กาลรักปักใจ (สำนักพิมพ์ Touch Publishing)
ถ้าความรักที่มั่นคงต่อ 'กรบูร'
ทำให้ 'กรรเกด' สามารถกลายร่างเป็นสาววัย20
ในนาม 'กุ้งนาง'
เพื่อสานต่อความรักกับ 'กานต์กันย์'
ซึ่งมีบุคลิกหน้าตาเหมือนคนรักเก่า
การผลัดเปลี่ยนตัวตน เพราะความประหลาดมหัศจรรย์
จะช่วยทำให้เธอสมหวังในความรักหรือไม่?
เมื่อ 'เปรียว' คือก้างขวางคอชิ้นใหญ่
................
กาลเวลาที่ยังอยู่ในช่วงหนึ่งของความทรงจำ
จะมีพลานุภาพให้กับความรักได้สมดังหวังหรือไม่?
แล้วเธอจะเลือกชีวิต 'กรรเกด'
หรือเธอ...จะเลือกชีวิต 'กุ้งนาง'
เพื่อค้นหาความรักกับการรอคอย



Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 3

ตอนที่ 3

ตั้งแต่กลับมาจากที่ทำงาน กรรเกดนั่งแทบไม่ติดที่ เมื่อใจมันลอยหายไปกับหนุ่มรุ่นน้อง หล่อนเดินไปเปิดโทรทัศน์ แต่สายตาก็ไม่ได้จับจ้องไปยังภาพข่าวหรือละครที่กำลังฉาย ครั้นจะมานั่งทำงาน แรงบันดาลใจในการลงสีแบบเสื้ออีกสิบกว่าชุดก็เหมือนยังไม่พรั่งพร้อม

ไม่ใช่สาเหตุใดเลย...หัวใจเป็นตัวการแท้ๆ

ดังนั้นกรรเกดจึงลุกขึ้นไปผลัดเสื้อผ้า เพื่อเตรียมตัวไปอาบน้ำ หวังชำระความคิดอันสับสนไปพร้อมกับสายน้ำเย็น

ครึ่งชั่วโมงกับการจมอยู่ในเรื่องราวของกานต์กันย์ ระหว่างอาบน้ำ เริ่มผ่อนคลายลงบ้าง...แต่ถ้อยคำบางอย่างที่ชายหนุ่มทิ้งท้ายไว้ก่อนกลับนั่นปะไร ที่เป็นเหมือนคำถามในใจหล่อน

‘ผมรู้สึกว่าบางทีก็ดูคุ้นตากับพี่เกดไม่น้อยครับ’

แต่ยังไม่ทันไขความกระจ่างในคำพูด เสียงโทรศัพท์จากมือถือของเขาก็ดังขึ้น หลังจากที่เขาวางสายแล้ว จึงรีบขอตัว บอกกับหล่อนว่ามีธุระด่วน ฝากให้หล่อนบอกกล่าวกับคุณนรา

‘พรุ่งนี้ผมจะแวะเข้ามาที่ออฟฟิซอีกครับ’

เขาบอกกับหล่อน หลังจากที่หยิบกระดาษแผ่นเล็กมาเขียนอะไรยุกยิก แล้วส่งให้กับมือ พอหล่อนคลี่กระดาษแผ่นนั้นดู จึงปรากฏหมายเลขโทรศัพท์

‘เบอร์ผมครับ...เผื่อว่าพี่เกดมีธุระด่วนอะไร เราจะได้ติดต่อกัน’

วินาทีนั้นหล่อนเหมือนจะงุนงง ไม่ทันได้เอ่ยปากโต้ตอบ กานต์กันย์ก็ยกมือขึ้นสวัสดี แล้วเดินออกไปจากออฟฟิซ

หล่อนเบลอจนแม้กระทั่งลืมถามไถ่เสียด้วยซ้ำ ว่าเขาจะกลับยังไง...รวมถึงเรื่องราวอีกมากมายจิปาถะ ที่ใคร่รู้ในตัวเขา

กรรเกดอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดลำลอง มือข้างหนึ่งถือผ้าขนหนูผืนเล็ก ยีผมที่กำลังหมาดน้ำ หล่อนเดินมายังหน้ากระจกบานเดิมในห้อง ละมือจากผ้าขนหนู ใช้มือทั้งสองข้างเสยผม จนเห็นองค์ประกอบในหน้าเด่นชัด

แล้วหล่อนก็พูดประโยคเดิมอันคุ้นเคย...เสียงนั้นแผ่วเบาราวกับกระซิบ

หากหล่อนก็ยิ้ม ความสุขใจฉาบฉายไปทั่ว คำตอบจากปากกรบูรที่เคยได้ยิน ซึ่งหล่อนมักพูดเลียนเสียงออกมาเสมอ บัดนี้กลับดังก้องทุ้มอยู่ในใจ

‘จะมีใครสวยเท่าเกดคงไม่มี’

คำเดิม ที่หล่อนไม่เคยเบื่อ ถ้าหากจะได้ยินอีกสักครั้งก็คงดี...ก่อนที่ตนเองจะเคลิ้มฝันไปยังภาพอดีต หล่อนถอนหายใจทิ้ง แล้วหยิบหวีหน้ากระจกขึ้นแปรงผม แต่ระหว่างก้มๆเงยๆอยู่นั้น เป็นเพียงวินาทีเดียวก็ว่าได้ แต่สาบานว่าหล่อนเห็น

หล่อนเห็นตนเองไว้ผมยาวอยู่หน้ากระจก!

กรรเกดลุกพรวด ถอยกรูดจนเก้าอี้นั้นล้มลงกับพื้น ใจเต้นแรงขึ้นเป็นสองเท่า ไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดกัน หล่อนกะพริบตาถี่ ขณะใช้สองมือลูบหน้าขึ้นลง และจับต้องตามเนื้อตัวตนเอง ว่ายังอยู่ปรกติดีหรือไม่

มือข้างหนึ่งเอื้อมไปยังกระจกด้านหน้า ลูบไปมาก็ไม่เห็นถึงความผิดปกติ
หรือว่าสิ่งที่เห็นเกิดจากจิตใต้สำนึก...นี่หล่อนมีความปรารถนาแรงกล้าที่อยากจะย้อนคืนวันเป็นตัวเองเมื่อสิบปีก่อนเช่นนั้นหรือ

แทบไม่ต้องถามเลยว่าเพราะอะไร…

หญิงสาวทิ้งตัวลงบนที่นอน ไม่มีแก่ใจเหมือนทีแรก ที่จะนั่งโต๊ะเพื่อทำงานต่อ หลังจากอาบน้ำเสร็จ เพราะตอนนี้ความสับสนพลุ่งพล่านอยู่ในหัว ราวกับมีก้อนเมฆสีเทาขมุกขมัว อึมครึมบดบังความสว่างเอาไว้

จะให้ข่มตานอน เห็นทีก็คงไม่หลับ มองนาฬิกาเป็นเวลาใกล้สามทุ่ม ไม่รู้ตอนนี้กานต์กันย์จะอยู่ที่ไหน หรือกำลังทำอะไรอยู่...แล้วหล่อนก็นึกถึงตัวเลขทั้งสิบ อันเป็นเบอร์โทรศัพท์ของหนุ่มรุ่นน้อง หล่อนจำมันได้ขึ้นใจเสียแล้ว ทั้งที่ยังไม่เคยต่อสายไปสักครั้ง

กรรเกดเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์ที่หัวเตียง กดหมายเลขตามความจำ ลังเลใจว่าควรจะโทรหาเขาหรือไม่...แล้วข้ออ้างล่ะ?

สุดท้ายก็นึกได้แค่เรื่องงาน...

