รถด่วนขบวนสุดรัก
ชีวิตนี้เคยต้องรออะไรนานๆ มั้ยคะ โดยเฉพาะรอดูว่าเมื่อไหร่พ่อเนื้อคู่ตุนาหงัน โซลเม็ทของฉันจะโผล่มาเซอร์ไพรส์ในชีวิตจริงเสียที เพราะนั่งรอ นอนรอ ตบยุงรอมาก็หลายปีดีดักแล้ว รอไปก็กังวลไป สงสัยว่าชาตินี้ฉันคงจะได้ขึ้นคานแหงๆ
การรอคอยบางทีทรมานกว่าผลลัพธ์ แต่ถ้าผลลัพธ์ออกมาดีเหมือนรถด่วนขบวนสุดรักขบวนนี้ บางที...การ (อดทน) รอก็อาจจะให้ดอกผลที่น่าชื่นใจกว่าก็ได้
อย่าไปกังวลเลยค่ะว่าเราจะไปไม่ทันรถด่วนขบวนสุดท้ายหรือเปล่า ขอให้พากันสมัครใจไปกับ รถด่วนขบวนสุดรัก กันดีกว่า


Dear someone,

If love (still) kept you standing at the station when the last train's gone by…, then I thought maybe walking was better ‘coz we were the master of our choices.

So, do you wanna walk…?


Tags: เนื้อคู่ รถด่วนขบวนสุดท้าย ณนวล มัชฌิชา ภาณุวัฒน์

ตอน: ♥ บทที่ 6

ในห้องอาหารแห่งนั้นประดับประดาไว้ด้วยดอกไม้กลีบบางหลายชนิดแลละลานตา ทั้งเบิร์ด ออฟ พาราไดส์ สีส้มแดง ฟอร์เก็ต มี น็อต สีม่วงอ่อน เบญจมาศเหลืองกระจ่าง กระถางกุหลาบขาว ซุ้มดอกกล้วยไม้สามสี และอะไรต่อมิอะไรอีกหลายอย่าง จนดูคล้ายจะเป็นเรือนดอกไม้มากกว่าร้านอาหาร

ตรงโต๊ะไม้เล็กๆ ริมซุ้มกล้วยไม้ขนาดนั่งได้สักสองคนกำลังพอดี ปรากฏว่ามีหญิงสาวผมซอยสั้น หน้าตาสดใสนั่งรอใครบางคนอยู่ก่อนแล้ว ร่างโปร่งบางสมส่วนที่ซ่อนอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวพอดีตัวกับกางเกงยีนส์ตัวยาวสีซีดกลับยิ่งส่งให้เจ้าตัวดูทะมัดทะแมง ปราดเปรียวรับกันพอดีกับทรงผมซอยสั้นขนาดยาวไม่เกินห้าเซนติเมตรที่เพิ่งจะซอยมาใหม่ๆ ของเจ้าหล่อน

มัชฌิมากำลังพลิกดูรายการอาหารและเครื่องดื่มเพลินอยู่พอดีตอนที่หญิงสาวท่าทางคุ้นตาผลักประตูร้านเดินตรงมาหาพร้อมส่งเสียงทัก หล่อนละสายตาจากเมนูตรงหน้าแล้วส่งยิ้มร่าทักทายผู้มาใหม่ก่อนที่รอยยิ้มจะคลายเป็นความประหลาดใจในตอนท้าย

“มัชจ๊ะ นี่คุณภาณุวัฒน์” ปาจารีย์จัดแจงแนะนำชายหนุ่มร่างสูงที่เดินตามหล่อนมาหยุดอยู่ตรงหน้าเพื่อนสาวโดยไม่มีอาการขัดข้องขัดเขินใดๆ ทั้งนั้น มัชฌิมาเองต่างหากที่เป็นฝ่ายนั่งเบื้อเหมือนคนเป็นใบ้ไปจนเจ้าหล่อนต้องรีบขยายความต่อ

“คุณภาณุวัฒน์ที่ยัยนุ่นเคยบอกมัชไว้ยังไงล่ะ ว่าเขาจะมาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวให้พี่เอก แล้วก็จะพาเธอไปเลือกชุดด้วยกันวันนี้น่ะ”

“สวัสดีครับ คุณมัช”

ชายหนุ่มหน้าเข้มคมดุที่หล่อนชักรู้สึกคุ้นตาเอ่ยขึ้นมาเสียงสุภาพ หลังจากที่ปล่อยให้หล่อนกับเพื่อนท้าวความหลังกันมาพอสมควรแล้ว เจ้าของใบหน้าคมสันนั้นทำเพียงกระตุกยิ้มที่มุมปากประกอบคำทักทาย หากแต่ดวงตากลับไม่ปรากฏรอยยิ้มแย้มตามไปด้วย ถ้าหล่อนดูไม่ผิด เขาติดจะรำคาญเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยซ้ำไปหรือไม่ก็อาจจะหงุดหงิดมาจากที่อื่นแล้วกลบรอยได้ไม่มิด

