รอยรักเหมันต์
...เพราะสายลมหนาวหรือเพราะมนต์เสน่ห์แห่งทุ่งดอกไม้ จึงนำพาให้สองหัวใจมาพบกัน
เมื่อเขาคือนักธุรกิจหนุ่มรูปหล่อกับเธอเจ้าของสวนดอกไม้สาวผู้พราวเสน่ห์...
เพียงแรกพบสบตา เขาและเธอก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าใช่เลย
จอมทัพจะสามารถนำดอกไม้งามดอกนี้
เมื่อเขาคือนักธุรกิจหนุ่มรูปหล่อกับเธอเจ้าของสวนดอกไม้สาวผู้พราวเสน่ห์...
เพียงแรกพบสบตา เขาและเธอก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าใช่เลย
จอมทัพจะสามารถนำดอกไม้งามดอกนี้
Tags: ฤดูหนาว
ตอน: ตอน ๑๙ เดินป่่า...สารภาพรัก กิ้ววววว
ตอนที่ ๑๙
สายหมอกลอยกรุ่น เป็นม่านสีขาวสะอาดลอยคว้างอยู่เหนือทิวไม้และประดับทิวเขาที่ห่างไกลออกไป มวลอากาศเย็นแผ่ปกคลุมไปทั่วทุกตารางนิ้วของบริเวณผืนป่าแห่งนั้น ขณะที่แสงอาทิตย์ใช้ความพยายามส่องแสงลอดผ่านม่านหมอกหนาออกมา
กระแสน้ำที่ไหลลงสู่ที่ต่ำ ยังคงไหลไปตามกระแสของมัน เสียงน้ำกระทบโขดหินดังอยู่เป็นระยะ ไอหมอกลอยกรุ่นอยู่เหนือผิวน้ำ ที่หาดแห่งหนึ่งร่างสองร่างของทั้งจอมทัพและเมยาวีถูกกระแสน้ำพัดมาเกยอยู่ตรงนั้น ก่อนอากาศเย็นจะทำให้ร่างที่นอนอยู่ขยับกายและได้สติในเวลาต่อมา
ความหนาวเหน็บเกาะกุมตั้งแต่หัวใจและแผ่กระจายออกมายังด้านนอกของร่างกาย ร่างหนาสั่นสะท้านจนต้องขยับตัว เพื่อจะให้คลายความหนาว เสียงน้ำไหลเริ่มเข้ามาอยู่ในหูที่เริ่มมีสติ แล้วดวงตาคู่คมก็ค่อยๆ เปิดขึ้นทีละนิด
จอมทัพทอดถอนใจ ในยามที่สติกลับมามีอีกครั้งหนึ่ง พรางรำลึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านพ้นไปเมื่อคืน ในครั้งนั้นเขากำลังกระโดดหน้าผาโดยมีร่างของเมยาวีอยู่ในอ้อมกอด โชคยังดีที่ตนเองยังไม่ตาย
เมยาวี...ใช่ เธอกระโดดลงมาพร้อมกับเขาด้วย
พอคิดได้ดังนั้นชายหนุ่มก็ดีดตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้จะปวดเมื่อยไปทั่วร่างกาย แต่เขาก็พยายามข่มใจตนเองและกราดสายตามองหาร่างบาง
“คุณเหมย...” เขาเรียกชื่อเธอในยามที่สายตาเลื่อนไปกระทบกับร่างบางเจ้าที่ซบอยู่บนก้อนหินไม่ห่างจากตนนัก “คุณเหมยครับ คุณเหมย”
จอมทัพรีบถลาร่างเข้าไปหาเมยาวีพร้อมกับช้อนร่างบางให้มาอยู่ในวงแขนของเอง ก่อนจะพาเธอขึ้นมาให้พ้นน้ำ วางร่างนั้นลงบนพื้นและเขย่าเรียกเธอ
ทว่าความพยายามของชายหนุ่มกลับไม่เป็นผลสักเท่าไร ยิ่งนานการตอบสนองจากร่างบางยังไม่ดีพอ จะมีแต่อาการสั่นและลมหายใจเท่านั้นที่บอกให้เขารู้ว่าเธอยังไม่ตายแต่ลมหายใจก็แผ่วเบาเต็มที
“คุณเหมย...ฟื้นสิครับ คุณเหมย”
เห็นอาการของเธอน่าเป็นห่วงยิ่งนัก เขาก็ยิ่งใจเสีย หากว่าเมยาวีเป็นอะไรไป ตนจะทำอะไร ยิ่งคิดหัวใจก็ยิ่งวาบหวิว ไม่ได้...ในเมื่อเขาไม่เป็นอะไร เธอก็ต้องไม่เป็นอะไร เขาจะขาดเธอไม่ได้เพราะบัดนี้ตนเริ่มจะแน่ใจแล้วว่าเขารักเธอ รักมากจนสุดหัวใจ หากความตายมาพรากเธอไปเขาก็จะไม่ขอมีชีวิตเช่นกัน
แต่เมื่อคิดได้ว่า สิ่งที่เขาคิดอาจจะไม่เป็นเช่นนั้น เพราะอย่างไรแล้วเธอก็ยังมีลมหายใจอยู่สติเริ่มกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว ก่อนจะเอื้อมมือไปถอดเสื้อของเธอออกเพราะกลัวว่าเธอจะปอดบวมไปเสียก่อนเพราะนอกจากเสื้อผ้าที่เปียกชื้นแล้ว
อากาศหนาวยังทำร้ายกันได้อีก
มืออันสั่นเทาคอยๆ ปลดกระดุมออกจากรังดุม หัวใจหนุ่มเต้นรัวไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น ในยามที่เกิดภาวะฉุกเฉินเช่นนี้ตนไม่น่าจะมีความรู้สึกแบบนั้นได้ ในที่สุดชายหนุ่มก็สามารถถอดเสื้อตัวนั้นออกได้
ยังดีที่มีบราสีขาวห่อหุ้มบัวคู่งามอยู่ หากมันก็หมิ่นเหม่เต็มทีอีกเช่นกัน เพราะเมยาวีเป็นคนที่มีร่างกายสมส่วน แม้จะเป็นร่างกายที่ยั่วอารมณ์ให้ผู้พบเห็นตื่นเพริด ทว่าสำหรับเขาในเวลานี้คงไม่มีอารมณ์มามองเธอด้วยสายตาลามเลียเพราะยังมีภารกิจช่วยเหลือชีวิตของเธอรออยู่ตรงหน้า
ตั้งปณิธานไว้แล้วว่าจะไม่ให้เธอเป็นอะไร หลังเสื้อผืนนั้นหลุดออกจากร่างบางแล้ว จอมทัพก็เอามันมาบิดเพื่อไล่น้ำให้ออกไป ก่อนจะหันมาทางเธออีกครั้ง เมื่อคิดอะไรไม่ออกจริงๆ ก็ทำแค่โอบกอดร่างของเธออย่างน้อยไออุ่นจากกายของเขาอาจจะช่วยเหลือเธอได้บ้าง
เวลาผ่านไปเกือบสิบห้านาที ร่างที่สั่นระริกนั้นก็เริ่มอบอุ่นขึ้น เขาจึงตัดสินใจเอาเสื้อผืนนั้นมาใส่ให้เธออีกครั้ง หัวใจหนุ่มที่เต้นรัวเริ่มลดอาการสั่นไหวลง แสงอาทิตย์ได้ผ่านพ้นออกมาจากกลุ่มสายหมอกหนาแล้ว มีช่องตรงหนึ่งที่พอจะทำให้ร่างกายทั้งของเขาและเธออบอุ่นขึ้นได้ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจอุ้มเธอไปตรงนั้นในทันที
ภายในใจก็ภาวนาขอให้เธอฟื้นให้เร็วที่สุดเพราะจากที่ดูแล้วบริเวณโดยรอบน่าจะเป็นในป่าที่ไหนสักแห่งหนึ่ง เขาและเธอจะได้พากันออกไปจากที่แห่งนี้สักที
นานพอสมควรที่ชายหนุ่มประคองร่างบางให้ตากแสงอาทิตย์อยู่เช่นนั้นและก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้จ้องมองกรอบหน้าสวยหวานนั้นได้ถนัด ยอมรับเลยว่าเธอเป็นคนสวยที่สุดคนหนึ่ง ขนาดนางเอกระดับประเทศหลายคนยังคิดว่าต้องพ่ายแพ้ให้กับเธอ เขาเคยได้ยินมาว่าคนเหนือสวยและขาว วันนี้จึงประจักษ์ชัดแจ้ง เมยาวีน่าจะเป็นคนเหนือโดยแท้และเธอน่าจะมีเชื้อสายของชาวไทลื้อมาอีกด้วย นอกจากใบหน้าจะสวยหวานแล้ว โครงหน้าของเธอกลมมน เข้ารูปกับจมูกนิดๆ ปากอีกหน่อย แม้จะขาวแต่ก็ไม่ซีดจนเกินไปเพราะอย่างน้อยบัดนี้มีรอยเลือดฝาดสีแดงปรากฏขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ริ้วเลือดเริ่มแล่นไปทั่วทั้งโครงหน้าเมื่อเธอเริ่มจะรู้สึกตัวขึ้นแล้ว
“คุณเหมย...” เขาเรียกเธอด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน เมื่อดวงตาคู่สวยเริ่มกะพริบและก็เปิดขึ้นในที่สุด “คุณฟื้นแล้ว คุณเหมย...”