กรรเกดจึงต่อสายทันที ระหว่างรอสาย เสียงหัวใจมันเต้นตึกตัก พอได้ยินเสียงทางปลายสายเท่านั้น หล่อนแทบพูดไม่เป็นคำ

“เอ่อ...สวัสดีค่ะ...ใช่เบอร์ของน้องกานต์รึเปล่า”

“ใช่ครับ...แต่ตอนนี้เจ้าของเครื่องลงไปข้างล่าง มีข้อความอะไรจะฝากไหมคับ”

เสียงสุภาพของผู้รับสาย ทำเอาหล่อนโล่งใจ รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก ทั้งที่ใจจริงก็อยากให้ชายหนุ่มรับสาย ดังนั้นหล่อนจึงรีบตัดบท

“พอดีจะโทรมาคุยเรื่องงานกับน้องเขาน่ะค่ะ แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่จะติดต่อมาใหม่ งั้นพี่ไม่รบกวนแล้วนะคะ”

“จะให้กานต์มันโทรกลับไหมครับ”

“ไม่เป็นไรค่ะ”

หล่อนรีบตัดสายทิ้ง ก่อนจะปิดเครื่อง ยิ้มอย่างมีความสุข เพียงแค่ได้โทรไปหาเขา...มันเป็นอะไรกันนะ ความรู้สึกแบบนี้ ไม่เข้าใจตัวเองเลย

หญิงสาวพลิกกายหันไปด้านข้าง แล้วกลิ่นหอมของดอกการบูรอันคุ้นเคย ก็ลอยมากระทบโสตประสาทอีกครั้ง หล่อนจึงเหลือบมองไปยังโถแก้วข้างโคมไฟ ดอกการบูรอบแห้งสีน้ำตาลเข้ม ดอกเล็กๆของมันถูกบรรจุไว้เป็นที่ระลึกความทรงจำภายในโถนั้น

นอนมองไปพลาง ทอดอารมณ์คิดถึงวัยวัน...

.................................................................

ภายใต้ร่มเงาของต้นการบูรสูงใหญ่ ลำต้นตั้งตรง หากแผ่กิ่งก้านสาขาเป็นวงกว้าง ใบสีเขียวซึ่งเรียงสลับเป็นรูปไข่ ระบัดใบตามสายลม ช่อดอกเล็กแยกแขนงสีเหลืองอ่อน ส่งกลิ่นหอมกรุ่นกำจาย มายังสองหนุ่มสาวคู่รัก ซึ่งฝ่ายหนึ่งนอนทอดร่างราบไปกับพื้นหญ้าสีเขียวแกมน้ำตาล หนุนตักอีกฝ่ายซึ่งนั่งขัดสมาธิ

‘ทำไมเกดต้องไปทำงานที่กรุงเทพฯด้วยล่ะ’

กรบูรเอ่ยขึ้น ขณะมือข้างหนึ่งยังคงลูบเส้นผมยาวสลวยของกรรเกด ซึ่งศีรษะหล่อนนั้นหนุนอยู่บนตักเขา หล่อนวางหนังสือนิยายซึ่งกำลังอ่านอย่างเพลิดเพลินใจลง เหลือบตามองผู้พูด มือข้างหนึ่งเอื้อมขึ้นมาบีบจมูกเบาๆ

‘ทำไมบูรถึงขี้งอนจังเลยล่ะคะ ไหนว่าเราเคยคุยกันแล้วยังไง ว่าบูรจะไม่ห้าม ถ้าเกดได้งานทำอย่างที่เกดชอบ’

‘แต่มันกะทันหันจังเลยครับ เท่ากับว่าผมจะต้องอยู่ห่างกับเกด กว่าจะได้เจอกัน ก็คงไม่บ่อยเหมือนแต่ก่อน’

กรรเกดยันกายลุกขึ้นนั่ง ‘เชียงใหม่กับกรุงเทพฯ ไม่เห็นจะไกลกันเลยค่ะ ถ้าบูรคิดถึงเกด ก็แวะไปหาได้เสมอ’

