รถด่วนขบวนสุดรัก
ชีวิตนี้เคยต้องรออะไรนานๆ มั้ยคะ โดยเฉพาะรอดูว่าเมื่อไหร่พ่อเนื้อคู่ตุนาหงัน โซลเม็ทของฉันจะโผล่มาเซอร์ไพรส์ในชีวิตจริงเสียที เพราะนั่งรอ นอนรอ ตบยุงรอมาก็หลายปีดีดักแล้ว รอไปก็กังวลไป สงสัยว่าชาตินี้ฉันคงจะได้ขึ้นคานแหงๆ
การรอคอยบางทีทรมานกว่าผลลัพธ์ แต่ถ้าผลลัพธ์ออกมาดีเหมือนรถด่วนขบวนสุดรักขบวนนี้ บางที...การ (อดทน) รอก็อาจจะให้ดอกผลที่น่าชื่นใจกว่าก็ได้
อย่าไปกังวลเลยค่ะว่าเราจะไปไม่ทันรถด่วนขบวนสุดท้ายหรือเปล่า ขอให้พากันสมัครใจไปกับ รถด่วนขบวนสุดรัก กันดีกว่า


Dear someone,

If love (still) kept you standing at the station when the last train's gone by…, then I thought maybe walking was better ‘coz we were the master of our choices.

So, do you wanna walk…?


Tags: เนื้อคู่ รถด่วนขบวนสุดท้าย ณนวล มัชฌิชา ภาณุวัฒน์

ตอน: ♥ บทที่ 10

มัชฌิมานั่งขมวดคิ้วมุ่นอยู่ที่โต๊ะทำงาน มือหนึ่งเท้าค้าง อีกมือหนึ่งก็เคาะปากกาเป็นจังหวะเร่งเร้าอยู่กับสมุดออร์แกไนเซอร์เล่มหนา เจ้าตัวมักจะเคาะนิ้ว เคาะปากกาเป็นจังหวะเร่งกระชั้นเช่นนี้เสมอยามที่มีเรื่องหงุดหงิด ไม่สบายใจ หรือคิดอะไรไม่ออก เป็นความเคยชินที่เป็นไปเองจนหล่อนแทบไม่รู้ตัวเองเลยด้วยซ้ำ ประหนึ่งว่านี่เป็นปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่ออกมาจากไขสันหลังแทนสมองสั่ง

อันที่จริงหล่อนก็ไม่ค่อยแน่ใจตัวเองเหมือนกันว่าหล่อนหงุดหงิดเพราะผู้ช่วยที่จะมาช่วยเตรียมการสัมภาษณ์ Man of the Month หรือพ่อยอดชายที่น่าสนใจที่สุดประจำเดือนนี้ยังไม่มาทำงานแล้วแถมยังโทรติดต่อไม่ได้ หรือเป็นเพราะตัวเองมีเรื่องหงุดหงิดค้างคามาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วกันแน่

คิดแล้วก็ยังโมโหไม่หาย เป็นเพราะอีตาบ้าภาณุวัฒน์นั่นแท้ๆ เลยเชียวที่เป็นต้นเหตุทำให้หล่อนนอนไม่หลับไปเกือบทั้งคืน ถ้าเขาไม่มาทำอะไรบ้าๆ แบบนั้นหล่อนก็คงไม่ต้องเก็บอะไรมาคิดให้มันวุ่นวายรกสมองอย่างนี้หรอก ไอ้ภาพเหตุการณ์บ้าๆ พวกนั้นก็เหมือนกัน ยิ่งหล่อนพยายามจะรีบลืมเท่าไหร่ มันก็ยิ่งพากันมาสลอนแจ่มชัดอยู่ในสมองของหล่อนซ้ำแล้วซ้ำเล่า คิดแล้วมันน่านัก !

