รอยรักเหมันต์
...เพราะสายลมหนาวหรือเพราะมนต์เสน่ห์แห่งทุ่งดอกไม้ จึงนำพาให้สองหัวใจมาพบกัน
เมื่อเขาคือนักธุรกิจหนุ่มรูปหล่อกับเธอเจ้าของสวนดอกไม้สาวผู้พราวเสน่ห์...
เพียงแรกพบสบตา เขาและเธอก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าใช่เลย
จอมทัพจะสามารถนำดอกไม้งามดอกนี้
เมื่อเขาคือนักธุรกิจหนุ่มรูปหล่อกับเธอเจ้าของสวนดอกไม้สาวผู้พราวเสน่ห์...
เพียงแรกพบสบตา เขาและเธอก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าใช่เลย
จอมทัพจะสามารถนำดอกไม้งามดอกนี้
Tags: ฤดูหนาว
ตอน: ตอนที่ ๒๒ อธิฐานรัก
ตอนที่ ๒๒
สถานที่แรกที่เมยาวีและวัสนางค์ พาจอมทัพ ปุณชิกาและรัญญิกามาก็คือในตัวเมืองจังหวัดเชียงราย วัสนางค์ขับรถยนต์คันหรูของตนพาทั้งหมดไปไหว้พระตามวัดต่างๆ ก่อนจะไปหยุดรถที่อนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางแยกทั้งห้ากลางตัวเมือง
ทั้งหมดลงจากรถไปสักการะพ่อเมือง เมยาวีและวัสนางค์เดินนำเข้าไปก่อน ตามด้วยปุณชิกาที่อดหมั่นไส้กับท่าทีของรัญญิกาซึ่งเกาะแขนของจอมทัพไปตลอดทางไม่ได้ เธอเดินมาทันทั้งสองสาว ก่อนจะบอกเมยาวีด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนัก
“พี่เหมยยอมให้คุณรันเกาะแขนพี่จอมอย่างกับตังเมได้ยังไงกันคะ” ท่าทีฮึดฮัดของสาวรุ่นน้อง ทำให้วัสนางค์เปิดเสียงหัวเราะออกมาในทันที
“ใครว่ายายเหมยยอมล่ะคะคุณปูเป้ ดูหน้าและมือของยายเหมยสิ”
สิ่งที่ยืนยันและเห็นอย่างชัดแจ้งในภาพโฟกัสสายตาของปุณชิกาก็คือ ใบหน้าบึ้งตึงของเมยาวีและสองมือที่รวบกำแน่นประกอบคำบอกเล่าของวัสนางค์
“คุณปูเป้ไม่รู้หรอกค่ะ ว่าถ้ายายเหมยอาละวาดขึ้นมา ต่อให้เอาช้างมาฉุดก็ไม่อยู่” วัสนางค์แอบกระซิบบอกสาวรุ่นน้อง โดยไม่สนใจต่อดวงตาเขียวปัดของเมยาวีซึ่งหันมาทางเธออย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ แทนการมองรัญญิกาที่ทำระริกระรี้อยู่ข้างๆ กับจอมทัพ
“แต่ทำไมพี่เหมยไม่อาละวาดล่ะคะ ปูเป้เห็นแล้วอยากจะอาละวาดแทนจังเลยค่ะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนนะ คุณรันไม่มีทางได้อยู่ใกล้กับพี่จอมหรอก”
“ถ้าทนไม่ได้ก็อย่าทนสิคะ พี่ไม่ว่าหรอก อีกอย่างพี่กำลังจะรอว่ายายเหมยลี่จะทำอย่างไรต่อไป”
“นั่นแหละค่ะ จะเอายังไงกันต่อไปดีล่ะคะ”
“พี่ก็บอกตอนนี้ไม่ได้หรอก เรารอดูจังหวะก่อนดีกว่านะ”
“แต่ปูเป้ทนไม่ได้นี่คะ ที่เห็นพี่จอมเงียบแบบนั้นเหมือนจะไม่แคร์พี่เหมยเลย” ท่าทีฮึดฮัดที่เกิดขึ้นของปุณชิกา ทำให้วัสนางค์ยิ้มออกมาอีกครั้ง ใช่ว่าแค่ปุณชิกาเพียงคนเดียว เธอก็เหมือนกันเห็นความท่าทีของรัญญิกาแล้ว ต่อมความรู้สึกบางอย่างก็แทบจะทำงานแทนที่
นี่ถ้าไม่ติดตรงจอมทัพเป็นคนที่เพื่อนสาวของเธอมีใจให้นะ เธอจะเป็นฝ่ายอาละวาดแทนแล้วล่ะ
“ถ้าทนไม่ได้ พี่ว่าเราสองคนมาเล่นละครอะไรสักเรื่องกันไหมคะ คุณปูเป้” วัสนางค์คิดอะไรขึ้นได้ในเวลานั้น ประกายตาคู่สวยก็ฉายแววเจ้าเล่ห์ออกมาทันที
