Always (with you)
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: เอ่อ...ตอนเดียวจบค่ะ
Always (with you)
credit : Always ของบาสเก็ตแบนด์ค่ะ มาดูกันว่าวงนี้จะมีเพลงที่ทำให้เราตกหลุมรักพอจะเขียนออกมาเป็นเรื่องราวได้อีกสักเท่าไร
สำหรับ เรื่องนี้...เขียนไว้สำหรับวันที่ลงจากหอผู้ป่วยทารกแรกเกิด แด่ช่วงเวลาที่เหนื่อยและล้าอย่างมากมาย และขอบคุณเพลงเพลงนี้ ที่ทำให้เราผ่านวันเวลาเหล่านั้นมาได้
-----------------------
เจ้า ของร่างแบบบางในชุดนักศึกษาที่มีเพียงเสื้อเชิ้ตปล่อยชายลงมาทับกระโปรงพลี ตตัวยาวทรุดตัวลงนั่งหน้าโต๊ะเขียนหนังสือ คว้าเอาตำราเล่มหนากว่านิ้วมาวางตรงหน้า นั่งจ้องมองตั้งสติอยู่ครู่ใหญ่ก่อนกลั้นใจเปิดอ่านด้วยสีหน้าคล้ายคนจะกิน ยาขม
ไม่ถึงห้านาที หนังสือเล่มหนาก็ถูกปิดลงเสียงดัง เธอเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ที่นั่ง หลับตาลงแล้วถอนใจยาวอย่างอ่อนล้า
ใครนะหลอกลวงประชาชีไว้ว่าเรียนหมอจะได้สบาย เหอะ...ก่อนจะสบายคือความลำบากอย่างแสนสาหัสเลยละ
หญิงสาวยกมือขึ้นปิดหน้า กดปลายนิ้วชี้ลงที่หัวคิ้วทั้งสองข้าง พยายามดึงตัวเองออกจากความเหนื่อยล้าและง่วงงุน
เธอ ไม่ได้หลับมากี่ชั่วโมงแล้วนะ ตั้งแต่เข้าเวรดึกเมื่อสามวันก่อน ความเหนื่อยล้าไม่ได้ทำให้เธอหลับสนิทอย่างคนอื่น แต่มีความกังวลที่แทรกตัวอยู่ในส่วนลึกทำให้เธอข่มตาได้ยากเย็น ตั้งแต่สามวันก่อน จนกระทั่งคืนนี้ที่นาฬิกาบอกเวลาใกล้เที่ยงคืนเข้าไปทุกที
หลับก็ไม่ได้ อ่านหนังสือก็ไม่มีอารมณ์...อะไรชีวิตมันจะน่ารำคาญปานนั้นนะ
จะ โชคดีอยู่บ้างก็ตรงที่ความเหนื่อยล้าทำให้เธอตัดสินใจพักที่หอพักแทนการกลับ บ้าน และเวลาเที่ยงคืนในหอพักก็แทบไม่ต่างอะไรกับหัวค่ำเลยสักนิด
อย่างน้อย...ก็ยังมีคนที่ตื่นเป็นเพื่อนเธอ
“ยังไม่นอนเหรอ” รูมเมทที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จเดินเช็ดผมเข้ามานั่งหน้าโต๊ะที่ติดกัน เธอส่ายหน้าแล้วร้องเบา ๆ
“นอนไม่หลับ”
“หืม...เธอ น่ะนะนอนไม่หลับ” เสียงแหลมร้องอย่างไม่อยากเชื่อ ก็ควรอยู่หรอก เพราะปกติเมื่อเธอพักที่หอในวันซึ่งไม่ต้องเข้าเวร เธอก็ถือเป็นสัตว์ประหลาดประจำหอพักที่นอนหลับตั้งแต่สองทุ่มและตื่นก่อนหก โมงเช้า แถมที่ร้ายคือเธอนอนได้แม้จะมีเพื่อนนั่งติวหนังสือสอบอยู่ในห้องมากกว่าสิบ คน
“อืม...”
“กินยาไหม...เรามีซีพีเอ็ม” รูมเมทพูดถึงคลอเฟนิรามีน ยาแก้แพ้ที่มีผลข้างเคียงคือความง่วง และเพื่อน ๆ หลายคนก็ใช้กินแทนยานอนหลับ
เธอหัวเราะ “เสียใจ...กินมาแต่เด็ก สมองเราเลยไม่รับแล้ว”
“อ้อ...ลืมไป เธอเป็นภูมิแพ้นี่”
“อืม...เศร้าชะมัด นี่ก็ทำท่าว่าไซนัสจะงอแง” เธอถอนใจเบา ๆ ยกมือเคาะโหนกแก้มตัวเอง “พออากาศเปลี่ยนก็แย่ทุกที”
รูมเมทหัวเราะคิก ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ทำเสียงเอาการเอางาน วางท่าเหมือนแพทย์ที่กำลังซักประวัติคนไข้ “มีน้ำมูกไหมคะ”
เธอ ยิ้มบาง ๆ “มีค่ะ...แต่ไม่มาก ออกจะเจ็บคอแล้วก็มีเสมหะ แต่เอ๊ะ...ไม่แน่เหมือนกันว่าเสมหะหรือน้ำมูกนะคะ เหมือนมันจะไหลลงคง ทำให้คันคอแล้วก็ไอน่ะค่ะ ไอมากช่วงกลางคืน กลางวันแทบจะไม่ไอเลยนะคะ”
“โหย...คุณคนไข้ให้ประวัติละเอียดอย่างนี้ วินิจฉัยตัวเองเลยง่ายกว่าไหมคะ”
“ตอนนี้สงสัยโรคเก่าโรคแก่ที่ซี้ปึ้กกันมาตั้งแต่เด็กนั่นละ ถ้าแย่กว่านี้สงสัยต้องเบิกน้ำเกลือมาล้างจมูกแล้ว”
“อืม...ดูแลตัวเองดี ๆ แล้วกัน อยู่วอร์ดเด็กงานยุ่งเสียด้วย”
“เด็ก แรกเกิดยิ่งยุ่ง อะไรไม่รู้...ละเอียดไปเสียทุกอย่าง” เธอเอ่ยกลั้วหัวเราะ “เหมือนเจอโลกใหม่นะ ต้องคิดนั่นคิดนี่แทบทุกรายละเอียดเลย ตั้งแต่กิน ถ่าย หายใจ นอน”