“เป็นอะไรน่ะเจ๊ อยู่ๆ ก็มานั่งขบเขี้ยวทำหน้าโหดอยู่คนเดียวแบบนี้น่ะ” เสียงพริซซิลล่าดังมาไกล ทักมาตั้งแต่ที่เจ้าตัวเพิ่งจะเปิดประตูเข้ามาเลยด้วยซ้ำ

“เป็นอะไรมันก็เรื่องของฉัน หล่อนจะอยากรู้ไปทำไมยะ” มัชฌิมาหันไปบอกคนช่างถามตาขุ่น หากแต่อีกฝ่ายกลับไม่สะดุ้งสะเทือนหรือคิดจะสลดไปด้วยเลยสักนิด

“แหม...คนเขาอุตส่าห์เป็นห่วง เจ๊ก็ทำเป็นพูดตัดรอนไร้เยื่อใยกันไปได้” เจ้าตัวจีบปากจีบคอตัดพ้อก่อนจะถือวิสาสะนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกันกับมัชฌิมา

“มีคนเขาส่งมาให้เจ๊แน่ะ” จากนั้นพริซซิลล่า หรือ ‘นังพริซ’ ของใครๆ ก็จัดแจงส่งดอกไม้ที่แอบซ่อนไว้ข้างหลังมาให้หญิงสาว

“ใครกันน่ะเจ๊ ใช่ผู้ชายหรือเปล่า” เจ้าตัวกระเซ้าถามทั้งอยากล้อและอยากรู้ด้วยนิดๆ

มัชฌิมารับดอกไม้ที่จัดช่ออยู่ในกระถางไม้ใบย่อมนั้นมาอย่างงงๆ เพราะหล่อนยังคิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะมีใครนึกอยากส่งดอกไม้ราคาแพงมาให้หล่อนในวันนี้ -วันที่ไม่ได้มีความหมายอะไรเป็นพิเศษเลยสักนิด หรือถ้าเคยมีหล่อนก็คงจะลืมมันไปหมดแล้ว

หญิงสาวหยิบเอากระดาษเนื้อแข็งที่ร้อยดิ้นสีเงินผูกเข้ากับตัวกระถางไว้หลวมๆ ขึ้นมาดูอย่างพิจารณา ก่อนจะเปิดการ์ดใบน้อยที่ทั้งหอมและสวยด้วยลายพิมพ์นูนรูปกลีบดอกไม้กรุ่นกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ นั้นออกอ่าน
มือเรียวนั้นสั่นระริกขึ้นมาด้วยแรงอารมณ์อย่างเห็นได้ชัด แม้ข้อความที่ใครคนหนึ่งบรรจงเขียนมาด้วยลายมือคุ้นตาลายเส้นหนาหนักจะมีเพียงถ้อยความสั้นๆ ว่า ...รักและคิดถึงมัชเสมอ เพียงเท่านั้นก็ทำให้หญิงสาวโกรธจนมือสั่นได้เลยทีเดียว

“พริซอยากได้มั้ย ฉันยกให้” หญิงสาวพูดพลางผลักกระถางดอกไม้นั้นออกห่างราวกับว่าเป็นของน่ากลัวน่ารังเกียจ

“อ้าว ทำไมล่ะเจ๊ ออกจะสวยออก เจ๊ไม่ชอบเหรอ”

“ถ้าหล่อนไม่อยากได้ จะเอาไปยกให้ใครที่ไหนก็ได้ เอาไปเถอะ หรือถ้าไม่มีใครเอา จะทิ้งไปเลยก็ได้นะ แต่ช่วยเอามันออกไปให้พ้นหน้าฉันหน่อยก็แล้วกันนะ ...ฉันรังเกียจ”

“รังเกียจดอกไม้สวยๆ เนี่ยนะ” พริซซิลล่ามองคู่สนทนาเหมือนไม่อยากจะเชื่อ

“ใช่ ฉันรังเกียจทั้งคนทั้งดอกไม้นั่นแหละ เอาออกไปทิ้งไกลๆ ที ฉันจะออกไปข้างนอกแล้ว”