“คุณจอม...” เรียวปากสวยเผยอขึ้น หลังจากปรับโฟกัสการมองเห็น เห็นหน้าของชายหนุ่มอย่างชัดเจนเพราะเวลานี้ ศีรษะของเธอกำลังหนุนอยู่บนตักของเขาอยู่
จอมทัพยิ้มอ่อนโยน เขามองนิ่งที่กรอบหน้าสวยไม่วาง รู้สึกโล่งใจที่เธอไม่เป็นอะไรอย่างที่นึกกลัว แม้จะดูระโหยบ้าง แต่เขาก็แน่ใจอีกไม่ช้าเมยาวีก็ต้องลุกมาเดินได้อีกเหมือนเดิม
“นี่เหมยยัง...ไม่ตายใช่ไหมคะ”
“ครับ คุณเหมยยังไม่ได้ตาย เราสองคนรอดแล้วครับ”
เขาบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนก่อนจะค่อยๆ พยุงเธอให้ลุกขึ้นมานั่งอีกครั้ง เมยาวียกมือขึ้นกุมที่หัวของตนเอง เมื่อรู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“เหมยปวดหัวค่ะ โอ้ย...”
“ค่อยๆ สูดหายใจเข้าออกช้าๆ ครับ ค่อยๆ ทำตามผมนะครับ”
จอมทัพเข้าใจเพราะมันเป็นเช่นเดียวกับตอนที่เขารู้สึกตัวในตอนแรก สมองอาจจะขาดออกซิเจนปฏิกิริยาหลังการฟื้น มันอาจจะไม่เป็นเหมือนกันทุกคน แต่สำหรับรายของเมยาวีและเขาแล้วเมื่อหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ แล้ว ในเวลาต่อมาจึงดีขึ้น
เมื่ออาการเริ่มทุเลา หญิงสาวจึงได้มีสติที่จะเลื่อนสายตามองไปโดยรอบด้วยความสงสัย ว่าบัดนี้เธอและเขาอยู่ที่ไหนกันแน่
ทว่าคำตอบที่ได้กลับไม่มีเอาเสียเลย เพราะโดยรอบมีแต่ต้นไม้และลำธารสายขนาดย่อมซึ่งไหลผ่านตรงหน้าไปเท่านั้น
“เราอยู่ที่ไหนกันคะ คุณจอม”
“ไม่รู้เหมือนกันครับ นอกจากจะโชคดีที่รอดตายมาได้แล้ว เรายังโชคดีที่จะหลงป่าอีกนะครับ”
เขาพูดติดตลก ไม่อยากจะให้เธอเครียดเพราะต้องมาหลงป่า ขณะเมยาวีได้แค่ยิ้มเพราะเธอก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะไปทำไมกับการที่ตนต้องมาหลงป่าแบบนี้
“คุณเหมยพอจะลุกไหวไหมครับ” เขาถามเธอเสียงนุ่ม ก่อนจะขยับตัวและพยุงตัวเองให้ลุกขึ้น โดยมีเมยาวีค่อยๆ ยักแย้ยักยันขึ้นตาม
“เจ็บที่ข้อเท้านิดหน่อยค่ะ”
หลังยืนได้แล้ว เธอจึงบอกก่อนจะต้องโผเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของเขาอีกครั้งเพราะเสียหลักและยืนไม่ถนัด จอมทัพพยุงเธอเอาไว้และก้มลงมองตรงที่ข้อเท้าของหญิงสาวซึ่งบัดนี้แดงจนน่ากลัวว่าจะอักเสบแล้ว
“ผมว่าคุณเหมยเดินไม่ไหวแน่เลยครับ มาขึ้นหลังของผมดีกว่านะ”
ชายหนุ่มหันหลังให้กับเธอ โดยมีเมยาวีค่อยๆ พยายามให้ตัวเองขึ้นไปอยู่บนหลังของเขา สองแขนเรียวคล้องที่หัวไหล่กว้าง ก่อนจอมทัพจะยกร่างของเธอขึ้นพร้อมกับมือโอบที่สะโพกกลมมนเอาไว้เพื่อกันไม่ให้เธอตก
“จะไหวหรือคะ คุณจอม” เธอถามเขาด้วยความเกรงใจ แม้จะขัดเพียงไรแต่ดูท่าจอมทัพจะไม่ยอมให้เธอเดินเองด้วยซ้ำ
เธอรู้ว่าเขาเป็นห่วงเธอ แต่เธอก็ทั้งเกรงใจและเห็นใจเขา ก็เพราะรู้เหมือนกันว่าเขาก็คงจะเพลียเช่นกัน
“ไหวสิครับ คุณเหมยตัวเบาจะตายไป” เจ้าหนุ่มฉีกยิ้มพร้อมกับกระชับร่างบางอีกครั้งและก้าวไปข้างหน้า
“แล้วคุณจอมรู้หรือคะว่าจะไปทางไหน”
“ตามทฤษฏีลูกเสือที่ผมเคยเรียนมา เขาบอกว่าให้เดินไปตามทางน้ำที่ไหลไปเพราะอีกไม่นานจะเจอกับบ้านคน”
“แน่ใจหรือคะว่ามันจะไม่ผิดไปตามนั้น”
เมยาวีหัวเราะคิก ทฤษฏีที่เขาพูดน่ะก็มีส่วนถูกอยู่มากแต่สำหรับพื้นที่นี้อาจจะผิดไปเพราะแถวบ้านของเธอเป็นพื้นที่ป่าและเขา เกิดเดินไปแล้วยิ่งหลงจะเป็นอย่างไรล่ะ
“ถ้าหากไม่เป็นอย่างที่คิด เราก็ต้องหลงป่า ไปนั่งกินข้าวลิงกันล่ะครับ”
“คุณจอมนี่ พูดตลกอยู่เรื่อยเลยนะคะ”
“ก็ผมไม่อยากจะให้เราเครียดอย่างไรล่ะ เมื่อเจอปัญหาเราก็ควรที่จะใช้สติแก้ไข ไม่ใช่ร้องไห้ฟูมฟายไปให้เสียเวลา บนโลกธุรกิจมันสอนอะไรผมเอาไว้เยอะครับ เคยคิดเหมือนกันนะว่าถ้าตนเองต้องมาหลงป่าจะทำอย่างไร ในตอนนี้ก็เพิ่งประจักษ์น่ะแหละครับ มันเป็นแบบนี้เอง”
“จริงด้วยสิคะ เหมยก็เพิ่งนึกขึ้นได้ เราร้องโวยวายไปก็ไร้ประโยชน์ ดีกว่าเอาเวลาอย่างนั้นมาคิดแก้ปัญหาจะดีที่สุด”
หญิงสาวเห็นด้วยทว่าก็ยังทอดถอนใจอยู่เช่นเดิม เพราะจากที่ดูๆ แล้ว ภูมิประเทศในแถบนี้ เธอไม่คุ้นหูคุ้นตาเอาเสียเลย ยิ่งเดินก็เหมือนจะมีแต่ความอุดมสมบูรณ์ แถมยังมีพวกผีเสื้อให้เธอได้มองพวกมันอย่างชื่นชมอีก
เสียงน้ำไหลกระทบก้อนหินยังคงดังมาให้ได้ยินอยู่เป็นระยะ มีหลายครั้งอยู่เหมือนกันที่จอมทัพเดินลัดเลาะห่างลำธารไป แต่กระนั้นก็ยังคงไม่ทิ้งลำธารสายนั้นไป เขายังหวังอยู่ลึกๆ ว่าสุดสายลำธารสายนี้จะมีบ้านคนพอที่จะขอความช่วยเหลือรออยู่ข้างหน้า
เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง หากวี่แววบ้านคนกลับไม่มีเอาเสียเลย ความหิวก็เริ่มที่จะเข้าจู่โจม จอมทัพจึงเลือกที่จะหยุดพักที่ริมลำธารสายนั้นนั่นเอง
“เหมยขอโทษคุณจอมนะคะที่มาให้คุณเป็นภาระแบบนี้”
เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ติดจะเกรงใจสุดๆ เมื่อเห็นกรอบหน้าหล่อคมของเขาเข้มขึ้นด้วยความเหนื่อย ลำพังเดินคนเดียวก็จะแย่แล้ว นี่ยังจะมาแบกเธออีก หากชายหนุ่มกลับยิ้มอ่อนโยนส่งให้กับเธอ
“คุณเหมยครับ”
เขาเอื้อมกุมมือบาง ส่งมอบความอบอุ่นผ่านมือที่กุมเธอเอาไว้แน่น ส่วนสายตาก็มองกรอบหน้าสวยและจ้องลึกเข้าไปยังดวงตาคู่สวย เพื่อจะให้เธอรับรู้ว่าในสิ่งที่เขากำลังจะพูดต่อไปนี้ จะเป็นความจริงที่มาจากหัวใจของเขา
“พรหมลิขิตได้พาให้เรามาพบกันได้ คุณกับผมแม้ว่าจะไม่เคยพบเจอกันมาก่อน แต่เมื่อได้มารู้จักกันแล้ว ผมก็คิดว่า สิ่งนั้นทางเบื้องบนได้กำหนดให้เป็นไป ผมดีใจนะครับที่ได้มารู้จักกับคุณแม้เราจะรู้จักกันได้ไม่นานก็เถอะ แต่มันก็มีบางสิ่งบางอย่างให้ผมรู้สึกดีกับคุณและเมื่อใดแล้วที่หัวใจของคนๆ หนึ่งรู้สึกดีกับคนนั้นแล้วแม้จะต้องลำบากมากเพียงไร มันก็ไม่ถือว่าเป็นภาระหรอกครับ”
“คุณจอม...”
