ม่านพรหม
เมขลา น้องสาวคนเล็กของผู้การจิรวัติ เธอผู้มีซิกเซ้นส์ สัมผัสพิเศษ สามารถยั่งรู้อนาคตของคนอื่นได้บ้าง..เมขลา ต้องพบกับภัยคุกคามจาก กฤษณะ อดีตคนรักของลูกค้า เพราะเธอไปดูว่า กฤษณะไม่ใช่เนื้อคู่ของเธอคนนั้น...จากเรื่องสนุก ๆ ที่ได้รู้อนาคตคนอื่น เมขลา เริ่มเครียด และเขาก็ค่อย ๆ ทำให้เธอรู้ว่า..คนเราจะอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่าได้นั้น ไม่ได้เกิดจาก รู้ดวงชะตา..
Tags: นายรถไฟ กับยายซิกเซ้นส์

ตอน: 13.“ใช้สรรพนามแทนตัวเองว่า หนูนาได้ไหมครับ"

13.

หลังไขกุญแจประตูห้องเข้ามาพอเปิดไฟ กฤษณะก็เห็นว่าเตียงนอนของตนนั้นยับยู่ยี่ ผ้าห่มร่วงอยู่หน้าเตียง หมอนหนุนที่มีอยู่สองใบถูกเอามาซ้อนกันตรงกลางเตียง หมอนข้างร่วงไปที่ข้างเตียงเช่นกันและพอชะโงกหน้าไปดูที่ข้าง ๆ หมอนกฤษณะก็เห็นว่าผ้าปูที่นอนนั้นมีรอยเปียกน้ำ เขาเกาหัวอย่างเสียอารมณ์ ก่อนจะเดินออกไปทางระเบียงหลังห้องที่เป็นห้องน้ำ

“ไอ้หน่องมึงพาใครมาทำอะไรที่ห้องกูหรือเปล่าเนี่ย”

“เปล่า”

“แล้ว..ทำไมที่นอนกูเหมือนฉากรบในหนังพระนเรศรวร”

“เอ่อ กู..เอ่อ..” หน่องอึก ๆ อัก ๆ ก่อนจะเร่งฝักบัวแสร้งว่าไม่ได้ยินคำถามนั่น กระทั้งหน่องอาบน้ำเสร็จแล้วพันกายด้วยผ้าเช็ดของกฤษณะออกมาจากห้องน้ำ กฤษณะที่นั่งรออยู่บนเก้าอี้หน้าก็ชี้นิ้วไปยังกองผ้าปูที่นอนฝืนใหม่ที่เก็บไว้ในลิ้นชักพลาสติก

“เปลี่ยนผ้าปูให้กูด้วย”

“กูไม่ได้พาใครมาทำอะไรจริง ๆ นะโว้ย” มันเป็นเรื่องจริง เขาไม่ได้พาจอยมา แต่ว่าจอยมาเอง แถมยังมุดเข้ามาในผ้าห่มของเขาเอง หลังจากที่เลยเถิดกันไปแล้ว จอยถึงได้รู้ว่าเขาไม่ใช่กฤษณะแต่ว่า มันก็สายเกินจะแก้เสียแล้ว หญิงสาวไม่ได้ร้องไห้ ไม่ได้มีทีท่าตกใจ เพียงแต่หลังเสร็จกิจก่อนจะกลับห้องลุงของตัวเองที่ทำงานอยู่ในการรถไฟ จอยขอร้องไม่ให้เขาบอกเรื่องนี้กับกฤษณะ เพราะจอยนั้นอยากมีอะไรกับกฤษณะเป็นอย่างมาก เขาเองก็ต้องเล่นตามน้ำไป เพราะถ้าได้กินฟรี ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีสำหรับเขา..

“พาหรือไม่พา กูไม่รู้ แต่เปลี่ยนให้กูแล้วกัน มึงกลิ่นตัวแรง เหม็น..”

“ทำเป็นสะอาด เมื่อก่อนมึงก็ซกมก” ห้องของหน่องนั้นอยู่อีกตึก และหน่องมีน้องชายมาอาศัยเรียนหนังสือระดับชั้นปริญญาตรี น้องหน่องพาเพื่อนมาทำงานที่ห้องบ่อย ๆ ห้องหน่องจึงไม่สะดวก และก่อนที่กฤษณะจะมีหมวย หน่องก็เคยอาศัยห้องกฤษณะใช้งานอยู่บ่อย ๆ เพราะไม่อยากเสียค่าโรงแรม..