‘ถ้าอย่างนั้นผมจะไปหาทุกอาทิตย์’ กรบูรพูดจริงจัง

ชายหนุ่มมองคนรักด้วยความรู้สึกหลายอย่างประกอบ ทั้งห่วงใย ทั้งคิดถึง และแฝงความหวงแหนไว้ในนั้น เพราะเมืองกรุงเต็มไปด้วยความศิวิไลซ์ แม้เจริญไปด้วยวัตถุ แต่เรื่องของจิตใจมนุษย์นั้นยังยากไซร้ที่จะทำความเข้าใจ ผู้หญิงที่ว่านอนสอนง่าย หัวอ่อนไม่ทันคนอย่างกรรเกด เขาเกรงว่าหล่อนจะไม่อาจทันเล่ห์เหลี่ยมความคิดของใครต่อใคร

อีกทั้งหล่อนต้องไปพำนักอยู่ตามลำพัง...มันจึงอดห่วงไม่ได้

‘ให้มันพูดจริงเถอะค่ะ ขี้คร้านถึงเวลานั้น บูรจะเบื่อเกดเสียก่อน ขี้เกียจเทียวไปเทียวมา สุดท้ายจะแอบไปมีคนอื่นล่ะไม่ว่า’ หญิงสาวทำท่างอนไม่จริงจังนัก

‘เกดอย่าพูดแบบนั้นนะครับ น่าจะรู้จักนิสัยผมดีกว่าใคร ว่าผมเป็นคนรักใครรักจริง แล้วชีวิตนี้ผมก็จะรักแต่เกดคนเดียว ตราบชีวิตจะหาไม่’

กรรเกดรีบเอามืออุดปากฝ่ายชาย กึ่งขันกึ่งยิ้ม เพราะคำพูดของเขา ‘ไปจำคำพูดแบบนี้มาจากไหนกันนะ ลิเก๊ ลิเก’

ชายหนุ่มจึงหัวเราะขึ้นบ้าง ‘จำมาจากที่เกดเล่า เวลาอ่านนิยายนั่นล่ะ’

กรรเกดกระถดร่างมานั่งเคียงชายหนุ่ม หยิบหนังสือนิยายที่อ่านค้างขึ้นมาวางไว้บนตัก ‘ถ้าบูรรักเกดเหมือนอย่างที่พูดจริง อย่างนั้นต้องสัญญา’

‘อย่าบอกว่าจะให้พูดคำสัญญา เหมือนอย่างที่นิยายชอบเขียน’

กรรเกดจึงหยิบหนังสือในมือทุบเบาๆไปยังหน้าตักชายหนุ่ม ‘ถ้าอย่างนั้นเกดถือว่าบูรพูดไม่จริง’

กรบูรจ้องตาอีกฝ่ายอย่างแน่วแน่ แสงอ่อนของยามเย็นลอดผ่านกิ่งใบของต้นไม้ สีอ่อนนวลตากระทบลงบนหน้าฝ่ายหญิง ดวงตาหล่อนทอแสงพราวชวนฝัน เขารู้สึกอยากแสดงออกมากกว่าคำพูดแค่ไม่กี่คำ แต่เมื่อจ้องตาหล่อน เขาจึงยอมจำนน

‘ใช้หัวใจสัญญา แทนคำพูดได้ไหม’

‘เลี่ยน’ แต่กระนั้นกรรเกดก็ยิ้มไม่หุบ ‘เกดถือว่าคำเมื่อกี้ เป็นคำสัญญานะ เกดจะได้มั่นใจว่าต่อไปความรักของเราสองคน ไม่ว่ามีเกิดอะไรขึ้น มีอุปสรรคแค่ไหน หรือจะอยู่กันห่างไกล แต่เราก็ยังรักกัน’

คำพูดของกรรเกด ‘หวาน’ จากความรู้สึกนึกคิด ซึ่งกลั่นมาจากหัวใจ หล่อนแหงนหน้ามองใต้เงาต้นการบูร เห็นแสงระยับพราวเป็นแฉกเล็กๆตามช่องว่าง

