กาลรักปักใจ (สำนักพิมพ์ Touch Publishing)
ถ้าความรักที่มั่นคงต่อ 'กรบูร'
ทำให้ 'กรรเกด' สามารถกลายร่างเป็นสาววัย20
ในนาม 'กุ้งนาง'
เพื่อสานต่อความรักกับ 'กานต์กันย์'
ซึ่งมีบุคลิกหน้าตาเหมือนคนรักเก่า
การผลัดเปลี่ยนตัวตน เพราะความประหลาดมหัศจรรย์
จะช่วยทำให้เธอสมหวังในความรักหรือไม่?
เมื่อ 'เปรียว' คือก้างขวางคอชิ้นใหญ่
................
กาลเวลาที่ยังอยู่ในช่วงหนึ่งของความทรงจำ
จะมีพลานุภาพให้กับความรักได้สมดังหวังหรือไม่?
แล้วเธอจะเลือกชีวิต 'กรรเกด'
หรือเธอ...จะเลือกชีวิต 'กุ้งนาง'
เพื่อค้นหาความรักกับการรอคอย



Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 4

ตอนที่ 4

เช้าวันใหม่ แสงตะวันกระจ่างแจ้งอยู่เบื้องนอก แต่ภายในห้องนอนของกรรเกดนั้นกลับรู้สึกร้อนอ้าวระคนหนาวเยือก ตัวหล่อนนอนซม รู้สึกตะครั่นตะครอ เหมือนรุมไข้ ทั้งศีรษะเหมือนหนักขึ้งคล้ายโดนก้อนหินกดทับ เปลือกตาที่ปิดสนิทรู้สึกร้อนผ่าว แม้กระทั่งลมหายใจก็รู้สึกร้อน ราวกับมีกระแสไฟอ่อนๆพล่านไปทั่วร่างกาย

หญิงสาวพยายามยันกายลุกขึ้น ใช้หลังมืออังหน้าผาก มั่นใจว่าตนเองกำลังถูกพิษไข้เล่นงาน...นั่นอาจเกิดจากการอดหลับอดนอน พักผ่อนน้อยมาติดกันหลายคืน แถมเมื่อคืนยังเจอเรื่องราวประหลาด ชวนให้ระทดท้อใจ กว่าจะปิดเปลือกตาสนิท
หลับลึก ก็เกือบรุ่งสาง เช้านี้หล่อนจึงลุกแทบไม่ขึ้น แถมตัวยังรุม ร้อนในอก ร้าวในใจ

หล่อนลุกขึ้นไปหายาลดไข้ในตู้ยาสามัญประจำห้อง แล้วกลืนลงคอไปสองเม็ด ตามด้วยน้ำเปล่า เหลือบมองนาฬิกา จึงเห็นว่าสายเอาการ เมื่อตอนนี้จวนใกล้เที่ยง

สีหน้าหล่อนตกใจไม่น้อย ไม่นึกว่าจะหลับยาวอุตุกินเวลานานขนาดนี้ พลางนึกสงสัยว่าทำไมคุณนราจึงไม่โทรศัพท์ตาม พอเดินไปหยิบเครื่องโทรศัพท์ ซึ่งวางไว้ที่หัวเตียง จึงพบว่าหล่อนปิดเครื่องไว้นั่นเอง

สงสัยวันนี้คงต้องขอลางานสักหนึ่งวัน เมื่อคิดดังนั้นจึงเปิดเครื่อง แล้วรีบต่อสายหาคุณนราทันที

“เจ๊มันนี่คะ” เสียงหล่อนแหบแห้งพอควร

“เป็นอะไรรึเปล่าจ๊ะคุณน้องขา เกือบจะเที่ยงแล้ว ยังไม่โผล่มาที่ทำงาน...แล้วดูซิ ซุ่มเสียงพูดเหมือนคนไม่สบาย”

“นั่นน่ะสิคะ เกดรู้สึกปวดหัว เมื่อยเนื้อเมื่อยตัวไปหมด แต่ว่าทานยาเรียบร้อยแล้วค่ะเจ๊ นี่ก็กะว่าจะโทรมาลางานกับเจ๊วันนึง”

“หยุดไปเลยค่า คุณน้องขา เจ๊อนุญาต เดี๋ยวจะหาว่าห้องเสื้อของเจ๊จะใช้งานดีไซเนอร์หนักจนล้มหมอนนอนเสื่อ เรื่องงานก้ไม่ต้องเป็นห่วงนะจ๊ะ ที่ออฟฟิซไม่มีอะไรยุ่งเท่าไหร่ ถ้าคุณน้องขาสบายดีเมื่อไหร่ ค่อยมาทำงาน จะพักสักสองสามวันก็ได้นะจ๊ะ เพราะตลอดทั้งปี คุณน้องขาก็แทบจะไม่ได้ใช้วันลา”

