เจ้าสาวสีเลือด
เป็นเรื่องแรกที่ได้รับการตีพิมพ์ ยังไม่ค่อยดี สมบูรณ์แบบเท่าไหร่
ยังไงฝากด้วยนะคะ

เมื่อสองหัวใจเจ็บ ๆ มาเจอกัน เปลี่ยนความกลัว ความเสียใจและแผนลวงเป็นความรัก แต่สุดท้ายรู้ว่ารักแท้ของเขาที่มีให้ แท้จริงแล้วเริ่มต้นจากความจอมปลอมทั้งหมด แบบนี้...เธอจะยอมรับมันได้หรือ !
Tags: ดราม่า หวานแหวว

ตอน: เจ้าสาวสีเลือดตอนที่หนึ่ง

ตอนที่ 1
หญิงสาวผมยาวดำขลับถึงกลางหลังค่อยๆ ใช้มือเรียวรวบผมยกขึ้นเกล้าไว้กลางศีรษะ มองต่ำลงไปจากต้นคอระหง ร่างบางในชุดราตรีสีขาวบริสุทธิ์สว่างตาราวกับมีแสงส่องประกายออกมาจากร่างนั้น แก้มสีชมพูระเรื่อริมฝีปากบางสีคล้ายกันกับแก้มมันวาววับ บนใบหน้ามีรอยเปื้อนยิ้มของความสุขกระจ่างทั่วหน้า เธอค่อยๆ ลดมือลงมาดึงกระโปรงพองที่ปลายยาวกรอมเท้าให้สูงขึ้น ก่อนจะหันหลังเดินออกมาจากห้องสีเหลี่ยมเล็ก เท้าคู่สวยเปลือยเปล่าสัมผัสพื้นพรมย่างกรายก้าวเดินช้าๆ จนมาหยุดนิ่งตรงชายหนุ่มในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มที่ยืนหันหลังให้
“ณัฐคะ”
ชายหนุ่มหันขวับตามเสียงเรียกนุ่มนวลนั้น ดวงตาเบิกกว้างพร้อมรอยยิ้มแสดงความพึงพอใจกับว่าที่เจ้าสาวของตนเองเป็นอย่างมาก
“สวยมากเลยครับปราง” ชายหนุ่มเดินเข้ามาพินิจพิจารณาใกล้ขึ้น หญิงสาวหมุนตัวให้แฟนหนุ่มสำรวจความเรียบร้อยบนชุดเจ้าสาวที่สวมใส่ เธอสวยและร่าเริงเหมือนผีเสื้อที่กางปีกบินท่ามกลางสายลมอ่อนๆ ที่พัดผ่าน
“ดูเหมือนชุดจะยาวไปหน่อยนะคะ” ว่าที่เจ้าสาวในอีกหนึ่งอาทิตย์ข้างหน้าก้มมองปลายกระโปรงที่ยาวกองจนเหยียบได้
“อ๋อ... ถ้าสวมรองเท้าก็น่าจะพอดีแล้วละค่ะ” พนักงานสาวในร้านแนะนำ
“เสียดายจังรองเท้าที่ซื้อมาเมื่อกี้ลืมไว้ในรถซะด้วย” ว่าที่เจ้าสาวพึมพำเบาๆ
“งั้นเดี๋ยวผมไปเอามาให้ละกัน”
“ไม่ต้องหรอกค่ะณัฐ ปรางว่าน่าจะโอเคแล้วละรองเท้าส้นมันสูงอยู่นะคะ”
“ไม่ได้หรอกครับเกิดไม่พอดีขึ้นมาจะแก้ไขไม่ทัน เชื่อผมเถอะรอผมแป๊ปเดียว” มือใหญ่อุ่นๆ ของชายหนุ่มกุมมือหญิงสาวพร้อมกับส่งรอยยิ้มกว้างให้ก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินออกไปจากร้าน
“เอี๊ยด... โครม!”
“ว้าย! ช่วยด้วยคนถูกรถชน” เสียงผู้คนแตกตื่นตะโกนโวยวายอยู่นอกร้านเมื่อมีอุบัติเหตุรถยนต์เกิดเบรกแตกชนใครบางคนที่เดินอยู่ข้างถนนกระเด็นไปไกล
“ณัฐ” หญิงสาวในชุดเจ้าสาวหอบลากกระโปรงพะรุงพะรังวิ่งไปดูจุดเกิดเหตุ ในใจก็ได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้เป็นแฟนหนุ่มของตนเลย สองมือกำชุดราตรีขาวดึงไว้แน่นมือเย็นเฉียบพร้อมๆ กับหัวใจที่เต้นสั่นระรัว
