เพรงนาง
หนึ่ง...ให้ความตายปลดปล่อยพันธนาการที่เจ็บปวด
อีกหนึ่ง...ให้ความตายพันธนาการตนเอง
...เพื่อที่จะกลับมา เป็นตัวเชื่อมให้เธอและเขา กลับมา "รัก" กันอีกครั้ง
Tags: พีเรียด

ตอน: ตอนที่ ๑๑ จากทั้งน้ำตา

ตอนที่ ๑๑

“วันนี้ได้หลักฐานอะไรบ้างวะภู” เป็นประโยคแรกที่สิชลเอ่ยถามเพื่อนหนุ่ม หลังจากพากันเข้ามาในห้องพักเรียบร้อยแล้ว

ภูริตกลับไปสำรวจที่วัดเชียงหมิ่นอีกครั้ง ส่วนสิชลมีนายแหวงขับรถพาไปสำรวจตามวัดโบราณต่างๆ เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมในอีกหลายๆ ด้านที่คิดว่าจะเอามาเป็นประโยชน์ต่องานวิจัยของพวกเขา

“แล้วทางนายล่ะ” ภูริตไม่ตอบแต่ถามกลับไป พร้อมกับเปิดสมุดบันทึกของตนเองไปทีละหน้าแล้วไล่สายตามองไล่ดูข้อมูลที่ตนเองได้มา

“ได้สิ...ฉันได้ข้อมูลของพระพุทธรูปศิลปะเงินยางซึ่งสร้างในสมัยของพญาภูคาและนางพญาจำปา ผู้เป็นชายาของเจ้าภูคาเป็นผู้สร้างถวายวัดลอมกว๋าว ทั้งได้ข้อมูลอื่นๆ มาอีกมากเลยล่ะ ว่าแต่ฉันแล้วนายล่ะเป็นยังไงบ้าง ไปนั่งขูดหินขูดดินอยู่ที่วัดโบราณนั่นทั้งวัน แล้วได้อะไรบ้างล่ะ”

“ฉันหรือ...ฉันได้ไอ้นี่ว่ะ อักษรล้านนาโบราณ มันอยู่บนก้อนอิฐที่สุมกันอยู่ข้างๆ กับซากองค์พระธาตุ” ภูริตวางสมุดเล่มนั้นลงก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบกล้องถ่ายรูปออกมาเปิดให้สิชลได้ดูในสิ่งที่มันปรากฏอยู่ภายในภาพถ่ายซึ่งเป็นก้อนอิฐที่มีอักษรไม่กี่ตัวอยู่ในนั้น

“มันอ่านว่าอย่างไรวะ ฉันอ่านไม่เป็น”

สิชลถามกลับ เห็นตัวหนังสือที่มันพันกันอีรุงตุงนังอยู่บนอิฐก้อนนั้นแล้วก็ยิ่งสับสน

“ข้อความนี้น่ะหรือ” คนที่พอจะเข้าใจอักษรล้านนาเพราะเคยได้เรียนมาบ้างจึงได้เริ่มอธิบายและหยิบเอา
กระดาษที่เขียนตัวคำเมืองซึ่งลอกมาจากอิฐก้อนนั้นโดยตรงออกมาอธิบาย

“เป็นการบอกจำนวนอิฐที่จะนำมาสร้างเป็นพระธาตุ ตามความเชื่อของชาวล้านนาโบราณซึ่งมักจะทำกันมาเป็นประเพณีนั่นก็คือ เวลาจะทำบุญสร้างพระธาตุหรือบริจาคก้อนอิฐเพื่อสร้างวัดสร้างกำแพง ผู้มีจิตศรัทธามักจะสลักชื่อของตนเองและจำนวนก้อนอิฐที่บริจาคลงไปด้วย บนก้อนอิฐก้อนนั้นเขียนว่า...จิตศรัทธาพ่อหนานคำปัน พร้อมลูกหลานบริวาร บริจาคสร้างองค์พระธาตุด้วยมะดินกี่จำนวน เจ็ดร้อยแปดสิบก้อน เพื่อค้ำจุนพระศาสนาต่อไป...”

“เหมือนการจารึกชื่อตามกำแพงวัดของผู้มีจิตศรัทธาที่บริจาคนั่นน่ะหรือ” สิชลพยักหน้าเข้าใจ เห็นพ้องและเข้าใจในสิ่งที่เพื่อนหนุ่มเอ่ยบอก

“อืม...ก้อนนี้เป็นก้อนแรกที่ฉันพบ กะว่าจะนำส่งกรมศิลป์ เผื่อจะได้เป็นหลักฐานอีกชิ้นหนึ่ง เสียดายที่ไม่มีปีพุทธศักราชอย่างที่คิดว่าอยากจะให้เป็น”

เจ้าหนุ่มเอ่ยอย่างเสียดาย ในขณะที่อ่านอักษรเหล่านั้น รู้สึกเหมือนว่าจะคุ้นกับชื่อบางชื่อที่เขาเคยเจอในนิมิตเหลือเกิน

การสร้างพระธาตุไม่ใช่แค่ใช้อิฐเพียงเจ็ดร้อยแปดสิบก้อนแน่ เข้าใจว่านี่คงจะเป็นส่วนหนึ่งเท่านั้น ไม่แน่อาจจะมีอีกหลายก้อนที่บอกชื่อได้เด่นชัดและบางก้อน อาจจะมีการบอกปีพุทธศักราช เพื่อเขาจะได้รู้ว่า เจดีย์องค์นั้นสร้างตั้งแต่เมื่อไร อย่างมากอย่างน้อยปีก็คงจะไม่คลาดเคลื่อนไปมากแน่

การสร้างเจดีย์มักจะสร้างหลังสร้างอุโบสถไม่นานและเมื่อรู้ปีของการสร้างเจดีย์แล้ว เขาก็อาจจะสามารถคาดการได้ว่า วัดเชียงหมิ่นสร้างเมื่อใดกัน