เมยาวีถึงกับพูดไม่ออก หัวใจสาวเต้นรัวเมื่อประโยคที่ดังออกมาจากปากของเขา มันเต็มไปด้วยความหนักแน่นและจริงใจ เธอเชื่อสิ่งที่เขาพูดมันคือความจริง
“และยิ่งในเวลานี้ด้วยแล้ว ผมก็ยิ่งแน่ใจ หัวใจของผมที่มันไม่เคยมีใคร บัดนี้มันได้มีคุณมาอยู่ในนี้หมดแล้วล่ะครับ”
เขาชี้นิ้วลงตรงตำแหน่งของหัวใจของตนเอง แม้ระยะเวลาที่รู้จักกันมันจะไม่นานแต่สิ่งที่ยืนยันคือหัวใจและแววตาที่แสดงออกมา แค่ในวันแรกเท่านั้นที่ได้พบเจอกับเธอ หรือไม่แม้กระทั่งการได้สนทนาสบสายตาคู่สวยคู่นั้น มันเหมือนเป็นประตูที่ดำเนินก้าวสู่หัวใจ เมื่อหลายวันก่อนเขายังไม่แน่ใจหรอก ตราบจนเมื่อคืนเขาก็พึ่งจะรู้ว่า แท้จริงแล้วตนรู้สึกอย่างไรกับเมยาวี
เขาเป็นห่วงเธอ เขายอมรับว่าตนขาดเธอไม่ได้จริงๆ และสิ่งนี้กระมังที่ทำให้แน่ใจว่าเขารักเธอ
“เหมยก็ดีใจค่ะ ที่ได้รู้จักกับคุณ”
พูดจบ เมยาวีก็โผเข้าไปอยู่ในวงแขนของจอมทัพด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุข แม้สิ่งที่ชายหนุ่มพูดออกมานั้นจะยังไม่แน่ชัดว่าเป็นความรัก แต่สำหรับเธอแล้ว บัดนี้เธอเริ่มจะแน่ใจแล้วล่ะ ความรู้สึกของหัวใจมันบอกกันตรงๆ ได้เสียที่ไหน นอกจากการกระทำเท่านั้นที่จะเป็นสิ่งยืนยัน บัดนี้เขาก็ได้พิสูจน์ให้เธอเห็นแล้วล่ะว่า จอมรู้สึกเช่นไรกับเธอ ยิ่งนานเมยาวีก็ยิ่งแน่ใจ จอมทัพเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เธอก็ขาดไม่ได้เหมือนกัน
อากาศแม้จะหนาวเหน็บมากเพียงไร แม้ว่าความเงียบจะมีอิทธิพลเยอะขนาดไหน แต่ในเวลานี้ มันไม่อาจที่จะทำลายความรู้สึกของทั้งสองที่มีต่อกันได้ ความอบอุ่นแผ่กระจายให้แก่กันและกัน จะมีเพียงเสียงหัวใจที่เต้นแรงเท่านั้นจะบ่งบอกถึงความรู้สึกของกันและกันได้เป็นอย่างดี
////
หลังจากที่วัสนางค์มาถึงบ้านสวนของตนเอง เธอก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ ก่อนจะออกมากับรักษ์ราช เมื่อเธอเปลี่ยนใจที่จะไม่พักและขอให้เขาพาเธอไปส่งที่โรงพยาบาล เพื่อจะดูอาการของชัยซึ่งหนักหนากว่าใคร
มาถึงโรงพยาบาล ทั้งสองหนุ่มสาวก็เข้าไปในห้อง เห็นปุณชิกายังหลับ โดยมีร่างของชัยนอนนิ่งอยู่บนเตียง วัสนางค์ถึงกับส่ายหน้าตนเองด้วยความสงสารต่อหนุ่มรุ่นน้องไม่ได้ ชัยถูกยิงถึงสองที่และแต่ละที่ก็ไม่ใช่เล่นๆ แถมยังทำให้เขาเสียเลือดไปจนเกือบหมดตัว แต่กระนั้นก็ยังดีที่เลือดของปุณชิกาอยู่ในกรุ๊ปเดียวกับเขา แม้ว่าจะถูกปฏิเสธ หากแต่หญิงสาวก็ยังยืนยันที่จะให้เลือดเขา ไม่รู้ว่าโชคช่วยหรืออะไรก็แล้วแต่ ที่ผลอาการออกมาของชัยอยู่ในขั้นที่ดีพอสมควร เพียงแต่ว่าในตอนนี้เขายังไม่ฟื้นเท่านั้น
ทางฝ่ายของปุณชิกา หลังการให้เลือด เธอก็ไม่ได้นอนพัก หญิงสาวเอาแต่มานั่งเฝ้าชายหนุ่มด้วยความเป็นห่วง ไม่รู้ว่าบัดนี้หัวใจของตนจะเปลี่ยนไปอย่างไร แต่เธอแน่ใจ บัดนี้เธออยากจะให้ชัยตื่นขึ้นมา เพื่อจะให้เขาได้พูดคุยกับเธออย่างที่ผ่านมา
เห็นว่าทั้งสองคนหลับ วัสนางค์จึงหันมาทางรักษ์ราชและชวนเขาออกไปข้างนอก ทว่าในเวลานั้นปุณชิกาก็รู้สึกตัวตื่น ก่อนจะเรียกวัสนางค์ในที่สุด
“พี่ฝนคะ...มาเยี่ยมชัยหรือคะ”
“อ้อค่ะ พี่มาเยี่ยมชัย แล้วปูเป้ล่ะ เป็นยังไงบ้าง”
ปุณชิกาแค่ยิ้มด้วยรอยยิ้มเซียวๆ เท่านั้น ก่อนจะตอบคำถามของสาวรุ่นพี่ “ปูเป้ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะค่ะ แต่ชัยสิคะ หมอว่าปลอดภัยแล้วและรอให้เขาฟื้นขึ้นมาเท่านั้น
แต่นี่เขายังไม่ฟื้นเลยค่ะ”
“ใจเย็นๆ สิคะ คนไข้เสียเลือดอย่างชัย คงต้องการพักผ่อนเยอะๆ ปูเป้ก็เหมือนกัน น่าจะกลับไปพักผ่อนที่ไร่ศีตกรรณก่อนนะคะ ยังไงชัยก็ปลอดภัยแล้ว”
“ไม่ดีกว่าค่ะ ปูเป้อยากจะดูแลชัยและรอให้เขาฟื้น”
ประโยคนั้นของหญิงสาว แม้ว่าจะไม่ดังมากนัก แต่สำหรับวัสนางค์กลับรับรู้ว่าหญิงสาวรุ่นน้องตรงหน้า นอกจากจะเปลี่ยนอุปนิสัยไปในทางที่ดีแล้ว เธอยังสัมผัสได้ถึงหัวใจที่อ่อนโยนขึ้นของอีกฝ่ายและที่สำคัญ กับชัย หนุ่มรุ่นน้อง น้องชายของเมยาวีอีก ดูเหมือนว่าปุณชิกาจะเป็นห่วงเขามาก
นี่ถ้าเมยาวีกลับมาและรู้ความจริงในข้อนี้ก็น่าจะดีใจไม่แพ้เธอเหมือนกัน เพราะเห็นชัยครองตัวเป็นโสดมาตลอด อีกทั้งเขาก็เป็นคนดี เมื่อปุณชิกาเข้าใจและรักเขา ในฐานะของพี่สาวเมยาวีก็คงจะดีใจเหมือนกัน
“อืม...ถ้าอย่างนั้นพี่ก็ไม่กวนแล้วล่ะปูเป้พักผ่อนเถอะค่ะ เอาไว้ถ้าชัยฟื้นอย่าลืมโทรบอกพี่นะคะ”
“พี่ฝนคะ แล้วพี่เหมยกับพี่จอมล่ะคะ ทั้งสองเป็นอย่างไรบ้าง”
“ยังไม่พบตัวค่ะ” คำตอบจากสาวรุ่นพี่ ทำให้กรอบหน้าสวยของปุณชิกาสลดลงไปในทันที