“เอ่อ สวัสดีค่ะ คุณภาณุวัฒน์” หญิงสาวเอ่ยทักทายเขากลับไปตามมารยาท ขณะที่สายตาจับจ้อง สมองก็ยังสั่งการให้หล่อนไล่นึกทบทวนดูว่าเคยพบผู้ชายตรงหน้ามาก่อนหรือเปล่า

“เดี๋ยวปอคงต้องฝากยัยมัชไว้กับคุณภาณุวัฒน์เลยนะคะ พอดีว่าปอกับพี่ณัติมีธุระด่วน ต้องรีบไปแล้วล่ะค่ะ เดี๋ยวจะไปไม่ทันนัดเสียเปล่าๆ”

“ยัยมัช เธออยู่กับคุณภาณุวัฒน์ไปก่อนนะ เสร็จธุระแล้ว ฉันจะรีบโทรหา”

ปาจารีย์จัดแจงสั่งการคนตรงหน้าราวกับโต้โผใหญ่ ฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ชายร่างสูงใหญ่ที่ยืนรออยู่ข้างๆ ใบหน้าคมสันติดจะบึ้งตึงเหมือนไม่สบอารมณ์อยู่เป็นนิจ ในขณะที่อีกฝ่ายเป็นหญิงสาวหน้าเนียนใส แววตาคมหวานที่แปรเปลี่ยนตามอารมณ์ได้หลากหลายกำลังส่งสายตาประท้วงจอมจัดการตรงหน้า แต่ดูเหมือนปาจารีย์จะไม่สนใจรับสัญญาณจากหล่อนเลยสักนิด

“มัชว่าเราไม่ต้องกวนคุณภาณุวัฒน์ก็ได้หรอกมั้งปอ เดี๋ยวมัชไปเลือกเองคนเดียวดีกว่า เกรงใจคุณภานุวัฒน์น่ะค่ะ”

มัชฌิมาหันไปบอกเขาในตอนท้าย แกล้งยกเหตุความเกรงใจขึ้นมาอ้างกับเพื่อนสาวที่ตั้งท่าจะทิ้งหล่อนไว้กับผู้ชายแปลกหน้าคนนี้ท่าเดียว ทั้งที่ความจริงแล้วเป็นเพราะหล่อนไม่ค่อยจะไว้ใจผู้ชายหน้าเรียบตึงที่ยืนฟังบทสนทนาอย่างอดทนอยู่ตอนนี้ต่างหาก ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร จะเรียกว่าสัญชาติญาณมันบอกก็คงได้ สัญชาติญาณของมัชฌิมาเตือนหล่อนว่าถ้าขืนเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอีตาภาณุวัฒน์อะไรนี่มากๆ หล่อนจะต้องมีแต่เรื่องเดือดเนื้อร้อนใจแน่ๆ ทั้งที่ปกติมัชฌิมาก็ไม่ใช่สาวน้อยที่เกิดจะมา ‘ตื่น’ คนแปลกหน้าเอาง่ายๆ เช่นนี้หรอก

“ไม่ต้องเลยยัยมัช ยัยนุ่นกับฉันลงความเห็นกันแล้วว่าจะให้เธอกับคุณภาณุวัฒน์ไปช่วยเลือกชุดด้วยกัน เพื่อนเจ้าบ่าว เพื่อนเจ้าสาวจะได้ไม่ไปคนละทางยังไงล่ะจ๊ะ”

“ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวฉันโทรไปชวนอรอุษาให้ไปช่วยกันเลือกด้วยอีกคนก็ได้ รายนั้นเค้าตาแหลม เลือกของเก่ง” เจ้าหล่อนยังไม่วายจะยื่นข้อเสนอใหม่ แต่ปาจารีย์รีบขัดขึ้นมาเสียก่อน

“ไม่ได้เลยนะยะ ตอนนี้ยัยอรมันท้องแก่ขนาดนั้นแล้ว จะให้มาตะลอนๆ เลือกซื้อของกับเธอได้ยังไง ไม่เอาล่ะ ทำตามอย่างที่ฉันว่านั่นแหละดีที่สุดแล้ว แล้วก็ห้ามโต้แย้งใดๆ อีกทั้งสิ้นนะ เกรงใจคุณภาณุวัฒน์เขา”

ตอนท้ายบุ้ยใบ้ไปทางชายหนุ่มที่ยืนฟังบทสนทนามาด้วยตลอด แม้ก่อนหน้าอีตานี่จะเคยแสดงความรำคาญผ่านหน้าบ้างแวบๆ ชั่วขณะที่มัชฌิมาแอบสังเกตเห็น แต่พอถูกยัยปอพูดพาดพิงในตอนท้ายกลับหันมาทำยิ้มชื่นเหมือนไม่ได้ขุ่นใจเลยสักนิด

