ทิวาเลือน
เรื่องราวของการสืบหาความจริงที่ยังคลุมเครือของการเลิกราของเมฆาและเริ่มทิวาจนนำไปสู่อุบัติเหตุที่คร่าชีวิตฝ่ายหญิง

โดยรวี ที่อยากจะช่วยญาติให้หลุดพ้นความเศร้าโศก ชักชวน อรุณงามญาติฝ่ายหญิงให้มาช่วยกันสืบด้วยความไม่เต็มใจนัก

ยิ่งสืบยิ่งยุ่ง อะไรหนอหรือใครกันที่เป็นสาเหตุอันแท้จริง


Tags: ชิตา ทิวาเลือน รักโรแมนติค

ตอน: ๑

สวัสดีค่ะ

นิยายเรื่องนี้ เคยโพสต์แล้วแต่ในอีกนามปากกาหนึ่ง แต่ด้วยช่วงนั้นการงานรัดตัวมากเลยต้องแจ้งลบทั้งๆที่ยังไม่จบ

จากนั้นนิยายเรื่องนี้ก็ผ่านร้อนผ่านเย็นมาหลายปี จนชิตาจะนำเสนอต่อจากนี้ค่ะ

ย้ำว่า ตอนนี้เขียนจบบริบูรณ์แล้ว และชิตาจะลงทุกวันจนจบ นอกจากบางวันที่ติดภาระกิจ หรือเนตที่บ้านเสียค่ะ

อาจจะไม่หวานมากแต่ก็พยายามทำออกมาให้ดีที่สุด

ยินดีรับคำติชม คำแนะนำจากทุกท่านค่ะ
พิมพ์ผิดหรือตกหล่นประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

ชิตา

ถ้าลงแล้วยังไม่จบ แต่เราต้องเปลี่ยนไปใช้เวบเวอร์ชั่นไหม ชิตาก็จะก๊อปที่ลงแล้วไปหมดค่ะ รวมถึงนิยายเก่าๆ ในนี้ด้วย ที่จะทยอยเอาไปลงใหม่
...............................................................................

๑ ทิวาเลือน


“อะไรนะครับลุง ให้ผมไปเมืองจีน ตามนายเมฆกลับมา”

คนพูดหน้าตาเคร่งเครียด คิ้วขมวดมุ่น เบือนหน้าจากวิวทิวทัศน์เบื้องนอก หันมาย้ำถามประโยคนั้นกับชายสูงอายุที่นั่งขาพาดโต๊ะอยู่

เขาเป็นหนุ่มผิวคล้ำ คิ้วเข้ม ปากหนาดวงตาโตดำสนิท ผมตัดสั้นแทบจะเป็นทรงนักเรียน กอดอกหลวมๆ รอฟังคำตอบ

“เออ ฟังไม่ผิดหรอก”

“ลุงฝันหวานไปแล้ว”

ชายสูงวัยกว่านามว่าพ่อเลี้ยงเอนก ร่างเตี้ย พุงพลุ้ย ใช้สองมื้อช้อนศรีษะ มองหน้าหลานชาย

“ลุงจะไปลงทุนทางอีสาน อยากให้เมฆมันมาช่วย”

หลานชายนามว่ารวีชี้ไปที่โทรศัพท์

“ก็โทรไปบอกกันเองสิ”

“ลุงโทรจนไม่รู้จะโทรยังไง พูดจนน้ำลายจะหมดปากแล้ว ทั้งขู่ทั้งขอร้อง มันก็ไม่ยอมมา”

“ถือตัวว่าสำคัญ ต้องให้คนยอมตลอด” ชายหนุ่มเค้นเสียงรอดไรฟัน แล้วทำท่าจะเดินออกจากห้อง

“เฮ้ย จะไปไหน ฉันไม่ได้เสียค่าเครื่องบิน ให้แกมาหาฉันแป๊บเดียวนะโว้ย”

“ลุงก็รู้ทั้งรู้ ว่าผมไม่ยอมไปแน่ แล้วยังเรียกมาอีกทำไม”