“โหย...แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว”
“นั่นสิ...แถมช่วง นี้เด็กเยอะอีก” เธอถอนใจเบา ๆ “แต่ถ้าจะปลอบใจตัวเองก็ต้องไปดูพวกพี่เดนท์โน่น...พี่คนเดียวต้องดูเด็ก ทั้งวอร์ดเลย พวกเราแค่ไม่กี่คน ถือว่ายังเหนื่อยน้อยกว่าพี่ ๆ เยอะ”
“แหม...มองโลกในแง่ดี”
“ถ้าไม่อยากซึมเศร้าก็ต้องมองกันอย่างนี้ละ”
รูม เมทพยักหน้ารับ เดินไปเอนตัวลงนอนบนที่นอนซึ่งอยู่ชิดติดผนัง อ้าปากหาวกว้างจนแมลงวันแทบจะบินเข้าไปได้ แล้วบอก “ง่วงแล้ว เรานอนก่อนนะ”
“อืม...เดี๋ยวเราปิดไปให้” หญิงสาวบอกแล้วเดินไปปิดไฟ เหลือไว้แต่แสงไฟนีออนจากโต๊ะทำงานที่เธอเพิ่งลุกออกมา
ความ มืดสลัวในห้องมีไอบางอย่างของความเศร้าอวลอยู่ ทำให้คนที่ยังตื่นเผลอยืนมองนิ่ง ๆ อยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่ดวงตาคู่โตจะหลุบลงมองพื้น แล้วช้อนขึ้นอีกครั้งเพื่อพาหยาดน้ำเล็ก ๆ ที่ล้นคลอเข้ามาให้หายไป หญิงสาวเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า หยิบเอาชุดนอนและผ้าเช็ดตัวที่แขวนไว้กับประตูตู้มาถือไว้ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ ถอดชุดออกแขวนกับราวผ้า แล้วเปิดน้ำให้ไหลออกจากฝักบัวลงมาราดหัวและตัวจนเปียกโชก
กี่วันแล้วนะ...ที่เธอปล่อยให้น้ำจากฝักบัวล้างพาหยาดน้ำใส ๆ ออกไปจากตา
ร่างบางกอดตัวเองไว้ใต้สายน้ำ กระซิบคำเบา ๆ ด้วยความอ่อนล้า “เหนื่อย...ชะมัดเลย”
ตี ห้าครึ่ง ไม่ใช่เวลาตื่นสำหรับเด็กหอทั่วไปที่พยายามสงวนเวลานอนไว้ให้มากที่สุดเพื่อ สู้กับความเหนื่อยล้าระหว่างวัน จะมีก็เพียงไม่กี่คนที่ลุกขึ้นมาอาบน้ำ แต่งตัว หรืออ่านหนังสือ เธอเป็นหนึ่งในนั้น แต่ไม่ได้ตื่นเพราะจะต้องการเพิ่มเวลาในการใช้ชีวิต
เธอแค่ตื่น...เพราะไม่สามารถจะหลับพักได้อีกต่อไป
มีคนบอกว่าการตื่นเช้าเป็นกำไรของชีวิต เธอไม่รู้ว่าจริงไหม แต่ที่แน่ ๆ เธอขาดทุนตั้งแต่ที่นอนไม่หลับมาสี่คืนแล้ว
หญิงสาวเงยหน้ามองฟ้าที่ยังไม่สว่างดี ห่อตัวกอดตัวเองแน่นเพราะลมเย็นที่พัดมาแตะผิว
ตั้งแต่เกิดทสึนามิที่ญี่ปุ่น ดูเหมือนโลกจะแปรปรวนไปทั่ว
เธอเดินไปที่โรงอาหาร หกโมงกว่าแล้ว...ร้านอาหารในโรงพยาบาลก็มีเวลาทำงานไม่ต่างกับบุคลากรในโรงพยาบาลนั่นละ
วิถีชีวิตที่เริ่มเมื่อรุ่งเช้า และดำเนินไปจนเกือบเข้าสู่วันใหม่
ปาท่องโก๋ ซาลาเปา กับโกโก้ร้อน ๆ ช่วยให้ความเหนื่อยล้าค่อยคลายลง ยิ่งรสขมของโกโก้ไม่ใส่น้ำตาลทำให้เธอรู้สึกตื่นมากขึ้น อย่างน้อยก็ยังดีกว่าอยากจะหลับก็ไม่หลับ อยากจะตื่นก็ไม่ตื่นแบบที่เป็นมานั่นละ
กี่วันแล้วนะ...อาทิตย์... ไม่สิ...สิบเอ็ดวันแล้ว นับจากวันที่เกิดทสึนามิที่ญี่ปุ่น สื่อทั่วโลกแพร่ข่าวนี้ไปทั่ว เธอเชื่อว่าตอนนี้คงไม่มีใครไม่รู้เรื่องคลื่นยักษ์ลูกนั้น และความเสียหายที่เกิดขึ้น
ทั่วโลกตื่นตัว หาทางช่วยเหลือ หาทางแก้ไขความวุ่นวายที่จะตามมา
น่าดีใจที่อย่างน้อย...มนุษย์โลก ยังมีความเอื้อเฟื้อและห่วงใยกันโดยไม่แบ่งแยกชาติ ศาสนา
หญิง สาวถอนใจเบา ๆ ยกโกโก้ขึ้นดื่ม พอดีกับที่รู้สึกถึงแรงสั่นเบา ๆ ของโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าเสื้อกาวน์ เธอวางแก้วกระดาษลงบนโต๊ะตรงหน้า ค่อย ๆ ล้วงเอาโทรศัพท์เครื่องเล็กออกมา มองดูชื่อที่หน้าจอแล้วก็ลมหายใจก็สะดุดไปชั่วขณะ ก่อนที่เธอจะรู้สึกถึงความเจ็บที่ริมฝีปากเพราะเผลอเอาฟันไปขบเข้าเต็มแรง
เธอ หลุบตาลงมองตักตัวเอง กระพริบตาเบา ๆ ไล่หยาดน้ำตาที่คลอล้นมาให้หายไป ก่อนจะกดรับสาย กลั้นใจอยู่ชั่วขณะเมื่อยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูแล้วเอ่ยคำเบา ๆ
“ค่ะ...”