เฮ้อ... ไม่รู้ยัยปอคิดอะไรของมันอยู่ถึงพยายามยัยเยียดหล่อนกับอีตาผู้ชายตีสองหน้าคนนี้นัก เชอะ ! แต่อย่าคิดนะว่าคนอย่างมัชฌิมาจะยอมถูกใครมัดมือชกง่ายๆ คิดดังนั้นแล้วเจ้าของปลายจมูกโด่งรั้นก็เชิดหน้าขึ้น แววตาคมงามทอประกายดื้อรั้น แม้เจ้าตัวจะไม่เอ่ยปากโต้เถียงใดๆ อีก แต่กลับทำให้ปาจารีย์รู้สึกหนักใจขึ้นมายิ่งกว่าเก่า

“เดี๋ยวเชิญคุณภาณุวัฒน์นั่งลง สั่งอะไรทานไปพลางๆ ก่อนนะคะ” ปาจารีย์หันไปบอกคนข้างๆ อย่างเกรงอกเกรงใจกันที่สุด ชายหนุ่มหยุดชั่งใจอยู่ชั่วครู่ก่อนจะทำตามอย่างที่หล่อนแนะนำอย่างว่าง่าย

“ยัยมัช ฉันมีอะไรจะคุยกับเธอซักเดี๋ยว มาด้วยกันหน่อยสิจ๊ะ” ยัยปอทำลงท้ายเสียงหวานแต่แววตาคาดดั้นบังคับกันอย่างที่สุด มัชฌิมาลุกเดินตามไปอย่างเสียไม่ได้

ปาจารีย์ดึงแขนเพื่อนสาวที่เดินมาตามมาช้าๆ อืดอาดอย่างกับนกทึดทือมาแอบเจรจาความกันตรงมุมริมทางเดินมุมหนึ่ง

“เกิดจะทำเรื่องมากอะไรของหล่อนขึ้นมายะ ยัยมัช” ยัยปอกระซิบกระซาบถามเสียงเขียว

“ใครว่าฉันเรื่องมากยะ ไหนทีแรกยัยนุ่นบอกว่าอีตาภาณุวัฒน์อะไรนี่อยากจะขอร้องให้ฉันไปเป็นเพื่อนช่วยเลือกเสื้อผ้าให้ เพราะตัวเองมีเทสต์ที่ห่วยแตกมากยังไงล่ะ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าฉันจะต้องกลายเป็นฝ่ายรอรับความเมตตาจากเขาไปแล้วนะเนี่ย”

“มีแผนอะไรก็สารภาพมาเสียดีๆ นะยะ” มัชฌิมาคาดคั้นกลับด้วยท่าทางเอาเรื่อง

“หล่อนเองก็เถอะ ทำมาเป็นฝากฝังฉันไว้กับเขาดีนัก ไปรู้จักมักจี่กับเขามาแต่หนไหนกัน ไม่นึกกลัวบ้างหรือไงว่าเขาอาจจะไม่ใช่คนดีก็ได้ เกิดเขามาหลอกฉันไปขาย หรือทำมิดีมิร้ายเข้าจะทำยังไงยะ”

“เธอพูดขึ้นมาแล้วก็ดีเหมือนกัน ยัยมัช ฉันจะได้บอกให้หล่อนรู้เอาไว้เลยนะยะว่านี่ละ รถด่วนขบวนสุดท้ายรายล่าสุดที่ฉันอุตส่าห์ไปเสาะแสวงหามาให้หล่อนอีกจนได้น่ะ” นอกจากจะไม่สลดกับเสียงแหวของมัชฌิมาแล้วเจ้าตัวยังย้อนกลับมาเหมือนทวงบุญคุณกันอยู่ในที

“รู้แล้วก็ช่วยทำตัวดีๆ หน่อยนะยะ อย่าให้ฉันต้องมาปากเปียกปากแฉะเรื่องนี้อีก” ปาจารีย์ทำพูดเหมือนเป็นแม่เลี้ยงใจยักษ์ที่กำลังพยายามจะขายทอดตลาดลูกสาวนอกไส้ มัชฌิมาขยับปากจะเถียง แต่ถูกยัยปอชิงปรามเอาไว้เสียก่อน

“ไม่ต้องมาเถียงอะไรอีกทั้งนั้นเลยนะยะ จำที่ตัวเองสัญญาเอาไว้ได้หรือเปล่า ไหนบอกว่าถ้าฉันพาใครมาแนะนำให้หล่อนอีก หล่อนก็จะยอมทำตามดีๆ ไม่ทำเรื่องมากนิสัยเสีย แล้วก็จะไม่เป็นฝ่ายบอกเลิกก่อนน่ะ จำได้หรือเปล่า” พออีกฝ่ายเอ่ยอ้างสัญญาขึ้นมา มัชฌิมาก็ได้แต่ทำหน้าจ๋อยก่อนตัดพ้อแกมประชด

“แหม...ถ้างั้นทำไมไม่จับฉันใส่ตะกร้าแล้วผูกโบส่งให้เขาเสียให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยล่ะ สนับสนุนกันดีนัก”

“ก็เพราะว่าเขายังไม่ได้ขอน่ะสิยะ ถามได้ มีปัญญาทำให้เขาอยากขอหล่อนได้หรือเปล่าล่ะ” พอเห็นอีกฝ่ายทำท่าจ๋อยๆ เหมือนเด็กถูกตกเขียว ปาจารีย์ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปลอบเพื่อนสาวเสียงอ่อน