‘ขอให้ต้นการบูรต้นนี้จงเป็นพยาน เกดจะรักบูรคนนี้คนเดียว ไม่ผิดจากคำ’

หล่อนผินหน้ากลับมามองเขา ชายหนุ่มเห็นดังนั้น จึงแหงนหน้าตามหล่อนบ้าง ในขณะที่วงแขนโอบรอบลำตัวหล่อนให้กระชับ มืออีกข้างกุมมือหล่อนแน่น

‘ต่อให้ผมกับเกดต้องอยู่ห่างกันไกล ไม่ว่าจะเป็นกี่ภพกี่ชาติ ผมก็จะรักผู้หญิงคนนี้เพียงคนเดียว จนลมหายใจสุดท้าย’

‘คำสัญญา’ ระหว่างกัน อันเกิดจากความรักของคนสองคน ถูกถ่ายถอดทางแววตา เมื่อต่างหันหน้าเข้าหากัน กรบูรโน้มหน้าก้มไปยังฝ่ายหญิง แล้วจึงบรรจงพรมจูบกลางหน้าผาก

ช่วงเวลานั้นเหมือนโลกทั้งใบหยุดเคลื่อนที่ กาลเวลาหยุดเดิน เป็นความรู้สึกของชายคนรักพึงมีแก่หญิงในดวงใจ แล้วเขาก็เหลือบมองไปยังหน้าปกนิยายในมือหล่อน ก่อนจะเอื้อนเอ่ย

1‘โซ่ตรวน ผูกรัด สักร้อยหุน ใจมั่น มุ่งหัก ทลายได้’

จบประโยคนี้ ฝ่ายหญิงพูดขึ้นเสียงคล้องคลอไปกับคนรัก ‘แต่ใยรัก บางเบา สักเท่าใด ผูกพันไว้ แนบสนิท นิจนิรันดร์’

คำโปรยหน้าปก ‘ทวิภพ’ ความรักที่ก้าวผ่านไปยังสองภพ เป็นดั่งถ้อยสัญญาแก่กันว่าความรักของทั้งคู่จะยืนยง ก้าวข้ามแม้กาลเวลา

‘เดี๋ยวนี้บูรชักจะสำบัดสำนวน แอบเอาคำจากนิยายมาใช้อยู่เรื่อย...ให้มันจริงเถอะ ว่าจะรักเกดไม่ต่างจากแม่มณีจันทร์ กับเจ้าคุณอัครเทพวรากร’

จากนั้นทั้งคู่จึงหัวเราะให้แก่กัน ลืมเรื่องราวก่อนหน้า ที่ยังคงพูดกระเง้ากระงอดถึงการต้องไปทำงานประจำยังกรุงเทพฯ...แล้วการไปเริ่มงานอันเป็นที่ชื่นชอบของกรรเกด ก็ค่อยๆพาเอาความห่างเหิน เข้ามาแทรกซึมในชีวิต จากน้อยไปหามาก

.....................................................
1.คำโปรยหน้าปกจากนวนิยาย ทวิภพ ของ ทมยันตี


เมื่อช่วงหนึ่งของความสุขในอดีต ย้อนมาให้กรรเกดได้รำลึกถึง ความอิ่มเอมจึงส่งผลให้หล่อนพร้อมจะลุกกลับไปยังโต๊ะทำงาน เพื่อลงสีในแบบร่างเสื้อผ้าให้เสร็จสิ้น

ฝาผนังด้านหนึ่ง นอกจากกระดานขนาดใหญ่ที่ปักหมุดแผ่นกระดาษโน้ตสำคัญ ทั้งเรื่องตารางงาน ทั้งเรื่องรายละเอียดที่หล่อนจะใช้เก็บข้อมูลในการออกแบบ ยังมีแบบเสื้อผ้าแฟชั่นซึ่งกำลังเป็นที่นิยมถูกตัดแปะไว้เป็นต้นแบบ