“ทำไมวะ รวี พี่น้องกันแท้ๆ”

“เมฆา อยากไปเอง มันอยากกลับ มันก็กลับเอง ลุงน่ะ รักหลานไม่เท่ากัน ต้องให้ผมยอมมันตลอด”

“ทำตัวเป็นเด็กไปได้ ก็รู้ๆ กันอยู่ว่าทำไม แกก็ลืมๆ เรื่องเก่าๆ ไปบ้าง ไปชวนมันให้ลุงหน่อย”

“ผมถึงว่า เขาเห็นแก่ตัว คิดว่าตัวเองถูกตลอด คนอื่นผิดหมด ต้องให้คนรอบข้างอ้อนวอนขอร้อง ให้เห็นว่าตัวเองสำคัญ ไม่ว่าเรื่องไหน ที่สำคัญ ชอบหนีปัญหา ไม่กล้าเผชิญหน้าความจริง เกิดเรื่องน่าอายที่ตัวเองผิด ก็หนีหน้าไปเมืองนอก อ้างว่าอยู่ไปหลายคนจะเสียใจ ทำใจไม่ได้ ที่แท้ก็ขี้ขลาด”

“พอเลย ไอ้รวี ไม่ต้องพล่ามมาก เออ ไม่ช่วยก็กลับเชียงใหม่ไปเลยไป ถ้าฉันเปิดโรงงานที่อีสานเมื่อไหร่ แกนั่นแหละ จะเหนื่อย ฉันอุตส่าห์จะหาคนมาช่วยแท้ๆ”

“เชิญตามสบาย แต่ให้ลุงรู้ไว้ ถ้ามันมา ผมไป”

“หยุดนะ ไอ้ รวี อย่ามาขู่นะโว้ย”

แต่หลานชายเปิดประตูห้อง ย่ำเท้าโครมๆ จากไป นี่ไม่ใช่ครั้งแรกในสองสามปีนี้ ที่ชื่อนายเมฆา เป็นหัวข้อทะเลาะอย่างดีของลุงกับหลาน

รวีเดินลงจากตึกด้วยอารมณ์ขุ่นมัว โดนเรียกตัวมาด่วน ทิ้งงาน ทิ้งนัดเพื่อน ทิ้งนัดสาว เพื่อจะมาเสียอารมณ์ เสียเวลาจริงๆ ด้วยเขาไม่ชอบกรุงเทพเลย อากาศก็ร้อน รถก็ติดบรรลัย เดินย่ำเท้าโครมๆ ไม่มองหน้าใคร ไม่มองทาง ลงบันไดตึก ตั้งใจจะเรียกแท๊กซี่ไปสนามบิน แต่ว่าทันใดนั้นเอง
พลั่ก


ฟ้าครื้ม เมฆหม่น ฝนพรำๆ มาแต่เช้า อาทิตย์ไม่ฉายแสงรับวันใหม่เบิกฤกษ์ให้หญิงสาวนามว่า อรุณงามเสียเลย

หล่อนนั่งอยู่หน้ารถที่จอดในสนามบิน คุยโทรศัพท์กับหัวหน้าฝ่ายบุคคล นายโดยตรงของหล่อน

“ขอลาวันนี้ ทำธุระค่ะพี่”

“ธุระด่วนค่ะ จำเป็นจริงๆ ”

“นี่ น้องอรุณ จะมามีธุระด่วนอะไรกันวันนี้จ๊ะ แล้วมาบอกพี่ตอนเช้านี่นะ”

บอกเมื่อวานก็ไม่ได้ลาสิคะคุณพี่

“แหม พี่ ธุระก็คือธุระ หนูก็มีสังคม มีเพื่อนฝูง มีญาติให้ไปทำธุระเหมือนกัน”

“ตกลงว่าไปทำธุระให้ญาติ”

“ก็ไม่เชิง เอาเป็นว่า งามลาหนึ่งวันค่ะ”

“เรานี่น้า แล้วเงินเดือนออกมะรืนนี้จะทำทันหรือเปล่า”