“เถอะน่า... แกไม่ต้องกังวลไปหรอก ฉันสืบมาให้หมดแล้วว่าคุณภาณุวัฒน์นี่เขาก็เป็นคนดีพอใช้ ไม่ได้มีประวัติด่างพร้อยอะไรที่ไหน ฐานะ หน้าที่การงานก็ดีพอจะเลี้ยงแกได้...” ปาจารีย์ลากเสียงยาวก่อนจะ
ตบท้าย

“ถ้าเขาคิดจะเอาแกจริงๆ อ่ะนะ”

“ไอ้บ้านี่ ปากดีนักนะแกน่ะ” พอเห็นเพื่อนทำปากเสียเป็นเชิงหยอกล้อ มัชฌิมาก็เลยสงเคราะห์ด้วยทุบแก้เกี้ยวไปสองสามตุ้บ

“ตกลงว่าเข้าใจดีแล้วใช่ป่ะ ฉันจะได้รีบไปเสียที ป่านนี้คุณภาณุวัฒน์เขาคงสงสัยแย่แล้ว แล้วก็อย่าลืมสัญญาล่ะ ทำตัวดีๆ ด้วยนะยะหล่อน” ปาจารีย์ยังไม่วายสั่งทิ้งท้ายก่อนจะลากหล่อนกลับมาส่งคืนที่เดิมพร้อมรอยยิ้มหวาน

“ยังไงฝากยัยมัชด้วยนะคะ คุณภาณุวัฒน์ เดี๋ยวปอคงต้องไปจริงๆ แล้วล่ะค่ะ”
พูดจบแค่นั้น แม่เพื่อนสาวตัวแสบของหล่อนก็เดินตัวปลิวหนีไปเลย ทิ้งให้มัชฌิมาต้องนั่งเผชิญหน้ากับอีตาหน้าดุนี่เพียงลำพัง แล้วดูสิ อีตานี่ก็เอาแต่จ้องหล่อนเอาจ้องหล่อนเอาอยู่ได้ ทำไมไม่รู้จักพูดอะไรสักคำบ้างก็ไม่รู้

ภาณุวัฒน์มองคนตรงหน้าด้วยสายตาประเมินทีท่าค้นคว้า ชายหนุ่มจำหล่อนได้ตั้งแต่แรกแล้วว่าหญิงสาวตรงหน้าคือผู้หญิงที่เคยเหยียบเท้าเขาในลิฟต์วันที่เขาแวะไปทำธุระที่สำนักงานกฎหมายที่อยู่ห่างจากที่ทำงานของเขาไปแค่เพียงตึกกั้น แล้วเจ้าหล่อนคนเดียวกันนี่แหละที่บังเอิญถูกเขาเดินชนจนล้มคว่ำ นึกดูแล้วก็แสนจะประหลาดใจว่าทำไมโลกมันถึงกลมได้ขนาดนี้

เมื่อเช้านี้ นายชานนท์เพื่อนรักโทรมาคาดคั้นออกคำสั่งกับเขาแต่เช้าว่าไม่ว่าเขาจะยังอยากมีคู่หมั้นหลอกๆ หรือไม่ก็ตามใจ แต่ยังไงวันนี้เขาต้องพามัชฌิมาไปเลือกชุดเพื่อใส่ไปงานแต่งงานของเอกพลกับนราภัทรในฐานะเพื่อนเจ้าบ่าวเจ้าสาวด้วยกันให้ได้เพราะเจ้าชานนท์ได้ไปตกปากรับคำกับเพื่อนของเจ้าหล่อนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ทีแรกที่ได้ฟังชายหนุ่มถึงกับงงเพราะจับต้นชนปลายไม่ถูกไปเลยทีเดียว เดือดร้อนถึงชานนท์ที่ต้องเล่าความจริงทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลังให้เขาฟังเสียจนหมดเปลือกก่อนที่ชายหนุ่มจะตัดสินใจยอมทำตามที่เพื่อนขอร้อง

กะอีแค่พาเจ้าหล่อนไปเลือกซื้อเสื้อผ้าด้วยกันสักวันคงไม่ทำให้เขาเดือดร้อนเสียหายอะไรนักหรอก แต่ที่ภาณุวัฒน์ค่อนข้างจะแปลกใจก็คือว่าทำไมแม่สาวตรงหน้าทำท่าเหมือนไม่อยากไปกับเขานักนี่แหละ จะว่าหล่อนไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนก็ไม่น่าจะใช่ ในเมื่อเป็นฝ่ายเอ่ยปากอยากให้เขาพาไปด้วยแท้ๆ หรือว่าอันที่จริงหล่อนก็แค่ทำโยกโย้เล่นตัวเรียกร้องความสนใจไปอย่างนั้นเอง

