ทรัพย์สิดี ชื่อนี้ที่ผมรัก (รีไรท์)
เป็นเรื่องเก่าที่เคยลงที่นี่แล้ว เมื่อ 3-4 ปีก่อนได้มั้งคะ ตอนนี้เราเอามารีไรท์ใหม่ เพราะต้องการส่งสำนักพิมพ์แบบจริงจัง เพราะตอนนี้เรียนจบแล้ว มีเวลาแล้ว ถ้าคนที่เคยอ่านแล้ว เราก็ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ลงซ้ำซาก แต่ถ้าช่วยอ่านตอนรีไรท์ใหม่อีกครั้ง และลงคำติชมไว้ เพื่อแก้ไข้ก่อนส่งสำนักพิมพ์ เราก็ยินดีและขอบคุณมากเลยค่ะ สำหรับใครที่ไม่เคยอ่าน ก็รบกวนลงคำติชมไว้เพื่อการปรับปรุงได้นะคะ ขอบคุณมากๆเลยค่ะ

เรื่องย่อ...

พนักงานสาวออฟฟิศที่กำลังจะไปสัมภาษณ์งานใหม่ ปรากฏว่าชนชายคนหนึ่ง ล้มลงที่สถานีรถไฟฟ้า หล่อนโวยวายและทุบตีเขา แต่ที่ไหนได้ ปรากฏว่าเขานั่นแหละคือประธานบริษัทที่หล่อนจะไปสมัครงาน!!!
Tags: Romantic comedy