ถ้าหากทุกสิ่งทุกอย่างได้ครบพร้อมอย่างที่เขาคะเนเอาไว้ เชื่อได้ว่านี่คงจะเป็นงานชิ้นเอกของเขาเลยก็ว่าได้

“อ้อ...แล้วภาพวัดนี่ล่ะ นายไปเห็นจากที่ไหน วาดสวยดีนี่”

สิชลรับสมุดจากภูริตที่มีอักษรโบราณล้านนาไปเปิดดู ก่อนจะพบกับภาพวาดที่เพื่อนหนุ่มวาดเอาไว้ มันเป็นภาพวัดที่สิชลยอมรับเลยว่าสวยงามที่สุดอีกภาพหนึ่งเลยเชียวล่ะ นี่แค่เห็นจากภาพวาด หากได้เห็นของจริงจะสวยงามมากขนาดไหน

“ภาพวัดเชียงหมิ่นน่ะแหละ ฉันลองวาดตามจินตนาการดู”

“วัดเชียงหมิ่น ที่เหลือแต่ซากนั่นหรือวะ จะทำให้นายจินตนาการอย่างกับไปเห็นจริงมาแบบนี้”

“ใช่...ในความรู้สึกของฉันบอกแบบนี้ ฉันก็เลยลองวาดออกมา แล้วก็ได้อย่างที่นายเห็นน่ะแหละ”

ภูริตบอกตามความจริงโดยไม่คิดปิดบังแต่อย่างใด ใช่เขารู้สึกเช่นนั้นจริงๆ และยังเหมือนมีความรู้สึกบางอย่างทำให้เขาวาดมันออกมาเช่นนั้น

ยอมรับว่าตนเองพอมีฝีมือการวาดอยู่บ้าง ทว่าเขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าตนได้วาดภาพนี้ออกมาสวยอย่างที่เห็นได้อย่างไร

เขายังคงเก็บเอาความฝันที่ฝันเกี่ยวกับวัดแห่งนี้และเรื่องแปลกๆ อีกทั้งความรู้สึกเศร้าเสียใจกับการที่ตนต้องมาพลัดพรากจากคนที่ตนรัก ใช่...ความฝันครั้งล่าสุดที่เขาเห็นในนิมิตนั้นคือตอนที่เจ้าน้อยภูมินทร์กลับบ้านกลับเมืองไปพร้อมกับเจ้าพ่อ เพราะการสู่ขอเจ้าจันทร์งามถูกปฏิเสธ เหตุเพราะเจ้านางมีคู่หมั้นคู่หมายอยู่ก่อนแล้ว จำได้ว่าเขาได้เห็นเจ้าน้อยภูมินทร์เอาแต่นั่งเหม่อและเศร้าเสียใจอยู่แต่ในคุ้ม ไม่ยอมกิน ไม่ยอมนอน ทำตัวให้ตนเจ็บอยู่เช่นนั้นนานหลายวัน

รู้สึกเจ็บปวดเป็นยิ่งนัก กับสิ่งที่เห็นและเป็นไป ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงได้เป็นเช่นนั้น หากคำตอบที่อยากได้กลับไม่มีเอาเสียเลย

หรือว่าเขาจะต้องรอให้ถึงจุดจบและภาพสุดท้ายของเรื่องราว เมื่อนั้นตนถึงจะได้รู้ความจริง

มานั่งเห็นแบบนี้ มันเจ็บปวดยิ่งนัก เจ็บที่ตนไม่สามารถจะช่วยเหลืออะไรได้เลย แต่ละครั้งเอาแต่ดำเนินไปตามวิถีชีวิตที่ตนไม่อาจบังคับได้ ทั้งๆ ที่รู้สึกว่านั่นเป็นตัวของเขา อยากจะฝืน ทว่าก็ทำไม่ได้สักที

มันเกิดอะไรขึ้นกับตัวของเขากันแน่...

“ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่านั่นคือความรู้สึกของนาย ที่จรดออกมาเป็นภาพวาดผ่านดินสอหรือปากกาแบบนี้”

สิชลนึกทึ่งต่อฝีมือของเพื่อนหนุ่มซึ่งวาดภาพออกมาอย่างกับว่าตนเองไปเห็นวัดแห่งนั้นจริงๆ หรือไม่ก็เคยมีชีวิตอยู่ในยุคสมัยนั้น

เคยมีชีวิตอยู่ในยุคนั้น...ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะวัดแห่งนี้ร้างไปร้อยกว่าปีและจากที่มองตามอายุแล้ว วัดแห่งนี้น่าจะมีอายุอย่างมากสุดก็ห้าถึงหกร้อยปี

เป็นไปไม่ได้ที่ภูริตซึ่งเกิดในยุคปัจจุบันจะไปยืนอยู่ในสมัยนั้น เพื่อที่จะบันทึกภาพแล้วนำมาวาดลงบนกระดาษแบบนี้

“แต่นี่ฉันเป็นคนวาดจริงๆ วาดเมื่อวานนี่เอง”

“พ่อจิตรกรมือฉมัง ข้าน้อยขอคำนับ”

ภูริตต้องหัวเราะกับท่าทีซึ่งยกมือทั้งสองข้างขึ้นมากุม แล้วก้มหัวคำนับเขาอย่างกับภาพยนตร์กำลังภายในของจีน

“พอเถอะแก ทำอย่างกับเด็กๆ ไปได้”

“แต่มันน่าทึ่งจริงๆ นะเพื่อน แล้วนี่ถ้ามีสาวๆ มาเข้าฝัน นายพอจะวาดได้ไหมวะ”

“ไม่รู้สิ ถ้าเป็นนางในฝันก็น่าจะได้”

“สาธุ...ขอให้มีจริงๆ เถอะ ฉันชักอยากจะเห็นคู่แท้ของนายแล้วล่ะภูริต ว่าหน้าตาเธอจะเป็นยังไง”

“ว่าแต่ฉันแล้วนายล่ะสิชล มีแล้วหรือยัง”