“ละคร ละครอะไรคะ ปูเป้ไม่เข้าใจ” สาวน้อยทำหน้าใสซื่อ แม้จะรู้ว่าการแสดงละครในครั้งนี้เพื่อจะแกล้งรัญญิกา แต่เธอก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าควรจะทำอย่างไร
“มานี่ค่ะ เดี๋ยวพี่บอกแผนการเอง”
ตรงหน้าแท่นบูชา มีควันธูปฟุ้ง เหนือขึ้นไปเป็นรูปปั้นสำริดของพ่อขุนเม็งรายมหาราชยืนตระหง่านทอดสายตามองไปยังข้างหน้าด้วยท่าทางอันองอาจ ประวัติศาสตร์ที่น่ายกย่องของท่านขจรกระจายไปทั่วทั้งแผ่นดินล้านนา เหล่าชาวเมืองต่างน้อมรับซึ่งพระบารมีและบุญคุณที่ท่านได้สร้างเอาไว้ จึงได้ร่วมใจกันสร้างอนุสรณ์ของท่านขึ้นในที่แห่งนี้ เพื่อจะได้ให้ชาวเมืองรำลึกและไม่ลืมท่านตลอดไป
เมยาวีซื้อพวงมาลัยดอกดาวเรืองจากร้านค้าข้างๆ ก่อนจะเดินไปยังหน้าแท่นบูชาเพื่อสักการบูชาพ่อเมืองเชียงรายที่เธอเคารพนับถือ
ท่วงท่าของเธอดูสง่างามเป็นยิ่งนัก จอมทัพซึ่งยืนมองภาพนั้นอยู่ด้านนอกรู้สึกชื่นชมหญิงสาวไม่ได้ จวบจนวัสนางค์เข้ามาสะกิดนั่นแหละเขาถึงได้รู้ตัวว่าตนเองเป็นฝ่ายแอบมองเพื่อนสาวของเธออยู่
“เข้าไปไหว้สาพ่อเมืองสิคะ คุณจอม”
“เอ่อ...ผม”
“มาที่นี่ ขออะไรก็ได้นะคะ แม้กระทั่งความรัก”
จอมทัพส่งยิ้มให้วัสนางค์ซึ่งบัดนี้ได้ยื่นพวงมาลัยให้กับเขา ส่วนรัญญิกาที่เกาะแน่นมาตลอดทางนั้นบัดนี้ ได้แยกไปเข้าห้องน้ำพร้อมกับปุณชิกา เมื่อนาทีก่อนแล้ว
“จริงหรือครับ”
“ฝนเคยโกหกคุณหรือคะ ไปเถอะค่ะ ตอนนี้ทางสะดวกแล้ว คุณน่าจะได้เวลาปรับความเข้าใจกับเพื่อนสาวของฉันก่อนที่จะเข้าใจผิดไปกันใหญ่นะคะ” แล้ววัสนางค์ก็เดินเลี่ยงไปอีกทางในทันที ปล่อยให้จอมทัพมองตามอย่างไม่เข้าใจ
ชายหนุ่มยืนลังเลอยู่เช่นนั้นนิดหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเดินไปข้างหน้า ดวงตาคู่คมแหงนเงยขึ้นมององค์พ่อเมืองเชียงรายนิดหนึ่ง เหมือนจะขอความมั่นใจก่อนจะตัดสินใจเข้าไปนั่งคุกเข่าลงข้างๆ กับเมยาวี
“อธิฐานอะไรอยู่หรือครับ” จอมทัพถามเสียงนุ่ม เมื่อยังเห็นเมยาวียังหลับตาและพนมมือไหว้และกล่าวคำบูชาไม่เสร็จสักที
ขณะหญิงสาวค่อยลืมตาขึ้น โดยไม่พูดอะไร พยายามทำให้ตนนิ่งเงียบมากที่สุด
หลังไหว้และกล่าวคำบูชาจบเธอก็ปักธูปและนำพวงมาลัยไปคล้องที่ใต้ฐานบัลลังก์ ก่อนจะกลับมานั่งที่เดิมโดยไม่พูดอะไรอีก
“คุณเหมยครับ...ผมขอโทษ”
หลังเห็นความมึนตึงของหญิงสาว ชายหนุ่มก็รู้สึกผิดเขาเคยบอกรักเธอไปแล้ว แต่ในวันนี้กลับทำตัวเหมือนจะไม่แคร์ต่อคำพูดเหล่านั้นเลยสักนิด อย่างนี้ที่เธอโกรธเขามันก็น่าสมควรอยู่
“เหมยไม่โกรธคุณหรอกค่ะ” เมยาวีคลี่ยิ้ม แม้ว่ามันเหมือนจะเป็นการยิ้มเพื่อบอกว่าเธอไม่ได้โกรธอะไรเขาจริงๆ แต่จอมทัพก็ดูออกว่าเธอฝืนยิ้มเพื่อให้เขาสบายใจเท่านั้น
“แต่ผมรู้ว่าคุณเหมยโกรธ”
“เหมยก็บอกยังไงล่ะคะว่าเหมยไม่ได้โกรธคุณเลยสักนิด คุณจะไปกอดไปให้ใครจูบ ให้ใครควงแขนเหมยก็ไม่เคยถือสา”
“นั่นแหละครับ ที่ทำให้ผมแน่ใจว่าคุณโกรธผม” ชายหนุ่มดักทาง เพราะดวงตาของเธอมันฟ้องอยู่แล้ว
“แต่เหมย...”