น้ำเสียงคุณนราแสดงความห่วงใยจริงจัง แถมยังกำชับเพิ่มเติม ในเรื่องการโหมทำงานหนักบ่อยครั้ง อันเป็นนิสัยประจำตัวของหญิงสาว เพราะความแข็งขัน มุ่งมั่นเอาการเอางานเช่นนี้ คุณนราจึงทั้งรักและเอ็นดูกรรเกดประดุจเครือญาติแท้ๆก็ไม่ปาน ยิ่งกรรเกดเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว ไม่มีญาติโกโหติกาที่ไหน อันสืบเนื่องมาจากพ่อกับแม่ของหล่อนมาเสียชีวิต ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อสองปีก่อนหน้า หญิงสาวจึงดูแลตนเองมาตลอด

“ขอบคุณมากนะคะเจ๊ ถ้าเกดสบายเนื้อสบายตัวเมื่อไหร่ จะแวะไปดูงานที่ออฟฟิซนะคะ”

“พักบ้างเถอะ ถ้าคุณน้องขาป่วยหนักกว่านี้ มันจะไม่ดี...ว่าแต่จะต้องถึงมือหมอไหมจ๊ะ แล้วไปไหวไหม ถ้าไม่ไหวจะให้เจ๊ขับรถไปรับคุณน้องขารึเปล่า”

“ไม่เป็นไรค่ะเจ๊ ทานยาแล้วนอนสักพัก คงดีขึ้น” กรรเกดนิ่งไปครู่ ก่อนจะกลั้นใจถามถึงใครบางคน โดยไม่ให้คุณนรานึกสงสัย “เอ่อ...เจ๊...แล้ววันนี้น้องกานต์จะแวะเข้ามาที่ออฟฟิซรึเปล่า”

พูดถึงกานต์กันย์ คุณนราเสียงใสสดชื่นขึ้นทันตา “ไม่รู้เหมือนกันนะ เจ๊กะว่าอีกสองสามวันว่าจะให้น้องกานต์เข้ามาวัดตัว รวมถึงถ่ายรูปเพื่อทำโปรไฟล์ไปเสนอเจ๊อ๋อย เจ้าของโฆษณาที่จะเอาน้องไปเล่น แล้วก็เจ๊กบ หนังสือมิกซ์”

“เจ๊เตรียมงานให้น้องไว้หลายชิ้นเลยเหรอคะ”

“แน่นอนค่า” คุณนราลากเสียงสูง “พอเห็นตัวจริงยิ่งถูกใจ เจ๊รับประกันว่าคนนี้ต้องเกิดในวงการบันเทิงล้านเปอร์เซ็นต์ แต่ต้องขัดเกลาอีกนิด แล้วก็สอนเรื่องการวางตัวอะไรเทือกนั้นน่ะ เพราะน้องกานต์ยังต้องเรียนรู้ เรื่องการทำงาน”

“ตกลงเจ๊เป็นเจ้าของห้องเสื้อ หรือว่าเป็นโมเดลลิ่งกันแน่” กรรเกดสัพยอก

“แหมคุณน้องขา...น้องกานต์นี่ถือว่าเป็นกรณีพิเศษ”

แล้วจู่ๆคุณนราก็เงียบเสียงไป คล้ายกับว่ากำลังนึกเรียบเรียงคำพูดบางอย่าง จนกรรเกดต้องเอ่ยถาม “เป็นอะไรไปคะเจ๊ ทำไมเงียบไปล่ะคะ”

“อย่าหาว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะจ๊ะคุณน้องขา...แต่เจ๊ว่าน้องกานต์เขาหน้าเหมือนกับ...เอ่อ...เหมือนกับ ช่างมันเถอะ”

กรรเกดไม่ได้คิด ไม่ได้เห็นเพียงคนเดียว คุณนราเองก็ยังรู้สึกได้ว่ากานต์กันย์หน้าคล้ายกับกรบูร ทว่าที่คุณนราอึกอักไม่กล้าพูด คงเพราะเกรงว่าจะกระทบ
กระเทือนความรู้สึกของหล่อนนั่นเอง

“มีอะไรคุยกันนะคะเจ๊ เดี๋ยวเกดพักผ่อนก่อน”

หล่อนวางสายไปแล้ว แต่จิตใจกลับมิได้อยากพักผ่อนอย่างที่เอ่ย สายตามองไปยังเศษกระจกที่ถูกกวาดไว้ยังที่โกยผง แล้ววางไว้ตรงข้างประตูหน้าห้อง

ถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เห็นตลอดวันหลายครั้งเมื่อวานนี้ มันคืออะไรกัน?
แต่ที่แน่ๆ ถ้ารู้สึกสบายตัวเมื่อไหร่ หล่อนจะรีบไปหาซื้อกระจกบานใหม่มาแทน
ที่...เพราะหล่อนคงขาดกระจกไม่ได้ เมื่อมันคือความทรงจำดีๆ ยามอยู่หน้ากระจก!