มัชฌิมาบอกแค่นั้นก็หยิบกระเป๋าขึ้นสะพายก่อนจะก้าวเร็วๆ ออกจากห้องทำงานไป ทิ้งให้อีกฝ่ายได้แต่มองตามตาปริบๆ อย่างคนที่จับต้นชนปลายอะไรไม่ถูก ก็หล่อนไม่เห็นจะเข้าใจเลยนี่นะว่าทำไมมัชฌิมาจะต้องแสดงอาการทั้งโกรธทั้งรังเกียจดอกไม้กระถางนี้ถึงขนาดนั้นด้วย ขนาดว่าทนอยู่ร่วมห้องเดียวกันกับดอกไม้ช่อนี้ไม่ได้เลยเชียวหรือ

คิดแล้วเจ้าหล่อนก็อยากรู้เสียจริงว่าใครกันที่เป็นเจ้าของดอกไม้ช่องามที่มัชฌิมาแสดงความรังเกียจออกมาจนนอกหน้าช่อนี้

♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥

ดาริกาก้าวฉับๆ มารายงานตัวกับภาณุวัฒน์ตามคำบอกกล่าวของคุณดรุณี เลขาฯ หน้าห้องของชายหนุ่มด้วยความมั่นอกมั่นใจ เจ้าตัวเคาะประตูห้องเพียงสองครั้งก่อนจะเปิดเข้าไป รอยยิ้มที่เคลือบลิปสติกสีส้มบางไม่ปรากฏร่องรอยของความกังวลหรือหวาดหวั่นต่อชายหนุ่มตรงหน้าเลยสักนิด ยังไงเสียภาณุวัฒน์ก็ต้องรับหล่อนเข้าทำงานในฐานะผู้ช่วยเลขาฯ ของเขาอยู่แล้ว ในเมื่อคุณประไพพิศออกปากฝากฝังให้ทั้งคน

อันที่จริงคนที่เรียนจบด้านการบริหารธุรกิจจากยู.ที่มีชื่อเสียงในสหรัฐอเมริกาอย่างหล่อน แทบจะไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องมาเริ่มฝึกงานจากการเป็นผู้ช่วยเลขาฯ นี่เลยสักนิด ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะว่าหล่อนอยากจะหาโอกาสเข้ามาดูแลภาณุวัฒน์อย่างใกล้ชิด คนอย่างดาริกาไม่มีทางมองตำแหน่งนี้แน่ๆ หล่อนมีความทะนงตัวเหมือนอย่างเด็กสมัยใหม่ทั่วไปว่าตัวเองมีดีเกินกว่าจะยอมทำงานที่รีไควร์คุณสมบัติต่ำกว่าความสามารถที่หล่อนมีอยู่

“สวัสดีค่ะ พี่ใหญ่”

“พี่ใหญ่เรียกน้องรินมา มีอะไรหรือเปล่าคะ”

ภาณุวัฒน์มองร่างบางที่แต่งตัวมาทำงานวันแรกด้วยชุดเดรสแขนกุดลวดลายน่าเวียนหัวก่อนจะถอนหายใจออกมาเสียยืดยาวราวกับคนแก่ที่หนักใจกับความประพฤติของบุตรหลาน ใจจริงเขาไม่เห็นด้วยกับมารดาเลยสักนิดที่จะให้เจ้าหล่อนมาทำงานด้วยกันกับเขาที่นี่ ชายหนุ่มพยายามหาเหตุผลมาคัดค้านมารดามากมายแต่คุณประไพพิศก็ไม่ยอมฟังเสียง

ขนาดบอกว่าตำแหน่งที่บริษัทเขาเต็มหมดแล้ว เลขาฯ เขาเองก็มีและคุณดรุณีก็ทำงานถูกใจดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องหาคนใหม่มาเพิ่มอีก มารดาก็ยังอุตส่าห์จะให้ดาริกามาเป็นผู้ช่วยเลขาฯ ของเขาอีกจนได้ คุณดรุณีจะได้ไม่ต้องทำงานหนักเกินไป เผื่อวันไหนมีธุระจะลาจะหยุดก็จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง สารพัดเหตุผลจะหามาอ้าง