“รับ โทรศัพท์ด้วยคำนี้อีกแล้ว...ถ้าเป็นคนอื่นโทร.มา เขาคงยังงงแน่ ๆ” ปลายสายเอ่ยเป็นภาษาญี่ปุ่น กลั้วเสียงหัวเราะจาง ๆ ขณะที่หญิงสาวในโรงอาหารนั่งนิ่งแทบลืมหายใจ หัวใจเต้นรัวราวจะโลดออกมาจากอก
แล้วรอยยิ้มบาง ๆ ก็ค่อยระบายขึ้นบนหน้าของหญิงสาว “คงเพราะฉันรู้...ว่าจะต้องเป็นพี่” เธอเอ่ยตอบเป็นภาษาเดียวกัน
“ไม่กลัวจะเป็นคนอื่นหรือ เขาอาจจะโทร.มาบอกว่าพี่เป็นอะไรก็ได้”
“อย่าพูด...คนไทยเขาถือ” เธอดุ
เขาหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วบอก “ขอโทษ...ที่พี่โทร.มาช้า”
“ขอบคุณ...ที่พี่โทร.มา” เธอกระซิบเบา ๆ “และขอโทษ...ที่ฉันไม่กล้าพอจะโทร.ไป”
“ทำไมละ”
“ฉัน กลัวค่ะ...ฉันกลัวถ้าจะมีใครคนอื่นมารับโทรศัพท์ของพี่แทน แล้วก็กลัว...จะกวนพี่ในช่วงที่กำลังวุ่นวาย เพราะอย่างนั้น...ฉันขอรอและเชื่อว่าพี่จะโทร.มาหาเองดีกว่า”
เธอเอ่ยตามตรง ก่อนจะถอนใจเบา ๆ เม้มริมฝีปากตัวเองด้วยความเคยชิน
ใครว่าผู้หญิงอย่างเธอเข้มแข็ง มีแต่เขานั่นละที่รู้ว่าเธอเปราะบางแค่ไหน
บาง ส่วนในหัวใจเธอหลุดหายไปตั้งแต่รู้ข่าวทสึนามิที่ญี่ปุ่น เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าเขาเพิ่งเดินทางไปยังเมืองที่เกิดเหตุ ก่อนหน้านั้นเพียงไม่กี่วัน
ความกลัวล้นเข้ามาจนแน่นในอก แต่น่าตลกที่สิ่งเดียวที่เธอแสดงออกมาได้คือความนิ่งเฉย
จำได้ว่าวันนั้น เธอทำเป็นแค่นั่งนิ่ง ๆ อยู่ที่โต๊ะ มองโทรศัพท์เพื่อรอให้ใครสักคนโทร.เข้ามา
“ขอโทษ...พี่ยุ่งมากจริง ๆ” เขาทอดเสียงอ่อนเบา
“ฉัน เข้าใจค่ะ...ภาวะแบบนั้น พี่ก็ต้องยุ่งเป็นธรรมดา” เพราะเขาเป็นหนึ่งในแพทย์แผนกฉุกเฉินในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยชื่อดัง เมื่อเกิดเหตุวุ่นวายอย่างนั้น และเขาอยู่ร่วมในที่เกิดเหตุด้วย วิสัยแพทย์ ไม่มีทางจะนิ่งดูดาย หรือเดินออกมาโดยไม่ทำอะไรเลย
“เหนื่อยมากไหมคะ”
“ได้ยินเสียงเธอ...พี่ว่าพี่เริ่มจะดีขึ้นแล้วละ”
“ฉันไม่ใช่ยาชูกำลังนะ”
เขา หัวเราะเสียงดังแว่วมาจากปลายสาย ก่อนจะเงียบลงเพื่อทอดเสียงนุ่มบอกอย่างอ่อนโยนเหมือนเวลาที่กระซิบคำปลอบใจ อยู่ข้างหูเธอ “แต่เธอเป็นกำลังใจ...”
หญิงสาวเกือบยิ้มออกมาแล้ว หากเขาไม่เล่าต่อด้วยเสียงเหนื่อยอ่อนที่เธอยังพอจับได้แม้อีกฝ่ายจะพยายาม ซ่อนไว้ “ที่นี่มีแต่เรื่องที่ต้องจัดการ ไม่ใช่แค่พวกหมอ แต่ทุกคนต่างพยายามกันเต็มที่เพื่อจะผ่านเวลานี้ไปให้ดีที่สุด”
“นั่น เป็นหน้าที่ของคนอยู่นี่คะ...เราต่างต้องดิ้นรน เพราะเรายังต้องเดินต่อไปไงละคะ” เธอกระซิบบอกเสียงเบา นิสัยการมองโลกแบบแปลก ๆ เป็นที่รู้กันดีในหมู่เพื่อน
“อืม...เพราะพี่อยากจะเดินต่อไปกับเธอ” เขาวกมาเอ่ยคำหวานได้อย่างนุ่มนวล ขณะที่หญิงสาวได้แต่อมยิ้มอย่างตื้นตันในใจ
เธอ รู้...ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนพูดเก่ง เขาเป็นมนุษย์ผู้เคร่งขรึมตามแบบฉบับชายหนุ่มที่ขลุกอยู่กับตำรามาตลอดชีวิต แต่เขาก็ค่อย ๆ พูดมากขึ้น เพียงเพื่อจะบอกความรู้สึกกับเธอ
ไม่ว่า จะเมื่อไร การได้พบกับเขาก็ยังเป็นหนึ่งในความโชคดีที่สุดในชีวิตเธอ หญิงสาวไม่มีวันลืมช่วงเวลาที่ไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ญี่ปุ่น ความบังเอิญพาเธอไปพบกับผู้หญิงที่ได้รับอุบัติเหตุกลางถนนและมีปอดรั่ว นักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่สามอย่างเธอทำได้แค่นั่งแปะอยู่บนพื้น รอเวลาที่รถพยาบาลจะมาถึง แต่ระหว่างนั้นเขาก็วิ่งเข้ามา ตรวจดูคนป่วยเพียงครู่เดียวก็เปิดกระเป๋าเป้ ดึงเอาเข็มฉีดยาออกมาแทงลงที่หน้าอกของคนป่วย ระบายลมออกมาก่อนที่รถพยาบาลจะมาถึง
นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาและเธอ ได้พบกัน ก่อนที่เธอจะรู้ในภายหลังว่าเขาเป็นหนึ่งในแพทย์ฝึกหัดแผนกฉุกเฉินในโรง พยาบาลที่เธอไปแลกเปลี่ยนนั่นละ