“ไม่ ไม่ ไม่นะ” สายตาคู่สวยเริ่มแดงก่ำเมื่อเห็นรองเท้าส้นสูงที่คุ้นตาข้างหนึ่งตกอยู่บนถนน หญิงสาวรีบฝ่ากลุ่มฝูงชนที่มุงดูเข้าไป กวาดสายตามองไปตามร่างที่นอนยาวเหยียดแน่นิ่ง ในมือของเขายังคงกอดรองเท้าอีกข้างไว้แน่น ใบหน้านั้นถึงจะอาบไปด้วยเลือดแต่มันชัดเจนดีในความรู้สึกของเธอว่าเขาคือใคร หญิงสาวปล่อยร่างที่หมดสิ้นเรี่ยวแรงทรุดตัวคุกเข่าลงข้างกายคนที่นอนนิ่งไม่แม้แต่จะขยับเปลือกตา ไม่มีเสียงใดๆ หลุดรอดออกมาแสดงความเจ็บปวดเลยสักนิด คนที่หัวใจคล้ายกำลังจะสลายกัดริมฝีปากตัวเองไว้แน่นขณะที่น้ำตาก็พากันหลั่งไหลออกมาราวกับสายฝนที่ตกกระหน่ำหนักและตามด้วยเสียงสะอื้นถี่ๆ ที่ไม่สามารถจะข่มเก็บไว้ได้อีกต่อไป คนในชุดเจ้าสาวสีขาวช้อนร่างชายหนุ่มซึ่งเป็นที่รักขึ้นมากอดแน่นเสียงสะอึกสะอื้นกับหยาดน้ำตาที่ไหลพรากอาบสองแก้มจากความเสียใจอย่างถึงที่สุด ทรมานจวนเจียนขาดใจตายปล่อยเสียงร่ำไห้โฮออกมาดังเท่าความเจ็บปวดทั้งหมดที่มี
“ณัฐ ณัฐ ไม่เป็นไรนะคะ ณัฐไม่เจ็บใช่ไหม” หญิงสาวพูดเพ้อเหมือนคนที่กำลังจะเสียสติ “ณัฐ ได้ยินปรางไหม” เธอซบหน้าที่ซีดเผือดลงบนใบหน้าของของเขาที่เต็มไปด้วยความเหนียวเหนอะของเลือด และน้ำตาก็ยังคงพากันไหลรินเหมือนมันถูกกลั่นกรองออกมาจากหัวใจที่เจ็บปวดทั้งหมดของเธอ หยาดน้ำตาเหล่านั้นเปียกรดลงบนร่างของชายคนรักที่ตอนนี้ไร้ซึ่งวิญญาณ ความขาวบริสุทธิ์ของชุดเจ้าสาวเปรอะเปื้อนเต็มไปด้วยคราบเลือดแดงฉาน เธอตะโกนขอร้องขอความช่วยเหลือจากคนที่ยืนมุ่งดูอยู่รอบๆ ข้างจนเสียงแหบแห้ง แล้วเสียงกรีดร้องสุดท้ายเสมือนหัวใจดวงเล็กกำลังจะแตกสลายและขาดใจตายตามคนที่นอนอยู่เสียให้ได้ หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ดูสว่างจ้าประดุจว่าจะขอความช่วยเหลือจากเบื้องบนและแล้วเพียงแค่ครู่ภาพท้องฟ้าสดใสนั้นก็ดับมืดดำสนิทลง
“ณัฐ ณัฐ” เสียงละเมอหลุดออกจากปากทำให้ปรายปรางค์ตกใจตื่น ดวงตาคู่สวยเปียกชื้นเต็มไปด้วยน้ำ หญิงสาวกะพริบตาถี่ๆ ไล่เงาน้ำในตาปล่อยให้ไหลออกลงตามข้างขมับ แล้วน้ำใสๆ จากความจริงสู่ฝันร้ายก็ค่อยๆ หยดลงเป็นคราบกับหมอนใบนุ่มที่หนุนนอนอยู่
“ปราง ฝันร้ายอีกแล้วเหรอแก” วริษาเพื่อนสาวคนสนิทเขย่าแขนคนนอนข้างๆ ที่ตัวเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
สำหรับปรายปรางค์ความฝันร้ายแบบนี้มันเกิดขึ้นกับเธอตลอดระยะเวลา 2 ปีครึ่ง ตั้งแต่เหตุการณ์วันนั้นที่ทำให้คนรักของเธอต้องจากไป ความทรงจำอันเลวร้ายเก่าๆ ยังคอยวนเวียนในจิตใต้สำนึกอยู่เสมอมันไม่เคยหายไป อาจจะเลือนรางบ้างในช่วงระยะหลังนี้เพราะได้มีโอกาสเจอเวทิตชายหนุ่มที่เธอยอมเปิดใจอีกครั้งเพื่อคบหาด้วยเป็นเวลาเกือบ 8 เดือนมาแล้ว ที่เขาคนนี้ได้เข้ามาเยียวยาความเจ็บปวดในหัวใจให้จางลง