“ดูเหมือนคุณมัชฌิมาจะไม่ค่อยอยากไปกับผมเท่าไหร่เลยนะครับ” หลังจากที่นั่งดูหล่อนเงียบๆ มาครู่หนึ่ง เขาก็ตัดสินใจเอ่ยปากออกมา

“ก็... ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ ดิฉันแค่เกรงใจคุณภาณุวัฒน์เท่านั้นแหละค่ะ ไม่อยากให้มาเสียเวลาด้วย ปกติผู้หญิงเลือกซื้อของกันนานจะตายไป ยิ่งพวกเรื่องเสื้อผ้านี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยนะคะ เดี๋ยวเลือก เดี๋ยวลอง เดี๋ยวถอด เดี๋ยวเปลี่ยน วุ่นวาย เสียเวลาจะตายไปค่ะ”

ทีแรกภาณุวัฒน์แปลกใจที่เจ้าหล่อนอธิบายมาเสียยืดยาวทั้งที่ตอนแรกทำเหมือนไม่ค่อยอยากเสวนากับเขาสักเท่าไหร่ แต่แล้วก็เข้าใจในที่สุดเมื่อเจ้าหล่อนบอกต่อ

“ถ้าคุณภาณุวัฒน์ติดธุระ หรือว่ากลัวเสียเวลา บอกได้เลยนะคะ ไม่ต้องเกรงใจ เดี๋ยวดิฉันไปเลือกดูเองก็ได้ค่ะ ยัยปอ ยัยนุ่นเค้ากังวลเกินเหตุไปเอง เลยพลอยทำให้คุณภาณุวัฒน์ต้องเสียเวลาไปด้วยเลย”

แม่คนขี้เกรงใจพยายามโน้มน้าวเขาเต็มที่ พอเห็นลูกกะตาเต้นยิบๆ เป็นประกายทอแววคาดหวังนั่นแล้วเขาก็เกิดนึกสนุกอยากจะขัดใจให้หล่อนเสียแผนขึ้นมาเสียอย่างนั้น อยากรู้จริงๆ ว่าถ้าเขาไม่เดินตามเกมที่หล่อนวางหมากไว้ หญิงสาวท่าทางปราดเปรียวตรงหน้าจะออกงิ้วออกโขนยังไงต่อไปบ้าง

“คุณมัชไม่ต้องเกรงใจไปหรอกนะครับ วันนี้ผมว่างทั้งวัน เจ้านายอนุญาตให้ลางานเรียบร้อยแล้ว คุณมัช อยากจะเลือก จะลองนานแค่ไหนก็ได้เลยครับ ไม่มีปัญหา”

มัชฌิมามองคนตรงหน้าที่ประสานสายตากับหล่อนยิ้มๆ เหมือนรู้เท่าทันไปเสียทุกอย่าง ปากยิ้มกริ่ม แต่แววตายิ้มเยาะ ! เห็นแล้วหล่อนก็อดจะปรี๊ดอยู่ในใจคนเดียวไม่ได้

ยัยปอนะ ยัยปอ นี่ไปขุดหาผู้ชายงี่เง่ากวนประสาทนี่ไหนมาให้หล่อนกันแน่เนี่ย
แต่ถึงจะโกรธยังไง มัชฌิมาก็ยังอุตส่าห์ฉีกยิ้มหวานปานน้ำผึ้งเดือนห้ากลับไป น้ำผึ้งที่กลบเหล็กในไว้เกือบมิด ! เป็นเพราะหล่อนเป็นคนเปิดเผย ตรงไปตรงมา ไม่ชอบเก็บงำอารมณ์ ความคิดให้ยอกย้อนวุ่นวาย พอคิดจะปิดปังความรู้สึกที่แท้จริงทีไร แววตาก็มักจะฟ้องความในใจโดยที่เจ้าของไม่ทันจะรู้ตัวไปก่อนเสมอ

“คุณภาณุวัฒน์นี่ใจดีจังเลยนะคะ ใจดีอย่างนี้สาวๆ คงหลงแย่” และโดยไม่ทันรู้ตัว หญิงสาวก็แอบกัดชายหนุ่มนัยน์ตากวนประสาทไปเสียแล้ว

อุตส่าห์ว่าจะทำตัวดีๆ แล้วเชียวนะ... มัชฌิมานึกดุตัวเองอยู่ในใจ ฝ่ายภาณุวัฒน์กลับเลิกคิ้วสูงเหมือนแปลกใจกับคำกระแนะกระแหนนั้นนิดหน่อย

“ไม่มากอย่างที่คุณคิดหรอกครับ อย่างน้อยผมก็ยังมีเวลาว่างมากพอที่จะพาคุณมัชฌิมาไปเลือกเสื้อผ้ากับผมได้ทั้งวันแหละฮะ”

