เพื่อนเจ้าสาวได้อีกหนึ่งข้อก่อนจะสำทับ

“ถ้าเป็นไปได้ นุ่นก็อยากจะขอร้องมัชหน่อยนะจ๊ะ น่า... ถือว่าช่วยเพื่อนก็แล้วกันนะ งานแต่งงานนุ่นกับพี่เอกจะได้ออกมาเพอร์เฟ็คต์ทุกอย่างเลยยังไงล่ะ นะ นะ นะ” ระหว่างที่ปากก็พูดไป สองมือของนราภัทรก็ช่วยจับๆ บีบๆ ต้นแขนมัชฌิมาเป็นการใหญ่ ด้วยอาการประจบเอาใจแบบหวังผลกันเต็มที่

มัชฌิมามองดูเพื่อนสาวช่างอ้อนอย่างแสนจะอ่อนอกอ่อนใจ ถึงแม้ความรู้สึกส่วนตัวจะบอกกับหล่อนว่าหล่อนไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องไปช่วยอีตาเพื่อนเจ้าบ่าวนั่นเลือกซื้อเสื้อผ้าเลยสักนิด แต่เพื่อเห็นแก่ว่าที่เจ้าสาวที่อุตส่าห์ลงทุนขอร้องกันมาแล้วมัชฌิมาก็ยอมรับปากไปในที่สุด

รับปากไปโดยที่ไม่ได้รู้ความจริงเลยสักนิดว่า ตอนนี้อีตาเพื่อนเจ้าบ่าวที่หล่อนคิดเอาเองว่าจะยอมจำใจไปซื้อเสื้อผ้าด้วยกันสักหนหนึ่งนั้น ป่านนี้เจ้าตัวเองก็ยังไม่รู้เลยสักนิดว่ามีนัดกับหล่อนอยู่ !







ณนวล
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 พ.ค. 2555, 02:24:44 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 พ.ค. 2555, 02:24:44 น.

จำนวนการเข้าชม : 1439





<< ♥ บทที่ 3   ♥ บทที่ 5 >>
pseudolife 4 พ.ค. 2555, 08:15:29 น.
มาร่วมลุ้นแผนหาคู่ให้หนูมัชค่ะ^^


mhengjhy 4 พ.ค. 2555, 08:21:34 น.
555 สองคนเจอกันจะต้องสนุกแน่ๆ เลย


ดาวคันชั่ง 4 พ.ค. 2555, 09:41:16 น.
คุณใหญ่น่าสงสาร แต่ความน่าสงสารหายไปทุกครั้งที่เจอกับมัชฌิมา


ณนวล 27 พ.ค. 2555, 00:59:40 น.
โปรดติดตามตอนต่อไป เริ่มจะมีตัวละครใหม่ๆ เข้ามาให้ช่วยกันสงสารอีก ; )


icewinter 27 พ.ค. 2555, 19:25:30 น.
ว้าวๆๆๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account