ด้วยเข้าใจหัวอกผู้ชายด้วยกันกฤษณะก็ใจดีกับเพื่อนมาโดยตลอด แต่ว่าตอนนี้ เรื่องเหลวไหลแบบนั้นเขาไม่อยากให้มันเกิดขึ้นในห้องนี้อีก..

หลังจากที่หน่องเปลี่ยนผ้าปู เปลี่ยนปอกหมอนหนุนและหมอนข้างให้กฤษณะเสร็จแล้ว หน่องก็มาหยุดอยู่ที่กองสบู่และขวดโทนเนอร์ที่กฤษณะซื้อมาจากร้านนางฟ้าคาเฟ่

“สบู่ก้อนละห้าสิบโทนเนอร์สามร้อย เลือกสบู่ไปสองก้อน โทนเนอร์ขวดหนึ่ง”

“บังคับขายหรือวะ”

“เหอะน่า เขาบอกว่า ใช้ดี หน้ามึงเยินขนาดนี้ลองใช้หน่อย ช่วย ๆ กูหน่อยซื้อของเขามาเยอะ”

“แล้วมึงซื้อมาทำไม”

“จีบสาวมันก็ต้องลงทุน มีอะไรช่วยกันได้ก็ช่วย..นะช่วยกูหน่อยเก็บเงินสิ้นเดือนก็ได้”

“ได้ ๆ ถ้าไม่เห็นผล กูไม่ให้เงินมึงนะ”

“ได้ แต่มึงไม่ต้องมาห้องกูอีกนะ ได้เปล่าล่ะ”



เมขลาพลิกตัวไปมาเพราะนอนไม่หลับ ใจหนึ่งนั้นก็นึกอยากจะปฏิเสธคำชวนชวนให้ไปเที่ยวบ้านที่สุพรรณบุรีของพี่นรบดี แต่เหตุผลของวิจิตรศราที่มีต่อเรื่องนี้ก็เข้าที

“มีผู้ชายเข้ามาหาพร้อมกันถึงสองคนแบบนี้ ไม่ควรที่จะรีบไล่คนหนึ่งคนใดออกไปก่อน พี่นรบดีบอกตรง ๆ ว่าเป็นอะไรที่ผู้หญิงฝันถึง เขาพร้อมสำหรับคำว่าหัวหน้าครอบครัว ส่วนนายกฤษณะนั้นบอกตรง ๆ ว่า ต้องให้เวลาเป็นตัวพิสูจน์ใจเขาอีกเยอะ เล่นหรือจริงก็ไม่รู้ เจ้าชู้หรือเปล่า เราก็ไม่รู้จะสืบจากที่ไหน เพราะฉะนั้น พี่นรบดีเองก็ต้องรู้ว่าเม ไม่ใช่คนไร้เสน่ห์ไม่มีใครมาสนใจ กฤษณะเองก็ต้องต่อสู้ให้เห็นว่าเขารักเมจริง ๆ เพราะฉะนั้น ช่วงนี้เมจะบอกกับ พี่นรบดีว่าดู ๆ กันไปก่อน มันก็ไม่ผิด หรือจะรับไมตรีของกฤษณะบ้างก็ผิด และถ้าวันอาทิตย์นี้เมอยากไปเปิดหูเปิดตา วิก็พร้อมจะไปเป็นเพื่อน..”

เมขลาพลิกตัวอีกครั้ง นึกถึงดวงตาของกฤษณะตอนที่เขาให้เธอบรรยายสรรพคุณของโทนเนอร์ที่ค่อนข้างจะมีราคาแพงและเขาก็ไม่เคยใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าในขั้นตอนล่าสุดตัวนี้..ความรู้สึกในตอนนั้น เหมือนว่าเธอคุ้นเคยกับดวงตาคู่นั้นมาเนิ่นนาน ยิ่งเจอกันบ่อย ๆ ก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาไม่ใช่คนแปลกหน้า ไม่ใช่คนไร้หัวนอนปลายเท้า และไม่ใช่คนหยิบโหย่งไร้อนาคต

เพียงแต่รูปหรือเปลือกนอกของเขานั้นยังดูเหมือนเด็กกะโปโล เพราะเขายังสวมรองเท้าแตะ ยังใส่กางเกงยีนส์ขาเดฟเก่า ๆ ยังใส่เสื้อแขกบาง ๆ ราคาถูก แล้วบางวันหนวดเคราก็ยาวรุงรังผมเผ้ากระเซิงเพราะผมของเขาหยักศก ส่วนพี่นรบดีนั้นเป็นผู้ชายเมโทรที่พบเห็นได้ทั่วไป เป็นผู้ชายที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ฝันถึง แต่ทำไมยิ่งอยู่ใกล้ๆ ก็ยิ่งรู้สึกอึดอัด ไม่อยากสบตาของเขา ไม่อยากได้ยินเสียง ไม่อยากให้เขาก้าวเข้ามาเกินคำว่าพี่ชาย ทำไมความรู้สึกที่มีให้กับคนสองคนมันช่างแตกต่างกันเช่นนี้..