ชายหนุ่มก็บอกตัวเองไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมต้องนึกอยากต่อล้อต่อเถียงกวนประสาทกับผู้หญิงหน้าหวาน แต่ตาดุที่นั่งอยู่เบื้องหน้าด้วย รู้เพียงแต่ว่าเขาชักจะสนุกขึ้นมาบ้างแล้วล่ะตอนนี้ ไม่ทันที่หญิงสาวจะตอบโต้อะไรกลับไป บริกรก็ยกเอาอาหารสามสี่จานที่สั่งไว้มาเสิร์ฟขัดตาทัพเสียก่อน มัชฌิมามองอาหารตรงหน้าอย่างคนที่เพิ่งรู้ตัวว่าหิวจัด เห็นอีกคนที่นั่งร่วมโต๊ะเริ่มตักอาหารเข้าปากท่าทางเอร็ดอร่อย น้ำย่อยในกระเพาะหล่อนก็เริ่มทำงานแข่งกันใหญ่

ฝากไว้ก่อนเถอะนะยะ ! หญิงสาวส่งสายตามุ่งมาดไปยังคนฝั่งตรงข้ามที่นั่งทำไม่รู้ไม่ชี้ตักกุ้งอบซอสเห็ดขนาดพอดีคำเข้าปากอย่างไม่อนาทรร้อนใจอะไรกับหล่อนเลยสักนิด

มัชฌิมาถือว่าคติว่ากองทัพเดินได้ด้วยท้องอิ่มมากกว่าท้องที่หิวโหย ดังนั้นหล่อนจึงเลิกสนใจอาการกวนลูกกะตาของคนตรงหน้าแล้วหันมาจัดการอาหารตรงหน้าเอาอย่างเขาบ้าง

ระหว่างที่หญิงสาวก้มหน้าก้มตากิน ตักจานนู้น ชิมจานนี้อย่างสนุกสนาน เจ้าหล่อนไม่ได้รู้ตัวเลยว่าได้เรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากคนตรงหน้ามาได้นิดหนึ่งแล้ว อย่างน้อยตอนนี้ภาณุวัฒน์ก็ไม่ได้นึกชังน้ำหน้าหล่อนอย่างที่กำลังเกิดอาการนี้กับผู้หญิงหลายๆ คนก็แล้วกัน

หลังจากที่เพลิดเพลินกับอาหารตรงหน้าไปได้พักใหญ่ ท่าทางหญิงสาวจะอารมณ์ดีขึ้นมาบ้างแล้ว จึงไม่ได้ตั้งท่าจะตีรวนอะไรกับเขาอีก เกือบจะยิ้มแย้มเป็นมิตรดีด้วยซ้ำไปตอนที่เจ้าหล่อนถามข้อข้องใจขึ้นมา
“มัชรู้สึกคุ้นหน้าคุณภาณุวัฒน์จังเลยค่ะ ไม่ทราบว่าเราเคยพบกันมาก่อนหรือเปล่าคะ”

ภาณุวัฒน์มองดูคนถามที่เอื้อมมือไปตักไก่มะขามเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ เพื่อไม่ให้เสียเวลากินระหว่างรอคำตอบ กำลังชั่งใจอยู่ว่าจะบอกเจ้าหล่อนไปตามตรงเลยดีหรือไม่ ถ้าบอกไปแล้วแม่สาวตาดุนี่จะโกรธขึ้งขึ้นมาอีกหรือเปล่า ลองดูเสียหน่อยก็แล้วกัน

“เราเคยเจอกันมาสองครั้งแล้วล่ะฮะ ถ้าผมจำไม่ผิด”

“จริงเหรอคะ ถึงว่า... มัชเห็นครั้งแรกยังคิดอยู่เลยว่าคุณภาณุวัฒน์นี่หน้าตาคุ้นๆ อาจจะเคยเจอพร้อมพี่เอกมาก่อน ใช่มั้ยคะ” มัชฌิมาเออออผสมโรงพลางเดาสุ่มไปอย่างนั้น หล่อนกำลังพยายามหลอกล่อให้ชายหนุ่มตายใจก่อนจะเตรียมตีชิ่งออกไปในภายหลัง หล่อนว่าจะแกล้งหลอกเขาว่าปวดท้อง เอาถึงขั้นอาหารเป็นพิษเลยก็ได้ แล้วหล่อนก็จะรีบชิ่งออกไปเลย

คนอย่างมัชฌิมาซะอย่าง หล่อนรู้จักเอาตัวรอดเป็นยอดคนอยู่แล้ว

“ไม่ใช่หรอกครับ คุณมัชคงจำผิด” ชายหนุ่มแย้งกลับมาช้าๆ ก่อนจะบอกต่อ

“ครั้งแรกเราเจอกันที่ตึก...” ชายหนุ่มบอกชื่ออาคารสำนักงานซึ่งเป็นที่ทำงานของหล่อน

“จริงเหรอคะ คุณภาณุวัฒน์เคยไปที่ออฟฟิศของมัชด้วยเหรอคะ ทำไมมัชถึงจำไม่ได้เลยก็ไม่รู้” คราวนี้มัชฌิมาถามด้วยความแปลกใจจริงๆ

“อ๋อ ไม่ใช่หรอกครับ เราบังเอิญเจอกันในลิฟต์” ชายหนุ่มแกล้งถ่วงจังหวะก่อนจะบอกต่อ

“ที่คุณมัชวิ่งเข้ามาเหยียบเท้าผมเข้ายังไงล่ะครับ พอจะนึกออกหรือเปล่า”