“ทันพี่ พรุ่งนี้อยู่โอทียาว ทันถมเถ” คนทำงานมีประสิทธิภาพอย่างหล่อนซะอย่าง

“เออ งั้นก็ตามใจ” พี่จี๊ด บอกมา คงจะอารมณ์เสียไม่น้อย น่าเห็นใจอยู่ แต่งานก็คนละส่วนกัน พี่จี๊ดดูแลเงินเดือนพนักงานออฟฟิต อรุณงามกับน้องอีกคนดูแลเงินเดือนของพนักงานในโรงงาน ซึ่งยุ่งยาก น่าปวดหัวกว่า แต่ที่เร่งงานก็คงเป็นเพราะบัญชีจะเอาตัวเลขก่อนนะสิ

เอาน่า หล่อนถือคติ ไม่ลางานถือว่าโง่นี่นา ยิ่งลาไปสัมภาษณ์งานใหม่ ยิ่งฉลาดไปใหญ่

อรุณงามลงจากรถหยิบกระเป๋าสะพายใบใหญ่ที่บรรจุเอกสารสำคัญและของใช้จำเป็นเรียบร้อย ล๊อกรถเสร็จ ก็สำรวจตัวเองกับเงาสะท้อนจากตัวรถ

อรุณงาม หรือที่เพื่อนๆ ชอบล้อว่า งามยามเช้า ตามชื่อ เป็นหญิงสาวใบหน้ารูปไข่ ดวงตาสีดำสวย ริมฝีปากบางได้รูป ผมยาวตรงถึงกลางหลัง วันนี้หล่อนสวมสูทสีน้ำตาล กับรองเท้าคัทชู เต็มยศ

อืม ใช้ได้ ถึงกรุงเทพค่อยจัดการกับทรงผมอีกที แล้วหล่อนก็เดินฉับๆ สู่อาคารสนามบินเพื่อเดินทางไปกรุงเทพ หล่อนเหลียวซ้ายแลขวาเผื่อจะเจอคนรู้จัก ที่ไหน และข่าวอาจรั่วไปถึงพี่จี๊ดได้

เช็คอินเสร็จ นั่งรอสักพักก็มีการประกาศเรียกขึ้นเครื่อง

เอาล่ะนะ มั่นใจหน่อย ก็แค่ถึงกรุงเทพ เรียกแท๊กซี่ไปบริษัท เข้าไปสัมภาษณ์งาน แค่นี้ เดี๋ยวเดียวก็จบ จะกลัวอะไร ได้ก็ดี ไม่ได้เราก็มีงานเดิมรออยู่ ค่อยๆ ขยับขยายๆ กันไป ใช่ว่าจะเป็นผู้ช่วยแผนกบุคคลไปจนตายเมื่อไหร่ แม้จะเบื่อขี้หน้าพี่จี๊ดเต็มทีแล้วก็ตาม

หนึ่งชั่วโมงจากเชียงใหม่ถึงกรุงเทพ และอีกหนึ่งชั่วโมงจากสนามบินถึงตึกที่บริษัทตั้งอยู่ หล่อนสะพายกระเป๋าลงจากแท๊กซี่ด้วยความมั่นใจ มาถึงก่อนเวลานัดตั้งชั่วโมง คงมีเวลา แต่งหน้าแต่งตาสางผมตัวเองเสียหน่อย อรุณงามเดินขึ้นบันได แต่ด้วยความที่นานๆ ทีจะเข้าเมืองกรุงกับเขา ก็เลยมองตึก มองถนน มองรถรอบด้านเพลินไปหน่อย รู้ตัวอีกทีหล่อนก็ชนกับใครก็ไม่รู้ดัง
พลั่ก

“โอ้ย โทษค่ะโทษ โทษค่ะ”

หล่อนละล่ำละลักขอโทษ เงยหน้ามองผู้ชายโชคร้าย เขาหน้าบูดสนิท พยักหน้ารับคำขอโทษ แล้วก็เดินไป