“มี...แต่ยังหาไม่เจอ” คำตอบห้วนและสั้น หากแต่ก็บอกความหมายตรงดี จนภูริตเปิดเสียงหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง

“ฉันก็เหมือนกัน มีแล้ว แต่ยังหาไม่เจอ”

////

คืนนั้น...ภูริตเอาแต่นึกถึงคำพูดของสิชล เกี่ยวกับการจินตนาการและภาพนางในฝันของตัวเขาเอง

สิ่งที่เขาเห็น เชื่อได้ว่าเธอผู้นั้นคือนางในฝันของเขา เธอช่างงามนัก งดงามเหลือเกิน งามแม้กระทั่งแววตาเศร้าที่มองมายังเขา ก็ยังหวานซึ้งตรึงใจ กรอบหน้าที่ผุดผ่อง มองคราวไหนก็ไม่จางความน่ารัก อีกทั้งกลิ่นหอมจากกายนางก็ยังคงติดตรึงอยู่กับจมูกของเขาไม่รู้หาย

คืนนี้ชายหนุ่มอธิฐานขอให้ได้เจอกับเธออีกครั้ง เพื่อเขาจะได้บันทึกภาพสวยของเธอ ซึ่งเหมือนจะรู้สึกว่านั่นจะเป็นครั้งสุดท้ายของเขาและเธอที่จะได้เจอกัน อาการบาดเจ็บจากความไม่สมหวังมันช่างร้ายนัก สำหรับเจ้าน้อยภูมินทร์แล้ว ไม่รู้ว่าจะอยู่ได้นานอีกเท่าไร

ลางสังหรณ์ที่เหมือนจะคอยกระซิบบอกอยู่เคียงข้าง บอกกับเขาว่า หลังจากนั้น เจ้าน้อยอาจจะไม่ได้เจอกับนางผู้นั้นอีก เช่นเดียวกับเจ้าจันทร์งาม ไม่รู้ว่าหลังการกลับเมืองไปของเจ้าแสนเมืองแล้ว เจ้าชาวม่านจะกลับมารับตัวเจ้านางอีกเมื่อไรกัน แล้วถ้าเจ้างามเดินทางสู่เมืองม่าน นางจะทุกข์ระทมขนาดไหน

การเดินทางที่ยาวไกล มันอาจจะทำให้หัวใจที่อ่อนไหวของเจ้านางอ่อนลงก็เป็นได้

คิดแล้วก็ยิ่งรู้สึกเจ็บเป็นยิ่งนัก เพียงเพราะตนมาช้าอย่างนั้นหรือ เจ้าคำผาเมืองถึงไม่ทำให้หัวใจของเขาเป็นไปดั่งหวัง

ภูริตนึกถึงแม่ชีนางนั้น ก่อนจะลองนั่งสมาธิ ทำอย่างที่แม่ชีเคยชี้แนะและทำให้เขาได้พบได้เห็นกับภาพเหล่านั้นอย่างตั้งใจเป็นครั้งแรก

ขยับตัวนั่งขัดสมาธิ วางมือขวาทับลงบนมือซ้าย แล้วสูดลมหายใจเข้าไปจนเต็มปอดและถอนใจออกมา พร้อมกันนั้นก็กำหนดจิตใจของตนเอง ท่องพุทโธอย่างเชื่องช้า พยายามที่จะวางเรื่องทุกอย่างลงไปก่อน ทำหัวใจของตนให้สงบนิ่งมากที่สุด

เมื่อจิตนิ่ง อานุภาพแห่งความพยายามก็เป็นผล ในเวลานั้นหัวสมองที่เบาโล่ง พร้อมกับภาพที่ปรากฏจะค่อยๆ เด่นชัด ผลสุดท้าย ก็เหมือนว่าตัวของเขาจะไปยืนอยู่ในช่วงเวลานั้นจริงๆ

///

แสงจันทร์ฉาบทออร่ามยังปลายฟ้ากว้าง เสียงดนตรีสะล้อซอซึง ทั้งการขับจ๊อยซอดังขึ้นอย่างไพเราะภายในงานลอยประทีปที่วัดเชียงหมิ่น

เจ้าน้อยภูมินทร์เดินหยุดยังลานกว้างหน้าอุโบสถหลังใหญ่ ซึ่งบัดนี้มีผู้คนมากหน้าหลายตากำลังพากันเดินเข้าไปยังอุโบสถหลังนั้นเพื่อฟังพระเทศนาในคืนเดือนเพ็ญสิบสองนี้

หลังกลับเวียงยาไปแล้วเจ้าน้อยภูมินทร์ก็เอาแต่นอนเศร้าตรอมตรมกับสิ่งที่ไม่สมหวัง วันเวลาผ่านพ้นไปอย่างเชื่องช้าและทรมาน จนวันหนึ่งมีจดหมายจากวรนครไปถึงตน กล่าวถึงความทุกข์เศร้าระทมข่มไหม้ของเจ้า
จันทร์งาม แม่หญิงผู้ที่เขามอบหัวใจให้หมดทั้งใจ เจ้าราชบุตรหนุ่มจึงไม่อาจทิ้งให้สิ่งเหล่านั้นล่วงเลยไปได้ และในคืนเดือนเพ็ญสิบสองนี้เองที่เจ้าราชบุตรหนุ่มได้นัดแนะกับเจ้าจันทร์งามให้มาพบเจอกัน

อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ทั้งสองจะได้เจอกันก็เป็นได้...เพราะเจ้างามนางมีคู่แพงแล้ว แลอีกไม่เท่าไรทั้งสองจักได้กินแขกกัน

เพลานี้เจ้าแสนเมืองเพิ่งกลับเมืองไป แล้วถ้าเจ้าแสนเมืองกลับมาอีกครั้ง เจ้าจันทร์งามก็คงจะหนีไม่พื้นกับประเพณีกินแขกแต่งงานนางไปสู่เวียงม่านอังวะอันไกลโพ้นนู้น

แล้วเพลานั้น เจ้าน้อยก็จักได้พลัดพรากกับแม่หญิงอันเป็นที่รักตลอดไป...