เธอยังจำได้ชัดเจน ในวันที่นั่งมองมือตัวเองด้วยความรู้สึกถึงความอ่อนหัดที่น่ารังเกียจ แปลกที่เขาเหมือนจะเข้าใจ เดินเข้ามาส่งแก้วโกโก้ร้อน ๆ ให้ แล้วบอกเสียงเรียบราวไร้เยื่อใย ‘ฉันไม่ได้มีวันนี้ได้เพราะโชคช่วยหรอกนะ...ถ้าไม่อยากอ่อนหัด...ก็ฝึกตัว เองให้มากกว่านี้สิ’
เขาไร้เยื่อใยพอจะทิ้งเธอไว้กับประโยคนั้นเพียง ลำพังแล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ส่วนเธอก็หน้าด้านพอที่จะหาเรื่องไปใกล้ ๆ เขาตลอดเวลาที่เหลืออยู่ที่นั่น
พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าเธอตกใจและ ดีใจแค่ไหน ในวันที่กำลังจะขึ้นเครื่องบินกลับเมืองไทย และเห็นเขาเดินเข้ามา คงเพราะรู้ว่าเป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว เธอจึงรวบรวมความกล้าส่งนามบัตรทำมือใบสุดท้ายที่เตรียมไว้ให้เพื่อนที่ ญี่ปุ่นให้กับเขาและบอก ‘ฉันไม่อยากอ่อนหัด และจะก้าวไปเรื่อย ๆ...พี่จะช่วยเดินไปกับฉันได้ไหมคะ’
ตอนนั้นเขายิ้มให้ฉันด้วยสี หน้าที่อ่านยากตามแบบฉบับของเขานั่นละ แล้วใส่นามบัตรนั้นลงที่กระเป๋าเสื้อด้านซ้าย ตรงตำแหน่งของหัวใจ ‘...อย่าลืม...วอร์มขาให้แข็งละ เราอาจต้องเดินกันไกล’
“คิดอะไรอยู่...” คำถามทางโทรศัพท์ดึงเธอออกมาจากห้วงความคิด
หญิงสาวคลี่ยิ้มบาง ๆ ราวกับคนที่ปลายสายมานั่งอยู่ตรงหน้า ดวงตามองนิ่งราวจะมองไปให้ถึงเกาะที่เคยเจริญอย่างยิ่งแห่งนั้น
“กำลังคิดว่า...เราเดินกันมาไกลแค่ไหนแล้วน่ะค่ะ”
“เตรียมใจไว้เถอะ...ทางข้างหน้าอาจจะไกลกว่านี้”
“ขา ฉันยังไม่ค่อยแข็ง...ออกจะเหนื่อยและงอแงอยู่บ่อย ๆ” เธอเอ่ยกลั้วหัวเราะ “ก็เป็นมนุษย์นี่คะ...เหนื่อยบ้าง อ่อนแอบ้าง เจ็บปวดบ้าง หวาดกลัวบ้างคงไม่แปลกใช่ไหม”
“เหนื่อยมากหรือ...ช่วงนี้” คราวนี้เป็นเขา ที่ทอดเสียงนุ่มเอ่ยคำถามนั้นได้อ่อนโยนยิ่งกว่าใคร
เธอ รู้ว่าไม่ดีที่จะเพิ่มความกังวลให้เขา แต่เธอก็ยังเป็นผู้หญิงที่ซื่อตรงต่อความรู้สึกตัวเอง คำตอบจึงชัดเจน “ค่ะ...มีแต่เรื่องที่ฉันไม่เข้าใจเต็มไปหมด”
เขาไม่เอ่ยปลอบ เธอรู้อยู่แล้วเพราะเขาทำอย่างนี้เสมอ ทิ้งช่วงเวลาแห่งความเงียบให้อารมณ์เธอค่อย ๆ สงบลง แค่ถือสายเอาไว้เงียบ ๆ ให้เธอรู้ว่าเขายังอยู่ข้าง ๆ
ผู้ชายไม่ค่อยพูดคนนั้น มีวิธีปลอบใจเธอด้วยความเงียบที่ได้ผลอย่างไม่น่าเชื่อ
แต่ ไม่ใช่กับครั้งนี้หรอก เพราะครั้งนี้ ความเหนื่อยล้าทั้งหมดของเธอมันหายไปตั้งแต่ที่รับโทรศัพท์จากเขาแล้ว เป็นเธอต่างหากที่ปล่อยเวลาของความเงียบให้เขาได้ซึมซับความรู้สึกของการ อยู่เคียงข้างกัน
ไม่นานเธอก็กระซิบบอก “แต่ได้รู้ว่าพี่และคนที่นั่นเหนื่อยมากขนาดไหน ฉัน...คงไม่มีเวลาจะโอดครวญแล้วละค่ะ ยังมีคนอีกมากมายที่เหนื่อยมากกว่าฉัน พยายามมากกว่าฉัน แล้วอย่างนี้ฉันจะโอดครวญอีกได้อย่างไรละคะ”
ปลายสายหัวเราะเบา ๆ “เราเดินกันมาไกลมากแล้วจริง ๆ ด้วย”
“อย่าเอาคำนั้นมาเป็นข้ออ้างหยุดเดินกับฉันเชียวนะคะ” เธอเค้นเสียงบอกอย่างเอาเรื่อง เรียกเสียงหัวเราะจากปลายสายได้อีกครั้ง
“เปล่าหรอก...พี่แค่คิดว่า เราต่างก็ผ่านอะไรมาไม่น้อย หรืออาจจะมากจนพี่เสพติดการเดินไปกับเธอเสียแล้ว”
หญิงสาวฉีกยิ้มกว้างอย่างยินดี เขาทำให้หัวใจเธอพองฟูได้ง่าย ๆ เหมือนที่เคยเป็น
“เพราะอย่างนั้น...พี่คงไม่ยอมปล่อยมือจากเธอแน่ ๆ”
เธอหัวเราะคิก บอกเสียงใส “ฉันก็ไม่ยอม...ให้พี่ปล่อยเหมือนกันค่ะ”
น่า เสียดายที่นาฬิกาข้อมือไม่เป็นใจ บอกเวลาว่าใกล้เจ็ดโมงเช้าเต็มที นักศึกษาแพทย์ตัวน้อย ๆ อย่างเธอมีภารกิจต้องดูอาการผู้ป่วยก่อนราว์นวอร์ดกับรุ่นพี่แพทย์ควรจะต้อง ไปถึงวอร์ดให้เร็วกว่าเจ็ดโมง
หญิงสาวได้แต่ถอนใจเบา ๆ ด้วยความเสียดาย “ต้องไปราว์นวอร์ดแล้ว วางสายก่อนนะคะ”
“อืม...ตั้งใจเรียนละ”
“เจ้า ค่ะ...ท่านพี่” เธอทำเสียงล้อ แถมย่นจมูกใส่ราวคนพูดมาอยู่ต่อหน้า ก่อนจะเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าเสื้อกาว์น คลี่ยิ้มบาง ๆ เพื่อตัวเองอีกครั้งแล้วสูดลมหายใจเข้าลึก