มือเรียวสวยกุมขมับบีบคลึงก่อนจะค่อยขยับตัวลุกนั่งบนเตียงนอนสายตาจ้องไปที่ภาพวาดสีน้ำมันใส่กรอบรูปไม้แขวนอยู่ข้างผนังห้อง ทุ่งดอกไม้เล็กๆ สีขาวที่ดูแล้วคล้ายยาวไกลออกไปสุดลูกหูลูกตานั้น ทำให้เหมือนว่าจะช่วยผ่อนอารมณ์เครียดขึ้งจากฝันร้ายที่ผ่านมาได้ หญิงสาวสูดหายใจลึกยาวหลับตานิ่งพยายามลบภาพในสมองเมื่อครู่ออกไป มันใช้เวลานานเหลือเกินกว่าจะทำใจได้อย่างทุกวันนี้เธอต้องรักษาเยียวยาทั้งร่างกายและจิตใจที่มันเหมือนเคยตายทั้งเป็นไปแล้วครั้งหนึ่ง เธอเคยเป็นคนที่เอาแต่เหม่อลอยเหมือนไร้วิญญาณมาก่อน แต่ด้วยความรักความห่วงใยจากคนในครอบครัวและเพื่อนแท้ ใช้เวลาเกือบปีที่พวกเขาช่วยกันฟื้นฟูสภาพจิตใจของเธอให้กลับมาเฉกเช่นเดิม
“แปลกนะที่ฝันถึงเขาอีก” ปรายปรางค์เสยผมขึ้นขยี้เบาๆ ตอนนี้ผมเธอยาวแค่เลยบ่าและมันถูกดัดให้เป็นลอนอ่อนๆ สีผมที่เคยดำก็ถูกย้อมกลายเป็นสีน้ำตาลแลดูธรรมชาติ หญิงสาวเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อออกจากความทรงจำเก่าๆ เกือบทั้งหมด 1 ปีที่เริ่มต้นกลับมาทำงานใหม่เป็นพนักงานธนาคารแห่งหนึ่ง ออกจากบ้านสวนของครอบครัวเข้ามาพักอาศัยคอนโดกลางกรุงกับเพื่อนสาว และพบผู้ชายที่ชื่อเวทิตรักครั้งใหม่ที่เธอรู้สึกว่าน่าจะไปด้วยกันได้ดีแต่เมื่อหลายวันก่อนแฟนหนุ่มคนนี้ได้เข้ามาพูดเปรยอะไรบางอย่างที่ทำให้เธอต้องหนักใจ
ปรายปรางค์หันไปดูนาฬิกาปลุกบนโต๊ะข้างหัวเตียงแล้วมาดึงผ้าห่มออกจากตัวเพื่อนสาวที่นอนซุกตัวอยู่ข้างใต้โผล่เพียงหน้าขาวๆ ออกมาเท่านั้น
“กี่โมงแล้วเหรอปราง” วริษายื่นคอยาวออกจากใต้ผ้าห่มชะโงกถามคนที่นั่งอยู่ข้างกาย
“จะ 7 โมงแล้ว”
“ยังเช้าอยู่เลยรีบลุกไปไหนกันเล่า” คนพูดดึงผ้าห่มจากมือเพื่อนมาคลุมโปงต่อ
“ไปเป็นเพื่อนหน่อยซิ”
“วันหยุดจะออกไปไหนแต่เช้าว่ะแก”
“ไปวัด จะไปทำบุญให้ณัฐหน่อย” ว่าแล้วหญิงสาวก็ลุกเดินไปคว้าเสื้อคลุมอาบน้ำกับผ้าขนหนูเดินเข้าห้องน้ำไป
หน้าวัดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ปรายปรางค์และวริษาเดินอมยิ้มอิ่มบุญออกมาจากประตูวัดนั้น ปกติปรายปรางค์ชอบตักบาตรเกือบทุกเช้าก่อนไปทำงานถ้าเวลาไม่เร่งรีบจนเกินไป
“เป็นไงสบายใจขึ้นแล้วซิ” วริษาตบไหล่เพื่อนเบาๆ
“อืม” ปรายปรางค์พยักหน้านิดๆ “ไม่ได้ฝันเห็นเค้ามานาน วันนี้พอตกใจตื่นรู้สึกแปลกๆ เหมือนว่าณัฐมีอะไรจะบอก”