“เจ้าน้อย...”

เสียงหวานหากแต่สั่นเครือดังขึ้นทางเบื้องหลัง เจ้าราชบุตรแห่งเวียงยาซึ่งบัดนี้อยู่ในชุดผ้าฝ้ายพื้นเมืองสีเนื้ออย่างคนธรรมดาสามัญทั่วไปเหลียวไปตามเสียงนั้นอย่างเรื่องช้า

“เจ้างาม...เจ้าจันทร์งาม”

ร่างในชุดเสื้อปั๊ดสีครามเข้ารูปกับซิ่นทอเกาะลายผัดแว่นสวยงามหากแต่ก็ดูเศร้าเป็นยิ่งนัก แม้กระทั่งกรอบหน้าสวยหวานนั้นซึ่งรับกับผ้าโพกศีรษะสีเนื้อ แม้จะมีปิ่นเงินรูปจ้องปักอยู่ก็ตาม ทว่าเจ้าน้อยกลับดูออกไม่แม้กระทั่งแววตานั่นที่เศร้าเป็นยิ่งนัก

“เจ้าน้องผ่อผอมไปนักขนาดเนอะ”

เจ้าน้อยภูมินทร์เคลื่อนกายเข้าไปหาร่างบางตรงหน้าซึ่งผอมแห้งผิดกับคราแรกที่เห็นกัน

“อ้ายฮู้ก่อว่าน้องรอวันนี้มาเมินขนาด วันที่น้องจะได้ปะกับอ้ายภูมินทร์แห๋มเตื้อนึ้ง”

เจ้านางจันทร์งามเอ่ยเสียงเครือ หยาดน้ำตาหลั่งรินอาบสองแก้ม ขณะเจ้าราชบุตรหนุ่มมองร่างตรงหน้าอย่างสงสารเป็นที่สุดจนอดจะรั้งร่างนั้นเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดไม่ได้

///

ภาพตรงหน้าทำให้ทั้งนางคำแปงและนางมะปิงซึ่งแอบดูอยู่ถึงกับน้ำตาไหลตาม ความรักต้องห้ามทำให้สองหัวใจเจ็บปวดมากขนาดนี้เชียวหรือ

สาส์นที่ส่งถึงเจ้าราชบุตรภูมินทร์คือสาส์นที่นางคำแปงและมะปิงช่วยกันคิด หลังที่ทนเห็นเจ้านางจันทร์งามเอาแต่เก็บตัวและร้องไห้อยู่ในห้องตลอดเวลาไม่ไหว

วันนี้ คืนเดือนเพ็ญสิบสอง นางทั้งสองจึงช่วยเหลือกันให้ทั้งสองได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้ง...

“ข้าเจ้าเอ็นดูเจ้างามขนาดป้าคำแปง” มะปิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้า ความเจ็บปวดของเจ้างามบางครั้งก็แผ่เข้ามาให้นางรู้สึกเศร้าไปด้วยไม่ได้

“ข้าจ้วยเจ้านางได้เต้าอี้เน้อ...บ่ฮู้ว่าวันพูกชีวิตของเจ้านางจะได้เป๋นจะใดแห๋ม ข้าเจ้าขอหื้อคืนนี้เจ้านางของคำแปงมีความสุขจาดนักเน้อ...”

///

เจ้าน้อยภูมินทร์เดินมาหยุดยังริมแม่น้ำน่านอันกว้างใหญ่ สายน้ำไหลเชี่ยวกรากในคืนเดือนเพ็ญ กลางลำน้ำมองเห็นแสงประทีปบนกระทงน้อยใหญ่ลอยตามกระแสน้ำ บางช่วงกระทบแสงจันทร์ซึ่งฉายอยู่ที่ปลายฟ้ากว้าง ดวงจันทร์กลมโตไหวโยกตามกระแสน้ำที่พัดผ่าน ช่างดูหงอยเหงาเป็นยิ่งนัก

แม้อาณาบริเวณโดยรอบจะมีคนหนุ่มคนสาวมาลอยกระทงประทีปกันอยู่ตามริมลำน้ำมิได้ขาด ทว่าทั้งสองร่างซึ่งเดินจูงมือกันมาหยุดยังท่าน้ำนั้นกลับยิ่งเหมือนโดยรอบนั้นเศร้าสร้อยเป็นยิ่งนัก

กระทงซึ่งประดิษฐ์จากใบตอง ประดับด้วยดอกไม้อย่างสวยงาม ตรงกลางมีผางประทีปดวงเล็ก ซึ่งเจ้าน้อยจุดให้ในเวลาต่อมา ทั้งสองมองหน้ากันด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะยกยอกระทงขึ้นอธิฐาน

ตั้งจิตน้อมใจ สั่งดินบอกฟ้า

เอิ้นแม่คงคา รับฟังข้าที

สัญญาฮักเฮา ออกจากวจี

กระทงดอกดี ประทีบนำทาง

ภพหน้าภพไหน ขอปะแต่นาง

อย่าได้เลือนร้าง ข้องหมางจากกัน


กระทงน้อยถูกปล่อยออกจากฝั่งด้วยมือของทั้งเจ้าน้อยภูมินทร์และเจ้าจันทร์งาม ทั้งสองมองหน้ากันสลับกับกระทงซึ่งลอยล่องไปตามกระแสน้ำด้วยรอยยิ้มบาง กระทงซึ่งมีประทีปดวงน้อยคอยส่องสว่างนำทางลอยไปเกาะกลุ่มกับกระทงน้อยใหญ่ซึ่งลอยอยู่กลางลำน้ำ เจ้าภูมินทร์พยุงเจ้าจันทร์งามให้ลุกขึ้นตามตน แล้วชี้ชวนให้นางมองโคมลอยสีส้มซึ่งถูกจุดจากแหล่งชุมชนอีกฝั่งหนึ่งของวัด