....................................................

หลังจากยาออกฤทธิ์ กรรเกดเริ่มง่วงและหลับสนิท ผ่านไปร่วมชั่วโมงเศษ ไข้เริ่มลด เหงื่อกาฬแตกพลั่ก แต่ยังคงมึนนิดหน่อย เมื่อยายังตกค้าง หล่อนโผเผลุกขึ้นจากเตียง ไปหยิบผ้าขนหนูเพื่อจะเข้าห้องน้ำ หวังจะให้น้ำเย็นจากฝักบัว ช่วยเพิ่มความกระปรี้กระเปร่า

กรรเกดรู้สึกหดหู่ใจอย่างบอกไม่ถูก หล่อนจ้องตนเองในกระจกห้องน้ำ ชักอยากรู้ว่าจะเห็นภาพในอดีตอีกไหม อย่างน้อยก็เพื่อยืนยันว่าเรื่องเมื่อคืนที่เกิดขึ้น มิใช่ความฝันหรือเป็นแค่จิตสำนึก ซึ่งถูกกดทับและตามหลอน

ทว่าก็ไม่มีภาพใดอย่างที่คาดหวัง ทุกอย่างปรกติ การตั้งโจทย์ในใจจึงไม่เป็นจริง

เมื่ออาบน้ำเสร็จเรียบร้อย หญิงสาวรู้สึกชื่นขึ้น อาการไข้ก็หายเป็นปลิดทิ้ง เหลือแต่ความรู้สึกซับซ้อนใจบางอย่างซึ่งยังคงตกค้าง

หล่อนแต่งตัวตามความเคยชิน เมื่อมาหยุดยืนด้านหน้ากระจกซึ่งบัดนี้เหลือครึ่งล่าง แถมยังแตกลานจนมองสภาพตนเองแทบไม่ได้ มันส่งผลให้เกิดความหงุดหงิดรำคาญใจไม่น้อย ครั้นเดินไปแต่งหน้าแต่งตัวยังกระจกบานเล็กในห้องน้ำอีกครั้ง ก็รู้สึกว่ามัน ‘ไม่ใช่’

เมื่อคิดดังนั้น หล่อนจึงตั้งใจจะออกไปข้างนอก เพื่อหาซื้อกระจกบานใหม่มาทดแทน หล่อนหยิบเสื้อผ้าในตู้เข้ามาจับคู่ตามความเคยชิน ด้วยการเลือกเสื้อแขนยาวตัวสั้น ผ้าชีฟองตกแต่งลูกไม้ สวมทับเสื้อลายสปาเกตตี้ตัวสั้นผ้ากำมะหยี่ ใส่กับกางเกงขาบานผ้าชีฟองพิมพ์ลาย เลือกผ้าคาดผมลายใกล้กับชุดคาดศีรษะ และไม่ลืมที่จะใส่เครื่องประดับทั้งกำไล แหวน สร้อยคอ

ขนาดจิตใจไม่คงที่ แต่สำหรับเรื่องการแต่งตัว กรรเกดนั้นรักเป็นชีวิตจิตใจ ดังคำกล่าวที่ว่า การสวมเสื้อผ้าให้ตนเองดูดี ถือเป็นหน้าตาอย่างหนึ่ง...หล่อนแต่งตัวไม่นาน จึงขับรถออกจากคอนโดฯหรู มุ่งหน้าสู่ตลาดนัดขนาดใหญ่ที่เป็นแหล่งขายเครื่องเรือนตกแต่งบ้าน

ในช่วงที่กรรเกดหาที่พักใหม่ๆ หล่อนก็อาศัยอยู่ในอพาร์ทเมนท์ที่ไม่ได้ใหญ่โตนัก จนกระทั่งเก็บหอมรอมริบได้เงินก้อนพอสมควร หล่อนจึงขยับขยายมาซื้อคอนโดฯแห่งนี้ ในช่วงเวลาที่ทำงานเพียงแค่ปีแรก