ตอน: สมบทบาท


ตอนที่ 28
เสียงจากรายการข่าวทีวีปลุกฉันตื่นขึ้นในเช้าวันต่อมา ฉันพลิกตัวบนที่นอนหนานุ่มด้วยความสบาย รู้สึกไม่อยากลุกจากเตียงไปไหนทั้งนั้น
“ตื่นแล้วเหรอ ผมเปิดทีวีเสียงดังไปหรือเปล่า”
คุณนรินทร์ที่กำลังแต่งตัว ก็อยู่ในระดับสายตาของฉันพอดี
อะไรนะ…คุณนรินทร์??? เขามาอยู่ในห้องนอนฉันได้ยังไง...
ให้ตาย!!!! ฉันลืมไปเลย นี่เราแต่งงานกันแล้วนี่นาถ้าอย่างนั้นตอนนี้เราก็….อยู่ห้องเดียวกันน่ะสิ!!!!
ฉันลุกขึ้นพรวดด้วยความตกใจ มือยังคงกอดผ้าห่มแน่น พลางมองหาความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น แล้วก็โล่งใจที่ยังเห็นหมอนข้างอยู่ตรงกลางที่นอน
“นั่นคุณมองหาอะไรน่ะ” คุณนรินทร์ถามอีกครั้ง
ฉันยิ้มแหยๆ
“เปล่าหรอกค่ะ นี่กี่โมงกันแล้วคะ”
“เกือบ 8 โมงแล้วล่ะ” เขาพูดพลางพับแขนเสื้อ
“แล้วคุณตื่นเช้าทุกวันเลยเหรอคะ”
คุณนรินทร์หันมามองฉันอย่างขำๆ
“ผมตื่นเช้าทุกวันล่ะนะ แต่วันนี้เช้าเป็นพิเศษ ตั้งแต่หกโมงครึ่งแน่ะ คงเป็นเพราะเสียงกรนของคุณแน่ๆ”
แล้วเขาก็หัวเราะ หึหึ
“หา??? นี่ฉันกรนอีกแล้วเหรอคะ โอ๊ย!ตายจริง สงสัยเป็นเพราะเหนื่อยมาก ถ้าฉันเหนื่อยมาก ฉันจะกรนน่ะค่ะ” ฉันแก้ตัวพลางลุกขึ้นพับผ้าห่ม
เขายังหัวเราะค้างอีกสักพัก
“รีบๆไปอาบน้ำแต่งตัวเสียสิ เดี๋ยวเราต้องไปที่อำเภอกันอีก”
ฉันหยุดพับผ้าห่มแล้วหันมามองเขาด้วยความไม่เข้าใจ
“จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้นเลยเหรอคะ มันจะเป็นการผูกมัดมากไปนะคะคุณนรินทร์ แล้วที่สำคัญตอนนี้น้องชายคุณก็กลับมาแล้วด้วย แปลว่า…”
คุณนรินทร์ในเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนง่าย แต่ดูดีเช่นเคยก็ทำท่าไม่พอใจ
“แล้วถ้าคุณแม่ถามจะให้ผมตอบว่ายังไงล่ะ อีกอย่างที่น้องชายผมกลับมาไม่ได้แปลว่าเขาจะยอมรับหน้าที่ต่อจากผมหรอกนะ สิดี คุณไม่ต้องห่วงหรอกว่าจะไม่ได้ออกไปจากชีวิตผม ถ้าผมเป็นคนที่น่ารังเกียจขนาดนั้นผมรับรองว่าถึงเวลาสมควร ผมจะปล่อยคุณไป”
เอาแล้วสิ นี่เขาคิดไปไกลโน่นเลยแฮะว่าตัวเองเป็นคนน่ารังเกียจ เขาไม่เข้าใจผู้หญิงเลยหรือไงว่าถ้ามีประวัติการหย่าร้างแล้วมันเสียหายเพียงใด
“โถ่ คุณนรินทร์คะ ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น” ฉันถอนหายใจ นี่เราจะทะเลาะกันแต่เช้าเลยหรือ
“ฉันแค่อยากจะบอกว่าถ้าเราจดทะเบียนสมรส แล้วถึงวันที่ต้องหย่ากัน มันจะส่งผลมากมายเลยนะคะ อีกอย่างฉันเป็นผู้หญิง แค่นี้ก็เสียหายมากแล้วที่ทำเรื่องหลอกลวงแบบนี้”
เขาใส่นาฬิกาข้อมือ แล้วมองฉันนิ่งๆ
“ก็ดี ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องจดทะเบียน ถ้าคุณแม่ถามคุณก็ตอบเองแล้วกันนะ แล้วต่อไปนี้คุณไม่ต้องกลัวเลยว่าตัวเองจะเสียหาย เพราะผมจะไม่แตะตัวคุณเลยสักนิดเดียว อ้อแหวนที่คุณใส่อยู่ จะถอดก็ได้ เพราะมันไม่ได้มีความหมายอะไร คุณจะได้สบายใจ”
เขาเดินอย่างกระแทกกระทั้นมาปิดทีวีก่อนจะพาร่างสูงๆที่เปี่ยมไปด้วยโทสะออกจากห้องไป
ฉันนั่งอึ้งกับอารมณ์ฉุนเฉียวของเขา ทั้งๆที่ยังเช้าอยู่แท้ๆ ทั้งๆที่เป็นวันแต่งงานวันแรก
…แต่เราก็ทะเลาะกันเสียแล้ว
ฉันมองไปที่นิ้วนางซ้าย แหวนเพชรขนาดกำลังดีเปล่งประกายอยู่อย่างนั้น แหวนวงนี้คุณนรินทร์ใส่ให้ฉันเองกับมือในพิธีช่วงเช้า ฉันยังจำได้ว่าตัวเองรู้สึกอึดอัดใจและเขินอายเพียงไร คุณนรินทร์ค่อยๆใส่แหวนให้ฉันด้วยท่าทางเก้ๆกังๆ ผู้ใหญ่ทุกท่านอวยพรให้เราสองคนมีความสุขและรักกันให้นานแสนนาน
แต่มันก็เป็นแค่เรื่องโกหกคำโต
ฉันลูบหัวแหวนด้วยความรู้สึกเสียใจกับคำพูดของเขาที่บอกว่าแหวนวงนี้ไม่ได้มีความหมายใดๆเลย
ฉันจะเสียใจทำไม ฉันรักเขาเหรอ...คงไม่หรอก แต่สำหรับผู้หญิง การที่รู้ว่าเราไร้ค่ากับคนคนหนึ่ง นั่นคงทำให้เสียใจได้
บางครั้งที่เขาทำเหมือนอยากผูกมัดฉัน ก็ทำให้ฉันรู้สึกดีบ้าง แต่ในที่สุดฉันก็รู้ว่าเขาทำเพื่อไม่อยากให้ครอบครัวตัวเองจับได้ว่าเรากำลังโกหกเท่านั้นเอง ก็ดีแล้ว เพราะมันเป็นเสียงเตือนสติให้ฉันควรรักษาระยะห่างกับเขา ไม่เผลอใจไปให้เขา
ฉันสลัดความคิดบ้าๆออก รีบอาบน้ำ แล้วลงไปทานอาหารเช้า ซึ่งทุกคนนั่งรอกันพร้อมหน้า มีคุณพ่อนั่งหัวโต๊ะ คุณตุ๋มและคุณนรินทร์นั่งขนาบข้างซ้ายขวา ส่วนคุณรัน นั่งข้างๆแม่ของเขาอีกที
“เอ่อ…ขอโทษนะคะที่หนูลงมาช้า” ฉันพูดแบบเขินๆ รู้สึกว่าเป็นคนนอกของครอบครัว
“พ่อก็พึ่งลงมาเอง หนูสิดีไม่ต้องเกร็งหรอก ตอนนี้เราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะ” คุณพ่อพูดอย่างใจดี
ฉันยิ้มให้ท่านแล้วหย่อนตัวนั่งข้างๆคุณนรินทร์ เขาทำทีอ่านหนังสือพิมพ์ ไม่สนใจฉันเลยสักนิด
“เมื่อคืนหลับสบายไหมคุณสิดี” คุณรันถามพลางตักข้าวต้มเข้าปาก
“ค่ะ สบายดี” ฉันตอบสั้นๆ รู้สึกไม่คุ้นเคยกับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ
“แม่น่ะสิหลับไม่สบาย ก็ตารันเล่นเข้ามานอนด้วย ทำอย่างกับเด็กๆ เมื่อก่อนตานรินทร์ก็เป็นนะจ๊ะหนู จนคุณต้องว่าแรงๆว่าโตแล้ว ยังติดแม่อยู่ได้ ใช่ไหมคะคุณ” แล้วคุณตุ๋มก็หัวเราะกับผู้เป็นสามี
ฉันอดขำไม่ได้ คุณนรินทร์ผู้เคร่งขรึม ออกจะเป็นผู้ใหญ่ปานนั้นเนี่ยนะ จะมีอีกด้านเป็นเด็กอมมือ ติดแม่
คุณนรินทร์ลดหนังสือพิมพ์ลง ทำหน้าไม่พอใจที่ฉันขำ ก่อนจะเริ่มทานข้าวต้มอย่างเงียบๆ
“วันนี้พี่รินขรึม สงสัยจะเขินเจ้าสาวหมาดๆ” คุณรันแซว
เล่นเอาคุณพ่อหัวเราะเสียงดัง คุณนรินทร์และฉันทำหน้ากลืนไม่เข้า คายไม่ออก
“ฮ่ะๆ นั่นสินะ ตารินก็เป็นอย่างนี้ล่ะหนู ขี้อายที่หนึ่ง อย่าไปถือสาเขาเลย ถ้าต่อไปเขาจะเป็นสามีที่อ่อนหวานไม่เป็น แต่พ่อรับประกันว่าเขาเป็นคนมีความมั่นคงเป็นที่หนึ่ง จริงไหมลูก”
คุณนรินทร์ทำท่าจะสำลัก ก่อนจะหน้าแดงขึ้นเรื่อยๆ
“คงงั้นมั้งครับ” เขาตอบเลี่ยงๆ ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาทานต่อไป
“ดีจังนะคะคุณ ที่ครอบครัวเราพร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง” คุณตุ๋มพูดต่อ พลางตักกับข้าวใส่จานลูกชายคนเล็ก
“นั่นสิแม่ พ่อก็รอช่วงเวลานี้มานานแล้ว ตารันก็ดื้อเหลือเกิน เรียกตัวให้กลับมาก็ไม่ยอมเป็นนาน”
“ผมยังไม่ว่างนี่ฮะ” คุณรันแก้ตัวเบาๆ
แต่คุณพ่อไม่สน ท่านยังคงพูดต่อ “อีกทั้งก่อนหน้านี้ ตารินก็ไม่มีทีท่าว่าจะแต่งงาน เอาแต่ทำงานอย่างเดียว ช่วงนั้นพ่อมองอนาคตของครอบครัวเราไม่ออก เห็นจะต้องตายไปทั้งๆที่ยังไม่เห็นหลาน และตารันกลับมา กิจการของครอบครัวเราที่ทำมาแต่รุ่นคุณทวดคงต้องขายต่อให้พ่อทัศน์ ก็ถือว่าเป็นครอบครัวที่สนิทกันที่สุดแล้วล่ะนะ” บรรยากาศในโต๊ะอาหารดูหมองลงไปในฉับพลัน คุณนรินทร์ก้มหน้า เขี่ยข้าวเล่นๆโดยไม่เอ่ยอะไรสักนิดเดียว
มันขนาดนั้นเลยหรือ ถ้าคุณนรินทร์ไม่ยอมแต่งงาน และคุณรันไม่รับช่วงต่อ บริษัทนราธรต้องกลายเป็นของสิทราไปเลยหรือ
และถ้าฉันไม่ยอมแต่งงานกับเขา ถ้าฉันเลิกโกหกกับทุกคนตอนนี้ ครอบครัวคุณนรินทร์ก็คงย่ำแย่และเสียหายมากสินะ ที่สำคัญ…คุณพ่อคงนอนตายตาไม่หลับ
“แต่ผมก็กลับมาแล้วนี่ครับคุณพ่อ พี่รินก็แต่งงานแล้ว มีทายาทสืบต่อกิจการเราแน่นอน จริงไหมครับคุณสิดี” คุณรันขยิบตาให้ฉัน
คุณนรินทร์เลิกเขี่ยข้าวแล้วเงยหน้าขึ้น
“มันก็อาจจะไม่เป็นอย่างนั้นก็ได้นะครับ” แล้วเขาก็ลุกเดินออกจากโต๊ะไป ทำเอาทุกคนตกใจกับคำพูดของเขา
“ตารินนั่นลูกจะไปไหน ไม่พาหนูสิดีไปจดทะเบียนเหรอลูก” คุณตุ๋มตะโกนไล่หลัง
เอาแล้วสิ…
คุณนรินทร์หยุดเดินหันกลับด้วยดวงหน้าเรียบเฉย เขามองฉันทีหนึ่งด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
เพียงเสี้ยวนาที ฉันทิ้งเหตุผลต่างๆที่เคยคิดว่าควรทำและไม่ควรทำสำหรับเรื่องการโกหกของเรา
“นั่นสิคะ รีบไปกันเถอะค่ะนรินทร์” ฉันสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ลุกออกจากโต๊ะอาหารแล้วเดินไปจับแขนเขา
“ไปกันเถอะค่ะ เดี๋ยวจะสาย พวกเราไปก่อนนะคะ” แล้วฉันก็กึ่งลากกึ่งจูงเขามาที่รถ
เขาสะบัดแขนออก เอาสองมือล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วหันไปมองทางอื่น
“อะไรของคุณ เดี๋ยวก็กลัวเสียหาย เดี๋ยวก็ไม่อยากหลอกลวง แล้วคุณก็มาทำแบบนี้”
ฉันเม้มปาก คิดหาคำพูดที่จะอธิบายเขา
“ฉันก็ไม่อยากให้คุณต้องขายนราธร ฉันจะยอมจดทะเบียนกับคุณแล้วจะช่วยคุณโกหกให้อย่างแนบเนียนที่สุด ฉันเข้าใจคุณแล้วค่ะ ฉันจะช่วยคุณ”
คุณนรินทร์นิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะหันมาขอบคุณฉันเบาๆ
“ขอบคุณที่เข้าใจผม จากนี้ไปผมจะให้เกียรติคุณให้มากที่สุด แล้วเมื่อถึงวันนั้น...” เขานิ่งไปครู่ แววตาไหวระริก “เมื่อถึงวันนั้นเราจะจากกันด้วยความรู้สึกดีดี ตกลงไหม”
ฉันสบตาเขาตรงๆ ยังมีคำถามหนึ่งที่คาใจฉันนานเหลือเกิน
“แล้วถ้า…ถ้าน้องคุณไม่ยอมมารับช่วงต่อล่ะคะ”
ฉันกลั้นใจฟังคำตอบ ถ้าเขาขอให้ฉันอยู่กับเขาตลอดไป ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าตัวเองจะตอบตกลงไหม
“ผมคงต้องบอกความจริงกับเขา”
ฉันกลืนน้ำลายแล้วยิ้มแหยๆอีกครั้ง ฉันเกลียดการยิ้มแหยๆ เพราะมันแสดงถึงการไม่จริงใจ แต่จะให้ทำอย่างไรได้ ก็ฉันรู้สึกว่าตัวเองเสแสร้งจริงๆที่ยิ้มออกไปแบบนั้น ทั้งๆที่ในใจของฉันไม่ได้ยิ้มเลย