“โอเคแล้ว...ได้เวลาเดินต่อ” หญิงสาวกระซิบเบา ๆ กับตัวเอง ก่อนจะลุกขึ้นจากโต๊ะ ก้าวตรงไปยังอาคารผู้ป่วยด้วยท่าทางที่พร้อมมากขึ้น
ใช่...เธอพร้อมแล้วที่จะก้าวไปข้างหน้า ไม่ว่าจะเหนื่อยหรือหนักแค่ไหน
เธอพร้อมแล้วที่จะเดินตรงไป ไม่ว่าเส้นทางที่เลือกจะคดเคี้ยวสักเท่าไร
เพราะเธอรู้ว่าไม่ได้เดินมาถึงตรงนี้เพราะโชคช่วย
เพราะเธอรู้ว่าเคยผ่านเรื่องราวมากมายกว่าจะก้าวมาได้
เพราะเธอรู้ว่ายังมีคนอีกมากมายกำลังก้าวไปแม้เหนื่อยล้า
และที่สำคัญ...เพราะเธอรู้ ว่ายังมีคนที่พร้อมจะก้าวไป...ข้าง ๆ กัน
credit : Always ของบาสเก็ตแบนด์ค่ะ มาดูกันว่าวงนี้จะมีเพลงที่ทำให้เราตกหลุมรักพอจะเขียนออกมาเป็นเรื่องราวได้อีกสักเท่าไร
สำหรับ เรื่องนี้...เขียนไว้สำหรับวันที่ลงจากหอผู้ป่วยทารกแรกเกิด แด่ช่วงเวลาที่เหนื่อยและล้าอย่างมากมาย และขอบคุณเพลงเพลงนี้ ที่ทำให้เราผ่านวันเวลาเหล่านั้นมาได้
-----------------------
เจ้า ของร่างแบบบางในชุดนักศึกษาที่มีเพียงเสื้อเชิ้ตปล่อยชายลงมาทับกระโปรงพลี ตตัวยาวทรุดตัวลงนั่งหน้าโต๊ะเขียนหนังสือ คว้าเอาตำราเล่มหนากว่านิ้วมาวางตรงหน้า นั่งจ้องมองตั้งสติอยู่ครู่ใหญ่ก่อนกลั้นใจเปิดอ่านด้วยสีหน้าคล้ายคนจะกิน ยาขม
ไม่ถึงห้านาที หนังสือเล่มหนาก็ถูกปิดลงเสียงดัง เธอเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ที่นั่ง หลับตาลงแล้วถอนใจยาวอย่างอ่อนล้า
ใครนะหลอกลวงประชาชีไว้ว่าเรียนหมอจะได้สบาย เหอะ...ก่อนจะสบายคือความลำบากอย่างแสนสาหัสเลยละ
หญิงสาวยกมือขึ้นปิดหน้า กดปลายนิ้วชี้ลงที่หัวคิ้วทั้งสองข้าง พยายามดึงตัวเองออกจากความเหนื่อยล้าและง่วงงุน
เธอ ไม่ได้หลับมากี่ชั่วโมงแล้วนะ ตั้งแต่เข้าเวรดึกเมื่อสามวันก่อน ความเหนื่อยล้าไม่ได้ทำให้เธอหลับสนิทอย่างคนอื่น แต่มีความกังวลที่แทรกตัวอยู่ในส่วนลึกทำให้เธอข่มตาได้ยากเย็น ตั้งแต่สามวันก่อน จนกระทั่งคืนนี้ที่นาฬิกาบอกเวลาใกล้เที่ยงคืนเข้าไปทุกที
หลับก็ไม่ได้ อ่านหนังสือก็ไม่มีอารมณ์...อะไรชีวิตมันจะน่ารำคาญปานนั้นนะ
จะ โชคดีอยู่บ้างก็ตรงที่ความเหนื่อยล้าทำให้เธอตัดสินใจพักที่หอพักแทนการกลับ บ้าน และเวลาเที่ยงคืนในหอพักก็แทบไม่ต่างอะไรกับหัวค่ำเลยสักนิด
อย่างน้อย...ก็ยังมีคนที่ตื่นเป็นเพื่อนเธอ
“ยังไม่นอนเหรอ” รูมเมทที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จเดินเช็ดผมเข้ามานั่งหน้าโต๊ะที่ติดกัน เธอส่ายหน้าแล้วร้องเบา ๆ
“นอนไม่หลับ”
“หืม...เธอ น่ะนะนอนไม่หลับ” เสียงแหลมร้องอย่างไม่อยากเชื่อ ก็ควรอยู่หรอก เพราะปกติเมื่อเธอพักที่หอในวันซึ่งไม่ต้องเข้าเวร เธอก็ถือเป็นสัตว์ประหลาดประจำหอพักที่นอนหลับตั้งแต่สองทุ่มและตื่นก่อนหก โมงเช้า แถมที่ร้ายคือเธอนอนได้แม้จะมีเพื่อนนั่งติวหนังสือสอบอยู่ในห้องมากกว่าสิบ คน
“อืม...”
“กินยาไหม...เรามีซีพีเอ็ม” รูมเมทพูดถึงคลอเฟนิรามีน ยาแก้แพ้ที่มีผลข้างเคียงคือความง่วง และเพื่อน ๆ หลายคนก็ใช้กินแทนยานอนหลับ
เธอหัวเราะ “เสียใจ...กินมาแต่เด็ก สมองเราเลยไม่รับแล้ว”
“อ้อ...ลืมไป เธอเป็นภูมิแพ้นี่”
“อืม...เศร้าชะมัด นี่ก็ทำท่าว่าไซนัสจะงอแง” เธอถอนใจเบา ๆ ยกมือเคาะโหนกแก้มตัวเอง “พออากาศเปลี่ยนก็แย่ทุกที”
รูมเมทหัวเราะคิก ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ทำเสียงเอาการเอางาน วางท่าเหมือนแพทย์ที่กำลังซักประวัติคนไข้ “มีน้ำมูกไหมคะ”
เธอ ยิ้มบาง ๆ “มีค่ะ...แต่ไม่มาก ออกจะเจ็บคอแล้วก็มีเสมหะ แต่เอ๊ะ...ไม่แน่เหมือนกันว่าเสมหะหรือน้ำมูกนะคะ เหมือนมันจะไหลลงคง ทำให้คันคอแล้วก็ไอน่ะค่ะ ไอมากช่วงกลางคืน กลางวันแทบจะไม่ไอเลยนะคะ”
“โหย...คุณคนไข้ให้ประวัติละเอียดอย่างนี้ วินิจฉัยตัวเองเลยง่ายกว่าไหมคะ”
“ตอนนี้สงสัยโรคเก่าโรคแก่ที่ซี้ปึ้กกันมาตั้งแต่เด็กนั่นละ ถ้าแย่กว่านี้สงสัยต้องเบิกน้ำเกลือมาล้างจมูกแล้ว”