“เจ้านาง....นั่นงามก่อ” แม้ความเศร้าจะมีมากในหัวใจ ทว่าเวลานี้เจ้าน้อยพยายามอย่างเป็นที่สุดจะไม่คิดถึงมัน คืนนี้...เวลานี้เป็นเวลาที่เขาและเจ้านางจะมีความสุข เขาและนางจึ่งต้องสร้างความสุขให้มากที่สุด

“ว่าวไฟ โคมลอย งามแต้ๆ เจ้า” เจ้างามเอ่ยเสียงเบาหวิว ดวงตาหม่นเศร้าค่อยมีความสดใสมาได้บ้าง

“เจ้านาง...อ้ายไข๋อยากปล่อยโคมกับเจ้านาง เจ้านางรออยู่ตรงนี้ก่อนเน้อ สักกำเดียวอ้ายจะมา”

เจ้าราชบุตรหนุ่มเอ่ยบอก ก่อนจะเดินจากไปในที่สุด ขณะเจ้าจันทร์งามมองตามร่างนั้นอย่างอาลัย เจ้าน้อยเดินจากนางไปเช่นนี้ ช่างทำให้หัวใจของนางเจ็บปวดเป็นยิ่งนัก

ทว่าไม่นาน เจ้าน้อยภูมินทร์จึ่งกลับมา รอยยิ้มบางจึงคลี่อย่างผ่อนคลาย เจ้าภูมินทร์กลับมาพร้อมกับโคมกระดาษสีขาว ก่อนจะให้เจ้านางช่วยถือพร้อมกับจุดไฟที่ไส้ด้านล่าง หลังไฟลุกไหม้ตรงไส้ของโคมแล้วแรงดันของควันไฟก็ปะทุขึ้นไปยังด้านในของโคม จนเพียงพอกับการจะดันตัวโคมขึ้นไปบนอากาศ เจ้าน้อยและเจ้าจันทร์งามหลับตาอธิฐานร่วมกัน ก่อนจะค่อยๆ ปล่อยโคมลอยให้ลอยขึ้นสู่อากาศในบัดนั้น

“อ้ายขออธิฐานหื้อความฮักของเฮาได้สมกั๋น แม้นว่าจาดนี้จักบ่เป็นจะอั้นจาดหน้าฟ้าใหม่อย่าได้เลือนร้างต่อกัน”

เจ้าน้อยภูมินทร์ เจ้าราชบุตรแห่งเวียงยาเงยหน้ามองโคมลอยซึ่งบัดนี้ลอยสูงขึ้นไปเรื่อยๆ พร้อมกับบอกเจ้านางจันทร์งามถึงคำมั่นสัจจาอธิฐานของตน

“น้องก่าขอหื้อความฮักของเฮาสองคนสมบุญกั๋นทุกจาดทุกภพไป”

เจ้างามยิ้ม ก่อนจะโผเข้าไปในอ้อมกอดของเจ้าราชบุตรหนุ่มทั้งน้ำตา...อกหนานี้ มิรู้ว่าจักอีกนานแค่ไหนนางถึงจะได้มาซุกซบอีก หรืออาจจะไม่มีอีกเลย เพราะรู้การพบเจอกันครั้งนี้ มันอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายระหว่างนางกับเจ้าหนุ่ม

ไม่...มันจะไม่มีอีกแล้ว...

“เจ้านางยอดแก้วของอ้าย” เจ้าน้อยลูบหลังเจ้านางแผ่วเบา แผ่นหลังนี้ เรือนร่างนี้ กลิ่นกายนี้ เจ้าหนุ่มขอสัญญา ตนจะเก็บมันเอาไว้ในความรู้สึกตลอดไป

“อ้ายสัญญา...อ้ายจะบ่มีวันเลือนฮักน้อง อ้ายจะฮักเจ้านางจันทร์งามผู้นี้เพียงผู้เดียว แม้นเจ้านางจะจากอ้ายไปไก๋แสนไก๋ อ้ายจะบ่ขอยอมมีไผแห๋ม เพราะฮู้ หัวใจ๋ของอ้ายมันได้มอบหื้อเจ้างามเพียงคนเดียวไปแล้ว”

“เจ้าน้อย...” เจ้างามเงยหน้าขึ้นมองลูกคางคมสะอาดของเจ้าชายหนุ่ม กรอบหน้านี้ นางสัญญาเช่นนั้น นางจะจดจำมันจนวันตาย จะไม่มีวันลืมเขาได้เลย “แม้นว่าเรือนกายของน้องจะอยู่กับไผ แต่น้องสัญญา หัวใจ๋ของน้องจะอยู่กับเจ้าอ้ายคนที่จื้อ เจ้าน้อยภูมินทร์แต่เพียงผู้เดียวเหมือนกั๋น” เจ้านางครวญด้วยเสียงอันสั่นหวิว

ยังลานวัดห่างไกลออกไป เหล่าชาวบ้านชาวเมืองต่างจุดบอกไฟกันอย่างสนุกสนาน ทั่วทั้งงานยังขับคลอไปด้วยเครื่องดนตรีสะล้อซึ่งฟังดูม่วนงันเป็นยิ่งนัก

ทว่า...เวลานี้ ตรงจุดซึ่งเจ้าน้อยแลเจ้าจันทร์งามยืนอยู่ แม้นจะดูเงียบเหงา หากแต่ทั้งสองกลับรับรู้ซึ่งความรู้สึกสุขใจเป็นยิ่งนัก มันเป็นความสุขซึ่งยากจะหาได้จากที่ไหน มันเป็นความรักที่หนุ่มสาวทั้งหลายจะพึงได้รับ แม้ว่ามันจะเป็นความสุขครั้งสุดท้ายก็ตาม...