ซวยแล้ว อรุณงาม ฤกษ์ไม่ดีจริงๆ


“แล้วเขาสัมภาษณ์ว่าไงมั่ง” เพื่อนรักเพื่อนซี้สมัยเรียนของหล่อนนัดเจอทานข้าวกลางวันเมื่อรู้ว่าอรุณงามลงมากรุงเทพ พอถึงก็ถามเรื่องงานทันที สารทุกข์สุกดิบของเพื่อนค่อยว่ากันทีหลัง

“ก็ทั่วไปที่เขาสัมภาษณ์กัน”

หล่อนตอบพลางพลิกๆ เมนู หาของกิน เพื่อนรักคนนี้คือ ดาววดี ทำงานอยู่ในห้างสรรพสินค้าที่เปิดเป็นออฟฟิตให้เช่า ดังนั้นจึงนัดมาเจอกันร้านกาแฟชื่อดังในห้างและหาข้าวกินกัน

แพงได้ใจจริงๆ แต่ก็ดี เปลี่ยนบรรยากาศจากกับข้าวที่โรงงานบ้าง

“แล้วว่าไงมั่ง”

“ก็ถามตอนนี้ทำงานอะไรที่ไหน คิดดีแล้วหรือที่จะลาออก ทำไมถึงอยากได้งานนี้ อยากได้เงินเดือนเท่าไหร่ ถ้าได้งานแล้วจะมาอยู่กรุงเทพได้ไหม อะไรทำนองนี้”

“แล้วงามตอบว่าไง”

“ก็ตอบอย่างที่เราควรตอบเพื่อให้ได้งานนั่นแหละ”

“ย่ะ” ดาววดีค้อนขวับ จ้องหน้าเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมาเป็นปี

“แต่ทั้งหมดนั่น เขาถามและฉันตอบเป็นภาษาจีน”

“ก็แน่สิยะ เขาจะรับแกไปเป็นล่ามนี่ เขาคงสัมภาษณ์ภาษาไทยหรอก”


“แต่ฉันยังพูดไม่คล่องเท่าไหร่”

“ก็งามไม่ค่อยได้ใช้นี่ ส่วนใหญ่ก็เรียนอ่านเขียนไม่ใช่เหรอ”

“ใช่”

อรุณงามเรียนภาษาจีนมาหลายปีแล้ว แต่ยังไม่ได้ทำงานที่ต้องใช้ภาษาจริงๆ สักกที พอดีเพื่อนที่รู้จัก เขาแนะนำให้ว่าบริษัทนี้ต้องการล่าม หล่อนจึงตัดสินใจว่าสมัครดู เขาสนใจเรียกสัมภาษณ์ หล่อนก็เลยลงทุนนั่งเครื่องบินมานี่แหละ

“พอมีหวังไหม”

“ไม่รู้จริง ๆ แต่เขาก็บอกว่า จริงๆแล้ว ไม่ได้ต้องการล่ามหรอก เขามีล่ามอยู่แล้ว แต่ต้องการพนักงานธุรการที่พูดจีนได้ ไว้ติดต่องานเท่านั้นเอง แล้วบางทีก็ต้องไปนั่นมานี่บ้างเท่านั้น ”

“คนสมัครเพียบละสิ”

“มาสัมภาษณ์วันนี้ห้าคน แต่ละคนเก่งๆ ทั้งนั้น จบเมืองจีน หรือไม่ก็ไปเรียนภาษาที่นั่นทุกคนเลย”

“งามเรียกเงินเดือนเท่าไหร่”

“ก็เยอะอยู่เพราะได้ยินมาว่าบริษัทนี้เงินดี แต่เขาคงไม่รับมั้งฉันพูดไม่ค่อยคล่อง”

“ฉันก็ว่างานแกก็ดีอยู่แล้ว ไม่ได้ก็อย่าเสียใจเลย”

“อืม แล้วดาวเป็นไงมั่ง” พอเรียนจบ ต่างคนก็ต่างแยกย้ายไปคนละที่ละทางดาววดีมาไกลกว่าเพื่อนและงานก็ดูว่าจะก้าวหน้าไปได้เร็วกว่าเพื่อนๆ ด้วย