“คุณ ! คุณคืออีตาผู้ชายปากร้าย หน้าดุคนนั้นเองหรือเนี่ย...ถึงว่า” มัชฌิมานึกขึ้นได้พอดีว่าไม่สมควรจะพูดอะไรอย่างที่ใจคิดออกไปตอนนี้

“อีตาผู้ชายปากร้าย หน้าดุ อย่างนั้นหรือครับ” ชายหนุ่มทวนคำกลับมาหน้าตาเฉย ทั้งที่กลั้นยิ้มเอาไว้แทบแย่ ยิ่งได้เห็นหน้าตาเหวอๆ ของคนตรงหน้ายิ่งชวนให้ขำเข้าไปใหญ่

“อ๋อ ก็ เอ่อ...ก็ตอนนั้นคุณดูเป็นอย่างนั้นจริงๆ นี่คะ ดิฉันพลาดเหยียบเท้าเข้าหน่อยเดียว คุณดุกลับมาซะเสียงดัง ดิฉันเกือบจะเอาปี๊บคลุมหัวออกจากลิฟต์แล้วด้วยซ้ำไป”

มัชฌิมาไม่ได้บอกชายหนุ่มต่อไปว่าตอนนั้นหล่อนนึกอยากจะเหยียบปากเสียๆ นั่นแทนเท้าของเขาเสียให้หนักจะได้ไม่ไปทำปากร้ายกับใครได้อีก

“ถ้าอย่างนั้น ผมก็ต้องขอโทษด้วยแล้วกันนะครับ พอดีวันนั้นมีเรื่องยุ่งๆ แล้วผมก็หงุดหงิดมากไปหน่อย หวังว่าคุณมัชคงจะไม่เก็บมาเป็นอารมณ์นะฮะ”

ชายหนุ่มบอกขอโทษแต่แววตาเป็นประกายวับๆ ไม่ได้สลดตามคำพูดเลยสักนิด แต่ด้วยมารยาทแล้วหล่อนก็จำเป็นต้องบอกเขากลับไปว่าไม่ได้คิดจะถือโทษโกรธเคืองอะไรหรอก ทั้งที่ใจจริงอยากจะบอกเขาไปใจจะขาดว่าตอนนั้นหล่อนถือสาถึงขนาดว่าเข้าขั้นแค้นเลยทีเดียวล่ะ

“ถ้าอย่างนั้น ครั้งที่สองที่เราเจอกันละคะ ดิฉันพลาดไปเหยียบเท้าคุณภาณุวัฒน์เข้าอีกหรือเปล่า” ถึงจะออกปากไปว่าไม่โกรธ แต่หล่อนก็ยังอดจะประชดกลับไปไม่ได้ ก็ใจจริงแล้วหล่อนโกรธนี่นา

“คุณมัชไม่ได้เหยียบเท้าผมอีกหรอกฮะ แต่เป็นผมต่างหากที่เดินชนคุณจนหกล้มเมื่อสองสามวันก่อนนี่เองฮะ คุณมัชพอจะนึกออกหรือเปล่า”

ภาณุวัฒน์จบคำบอกเล่าด้วยแววตาท้าทายหล่อนนิดๆ เหมือนเขาสนุกเต็มแก่กับการยั่วให้หล่อนโกรธ พอหล่อนนึกออกแล้วก็โกรธจริงๆ เสียด้วย

มัชฌิมาโกรธตัวเองที่ซวยมาเจออีตาปากร้ายนี่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า โกรธตัวเองที่นึกไม่ออกตั้งแต่แรก โกรธปาจารีย์ที่ดันเจาะจงมาแนะนำอีตานี่ให้หล่อนรู้จัก

โอ๊ย...หล่อนจะทำยังไงดีเนี่ย ลุกขึ้นอัดผู้ชายตรงหน้าแล้วหนีกลับไปบ้านไปเลยดีหรือเปล่า ถ้าโดนมารยาทถ่อยๆ ของหล่อนเข้า รายไหนก็รายนั้น เป็นอันว่าต้องเลิกพิศวาสหล่อนได้แน่ๆ

“ทำไมเงียบไปล่ะครับ หรือว่ายังนึกไม่ออก” ภาณุวัฒน์ยอมรับตรงๆ เลยว่าเขาจงใจยั่วแม่เสือขี้โมโหตรงหน้า อยากดูสิว่าหล่อนจะแผลงฤทธิ์อะไรต่อไปอีก

“นึกออกแล้วล่ะค่ะ กำลังจะถามคุณภาณุวัฒน์อยู่เหมือนกันว่าเคยได้ยินมั้ยคะ ที่คนเขาบอกกันว่าเรื่องร้ายๆ มักจะมาพร้อมกันทีละหลายๆ เรื่องน่ะค่ะ” มัชฌิมาถามกลับมาเรื่อยๆ เหมือนชวนคุยก่อนจะตบท้าย