ความเหมาะสมกับความรู้สึกของตัวเองนี่หรอกรึที่ทำให้ผู้หญิงมากมาย วิ่งมาให้เธอช่วยตัดสินใจ..

ทั้งที่จริง ๆ แล้วชีวิตของตัวเองต้องใช้ความรู้สึกของตัวในเวลานั้นเป็นตัวตัดสินใจ..
เมขลาถดตัวลุกขึ้นนั่งก่อนจะสะบัดผมไปมา..

ถ้าเธอไปกับพี่นรบดี กฤษณะจะต้องเสียใจกับการตัดสินใจของเธอแน่ ๆ เธอควรจะทำอย่างไร

“ไป ไม่ไปดีนะ” เมขลาถามตัวเองแล้วก็ตัดสินใจเองไม่ได้อยู่ดี ความฟุ้งซ่านเข้ามาแทนที่..แบบนี้มันต้องมีที่ปรึกษา..

เมขลาตัดสินใจเอื้อมมือไปคว้าที่โทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างหมอน พอเห็นว่าเวลายังไม่ดึกเกินไป เมขลาก็กดเบอร์โทรศัพท์ไปหาพี่ชายคนโตซึ่งเจนจัดในเรื่องหัวใจน่าจะให้เหตุผลมาชั่งน้ำหนักกับของวิจิตรศราได้

“โทรมาจนดึกมีอะไรรึ” เสียงของพี่ต้นกล้า จิรวัติ สดใสเหมือนเคย และด้วยไม่อยากรบกวนเวลาพักผ่อนของพี่ชายนายทหารเรือนานเกินไป เมขลาจึงไม่อ้อมค้อม

“มีเรื่องปวดหัวนิดหน่อยค่ะ..มีผู้ชายสองคนเข้ามาในชีวิตพร้อม ๆ กัน คนหนึ่งพร้อมสรรพสำหรับผู้หญิงธรรมาดาอย่างหนูนา อีกคนหนึ่งก็น่าจะเสมอกับเรา เป็นข้าราชการอยู่การรถไฟ กำลังไต่เต้าสร้างเนื้อสร้างตัว อายุเท่า ๆ กัน คนแรกเป็นรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยอายุมากกว่าสามปี”

“ใจเอนเอียงไปทางไหน”

“คนหลัง แต่นิสัยเขาแปลก ๆ กวน ๆ วิเขาไม่ชอบ แล้วก็ดูเหมือนเล่น ๆ อยากเอาชนะมากกว่า” พอ

เกริ่นนำไปแล้วเมขลาจึงเล่าเรื่องตั้งแต่หนหลังให้พี่ชายได้รับรู้..ซึ่งพี่ต้นกล้าก็ได้แต่หัวเราะขำ

“พี่ชอบเขานะ คนแปลก ๆ แบบนี้หายาก”

“แปลกเกิ้น..”

“ก็คบ ๆ ไปก่อน รุ่นพี่ที่เข้ามาก็คุยกันแบบพี่น้องไปก่อน อย่าเพิ่งไปหักไมตรีของเขา”

“แต่เขารุกเร้าหนักขึ้น เข้าทางวิด้วย”

“ก็ช่างเขา เราวางตัวกลาง ๆ ไป ส่วนอีกคน เหมือนเขาจะมาคล้าย ๆ กับคำว่าเพื่อน ก็คุยกับเขาแบบเพื่อนแบบคนรุ่นเดียวกันไป ใครอึดกว่า ใครแสดงความจริงใจกับเรามากกว่า เสมอต้นเสมอปลาย หรือเราเองอยากอยู่กับใครทุกวันมากกว่า วันนั้นค่อยตัดสินใจ อายุยังน้อย มีเวลาเลือก”

“ให้เหตุผลเหมือนวิ”

“แล้วทำไมไม่จับมือเขาดูล่ะว่าใช่เนื้อคู่ตัวเองไหม” ที่จิรวัติถามไปแบบนั้นเพราะรู้ว่าน้องสาวไม่สามารถล่วงรู้เรื่องในอนาคตของตัวเอง..

“ไม่กล้าหรอกพี่..แล้วหนูนาก็ไม่อยากตัดสินใจเลือกชีวิตคู่ด้วยวิธีนี้หรอก..”