ทั้งสองคนจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ เล่นหายไปด้วยกันแบบนี้ แม้ว่าเธอกับวัสนางค์จะรอดมาได้ แต่กระนั้นเธอก็ยังอดใจเสียและเป็นห่วงทั้งสองไม่ได้ กลัวว่าจะเกิดอันตรายขึ้นกับคนที่เธอรักทั้งสองคน
ใช่...นอกจากจอมทัพแล้ว บัดนี้ยังจะมีเมยาวีอีกคนหนึ่งที่เธอรัก ทั้งสองเหมือนกับพี่ชายและพี่สาวของเธอ เธอย่อมจะเป็นห่วงและใจหายไม่ได้กับเรื่องที่ทั้งสองต้องหายตัวไป แถมปานนี้ยังหากันไม่เจออีก
“ปูเป้ขอภาวนาอย่าให้พี่ทั้งสองเป็นอะไรไปเลยนะคะ”
“ใช่ พี่ก็อยากจะขอให้เป็นเช่นนั้นและอยากจะให้ตำรวจพบเจอทั้งสองเร็วๆ”
เน้นประโยคท้าย พร้อมกับเลื่อนสายตาไปมองหน้ารักษ์ราช เป็นเชิงบอกให้เขารีบหาทางค้นหาเพื่อนของเธอให้พบโดยไว เพราะยิ่งนาน ไม่รู้ว่าทั้งสองจะเป็นอันตรายอะไรอีกบ้าง
“ตอนนี้ทางตำรวจกำลังลงพื้นที่ หาตัวทั้งสองคนแล้วครับ”
รักษ์ราชเอ่ยแทรกขึ้น เพราะจากที่เห็นสายตาของวัสนางค์แล้ว เขาแน่ใจว่าเธอกำลังจะใส่ร้ายตนอีกแน่ ดังนั้นจึงรีบแก้ตัวไม่ให้ปุณชิกาเข้าใจผิดเขาและตำรวจไปอีกคน
“ปูเป้พักผ่อนเถอะนะพี่ไม่กวนละ เดี๋ยวจะให้คุณตำรวจพาไปที่ชายป่า ได้ความอะไรแล้วพี่จะบอกนะคะ”
“ได้ค่ะ ขอบคุณนะคะพี่ฝน ที่มาเยี่ยมปูเป้กับชัย”
ทั้งสองส่งยิ้มให้กันอย่างอ่อนโยนพร้อมกับให้กำลังใจ ก่อนวัสนางค์จะเดินลิ่วออกจากห้องนั้นไป อย่างนึกหมั่นไส้กับรักษ์ราชที่ตามตนมาแบบไม่ให้คลาดสายตา
“นั่นคุณจะรีบไปไหนล่ะครับ คุณประชาชนคนสวย”
“ก็จะไปที่ชายป่าน่ะสิ เพื่อนของฉันหายไปทั้งคนนะจะให้ใจเย็นอย่างคุณตำรวจได้อย่างไรล่ะคะ” เธอหยุดและหันมาแหวใส่เขาอีกครั้ง
“แต่คุณก็อย่าลืมสิว่ากุญแจรถอยู่ที่ผม คุณไปถึงก่อน ยังไงก็ยังไปไม่ได้”
“คุณก็กรุณารีบๆ เดินสิคะ เดินอย่างกับเต่าล้านปีไปได้” เธอบ่น ก่อนจะเดินลิ่วๆ นำไปอีกรอบ ขณะรักษ์ราชได้แต่ส่ายหน้าไปมา ก่อนจะทอดถอนใจหากว่า
ประเทศไทยมีประชาชนอย่างกับเธอครึ่งประเทศ ไม่รู้ว่าจะวุ่นวายกันขนาดไหน นี่แค่คนเดียวนะเขายังจะอดปวดเศียรกับคำด่าของเธอไม่ได้
เดินมาได้ไม่เท่าไร อารมณ์โมโหรักษ์ราชยังไม่หมดไปเสียด้วยซ้ำ วัสนางค์ต้องทำหน้าเซ็งอีกรอบ เมื่อเห็นอย่างชัดๆ ว่ารัญญิกาปรากฏโฉมอยู่ตรงหน้า แถมแม่คุณยังทำท่าเห็นเธอแล้วและกำลังเดินตรงมาแล้วด้วย
“นอกจากเมื่อวานที่เป็นวันมหาซวยแล้ว วันนี้ยังเป็นวันบรมซวยอีก เจออีตานี่แล้วยังจะมาเจอแม่นั่นอีก เว้ย...เซ็งเว้ย”
“บ่นอะไรล่ะจ๊ะ คนสวย”
รักษ์ราชเห็นเธอหยุดและบ่นอุบอิบอยู่ตรงหน้า เขาจึงรีบเข้าไปถามเธอด้วยความสงสัยทันที แต่ไม่เท่าไรชายหนุ่มก็รู้ว่าสิ่งที่ทำให้วัสนางค์อารมณ์เสียได้นอกจากเขาแล้วยังจะเป็นคุณผู้หญิงคนสวยซึ่งเดินมาตรงหน้าอีก
“คุณจอมทัพล่ะ หล่อน”
แค่ประโยคแรก รักษ์ราชก็รู้ได้ในทันทีว่าสองคนนี้ไม่ได้กินเส้นกันสักเท่าไร ชายหนุ่มจึงถอยมายืนดูทั้งสองอย่างเงียบๆ โดยไม่อยากที่จะเข้าไปร่วมวงมากนัก เดี๋ยวจะหาว่าตำรวจรังแกประชาชนอีก
“หล่อนเลยหรือคะคุณ...” วัสนางค์เอ่ยเสียงเยาะ พยายามจะข่มอารมณ์ให้อยู่ในระดับปกติมากที่สุด แม้จะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วก็ตาม
“ใช่ ฉันจะเรียกหล่อน จะทำไม”
“ไม่ทำไมหรอกค่ะ สำหรับคนอย่างนังวัสนางค์ เมื่อใครให้เกียรติเรียกหล่อนมา ฉันก็จะเรียกหล่อนกลับไป ให้มันสมกับระดับความต่ำเดียวกันอย่างไรล่ะคะ”
“อ๊าย...นี่หล่อนมาเล่นลิ้นกับฉันหรือยะ”
“ไม่หรอก เพราะฉันก็ไม่อยากจะเล่นลิ้นกับหล่อนเหมือนกัน”
“ฉันถามว่าคุณจอมทัพอยู่ที่ไหน เป็นยังไงบ้าง”
“ถ้าฉันจะไม่ตอบ หล่อนจะทำไมยะ”
“อีบ้า...”
ว่าแล้วก็จะโผเข้าตบนังบ้านนอกสักฉาด ทว่าคนอย่างวัสนางค์ก็ไม่ยอมให้มือสกปรกของแม่นี่มากระทบกับแก้มงามๆ ของตนได้เหมือนกัน มือของเธอคว้าข้อมือของอีกฝ่ายไว้ได้ทัน ก่อนจะฝาดฝ่ามือกลับไปจนอีกฝ่ายร้องลั่น
ฉาด!!
“อ๊าย...นี่หล่อนตบฉันหรือยะ”
“ก็ตบสิ หรือหล่อนยังไม่รู้ว่านี่คือตบ ฉันจะได้ให้อีกสักข้าง”
“อีบ้า...พล่อย สถุล ต่ำ”
“หล่อนนั่นแหละที่ต่ำ แต่งตัวเป็นคนสูงแท้ๆ กลับทำกิริยาต่ำทราม”
แม่สาววัสนางค์ ใช้สายตามองร่างบางตรงหน้าอย่างเหยียดหยัน ว่าปุณชิกาเป็นกาในฝูงหงส์ที่ชอบทำตัวระริกระรี้ไปเรื่อยแล้ว แต่ก็ยังดีที่คนนั้นกลับตัวได้ แต่แม่นี่สิ ไม่รู้ว่าเป็นอะไรกันนักกันหนา ถึงได้เที่ยวไปอาละวาดได้ทุกที่ อยากจะรู้เหมือนกันว่าคนเมืองกรุงน่ะ มีกิริยาแบบนี้กันทุกคนหรือเปล่า หรือจะแค่แม่นี่ที่เป็นกาหลงฝูง เชิดหน้าชูตาของตนเองอยู่ได้เพียงคนเดียว
“ฉันไม่อยากจะต่อความยาวสาวความยืดกับคนอย่างหล่อนหรอกนะ คุณรัญญิกาเอาเวลาไปเลี้ยงหมาจะดีกว่า ชิ...”