“ดิฉันเพิ่งจะมาเห็นจริงก็วันนี้เอง คุณภาณุวัฒน์คิดเหมือนกันมั้ยคะ” ถามจบเจ้าหล่อนก็มองเขายิ้มๆ เหมือนดีใจที่ได้หลอกด่าเขากลายๆ กลับไปให้หายแค้น แต่อย่าคิดนะว่าคนอย่างภาณุวัฒน์จะยอมแพ้ง่ายๆ

“คิดไม่เหมือนกันหรอกครับ ผมกลับดีใจจะตายไปที่ได้มาเจอคุณมัชอีก ดูเหมือนดวงเราสองคนจะสมพงศ์กันจังเลยนะครับ ถ้าเป็นหนังไทยก็เชื่อได้เลยว่าคุณกับผมคงได้รักกันตอนท้าย คุณมัชคิดเหมือนผมมั้ยครับ” ชายหนุ่มจงใจเลียนแบบคำถามหล่อนในตอนท้าย คงชอบใจนักกระมังที่ได้ยั่วให้หล่อนโกรธ

“ไม่คิดค่ะ ดิฉันไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น แล้วก็ขอโทษด้วยนะคะ ดิฉันคงต้องขอตัวก่อน” พูดจบหญิงสาวก็เปิดกระเป๋าสตางค์เตรียมหยิบเงินค่าอาหารมาวางทิ้งไว้บนโต๊ะ หากแต่ภาณุวัฒน์เอ่ยขัดขึ้นเสียก่อน

“ค่าอาหารไม่ต้องก็ได้นะฮะ ถือซะว่ามื้อนี้ผมเลี้ยงส่งคนขี้แพ้ก็แล้วกันครับ” ชายหนุ่มยักไหล่ด้วยท่าทางกวนตาเป็นที่สุด

“คุณว่าใครขี้แพ้” มัชฌิมาถามกลับเสียงเขียว มือที่เปิดกระเป๋าสตางค์ชะงักค้างอยู่กับที่

“ก็ใครละครับที่เอะอะไม่พอใจอะไรก็ลุกหนี แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เรียกว่าขี้แพ้ได้ยังไง” ตอนท้ายเขาทำเป็นบ่นเสียงเบาเหมือนพูดอยู่กับตัวเอง ทำเอาคนไม่ชอบเป็นไอ้ขี้แพ้อย่างมัชฌิมาคิดหนัก

เอาน่ะ หล่อนจะยอมไปกับอีตาบ้านี่สักครั้งก็ได้ ให้เรื่องมันจบๆ กันไป ใครบางคนจะได้มากล่าวหาว่าหล่อนเป็นไอ้ขี้แพ้ไม่ได้อีก ยัยปอเองก็จะได้ไม่ต้องมาตามเฉ่งหล่อนด้วยเหมือนกัน เอาเถอะ เพื่อผลประโยชน์ที่คุ้มกว่า ทนๆ เอาหน่อยก็แล้วกันนะ มัชฌิมานะ หญิงสาวคิดปลอบตัวเองในตอนท้าย

“ใครว่าฉันจะหนี ฉันแค่จะรีบจ่ายเงินแล้วก็ออกไปซื้อของเสียทีต่างหาก แต่ถ้าคุณยังทานไม่เสร็จ ไม่ว่างจะไปด้วยก็ไม่ต้องรีบร้อนนะคะ ฉันจะบอกยัยปอ ยัยนุ่นเองค่ะว่าคุณติดธุระด่วนมาก”

“แต่บังเอิญว่าผมไม่ชอบปัดความรับผิดชอบเสียด้วยสิฮะ ตกลงว่าเราออกไปพร้อมกันเลยก็แล้วกัน”

ภาณุวัฒน์มองตามร่างโปร่งบางที่เดินนำหน้าฉับๆ ออกไปด้วยความขัดใจแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ บางที ถ้าคู่หมั้นกำมะลอของเขาเป็นผู้หญิงขี้โมโห ยั่วขึ้นอย่างนี้ ชีวิตเขาก็คงจะมีสีสันขึ้นมาอีกไม่น้อย แค่แหย่ให้แม่เสือสาวหนวดกระตุกได้ เขาก็รื่นเริงใจจะแย่แล้ว

ชายหนุ่มแค่คิดขึ้นมาเล่นๆ อย่างนึกครึ้ม แต่ยังไม่คิดจะทำอย่างนั้นจริงจังเลยสักนิด
ตอนนี้ยังไม่คิด แต่ต่อไปไม่แน่ !













ณนวล
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 พ.ค. 2555, 00:28:35 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 พ.ค. 2555, 00:28:35 น.

จำนวนการเข้าชม : 1252





<< ♥ บทที่ 5   ♥ บทที่ 7 >>
phugan 27 พ.ค. 2555, 12:15:25 น.
พี่ใหญ่ขี้แกล้งอ่ะ


icewinter 27 พ.ค. 2555, 19:39:55 น.
พระเอกนางเอกแรงทั้งคู่ แต่น่ารักค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account