ส่วนบนโต๊ะทำงาน มีเครื่องคอมพิวเตอร์วางชิดไว้มุมหนึ่ง ซึ่งหล่อนนั้นเปิดหน้าจอคอมพ์ทิ้งไว้ตามปกติ ส่วนพื้นที่ที่เหลือบนโต๊ะนั้น มีกระดาษขาวซึ่งสเกตช์แบบเสื้อค้างไว้ หล่อนหยิบกระดาษแผ่นบนสุดขึ้นมาดู แบบร่างดินสอเป็นชุดของนางแบบประมาณสามชุด

กรรเกดหยิบพู่กันขึ้นจุ่มสีน้ำ ซึ่งหล่อนบีบแม่สีทั้งสามไว้ในถาดผสมสี หล่อนแต้มลงไปยังกระดาษ...นางแบบของหล่อนไว้ผมหยิกฟู ประดับด้วยดอกไอริสสลับกับหมวกสานใบใหญ่ สวมท็อปจับเดรปคลายๆกับกระโปรงบาน และเดรสผ้าถัก ส่วนอีกสองชุดที่ออกแบบให้เข้ากันเป็นชุดกระโปรงซาตินพิมพ์ลายด้วยเฉดสีสดและก่ำ ทั้งแดงเครื่องเทศ รวมถึงส้มแดด

หล่อนค่อยๆระบายสีอย่างอารมณ์ดี พร้อมกับทำรายละเอียดประกอบรูปภาพไว้ว่าแต่ละชุดมีเนื้อผ้าชนิดใด เหมาะจะใช้สีชนิดใด เพื่อเป็นการง่ายต่อผลการพิจารณาของที่ประชุม ให้อนุมัติผลิตผลงานออกจำหน่ายในห้องเสื้อ รวมถึงเป็นแนวทางที่ฝ่ายผลิตงานขั้นตอนต่อไป จะได้ง่ายต่อการเลือกสรรเนื้อผ้าให้ตรงตามแนวทางที่กำหนด
บางครั้งที่หญิงสาวลงสีไม่ได้ดั่งใจ หล่อนก็มักจะขยับกายคลายเมื่อยจากเก้าอี้ที่นั่ง ลงไปนั่งกับพื้นบนพรมหนาสีเทาตุ่น แล้วก็เลือกหยิบนิตยสารแฟชั่นหัวนอก ซึ่งวางกองกับพื้นเป็นตั้งสูง ชิดขอบกำแพงบ้าง อยู่ในชั้นไม้หนาเนื้อแท้บ้าง เพื่อจะเปิดหาข้อมูลเพิ่มเติมในการทำงาน

นิตยสารแฟชั่นวีคแต่ละหัว ค่อนข้างมีความจำเป็นแก่อาชีพดีไซเนอร์โดยตรง เพราะนักออกแบบเสื้อผ้าที่ดี ควรมีความคิดอ่าน ‘ริเริ่ม’ มองเห็นความล้ำสมัยของโลกแฟชั่นในวันข้างหน้าก่อนใคร และต้องกล้าที่จะ ‘ฉีก’ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ซ้ำ และมีแนวทางอันโดดเด่น ให้เป็นที่น่าจับตามอง

งานของกรรเกดพัฒนามาจากเป็นเพียงแค่ผู้ช่วย กว่าจะเป็นที่รู้จักทั่ววงการแฟชั่น ต้องอาศัยประสบการณ์ค่อนข้างสูง เรียกว่าชั่วโมงบินต้องมาจากพรแสวงมากกว่าผู้อื่น มิใช่เกิดจากพรสวรรค์อย่างเดียว

เมื่อกรรเกดลงสีเสื้อผ้านางแบบใกล้เสร็จ หล่อนก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อตอนประชุมช่วงบ่าย คุณนรากำชับเรื่องของรองเท้าที่นายแบบจะสวมให้เข้ากับเสื้อผ้าที่ออกแบบไป หล่อนจึงรีบเปิดหาตามหน้าแฟชั่น ว่าควรจะเป็นรองเท้าแบบไหน