“ฟ้าดินจงเป๋นพยาน เกิดจาดหน้าจาดใด ก่ขอหื้อตัวของข้าได้ฮักแลได้ครองคู่กับเจ้าจันทร์งามทุกภพทุกชาติไป”

เจ้างามเงยหน้าขึ้นสบตาเจ้าน้อย...เรียวปากบางคลี่ยิ้มออกกว้างอย่างยินดี แม้นแก้มสากจะมีรอยน้ำตาฉาบคลออยู่เช่นกันก็ตาม

“แค่ฮู้ว่าอ้ายน้อยฮัก...ถึงจะต้องไปไก๋กั๋นแค่ไหน น้องก่ดีใจขนาดแล้วเจ้า...”

เสียงสะอื้นค่อยๆ บางเบาลง ก่อนเจ้าราชบุตรภูมินทร์จะกระชับร่างบางมาแนบแน่น แต่นี้เป็นต้นไป หากแม้นกายสองจักห่าง หัวใจสองดวงจะเกี่ยวรัดมัดแน่นเช่นนี้ตลอดไป

แม้นเส้นทางจะแสนไกล...หัวใจสองดวงจะไม่มีวันห่างไกลกัน...

///

ค่ำคืนแห่งความสุขผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับความเจ็บปวดที่ได้เข้ามาสู่หัวใจทั้งสองดวงอีกครั้ง เจ้าจันทร์งามได้กลับเข้าคุ้มและเก็บตัวเงียบตลอดมา แลไม่ได้ติดต่ออันใดกับเจ้าน้อยภูมินทร์อีก เช่นเดียวกับเจ้าราชบุตรหนุ่มซึ่งได้ดำเนินกลับบ้านกลับเมืองของตนไปในที่สุด

จากวันแปรเปลี่ยนเป็นคืน...จากคืนผันเปลี่ยนเป็นวัน...กาลเวลาดำเนินไปตามครรลอง แล้ววันที่เจ้าจันทร์งามรู้สึกเจ็บปวดมากที่สุดก็เดินทางมาถึงพร้อมกับการมาของเจ้าแสนเมือง

เจ้าอุปราชหอคำแห่งอังวะบูรี แม้ลึกๆ จักสงสารเจ้างามที่ท่านรับรู้ว่านางมีคู่รักอยู่ก่อนแล้ว ทว่าเจ้าหนุ่มกลับเลือกจะทำตามหัวใจของตนเอง

เพราะแรกเห็นศรรักจึ่งปักอก...ความงามของแม่นางจันทร์งามช่างงามเหลือหลาย งามจนเปลี่ยนให้คนผู้หนึ่งเลือกจะเห็นแก่ตัวทำตามหัวใจของตนเอง

ใช่...เจ้าแสนเมืองเลือกเช่นนั้น เขาเลือกจะดำเนินการทุกอย่างตามที่หัวใจของตนปรารถนา

เพียงเวลาการเดินทางมาถึงของเจ้าแสนเมืองไม่กี่เพลา งานกินแขกของเจ้าแสนเมืองแลเจ้านางจันทร์งามจึ่งเกิดขึ้นที่วรนคร วันนั้นเป็นวันที่เจ้าแสนเมืองมีความสุขมากที่สุด ทว่าใครจะรู้ เจ้างามนั้นเจ็บปวดมากแค่ไหน
นางเจ็บปวดเพราะตนต้องกลายเป็นของคนที่นางมิได้รัก...นางต้องตกเป็นของหนุ่มชาวม่านรามัญซึ่งตนรังเกียจเสมอมา

คืนนั้น...เจ้านางต้องทนกล้ำกลืนกับความเจ็บปวดที่ต้องดูแลเจ้าแสนเมือง แม้ว่าเจ้าหนุ่มจะมอบแต่ความทะนุถนอมให้แก่นาง หากอย่างไรแล้วกลับหาความสุขกับนางได้ไม่ มันจะมีแต่ความขมขื่นแลความเจ็บปวดที่กระหน่ำซัดอย่างไม่รู้จักหมดสิ้น

เจ้างามรู้...ระยะเวลาที่นางจักได้อยู่วรนครก็ค่อยๆ หมดไป เพียงไม่กี่เพลา กำหนดการเดินทางสู่อังวะบูรีเริ่มชัดเจนขึ้น อีกครึ่งปักษ์ ขบวนเดินทางก็จักเกิดขึ้นในไม่ช้า

ทั้งค่ำคืนหลังงานกินแขกแต่งงาน เจ้าจันทร์งามต้องนอนน้ำตานองหน้าเสมอมา ความเจ็บปวดมันแล่นทุรนทั่วทั้งแผ่นอก แม้นสิ่งที่ได้รับมอบจะมีทุกสิ่งที่ครบพร้อมเช่นเดิม หากเจ้านางกลับคิดว่ามันจะไม่มีอีกแล้ว

ไม่...มันจบลงตั้งแต่วันที่นางได้พบเจอกับเจ้าน้อยครั้งสุดท้ายแล้ว

ความสุขแห่งนางมันได้หมดลงพร้อมๆ กับแสงอรุณวันรุ่งขึ้นฉายฉาน ความสุขที่นางได้มีต่อเจ้าน้อยชาตินี้มันจะมิมีอีกต่อไป...

///

ภาพความเจ็บปวด ทั้งภาพน้ำตาของเจ้าจันทร์งามปรากฏชัดให้ภูริตได้เห็นอย่างชัดเจน มันชัดคล้ายดั่งว่าเขาได้ไปยืนอยู่ใกล้ๆ กับนางกระนั้น

อยากจะเข้าไปโอบกอดและปลอบประโลม ทว่าทุกสิ่งทุกอย่างกลับไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะเมื่อเขาจะเข้าไปหานาง กลับพบว่ายังมีกำแพงแก้วคอยกั้นระหว่างเขาเอาไว้อีกทีหนึ่ง มันกั้นพร้อมๆ กับค่อยๆ ขยายดันร่างของเขาให้ห่างออกไป

ห่างไกลออกไปจนน่าใจหายเป็นที่สุด...