“แกคิดมากไปเอง” เพื่อนสาวผลักศีรษะจนโยกไปข้างหน้า “ลืม ๆ ๆ เลิกพูดชื่อเขาซักทีเดี๋ยวก็จะมาตาปูดตาบวมอีก” คำปลอบโยนแบบหวานๆ นั้นไม่มี แต่สำหรับคนเป็นเพื่อนวิธีนี้ก็คือการปลอบอีกแบบที่ต่างคนก็รู้ดีแก่ใจ
สองสาวก้าวเท้าเดินพ้นประตูวัดออกมาได้เพียงอึดใจเสียงโทรศัพท์มือถือของวริษาก็ดังขึ้น หญิงสาวล้วงมันออกมาจากกระเป๋าถือใบคู่ใจ มองเบอร์โชว์ที่คุ้นเคยดีทำให้คนรับยิ้มเล็กๆ ก่อนจะกดรับสายทักทาย
“ว่าไงจ๊ะ แม่ชะนีขี้เม้าส์” หญิงสาวกลั้นขำ ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นนิ่งเรียบเพราะน้ำเสียงจากคนโทรมาฟังดูลนลาน
“ษาไอ้ปรางอยู่กับแกไหม”
“เออ! อยู่มีอะไรละ”
“ฉันไม่กล้าโทรหามัน ฉันไม่รู้จะพูดยังไงว่ะ” เสียงคนปลายสายที่ร้อนรนทำเอาคนฟังก็ร้อนใจตาม
“มีอะไรก็รีบพูดมาซิแก” วริษาตะเบ็งเสียงใส่มือถือเธอแอบแลตามองปรายปรางค์ที่ยืนข้างๆ ก่อนจะหลบสายตาแล้วค่อยก้าวเลี่ยงออกมาให้ห่างสักนิด บทสนทนาทางโทรศัพท์จบลงกับท่าทีกระวนกระวายของคนที่พึ่งวางสาย วริษาเดินเข้ามามองหน้าปรายปรางค์แน่นิ่งชั่วขณะ ทำหน้าอิหลักอิเหลื่อไม่รู้จะเริ่มพูดอะไรออกมาก่อนให้คนที่อยู่ด้วยตอนนี้เข้าใจ
“ปรางแกไปกับฉัน” วริษาลากแขนเพื่อนสาวให้เดินตามไปขึ้นรถที่จอดอยู่ไม่ไกลนัก
“ไปไหนเหรอษา”
“ไปก่อนละกันเดี๋ยวแกก็รู้เอง” คนขับเหยียบคันเร่งออกตัวแรงตรงไปยังสถานที่ตามคำบอกเล่าจากเพื่อนเมื่อสักครู่
สวนสาธารณะแหล่งรวมคนรักสุขภาพมีผู้คนมาออกกำลังกายเยอะพอสมควร บางครอบครัวชวนกันออกมาเดินเล่น พักผ่อนหย่อนใจในวันหยุดสุดสัปดาห์แบบนี้ วริษาขับรถวนหาที่จอดซึ่งก็วนจนเสียเวลาอยู่หลายรอบกว่าจะโชคดีมีรถคันหนึ่งกำลังถอยตัวออกมาจากที่จอดรถนั้น หญิงสาวรีบขับเข้าไปจอดเสียบแทนที่ทันทีเมื่อรถคันดังกล่าวได้ถอยพ้นห่างออกไป
“เร็วเข้าซิปราง” คนขับเปิดประตูรถอย่างเร่งรีบเธอเดินอ้อมมาจับมือปรายปรางค์ที่พึ่งเปิดประตูรถออกมาไว้แน่น สายตาที่ส่งมายังเพื่อนรักคล้ายอยากจะบอกอะไร
“ไม่ว่าวันนี้จะเกิดอะไรขึ้นแกยังมีฉันอยู่ข้างแกเสมอนะปราง” แววตาแสดงความสงสารและเห็นใจอย่างถึงที่สุด
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมเราต้องมาที่นี่ด้วย” ปรายปรางค์ก้าวขายาวตามเพื่อนที่ไม่มีคำอธิบายใดๆ ออกมาให้เธอได้รู้สักนิดทำเอาคนเดินตามหัวใจเต้นแรงตาม สีหน้าเริ่มจางลงความรู้สึกบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องดีแน่ หญิงสาวผ่อนความเร็วของฝีเท้าลงตามคนที่เดินนำ และเมื่อมือเรียวถูกบีบกระชับมากขึ้นเธอจึงกวาดสายตามองกลุ่มคนเบื้องหน้า เท้าคู่เล็กชะงักหยุดนิ่งความเย็นยะเยือกของสายลมพัดผ่านร่างกายมันเย็นมากจนเข้าไปถึงข้างในหัวใจ สายตาคู่สวยเปลี่ยนเป็นหมองหม่นลงเมื่อเห็นผู้ชายในชุดสูทสีขาวตอนนี้ ความเย็นกลายเป็นความหนาวเหน็บที่ทวีความรุนแรงเหมือนกับพายุหิมะกำลังถาโถมเข้าใส่ตัวเธอ ร่างบางแข็งทื่อในหัวสมองคล้ายหยุดสั่งงานมันมีเพียงความเคว้งคว้างล่องลอย เธอเดินตรงไปหาชายตรงหน้าอย่างช้าๆ มันชาจนไม่รู้สึกถึงจังหวะก้าวเท้าของตัวเองด้วยซ้ำ