“ก็เรื่อยๆ แต่เหนื่อย เป็นสาวโรงงานอย่างงามนะดีแล้ว ห้าโมงครึ่งปุ๊บก็ออกปั๊บ มีรถรับส่ง มีข้าวกินฟรี สบายจะตาย”

“บางทีก็เบื่อเหมือนกัน”

“เหมือนฉันเลย เบื่อ เมื่อไหร่จะรวยซักทีก็ไม่รู้”

“ก็รีบแต่งงานเสีย จะได้สบาย”

“ก็เขาไม่มาขอนี่นา” ดาววดีว่า แต่ดวงตาก็เป็นประกายยามพูดถึงแฟนหนุ่มที่คบกันมาเนิ่นนาน ทำให้คนไร้แฟนอดอิจฉาไม่ได้ รักแท้มีให้เห็นอยู่เสมอทุกที่โดยดาววดีไม่ต้องพยายามไขว่คว้าหา มาให้ยาก แล้วเมื่อไหร่หนออรุณงามถึงจะเจอเสียที

“ดาวก็ไปขอเขาแทน”

ดาววดีหัวเราะคิกคักชอบใจ การพูดถึงคนรักของเธอ เป็นการเปลี่ยนเรื่องการสัมภาษณ์งานของอรุณงาม คลายความกังวลที่ว่า ฉันจะได้งานไหมนี่
งานเก่าก็ดีอยู่ แต่ก็คงไม่ก้าวไปไหน หล่อนอยากลองงานใหม่ ให้คุ้มกับค่าเรียนภาษาที่เสียไป อยากพบคนใหม่ๆ สิ่งแวดล้อมใหม่ๆ บอกตัวเองว่าไม่ได้เบื่อ แค่อยากหนีความจำเจก็แค่นั้น (ก็คือเบื่อนั่นแหละ)

ไม่คิดเลยนะเนี่ย ว่าที่จริงแล้ว อยากได้งานนี้จนตัวสั่น อยากได้จน วิตกกังวล จนทำให้เครียดเวลาถูกสัมภาษณ์ จนตอบได้ไม่ดี

เฮ้อ โอกาสดีๆ อย่างนี้ก็ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ เสียด้วย


แยกจากดาววดี ก็ไปเดินห้างแถวประตูน้ำ หาซื้อเสื้อผ้าดีๆ ถูกๆ เสียหน่อย เวลายังเหลืออีกเพียบกว่าเครื่องบินจะออก เดินวนไปวนมาจนได้ เสื้อให้ตัวเอง ให้คุณป้ารุ้งแพง และเชิ้ตให้พี่ชาย นายตะวันฉาย

จ่ายเงินเสร็จ อาจารย์ตะวันฉายก็โทรมาพอดี

“สัมภาษณ์เป็นไงมั่ง”เขาถามประโยคแรกเหมือนดาววดีเป๊ะ

หล่อนก็เลยเล่าให้ฟังอย่างละเอียดอีกรอบ

“ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร อยู่บ้านเราดีแล้วอย่างป้าว่า” คุณป้ารุ้งแพงซึ่งเป็นญาติคนเดียวที่เหลืออยู่แสดงความไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งในการหางานใหม่ของอรุณงาม ท่านไม่อยากเห็นหลานสาวไปอยู่คนเดียวในเมืองหลวง ท่านว่าอันตรายนัก

“ญาติพี่น้องเราก็ไม่มี จะไปอยู่ยังไง อยู่กับใคร อยู่ที่ไหน”

“โธ่ ป้า งามแค่ไปสัมภาษณ์”

“ขอให้เขาไม่รับเถอะ”

“แหม ไม่อวยพรหลานสักหน่อย”

อรุณงามแกล้งแซว แต่ป้าก็ยังมีสีหน้าเศร้าๆ ให้พรว่าเดินทางปลอดภัย แต่ไม่ได้บอกว่าให้ได้งานด้วย