หลังจากกลับมาจากที่ว่าการอำเภอ ฉันก็ได้รู้อะไรๆเกี่ยวกับตัวคุณนรินทร์มากขึ้น เขาเป็นคนค่อนข้างมีโลกส่วนตัวสูง เรียบง่าย และสมถะ ชีวิตที่บ้านของเขาแตกต่างจากที่ทำงานโดยสิ้นเชิง มันดูสงบ ไม่รีบร้อน ไม่วุ่นวาย และไม่มีผลประโยชน์ของบริษัทเข้ามาเป็นส่วนสำคัญเลย เขาบอกฉันว่าจะไปอ่านหนังสือพิมพ์ที่สวนหลังบ้าน แล้วถามว่าฉันจะไปด้วยไหม ฉันเห็นว่าอยู่ที่นี่ฉันคงไม่สามารถนอนเอกเขนกดู CSI พร้อมๆกับกินไอศกรีมรส สตรอว์เบอรี่ชีสเค้กได้ เลยตอบตกลง
“แต่คุณมีอะไรให้ฉันอ่านบ้างไหมคะ” ฉันถามดู
“มีสิ เยอะแยะ คุณชอบอ่านแบบไหนล่ะ ตามผมมา” แล้วเขาก็เดินนำฉันเข้าไปที่ห้องห้องหนึ่งซึ่งอยู่บนชั้นที่สองของบ้าน ไม่ไกลจากห้องนอนของเรามากนัก
เขาผลักประตูออก แล้วก็ได้เห็นว่าคุณรันอยู่ในนั้นกำลังอ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่ริมหน้าต่าง เขาหันหน้าขึ้นมามองเราสองคน
“กลับมากันแล้วเหรอ” คุณรันถามด้วยสีหน้าเปื้อนรอยยิ้ม เขาไม่เหมือนพี่ชายเลย เป็นคนยิ้มง่าย ขี้เล่น ดูสบายๆ และไม่ขี้เก๊ก
“อือ แกอ่านอะไรอยู่น่ะรัน แนะนำหนังสือดีดีสักเล่มให้สิดีเขาหน่อยสิ” คุณนรินทร์ตอบ เขาสาวเท้าอย่างรวดเร็วไปที่ชั้นวางหนังสือขนาดใหญ่ ที่นี่คงเป็นห้องสมุดประจำครอบครัว กว้างขวางมาก มีโต๊ะเขียนหนังสือวางอยู่กลางห้อง รอบๆห้องมีโซฟาบุนวมวางตามจุดต่างๆ แสงจากธรรมชาติ ส่องผ่านกระจกเข้ามาทำให้เห็นได้ชัดว่าชั้นวางหนังสือขนาดใหญ่และตู้หนังสือสองสามหลังเต็มไปด้วยหนังสือมากมายหลากชนิด มีป้ายบอกหมวดหมู่ปิดไว้ตามชั้น
“บ้านคุณคงชอบอ่านหนังสือมากสินะคะคุณนรินทร์” ฉันถามด้วยความทึ่ง
“คุณพ่อเป็นนักอ่านตัวยง ผมกับรันเลยได้รับการปลูกฝังตั้งแต่เด็ก” เขาตอบพลางหยิบหนังสือเล่มนั้นเล่มนี้ออกมา
“ช่าย ผมกับพี่รินนี่แหละที่เป็นคนจัดหมวดหมู่หนังสือเองทั้งหมด ป้ายพวกนี้ พวกเราเขียนแล้วติดเองเลยนะคุณสิดี” คุณรันเสริม
ฉันมองไปตามป้ายเหล่านั้น และได้เห็นว่าแต่ละป้ายถูกเขียนด้วยดินสอสีลายมือแบบเด็กๆ เป็นสิ่งเดียวที่ไม่เข้ากันเลยกับความโอ่อ่าของห้องนี้
“น่ารักจังนะคะ ฉันขอดูหนังสือเล่มนี้หน่อยได้ไหมคะ” ฉันหันไปถามคุณนรินทร์เมื่อสะดุดตากับชื่อหนังสือเล่มหนึ่ง
“ได้สิ ระวังหน่อยล่ะเดี๋ยวมันจะ….ตายล่ะ!!!!!”
“ว้าย!!!!ช่วยด้วยค่ะ หนะ…หนังสือ….จะ…”
โครม!!!!!!
โอ๊ย! ให้ตายสิ! ฉันนอนแอ้งแม้งอยู่กลางพื้น มีหนังสือเป็นล้านเป็นพันทับตัวอยู่ จริงๆแล้ว ฉันน่าจะรอให้คุณนรินทร์เตือนให้จบก่อนแล้วค่อยหยิบ
“คุณสิดี คุณไม่เป็นอะไรนะ” คุณรันหน้าตาตกใจ ส่งมือมาฉุดฉันลุกขึ้น มีคุณนรินทร์ส่ายหัวเอือมระอาฉันอยู่ไม่ไกลนักพร้อมกับเก็บหนังสือขึ้นมาจากพื้น
“เธอคงชินแล้วล่ะรัน มันเป็นสถานการณ์ธรรมดาที่เธอจะชนนู่น ล้มนี่”
แล้วเขาก็หัวเราะ หึหึ
“ใช่ไหมสิดี”
หนอย ทำมาพูดดี จะช่วยฉุดฉันสักนิดยังใจดำ แล้วยังจะมากระแนะกระแหนอีก ไหนว่าจะหลอกให้แนบเนียนที่สุดยังไงล่ะ แบบนี้น่ะเหรอที่สามีเขาทำกับภรรยาน่ะฮึ!
“ก็ฉันไม่คิดว่ามันจะล้มนี่คะ” ฉันเถียง
“หนังสือมันอัดกันเยอะไปหน่อยน่ะ เจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับคุณสิดี” คุณรันยังคงถามด้วยความห่วงใย
“ขอบคุณมากค่ะคุณรัน ฉันไม่เป็นไรหรอกค่ะ เดี๋ยวฉันเก็บเอง”
ฉันกำลังจะก้มเก็บกองหนังสือ แต่แล้วคุณรันก็ห้ามไว้
“ไม่ต้องครับผมเก็บเอง คุณสิดีไปหาหนังสืออ่านเถอะ”
มีเสียงฮึดฮัดจากคุณนรินทร์ เขาจะจามหรือยังไง
“อ๋อ ฉันได้แล้วค่ะ เล่มนี้ไงคะ” แล้วฉันก็หยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากกองที่พื้น
“ได้แล้วก็ไปกันเสียที พี่ฝากเก็บด้วยนะรัน ขอบใจ” อยู่ดีดีคุณนรินทร์ก็คว้าแขนฉันจ้ำอ้าวออกห้องสมุด
“เออใช่ คุณสิดี เย็นนี้ผมจะไปหาแจ๊กกี้ ไปด้วยกันไหม” คุณรันตะโกนถามขณะฉันกำลังถูกลากออกพ้นประตู
ฉันอ้าปากจะตอบว่า ไปค่ะๆ แต่คุณนรินทร์ดันเป็นร่างทรงพูดแทนขึ้น
“เธอไม่ไปหรอก” เขาบอกอย่างนั้นแล้วลากฉันไปที่สวนหลังบ้าน
เขาเป็นบ้าอะไรอีกล่ะ ฉันควรพาเขาไปตรวจ EQ ดีไหม
“คุณไม่พอใจอะไรอีกล่ะคะ ทำเป็นเด็กๆไปได้” ฉันถามตรงๆขณะที่เขาเริ่มกางหนังสือพิมพ์อ่าน
“เปล่านี่ ผมพอใจทุกอย่าง” น้ำเสียงเขาออกจะกระแทกไปหน่อย
“แล้วทำไมไม่ให้ฉันไปหาแจ๊กกี้คะ คุณนี่ก็แปลกคน”