“อืม...ดูแลตัวเองดี ๆ แล้วกัน อยู่วอร์ดเด็กงานยุ่งเสียด้วย”
“เด็ก แรกเกิดยิ่งยุ่ง อะไรไม่รู้...ละเอียดไปเสียทุกอย่าง” เธอเอ่ยกลั้วหัวเราะ “เหมือนเจอโลกใหม่นะ ต้องคิดนั่นคิดนี่แทบทุกรายละเอียดเลย ตั้งแต่กิน ถ่าย หายใจ นอน”
“โหย...แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว”
“นั่นสิ...แถมช่วง นี้เด็กเยอะอีก” เธอถอนใจเบา ๆ “แต่ถ้าจะปลอบใจตัวเองก็ต้องไปดูพวกพี่เดนท์โน่น...พี่คนเดียวต้องดูเด็ก ทั้งวอร์ดเลย พวกเราแค่ไม่กี่คน ถือว่ายังเหนื่อยน้อยกว่าพี่ ๆ เยอะ”
“แหม...มองโลกในแง่ดี”
“ถ้าไม่อยากซึมเศร้าก็ต้องมองกันอย่างนี้ละ”
รูม เมทพยักหน้ารับ เดินไปเอนตัวลงนอนบนที่นอนซึ่งอยู่ชิดติดผนัง อ้าปากหาวกว้างจนแมลงวันแทบจะบินเข้าไปได้ แล้วบอก “ง่วงแล้ว เรานอนก่อนนะ”
“อืม...เดี๋ยวเราปิดไปให้” หญิงสาวบอกแล้วเดินไปปิดไฟ เหลือไว้แต่แสงไฟนีออนจากโต๊ะทำงานที่เธอเพิ่งลุกออกมา
ความ มืดสลัวในห้องมีไอบางอย่างของความเศร้าอวลอยู่ ทำให้คนที่ยังตื่นเผลอยืนมองนิ่ง ๆ อยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่ดวงตาคู่โตจะหลุบลงมองพื้น แล้วช้อนขึ้นอีกครั้งเพื่อพาหยาดน้ำเล็ก ๆ ที่ล้นคลอเข้ามาให้หายไป หญิงสาวเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า หยิบเอาชุดนอนและผ้าเช็ดตัวที่แขวนไว้กับประตูตู้มาถือไว้ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ ถอดชุดออกแขวนกับราวผ้า แล้วเปิดน้ำให้ไหลออกจากฝักบัวลงมาราดหัวและตัวจนเปียกโชก
กี่วันแล้วนะ...ที่เธอปล่อยให้น้ำจากฝักบัวล้างพาหยาดน้ำใส ๆ ออกไปจากตา
ร่างบางกอดตัวเองไว้ใต้สายน้ำ กระซิบคำเบา ๆ ด้วยความอ่อนล้า “เหนื่อย...ชะมัดเลย”
ตี ห้าครึ่ง ไม่ใช่เวลาตื่นสำหรับเด็กหอทั่วไปที่พยายามสงวนเวลานอนไว้ให้มากที่สุดเพื่อ สู้กับความเหนื่อยล้าระหว่างวัน จะมีก็เพียงไม่กี่คนที่ลุกขึ้นมาอาบน้ำ แต่งตัว หรืออ่านหนังสือ เธอเป็นหนึ่งในนั้น แต่ไม่ได้ตื่นเพราะจะต้องการเพิ่มเวลาในการใช้ชีวิต
เธอแค่ตื่น...เพราะไม่สามารถจะหลับพักได้อีกต่อไป
มีคนบอกว่าการตื่นเช้าเป็นกำไรของชีวิต เธอไม่รู้ว่าจริงไหม แต่ที่แน่ ๆ เธอขาดทุนตั้งแต่ที่นอนไม่หลับมาสี่คืนแล้ว
หญิงสาวเงยหน้ามองฟ้าที่ยังไม่สว่างดี ห่อตัวกอดตัวเองแน่นเพราะลมเย็นที่พัดมาแตะผิว
ตั้งแต่เกิดทสึนามิที่ญี่ปุ่น ดูเหมือนโลกจะแปรปรวนไปทั่ว
เธอเดินไปที่โรงอาหาร หกโมงกว่าแล้ว...ร้านอาหารในโรงพยาบาลก็มีเวลาทำงานไม่ต่างกับบุคลากรในโรงพยาบาลนั่นละ
วิถีชีวิตที่เริ่มเมื่อรุ่งเช้า และดำเนินไปจนเกือบเข้าสู่วันใหม่
ปาท่องโก๋ ซาลาเปา กับโกโก้ร้อน ๆ ช่วยให้ความเหนื่อยล้าค่อยคลายลง ยิ่งรสขมของโกโก้ไม่ใส่น้ำตาลทำให้เธอรู้สึกตื่นมากขึ้น อย่างน้อยก็ยังดีกว่าอยากจะหลับก็ไม่หลับ อยากจะตื่นก็ไม่ตื่นแบบที่เป็นมานั่นละ
กี่วันแล้วนะ...อาทิตย์... ไม่สิ...สิบเอ็ดวันแล้ว นับจากวันที่เกิดทสึนามิที่ญี่ปุ่น สื่อทั่วโลกแพร่ข่าวนี้ไปทั่ว เธอเชื่อว่าตอนนี้คงไม่มีใครไม่รู้เรื่องคลื่นยักษ์ลูกนั้น และความเสียหายที่เกิดขึ้น
ทั่วโลกตื่นตัว หาทางช่วยเหลือ หาทางแก้ไขความวุ่นวายที่จะตามมา
น่าดีใจที่อย่างน้อย...มนุษย์โลก ยังมีความเอื้อเฟื้อและห่วงใยกันโดยไม่แบ่งแยกชาติ ศาสนา
หญิง สาวถอนใจเบา ๆ ยกโกโก้ขึ้นดื่ม พอดีกับที่รู้สึกถึงแรงสั่นเบา ๆ ของโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าเสื้อกาวน์ เธอวางแก้วกระดาษลงบนโต๊ะตรงหน้า ค่อย ๆ ล้วงเอาโทรศัพท์เครื่องเล็กออกมา มองดูชื่อที่หน้าจอแล้วก็ลมหายใจก็สะดุดไปชั่วขณะ ก่อนที่เธอจะรู้สึกถึงความเจ็บที่ริมฝีปากเพราะเผลอเอาฟันไปขบเข้าเต็มแรง
เธอ หลุบตาลงมองตักตัวเอง กระพริบตาเบา ๆ ไล่หยาดน้ำตาที่คลอล้นมาให้หายไป ก่อนจะกดรับสาย กลั้นใจอยู่ชั่วขณะเมื่อยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูแล้วเอ่ยคำเบา ๆ
“ค่ะ...”