หญิงสาวเป็นคนชอบเรื่องความสวยความงาม ดังนั้นเรื่องของการตกแต่งห้อง หล่อนจึงพิถีพิถันเลือกเฟอร์นิเจอร์แต่ละชิ้นอย่างที่ใจตนเองต้องการ โดยส่วนใหญ่หล่อนจะเลือกของตกแต่งบ้านประเภทงานศิลป์ มีรูปแบบดีไซน์ที่โดดเด่น ราคาไม่แพงแต่มีรสนิยม ยกเว้นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นหลักๆ อย่างเตียงนอน ตู้เสื้อผ้า หรือโซฟา หล่อนเลือกซื้อในงานโฮมโปร หรืองานเฟอร์นิเจอร์แฟร์

หลายต่อหลายครั้งที่กรรเกดมักชวนกรบูรไปช่วยเลือกซื้อของตกแต่งบ้าน ในทุกอาทิตย์ เมื่อชายหนุ่มขับรถมาหา นั่นเป็นกิจวัตรประจำสัปดาห์เลยก็ว่าได้ เพราะคนสองคนชอบในสิ่งคล้ายกัน

กรบูรจะหนักไปทางเลือกต้นไม้ เพราะนั่นเป็นความชอบส่วนตัว ต้นไม้ทุกต้นที่ถูกนำมาตกแต่งเป็นสวนขนาดย่อมในพื้นที่อันแคบจำกัดด้านนอกระเบียงห้อง จึงเป็นฝีมือการจัดและดูแลของเขา ส่วนกรรเกดมักจะนิยมเลือกซื้อจำพวกของประดับกระจุ๋มกระจิ๋มตามความถนัด คนสองคนจึงไม่เคยมีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งในเรื่องตรงนี้

หลังจากหาที่จอดรถได้ กรรเกดจึงเดินไปตามซอกซอย ซึ่งแบ่งโซนไว้สำหรับพวกงานตกแต่งบ้านโดยเฉพาะ หล่อนมองเข้าไปยังร้านหนึ่งซึ่งทำเฟอร์นิเจอร์ด้วยงานไม้ เดินสำรวจสินค้าแต่ละชิ้นในร้าน แล้วก็ส่ายหน้า เมื่อยังไม่มีของที่ถูกใจ

เมื่อเดินมาถึงทางโค้ง หล่อนเริ่มเมื่อย หลังจากมองหาบานกระจกไม่ได้อย่างใจ เพราะงานแต่ละชิ้นที่เห็นส่วนใหญ่ จะรังสรรค์ชิ้นงานเป็นจำพวกไม้แกะ ซึ่งหล่อนไม่อยากได้งานที่ดูเก่ามาก หากต้องการงานที่ผสมผสานระหว่างความเป็นปัจจุบันกับอดีตรวมกัน

แล้วที่สำคัญเรื่องของ ‘ขนาด’ หล่อนอยากได้แบบที่ส่องแล้วเห็นทั้งตัว...บางร้านจึงแนะนำหล่อนว่าควรจะสั่งไว้ แล้วค่อยมารับของวันหลัง แต่ใจหล่อนต้องการเลย จึงคิดว่าอยากจะลองเดินดูให้ทั่วก่อน

ระหว่างที่พักเมื่อย พลันสายตาไปสะดุดกับเงาสะท้อนจากกระจกในร้านหนึ่ง มันเป็นประกายระยับจับตาอย่างบอกไม่ถูก หล่อนจึงลุกขึ้น ก้าวขาเข้าไปตามเป้าสายตาทันที

ปลายเท้ามาหยุดอยู่ที่กระจกบานหนึ่งโดยไม่รู้ตัว หล่อนยืนส่องเงาตนเองชั่วครู่ จู่ๆกลิ่นหอมของดอกการบูรก็โชยมาตามลม เหมือนมีกลีบดอกนับร้อยนับพันลอยเป็นวงกลมอยู่รายรอบกายขณะนี้

ความเคยชินกับกลิ่นหอมของดอกไม้บอกให้หล่อนรู้ว่า...กระจกบานนี้เป็นบานที่หล่อน ‘เลือก’

กระจกบานสูงสะท้อนเต็มตัว แม้ดูเรียบไปบ้าง แต่กรอบไม้ขนาดหนาที่ล้อมเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีลวดลายเซาะร่องเพียงแค่ตรงหัวมุมสองฝั่งเป็นดอกไม้ขนาดเล็ก มองเพียงแวบแรกก็รู้ว่าเป็นดอกการบูรอันคุ้นเคย

คนขายรีบเดินมาต้อนรับ “พี่ชอบรึเปล่าครับ งานชิ้นนี้ที่ร้านเพิ่งจะได้มาเมื่อเช้านี้เองครับ เป็นงานชิ้นพิเศษที่ทำมาเพียงแค่ชิ้นเดียว”