ว่าแล้วแม่คุณก็เชิดหน้าขึ้น ก่อนจะเดินจากไปในทันที เล่นเอารัญญิกาที่กุมแก้มของตนเองมองตามด้วยประกายตาที่เจ็บแค้นเป็นที่สุด
“อ๊าย...ฝากเอาไว้ก่อนเถอะนังบ้านนอก...มาว่าฉันต่ำ หล่อนน่ะแหละต่ำติดดินแล้วก็ไม่เจียม”
สายหมอกลอยกรุ่น เป็นม่านสีขาวสะอาดลอยคว้างอยู่เหนือทิวไม้และประดับทิวเขาที่ห่างไกลออกไป มวลอากาศเย็นแผ่ปกคลุมไปทั่วทุกตารางนิ้วของบริเวณผืนป่าแห่งนั้น ขณะที่แสงอาทิตย์ใช้ความพยายามส่องแสงลอดผ่านม่านหมอกหนาออกมา
กระแสน้ำที่ไหลลงสู่ที่ต่ำ ยังคงไหลไปตามกระแสของมัน เสียงน้ำกระทบโขดหินดังอยู่เป็นระยะ ไอหมอกลอยกรุ่นอยู่เหนือผิวน้ำ ที่หาดแห่งหนึ่งร่างสองร่างของทั้งจอมทัพและเมยาวีถูกกระแสน้ำพัดมาเกยอยู่ตรงนั้น ก่อนอากาศเย็นจะทำให้ร่างที่นอนอยู่ขยับกายและได้สติในเวลาต่อมา
ความหนาวเหน็บเกาะกุมตั้งแต่หัวใจและแผ่กระจายออกมายังด้านนอกของร่างกาย ร่างหนาสั่นสะท้านจนต้องขยับตัว เพื่อจะให้คลายความหนาว เสียงน้ำไหลเริ่มเข้ามาอยู่ในหูที่เริ่มมีสติ แล้วดวงตาคู่คมก็ค่อยๆ เปิดขึ้นทีละนิด
จอมทัพทอดถอนใจ ในยามที่สติกลับมามีอีกครั้งหนึ่ง พรางรำลึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านพ้นไปเมื่อคืน ในครั้งนั้นเขากำลังกระโดดหน้าผาโดยมีร่างของเมยาวีอยู่ในอ้อมกอด โชคยังดีที่ตนเองยังไม่ตาย
เมยาวี...ใช่ เธอกระโดดลงมาพร้อมกับเขาด้วย
พอคิดได้ดังนั้นชายหนุ่มก็ดีดตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้จะปวดเมื่อยไปทั่วร่างกาย แต่เขาก็พยายามข่มใจตนเองและกราดสายตามองหาร่างบาง
“คุณเหมย...” เขาเรียกชื่อเธอในยามที่สายตาเลื่อนไปกระทบกับร่างบางเจ้าที่ซบอยู่บนก้อนหินไม่ห่างจากตนนัก “คุณเหมยครับ คุณเหมย”
จอมทัพรีบถลาร่างเข้าไปหาเมยาวีพร้อมกับช้อนร่างบางให้มาอยู่ในวงแขนของเอง ก่อนจะพาเธอขึ้นมาให้พ้นน้ำ วางร่างนั้นลงบนพื้นและเขย่าเรียกเธอ
ทว่าความพยายามของชายหนุ่มกลับไม่เป็นผลสักเท่าไร ยิ่งนานการตอบสนองจากร่างบางยังไม่ดีพอ จะมีแต่อาการสั่นและลมหายใจเท่านั้นที่บอกให้เขารู้ว่าเธอยังไม่ตายแต่ลมหายใจก็แผ่วเบาเต็มที
“คุณเหมย...ฟื้นสิครับ คุณเหมย”
เห็นอาการของเธอน่าเป็นห่วงยิ่งนัก เขาก็ยิ่งใจเสีย หากว่าเมยาวีเป็นอะไรไป ตนจะทำอะไร ยิ่งคิดหัวใจก็ยิ่งวาบหวิว ไม่ได้...ในเมื่อเขาไม่เป็นอะไร เธอก็ต้องไม่เป็นอะไร เขาจะขาดเธอไม่ได้เพราะบัดนี้ตนเริ่มจะแน่ใจแล้วว่าเขารักเธอ รักมากจนสุดหัวใจ หากความตายมาพรากเธอไปเขาก็จะไม่ขอมีชีวิตเช่นกัน
แต่เมื่อคิดได้ว่า สิ่งที่เขาคิดอาจจะไม่เป็นเช่นนั้น เพราะอย่างไรแล้วเธอก็ยังมีลมหายใจอยู่สติเริ่มกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว ก่อนจะเอื้อมมือไปถอดเสื้อของเธอออกเพราะกลัวว่าเธอจะปอดบวมไปเสียก่อนเพราะนอกจากเสื้อผ้าที่เปียกชื้นแล้ว
อากาศหนาวยังทำร้ายกันได้อีก
มืออันสั่นเทาคอยๆ ปลดกระดุมออกจากรังดุม หัวใจหนุ่มเต้นรัวไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น ในยามที่เกิดภาวะฉุกเฉินเช่นนี้ตนไม่น่าจะมีความรู้สึกแบบนั้นได้ ในที่สุดชายหนุ่มก็สามารถถอดเสื้อตัวนั้นออกได้
ยังดีที่มีบราสีขาวห่อหุ้มบัวคู่งามอยู่ หากมันก็หมิ่นเหม่เต็มทีอีกเช่นกัน เพราะเมยาวีเป็นคนที่มีร่างกายสมส่วน แม้จะเป็นร่างกายที่ยั่วอารมณ์ให้ผู้พบเห็นตื่นเพริด ทว่าสำหรับเขาในเวลานี้คงไม่มีอารมณ์มามองเธอด้วยสายตาลามเลียเพราะยังมีภารกิจช่วยเหลือชีวิตของเธอรออยู่ตรงหน้า
ตั้งปณิธานไว้แล้วว่าจะไม่ให้เธอเป็นอะไร หลังเสื้อผืนนั้นหลุดออกจากร่างบางแล้ว จอมทัพก็เอามันมาบิดเพื่อไล่น้ำให้ออกไป ก่อนจะหันมาทางเธออีกครั้ง เมื่อคิดอะไรไม่ออกจริงๆ ก็ทำแค่โอบกอดร่างของเธออย่างน้อยไออุ่นจากกายของเขาอาจจะช่วยเหลือเธอได้บ้าง
เวลาผ่านไปเกือบสิบห้านาที ร่างที่สั่นระริกนั้นก็เริ่มอบอุ่นขึ้น เขาจึงตัดสินใจเอาเสื้อผืนนั้นมาใส่ให้เธออีกครั้ง หัวใจหนุ่มที่เต้นรัวเริ่มลดอาการสั่นไหวลง แสงอาทิตย์ได้ผ่านพ้นออกมาจากกลุ่มสายหมอกหนาแล้ว มีช่องตรงหนึ่งที่พอจะทำให้ร่างกายทั้งของเขาและเธออบอุ่นขึ้นได้ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจอุ้มเธอไปตรงนั้นในทันที
ภายในใจก็ภาวนาขอให้เธอฟื้นให้เร็วที่สุดเพราะจากที่ดูแล้วบริเวณโดยรอบน่าจะเป็นในป่าที่ไหนสักแห่งหนึ่ง เขาและเธอจะได้พากันออกไปจากที่แห่งนี้สักที
นานพอสมควรที่ชายหนุ่มประคองร่างบางให้ตากแสงอาทิตย์อยู่เช่นนั้นและก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้จ้องมองกรอบหน้าสวยหวานนั้นได้ถนัด ยอมรับเลยว่าเธอเป็นคนสวยที่สุดคนหนึ่ง ขนาดนางเอกระดับประเทศหลายคนยังคิดว่าต้องพ่ายแพ้ให้กับเธอ เขาเคยได้ยินมาว่าคนเหนือสวยและขาว วันนี้จึงประจักษ์ชัดแจ้ง เมยาวีน่าจะเป็นคนเหนือโดยแท้และเธอน่าจะมีเชื้อสายของชาวไทลื้อมาอีกด้วย นอกจากใบหน้าจะสวยหวานแล้ว โครงหน้าของเธอกลมมน เข้ารูปกับจมูกนิดๆ ปากอีกหน่อย แม้จะขาวแต่ก็ไม่ซีดจนเกินไปเพราะอย่างน้อยบัดนี้มีรอยเลือดฝาดสีแดงปรากฏขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ริ้วเลือดเริ่มแล่นไปทั่วทั้งโครงหน้าเมื่อเธอเริ่มจะรู้สึกตัวขึ้นแล้ว
“คุณเหมย...” เขาเรียกเธอด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน เมื่อดวงตาคู่สวยเริ่มกะพริบและก็เปิดขึ้นในที่สุด “คุณฟื้นแล้ว คุณเหมย...”