“แต่มันก็รวดเร็วดีนะ”

พอพี่ชายเอ่ยถึงเรื่องนี้ เมขลาก็นึกขึ้นมาได้ว่า วันที่เขารู้ความจริงว่าเธอเป็นคนดูดวงให้หมวย วันที่เขาอาละวาด..วันนั้นเขาจับมือของเธอ..และเมื่อวานก็เป็นอีกครั้งที่เขาจูงมือเธอไปที่รถมอเตอร์ไซด์..เธอไม่เห็นอนาคตของเขา ไม่สัมผัสถึงเรื่องเนื้อคู่ของเขา ทำไมมันถึงเป็นอย่างนั้น?

“ทำไมเงียบไป หลับแล้วเหรอ”

“เปล่าหลับ..พี่ง่วงหรือยัง ถ้าง่วงหนูนาขอตัวก่อน”

“ง่วงเหมือนกัน งั้นก็ ต่างคนต่างนอน เอ้อ การงานเป็นอย่างไรบ้าง”

“เรื่อย ๆ ค่ะ ไม่มีปัญหาอะไร”

“เงินทองล่ะ”

“ถ้ายังอยากส่งให้ ก็ยินดีรับค่ะ ..แต่ว่าไม่เอาดีกว่า พี่เก็บเงินไว้แต่งงานเหอะหนูนาดูแลตัวเองได้”

“ดีมาก..มีอะไรคิดไม่ออกก็อย่าลืมคิดถึงพี่..พี่รักน้องนะ”

“ค่ะ หนูนาก็รักพี่..ดูแลตัวเองนะคะ”

กดวางโทรศัพท์ลงแล้ว เมขลาก็นั่งมองโทรศัพท์อยู่อย่างนั้น..และพลันเครื่องในมือก็สั่นเตือนให้รู้ว่ามีข้อความเข้ามา และพอเห็นชื่อคนส่ง เมขลาก็ถึงกับยิ้มกริ่ม..ใจพองโตขึ้นมาอย่างอยากระงับ..

“สบู่ย่านางใช้แล้วเย็นสดชื่นจริง ๆ โทนเนอร์กลิ่นแรงไปนิด แต่เพื่อผิวหน้าที่น่าจูบขึ้นผมจะทนใช้ไปเรื่อย ๆ คิดถึงนะครับ..คะน้า”



เสียงเคาะประตูห้องทำให้กฤษณะที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จและกำลังจะพ่นโทนเนอร์ใส่หน้า ก็ชะงักมือ แต่เขาก็ไม่ปล่อยให้เสียงนั้นมาทำให้เขาละในเรื่องคิดจะทำ และเรื่องนั้นเป็นเรื่องที่เอาไปคุยกับเมขลาได้ หญิงสาวบอกกับเขาว่า รอยสิว จะค่อย ๆ จาง ผิวหน้าจะนุ่มขึ้น ความมันที่หน้าจะลดลง เขาลองใช้แล้วตั้งแต่ขวดที่แม่ซื้อมาฝาก จนถึงตอนนี้ยอมรับว่า ของที่แม่ซื้อมาฝาก ของที่วิจิตรศราและเมขลาขายนั้น มีคุณภาพเกินราคา

เสียงเคาะประตูยังดังขึ้นเรื่อย ๆ และเสียงเคาะแบบไร้มารยาทแบบนี้จะเป็นใครไปไม่ได้

“อะไร” เขาถามแบบตวาด ๆ ออกไป แต่คนที่อยู่หลังประตูก็จะรู้ว่าเขาล้อเล่นมากกว่า

“จอยเองพี่”

“มาทำไมแต่เช้า จะไปทำงานแล้ว”

“ถึงไม่ไป พี่ก็ไม่ให้จอยเข้าห้องหรอก”

“รู้แล้วก็ดีนี่”

“พี่นะ กลิ่นอะไรหอม ๆ อ่ะ เดินผ่านห้องแล้วได้กลิ่น” จริง ๆ แล้วจอยไม่ได้เดินผ่านแต่ว่าจอยยืนใจเต้นตึกตักเพราะความรู้สึกอยากเอาชนะเขาให้ได้ แม้ไม่ได้เคียงคู่เป็นผัวเมียกันในตอนจบ แต่จอยอยากสัมผัสความเป็นชายของเขา อยากเอาชนะเขาให้ได้เท่านั้นเอง และจอยก็เชื่อว่าสักวันเขาจะต้องใจอ่อน เพราะเมียที่เคยให้กินอิ่มหนำสำราญก็จากไปแล้ว แล้วตอนนี้เธอก็ไม่เห็นเขาออกเที่ยวเตร่กับเพื่อนกับฝูงหรือพาใครมาที่ห้อง อดยากปากแห้งแบบนี้ ตื้อบ่อย ๆ มันก็น่าจะสมหวังในสักวัน

กฤษณะหันซ้ายหันขวาแล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าเป็นกลิ่นสบู่ที่วางไว้บนโต๊ะอยู่ไม่ห่างจากประตูห้องมากนัก..