ที่เขายอมรับปากมารดาไปทีแรกก็เพราะไม่คิดจริงๆ ว่าเด็กหัวสมัยใหม่ไฟแรงอย่างดาริกาจะยอมมาทำงานในตำแหน่งผู้ช่วยเลขาฯ ของเขาได้ จนเจ้าหล่อนมายืนยิ้มโชว์ฟันเรียงสวยอยู่ในตอนนี้แล้วเขาก็ยังไม่อยากจะเชื่อ

“นั่งก่อนสิ น้องริน” พอชายหนุ่มบอกหล่อนก็ทำตามอย่างว่าง่าย

“ไหนลองบอกพี่หน่อยสิว่า ทำไมน้องรินถึงอยากมาทำงานที่นี่” ภาณุวัฒน์ถามคนตรงหน้าเหมือนคำถามที่ใช้ในการสัมภาษณ์งานทั่วๆ ไป เจ้าหล่อนยิ้มเก๋ไก๋ก่อนจะตอบโดยไม่ต้องหยุดคิด

“ก็เพราะน้องรินอยากมาคอยดูแลพี่ใหญ่อยู่ใกล้ๆ ยังไงล่ะค่ะ น้องรินบอกพี่ใหญ่แล้วยังไงคะ ว่าสักวันหนึ่งน้องรินจะทำให้พี่ใหญ่เปลี่ยนใจ” เจ้าตัวบอกจุดมุ่งหมายไปตามตรง เปิดเผยเสียจนคนฟังแทบสำลักกาแฟที่เพิ่งยกขึ้นจิบ

“มีใครที่ไหนเขามาสมัครงานกันด้วยเหตุผลอย่างนี้บ้างฮึ”

“ไม่รู้ล่ะ น้องรินตัดสินใจแล้ว พี่ใหญ่เองก็รับปากคุณป้าแล้วด้วยเหมือนกัน เพราะฉะนั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปน้องรินจะมาทำงานที่นี่ แล้วพี่ใหญ่ก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธด้วย” เจ้าตัวบอกอย่างคนที่เคยแต่ยึดเอาความต้องการของตัวเองเป็นใหญ่

“น้องริน น้องรินรู้ใช่มั้ยว่าเวลาพี่ทำงานไม่ใช่เวลาที่เราจะมาทำเป็นเล่นๆ ได้” ชายหนุ่มถามอย่างอ่อนอกอ่อนใจจนเกือบจะจนปัญญากับความดื้อของคนตรงหน้า

“น้องรินทราบดีค่ะ แล้วน้องรินก็จะทำงานของน้องรินให้ดีที่สุดด้วย พี่ใหญ่ไม่ต้องเป็นห่วง น้องรินเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบแล้วก็มีเหตุผลพอค่ะ”

ภาณุวัฒน์มองปลายจมูกเชิดๆ นั้นแล้วก็อยากจะจับเจ้าตัวเล็กของเขามาตีเสียให้เข็ด โทษฐานที่ดื้อไม่เข้าท่า แล้วชายหนุ่มก็เลยไพล่ไปคิดถึงใครอีกคนขึ้นมา ใครอีกคนที่มีนิสัยชอบเอาแต่ใจตัวเหมือนอย่างดาริกาไม่มีผิด ...ป่านนี้หล่อนจะหายโกรธเขาบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้

“ถ้าอย่างนั้นเวลาอยู่ที่ทำงานห้ามเรียกพี่ว่าพี่ใหญ่”

“ได้ค่ะ คุณภาณุวัฒน์” เจ้าตัวชิงสวนขึ้นมาทันควันตั้งแต่ที่เขายังพูดไม่จบ

“แล้วก็ เวลาแต่งตัวมาทำงานขอให้เลือกชุดที่ดูสุภาพเรียบร้อยกว่านี้หน่อย ทำได้มั้ย” ตอนท้ายชายหนุ่มถามเสียงอ่อนเพราะใจจริงก็กลัวว่าเจ้าหล่อนจะงอนปึงปังใส่