แล้วภาพโดยรอบจึงเริ่มหมุนวนอีกครั้ง เช่นเดียวกับภาพของเจ้าจันทร์งามที่ซึ่งค่อยๆ เบลอ มีกลุ่มหมอกควันเข้ามาแทนที่แล้วจู่ๆ ภาพนั้นก็หายวับไปกับตา

นานแค่ไหนไม่ได้รู้ได้...ชายหนุ่มจึงได้รู้สึกตัวอีกครั้ง คราวนี้ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้ากลับเปลี่ยนไป กลับกลายเป็นสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเขาคุ้นเคยดี

จำได้ว่าภาพเหตุการณ์นี้ เป็นครั้งแรกที่เขามายังวัดแห่งนี้

วัดเชียงหมิ่น...

ชายหนุ่มได้เดินไปยังด้านข้างของกองอิฐซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นองค์เจดีย์ สายลมพัดเอื่อยเฉื่อย เชื่องช้า กลิ่นหอมของหมู่มวลไม้ดอกตลบอบอวล พร้อมกันนั้นเสียงบรรเลงของเครื่องสายชนิดหนึ่งก็ดังขึ้นอย่างเชื่องช้า อ้อยสร้อย

ชายหนุ่มรู้สึกขนลุกซู่ เมื่อภาพตรงหน้าช่างชัดเจนเหลือเกิน...เขาได้เจอกับนางผู้นั้นอีกครั้งแล้ว

ใช่...แม่หญิงนางนั้น เจ้าจันทร์งาม

เจ้านางน้อยนั่งนิ่งบนแท่นหินแท่งหนึ่งด้วยแววตาหม่นเศร้า ในมือคือซึง เครื่องดนตรีซึ่งบัดนี้เจ้านางกำลังบรรเลงมันขึ้นอย่างเชื่องช้า ตามห้วงทำนองอันเศร้าสร้อยเป็นยิ่งนัก

ภูริตได้ฟังแล้ว ก็ยิ่งรู้สึกเศร้าจับใจ เจ็บปวด ปานว่าเสียงดนตรีเหล่านั้นจะบาดลึกจนถึงขั้วหัวใจ

“เจ้างาม...”

เสียงหนึ่งดังขึ้นทางด้านหลัง ภูริตหันไปมองตามคำสั่งของร่างกาย ก่อนจะรู้สึกร่างกายเย็นเยือกอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับภาพนั้นซึ่งชัดเจน...ชัดจนเขาก็ไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เห็น

ชายผู้นั้น...ชายผู้มีใบหน้าเหมือนอย่างกับเขาราวกับแกะมาจากพิมพ์เดียวกัน กำลังยืนอยู่ไม่ไกลจากที่เขายืนอยู่มากนัก ร่างนั้นอยู่ในชุดผ้าฝ้ายสีเนื้อไข่ เช่นเดียวกับกางเกงผ้าทอ บนศีรษะโพกด้วยผ้าฝ้ายสีเดียวกัน เขาแน่ใจชุดนี้มันเป็นชุดเดียวกับที่เขาเห็นเจ้าน้อยภูมินทร์หากเลือนรางในวันลอยประทีปคืนนั้น

“เจ้าน้อย...อ้ายภูมินทร์”

เจ้าจันทร์งามวางเครื่องสายลงบนแท่งหิน ก่อนจะหยัดกายลุกขึ้นทั้งน้ำตาที่นองหน้า ก่อนจะวิ่งตรงเข้าไปหาเจ้าน้อยผ่านร่างที่เหมือนจะโปร่งใสของภูริตไป แล้วไปหาร่างนั้นซึ่งยื่นมือมากุมมือบางเอาไว้

“ลาก่อนเน้อเจ้าอ้าย...ลาก่อน”

“ลา...เจ้านางกำลังจะไปแต้ๆ กา”

“เจ้า เจ้าแสนเมืองเปิ้นกำลังจะพาน้องไปแล้ว”

“ขอหื้อน้องโชคดีเน้อ...เดินทางปลอดภัย มีโจกมีไจยเน้อ” เจ้าราชบุตรหนุ่มเอ่ยเสียงเบาหวิว รู้สึกเจ็บปวดไปทั่วร่างกายแล้วคราวนี้

“เจ้าอ้าย”

เจ้างามน้ำตาไหลริน ก่อนจะโผเข้าไปหาอ้อมกอดของเจ้าราชบุตรหนุ่ม ทว่าเจ้าน้อยภูมินทร์กลับขืนเอาไว้พร้อมกับบอกด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน

“บ่ดีเยี๊ยะจะอั้นเน้อ...ลืมไปแล้วกาว่าน้องบ่ไจ้ตั๋วคนเดียวแล้ว” แม้ต้องขมขื่นหากเจ้าน้อยกลับพยายามหักห้ามให้ได้ในที่สุด

“เจ้าอ้าย...มันจะเป๋นเหมือนเดิมบ่ได้แล้วไจ้ก่อ” เจ้านางครวญเสียงเบาหวิว รู้สึกเจ็บปวดไปทั้งหัวอก

“ถึงจะเป๋นบ่ได้ แต่น้องจงฮู้เอาไว้ว่า หัวใจ๋ของอ้ายจะเป๋นแบบนี้ตลอดไป อ้ายจะฮักเจ้างามแบบนี้ อ้ายสัญญาว่าอ้ายจะบ่มีวันหมดฮักน้อง...เจ้างาม น้องจะต้องเข้าใจ๋ บัดนี้น้องบ่ไจ้ตัวคนเดียวแห๋มต่อไป น้องจะต้องผ่อดูแลเจ้าแสนเมืองเปิ้น ตี้ออกมาปะอ้ายนี้ ถือว่ามันผิดหนักหนา อ้ายว่าน้องปิ๊กไปเต๊อะ”

“ปิ๊ก...ทั้งๆ ที่อ้ายอาจจะบ่ได้ปะน้องแห๋มกา”