“แน่ใจนะคะว่ามีแค่บานเดียว ไม่ซ้ำของใคร ไม่ใช่เดินไปที่ร้านไหนก็เจอแบบนี้” หล่อนแกล้งพูดแหย่คนขายเล่น

หนุ่มน้อยคนขายยิ้มรับ และรีบเชียร์สินค้าเต็มที่ตามวิสัยของคนค้าขาย “ผมรับประกันได้ครับพี่ เพิ่งแกะออกจากห่อยังไม่ถึงชั่วโมงเลยครับ เฮียเจ้าของร้านบอกว่างานชิ้นนี้เป็นงานพิเศษ ทำจากไม้การบูรแท้ ซึ่งปกติไม่มีใครนิยมนำลำต้นมาทำเป็นเครื่องเรือนหรอกครับพี่ เพราะต้นการบูรเห็นเขาว่ากันว่าปลูกยาก โตช้า กว่าจะให้คุณค่าในการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ เสียเวลาหลายปีอยู่”

“เหลือเชื่อเลยนะคะว่าเป็นไม้จากต้นการบูร”

มือข้างหนึ่งลูบขึ้นลงยังขอบไม้จับกรอบกระจก คนขายเห็นท่าทีถูกใจของหญิงสาว จึงรีบนำเสนอเพิ่มเติม “พี่ลองหลับตาแล้วสูดอากาศข้างกายสิครับ”

กรรเกดทำตามโดยว่าง่าย ปิดเปลือกตาลงเบาๆอีกครั้ง กลิ่นหอมของใบการบูรที่แค่ขยี้ก็สดชื่น ลอยปะทะเข้าจมูกเต็มๆ...มันหอมเข้าไปถึงหัวใจหล่อนแล้ว

กรรเกดตัดสินใจซื้อทันที โดยไม่ต่อรองเรื่องราคาแม้แต่น้อย ไม่ต้องรอคำพร่ำพรรณนาจากหนุ่มน้อยนักขายวาทะดีใดๆอีก คล้ายกับว่าหล่อนกำลังรอคอยกระจกบานนี้อยู่ก็ไม่ปาน

หารู้ไม่ว่า...ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนดลใจ ด้วยความผูกพันบางอย่างกำหนดไว้แล้ว

หลังจากเด็กในร้านช่วยขนบานกระจกซึ่งค่อนข้างยาว วางทแยงในเบาะหลังรถเรียบร้อย หญิงสาวเตรียมตัวจะขึ้นไปนั่งในรถ พลันสายตากลับมองไปยังใครคนหนึ่งเบื้องหน้า ซึ่งอยู่ห่างจากหล่อนประมาณแค่ไม่กี่เมตร แต่เนื่องจากมีคนเดินพลุกพล่าน ทำให้หล่อนมองไม่ถนัดตานัก หากจังหวะหนึ่งชายหนุ่มคนนั้นหันด้านข้างมาสนทนากับผู้ชายที่เดินคู่กัน หล่อนจึงรู้ชัดว่าผู้ชายที่หล่อนกำลังจ้องแล้วจ้องอีก นั่นก็คือ...กานต์กันย์

แล้วเขามาเดินกับใครกันนะ จะบอกว่าเป็นเพื่อนที่เคยเรียนที่นิวยอร์กด้วยกัน ซึ่งเขาเอ่ยถึงเมื่อวาน ก็ไม่น่าใช่ เพราะผู้ชายอีกคนหนึ่ง ดูจะมีอายุมากกว่าเขาค่อนข้างมาก ชายคนนั้นอาจจะมีอายุไล่เลี่ยกับหล่อนเสียด้วยซ้ำ

ที่สำคัญ กรรเกดรู้สึกคุ้นตาผู้ชายคนนั้นจังเลย...แต่เห็นเพียงเสี้ยวหน้าเขาคนนั้น จึงนึกไม่ออกว่าใคร จนกระทั่งมีเสียงหนึ่งเอ่ยทัก

“พี่จะเอารถออกหรือเปล่าครับ” เด็กรับฝากรถเอ่ยถาม

เพียงแค่หล่อนหันหน้ากลับมาตอบ แล้วกลับไปมองยังกานต์กันย์อีกครั้ง ทั้งสองคนนั้นก็เดินลับหายไปเสียแล้ว

...............................................

กรรเกดขับรถตรงดิ่งกลับไปยังคอนโดฯ ทั้งที่ตอนแรกตั้งใจว่าจะแวะเข้าออฟฟิซก่อน แต่เหมือนมีบางอย่างดลใจให้หล่อนอยากนำกระจกบานใหม่มาเก็บ เมื่อคิดดังนั้น หล่อนตั้งใจว่าเสร็จธุระเรื่องนี้ จะแวะไปหาคุณนรา

หากหล่อนก็ไม่อาจรู้ ว่าความคิดในทีแรกกลับต้องเปลี่ยนใจกะทันหัน!