“ใครว่าผมไม่ให้ไปหาคุณไม่อยากไปเองต่างหาก ผมรู้ยังไงล่ะ เลยตอบแทน” เขายังกวนโทสะต่อไปภายใต้หนังสือพิมพ์
“นี่คุณมาอ่านใจฉันได้ยังไง ฉันกำลังจะตอบตกลงอยู่แล้ว คุณก็รู้ว่าฉันมีเรียนศิลปะ”
เขาเงียบ
“นี่คุณนรินทร์!” ฉันเริ่มเสียงดัง
“ถึงคุณจะไปผมก็ไม่ให้ไป” เขาพลิกหนังสือพิมพ์
ฉันเริ่มเดือดนิดๆ มันมากไปแล้วนะ
“คุณ…มี…สิทธิ์…อะ…ไร…” ฉันพูดทีละคำอย่างเหลืออด
ได้ผล เขาปิดหนังสือพิมพ์ สีหน้าบ่งบอกว่าสงครามกำลังจะเริ่ม
“ผมมีสิทธิ์! มีสิทธิ์ที่จะห้ามไม่ให้ภรรยาไปไหนสองต่อสองกับชายอื่น” เขาพูดเสียงหนักแน่น
“นั่นน้องชายคุณนะคะ คุณกลัวอะไรเนี่ย อ๋อ …” ฉันเริ่มเย็นลง แล้วแอบขำ
เขาทำหน้าหวาดกลัว “อ๋ออะไร”
“ฉันรู้แล้วค่ะ คุณกำลังทำหน้าที่สามีให้สมบทบาทใช่ไหมคะ โอเคค่ะ คุณกำลังพยายามที่จะหึง แหมๆๆๆๆ ไม่ต้องสมจริงสมจังขนาดนั้นก็ได้ ฉันล่ะเดาอารมณ์คุณไม่ถูกจริงๆ”
แล้วเขาก็ถอนหายใจ เหมือนโล่งอกกับอะไรสักอย่าง
“ชะ…ใช่ คุณก็ควรแสดงให้แนบเนียนด้วยล่ะ” แล้วเขาก็กลับไปอ่านหนังสือพิมพ์อีกครั้ง
ฉันยังขำต่ออีกสักพัก ก่อนจะอ่านหนังสือที่ยืมมาเองบ้าง
เราอ่านหนังสือกันไป คุยเรื่องสัพเพเหระไม่ก็เรื่องบ้านเมืองกันไป ไม่นานนักป้าเนียร พี่เลี้ยงคุณนรินทร์ก็เอาของว่างมาเสิร์ฟ
ป้าเนียรเป็นหญิงร่างท้วม อายุราวหกสิบต้นๆ หน้าตาบ่งบอกว่าเจ้าระเบียบแต่ใจดี คุณนรินทร์เคยเล่าว่าป้าเนียรเปรียบเสมือนแม่คนที่สองและเหมือนหัวหน้าแม่บ้านไปในตัว เนื่องจากป้าเนียรคอยเป็นหูเป็นตาดูแลทั้งคุณนรินทร์คุณรันมาตั้งแต่เด็ก อีกทั้งยังคอยจัดหาอาหารอร่อยๆทั้งของคาวของหวานมาไม่ซ้ำแต่ละวัน นอกจากนี้เรื่องภายในบ้านส่วนมากต้องผ่านการคัดกรองจากป้าเนียรทั้งหมด ซึ่งทั้งหมดจริงๆ เพราะรวมถึงบรรดาแฟนๆของคุณหนูหนุ่มน้อยทั้งสองด้วย
“อาหารว่างวันนี้ป้าสั่งพวกในครัวให้ทำเป็นพิเศษต้อนรับการอยู่ร่วมกันเป็นวันแรกกับคุณสิดีเลยนะคะเนี่ย น้ำเก๊กฮวยนี่ก็หวานเย็นชื่นใจมากเลยล่ะค่ะ ลองดื่มเลยสิคะ” ตอนนี้ป้าเนียรกำลังทำหน้าที่เป็นสาวเชียร์เก๊กฮวยเต็มตัว ฉันเลยจนใจ ต้องรีบดื่มเก๊กฮวยไปอึกใหญ่
“เดี๋ยวนี้ป้าเนียรมีขวัญใจคนใหม่ เลยลืมผมไปเลยนะครับ” คุณนรินทร์พูดยิ้มๆแกล้งเธอ
ป้าเนียรทำค้อน “ทีคุณหนูทำแต่งานไม่ค่อยมีเวลาทานขนมฝีมือป้าล่ะคะ ฮึ ตอนนี้ป้าไม่ใช่มีคุณสิดีเป็นขวัญใจคนใหม่คนเดียวนะ ป้ายังมีคุณรันของป้าอีก เดี๋ยวป้าคงต้องขอตัวเอาขนมไปให้คุณหนูคนเล็กของป้าก่อนล่ะค่ะ” แล้วป้าเนียรก็เดินตุ๊บป่องจากไป
คุณนรินทร์หัวเราะ “ว้า โดนงอนเสียแล้ว สงสัยต้องทำการง้อตามระเบียบ”
ฉันกินสาคูไส้หมูเต็มปาก “ยังไงเหรอคะ”
“ก็หาซื้อสูตรหนังสือทำขนมไปให้น่ะสิ นี่รู้ไหม ห้องป้าเนียรมีหนังสือพวกนี้ที่ผมซื้อให้เป็นตั้ง” แล้วเขาก็หัวเราะ
“บางครั้งผมเลยคิดว่าที่ป้าเนียรทำงอนคงเพราะอยากได้หนังสือทำขนมใหม่”
นั่นทำเอาฉันขำไปด้วย “ฮ่าๆๆๆ ตลกจังนะคะ แต่ฉันว่าป้าเนียรเธอคงรักคุณมากน่ะค่ะ คงเห็นคุณทำแต่งานอาจจะเป็นห่วงก็ได้ แต่ฉันสงสัยอย่างหนึ่ง เธอพบฉันไม่กี่ครั้ง ทำไมทำท่ารักฉันนักหนา แต่ฉันก็ดีใจนะคะ”
แล้วฉันก็จิ้มสาคูต่อ
“ผมรู้ๆ” คุณนรินทร์รีบตอบ
“เหรอคะ เพราะอะไรล่ะคะ” ฉันจิ้มสาคูอีก อร่อยจริงๆ
“ก็เพราะคุณกินจุนี่ไงล่ะ เหลือให้ผมสักชิ้นก็ยังดีนะ” เขาพูดพลางชำเลืองดูจำนวนสาคูที่เหลือ
ฉันเลยละอาย รีบวางส้อมที่กำลังจะจิ้มชิ้นต่อไป
“แหะๆ ขอโทษทีค่ะ มันอร่อยจริงๆ คุณทานสิคะ”
“ล้อเล่นน่ะ จริงๆแล้วป้าเนียรชอบคนดูเรียบร้อยและวางตัวง่ายๆต่างหาก ทั้งๆที่ถ้าป้าเนียรมารู้จักนิสัยจริงๆของคุณคงต้องเปลี่ยนความคิด”
เขากระแนะกระแหนฉันหน้าตาเฉย
“หือ อย่างกับคุณเรียบร้อยและวางตัวง่ายอย่างนั้นละ ขี้เก๊กที่หนึ่ง” ประโยคหลังฉันพูดเบาๆ
เขามองฉันขันๆ “ผมไม่เถียงกับคุณแล้ว ไปว่ายน้ำดีกว่า ว่ายด้วยกันไหมล่ะ”
“หือ ไม่เอาด้วยหรอกค่ะ ว่ายกับผู้ชายพายเรือ ฉันกลัว” แล้วฉันก็ลุกขึ้นบิดขี้เกียจ หลังจากนั่งอ่านหนังสือมานาน
“ฉันลองฝึกทำอาหารกับป้าเนียรในครัวดีกว่า”
“อย่าบอกนะว่าคุณทำอาหารไม่เป็น” เอาอีกแล้ว เขาจะว่าอะไรฉันอีกล่ะ
“ปะ…เปล่านะคะ ฉันทำเป็น”
ฉันก้มหน้ามองพื้นเมื่อเห็นว่าเขาทำสายตาประมาณว่า ‘จริงเร้อ’
“อย่างน้อยก็ไข่เจียวล่ะค่ะ”