“สบู่”

“สบู่อะไรทำไมกลิ่นหอมแบบนี้เนี่ย เดินขึ้นบันไดมาก็ได้กลิ่นเลย..ขอดูหน่อยสิ”

“พี่โป๊อยู่”

“จอยไม่ถือหรอก นะเปิดหน่อยนะพี่ ขอดูสบู่หน่อยนะ”

“รอเดี๋ยวใส่กางเกงก่อน” คนอย่างกฤษณะไม่ยอมทำตามใจผู้หญิงน่ากลัวอย่างจอยทั้งหมดหรอก..เขารีบสวมกางเกงชั้นใน บ็อกเซอร์ และกางเกงชุดฟอร์ม สวมเสื้อยืดสีขาว หลังจากนั้นก็รัดเข็มขัด ซึ่งกินเวลานานทีเดียว และเมื่อเสียงของจอยเร่งเร้าอีกรอบเขาจึงไปเปิดประตู และต้อนรับจอยเข้าห้องมาด้วยสีหน้าจำใจอย่างเปิดเผย และพอจอยเข้ามาแล้ว เขาก็เปิดประตูออกเผยให้คนเดินผ่านไปผ่านมาเห็นว่าเขาไม่ได้แอบทำอะไรกับจอย

“ไม่ปล้ำหรอกน่า” เข้าห้องมาแล้ว จอยที่อยู่ในชุดแซคสีชมพูคอลึกก็เริ่มยั่วอารมณ์ แต่ว่ามันไม่ได้ผลกับกฤษณะ

“สบู่อยู่โน่นดูซะ ใบสรรพคุณอยู่ข้าง ๆ บนสลากก็มี”

“แล้วขวดสีฟ้านี่หละ”

“อ่านข้างขวดเลย”

“ขี้เกียจสะกดทีละคำ”

“ตอนเรียนมัวทำอะไรอยู่”

“ก็ครูหล่อมัวแต่นั่งมองหน้าครู”

“มันถึงได้เจริญ..อ่านไป ๆ” ว่ากฤษณะก็หันกลับไปที่ตู้เสื้อผ้า หยิบเสื้อตัวชุดฟอร์มมาสวม หยิบถุงเท้าที่อยู่ลิ้นชักออกมา ทรุดตัวลงนั่งแล้วสวมถุงเท้าระหว่างนั้นจอยก็นั่งสะกดฉลากที่ข้างขวดไปด้วย

“..ว้าว กระชับ..รู.. ขุมขน ลดเลือนริ้วรอย” จอยตั้งใจเว้นวรรคให้กฤษณะรับรู้ความในใจ แต่กฤษณะแสร้งไม่ได้ยิน และหลังจากแต่งตัวเสร็จกฤษณะก็เดินไปปิดเพลงที่เปิดไว้เบา ๆ ปิดประตูหลังบ้านแล้วก็เดินกลับมาหาจอยที่นั่งดูของอยู่

“แพงไหม”

“สบู่ก้อนละห้าสิบ โทนเนอร์สามร้อย”

“แต่ข้างขวดเขียนว่า 290 บาทเท่านั้น”

“กำไรนิดหน่อย จะเอาอะไรไปลองใช้ไหม ถ้าไม่ ก็ ..พี่จะไปทำงานแล้ว”

“เอาสบู่ไปลองแล้วกัน ก้อนไหนดี” จอยตั้งใจถ่วงเวลาเพราะอยากอยู่กับเขานาน ๆ

“ดีทุกก้อนแหละหลับตาหยิบไปได้เลย”

“แหม ขายของแบบนี้ไม่น่าขายได้เลยเนอะ”

“ไม่ได้เอามาขาย ถ้าอยากลองก็เอาไป..เงินเก็บสิ้นเดือน”

“มีดอกเบี้ยหรือเปล่าล่ะ” เรื่องระบบเงินผ่อนในตึกนี้เป็นอันเข้าใจกันดี

“ไม่มีหรอก แต่ถ้าไม่ให้ เลิกคบกันไปเลย”

“โหดร้ายเนอะ..งั้นจอยเอาสบู่สตอเบอรี่นี่แล้วกัน ชอบกลิ่น”

“เข้ากับนิสัยด้วย”