“อย่าปิดผมเลยครับคุณเหมย ผมรู้ว่าคุณกำลังงอนและกำลังโกรธผม อย่างไรแล้วผมก็ขอโทษคุณจริงๆ นะ นี่ก็ต่อหน้าขององค์พญาเม็งรายมหาราช ผมสัญญาครับว่าคำพูดต่อไปนี้ของผมมันจะไม่เป็นคำโกหกอีกต่อไป ขอให้ท่านพ่อเป็นพยาน หัวใจของผมแต่นี้เป็นต้นไปมันจะมีแต่คุณเหมยเพียงผู้เดียว ต่อให้มีอะไรมาทำให้เราเข้าใจผิดกัน ผมสัญญาครับว่าจะไม่มีวันมอบหัวใจดวงนี้ให้กับใครอีกนอกจากคุณเหมยเพียงคนเดียวเท่านั้น”
เขายกมือขึ้นพนมทั้งพวงมาลัย พร้อมกับเอ่ยคำสัตย์ปฏิญาณที่ขนาดเมยาวียังรู้สึกซ่านสยิวไปทั่วร่างกายไม่ได้ ดวงตาคู่สวยเบิกขึ้นและมองหน้าของเขาอย่างไม่เชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน
“คุณจอม...” เมยาวีครางเสียงแผ่ว หัวใจสาวยิ่งเต้นรัวไม่สามารถที่จะเอ่ยคำใดได้อีกต่อไป พร้อมกับความตื้นตันใจที่มันจุกแน่นจากหัวใจขึ้นมายังลำคอ
จอมทัพส่งยิ้มอ่อนโยนให้หญิงสาวอีกครั้ง ก่อนจะนำพวงมาลัยพวงนั้นไปวางเคียงกับของเธอและกลับมานั่งยังจุดเดิมอีกครั้ง
“ชาติที่แล้ว ผมคงจะได้เป็นทหารของพ่อพญาเม็งรายนะครับ ชาตินี้ถึงได้กลับมาที่นี่และมาไหว้ท่านอีกครั้ง” เขาเงยหน้าขึ้นมองรูปปั้นสำริดขององค์พญาเม็งรายมหาราช ที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ในท่วงท่าอันองอาจดุจเดิมมานานหลายปี ให้ผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาได้สักการบูชา แถมยังเป็นที่พึ่งให้ผู้คนหมดหวังได้ขอความหวังและเมื่อได้สมหวังแล้วก็จะมาแก้บนท่าน จนบนแท่นบูชาข้างใต้ฐานบัลลังก์มีแต่ของเซ่นสรวงเต็มไปหมด
“คงอย่างนั้นล่ะมั้งคะ”
เมยาวีอมยิ้ม มองตามระดับสายตาของชายหนุ่ม ก่อนจะรู้สึกขนลุกซู่ เมื่อมองไปสบกับดวงตาของท่านซึ่งทอดต่ำลงมาอย่างอ่อนโยน บนใบหน้าของท่านเกลื้อนไปด้วยรอยยิ้มมีเมตตาเหมือนดั่งว่า ท่านจะยอมรับต่อคำสัตย์ของชายหนุ่มที่เพิ่งเอ่ยออกไป
หลังจากนั้นทั้งสองหนุ่มสาวก็พากันออกมาจากสถานที่แห่งนั้น ก่อนจะทอดสายตามองไปยังถนนทั้งห้าสายที่มาบรรจบกัน ซึ่งบัดนี้มีรถของเหล่านักท่องเที่ยวต่อแถวติดไฟแดงกันยาวเหยียด นี่ขนาดยังไม่ถึงช่วงเทศกาลปีใหม่รถและคนถึงเยอะขนาดนี้ แล้วถ้าเป็นช่วงเทศกาลล่ะ ไม่รู้ว่าจะมีเยอะกว่านี้อีกสักกี่เท่า
ทั้งสองพากันเดินเลาะเลียบมาตามทางเท้า ตรงไปยังสวนสาธารณะที่อยู่ด้านข้าง ชวนกันนั่งลงพักยังที่แห่งนั้น เพื่อจะรออีกสามสาวซึ่งได้แยกตัวออกไปเมื่อหลายนาทีก่อน
“ผมดีใจจังเลยครับ ที่ได้มาเที่ยวที่นี่ พร้อมกับคุณเหมย” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยใบหน้าเกลื้อนยิ้ม เขามองนิ่งตรงกรอบหน้าสวยหวาน
เมยาวีค่อยๆ หันกลับมามองหน้าเขาที่มองเธออยู่ก่อนแล้ว ใบหน้าของเธอเริ่มเข้มขึ้นอีกครั้ง หัวใจสาวก็ยิ่งเต้นรัว แม้ในใจอยากจะร้องออกมามากแค่ไหน แต่เมยาวีก็ไม่อาจทำดั่งใจคิดได้
“เหมยก็ดีใจค่ะ ที่ได้มาเที่ยวที่นี่อีกครั้ง....กับคุณ”
“สวยจริงๆ นะครับ ผมเคยผ่านไปผ่านมาเมื่อหลายปีก่อน แต่ไม่เคยแวะไหว้ท่านสักที มีครั้งนี้แหละที่ได้มีโอกาสมาไหว้”