“ปรางมาได้ยังไง” ชายหนุ่มในชุดสูทสีขาวที่ยืนคล้องแขนกับผู้หญิงในชุดเจ้าสาวสีขาวเช่นกัน พวกเขากำลังจัดท่าทางเพื่อให้ตากล้องได้ถ่ายรูป ผู้ชายคนดังกล่าวหันมาตกตะลึงเมื่อเห็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญมายืนอยู่ตรงหน้า
“พี่เว นี่มันอะไรกันคะ” คำถามนาบเนิบคล้ายคนจะหมดเรี่ยวแรง เงาน้ำในตาพร่ามัวขึ้นแต่ยังคงไม่มีแม้เสียงสะอื้น
“ปราง....คือ....พี่...พี่” มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่ชายหนุ่มจะอธิบายเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นในเวลานี้เขาได้แต่อ้ำอึ้ง
สายลมพัดวูบใส่หน้าคนที่กำลังจะหมดแรงน้ำตากระจายปลิวไปด้านหลัง เวทิตคนที่เมื่อวานยังเป็นคนรักของเธอแต่เพียงข้ามคืนตื่นมาเขากลับจะกลายไปเป็นเจ้าบ่าวของคนอื่นมันไวมากจนหญิงสาวตัวเล็กๆ ที่มีหัวใจบางๆ จะรับทันไหว
เมื่อเดือนก่อนเวทิตได้เข้ามาเปรยกับหญิงสาวไว้ว่าครอบครัวของเขาอยากจะให้แต่งงานเร็วๆ นี้เนื่องจากเขาเป็นลูกชายคนโตต้องสืบทอดธุรกิจต่อ บิดาและมารดาของเขาที่เริ่มอายุมากขึ้นทุกวันปรารถนาอยากจะเห็นสายเลือดตัวน้อยๆ ออกมาวิ่งเล่นให้ชื่นใจก่อนจะหมดลม ครอบครัวนักธุรกิจที่ค่อนข้างมีฐานะกับเธอแค่ลูกสาวชาวสวนธรรมดามีหรือจะคู่ควรกัน แต่ชายหนุ่มยืนกรานว่าฐานะไม่ใช่ปัญหาเขาคะยั้นคะยอขอร้องให้เธอไปลองชุดแต่งงานทั้งที่เธอไม่เคยคิดและไม่กล้าแม้จะแตะต้องชุดพวกนั้นอีกด้วยซ้ำ เรื่องราวของเธอในวันเก่ามักคอยหลอกหลอนทุกครั้งเมื่อสัมผัสหรือแค่พบเห็นกับชุดเจ้าสาวสีขาวที่หญิงสาวหลายคนปรารถนาที่จะสวมใส่แต่ทว่าไม่ใช่สำหรับเธอ มันยิ่งทำให้ปรายปรางค์กลัวและแน่ใจมากยิ่งขึ้นว่าผู้หญิงอย่างเธอไม่สมควรมีโอกาสได้ใส่ชุดราตรีสีขาวนี้อีก เมื่อวันที่เวทิตแฟนหนุ่มเข้ามาวิงวอนขอร้องเธอด้วยแววตาที่น่าสงสาร
“ปรางไปกับผมเถอะนะครับ”
“ไปไหนคะ พี่เว”
“ก็ไปลองชุดแต่งงานกันไง”
“พี่เวคะเราคบกันไม่ถึงปีเลยนะคะ” หญิงสาวปฏิเสธสีหน้าไม่สู้ดีนัก เธอไม่เคยเล่าเรื่องเหตุการณ์ที่ผ่านมา ที่เคยเกิดขึ้นกับคนรักเก่าให้เวทิตหรือใครอื่นได้รับรู้เลยสักครั้ง มันไม่ใช่เรื่องน่าภิรมย์ที่อยากจะเล่าและคนที่รับรู้เรื่องราวอยากจะเอ่ยถามถึงอีก