เมื่อตอนยกกระจกบานใหญ่ลงจากรถ พอดีกับที่พนักงานรักษาความปลอดภัยด้านล่างสองคนอยู่ใกล้ จึงอาสาช่วยขนกระจกไปไว้ในห้อง

“ยกระวังหน่อยนะ...บานนี้หายาก ฉันเพิ่งซื้อมา”

ชายหนุ่มทั้งสองพยักหน้ารับ ก่อนจะชวนคุยระหว่างเข้าไปในลิฟต์ “มันคืออะไรครับคุณเกด หนักยังกับแบกคนทั้งคน”

“ไอ้บ้านี่! พูดซะขนลุกเลย” ชายอีกคนเอ็ดเพื่อน

“กระจกน่ะ พอดีบานเก่ามันแตก”

หญิงสาวไม่ได้สาธยายความมากกว่านั้น หล่อนเดินนำคนทั้งสองจนถึงห้อง จากนั้นจึงวานให้นำกระจกไปตั้งแทนมุมเดิม เมื่อเสร็จสิ้น หล่อนควักธนบัตรสองใบยื่นให้คนทั้งคู่

“ไม่ต้องหรอกครับคุณเกด เราสองคนเต็มใจช่วย แค่ยกของนิดหน่อย ไม่หนักหนาอะไร”

“ถือซะว่าฉันเลี้ยงบุหรี่...ทีหลังฉันก็ไม่กล้าวานพี่สองคนน่ะสิ”

หนึ่งในนั้นจึงยื่นมือไปรับเงิน “คราวหลังมีอะไรจะให้ช่วยเหลือก็บอกได้นะครับ”

เมื่ออยู่ตามลำพัง หล่อนจึงแกะห่อกระดาษหนังสือพิมพ์รอบบานกระจกออก แล้วก็ต้องสะดุ้งอีกครั้ง เหมือนหูแว่วคล้ายมีใครกำลังเรียกหล่อน พร้อมกับกลิ่นดอกการบูรฟุ้งหอมตลบอบอวลไปทั่วห้อง

เหลือเชื่ออย่างเป็นที่สุด แต่ก็อาจจะเป็นเพราะกรอบไม้แท้จากต้นการบูรนั่นก็ว่าได้ ที่ส่งกลิ่นชวนเคลิ้มฝัน ทำให้หญิงสาวจิตประหวัดไปถึงแม่มณีจันทร์ จากนิยายทวิภพนั่นอีกครั้ง

หล่อนยืนมองกระจก มือข้างหนึ่งยื่นไปทาบบานกระจกเงา แอบนึกขันในใจ ถ้าหากมีมิติประหลาดอย่างในนิยาย หรือมีพลังดึงดูดบางอย่างให้หล่อนต้องหลุดไปอยู่ต่างภพชาติ หล่อนจะทำอย่างไร?

จะเป็นไปได้ยังไงล่ะ ฉันนี่ท่าจะอ่านนิยายมากเกินไป

หล่อนยืนจ้องหน้าตนเองอีกครั้ง แล้วก็ไม่ลืมถามถ้อยคำอันคุ้นเคย “กระจกจ๋า ไหนลองบอกซิ ว่าใครที่สวยที่สุดในปฐพี”

หากแต่จบคำถาม หล่อนกลับไม่ใคร่อยากจะเลียนเสียงทุ้มของคนในอดีตอย่างเช่นเคยทำ ความรู้สึกวังเวง เงียบเหงา ที่ซุกซ่อนอยู่ปรากฏในรอยยิ้มเศร้า

หล่อนกำลังเริ่มสับสน จิตใจที่เคยประหวัดถึงแต่กรบูร เวลานี้กลับไม่ใช่...เหตุไฉนถึงจะคอยเห็นแต่หน้าของชายหนุ่มรุ่นน้องโผล่มาซ้อนทับคนรักเก่าอยู่ร่ำไป

นี่ฉันกำลังคิดถึงใบหน้าของกานต์กันย์หรอกหรือนี่!