“ท่านพ่อคงจะดีใจนะคะ ที่คุณได้เข้ามาไหว้ท่าน ขนาดเหมยก็ยังดีใจด้วยเลยค่ะ ตื่นเต้นด้วยนะคะ อยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิด มาที่นี่ก็ตั้งหลายครั้ง แต่ยอมรับเลยล่ะค่ะที่ครั้งนี้มันทำให้เหมยรู้สึกดีใจกว่าครั้งไหนๆ” เธอถ่ายทอดสิ่งที่พูดออกมาทางสีหน้าและแววตาซึ่งกำลังทอดมองเลยไปยังจุดที่เธอและเขาเพิ่งจากมา
“อาจจะเพราะมีผมมาด้วยนะครับ คุณเหมยถึงได้รู้สึกว่าพิเศษกว่าครั้งก่อน”
“อาจจะเป็นเช่นนั้นล่ะมั้งคะ”
แล้วเธอก็เป็นฝ่ายก้มหน้าลงมองพื้นอีกครั้งหนึ่งด้วยความเขินอาย ไม่มีครั้งไหนจะทำให้เธออายได้มากขนาดนี้ ทั้งๆ ที่ประโยคเหล่านั้นมันก็ไม่ได้มีอะไรมากนัก แต่หัวใจของเธอกลับยืนยัน สิ่งนี้มันสำคัญกับเธอมากและจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป
“ไหนล่ะ ห้องน้ำของเธอ ปุณชิกา”
หลังจากที่ปวดท้องอยากจะถ่ายปัสสาวะ รัญญิกาจึงชวนจอมทัพเพื่อจะให้เขาพาไปห้องน้ำ ทว่าชายหนุ่มกลับปฏิเสธเพราะเขาเป็นผู้ชายไม่สมควร อะไรมันจะลงล็อคได้กับการเล่นละครของปุณชิกากับวัสนางค์ เห็นดังนั้นแล้วปุณชิกาจึงเป็นฝ่ายเข้ามาอาสาพาพี่สาวของรติกรไปห้องน้ำแทนพี่ชายของเธอทันที
แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับว่าเวลานี้ ทั้งสองสาวยังหาห้องน้ำไม่เจอเลยสักห้อง ทั้งๆ ที่ปุณชิกาบอกเธอเอาไว้อย่างดิบดีแล้วว่า เคยมาที่นี่และรู้จักทางไปห้องน้ำดี ไอ้เจ้าน้ำที่กินไปเยอะเมื่อเช้าก็ยิ่งบีบกระเพาะปัสสาวะมากยิ่งขึ้น เธอจึงหยุดเดินและถามแม่สาวรุ่นน้องอย่างไม่พอใจสักเท่าไร
“อีกนิดเดียวค่ะ ผ่านร้านค้าไปทางนู้นก็จะเจอแล้วล่ะค่ะ” ปุณชิกาแทบจะกลั้นเสียงหัวเราะของตัวเองเอาไว้ไม่ได้ หลังจากเห็นใบหน้าแหยเกของรัญญิกา
“ผ่านๆ ฉันเห็นเธอพาฉันผ่านมาทางนี้สามรอบแล้วนะ นังเด็กบ้า นี่คิดจะแกล้งฉันหรือยะ” อารมณ์เดือดเข้าแทนที่ทันที ความอดทนแปรเปลี่ยนเป็นเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นทางกรอบหน้าสวยเฉี่ยว
“ปูเป้ไม่ได้แกล้งนะคะ ปูเป้ก็ปวดท้องเหมือนกัน”
“ไม่ได้แกล้ง แล้วเธอพาฉันมาทางนี้อีกทำไม แล้วไหนล่ะไอ้ห้องน้ำของเธอ”
“ทางนี้จริงๆ นะคะ ปูเป้จำได้ ผ่านร้านค้านั่นไปอีกนิดจริงๆ” แม่สาวรุ่นน้องยังทำหน้าใสซื่อ เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แกมดัดจริตนิดหน่อย ขณะรัญญิกาไม่มีทางเลือกสะบัดตัวเองไปมาอย่างไม่พอใจ แล้วกระทืบเท้าเดินไปทางนั้นในทันที
“รอปูเป้ด้วยสิคะคุณรัน เดี๋ยวจะหลงกันเสียก่อนหรอก” หลังเห็นฝ่ายนั้นเดินนำไปก่อนแล้ว ปุณชิกาจึงยกมือขึ้นปิดปากและปล่อยเสียงหัวเราะออกมาในที่สุด
“เป็นไงบ้างคะ คุณปูเป้” วัสนางค์ตามมาถึงตรงที่ปุณชิกายืนอยู่และเห็นว่าสาวรุ่นน้องยืนหัวเราะจึงเข้าไปถามทันที
“หน้าเบ้เลยค่ะพี่ฝน”
“จริงๆ หรือคะ แล้วไปทางไหนแล้วล่ะ”
“ทางนู้นค่ะ...” สาวรุ่นน้องชี้ไปยังทางห้องน้ำที่มีป้ายบอกทางอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นมากนัก ซึ่งเธอเห็นตั้งแต่รอบแรกที่เดินผ่านมาแล้วล่ะ แต่เพราะอยากจะแกล้งรัญญิกา จึงพาเดินวนไปสามรอบให้สะใจก่อน