ห้องครัวของบ้านนราธรเป็นที่มหัศจรรย์ ฉันชักจะชอบเสียแล้วสิ ที่นี่เป็นที่รวบรวมข่าวสารทุกอย่าง ไม่ว่าจะข่าวขูดต้นไม้หาเลขเด็ด ข่าวดาราทำนม จนถึงข่าวการเมือง แม่ครัวทั้งหลายจะอัพเดทข่าวสารกันตลอด มีเสียงพูดคุยไม่ขาดปาก ที่สำคัญที่นี่ยังเป็นแหล่งของอร่อยทั้งขนมใส่โหลวางเรียงราย และกลิ่นจากอาหารในเตาที่อบอวลตลอดเวลา อีกทั้งป้าเนียรและพี่ๆแม่ครัวใจดีต่อฉันมาก เมื่อฉันเข้าไปเสนอตัวว่าอยากเรียนทำอาหาร ถึงแม้ทุกคนจะแปลกใจเล็กน้อยว่าฉันทำกับข้าวไม่เป็น แต่ก็รับฉันเป็นศิษย์และสอนให้อย่างกระตือรือร้น จนฉันเริ่มรู้สึกสนิทกับบรรดาแม่ครัวทั้งหมดในเวลารวดเร็ว
“คุณสิดีนี่แตกต่างจากแฟนคนแรกของคุณนรินทร์โดยสิ้นเชิงเลยนะคะ” ลูกน้ำ แม่ครัวอายุเด็กสุดพูดขึ้นขณะหั่นเนื้อหมู
“ใช่น่ะสิ ก็รายนั้นออกจะเปรี้ยวจี๊ดจ๊าด แถมวางตัวหยิ่งเหลือเกิน แต่กบชอบอย่างคุณสิดีนะคะ น่ารักและเป็นกันเอง” ลูกกบ แม่ครัวอีกคนพูดต่อ
ทุกคนคงหมายถึงคุณถวิกา
“เนอะ คนอะไรก็ไม่รู้ ไม่ได้รักคุณนรินทร์จริง พอคุณจิทัศน์เข้ามาก็เลิกเลย” ลูกอ๊อด พูดบ้าง
“แต่คุณรินของเราสิรักจริง เห็นช่วงที่เลิกกันใหม่ๆ ขังตัวอยู่แต่ในห้องไม่ยอมกินข้าวกินปลาเสียนาน” พี่จวญแม่ครัวรุ่นใหญ่ก็เอากับเขาด้วย
หืม…ที่นี่ช่างอัพเดทข่าวเสียจริง ท่าทางจะรู้หมด ทั้งเรื่องราษฎร์เรื่องหลวง แล้วฉันก็ก้มหน้าก้มตาทอดปลาไปฟังไป
“นี่ๆ พวกหล่อน เก็บปากเก็บคำไว้หน่อย เรื่องของเจ้านายอย่าเอามาพูดมากนัก เอ่อ…คุณสิดีคะ ป้าขอโทษแทนนังพวกนี้ด้วยนะคะ อย่าไปฟังเรื่องเก่าๆให้รกหูเลยนะคะ” ป้าเนียรพูดปลอบฉัน ก่อนจะหันไปทำหน้ายักษ์ใส่เหล่านักข่าว ซึ่งกลัวกันหงอ ก่อนจะรีบขอโทษขอโพยฉันยกใหญ่
“ไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ หนูไม่เคยรู้จักคุณถวิกา เรื่องอดีตก็คือเรื่องอดีต ป้าเนียรอย่าดุพวกพี่ๆเลยนะคะ” ฉันพูดใจดีสู้เสือ ทั้งๆที่ในใจนึกถึงแต่คำว่า ‘คุณรินของเราสิรักจริง’ นั่นสินะ ที่เขาเคยบอกฉันว่าจะเป็นโสด เพราะไม่อยากรักใครอีก คงเพราะเขารักคุณถวิกามากจริงๆ แล้วฉันก็นึกได้ถึงซองจดหมายนั้น ที่คุณถวิกาเขียนถึงเขา เขายังคงเก็บไว้ทั้งๆที่ปากก็เคยบอกกับฉันว่าลืมเธอไปแล้ว ในนั้น…จะเขียนว่าอะไรน้า
“คุณสิดีคะ! ปลาในกระทะจะไหม้แล้วค่ะ!” พี่จวญร้องขึ้น
ฉันเลิกเหม่อลอยทันที “ว้าย!ตายแล้ว หมดกันๆ!!!” ฉันรีบปิดเตาและตักปลาสำลีตัวใหญ่ใส่จาน ตอนนี้มันดำเมี่ยมไปหมด ฉันยิ้มแหยๆให้ทุกคน
“แหะๆ ขอโทษทีค่ะ”