เจ้านางส่ายหน้าทั้งน้ำตา เส้นผมสลวยปลิวว่อน ขณะเจ้าราชบุตรหนุ่มยกนิ้วขึ้นเกลี่ยไล้แก้มนวลเพื่อไล่น้ำตาให้ออกจากใบหน้า ก่อนจะก้มลงมองดวงตาคู่สวยนั้น

“น้องลืมสัญญาที่เฮาเกยอู้กั๋นแล้วกา แม้นว่าตั๋วของน้องจะอยู่ไก๋แสนไก๋ แต่หัวใจ๋ของเฮาจะอยู่ตวยกั๋นกู่วันกู่คืน”

“เจ้า...น้องเข้าใจ๋ละ...น้องเข้าใจ๋แล้วเจ้า”

“เจ้านาง...บ่มีสิ่งไหนห้ามโชคชะตาของเฮาได้ดอก...พอเต๊อะ ยิ่งได้ปะกั๋น เฮาสองคนก่ยิ่งเจ็บปวด อ้ายเจื้อว่าสักวันน้องจะต้องลืมอ้ายได้ ขอหื้อน้องมีความสุขกับเจ้าแสนเมืองเน้อ”

“ข้าเจ้าบ่มีวันมีความสุขกับหมู่ม่านดอก”

“บ่ดีอู้จะอั้น เจ้าแสนเมืองเปิ้นได้ยินเปิ้นจะเสียใจ เจ้าเปิ้นบ่ได้เลวร้ายอะหยัง เปิ้นเป็นคนดี อ้ายเจื้อว่าเปิ้นจะดูแลเจ้านางแทนอ้ายได้”

“อ้ายภูมินทร์...”

ไม่มีคำพูดอะไรดังต่อจากนั้นอีก ภูริตมองเห็นภาพของทั้งสองก็ยิ่งปวดใจ จนเผลอปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว เขาเห็นเจ้าน้อยภูมินทร์ดึงไหล่มนของเจ้านางให้ออกห่างอีกอย่างตัดใจ ก่อนจะพูดคำสุดท้ายออกมา

“น้องปิ๊กไปเต๊อะ ปิ๊กไปได้ละ มีไผมาหันเข้ามันจะบ่ดีเน้อ วันพูกแล้วกา ที่น้องจะเดินทางไปเวียงม่านอังวะ”

“เจ้า...” เจ้านางเงยหน้าขึ้นมองชายคนรัก ปานว่าจะขอบันทึกและจดจำภาพใบหน้านี้ให้อยู่ในความทรงจำตลอดไป ก่อนจะพูด “ลาก่อนเน้ออ้าย...ลาก่อนเน้อเจ้า จาดหน้าขอหื้อเฮาได้ฮักกั๋น ได้พบปะกั๋น ขออย่าหื้อได้พรากจากกั๋นตลอดไป ข้าเจ้าจะผาทะนาหื้อพระธาตุเจ้าแห่งนี้ปกปักฮักษาเจ้าอ้ายหื้ออยู่รอดปลอดภัย ข้าเจ้าสัญญาว่าจะจดจำใบหน้าของเจ้าอ้ายตลอดไป ลาก่อน...”

“อ้ายก็เหมือนกั๋น อ้ายสัญญาว่าจะจดจำใบหน้านี้ตลอดไป เจ้าจันทร์งาม เจ้ายอดแก่นฟ้าของอ้าย”

พูดจบเจ้าน้อยจึงเดินถอยหลัง หากดวงตาก็ยังไม่วางจะมองกรอบหน้าสวยของเจ้างาม สัญญาแห่งความรักมั่นแม้ว่าจะไม่สมหวัง หากชาติหน้าฉันใด ขออย่าได้พลัดพรากจากกันอย่างนี้อีก

หลังจากที่ถอยหลังมาไกลแล้ว เจ้าน้อยภูมินทร์จึงตัดใจแล้ววิ่งออกไปในทันที กลัวเหลือเกิน การที่ตนต้องหันหน้ากลับไปมอง จะยิ่งทำให้ตนเจ็บปวดเหลือคณนา เจ็บแค่นี้ มันคงจะเพียงพอแล้ว

เช่นเดียวกับสิ่งที่ภูริตเห็น ร่างของเจ้านางจันทร์งามเกือบจะถลาวิ่งตามร่างนั้นไป ทว่าก็สามารถหยุดยั้งความคิดเหล่านั้นลงไปได้ ก่อนจะยืนสะอื้นอยู่ตรงนั้น

“ลาก่อนเน้อเจ้าอ้าย...ลาก่อนเจ้า”

ความรู้สึกที่เจ็บปวดอันมากล้นกระทบสู่กลางหัวใจของภูริต ภาพที่เห็นช่างเด่นชัดเหลือเกิน หากความรู้สึกสงสารกลับมีมากกว่า เขาอยากจะโผเข้าไปโอบกอดร่างนั้นเอาไว้แล้วปลอบประโลม ทว่าพยายามเท่าไรแล้ว ตนก็ไม่อาจที่จะกระทำได้ดั่งใจหวังได้ เสมือนว่าเขาและนางผู้นี้อยู่กันคนละมิติ เพียงแต่ว่าสิ่งที่ทำให้เห็นกันได้นั้นอาจจะมาจากอำนาจของสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งดลบันดาลให้เป็นไปเท่านั้น

แม้อยู่ใกล้ อยากจะโอบกอดก็ไม่อาจทำได้


แม้อยู่ใกล้ อยากจะปลอบประโลมให้หายโศกเศร้า ก็ไม่อาจที่จะทำได้เช่นเดียวกัน

ทำไมฟ้าถึงได้โหดร้ายเช่นนี้นะ.



พายุ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 พ.ค. 2555, 20:37:43 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 พ.ค. 2555, 20:37:43 น.

จำนวนการเข้าชม : 1632





<< ตอนที่ ๑๐ ฝืนใจ   ตอนที่ ๑๒ จำจา่กนิราศไกล >>
Edelweiss 12 พ.ค. 2555, 08:36:56 น.
เศร้าจนคนอ่านก็จะร้องตาม


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account