“พี่ว่าเราตามแม่นั่นไปเถอะค่ะ เผื่อมีอะไรเด็ดๆ ให้เราได้ทำอีก” วัสนางค์พูดดังนั้นแล้วก็รีบจ้ำไปข้างหน้าทันที โดยมีปุณชิกาที่ยังหัวเราะอยู่ตลอดเวลาตามไปอย่างรวดเร็ว
ทั้งสองเดินมาหยุดอยู่หน้าห้องน้ำ ก่อนปุณชิกาจะขอตัวแยกไปเข้าห้องน้ำ โดยให้วัสนางค์ยืนรออยู่ตรงหน้าห้องน้ำแห่งนั้น
รัญญิกาที่ทำธุระของตัวเองเสร็จแล้ว เมื่อออกมาเจอกับวัสนางค์ซึ่งยืนกอดออกรออยู่ ต่อมความเดือดก็ปะทุขึ้นมาทันทีเพราะเริ่มจะรู้แล้วล่ะว่าแผนการที่ปุณชิกาแกล้งเธอนั้นมาจากนังบ้านนอกนี่อย่างแน่นอน
“นังบ้านนอก เป็นแผนการของเธอใช่ไหม ที่แกล้งฉัน” ไม่รีรอจะเดินเข้าไปปะ ฉะ ดะ กับวัสนางค์ซึ่งยืนยิ้มกริ่มอยู่ด้านหน้านั้นทันที
“แกล้ง...แกล้งอะไรล่ะคะคุณ”
“ก็แกล้งไม่ให้ฉันเข้าห้องน้ำอย่างไรล่ะ นังบ้านนอก”
“นังบ้านนอก...ลืมไปแล้วหรือคะ ว่าที่คุณยืนอยู่นี่มันบ้านนอก ระวังนะคะ จะไม่ได้กลับเมืองสวรรค์ของคุณ”
วัสนางค์เอ่ยเสียงเยาะ มองหญิงสาวตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างเหยียดหยัน การแต่งตัวก็ดีอยู่หรอก แต่กิริยานี่สิผิดแผกไปจากความสวยหรูด้านนอกอย่างลิบลับ นี่แหละนะที่เขาบอกว่า ข้างนอกสดใส ข้างในกลวงโบ๋
เพราะแม่นี่ ข้างในใจไม่มีอะไรดีสักอย่าง ผิดกับเปลือกนอกที่แต่งซะสวยหรูเพื่ออวดผู้คน
“ฉันจะว่าแก จะทำไม” รัญญิกาเชิดหน้ามองร่างบางตรงหน้าอย่างท้าทาย โดยไม่เกรงกลัวต่อคำขู่นั้นเลยสักนิด
“ก็ไม่อะไรหรอกค่ะ แกก็จะได้รับประทานยำตีนอย่างไรล่ะ” ว่าแล้ววัสนางค์ก็กระทืบเท้าไปบนพื้นดินหนักๆ สองที ก่อนจะก้าวเข้าไปหาคู่กรณีอย่างเอาเรื่อง
“จะเอาไหมล่ะ ยำตีนน่ะ”
“ยี๋...ต่ำ เลวทรามที่สุด”
“ใครกันแน่ล่ะที่ต่ำ ทราม แกนั่นแหละนังรัญญิกา”
“นี่แกว่าฉันหรือยะ นังบ้านนอก รู้ไหมว่าฉันเป็นลูกใคร”
“ลูกใครล่ะ ขนาดตัวเองยังไม่รู้เลย มาถามฉันแล้วฉันจะรู้หรือคะ คุณลูกนกหลงรัง”
“อ๊าย...อีบ้า นังบ้านนอก”
“อ้อ...สงสัยคุณคงจะเป็นพวกขาดความอบอุ่นนะคะ ถึงได้เร่เที่ยวถามหาพ่อแม่ของตัวเองอีก”
“อีฝน...แกว่าฉันหรือยะ อ๊าย...”
“อ๊าย...นี่พูดมาตั้งนานยังไม่รู้ตัวอีกหรือคะ” วัสนางค์ได้ที ทำเสียงล้อเลียนเสียยกใหญ่ ขณะรัญญิกาก็ยิ่งเดือดจัดที่นังบ้านนอกมาเล่นสงครามน้ำลายกับเธอ แถมมันยังไม่มีทีท่าว่าหยุดเสียด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่เธอก็ไม่รู้ว่าจะด่ามันยังไงต่อไปอีกแล้ว
ปุณชิกาที่ทำธุระของตนเองเสร็จ มาทันเห็นเหตุการณ์นั้นพอดี จึงรีบเข้ามาสมทบกับวัสนางค์ในทันที
“เกิดอะไรขึ้นคะ พี่ฝน”
“อ้อ...ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ปูเป้ทำธุระเสร็จแล้วใช่ไหมคะ งั้นเรากลับกันเถอะเดี๋ยวคุณจอมขา...และยายเหมยจะรอนาน”
พูดจบวัสนางค์ก็บิดยิ้มอย่างเหยียดหยัน ก่อนจะเดินเชิดหน้านำออกไปจากที่แห่งนั้นทันที โดยมีปุณชิกาและรัญญิกาที่กระทืบเท้าตามไปด้วยใบหน้าไม่ค่อยจะพอใจมากนัก
สถานที่อีกแห่งหนึ่งซึ่งวัสนางค์และเมยาวีแนะนำให้กับจอมทัพ ปุณชิกาและรัญญิกาได้รู้จักก็คือ งานดอกไม้งามที่เชียงราย ซึ่งเวลานี้ทางจังหวัดได้จัดขึ้นพอดีและก็เพิ่งเปิดงานไปเมื่อไม่กี่วันก่อน