หล่อนเข้าใจท่านว่าอยากให้หลายชายหลานสาวอยู่ใกล้ตัว เพราะท่านก็ไม่เหลือใคร เหมือนกับที่อรุณงามและตะวันฉายก็เหลือท่านคนเดียว

แต่ไม่รู้สิ หล่อนกลับคิดว่าชีวิตน่าจะมีอะไรมากกว่า การที่วันๆ เอาแต่อยู่คอมพิวเตอร์ กรอกตัวเลขค่าแรง ให้พนักงาน ทำงานเป็นหนังหน้าไฟหลายครั้ง และออกไปติดต่อหน่วยงานราชการบางคราพอไม่ให้จำเจ ตกเย็นก็กลับบ้าน กินข้าว นอน มีชีวิตอยู่ใต้อานัติของป้ารุ้งแพงอย่างไม่เต็มใจ

หนุ่มๆ ก็พอมีเข้ามาบ้าง แต่ยังไม่เจอประเภทถูกใจจริงจังทั้งเขาและหล่อนและหากเล็ดลอดมาได้ ก็จะมาผ่านด่านป้ารุ้งแพงที่หนาราวกำแพงเมือง่จีน

“งาม” พี่ชายเรียก

หล่อนจึงสะดุ้งจากภวังค์

“คะ ว่าไงนะคะ”

“ใจลอยไปถึงไหนนะเรา”

“เปล่าค่ะ พี่ฉายจะเอาอะไรหรือเปล่า”

“หาหนังสือให้พี่หน่อย ร้านในเมืองหมดสต๊อกนะ เมื่อเช้าว่าจะบอกแต่ลืม” ตะวันฉายเป็นอาจารย์สอนโรงเรียนมัธยม และชอบอ่านหนังสือเป็นชีวิตจิตใจตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าแนวไหน จนเดี๋ยวนี้ทั้งในห้องนอนเขาเอง หรือห้องนั่งเล่นด้านนอก มีแต่หนังสือเต็มไปหมด ไม่รู้ว่าอ่านเข้าไปได้ยังไง เล่มละหลายรอบ

เขาบอกหนังสือธรรมะที่ต้องการสองสามเล่ม แล้วก็วางหู น้องสาวก็จำต้องกลับไปห้างใหญ่อีกครั้งหาหนังสือให้พี่ชาย

แต่ก็น่าแปลกที่สองสามปีมานี้เขาอ่านหนังสือแนวศาสนามากขึ้น ตามป้ารุ้งแพงที่เข้าวัดทำสมาธิ นั่งวิปัสนา ถือศีล จนอรุณงามจะกลายเป็นมารคนเดียวอยู่ในบ้านอยู่แล้ว


คนรอขึ้นเครื่องไปเชียงใหม่เยอะมาก แถวยาวเฟื้อย อรุณงามขี้เกียจเข้าคิวก็เลยนั่งรอ หยิบหนังสือธรรมมะที่ซื้อให้ตะวันฉายมาอ่านฆ่าเวลา เผื่อจะเกิดดวงตาเห็นธรรม จะได้ปลงๆ กับอาการเซ็งในชีวิต

อืม จากคำนำบอกว่า เป็นเรื่องเล่าของผู้หญิงที่เคยมีงานมีเงิน แต่สุดท้ายธุรกิจก็มีปัญหา แต่เธอก็สามารถฟันฝ่าอุปสรรคนั้นมาได้ด้วยการยึดหลักธรรม อ่านไปได้สองสามหน้าแถวก็เริ่มสั้นลงจึงปิดหนังสือฉับ ลุกขึ้นไปต่อแถว แต่

พลั่ก


ด้านนอกร้านอาหารบนถนนสายธุรกิจแดดร้อนเปรี้ยงในตอนเที่ยง ไร้เมฆหมอกไม่เหมือนเมืองที่จากมาเมื่อเช้า มนุษย์ทำงานเดินกันขวักไขว่หาที่กินข้าว และเดินซื้อของย่อยอาหาร รวีมองหาเพื่อนที่นัดกันไว้กลางฝูงชน แต่ก็ไร้วี่แวว เขาจิบกาแฟมองนาฬิกา ตัดสินใจเรียกบริกรมาเก็บเงิน