“ปากจัด”

“เร็ว จะไปแล้ว เดี๋ยวสาย มีทำขบวนสินค้าไปสระบุรี”

“ซื้อหนมมาฝากบ้างนะ ผลไม้ก็ได้”

“อืม..ไป ๆ เร็ว ๆ พี่รีบ” พอกฤษณะเร่งจอยก็คว้าสบู่มาหนึ่งก้อนพร้อมขวดโทนเนอร์และใบสรรพคุณที่กฤษณะถือติดมาหลายแผ่นและด้วยต้องการกำไรจากการลงทุนช่วยเขาซื้อของในวันนี้ จอยที่เจนจัดกับผู้ชายก็ลุกขึ้นแล้วแกล้งเซไปหาหน้าอกของกฤษณะ กฤษณะเองนั้นก็รู้ว่าจอยต้องการอะไร เขาไม่ได้หลบแต่ว่าเอาหน้าอกดันร่างของจอยออกไป..



วันนี้เป็นอีกวันที่เมขลารู้สึกคิดถึงกฤษณะตั้งแต่นั่งรถไฟยันนั่งรถเมล์ถึงที่ทำงาน หญิงสาวถอนหายใจเฮือกแล้วเฮือกเล่าพยายามไม่ให้ฟุ้งซ่านแต่มันก็ทำไม่ได้ ใจหนึ่งก็รู้ว่าพลาดหัวใจไปกับเกมส์ของเขาเพราะไม่เคยเจอผู้ชายแบบเขา นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไป อย่างวันนี้เธอไม่รู้ว่าเขาทำอะไรอยู่ที่ไหน และจะมีอะไรมาหาเธอไหม ไม่มีการนัดหมาย ไม่มีการบอกให้รู้ล่วงหน้าข้อความล่าสุดบอกไว้แค่นั้น ดังนั้นตั้งแต่

ลงจากรถไฟเมขลาก็อดมองไปยังรอบ ๆ ตัวไม่ได้ แม้แต่ตอนลงรถเมล์มาแล้วเมขลาก็กวาดสายตาไปรอบๆ ยิ่งตอนเข้าไปลิฟท์เมขลาก็แลเหลือบไปคนที่อยู่ข้างใน แต่ว่ามันก็ว่างเปล่าไม่เห็นเงาไม่ได้กลิ่นที่ยังติดอยู่ปลายจมูก กระทั่งถึงโต๊ะทำงานแล้วนั่งทำงานจนกระทั่งรู้สึกความเป็นตัวของตัวเองกลับมา เมขลาก็ได้รับสัญญาณว่ามีข้อความเข้า

“อีกห้านาทีผมจะโทรหา เคลียร์คิวให้ด้วย..คะน้า”

ข้อความจากเขาเหมือนอากาศเย็น ๆ ไหลเข้ามาแทนที่อากาศร้อนของฤดูกาล เมขลาอมยิ้มกับโทรศัพท์ แต่พอเงยหน้า พี่ประนอมก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าพร้อมกับเงินค่าสบู่ซึ่งล่าช้ากว่าข้อตกลงไปสามชั่วโมง แต่เมขลาก็ดีใจที่สบู่นั้นขายหมดอย่างรวดเร็ว

“มีคนจะเอาโทนเนอร์อีกสามขวด ที่ชั้นสิบห้า พรุ่งนี้ เอามาให้ด้วยนะ”

“ได้ค่ะ..”

“ลดให้พี่อีกได้เปล่า กำไรจะได้เยอะกว่านี้หน่อย”

“ทำออเดอร์ให้ได้ครั้งละโหล มีลดค่ะ..”

“สะสมได้ไหม”

“ปรึกษาเพื่อนก่อนนะคะ” และยังไม่ทันที่เมขลาจะคุยกับทางประนอมให้จบธุระ โทรศัพท์ของเมขลาก็ดังขึ้น เมขลารีบตะครุบมาทันที แต่ว่า ปลายสายกลับไม่ใช่กฤษณะ เป็นพี่นรบดีที่โทรมาบอกว่าจะรออยู่หน้าแคนทีน



ขณะที่นั่งกินข้าวอยู่กับนรบดีที่เล่าเรื่องงานอย่างออกรสออกชาติเมขลาก็ได้รับโทรศัพท์จากกฤษณะโดยเวลาคลาดเคลื่อนจากห้านาทีเป็นห้าสิบนาที แต่ว่าประโยคแรกก็ให้เมขลาย่นหัวคิ้วเข้าหากันเพราะเขาถามเหมือนแอบอยู่มุมหนึ่งมุมใดในแคนทีนแห่งนี้