“คุณจอม...” เรียวปากสวยเผยอขึ้น หลังจากปรับโฟกัสการมองเห็น เห็นหน้าของชายหนุ่มอย่างชัดเจนเพราะเวลานี้ ศีรษะของเธอกำลังหนุนอยู่บนตักของเขาอยู่
จอมทัพยิ้มอ่อนโยน เขามองนิ่งที่กรอบหน้าสวยไม่วาง รู้สึกโล่งใจที่เธอไม่เป็นอะไรอย่างที่นึกกลัว แม้จะดูระโหยบ้าง แต่เขาก็แน่ใจอีกไม่ช้าเมยาวีก็ต้องลุกมาเดินได้อีกเหมือนเดิม
“นี่เหมยยัง...ไม่ตายใช่ไหมคะ”
“ครับ คุณเหมยยังไม่ได้ตาย เราสองคนรอดแล้วครับ”
เขาบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนก่อนจะค่อยๆ พยุงเธอให้ลุกขึ้นมานั่งอีกครั้ง เมยาวียกมือขึ้นกุมที่หัวของตนเอง เมื่อรู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“เหมยปวดหัวค่ะ โอ้ย...”
“ค่อยๆ สูดหายใจเข้าออกช้าๆ ครับ ค่อยๆ ทำตามผมนะครับ”
จอมทัพเข้าใจเพราะมันเป็นเช่นเดียวกับตอนที่เขารู้สึกตัวในตอนแรก สมองอาจจะขาดออกซิเจนปฏิกิริยาหลังการฟื้น มันอาจจะไม่เป็นเหมือนกันทุกคน แต่สำหรับรายของเมยาวีและเขาแล้วเมื่อหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ แล้ว ในเวลาต่อมาจึงดีขึ้น
เมื่ออาการเริ่มทุเลา หญิงสาวจึงได้มีสติที่จะเลื่อนสายตามองไปโดยรอบด้วยความสงสัย ว่าบัดนี้เธอและเขาอยู่ที่ไหนกันแน่
ทว่าคำตอบที่ได้กลับไม่มีเอาเสียเลย เพราะโดยรอบมีแต่ต้นไม้และลำธารสายขนาดย่อมซึ่งไหลผ่านตรงหน้าไปเท่านั้น
“เราอยู่ที่ไหนกันคะ คุณจอม”
“ไม่รู้เหมือนกันครับ นอกจากจะโชคดีที่รอดตายมาได้แล้ว เรายังโชคดีที่จะหลงป่าอีกนะครับ”
เขาพูดติดตลก ไม่อยากจะให้เธอเครียดเพราะต้องมาหลงป่า ขณะเมยาวีได้แค่ยิ้มเพราะเธอก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะไปทำไมกับการที่ตนต้องมาหลงป่าแบบนี้
“คุณเหมยพอจะลุกไหวไหมครับ” เขาถามเธอเสียงนุ่ม ก่อนจะขยับตัวและพยุงตัวเองให้ลุกขึ้น โดยมีเมยาวีค่อยๆ ยักแย้ยักยันขึ้นตาม
“เจ็บที่ข้อเท้านิดหน่อยค่ะ”
หลังยืนได้แล้ว เธอจึงบอกก่อนจะต้องโผเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของเขาอีกครั้งเพราะเสียหลักและยืนไม่ถนัด จอมทัพพยุงเธอเอาไว้และก้มลงมองตรงที่ข้อเท้าของหญิงสาวซึ่งบัดนี้แดงจนน่ากลัวว่าจะอักเสบแล้ว
“ผมว่าคุณเหมยเดินไม่ไหวแน่เลยครับ มาขึ้นหลังของผมดีกว่านะ”
ชายหนุ่มหันหลังให้กับเธอ โดยมีเมยาวีค่อยๆ พยายามให้ตัวเองขึ้นไปอยู่บนหลังของเขา สองแขนเรียวคล้องที่หัวไหล่กว้าง ก่อนจอมทัพจะยกร่างของเธอขึ้นพร้อมกับมือโอบที่สะโพกกลมมนเอาไว้เพื่อกันไม่ให้เธอตก
“จะไหวหรือคะ คุณจอม” เธอถามเขาด้วยความเกรงใจ แม้จะขัดเพียงไรแต่ดูท่าจอมทัพจะไม่ยอมให้เธอเดินเองด้วยซ้ำ
เธอรู้ว่าเขาเป็นห่วงเธอ แต่เธอก็ทั้งเกรงใจและเห็นใจเขา ก็เพราะรู้เหมือนกันว่าเขาก็คงจะเพลียเช่นกัน
“ไหวสิครับ คุณเหมยตัวเบาจะตายไป” เจ้าหนุ่มฉีกยิ้มพร้อมกับกระชับร่างบางอีกครั้งและก้าวไปข้างหน้า
“แล้วคุณจอมรู้หรือคะว่าจะไปทางไหน”
“ตามทฤษฏีลูกเสือที่ผมเคยเรียนมา เขาบอกว่าให้เดินไปตามทางน้ำที่ไหลไปเพราะอีกไม่นานจะเจอกับบ้านคน”
“แน่ใจหรือคะว่ามันจะไม่ผิดไปตามนั้น”
เมยาวีหัวเราะคิก ทฤษฏีที่เขาพูดน่ะก็มีส่วนถูกอยู่มากแต่สำหรับพื้นที่นี้อาจจะผิดไปเพราะแถวบ้านของเธอเป็นพื้นที่ป่าและเขา เกิดเดินไปแล้วยิ่งหลงจะเป็นอย่างไรล่ะ
“ถ้าหากไม่เป็นอย่างที่คิด เราก็ต้องหลงป่า ไปนั่งกินข้าวลิงกันล่ะครับ”
“คุณจอมนี่ พูดตลกอยู่เรื่อยเลยนะคะ”
“ก็ผมไม่อยากจะให้เราเครียดอย่างไรล่ะ เมื่อเจอปัญหาเราก็ควรที่จะใช้สติแก้ไข ไม่ใช่ร้องไห้ฟูมฟายไปให้เสียเวลา บนโลกธุรกิจมันสอนอะไรผมเอาไว้เยอะครับ เคยคิดเหมือนกันนะว่าถ้าตนเองต้องมาหลงป่าจะทำอย่างไร ในตอนนี้ก็เพิ่งประจักษ์น่ะแหละครับ มันเป็นแบบนี้เอง”
“จริงด้วยสิคะ เหมยก็เพิ่งนึกขึ้นได้ เราร้องโวยวายไปก็ไร้ประโยชน์ ดีกว่าเอาเวลาอย่างนั้นมาคิดแก้ปัญหาจะดีที่สุด”
หญิงสาวเห็นด้วยทว่าก็ยังทอดถอนใจอยู่เช่นเดิม เพราะจากที่ดูๆ แล้ว ภูมิประเทศในแถบนี้ เธอไม่คุ้นหูคุ้นตาเอาเสียเลย ยิ่งเดินก็เหมือนจะมีแต่ความอุดมสมบูรณ์ แถมยังมีพวกผีเสื้อให้เธอได้มองพวกมันอย่างชื่นชมอีก
เสียงน้ำไหลกระทบก้อนหินยังคงดังมาให้ได้ยินอยู่เป็นระยะ มีหลายครั้งอยู่เหมือนกันที่จอมทัพเดินลัดเลาะห่างลำธารไป แต่กระนั้นก็ยังคงไม่ทิ้งลำธารสายนั้นไป เขายังหวังอยู่ลึกๆ ว่าสุดสายลำธารสายนี้จะมีบ้านคนพอที่จะขอความช่วยเหลือรออยู่ข้างหน้า
เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง หากวี่แววบ้านคนกลับไม่มีเอาเสียเลย ความหิวก็เริ่มที่จะเข้าจู่โจม จอมทัพจึงเลือกที่จะหยุดพักที่ริมลำธารสายนั้นนั่นเอง
“เหมยขอโทษคุณจอมนะคะที่มาให้คุณเป็นภาระแบบนี้”
เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ติดจะเกรงใจสุดๆ เมื่อเห็นกรอบหน้าหล่อคมของเขาเข้มขึ้นด้วยความเหนื่อย ลำพังเดินคนเดียวก็จะแย่แล้ว นี่ยังจะมาแบกเธออีก หากชายหนุ่มกลับยิ้มอ่อนโยนส่งให้กับเธอ
“คุณเหมยครับ”
เขาเอื้อมกุมมือบาง ส่งมอบความอบอุ่นผ่านมือที่กุมเธอเอาไว้แน่น ส่วนสายตาก็มองกรอบหน้าสวยและจ้องลึกเข้าไปยังดวงตาคู่สวย เพื่อจะให้เธอรับรู้ว่าในสิ่งที่เขากำลังจะพูดต่อไปนี้ จะเป็นความจริงที่มาจากหัวใจของเขา
“พรหมลิขิตได้พาให้เรามาพบกันได้ คุณกับผมแม้ว่าจะไม่เคยพบเจอกันมาก่อน แต่เมื่อได้มารู้จักกันแล้ว ผมก็คิดว่า สิ่งนั้นทางเบื้องบนได้กำหนดให้เป็นไป ผมดีใจนะครับที่ได้มารู้จักกับคุณแม้เราจะรู้จักกันได้ไม่นานก็เถอะ แต่มันก็มีบางสิ่งบางอย่างให้ผมรู้สึกดีกับคุณและเมื่อใดแล้วที่หัวใจของคนๆ หนึ่งรู้สึกดีกับคนนั้นแล้วแม้จะต้องลำบากมากเพียงไร มันก็ไม่ถือว่าเป็นภาระหรอกครับ”
“คุณจอม...”