หล่อนกำลังจะลบเลือนภาพคนเคยรักอย่างกรบูรหรือไร ทั้งที่จิตใจอันเคยตั้งมั่นในคำสัญญา มีเพียงแต่กรบูรมายาวนานหลายสิบปี ตั้งแต่หล่อนยังเป็นเพียงเด็กหญิงเสียด้วยซ้ำ คำสัญญาว่าจะรักกันใต้ต้นการบูร ผุดขึ้นมาย้ำเตือน

‘ขอให้ต้นการบูรต้นนี้จงเป็นพยาน เกดจะรักบูรคนนี้คนเดียว ไม่ผิดจากคำ’

หรือใจหล่อนจะโลเลเปลี่ยนแปลง แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นจริง สิ่งที่คั่งค้างใจ กับคำ ‘ขอโทษ’ ที่ไม่ได้เอ่ยออกไปล่ะ หล่อนจะกล้าพูดคำนั้นออกไปจากใจหรือไม่

เมื่อนึกย้อนกลับไปมา ดวงตาหล่อนหม่นแสงลง ริมฝีปากบางนั้นซีดจางขบเม้ม หล่อนเหมือนไม่เป็นตัวของตัวเอง ตั้งแต่ได้พบหน้ากานต์กันย์ รู้สึกสับสนปนเปไปด้วยหลากอารมณ์ และเกิดคำถามมากมาย

หล่อนรู้สึกกับกานต์กันย์เช่นไร ในระยะเวลาอันสั้น แค่หนึ่งวัน...

แล้วความรู้สึกซึ่งอยู่ก้นบึ้งในหัวใจ ได้ให้คำตอบออกมา เมื่อหล่อนพูดกับตนเองในกระจกดังว่า “เกดรักบูรเหมือนเดิมนั่นล่ะ แต่ว่าตอนนี้ ไม่รู้ทำไมถึงคอยแต่จะคิดว่าผู้ชายคนนั้นเป็นบูรอยู่ตลอดเวลา ทั้งที่รู้ว่าเขากับบูรเป็นคนละคนกัน แต่เกดก็ยังคาดหวังบางอย่างอยู่ลึกๆ ว่าบางทีเขาอาจจะเป็นใครสักคนที่ฟ้าส่งมาแทนบูร”

แม้จะพูดอย่างใจคิด แต่ก็ไม่อาจกลืนก้อนความรู้สึกซึ่งเจ็บร้าวบางอย่างไว้ได้สนิท แต่กระนั้นหล่อนก็ยังคงพูดต่อ

“แต่เกดก็รู้ว่ามันคงเป็นไปไม่ได้ เพราะเราสองคนมีความแตกต่างกันมากมาย แล้วเขาก็อ่อนกว่าเกดตั้งหลายปี”

หล่อนเงียบเพียงแค่นั้น แล้วคิดเหมือนกับว่าจะตัดใจ ก่อนที่จะถามกับตนเองในใจ...แล้วถ้าฉันอายุอ่อนลงกว่านี้สักสิบปี ฉันพอจะมีหวังไหมนะ

หล่อนผละจากหน้ากระจกไปแล้ว เมื่อตอบคำถามตนเองว่า ‘เพ้อเจ้อ’ โดยที่ไม่ทันรู้เสียด้วยซ้ำว่ามีแสงบางอย่างในกระจกบานใหม่ มันสุกสกาวพราวแสงราวกับมีดวงดาวนับล้าน ต่างแข่งกันอวดประกายระยิบวับ จนส่องทะลุกระจกบานนั้นออกมาเป็นลำแสงทอดยาว

หล่อนกำลังหันหลังให้กับกระจก

เดินไปหยิบกระเป๋าสะพายซึ่งวางอยู่บนโต๊ะตัวเล็ก ตั้งใจว่าจะแวะเข้าไปยังออฟฟิซ เพราะรู้สึกสบายตัวขึ้นกว่าเมื่อเช้า อาการไข้ก็หายเป็นปลิดทิ้ง แต่พอหมุนตัวกลับมาอีกครั้ง เหมือนมีพลังบางอย่างจากกระจกกำลังดูดร่างหล่อน กระชากให้ร่างกายลอยเข้าหากระจก

ทว่าร่างของหล่อนเพียงแค่ปะทะเข้ากับกระจกอย่างจัง พร้อมกับร่วงลงพื้นห้อง มิได้หลุดเข้าไปในกระจกอย่างมณีจันทร์แต่อย่างใด

หญิงสาวร้องโอดโอย เพราะเนื้อตัวชา ที่สำคัญเหมือนจะรู้สึกว่าข้อมือจะเคล็ดเล็กน้อย แถมด้านข้างลำตัวยังรู้สึกเมื่อยขบ ราวกับถูกใครเหยียบย่ำนับร้อยครั้ง หล่อนเอื้อมมือไปคลึงลำคอ หวังให้คลายความมึนศีรษะ โดยไม่ได้คิดเสียด้วยซ้ำ ว่าเมื่อครู่มันเกิดอะไรขึ้น