“นั้นมันไม่ใช่ปัญหาหรอกขอแค่ปรางตกลงก็พอ” เวทิตเกลี่ยกล่อมจนเธอใจอ่อนจนได้
ปรายปรางค์ใจสั่นหวิวเมื่อเห็นชุดแต่งงาน 2-3 ชุดมาโชว์ตรงหน้า เวทิตตัดสินใจเลือกชุดที่คิดว่าเหมาะกับหญิงสาวให้ด้วยตัวเองเมื่อสังเกตเห็นว่าแฟนสาวเอาแต่ส่ายตาไปมามองชุดพวกนั้นแน่นิ่ง ภาพเลวร้ายที่เคยเลือนรางเริ่มจะชัดเจนขึ้นมาอีกครั้ง หญิงสาวเหงื่อออกฝ่ามือทั้งสองข้างจนเปียกชุ่ม

“ปรางเป็นอะไรไป ไม่สบายหรือเปล่า” เวทิตเดินมาโอบไหล่บางเมื่อเห็นสีหน้าสลดจนซีดจางของแฟนสาว “ผมว่าชุดนี้สวยนะคุณเอาไปลองดูซิครับ”

หญิงสาวยื่นมือสั่นเทาช้าๆ ไปรับชุดจากพนักงานความหวาดหวั่นในใจก่อขึ้น เธอยังคงกล้าๆ กลัวๆ หากกระนั้นก็ค่อยๆ เอื้อมไปจับชุดสีขาวที่สวยราวชุดเจ้าหญิงมาทาบลำตัวมันเป็นจังหวะเดียวกันกับที่เวทิตนั่งลงหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม ในขณะที่เธอหมุนตัวไปให้เขาดูชุด แก้วน้ำในมือของชายหนุ่มกับหลุดตกลงกับพื้นแตกกระจายไปทั่ว จนเศษแก้วบาดมือเวทิตเข้าลึกเลือดไหลออกเยอะเสียจนคนในร้านพากันตกใจ ปรายปรางค์รีบถลาตัวเข้าไปห้ามเลือดในมือแฟนหนุ่มหน้าเธอซีดเผือดเหมือนเป็นคนเจ็บเสียเอง อีกทั้งชุดเจ้าสาวที่เธอจับไว้ไม่ทันระวังทำให้เลือดเปื้อนเลอะเต็มชุดอีกด้วย

“พี่เว ปรางขอโทษ” ปากบางสั่นน้ำเสียงแหบพร่าและสักพักน้ำตาก็ไหลตามออกมาเป็นสาย สำหรับคนอื่นมันก็แค่อุบัติเหตุแต่สำหรับปรายปรางค์เองมันเหมือนลางสังหรณ์ที่มาเตือนเธอว่า อย่า อย่า...