“ไม่มีปัญหาค่ะ คุณภาณุวัฒน์ เดี๋ยวดิฉันจะจัดการตัวเองให้เรียบร้อยค่ะ”

“ประชดพี่หรือเปล่า”

“ไม่ได้ประชดค่ะ คุณภาณุวัฒน์”

ภาณุวัฒน์มองใบหน้างามที่ชักจะตึงๆ พร้อมกับแววตาขึงขังคู่นั้นแล้วก็อดจะใจอ่อนไม่ได้ ถ้าทั้งหมดนี้ดาริกาทำเพียงเพื่ออยากจะมาอยู่ใกล้ชิดเขาอย่างที่เจ้าหล่อนบอกก็นับว่าเป็นความพยายามทุ่มเทที่น่านับถือ ชายหนุ่มเอื้อมมือไปลูบศีรษะเจ้าตัวเล็กเบาๆ เป็นเชิงปลอบ

“ไม่เอาน่า... อย่าโกรธพี่สิ ไหนน้องรินบอกว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่ที่มีเหตุผลพอแล้วยังไงล่ะ”

“ก็พี่ใหญ่อยากมาทำเป็นดุกับน้องรินก่อนทำไมล่ะ ของแค่นี้ บอกกันดีๆ ก็ได้” เจ้าตัวบอกอย่างงอนๆ

“เอาเป็นว่าพี่ขอโทษก็แล้วกันนะ น้องรินไปทำงานของตัวเองเถอะ”

ทันทีที่ดาริกาปิดประตูตามหลังลง ภาณุวัฒน์ก็นั่งคิดอะไรด้วยความหนักใจไปเงียบๆ เขาหยิบนิตยสารผู้หญิงเล่มหนึ่งออกมาจากลิ้นชักโต๊ะ หน้าปกเคลือบมันนั้นเป็นรูปของพิมพ์ตา ‘อดีตคนรัก’ ที่กำลังสวมชุดเจ้าสาวตามบทละครเรื่องล่าสุดที่เจ้าตัวกำลังรับแสดงอยู่ ส่วนในชีวิตจริงเขาได้ยินข่าวแว่วลอยลมมาเข้าหูว่าอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าเธอก็จะเข้าพิธีแต่งงานจริงๆ แล้วกับผู้ชายโชคดีบางคนที่บังเอิญไม่ใช่เขา !
พิมพ์ตา ...ดาราสาวผู้พิสูจน์แล้วว่า รักแท้ ไม่ได้ต้องการเวลาเสมอไป !

คิดๆ ไปแล้วมันก็จริงอย่างที่เขาว่า ...เวลากว่าแปดปีที่เขาสู้อุตส่าห์รักและถนอมหล่อนดังดวงใจตลอดมาไม่ได้มีความหมายอะไรต่อหัวใจของหล่อนเลยสักนิด เพราะถ้าความรักของเขามีความหมายต่อหล่อนจริง หล่อนก็คงไม่ทิ้งเขาไปอย่างนี้หรอก

“พี่ใหญ่ เป็นอะไรไปคะ”

ดาริกาถามเสียงอ่อนด้วยความห่วงใยอย่างเห็นได้ชัด หญิงสาวตั้งใจจะเอาน้ำผลไม้มาให้ชายหนุ่มดื่มเพื่อความสดชื่น แต่ด้วยความที่ไม่ได้ตั้งใจจะเคาะประตูจึงได้เห็นว่าชายหนุ่มกำลังซบหน้าอยู่กับฝ่ามือทั้งสองข้างเหมือนกับคนที่มีทุกข์หนักนักหนา

“น้องรินเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมพี่ไม่ได้ยินเสียง” ภาณุวัฒน์ถามกลับมาเสียงอ่อนล้าเหมือนคนหมดแรง