กำลังจะลุกขึ้นยืน แต่ก็ต้องชะงักค้างไว้ในท่านั้น ดวงตาหล่อนเบิกโพลง เมื่อเห็นเงาตนเองในกระจก

หล่อนอยากจะกรีดร้องดังๆ ตะโกนให้สุดเสียงเสียด้วยซ้ำ แต่กลับรู้สึกว่าลำคอมันแห้งผาก จนเสียงนั้นแหบแห้งฉับพลัน

หล่อนลูบคลำเนื้อตัวจนทั่วร่าง เพื่อย้ำกับตนเอง ว่าสิ่งที่เห็นตรงหน้าไม่ได้ฝัน ชักไม่แน่ใจแล้ว ว่าสิ่งที่เห็นมันคืออะไรกัน หล่อนจึงวิ่งเข้าห้องน้ำไปส่องกระจกบานเล็ก เมื่อเห็นว่าสายตาไม่ผิดเพี้ยน แต่ก็ยังไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น จึงรีบเปิดกระเป๋าสะพาย ควานหากระจกใบจิ๋วขึ้นมาส่อง คราวนี้กลายเป็นความตื่นตระหนกเต็มสูบ

มันเป็นไปได้ยังไงกัน นี่หล่อนกลายเป็นตนเองเมื่อสมัยสิบปีก่อน...หล่อนลูบเส้นผมซึ่งยาวสลวยเป็นมันเลื่อม มือสองข้างไล้ไปตามหน้าผากว่ามันคือของจริงแน่หรือไม่ ก่อนจะหยิกผิวเนื้อเพื่อย้ำความจริง

“โอ๊ย!!”

หล่อนร้องเสียงสูง เมื่อรู้สึกเจ็บกับการหยิกตนเอง...ฉันกลายเป็นสาววัยรุ่นได้ยังไง

กรรเกดไม่ทันจะสำรวจร่างกายได้ครบถ้วน รวมถึงสภาพห้องหับ ว่าคือโลกปัจจุบัน หรือว่าย้อนกลับไปยังอดีตให้แน่ชัด เสียงโทรศัพท์จากกระเป๋าสะพายก็ดังขึ้น นั่นจึงทำให้หล่อนรวบรวมสติตั้งไว้ให้มั่น ก่อนจะไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูว่าเป็นสายของใคร

เจ๊มันนี่...โทรมาเหรอเนี่ย

กรรเกดรีบรับสาย ทั้งที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก “หวัดดีค่ะเจ๊ เกดกำลังคิดว่าจะแวะไปหาอยู่พอดี”

“หายไข้แล้วเหรอ งั้นก็ดีเลย...เจ๊มีเรื่องด่วนต้องขอร้องเกด เพราะว่าเสื้อผ้าที่เกดออกแบบไปเซทก่อนหน้า ดันเกิดปัญหาน่ะสิ”

คุณนราพูดฉอดๆ ไม่ปล่อยให้กรรเกดพูดกลับ “มีปัญหาทั้งของนายแบบแล้วก็นางแบบ”

“ว่าไงนะคะ จะให้เกดช่วยตรงไหน”

“เกดแวะมาที่ออฟฟิซตอนนี้เลยนะ เพราะเจ๊จะวานให้เกดมาเอาแบบเสื้อผ้าไปแก้ให้ที เกดจะเอาไปแก้ที่ห้องก็ได้นะ เจ๊ไม่ว่า แต่ขอให้เข้ามาเลย เพราะว่าอีกไม่ถึงสองชั่วโมง เจ๊จะต้องบินไปฮ่องกงกับคุณกมล เพื่อไปดูงานที่นั่นสามวัน เจ๊กลัวว่าจะผลิตงานออกมาไม่ทันขาย”

“ตอนนี้เลยเหรอคะ”

งานเข้า...หล่อนพูดได้เต็มปาก ก็ตอนนี้หล่อนอยู่ในร่างตนเองเมื่อสมัยสิบปีก่อน ทั้งเสื้อผ้าทรงผม มันดูอ่อนกว่าอายุในปัจจุบันอย่างเห็นได้ชัด

แล้วจะทำยังไงดีล่ะ!

.......................................................



พู่ไหมบุรามฉัตร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 พ.ค. 2555, 13:26:08 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 พ.ค. 2555, 13:26:08 น.

จำนวนการเข้าชม : 1171





<< ตอนที่ 3   ตอนที่ 5 >>
tangtangmeow 29 พ.ค. 2555, 13:00:17 น.
ตามมาเป็นหน้าม้า ให้น้องกอล์ฟ สู้ๆ


พู่ไหมบุรามฉัตร 29 พ.ค. 2555, 15:24:06 น.
ขอบคุณครับพี่เหมียว อิอิ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account