“ที่งานแห่งนี้ ดอกไม้ส่วนหนึ่งมาจากสวนของเหมยด้วยค่ะ คุณจอมทัพ” วัสนางค์หันมาบอกชายหนุ่มเพียงคนเดียวในกลุ่ม ก่อนจะเลื่อนสายตามองเพื่อนสาวซึ่งยังคงนั่งนิ่งอยู่เบาะข้างกับเธอ
เมยาวีเลี่ยงที่จะไม่นั่งเบาะหลังติดกับจอมทัพ เพราะเธอเบื่อจะเห็นท่าทีดัดจริตของรัญญิกาที่ยังเกาะแขนของชายหนุ่มไม่เลิก
จากที่หายงอนเขาไปชั่วขณะ บัดนี้อาการเหล่านั้นได้กลับมาอีกครั้ง
แม้จะรู้ว่าชายหนุ่มไม่ได้เล่นด้วย แต่สำหรับเธอแล้ว เมื่อเห็นท่าทีของรัญญิกาเธอก็อดที่จะงอนเขาอีกไม่ได้
ดังนั้นตลอดทางที่เดินทางเข้ามายังงานแห่งนี้ เมยาวีจึงนั่งเงียบไปตลอด แม้ว่าเพื่อนสาวจะชวนคุยเป็นบางครั้งก็ตาม
“หรือครับ...ถึงว่าล่ะ งานนี้จึงมีคนมาเที่ยวกันมาก”
เขาเอ่ยพร้อมกับมองออกไปยังนอกกระจกรถ เห็นเหล่านักท่องเที่ยวมาแวะเที่ยวกันอย่างหนาตา บางคนยืนถ่ายรูปกับเหล่าเพื่อนฝูงและหลายคนก็กำลังเดินชมดอกไม้กันอย่างเพลิดเพลิน
“ใช่ค่ะ ดอกไม้จากสวนของพี่เหมยสวยอยู่แล้ว แม้กระทั่งเจ้าของ”
ปุณชิกาได้ทีเสริมคำนั้นในทันที ก่อนจะหันมาทางคนที่นั่งอยู่ถัดกับจอมทัพซึ่งกำลังแสดงสีหน้าไม่พอใจ เมื่อมีแต่คนเห็นดีเห็นงามด้วยกับเมยาวี ซึ่งเธอคิดว่าหล่อนเป็นศัตรูหัวใจตัวฉกาจเลยล่ะ
แต่ละคนชื่นชมมันอย่างกับมันเป็นนางฟ้าอย่างนั้นแหละ แล้วหล่อนล่ะ สวยสู้นังนั่นไม่ได้หรือยังไง
“ใช่ไหมคะ คุณรัน” สาวรุ่นน้องได้ทีรุกหน้าต่อ ทว่ารัญญิกากลับไม่ตอบ หล่อนเชิดหน้าแถมยังเบ้ปากอย่างนึกหมั่นไส้ แล้วกระแซะเข้าไปในวงแขนของชายหนุ่มแน่นเข้าไปอีก
“สงสัยคุณรันคงจะไม่เคยเห็นของสวยๆ งามๆ แบบนี้หรอกค่ะ เพราะเมืองกรุง มีแต่สิ่งหลอกตาทั้งนั้น ใช่ไหมคะ คุณปูเป้”
“น่าจะใช่นะคะพี่ฝน เพราะปูเป้เริ่มจะรู้แล้วล่ะค่ะ ว่าสิ่งไหนหลอกและสิ่งไหนคือความจริง”
สองสาวตามกันได้เป็นอย่างดี เพียงแค่ระยะเวลาเพียงไม่กี่วันเท่านั้น ความสนิทสนมก็มากขึ้น แถมยังจะมีคนที่อยากจะแกล้งคนเดียวกันอีก วัสนางค์และปุณชิกายิ่งเข้าขากันแน่นเข้าไปอีก
เพียงไม่เท่าไร วัสนางค์ก็หาที่จอดรถได้ ก่อนคนทั้งหมดจะพากันลงจากรถและพากันเดินเข้างานไปทันที
จอมทัพและรัญญิกาเดินนำเข้าไปก่อน เมยาวีเดินตามต้องยิ่งขบเขี้ยวเมื่อเห็นว่ารัญญิกาซบหน้าลงบนหัวไหล่ของจอมทัพ โดยไม่แคร์ต่อสายตาของใครเลยสักนิด
“ฝน...” แม่สาวเจ้าของสวนดอกไม้หน้าแดงเข้ม เธอหันมาทางวัสนางค์ที่เดินมาด้วยกันก็พอจะรู้ความหมายดีว่าเพื่อนสาวต้องการอะไร
“ด้านได้อายอด เธอทนไม่ได้ก็อย่าทนนะเหมย ฉันอยากจะเห็นเธอกลับมาสู้อีกครั้ง สู้ๆ ยายเหมย เดี๋ยวฉันกับคุณปูเป้จะช่วย”
“ใช่ค่ะพี่เหมย พี่ทนได้ยังไงกันคะไปเถอะค่ะ เดี๋ยวปูเป้จะช่วยเองนะคะ” สาวรุ่นน้องเข้ามากุมมือของเมยาวี และมองหญิงสาวด้วยประกายตาที่อยากจะช่วยเหลือสุดๆ
“คุณจอมค้า...คุณจอมขา รอฝนด้วยสิคะ” เสียงหวานหยดของวัสนางค์ดังขึ้น จอมทัพที่ได้ยินยังรู้สึกขนลุกไปด้วยไม่ได้ เขาหันกลับมาพร้อมกับความแปลกใจที่เห็นหญิงสาวมีกิริยาเปลี่ยนไป วิ่งรี่ตรงเข้ามาหาเขาพร้อมกับแทรกกลางระหว่างเขาและรัญญิกา แถมยังใช้สะโพกสะบัดร่างของฝ่ายนั้นให้ออกห่างไปอย่างรวดเร็ว
“เอ่อ...คุณฝน”