พอฝึกทำอาหารเสร็จ ก็ได้เวลาทานข้าวเย็นพอดี ฉันไปตามคุณนรินทร์ที่สระว่ายน้ำแต่ก็ไม่เจอ สงสัยกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้อง เลยขึ้นไปเรียกที่ห้องก็ไม่มีอีก ฉันพบเพียงแต่…กระดาษแผ่นหนึ่งตกอยู่ที่พื้นในห้องนอน เหมือนไม่ได้ตั้งใจจะอยู่ตรงนั้น

‘นรินทร์คะ วันนี้เป็นวันแต่งงานของคุณ วิคงจะดีใจมาก ถ้าวันนี้เป็นวันที่คุณมีวิเป็นเจ้าสาว ทั้งๆที่เมื่อก่อนมันเกือบจะเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่น่าแปลกนะคะที่ตอนนี้วิได้แต่แอบมองคุณอยู่ห่างๆเท่านั้น วิรู้ว่าวิทำผิดต่อคุณมาก ก็สมควรแล้วล่ะค่ะที่คุณจะเลิกรักวิเสียที ถึงแม้เมื่อก่อนคุณจะเคยบอกว่า ถ้าไม่ใช่วิ คุณคงรักใครไม่ได้อีก เอาเถอะค่ะ อดีตก็คืออดีต วิจะปล่อยมันไป ตอนนี้วิทำใจได้แล้วกับทุกอย่าง วิจะเลิกคิดถึงคุณและจะไม่รบกวนคุณกับคู่รักอีก แต่คุณช่วยเมตตาวิเป็นครั้งสุดท้ายได้ไหมคะ ช่วยออกมาพบวิเป็นครั้งสุดท้ายหน่อย วิอยากให้เราจบกันด้วยดี ให้มีแต่ความทรงจำดีดีของเราสองคน มาพบกันในฐานะเพื่อนก็ได้ค่ะ แล้ววิจะลาจากชีวิตคุณตลอดไป ---- ถวิกา ป.ล. ที่เดิม เวลาเดิม นะคะ’
ฉันวางกระดาษแผ่นนั้นลงที่พื้น ที่ตำแหน่งเดิม รู้สึกบอกไม่ถูก จะเฉยๆก็ไม่ได้ จะเสียใจก็ไม่มีเหตุผล เพราะคุณนรินทร์กับฉันไม่ได้รู้สึกพิเศษต่อกัน นี่ถ้าเขาไปหาเธอแล้วบอกว่าเขาลืมเธอไม่ได้เช่นกัน จากนั้นกลับมาเฉ่งฉันให้ไปเซ็นใบหย่า แล้วขัดคำสั่งแม่ตัวเองแต่งงานกับคุณถวิกา เรื่องมันคงจบ