เมยาวีถึงกับพูดไม่ออก หัวใจสาวเต้นรัวเมื่อประโยคที่ดังออกมาจากปากของเขา มันเต็มไปด้วยความหนักแน่นและจริงใจ เธอเชื่อสิ่งที่เขาพูดมันคือความจริง
“และยิ่งในเวลานี้ด้วยแล้ว ผมก็ยิ่งแน่ใจ หัวใจของผมที่มันไม่เคยมีใคร บัดนี้มันได้มีคุณมาอยู่ในนี้หมดแล้วล่ะครับ”
เขาชี้นิ้วลงตรงตำแหน่งของหัวใจของตนเอง แม้ระยะเวลาที่รู้จักกันมันจะไม่นานแต่สิ่งที่ยืนยันคือหัวใจและแววตาที่แสดงออกมา แค่ในวันแรกเท่านั้นที่ได้พบเจอกับเธอ หรือไม่แม้กระทั่งการได้สนทนาสบสายตาคู่สวยคู่นั้น มันเหมือนเป็นประตูที่ดำเนินก้าวสู่หัวใจ เมื่อหลายวันก่อนเขายังไม่แน่ใจหรอก ตราบจนเมื่อคืนเขาก็พึ่งจะรู้ว่า แท้จริงแล้วตนรู้สึกอย่างไรกับเมยาวี
เขาเป็นห่วงเธอ เขายอมรับว่าตนขาดเธอไม่ได้จริงๆ และสิ่งนี้กระมังที่ทำให้แน่ใจว่าเขารักเธอ
“เหมยก็ดีใจค่ะ ที่ได้รู้จักกับคุณ”
พูดจบ เมยาวีก็โผเข้าไปอยู่ในวงแขนของจอมทัพด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุข แม้สิ่งที่ชายหนุ่มพูดออกมานั้นจะยังไม่แน่ชัดว่าเป็นความรัก แต่สำหรับเธอแล้ว บัดนี้เธอเริ่มจะแน่ใจแล้วล่ะ ความรู้สึกของหัวใจมันบอกกันตรงๆ ได้เสียที่ไหน นอกจากการกระทำเท่านั้นที่จะเป็นสิ่งยืนยัน บัดนี้เขาก็ได้พิสูจน์ให้เธอเห็นแล้วล่ะว่า จอมรู้สึกเช่นไรกับเธอ ยิ่งนานเมยาวีก็ยิ่งแน่ใจ จอมทัพเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เธอก็ขาดไม่ได้เหมือนกัน
อากาศแม้จะหนาวเหน็บมากเพียงไร แม้ว่าความเงียบจะมีอิทธิพลเยอะขนาดไหน แต่ในเวลานี้ มันไม่อาจที่จะทำลายความรู้สึกของทั้งสองที่มีต่อกันได้ ความอบอุ่นแผ่กระจายให้แก่กันและกัน จะมีเพียงเสียงหัวใจที่เต้นแรงเท่านั้นจะบ่งบอกถึงความรู้สึกของกันและกันได้เป็นอย่างดี
////
หลังจากที่วัสนางค์มาถึงบ้านสวนของตนเอง เธอก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ ก่อนจะออกมากับรักษ์ราช เมื่อเธอเปลี่ยนใจที่จะไม่พักและขอให้เขาพาเธอไปส่งที่โรงพยาบาล เพื่อจะดูอาการของชัยซึ่งหนักหนากว่าใคร
มาถึงโรงพยาบาล ทั้งสองหนุ่มสาวก็เข้าไปในห้อง เห็นปุณชิกายังหลับ โดยมีร่างของชัยนอนนิ่งอยู่บนเตียง วัสนางค์ถึงกับส่ายหน้าตนเองด้วยความสงสารต่อหนุ่มรุ่นน้องไม่ได้ ชัยถูกยิงถึงสองที่และแต่ละที่ก็ไม่ใช่เล่นๆ แถมยังทำให้เขาเสียเลือดไปจนเกือบหมดตัว แต่กระนั้นก็ยังดีที่เลือดของปุณชิกาอยู่ในกรุ๊ปเดียวกับเขา แม้ว่าจะถูกปฏิเสธ หากแต่หญิงสาวก็ยังยืนยันที่จะให้เลือดเขา ไม่รู้ว่าโชคช่วยหรืออะไรก็แล้วแต่ ที่ผลอาการออกมาของชัยอยู่ในขั้นที่ดีพอสมควร เพียงแต่ว่าในตอนนี้เขายังไม่ฟื้นเท่านั้น
ทางฝ่ายของปุณชิกา หลังการให้เลือด เธอก็ไม่ได้นอนพัก หญิงสาวเอาแต่มานั่งเฝ้าชายหนุ่มด้วยความเป็นห่วง ไม่รู้ว่าบัดนี้หัวใจของตนจะเปลี่ยนไปอย่างไร แต่เธอแน่ใจ บัดนี้เธออยากจะให้ชัยตื่นขึ้นมา เพื่อจะให้เขาได้พูดคุยกับเธออย่างที่ผ่านมา
เห็นว่าทั้งสองคนหลับ วัสนางค์จึงหันมาทางรักษ์ราชและชวนเขาออกไปข้างนอก ทว่าในเวลานั้นปุณชิกาก็รู้สึกตัวตื่น ก่อนจะเรียกวัสนางค์ในที่สุด
“พี่ฝนคะ...มาเยี่ยมชัยหรือคะ”
“อ้อค่ะ พี่มาเยี่ยมชัย แล้วปูเป้ล่ะ เป็นยังไงบ้าง”
ปุณชิกาแค่ยิ้มด้วยรอยยิ้มเซียวๆ เท่านั้น ก่อนจะตอบคำถามของสาวรุ่นพี่ “ปูเป้ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะค่ะ แต่ชัยสิคะ หมอว่าปลอดภัยแล้วและรอให้เขาฟื้นขึ้นมาเท่านั้น
แต่นี่เขายังไม่ฟื้นเลยค่ะ”
“ใจเย็นๆ สิคะ คนไข้เสียเลือดอย่างชัย คงต้องการพักผ่อนเยอะๆ ปูเป้ก็เหมือนกัน น่าจะกลับไปพักผ่อนที่ไร่ศีตกรรณก่อนนะคะ ยังไงชัยก็ปลอดภัยแล้ว”
“ไม่ดีกว่าค่ะ ปูเป้อยากจะดูแลชัยและรอให้เขาฟื้น”
ประโยคนั้นของหญิงสาว แม้ว่าจะไม่ดังมากนัก แต่สำหรับวัสนางค์กลับรับรู้ว่าหญิงสาวรุ่นน้องตรงหน้า นอกจากจะเปลี่ยนอุปนิสัยไปในทางที่ดีแล้ว เธอยังสัมผัสได้ถึงหัวใจที่อ่อนโยนขึ้นของอีกฝ่ายและที่สำคัญ กับชัย หนุ่มรุ่นน้อง น้องชายของเมยาวีอีก ดูเหมือนว่าปุณชิกาจะเป็นห่วงเขามาก
นี่ถ้าเมยาวีกลับมาและรู้ความจริงในข้อนี้ก็น่าจะดีใจไม่แพ้เธอเหมือนกัน เพราะเห็นชัยครองตัวเป็นโสดมาตลอด อีกทั้งเขาก็เป็นคนดี เมื่อปุณชิกาเข้าใจและรักเขา ในฐานะของพี่สาวเมยาวีก็คงจะดีใจเหมือนกัน
“อืม...ถ้าอย่างนั้นพี่ก็ไม่กวนแล้วล่ะปูเป้พักผ่อนเถอะค่ะ เอาไว้ถ้าชัยฟื้นอย่าลืมโทรบอกพี่นะคะ”
“พี่ฝนคะ แล้วพี่เหมยกับพี่จอมล่ะคะ ทั้งสองเป็นอย่างไรบ้าง”
“ยังไม่พบตัวค่ะ” คำตอบจากสาวรุ่นพี่ ทำให้กรอบหน้าสวยของปุณชิกาสลดลงไปในทันที
ทั้งสองคนจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ เล่นหายไปด้วยกันแบบนี้ แม้ว่าเธอกับวัสนางค์จะรอดมาได้ แต่กระนั้นเธอก็ยังอดใจเสียและเป็นห่วงทั้งสองไม่ได้ กลัวว่าจะเกิดอันตรายขึ้นกับคนที่เธอรักทั้งสองคน
ใช่...นอกจากจอมทัพแล้ว บัดนี้ยังจะมีเมยาวีอีกคนหนึ่งที่เธอรัก ทั้งสองเหมือนกับพี่ชายและพี่สาวของเธอ เธอย่อมจะเป็นห่วงและใจหายไม่ได้กับเรื่องที่ทั้งสองต้องหายตัวไป แถมปานนี้ยังหากันไม่เจออีก