แล้วก็ต้องนึกหน้านายแบบที่จะมาลองชุด เพื่อสวมรองเท้าใช้งานจริง...ถ้าอย่างกานต์กันย์ หล่อนมองว่าเหมาะที่จะสวมรองเท้าตามกระแส คือเทรนด์รองเท้ากะลาสี น่าจะเน้นหนักไปที่สีสดตัดกับเชือกและพื้นขาว คงเหมาะกับลุคใหม่ของเสื้อผ้าฝ้ายหน้าร้อน

เมื่อเจอทรงรองเท้าที่ต้องการ หล่อนจึงใช้ที่คั่นหนังสือมาคั่นเอาไว้ แล้วก็เลยมองรองเท้าอีกแบบ คือ OXFORD SHOES ประมาณสีม็อกค่าและคาราเมล ซึ่งน่าจะเป็นสไตล์คลาสสิกตลอดกาลยามสวมกับเสื้อผ้าลุคนักธุรกิจ

แต่ระหว่างที่กำลังดูภาพเพลิน สลับกับอารมณ์อันบรรเจิด จู่ๆไฟในห้องก็กะพริบติดกันถี่ๆหลายครั้ง คล้ายไฟตกก่อนที่จะดับวูบจนภายในห้องนั้นมืดสนิท

กรรเกดอุทานเบาๆ ไม่ได้ตกใจ เพราะคิดว่าคงจะดับชั่วประเดี๋ยว หากนั่งรอสักพัก ก็ไม่มีวี่แววว่าไฟจะติด หล่อนจึงใช้มือคลำสะเปะสะปะตามความคุ้นเคยในห้อง เพื่อควานหาเทียนหอมซึ่งออกแบบเป็นรูปมะเฟืองสีม่วง เมื่อคลำเจอจึงหยิบไฟแช็กข้างกันขึ้นมาจุดไฟ

ความสว่างจากเทียนหอม พอให้เห็นโดยรอบห้อง...นี่นับเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ ที่ไฟดับ หล่อนเบื่อหน่ายและเอือมระอาคอนโดฯที่นี่ก็ตรงนี้ล่ะ จะต่อสายลงไปยังเคาน์เตอร์ชั้นล่าง พนักงานก็คงให้คำตอบเหมือนเดิมว่า...รอสักครู่

ดังนั้นหล่อนจึงตั้งใจว่าจะเดินไปเปิดกระจกบานใสซึ่งกั้นไว้ระหว่างริมระเบียง เพื่อจะคลายอากาศอันอบอ้าวชั่วพลัน เมื่อเปิดบานประตูกระจกออกไปชิดข้างหนึ่ง ลมเบื้องนอกม้วนตัวเข้ามาจนผ้าม่านพลิ้วไหว ความเย็นยามค่ำคืนทำให้สมองปลอดโปร่ง จึงคลายความมืดตามลำพังออกไป

ถ้ายังมีใครสักคนอยู่ข้างกัน...หล่อนก็คงไม่รู้สึกเงียบเหงาวังเวงใจเช่นนี้

แต่ระหว่างที่คิดอะไรเพลินๆ หล่อนได้ยินเสียงบางอย่างดังกุกกักอยู่ด้านหลังผนังฉากกั้นลายเขียนสี หล่อนนิ่งฟังเพื่อให้แน่ใจ...แล้วเสียงมันกลับชัดขึ้น

แม้จะเริ่มไม่แน่ใจในเสียงนั้น...แต่ก็ไม่ได้นึกกลัวไปไกลกว่าความคิด เพราะหล่อนมิได้นึกถึงเรื่องผีสางนางไม้แต่อย่างใด หล่อนคิดว่าอาจเป็นเสียงของหนู ซึ่งไม่น่าจะหลุดรอดเข้ามาในห้องนอนของหล่อนได้

หล่อนสืบเท้าเข้าไปใกล้ ค่อยเยื้องย่างช้าๆ ในมือยังคงถือเทียนหอมนำทางสว่าง กลิ่นหอมของการบูรยังคงลอยมากระทบปลายจมูกเป็นระยะ แล้วเมื่อเดินไปใกล้ด้านหลังฉากกั้น เสียงที่ดังกึกกักก็หายไป แต่หล่อนกลับรู้สึกว่ากลิ่นหอมของการบูรกลับแรงขึ้น