“รบกวนเวลากินข้าวของคุณหนูนาอยู่หรือเปล่าครับ” กฤษณะจงใจโทรกลับมาในเวลานี้ เพราะ อุมารินทร์ที่เป็นผู้ช่วยของนรบดี นั้นโทรบอกกับกฤษณะว่าได้ยินนรบดีโทรนัดหมายเวลาทานมื้อกลางวันกับเมขลา ดังนั้นเขาจึงต้องเลื่อนการโทรหาเมขลาจากห้านาทีเป็นห้าสิบนาที เพราะมั่นใจว่าตอนนั้นเมขลาต้องอยู่กับนรบดีพอดี

“นิดหน่อย”

“วันนี้กินข้าวกับอะไร”

“ไข่พะโล้ ผัดผัก”

“อยากกินน้ำพริกฝีมือแม่ผมอีกไหม ถ้าอยากกินผมจะสั่งให้แม่ทำไว้ให้เย็นนี้ผมจะเอาไปฝาก”

“รบกวนคุณแม่ ไม่เอาหรอกค่ะ”

“แม่บอกว่า ถ้าคุณชอบ แม่ยินดีครับ โอเคนะ เย็นนี้ผมจะเอาไปให้ ค่ำ ๆ หน่อย หลังคุณกลับถึงบ้าน”

“แต่ว่าวันนี้ ฉันจะกลับดึกหน่อย”

“จะไปไหน...”

“จะไปดูหนัง”

“กับใครหรือครับ..”

“กับรุ่นพี่คะ” ตอนที่คุยกับเขาเมขลาไม่ได้มองหน้าคนที่นั่งอยู่ตรงกันข้าม หญิงสาวเอี้ยวตัวแล้วคุยกับเขาโดยสีหน้านั้นพยายามให้เป็นปกติ แต่นรบดีก็มองเห็นถึงความปรีดาในสายตาคู่สวยของเมขลา และการที่เมขลากล้าคุยโทรศัพท์กับชายอื่นต่อหน้าเขา ก็แสดงว่าเมขลาไม่ได้แคร์ความรู้สึกของเขามากนัก แต่อย่างว่าแหละ วิจิตรศราก็บอกกับเขาแล้วว่า ให้ลองคบหากันแบบพี่น้องไปก่อน ให้เวลาเป็นตัวบอกว่า ชีวิตที่ต่างคนต่างมานี้จะไปด้วยกันต่อได้หรือไม่ และเขาก็โตพอที่จะเข้าใจ ความหมายของวิจิตรศรา..แต่ว่า เขารู้สึกหงุดที่เห็นเมขลาแอบบิดตัวดูขวยเขินกับคนที่อยู่ปลายสาย

“คนวันนั้นใช่ไหม” วันนั้นนรบดีนั่งอยู่หน้าร้านส่วนเขานั่งอยู่ในร้านซึ่งมีเคาน์เตอร์ขวางไว้ จึงมองไม่เห็นกัน แต่ว่าถ้าลุกขึ้นยืนก็สามารถมองเห็น ตอนลุกไปห้องน้ำเขาจึงได้ชำเลืองไปมองเห็นหน้าคู่แข่ง แต่เขาไม่มีทางยอมแพ้หนุ่มหน้าหยกแต่งตัวอย่างกับหลุดมาจากแมกกาซีนนั่นอย่างเด็ดขาด แต่จะให้เขาเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อให้หนูนามาชอบ เขาก็จะไม่ทำ แต่หนูนาจะต้องชอบเขาในแบบที่เขาเป็น ซึ่งเขาก็มั่นใจว่า มันจะต้องเป็นไปได้

“ค่ะ พี่นรบดี รุ่นพี่สมัยเรียนหนังสือ”

“แล้วดูที่โรงไหนครับ ลาดพร้าวหรือเปล่า โรงที่เราเคยเจอกัน”

“จะตามไปทะเลาะกันอีกเหรอ”

“ไม่ทะเลาะด้วยอีกแล้ว อยากคุยด้วยดี ๆ”

เมขลาเริ่มหน้าแดงระเรื่อ ใบหน้าคลี่ยิ้มเห็นฟันโดยอัตโนมัติ แต่ว่าเธอจะให้เขาเผยความรู้สึกมากไปกว่านี้ไม่ได้..