“เมื่อกี้นี้เองค่ะ น้องรินเอาน้ำผลไม้มาให้”

“พี่ใหญ่เป็นอะไรไปคะ บอกน้องรินได้หรือเปล่า”

หล่อนถามพลางยื่นมือไปวางทาบลงบนใบหน้าของชายหนุ่มอย่างสนิทสนม กิริยาอ่อนโยนและเต็มเปี่ยมด้วยความรักนั้นกลับทำให้ภาณุวัฒน์ยิ่งไม่สบายใจไปกันใหญ่ เขาไม่อยากให้ดาริกามาผูกจิตผูกใจกับเขามากไปกว่านี้ เขากลัวว่าหล่อนจะต้องมาเสียใจเพราะเขาเหมือนอย่างที่เขากำลังเสียใจเพราะใครบางคนอยู่

“พี่ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก แค่มีเรื่องเครียดนิดหน่อยเท่านั้นเอง” ชายหนุ่มบอกขณะปลดมือบางของหล่อนออกอย่างละมุนละม่อม ซึ่งดาริกาก็ยอมละมือออกมาแต่โดยดี

“แต่น้องรินเห็นพี่ใหญ่ดูเศร้าๆ ถ้ามีอะไรไม่สบายใจก็เล่าให้น้องรินฟังได้นะคะ น้องรินจะอยู่ข้างพี่ใหญ่เสมอ”

ยิ่งได้ฟังน้ำคำของดาริกาแล้วชายหนุ่มยิ่งรู้สึกปวดใจอย่างบอกไม่ถูก แม้เขาจะไม่ค่อยเข้าใจนักว่าทำไมหล่อนจึงได้ผูกพันกับเขาหนักหนา ทั้งที่ทั้งคู่ก็แยกจากกันไปมีชีวิตของตัวเองมานานกว่าสิบปีแล้ว ระยะเวลานานขนาดนั้นน้องเล็กของเขาน่าจะได้เจอผู้คนมามากมายแล้วก็ควรจะรักใครสักคนได้แล้ว ไม่ใช่ว่ามามัวฝังจิตฝังใจอยู่กับเขาอย่างนี้ เพราะมันเป็นหนทางที่ไม่มีอนาคตสำหรับหล่อนเลยสักนิด

“น้องริน... พี่ขอพูดอะไรสักอย่างกับรินได้มั้ย”

“ได้สิคะ น้องรินยินดีรับฟังพี่ใหญ่เสมอ”

ภาณุวัฒน์จูงมือหญิงสาวมานั่งลงบนโซฟาภายในห้องทำงานแทนที่จะพูดกันตรงโต๊ะทำงานตัวใหญ่นั้น แม้ว่าดาริกาออกจะงงกับท่าทางของชายหนุ่มอยู่ไม่น้อย แต่หล่อนก็ทำตามเขาอย่างว่าง่าย ภาณุวัฒน์วางมือแข็งแรงข้างหนึ่งลงบนมือนุ่มเนียนคู่นั้นก่อนจะบอก

“ริน... รินจำได้ใช่มั้ยที่พี่เคยบอกรินว่าพี่รักรินอย่างน้อง และรินจะเป็นน้องที่พี่รักเสมอ” ด้วยความที่เคยเรียกกันแต่ ‘น้องริน’ กันเสียจนติดปากมาตั้งแต่เด็ก พอโตขึ้นมาก็ยังชินอย่างนั้นอยู่ แต่เมื่อใดก็ตามที่
ภาณุวัฒน์จะพูดกับหล่อนในฐานะที่ทั้งคู่ต่างก็เป็นผู้ใหญ่เท่าเทียมกัน เขาจะเรียกหล่อนว่า ‘ริน’ เฉยๆ อย่างที่กำลังเรียกอยู่ในเวลานี้

“รินจำได้ค่ะ พี่ใหญ่ ...แต่รินไม่เข้าใจว่าทำไมพี่ใหญ่จะต้องรีบปิดโอกาสรินด้วย” น่าแปลกที่คราวนี้หล่อนไม่โวยวายอะไร เพียงแต่ถามเขากลับมาเสียงพร่าเพียงเท่านั้น

“พี่ใหญ่รู้ใช่มั้ยคะว่าน้องรินรักพี่ใหญ่ ถึงจะไม่ได้เจอกันมานานแค่ไหนรินก็รักพี่ใหญ่มาเสมอ...”