คุณนรินทร์กับฉันไม่ต้องหลอกใคร
เขามีความสุข
นราธรมีทายาทสืบต่อ
ก็ดีเหมือนกัน……….
แล้วฉันร้องไห้ทำไม….
อ๋อ…สงสัยหิวข้าว

ฉันปาดน้ำตา แล้วลงไปทานข้าว ซึ่งมีเพียงฉัน คุณพ่อและคุณตุ๋ม คุณรันคงไปกินที่บ้านแจ๊กกี้ ส่วน….
“เห็นตารินบอกแม่ว่าไปธุระ กลับดึกให้ทานกันไปเลยน่ะจ้ะ” คุณตุ๋มบอกฉัน
“เออนี่หนูสิดี วันนี้ทำอะไรบ้าง เบื่อหรือเปล่า คงยังไม่คุ้นกับสถานที่ใหม่สินะ” คุณพ่อชวนฉันคุย
“ก็เรียนทำอาหารกับป้าเนียรน่ะคะ” ฉันตอบ
“ดีเหมือนกันนะ แม่เนียรน่ะฝีมืออย่างเยี่ยม เออ หนูชอบเล่นหมากรุกไหมล่ะ ถ้าเบื่อๆมาชวนพ่อเล่นได้เสมอนะ นี่เดี๋ยวหลังทานข้าวเสร็จไปเล่นกันเลยไหม ฆ่าเวลารอเจ้านรินทร์กลับมาไงล่ะ” คุณพ่อชวนฉันอย่างกระตือรือร้น
“ฮ่ะๆๆๆ พ่อเขาเหงาน่ะจ้ะ วันนี้ลูกชายทั้งสองไม่อยู่ประลองฝีมือ ความจริงตารินต้องเล่นกับพ่อเขาทุกคืน ตารันกลับมาคราวนี้คงมีคู่แข่งตัวฉกาจเช่นเคยนะคะคุณ”
ฉันยิ้มรับคำชวน แม้ในใจยังกังวลเรื่องคุณนรินทร์
หลังทานอาหารเสร็จ ฉันต้องเล่นหมากรุกกับคุณพ่อเสียหลายตา ที่หลายตานั่นเพราะ ฝีมือของฉันมันห่วยแตกน่ะสิ แพ้คุณพ่อแทบทุกกระดาน แถมโดนรุกฆาตเร็วอีกต่างหาก ฉันสารภาพไปว่า ฉันเคยเข้าไปเล่นใน thaibg.com ได้คะแนนต่ำสุดติดต่อกันหลายสมัย แต่คุณพ่อกลับไม่ดูถูกฉัน คอยสอนเทคนิคต่างๆนาๆให้ และกำชับว่าควรมาฝึกฝีมือกับท่านทุกคืน
ฉันราตรีสวัสดิ์คุณพ่อ แล้วกลับมาอาบน้ำแต่งตัวที่ห้องนอน จะห้าทุ่มอยู่แล้ว คุณนรินทร์ยังไม่กลับมาอีก ฉันเลยนอนดูทีวีรอ ส่วนกระดาษแผ่นนั้น ฉันก็ยังว่างไว้ที่เดิม อยากรู้เหมือนกันว่าเขาจะทำหน้ายังไง
ห้าทุ่มสิบนาที ประตูห้องนอนเปิดออก คุณนรินทร์เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเรียบเฉย มีการแซวฉันเล็กน้อยว่าคืนนี้อย่ากรนอีก แล้วเขาก็หยุดกึก ตรงตำแหน่งเดียวกับที่จดหมายคุณถวิกาวางไว้ เขาหยิบมันขึ้นมา แล้วจ้องฉันที่ทำท่าดูทีวีโดยไม่สนใจเขา