มันหอมจนฉุน...จนต้องยกสันมือขึ้นขยี้จมูก

แล้วจากนั้นเสียงที่เงียบไปเมื่อครู่เหมือนจะดังขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้เหมือนดังมาจากทางชั้นวางอุปกรณ์เสริมสวยด้านข้างกระจกบานยาว หล่อนจึงเดินไปใกล้บริเวณนั้น...
พลันสายตาเหลือบไปมองยังกระจกเงาเบื้องหน้า ภาพที่เห็นในกระจก ทำให้กรรเกดต้องยืนตัวแข็ง เนื้อตัวชาดิก จนก้าวขาไม่ออก

แม้จะไม่มีเสียงลอดออกมาให้ได้ยิน...แต่ภาพที่เห็น หล่อนยังคงจำมันได้แม่น
มันเป็นภาพครั้งสุดท้าย ที่หล่อนมีโอกาสได้พูดคุยกับกรบูร หล่อนกับเขากำลังทะเลาะกัน ตัวหล่อนตอนนั้นกำลังร้องไห้...หล่อนร้องเสียงดังพร้อมกับกำลังอาละวาด

มือที่ถือเทียนหอมนั้นสั่นเทา ร่างที่ยืนเหมือนจะทรงตัวไม่อยู่ มืออีกข้างเหมือนกำลังคว้าหาสิ่งของรอบกาย แล้วหล่อนก็ถอยเท้ากรูด ออกห่างจากกระจกบานนั้น มือข้างหนึ่งคว้าเจอแจกันใส่ดอกไม้ทรงสูง ซึ่งวางอยู่บนชั้นวางของจิปาถะ

“ทำไม...เกดขอโทษนะบูร...ทำไมต้องเป็นแบบนั้นด้วย”

หล่อนพร่ำแต่คำขอโทษ แต่ดวงตาก็ยังคงจ้องไปยังภาพสะท้อนออกมาจากกระจกเงา ตัวหล่อนในกระจกส่งเสียงกรีดร้อง...แต่ตัวหล่อนปัจจุบันนี่สิ กำลังทนไม่ได้กับภาพที่เห็น

‘เพล้ง’

กรรเกดเขวี้ยงแจกันในมือใส่กระจกเงาบานตรงหน้า จนเกิดเสียงดัง แจกันหล่นแตกกระจาย เทียนหอมร่วงลงกับพื้น ยังดีที่ไม่พลิกคว่ำ ตัวหล่อนทรุดกายลงนั่งกองกับพื้นอย่างหมดแรง พร้อมกับที่หล่อนสะอื้นไห้จนตัวโยน

กระจกเงาบานตรงหน้าแตกละเอียดในครึ่งบน ส่วนครึ่งล่างก็ลานจนเกิดช่องเล็กๆเต็มไปหมด หล่อนก้มหน้ามองแต่พื้น หยาดน้ำตาอาบร่องแก้มสองข้างเป็นสาย

แสงอ่อนจากเทียนหอมริบหรี่ใกล้ดับ...มันน่าจะมอดไปกับหัวใจเมื่อสิบปีก่อนแล้วมิใช่หรือ แล้วภาพที่เห็นตรงหน้ามันคืออะไรกัน

ตกลงฟ้าส่งกานต์กันย์มาเพื่อทดสอบหัวใจครั้งใหม่หรือไร ถึงต้องเกิดภาพในอดีตที่หล่อนไม่อาจลืมมาคอยตอกย้ำเช่นนี้

...............................................................





พู่ไหมบุรามฉัตร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 พ.ค. 2555, 11:59:50 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 พ.ค. 2555, 11:59:50 น.

จำนวนการเข้าชม : 1217





<< ตอนที่ 2   ตอนที่ 4 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account