“รินรู้ว่าพี่ใหญ่อกหัก พี่ใหญ่ยังไม่มีใคร แล้วทำไมพี่ใหญ่ถึงไม่ยอมให้โอกาสรินเลยล่ะคะ”

เจ้าตัวถามกลับมาเสียงตัดพ้อ แววตาปวดร้าวเจือรอยหยาดน้ำใสๆ คลอหน่วย ภาณุวัฒน์นึกสงสารร่างบางที่กำลังนั่งไหล่สะท้านขึ้นมาจับจิต ถึงแม้เขากับหล่อนเพิ่งจะได้กลับมาเจอกันไม่นานนัก แต่เยื่อใยความผูกพันเก่าก่อนยังคงมีอยู่เต็มเปี่ยม เขาคว้าร่างบางนั้นมาโอบไว้พลางลูบศีรษะเป็นเชิงปลอบ

“ไม่ใช่ว่าพี่ไม่อยากให้โอกาสรินนะ” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นช้าๆ

“แต่พี่กลัวจริงๆ ว่าถ้าปล่อยเวลาให้เนิ่นนานไป รินจะยิ่งต้องเสียใจเพราะพี่ เป็นเพราะพี่รักริน เป็นห่วงรินหรอกนะ พี่ถึงได้พูดอย่างนี้”

“ทำไมคะ รินไม่ดีพอที่จะทำให้พี่ใหญ่เปลี่ยนใจได้เลยเหรอคะ”

“พี่ไม่รู้หรอกนะว่าวันข้างหน้าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง แต่พี่บอกรินได้อย่างหนึ่งว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาจวบจนถึงตอนนี้ นาทีนี้ พี่รักรินอย่างน้องมาเสมอ และไม่เคยคิดจะเปลี่ยนใจเลย”

ร่างบางอิงตัวเข้ากับอกเขานั่งฟังอยู่เงียบๆ ไม่โต้แย้ง ไม่โวยวาย หล่อนนิ่งเสียจนเขานึกเป็นห่วง แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่ากอดปลอบหญิงสาวไว้อย่างนั้น ผ่านไปครู่ใหญ่ ดาริกาก็แอบเช็ดน้ำตาก่อนจะเงยหน้ามาถามเขาด้วยแววตาสดใส

“พี่ใหญ่ยังไม่ได้รักใครใช่มั้ยคะ”

“ก็อย่างที่รินรู้ พี่เพิ่งอกหักแล้วก็ยังไม่อยากรักใครเลยจริงๆ ” ภาณุวัฒน์ตัดสินใจบอกหล่อนไปตามตรงโดยที่ไม่ทันได้เฉลียวใจเลยว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด

“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้วล่ะคะ” ภาณุวัฒน์หันไปมองคนที่นั่งยิ้มสดใสอยู่ข้างๆ ตัวอย่างไม่ค่อยเข้าใจความหมายของหล่อนนัก

“ในเมื่อพี่ใหญ่ยังไม่คิดจะรักใคร น้องรินก็ยังไม่หมดหวังจริงมั้ยคะ”

“น้องรินจะมาทำงานที่นี่เหมือนเดิม คอยดูแลพี่ใหญ่อยู่ใกล้ๆ เหมือนเดิม ...แล้วก็จะรักพี่ใหญ่เหมือนเดิมด้วย”

“ทีนี้ มาลองดูกันสิว่ารินจะทำให้พี่ใหญ่เปลี่ยนใจได้หรือเปล่า”