“แล้วนี่จะโทรมาด้วยเรื่องแค่นี้เหรอ”

“จะสั่งของครับ ตอนแรกว่าจะเข้าไปเอาเย็นนี้ แต่ว่ารอให้คุณหนูนาว่างก่อนดีกว่า”

“วิก็อยู่ที่ร้านนี่คะ รับของไปได้เลย”

“ไม่เอา ไม่อยากคุยกับคุณวิ”

“แล้วเอาเยอะไหม ถ้าเยอะมีราคาส่ง” เมื่อเห็นว่า ลูกค้าขายปลีกจะทำหน้าที่ขยายตลาด ลูกเล่นนี้จึงต้องถูกนำเสนอกระตุ้นการสั่งซื้อ

“เท่าไหร่ถึงเรียกว่าเยอะ”

“สบู่สักสองโหล โทนเนอร์สักหกขวด”

“อ้าว วันก่อนผมก็ซื้อไปสองโหล แต่ไม่เห็นได้ราคาส่ง”

“ก็ไม่ได้ขอนี่คะ”

“ขอคืนได้ไหม”

“ไม่ได้ค่ะ เริ่มต้นใหม่”

“ใจร้าย”

เมขลาหัวเราะกับน้ำเสียงของเขา..แต่พอรู้ตัวว่านรบดีก้มหน้าเพียงนิดเคี้ยวอาหารด้วยสีหน้าเหมือนจะน้อยใจเมขลาก็รู้สึกตัว..

“งั้นฉันขอตัวกินข้าวก่อน..”

“เดี๋ยวครับ..” กฤษณะรั้งไว้ด้วยน้ำเสียงเว้าวอน เมขลานิ่งฟัง

“งั้นพรุ่งนี้ตอนเย็นผมเข้าไปเอาสบู่นะครับ เมื่อกี้ผมเอามาขายเพื่อนที่ทำงาน แย่งกันเลย พรุ่งนี้อยู่บ้านนะครับ ผมจะเอาน้ำพริกจากแม่ไปฝากด้วย..อย่านัดรับใครนะครับ”

“ได้ค่ะ”

“แล้วผมขออีกเรื่องจะได้ไหม”

“เรื่อง”

“ใช้สรรพนามแทนตัวเองว่า หนูนาได้ไหมครับ คือมันเป็นอะไรที่น่ารักมากสำหรับผม..”



จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 พ.ค. 2555, 07:50:10 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 พ.ค. 2555, 07:50:10 น.

จำนวนการเข้าชม : 2331





<< 12.“ถ้าหนูนาบอกว่าไม่ใช่ วิจะให้พี่ไปจากชีวิตพี่ไหมละ”   14.“ถ้าผมเป็นอะไรไป คุณจะเสียใจไหม” >>
คิมหันตุ์ 10 พ.ค. 2555, 09:01:11 น.
ตาคะน้านี่อ๊อนอ้อน


innam 10 พ.ค. 2555, 09:53:28 น.
เสร็จลูกอ้อนของคะน้าแน่เลยหนูนา


sai 10 พ.ค. 2555, 10:21:13 น.
รุกไปเรื่อยๆนะคะน้า หนูนาเค้าเอนเอียงมากๆแล้ว อิอิ


lookAme 10 พ.ค. 2555, 10:52:43 น.
อ้อนแบบนี้เขาก็เริ่มเทใจแล้วอะสิ><


Orathai 10 พ.ค. 2555, 11:47:08 น.
มีชั้นเชิงจริงๆ...ทั้งคะน้าทั้งคนเขียน


nutcha 10 พ.ค. 2555, 12:15:34 น.
อ่านแล้วอดเขินแทนหนูนาไม่ได้ การจีบสาวของคะน้านิสัยส่วนตัวหรือเก็บมาจากคนรู้จักคะคุณเฟื่อง


จุฬามณีเฟื่องนคร 10 พ.ค. 2555, 12:51:26 น.
อู้ยยยยย กฤษณะก็กฤษณะ คนละคนกับเฟื่องนคร ไม่เกี่ยววกัน ไม่มีไม่เคยกะล่อนขนาดนี้..


แว่นใส 10 พ.ค. 2555, 14:27:12 น.
อะฮ้า


anOO 10 พ.ค. 2555, 15:21:49 น.
ใช้มุกแบบนี้จีบหญิง แล้วหญิงที่ไหนจะหลุดมือไปล่ะเนี้ย


Zephyr 11 พ.ค. 2555, 18:48:19 น.
พี่คะน้า อ้อนสาวเป็นด้วย ว้าว นึกว่าจะห่ามเป็นอย่างเดียว


loveleklek 12 พ.ค. 2555, 20:18:03 น.
สนุ๊กสนุก


Rungnaree 19 ธ.ค. 2555, 15:16:14 น.
หืม !!! ถ้าคนเขียนไม่กะล่อน แล้วไปเอามุกกะล่อนมาจากไหนค้า


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account