“ร้องไห้ทำไมพี่ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย” ชายหนุ่มใช้มืออีกข้างที่ไม่เจ็บมาลูบศีรษะแฟนสาวเบาๆ

“ปรางจะไม่แต่งงาน ปรางแต่งงานไม่ได้” หญิงสาวส่ายหน้าเร็วๆ เม้มริมฝีปากที่ยังคงสั่นระริกไว้แน่น ประโยคคำพูดที่เธอเปล่งออกมาได้ทำร้ายจิตใจของคนฟังโดยไม่รู้ตัว
และวันนี้ภาพที่หญิงสาวเห็นตรงหน้า ชายหนุ่มที่กำลังจะมีความสุขกับคนที่สามารถร่วมชีวิตกับเขาได้ เธอเองก็น่าจะดีใจด้วย การที่เขาจากไปแบบนี้จากทั้งที่ยังหายใจมันต้องดีกว่าการที่เขาเลือกเธอแล้วอาจจะจากไปตลอดกาล ถึงคิดได้กระนั้นก็ตามแต่สำหรับคนที่เป็นผู้หญิงจิตใจลึกๆ ยังคงต้องการฟังเหตุผลจากปากคนที่รักสักครั้งไม่ว่ามันจะเป็นเหตุผลที่ทำร้ายจิตใจสักแค่ไหนก็ยังอยากฟังอยู่ดี

“พี่จะแต่งงานกับเธอ แล้วปรางละคะ” หญิงสาวกลั้นใจถาม ตอนนี้เสียงสะอื้นเริ่มหลุดลอดออกมาถึงแม้จะกัดฟันข่มไว้ก็ตาม

“พี่ขอโทษ” ใบหน้าเศร้ากับแววตาแสดงความรู้สึกสำนักผิดถ่ายทอดมาถึงหญิงสาว แน่นอนทุกคนย่อมมีเหตุผลของตัวเองเธอไม่โทษเขาหรอกกับสิ่งที่มันเกิดขึ้นวันนี้ มันไม่ใช่ความผิดของเขามันคือความผิดของเธอที่หวาดกลัวกับเรื่องราวในอดีตจนไม่กล้าพอ

ปรายปรางค์ก้าวถอยหลังแล้วหันเดินกลับออกมาจากตรงนั้น ขาเรียวหนักอึ้งเหมือนกับมีใครเอาเหล็กหลายสิบกิโลมาถ่วงไว้ หญิงสาวเดินลากกายที่คล้ายกับคนบาดเจ็บสาหัสเข้ามาหาเพื่อนรัก ความอัดอั้นที่เก็บกักไว้เมื่อครู่นี้ได้ระเบิดพรั่งพรูออกมา วริษาอ้าแขนรอรับร่างนั้น คนอ่อนล้าโผเข้ากอดเพื่อนสาวแน่นร้องไห้สะอึกสะอื้นจนตัวโยนน้ำตาเปียกโชกเต็มเสื้อของคนที่รองรับ วริษาสวมกอดปลอบใจมือลูบลงตรงกลางหลังที่สั่นสะท้าน ประโยคสุดท้ายคำ ‘ขอโทษ’ คงดังก้องอยู่ในโสตประสาทของปรายปรางค์ จะให้เธอทำยังไงได้จะตีอกชกหัวหรือกรีดร้องสุดเสียงมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้วในเมื่อตัวเธอเองไม่สามารถเลือกทางที่ชายหนุ่มต้องการได้




กันเหงา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 พ.ค. 2555, 06:06:48 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 พ.ค. 2555, 06:06:48 น.

จำนวนการเข้าชม : 1431





   เจ้าสาวสีเลือดตอนที่สอง >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account