ภาณุวัฒน์มองดวงตาเป็นประกายหมายมาดนั่นแล้วก็ได้แต่นึกสงสัยว่าทำไมเจ้าหล่อนถึงได้มุ่งมั่นนัก ในเมื่อเขาก็บอกหล่อนไปชัดเจนแล้วนี่นาว่าเขาไม่มีทางเปลี่ยนความรักที่มีต่อหล่อนให้เป็นอย่างอื่นไปได้ เมื่อกี้ก็เห็นทำท่าเหมือนเข้าอกเข้าใจความหมายที่เขาบอกเป็นอย่างดี แต่ยังไม่ทันไรเจ้าตัวก็กลับมีความมุ่งมั่นขึ้นมาใหม่เสียอย่างนั้น เขาล่ะตามไม่ทันเลยจริงๆ

“น้องริน พี่คิดว่าน้องรินเข้าใจที่พี่พูดดีแล้วเสียอีก สรุปว่าไม่เข้าใจอะไรเลยใช่มั้ยเนี่ย” ตอนท้ายชายหนุ่มอดไม่ได้จริงๆ ที่จะทำเสียงดุใส่ แต่คนถูกดุก็ไม่ได้กลัวเกรงอะไรเลยสักนิด

“เข้าใจสิคะ เรื่องง่ายๆ แค่นี้ น้องรินไม่ได้โง่นี่นา” ดาริกาเถียงคนที่กำลังนั่งหน้าตึงใส่ ทั้งที่ก่อนหน้ายังเพิ่งกอดปลอบหล่อนอย่างพี่ชายใจดีอยู่หยกๆ

“พี่ใหญ่ไม่ต้องห่วงว่ารินจะเสียใจหรอกนะคะ น้องรินเข้มแข็งกว่าที่พี่ใหญ่คิดเยอะ”

“เอาเป็นว่าพี่ใหญ่อยากจะทำอะไรก็ทำไป ส่วนรินก็จะทำอะไรอย่างที่ตัวเองอยากทำเหมือนกัน แล้วเราลองมาดูกันสิว่าคราวนี้ใครจะชนะ”

“ถ้าพี่รักคนอื่นแล้วรินจะไม่เสียใจแน่หรือ” ชายหนุ่มถามย้ำกับคนที่ทำท่าฮึกเหิมยิ่งกว่านักกีฬาจะลงสนามแข่ง

“ถึงจะเสียใจ แต่น้องรินก็ใจกว้างพอค่ะ พี่ใหญ่ไม่ต้องเป็นห่วง”

“น้องรินไปทำงานแล้วนะคะ หนีมานานแล้วเดี๋ยวคุณดรุณีจะว่าเอาได้ ไปล่ะค่ะ”

ภาณุวัฒน์มองตามร่างบางที่เดินลิ่วๆ ออกไปเหมือนกับว่าเหตุการณ์ก่อนหน้าไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น เหมือนกับว่าหล่อนไม่เคยเช็ดน้ำตากับอกเขามาก่อน

บางทีเขาก็ไม่เข้าใจผู้หญิงเลยจริงๆ ...















ณนวล
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 พ.ค. 2555, 00:48:46 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 พ.ค. 2555, 00:48:46 น.

จำนวนการเข้าชม : 1377





<< ♥ บทที่ 9   ♥ บทที่ 11 >>
phugan 27 พ.ค. 2555, 14:11:23 น.
คุณใหญ่งานเข้าชิ้นใหญ่เลย....จะแก้ปัญหายังไงละทีนี้...


tarny 28 พ.ค. 2555, 20:31:42 น.
มาต่อไวๆนะคะ กำลังลุ้น


ดาวคันชั่ง 29 พ.ค. 2555, 21:15:32 น.
เข้ามารอตอนต่อไปของคุณใหญ่กับหนูมัชจ้า


ณนวล 29 พ.ค. 2555, 22:50:24 น.
มาอัพเดตต่อแล้วจ้า... อ่านรวด 4 ตอนเลยนะคราวนี้
...ขอบคุณทุกคนที่ติดตามถามไถ่จ้า...


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account