“ปูเป้ขอภาวนาอย่าให้พี่ทั้งสองเป็นอะไรไปเลยนะคะ”
“ใช่ พี่ก็อยากจะขอให้เป็นเช่นนั้นและอยากจะให้ตำรวจพบเจอทั้งสองเร็วๆ”
เน้นประโยคท้าย พร้อมกับเลื่อนสายตาไปมองหน้ารักษ์ราช เป็นเชิงบอกให้เขารีบหาทางค้นหาเพื่อนของเธอให้พบโดยไว เพราะยิ่งนาน ไม่รู้ว่าทั้งสองจะเป็นอันตรายอะไรอีกบ้าง
“ตอนนี้ทางตำรวจกำลังลงพื้นที่ หาตัวทั้งสองคนแล้วครับ”
รักษ์ราชเอ่ยแทรกขึ้น เพราะจากที่เห็นสายตาของวัสนางค์แล้ว เขาแน่ใจว่าเธอกำลังจะใส่ร้ายตนอีกแน่ ดังนั้นจึงรีบแก้ตัวไม่ให้ปุณชิกาเข้าใจผิดเขาและตำรวจไปอีกคน
“ปูเป้พักผ่อนเถอะนะพี่ไม่กวนละ เดี๋ยวจะให้คุณตำรวจพาไปที่ชายป่า ได้ความอะไรแล้วพี่จะบอกนะคะ”
“ได้ค่ะ ขอบคุณนะคะพี่ฝน ที่มาเยี่ยมปูเป้กับชัย”
ทั้งสองส่งยิ้มให้กันอย่างอ่อนโยนพร้อมกับให้กำลังใจ ก่อนวัสนางค์จะเดินลิ่วออกจากห้องนั้นไป อย่างนึกหมั่นไส้กับรักษ์ราชที่ตามตนมาแบบไม่ให้คลาดสายตา
“นั่นคุณจะรีบไปไหนล่ะครับ คุณประชาชนคนสวย”
“ก็จะไปที่ชายป่าน่ะสิ เพื่อนของฉันหายไปทั้งคนนะจะให้ใจเย็นอย่างคุณตำรวจได้อย่างไรล่ะคะ” เธอหยุดและหันมาแหวใส่เขาอีกครั้ง
“แต่คุณก็อย่าลืมสิว่ากุญแจรถอยู่ที่ผม คุณไปถึงก่อน ยังไงก็ยังไปไม่ได้”
“คุณก็กรุณารีบๆ เดินสิคะ เดินอย่างกับเต่าล้านปีไปได้” เธอบ่น ก่อนจะเดินลิ่วๆ นำไปอีกรอบ ขณะรักษ์ราชได้แต่ส่ายหน้าไปมา ก่อนจะทอดถอนใจหากว่า
ประเทศไทยมีประชาชนอย่างกับเธอครึ่งประเทศ ไม่รู้ว่าจะวุ่นวายกันขนาดไหน นี่แค่คนเดียวนะเขายังจะอดปวดเศียรกับคำด่าของเธอไม่ได้
เดินมาได้ไม่เท่าไร อารมณ์โมโหรักษ์ราชยังไม่หมดไปเสียด้วยซ้ำ วัสนางค์ต้องทำหน้าเซ็งอีกรอบ เมื่อเห็นอย่างชัดๆ ว่ารัญญิกาปรากฏโฉมอยู่ตรงหน้า แถมแม่คุณยังทำท่าเห็นเธอแล้วและกำลังเดินตรงมาแล้วด้วย
“นอกจากเมื่อวานที่เป็นวันมหาซวยแล้ว วันนี้ยังเป็นวันบรมซวยอีก เจออีตานี่แล้วยังจะมาเจอแม่นั่นอีก เว้ย...เซ็งเว้ย”
“บ่นอะไรล่ะจ๊ะ คนสวย”
รักษ์ราชเห็นเธอหยุดและบ่นอุบอิบอยู่ตรงหน้า เขาจึงรีบเข้าไปถามเธอด้วยความสงสัยทันที แต่ไม่เท่าไรชายหนุ่มก็รู้ว่าสิ่งที่ทำให้วัสนางค์อารมณ์เสียได้นอกจากเขาแล้วยังจะเป็นคุณผู้หญิงคนสวยซึ่งเดินมาตรงหน้าอีก
“คุณจอมทัพล่ะ หล่อน”
แค่ประโยคแรก รักษ์ราชก็รู้ได้ในทันทีว่าสองคนนี้ไม่ได้กินเส้นกันสักเท่าไร ชายหนุ่มจึงถอยมายืนดูทั้งสองอย่างเงียบๆ โดยไม่อยากที่จะเข้าไปร่วมวงมากนัก เดี๋ยวจะหาว่าตำรวจรังแกประชาชนอีก
“หล่อนเลยหรือคะคุณ...” วัสนางค์เอ่ยเสียงเยาะ พยายามจะข่มอารมณ์ให้อยู่ในระดับปกติมากที่สุด แม้จะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วก็ตาม
“ใช่ ฉันจะเรียกหล่อน จะทำไม”
“ไม่ทำไมหรอกค่ะ สำหรับคนอย่างนังวัสนางค์ เมื่อใครให้เกียรติเรียกหล่อนมา ฉันก็จะเรียกหล่อนกลับไป ให้มันสมกับระดับความต่ำเดียวกันอย่างไรล่ะคะ”
“อ๊าย...นี่หล่อนมาเล่นลิ้นกับฉันหรือยะ”
“ไม่หรอก เพราะฉันก็ไม่อยากจะเล่นลิ้นกับหล่อนเหมือนกัน”
“ฉันถามว่าคุณจอมทัพอยู่ที่ไหน เป็นยังไงบ้าง”
“ถ้าฉันจะไม่ตอบ หล่อนจะทำไมยะ”
“อีบ้า...”
ว่าแล้วก็จะโผเข้าตบนังบ้านนอกสักฉาด ทว่าคนอย่างวัสนางค์ก็ไม่ยอมให้มือสกปรกของแม่นี่มากระทบกับแก้มงามๆ ของตนได้เหมือนกัน มือของเธอคว้าข้อมือของอีกฝ่ายไว้ได้ทัน ก่อนจะฝาดฝ่ามือกลับไปจนอีกฝ่ายร้องลั่น
ฉาด!!
“อ๊าย...นี่หล่อนตบฉันหรือยะ”
“ก็ตบสิ หรือหล่อนยังไม่รู้ว่านี่คือตบ ฉันจะได้ให้อีกสักข้าง”
“อีบ้า...พล่อย สถุล ต่ำ”
“หล่อนนั่นแหละที่ต่ำ แต่งตัวเป็นคนสูงแท้ๆ กลับทำกิริยาต่ำทราม”
แม่สาววัสนางค์ ใช้สายตามองร่างบางตรงหน้าอย่างเหยียดหยัน ว่าปุณชิกาเป็นกาในฝูงหงส์ที่ชอบทำตัวระริกระรี้ไปเรื่อยแล้ว แต่ก็ยังดีที่คนนั้นกลับตัวได้ แต่แม่นี่สิ ไม่รู้ว่าเป็นอะไรกันนักกันหนา ถึงได้เที่ยวไปอาละวาดได้ทุกที่ อยากจะรู้เหมือนกันว่าคนเมืองกรุงน่ะ มีกิริยาแบบนี้กันทุกคนหรือเปล่า หรือจะแค่แม่นี่ที่เป็นกาหลงฝูง เชิดหน้าชูตาของตนเองอยู่ได้เพียงคนเดียว
“ฉันไม่อยากจะต่อความยาวสาวความยืดกับคนอย่างหล่อนหรอกนะ คุณรัญญิกาเอาเวลาไปเลี้ยงหมาจะดีกว่า ชิ...”
ว่าแล้วแม่คุณก็เชิดหน้าขึ้น ก่อนจะเดินจากไปในทันที เล่นเอารัญญิกาที่กุมแก้มของตนเองมองตามด้วยประกายตาที่เจ็บแค้นเป็นที่สุด
“อ๊าย...ฝากเอาไว้ก่อนเถอะนังบ้านนอก...มาว่าฉันต่ำ หล่อนน่ะแหละต่ำติดดินแล้วก็ไม่เจียม”
พายุ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 พ.ค. 2555, 21:26:46 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 พ.ค. 2555, 21:29:12 น.
จำนวนการเข้าชม : 1752
<< ตอนที่ ๑๘ สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ ๓ | ตอนที่ ๒๐ อบอุ่น >> |
anOO 17 พ.ค. 2555, 17:01:16 น.
รอดูสิ ลูกเสือเก่าจะพากันหลงทางไหมหนอ
รอดูสิ ลูกเสือเก่าจะพากันหลงทางไหมหนอ