“ฝนว่าคุณเดินไปทางนู้นกันดีกว่าค่ะ มาค่ะ ฝนมีอะไรจะให้คุณดู” วัสนางค์ทำตาหวานก่อนจะกะพริบตาเป็นสัญญาณให้เขาตามเธอไป
“นี่หล่อน หลีกไปนะ นี่คุณจอมขา ของฉัน” รัญญิกายืนสะบัดตัวอย่างไม่พอใจอยู่อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่ปรับตัวให้หายจากอาการมึนงงซึ่งจู่ๆ ตัวเองก็ถูกสลัดออกจากเขาได้แล้ว ก็รีบรี่เข้าไปหาจอมทัพอย่างไม่ยอมความในทันที
“ใครว่าของเธอล่ะ คุณลั้ลล้า คุณจอมขาเป็นของฉันต่างหากย่ะ ใช่ไหมคะ”
“อ๊าย...หน้าด้าน หน้าด้านสุดๆ” สาวเฉี่ยวจากเมืองกรุงยิ่งไม่พอใจเมื่อเห็นวัสนางค์โต้ตอบ
“คุณนั่นแหละค่ะ หน้าด้านยังไม่รู้ตัวอีกหรือคะ”
สาวชาวไร่เชิดหน้าท้าทาย ขณะรัญญิกายิ่งหน้าเข้มมากกว่าเดิมที่ถูกปะทะอย่างที่ตนเองก็ไม่คิดมาก่อนว่าวัสนางค์จะกล้าทำ ความโกรธแล่นปะทุอยู่ในอก เธอหันมามองจอมทัพที่คิดว่าจะเป็นตัวกลาง ทว่าเขากลับยืนนิ่งอย่างกับน้ำแข็ง จะเข้ามาช่วยห้ามก็ไม่มี แถมยังดูเหมือนว่าจะเข้าข้างนังนั่นเสียอีก
อยากจะกรีดร้องให้มันดังลั่นไปทั้งงานหากก็ทำไม่ได้ เพราะบัดนี้ เริ่มจะมีคนหันมาสนใจกับการปะทะคารมของเธอกับนังนั่น ยิ่งอยู่นาน เธอก็ยิ่งอาย
“มาทางนี้ดีกว่าค่ะ คุณจอมขา...” แล้ววัสนางค์ก็ลากจอมทัพจากไปในทันที โดยทิ้งให้รัญญิกายืนตัวสั่นอยู่ที่เดิมอย่างไม่พอใจ
“อ๊าย...คอยดู นังบ้านนอก ฉันจะเอาคุณจอมคืนมาให้ได้ กลับมานะ กลับมาเดี๋ยวนี้เลยนะ คุณจอม อ๊าย...”
“ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะคุณ”
รัญญิกายิ่งเดือดจัด เมื่อเสียงเยาะของปุณชิกาซึ่งยืนยิ้มเยาะอยู่ทางด้านหลัง และมองมาที่เธออย่างเย้ยหยันสุดๆ
“แกว่าฉันหรือนังเด็กบ้า”
ปุณชิกาไม่สนใจต่ออารมณ์เดือดของรัญญิกามากนัก เธอเบ้ปากให้กับความรู้สึกที่นึกรังเกียจสาวตรงหน้า ก่อนจะเดินแยกไปอีกด้านหนึ่งทันที
สถานที่แรกที่เมยาวีและวัสนางค์ พาจอมทัพ ปุณชิกาและรัญญิกามาก็คือในตัวเมืองจังหวัดเชียงราย วัสนางค์ขับรถยนต์คันหรูของตนพาทั้งหมดไปไหว้พระตามวัดต่างๆ ก่อนจะไปหยุดรถที่อนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางแยกทั้งห้ากลางตัวเมือง
ทั้งหมดลงจากรถไปสักการะพ่อเมือง เมยาวีและวัสนางค์เดินนำเข้าไปก่อน ตามด้วยปุณชิกาที่อดหมั่นไส้กับท่าทีของรัญญิกาซึ่งเกาะแขนของจอมทัพไปตลอดทางไม่ได้ เธอเดินมาทันทั้งสองสาว ก่อนจะบอกเมยาวีด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนัก
“พี่เหมยยอมให้คุณรันเกาะแขนพี่จอมอย่างกับตังเมได้ยังไงกันคะ” ท่าทีฮึดฮัดของสาวรุ่นน้อง ทำให้วัสนางค์เปิดเสียงหัวเราะออกมาในทันที
“ใครว่ายายเหมยยอมล่ะคะคุณปูเป้ ดูหน้าและมือของยายเหมยสิ”
สิ่งที่ยืนยันและเห็นอย่างชัดแจ้งในภาพโฟกัสสายตาของปุณชิกาก็คือ ใบหน้าบึ้งตึงของเมยาวีและสองมือที่รวบกำแน่นประกอบคำบอกเล่าของวัสนางค์
“คุณปูเป้ไม่รู้หรอกค่ะ ว่าถ้ายายเหมยอาละวาดขึ้นมา ต่อให้เอาช้างมาฉุดก็ไม่อยู่” วัสนางค์แอบกระซิบบอกสาวรุ่นน้อง โดยไม่สนใจต่อดวงตาเขียวปัดของเมยาวีซึ่งหันมาทางเธออย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ แทนการมองรัญญิกาที่ทำระริกระรี้อยู่ข้างๆ กับจอมทัพ