เขาออกจากร้านมายืนคว้าง กลางผู้คน

เมืองหลวง อันแสนจะวุ่นวายสับสน แม้จะเติบโตมากับความวุ่นวายแบบนี้ แต่การที่ไปเรียนและใช้ชีวิตสิบกว่าปีอยู่ทางเหนือก็ทำให้ชาชิน กับสภาพแวดล้อมแบบ เนิบ ช้า ค่อยเป็นค่อยไป แม้หลายคนจะมองว่ามันยืดยาด แต่มันก็เป็นเอกลักษณ์ของถิ่น เป็นวัฒนธรรมวิถีชีวิตที่ยากจะเลือนหาย

สังเกตง่ายๆ ที่แม่ค้าขายของข้างทาง แม่ค้าทางนี้พอลูกค้าซื้อของก็จะหยิบใส่ถุงอย่างว่องไว ยื่นให้ แต่แม้ค้าทางโน้น จะค่อยๆ หยิบถุงขึ้นมาคลี่ หยิบของใส่ให้ อย่างใจเย็น แรกๆ เขาก็รำคาญเวลาซื้อของกินของใช้ แต่หลังๆ ก็ชาชิน แม้ปัจจุบันสังคมในเมืองจะค่อยๆ กลายมาเป็นกรุงเทพแห่งที่สองทั้งสภาพแวดล้อม รถราและผู้คน แต่ก็ยังมีอัตตาความเป็นสังคนเชียงใหม่ซ่อนอยู่ถ้าจะใส่ใจสังเกตุ

เพราะมัวแต่ทำงานอยู่ทางเหนือ ไม่ค่อยลงมากรุงเทพ เพื่อนฝูงที่มีน้อยอยู่แล้ว ก็เลยหายหน้าหายตา แม้แต่เพื่อนรักคนนี้ นัดกันดิบดีก็เบี้ยวเสียได้

ไม่รู้จะไปไหนต่อ เขาก็ไปนั่งรอไฟลท์อยู่ที่ร้านกาแฟในสนามบิน ใกล้ถึงเวลาก็เดินไปที่ประตูขาออก แต่คนก็รอเข้าแถวอยู่เยอะ เลยเดินจะไปนั่งเก้าอี้ ก็พอดีกับสาวนางหนึ่ง ดูคุ้นๆ หน้า ลุกโดยไม่มองซ้ายมองขวาพอดี

พลั่ก
......................................................................


โดย : ชิตา วันที่ : [ 03 มี.ค. 2554 ] 23:49:12 น.




>> ความคิดเห็นที่ 1

sawasdee ka..good to see you again naka..:)
โดย : natee [ 04 มี.ค. 2554 ] 09:47:13 น.




>> ความคิดเห็นที่ 2

ชนกันสองรอบเลย
โดย : ขนมปังทาแยม [ 04 มี.ค. 2554 ] 09:57:20 น.




>> ความคิดเห็นที่ 3

ชนแล้วชนอีกซะงั้น...
รอบแรกไม่โวยวายอะไร มารอดูรองสองสิจะโวยวายไหม
โดย : an-o [ 04 มี.ค. 2554 ] 18:26:48 น.




>> ความคิดเห็นที่ 4

ชน จน ใจกระเด็นไปเลย

อิอิ
โดย : black-sheep [ 26 มี.ค. 2554 ] 00:33:59 น.




ชิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 เม.ย. 2554, 20:42:04 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 เม.ย. 2554, 20:42:44 น.

จำนวนการเข้าชม : 2636





   ๒ >>
ChaussonAuxPomme 25 ก.พ. 2555, 19:42:39 น.
...มาติดตามผลงานอีกคะ ติดใจอ่านเรื่องที่แล้วมาเรื่อง ฐากับแจง... ^^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account