“รับ โทรศัพท์ด้วยคำนี้อีกแล้ว...ถ้าเป็นคนอื่นโทร.มา เขาคงยังงงแน่ ๆ” ปลายสายเอ่ยเป็นภาษาญี่ปุ่น กลั้วเสียงหัวเราะจาง ๆ ขณะที่หญิงสาวในโรงอาหารนั่งนิ่งแทบลืมหายใจ หัวใจเต้นรัวราวจะโลดออกมาจากอก
แล้วรอยยิ้มบาง ๆ ก็ค่อยระบายขึ้นบนหน้าของหญิงสาว “คงเพราะฉันรู้...ว่าจะต้องเป็นพี่” เธอเอ่ยตอบเป็นภาษาเดียวกัน
“ไม่กลัวจะเป็นคนอื่นหรือ เขาอาจจะโทร.มาบอกว่าพี่เป็นอะไรก็ได้”
“อย่าพูด...คนไทยเขาถือ” เธอดุ
เขาหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วบอก “ขอโทษ...ที่พี่โทร.มาช้า”
“ขอบคุณ...ที่พี่โทร.มา” เธอกระซิบเบา ๆ “และขอโทษ...ที่ฉันไม่กล้าพอจะโทร.ไป”
“ทำไมละ”
“ฉัน กลัวค่ะ...ฉันกลัวถ้าจะมีใครคนอื่นมารับโทรศัพท์ของพี่แทน แล้วก็กลัว...จะกวนพี่ในช่วงที่กำลังวุ่นวาย เพราะอย่างนั้น...ฉันขอรอและเชื่อว่าพี่จะโทร.มาหาเองดีกว่า”
เธอเอ่ยตามตรง ก่อนจะถอนใจเบา ๆ เม้มริมฝีปากตัวเองด้วยความเคยชิน
ใครว่าผู้หญิงอย่างเธอเข้มแข็ง มีแต่เขานั่นละที่รู้ว่าเธอเปราะบางแค่ไหน
บาง ส่วนในหัวใจเธอหลุดหายไปตั้งแต่รู้ข่าวทสึนามิที่ญี่ปุ่น เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าเขาเพิ่งเดินทางไปยังเมืองที่เกิดเหตุ ก่อนหน้านั้นเพียงไม่กี่วัน
ความกลัวล้นเข้ามาจนแน่นในอก แต่น่าตลกที่สิ่งเดียวที่เธอแสดงออกมาได้คือความนิ่งเฉย
จำได้ว่าวันนั้น เธอทำเป็นแค่นั่งนิ่ง ๆ อยู่ที่โต๊ะ มองโทรศัพท์เพื่อรอให้ใครสักคนโทร.เข้ามา
“ขอโทษ...พี่ยุ่งมากจริง ๆ” เขาทอดเสียงอ่อนเบา
“ฉัน เข้าใจค่ะ...ภาวะแบบนั้น พี่ก็ต้องยุ่งเป็นธรรมดา” เพราะเขาเป็นหนึ่งในแพทย์แผนกฉุกเฉินในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยชื่อดัง เมื่อเกิดเหตุวุ่นวายอย่างนั้น และเขาอยู่ร่วมในที่เกิดเหตุด้วย วิสัยแพทย์ ไม่มีทางจะนิ่งดูดาย หรือเดินออกมาโดยไม่ทำอะไรเลย
“เหนื่อยมากไหมคะ”
“ได้ยินเสียงเธอ...พี่ว่าพี่เริ่มจะดีขึ้นแล้วละ”
“ฉันไม่ใช่ยาชูกำลังนะ”
เขา หัวเราะเสียงดังแว่วมาจากปลายสาย ก่อนจะเงียบลงเพื่อทอดเสียงนุ่มบอกอย่างอ่อนโยนเหมือนเวลาที่กระซิบคำปลอบใจ อยู่ข้างหูเธอ “แต่เธอเป็นกำลังใจ...”
หญิงสาวเกือบยิ้มออกมาแล้ว หากเขาไม่เล่าต่อด้วยเสียงเหนื่อยอ่อนที่เธอยังพอจับได้แม้อีกฝ่ายจะพยายาม ซ่อนไว้ “ที่นี่มีแต่เรื่องที่ต้องจัดการ ไม่ใช่แค่พวกหมอ แต่ทุกคนต่างพยายามกันเต็มที่เพื่อจะผ่านเวลานี้ไปให้ดีที่สุด”
“นั่น เป็นหน้าที่ของคนอยู่นี่คะ...เราต่างต้องดิ้นรน เพราะเรายังต้องเดินต่อไปไงละคะ” เธอกระซิบบอกเสียงเบา นิสัยการมองโลกแบบแปลก ๆ เป็นที่รู้กันดีในหมู่เพื่อน
“อืม...เพราะพี่อยากจะเดินต่อไปกับเธอ” เขาวกมาเอ่ยคำหวานได้อย่างนุ่มนวล ขณะที่หญิงสาวได้แต่อมยิ้มอย่างตื้นตันในใจ
เธอ รู้...ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนพูดเก่ง เขาเป็นมนุษย์ผู้เคร่งขรึมตามแบบฉบับชายหนุ่มที่ขลุกอยู่กับตำรามาตลอดชีวิต แต่เขาก็ค่อย ๆ พูดมากขึ้น เพียงเพื่อจะบอกความรู้สึกกับเธอ
ไม่ว่า จะเมื่อไร การได้พบกับเขาก็ยังเป็นหนึ่งในความโชคดีที่สุดในชีวิตเธอ หญิงสาวไม่มีวันลืมช่วงเวลาที่ไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ญี่ปุ่น ความบังเอิญพาเธอไปพบกับผู้หญิงที่ได้รับอุบัติเหตุกลางถนนและมีปอดรั่ว นักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่สามอย่างเธอทำได้แค่นั่งแปะอยู่บนพื้น รอเวลาที่รถพยาบาลจะมาถึง แต่ระหว่างนั้นเขาก็วิ่งเข้ามา ตรวจดูคนป่วยเพียงครู่เดียวก็เปิดกระเป๋าเป้ ดึงเอาเข็มฉีดยาออกมาแทงลงที่หน้าอกของคนป่วย ระบายลมออกมาก่อนที่รถพยาบาลจะมาถึง
นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาและเธอ ได้พบกัน ก่อนที่เธอจะรู้ในภายหลังว่าเขาเป็นหนึ่งในแพทย์ฝึกหัดแผนกฉุกเฉินในโรง พยาบาลที่เธอไปแลกเปลี่ยนนั่นละ
เธอยังจำได้ชัดเจน ในวันที่นั่งมองมือตัวเองด้วยความรู้สึกถึงความอ่อนหัดที่น่ารังเกียจ แปลกที่เขาเหมือนจะเข้าใจ เดินเข้ามาส่งแก้วโกโก้ร้อน ๆ ให้ แล้วบอกเสียงเรียบราวไร้เยื่อใย ‘ฉันไม่ได้มีวันนี้ได้เพราะโชคช่วยหรอกนะ...ถ้าไม่อยากอ่อนหัด...ก็ฝึกตัว เองให้มากกว่านี้สิ’
เขาไร้เยื่อใยพอจะทิ้งเธอไว้กับประโยคนั้นเพียง ลำพังแล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ส่วนเธอก็หน้าด้านพอที่จะหาเรื่องไปใกล้ ๆ เขาตลอดเวลาที่เหลืออยู่ที่นั่น
พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าเธอตกใจและ ดีใจแค่ไหน ในวันที่กำลังจะขึ้นเครื่องบินกลับเมืองไทย และเห็นเขาเดินเข้ามา คงเพราะรู้ว่าเป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว เธอจึงรวบรวมความกล้าส่งนามบัตรทำมือใบสุดท้ายที่เตรียมไว้ให้เพื่อนที่ ญี่ปุ่นให้กับเขาและบอก ‘ฉันไม่อยากอ่อนหัด และจะก้าวไปเรื่อย ๆ...พี่จะช่วยเดินไปกับฉันได้ไหมคะ’
ตอนนั้นเขายิ้มให้ฉันด้วยสี หน้าที่อ่านยากตามแบบฉบับของเขานั่นละ แล้วใส่นามบัตรนั้นลงที่กระเป๋าเสื้อด้านซ้าย ตรงตำแหน่งของหัวใจ ‘...อย่าลืม...วอร์มขาให้แข็งละ เราอาจต้องเดินกันไกล’
“คิดอะไรอยู่...” คำถามทางโทรศัพท์ดึงเธอออกมาจากห้วงความคิด
หญิงสาวคลี่ยิ้มบาง ๆ ราวกับคนที่ปลายสายมานั่งอยู่ตรงหน้า ดวงตามองนิ่งราวจะมองไปให้ถึงเกาะที่เคยเจริญอย่างยิ่งแห่งนั้น
“กำลังคิดว่า...เราเดินกันมาไกลแค่ไหนแล้วน่ะค่ะ”
“เตรียมใจไว้เถอะ...ทางข้างหน้าอาจจะไกลกว่านี้”
“ขา ฉันยังไม่ค่อยแข็ง...ออกจะเหนื่อยและงอแงอยู่บ่อย ๆ” เธอเอ่ยกลั้วหัวเราะ “ก็เป็นมนุษย์นี่คะ...เหนื่อยบ้าง อ่อนแอบ้าง เจ็บปวดบ้าง หวาดกลัวบ้างคงไม่แปลกใช่ไหม”
“เหนื่อยมากหรือ...ช่วงนี้” คราวนี้เป็นเขา ที่ทอดเสียงนุ่มเอ่ยคำถามนั้นได้อ่อนโยนยิ่งกว่าใคร
เธอ รู้ว่าไม่ดีที่จะเพิ่มความกังวลให้เขา แต่เธอก็ยังเป็นผู้หญิงที่ซื่อตรงต่อความรู้สึกตัวเอง คำตอบจึงชัดเจน “ค่ะ...มีแต่เรื่องที่ฉันไม่เข้าใจเต็มไปหมด”
เขาไม่เอ่ยปลอบ เธอรู้อยู่แล้วเพราะเขาทำอย่างนี้เสมอ ทิ้งช่วงเวลาแห่งความเงียบให้อารมณ์เธอค่อย ๆ สงบลง แค่ถือสายเอาไว้เงียบ ๆ ให้เธอรู้ว่าเขายังอยู่ข้าง ๆ
ผู้ชายไม่ค่อยพูดคนนั้น มีวิธีปลอบใจเธอด้วยความเงียบที่ได้ผลอย่างไม่น่าเชื่อ
แต่ ไม่ใช่กับครั้งนี้หรอก เพราะครั้งนี้ ความเหนื่อยล้าทั้งหมดของเธอมันหายไปตั้งแต่ที่รับโทรศัพท์จากเขาแล้ว เป็นเธอต่างหากที่ปล่อยเวลาของความเงียบให้เขาได้ซึมซับความรู้สึกของการ อยู่เคียงข้างกัน
ไม่นานเธอก็กระซิบบอก “แต่ได้รู้ว่าพี่และคนที่นั่นเหนื่อยมากขนาดไหน ฉัน...คงไม่มีเวลาจะโอดครวญแล้วละค่ะ ยังมีคนอีกมากมายที่เหนื่อยมากกว่าฉัน พยายามมากกว่าฉัน แล้วอย่างนี้ฉันจะโอดครวญอีกได้อย่างไรละคะ”
ปลายสายหัวเราะเบา ๆ “เราเดินกันมาไกลมากแล้วจริง ๆ ด้วย”
“อย่าเอาคำนั้นมาเป็นข้ออ้างหยุดเดินกับฉันเชียวนะคะ” เธอเค้นเสียงบอกอย่างเอาเรื่อง เรียกเสียงหัวเราะจากปลายสายได้อีกครั้ง
“เปล่าหรอก...พี่แค่คิดว่า เราต่างก็ผ่านอะไรมาไม่น้อย หรืออาจจะมากจนพี่เสพติดการเดินไปกับเธอเสียแล้ว”
หญิงสาวฉีกยิ้มกว้างอย่างยินดี เขาทำให้หัวใจเธอพองฟูได้ง่าย ๆ เหมือนที่เคยเป็น
“เพราะอย่างนั้น...พี่คงไม่ยอมปล่อยมือจากเธอแน่ ๆ”
เธอหัวเราะคิก บอกเสียงใส “ฉันก็ไม่ยอม...ให้พี่ปล่อยเหมือนกันค่ะ”
น่า เสียดายที่นาฬิกาข้อมือไม่เป็นใจ บอกเวลาว่าใกล้เจ็ดโมงเช้าเต็มที นักศึกษาแพทย์ตัวน้อย ๆ อย่างเธอมีภารกิจต้องดูอาการผู้ป่วยก่อนราว์นวอร์ดกับรุ่นพี่แพทย์ควรจะต้อง ไปถึงวอร์ดให้เร็วกว่าเจ็ดโมง
หญิงสาวได้แต่ถอนใจเบา ๆ ด้วยความเสียดาย “ต้องไปราว์นวอร์ดแล้ว วางสายก่อนนะคะ”
“อืม...ตั้งใจเรียนละ”
“เจ้า ค่ะ...ท่านพี่” เธอทำเสียงล้อ แถมย่นจมูกใส่ราวคนพูดมาอยู่ต่อหน้า ก่อนจะเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าเสื้อกาว์น คลี่ยิ้มบาง ๆ เพื่อตัวเองอีกครั้งแล้วสูดลมหายใจเข้าลึก
“โอเคแล้ว...ได้เวลาเดินต่อ” หญิงสาวกระซิบเบา ๆ กับตัวเอง ก่อนจะลุกขึ้นจากโต๊ะ ก้าวตรงไปยังอาคารผู้ป่วยด้วยท่าทางที่พร้อมมากขึ้น
ใช่...เธอพร้อมแล้วที่จะก้าวไปข้างหน้า ไม่ว่าจะเหนื่อยหรือหนักแค่ไหน
เธอพร้อมแล้วที่จะเดินตรงไป ไม่ว่าเส้นทางที่เลือกจะคดเคี้ยวสักเท่าไร
เพราะเธอรู้ว่าไม่ได้เดินมาถึงตรงนี้เพราะโชคช่วย
เพราะเธอรู้ว่าเคยผ่านเรื่องราวมากมายกว่าจะก้าวมาได้
เพราะเธอรู้ว่ายังมีคนอีกมากมายกำลังก้าวไปแม้เหนื่อยล้า
และที่สำคัญ...เพราะเธอรู้ ว่ายังมีคนที่พร้อมจะก้าวไป...ข้าง ๆ กัน
คนบนดอย
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 เม.ย. 2554, 20:36:06 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 เม.ย. 2554, 20:38:24 น.
จำนวนการเข้าชม : 2242
ChaussonAuxPomme 23 ก.พ. 2555, 20:25:34 น.
...ชอบคะ...^^
...ชอบคะ...^^