“กลับมาดึกเชียวนะคะ ไปไหนกันมาบ้างล่ะคะ” ฉันพูดหยั่งเสียง

เขายังคงวางตัวปกติ ไม่มีท่าทีหงุดหงิด แล้วขยำกระดาษแผ่นนั้นทิ้งลงถังขยะ

“คุณอ่านแล้วสินะ สงสัยตอนนั้นผมทิ้งไม่ลงถัง ตาวิเศษเลยเห็น” เขายังมีหน้ามาพูดติดตลก

“เธอคงรักคุณมากสินะคะ น่าสงสารนะคะ ถ้าคุณยังรักเธออยู่จะปิดความรู้สึกตัวเองไปทำไม” ฉันเป็นบ้าอะไร ยิ่งพูด ยิ่งเหมือนทำร้ายใจตัวเอง

เขาปลดกระดุมคอแล้วพูดตอบ “ผมไม่ได้ปิดความรู้สึก”
ฉันรู้สึกจุก แต่ยังดันทุรังพูดทำร้ายตัวเองอีก “คืนดีกับเธอแล้วเหรอคะ ไหนว่าจบกับเธอไปนานแล้ว แล้วนี่…เดี๋ยวคุณคงจะพาฉันไปหย่าแล้วใช่ไหมคะ”

เขาถอดนาฬิกาออก “คุณเป็นอะไรของคุณสิดี พูดถากถางผมอยู่ได้ ไหนคุณย้ำนักย้ำหนาว่าเราแค่แต่งกันหลอกๆ คุณสนด้วยเหรอว่าผมยังรักใครอยู่ อ๋อ…หรือว่าคุณ…”
ฉันทำหน้าหวาดกลัว “ฉัน…ฉันทำไมคะ” ไม่นะ ตายแล้ว นั่นสิ ฉันทำแบบนี้ก็เท่ากับว่าฉัน…

“ผมรู้แล้ว…คุณกำลังทำหน้าที่ภรรยาให้สมบทบาทใช่ไหมล่ะ โอเค คุณกำลังพยายามที่จะหึงผม แหม ไม่ต้องสมจริงสมจังขนาดนั้นก็ได้ ผมล่ะกลัวจริง” เขาพูดเหมือนคำพูดของฉันตอนกลางวันเป๊ะ

แล้วฉันก็ถอนหายใจ เหมือนโล่งอก

“ชะ…ใช่ ค่ะ ก็อย่างที่คุณทำตอนกลางวันไง” แล้วฉันก็แสร้งทำดูทีวีตามเดิม

เฮ้อ…สิดีหนอสิดี…เขาจะรักใครก็เรื่องของเขาสิน่า

“ผมไม่ได้ไปพบถวิกา” เขาพูดเรียบๆ

หา?????? พูดอะไรน่ะ

ฉันหันไปมองเขาสีหน้างุนงง

เขาหยิบผ้าขนหนูแล้วมองฉันตรงๆ “ผมไปซื้อหนังสือทำอาหารให้ป้าเนียร แล้วเลยไปเคลียร์งานที่บริษัทนิดหน่อย”

ฉันทำหน้าเหลือเชื่อค้างเป็นนาน ก่อนจะเผยอยิ้มออกโดยไม่รู้ตัว

“ไม่เชื่อก็ถามตารัน เพราะผมไปส่งเขาที่บ้านแจ๊กกี้ แต่แจ๊กกี้ไม่อยู่ เขาเลยไปกับผม”
คราวนี้ฉันยิ้มหน้าบานสุดๆ รู้สึกโล่งเหมือนเอาจักรวาลออกจากอก

คุณนรินทร์ยิ้มบ้าง

“แหมคุณนี่ทำหน้าที่ภรรยาหลวงได้สมบทบาทจริงๆ”



ลายเส้น
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 มิ.ย. 2555, 20:33:13 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 มิ.ย. 2555, 20:33:13 น.

จำนวนการเข้าชม : 1808





<< แต่งงาน   คำตอบเดียว >>
ลายเส้น 4 มิ.ย. 2555, 22:11:37 น.
ไม่คอมมเม้นเลยง่ะะะ


goldensun 4 มิ.ย. 2555, 22:23:31 น.
จะยอมรับความจริงกันเมื่อไหร่ คู่นี้


Kapoh 4 มิ.ย. 2555, 22:40:32 น.
หายหน้าไปนาน เปิดมาเจอบทนี้ ทำเอาอมยิ้มไปเลย

ทั้งพระเอกทั้งนางเอกหลอกตัวเองเก่งพอกัน 555


agentaja 4 มิ.ย. 2555, 22:55:32 น.
โห ซับซ้อนด้วยการเอารันมาเป็นน้อง ตอนแรกนึกว่าแจ๊กกี้ซะอีกนะคะ
แล้วเมื่อไหร่จะรู้ใจตัวเองน้อ สงสัยต้องรอให้อยู่กันไปซักพักก่อนแน่เลย


wind 5 มิ.ย. 2555, 09:07:21 น.
ปากแข็งทั้งคู่


mhengjhy 5 มิ.ย. 2555, 11:40:30 น.
ทั้งสองคนนี้คือ รู้แต่ไม่พูด หรือไม่รู้จริงๆ เนี่ยยยย


yapadoo 5 มิ.ย. 2555, 21:52:39 น.
น่ารักจัง


ling 6 มิ.ย. 2555, 14:25:45 น.
งานนี้ผลัดกันจับไต๋นะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account