“แต่ทำไมพี่เหมยไม่อาละวาดล่ะคะ ปูเป้เห็นแล้วอยากจะอาละวาดแทนจังเลยค่ะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนนะ คุณรันไม่มีทางได้อยู่ใกล้กับพี่จอมหรอก”
“ถ้าทนไม่ได้ก็อย่าทนสิคะ พี่ไม่ว่าหรอก อีกอย่างพี่กำลังจะรอว่ายายเหมยลี่จะทำอย่างไรต่อไป”
“นั่นแหละค่ะ จะเอายังไงกันต่อไปดีล่ะคะ”
“พี่ก็บอกตอนนี้ไม่ได้หรอก เรารอดูจังหวะก่อนดีกว่านะ”
“แต่ปูเป้ทนไม่ได้นี่คะ ที่เห็นพี่จอมเงียบแบบนั้นเหมือนจะไม่แคร์พี่เหมยเลย” ท่าทีฮึดฮัดที่เกิดขึ้นของปุณชิกา ทำให้วัสนางค์ยิ้มออกมาอีกครั้ง ใช่ว่าแค่ปุณชิกาเพียงคนเดียว เธอก็เหมือนกันเห็นความท่าทีของรัญญิกาแล้ว ต่อมความรู้สึกบางอย่างก็แทบจะทำงานแทนที่
นี่ถ้าไม่ติดตรงจอมทัพเป็นคนที่เพื่อนสาวของเธอมีใจให้นะ เธอจะเป็นฝ่ายอาละวาดแทนแล้วล่ะ
“ถ้าทนไม่ได้ พี่ว่าเราสองคนมาเล่นละครอะไรสักเรื่องกันไหมคะ คุณปูเป้” วัสนางค์คิดอะไรขึ้นได้ในเวลานั้น ประกายตาคู่สวยก็ฉายแววเจ้าเล่ห์ออกมาทันที
“ละคร ละครอะไรคะ ปูเป้ไม่เข้าใจ” สาวน้อยทำหน้าใสซื่อ แม้จะรู้ว่าการแสดงละครในครั้งนี้เพื่อจะแกล้งรัญญิกา แต่เธอก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าควรจะทำอย่างไร
“มานี่ค่ะ เดี๋ยวพี่บอกแผนการเอง”
ตรงหน้าแท่นบูชา มีควันธูปฟุ้ง เหนือขึ้นไปเป็นรูปปั้นสำริดของพ่อขุนเม็งรายมหาราชยืนตระหง่านทอดสายตามองไปยังข้างหน้าด้วยท่าทางอันองอาจ ประวัติศาสตร์ที่น่ายกย่องของท่านขจรกระจายไปทั่วทั้งแผ่นดินล้านนา เหล่าชาวเมืองต่างน้อมรับซึ่งพระบารมีและบุญคุณที่ท่านได้สร้างเอาไว้ จึงได้ร่วมใจกันสร้างอนุสรณ์ของท่านขึ้นในที่แห่งนี้ เพื่อจะได้ให้ชาวเมืองรำลึกและไม่ลืมท่านตลอดไป
เมยาวีซื้อพวงมาลัยดอกดาวเรืองจากร้านค้าข้างๆ ก่อนจะเดินไปยังหน้าแท่นบูชาเพื่อสักการบูชาพ่อเมืองเชียงรายที่เธอเคารพนับถือ
ท่วงท่าของเธอดูสง่างามเป็นยิ่งนัก จอมทัพซึ่งยืนมองภาพนั้นอยู่ด้านนอกรู้สึกชื่นชมหญิงสาวไม่ได้ จวบจนวัสนางค์เข้ามาสะกิดนั่นแหละเขาถึงได้รู้ตัวว่าตนเองเป็นฝ่ายแอบมองเพื่อนสาวของเธออยู่
“เข้าไปไหว้สาพ่อเมืองสิคะ คุณจอม”
“เอ่อ...ผม”
“มาที่นี่ ขออะไรก็ได้นะคะ แม้กระทั่งความรัก”
จอมทัพส่งยิ้มให้วัสนางค์ซึ่งบัดนี้ได้ยื่นพวงมาลัยให้กับเขา ส่วนรัญญิกาที่เกาะแน่นมาตลอดทางนั้นบัดนี้ ได้แยกไปเข้าห้องน้ำพร้อมกับปุณชิกา เมื่อนาทีก่อนแล้ว
“จริงหรือครับ”
“ฝนเคยโกหกคุณหรือคะ ไปเถอะค่ะ ตอนนี้ทางสะดวกแล้ว คุณน่าจะได้เวลาปรับความเข้าใจกับเพื่อนสาวของฉันก่อนที่จะเข้าใจผิดไปกันใหญ่นะคะ” แล้ววัสนางค์ก็เดินเลี่ยงไปอีกทางในทันที ปล่อยให้จอมทัพมองตามอย่างไม่เข้าใจ
ชายหนุ่มยืนลังเลอยู่เช่นนั้นนิดหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเดินไปข้างหน้า ดวงตาคู่คมแหงนเงยขึ้นมององค์พ่อเมืองเชียงรายนิดหนึ่ง เหมือนจะขอความมั่นใจก่อนจะตัดสินใจเข้าไปนั่งคุกเข่าลงข้างๆ กับเมยาวี
“อธิฐานอะไรอยู่หรือครับ” จอมทัพถามเสียงนุ่ม เมื่อยังเห็นเมยาวียังหลับตาและพนมมือไหว้และกล่าวคำบูชาไม่เสร็จสักที
ขณะหญิงสาวค่อยลืมตาขึ้น โดยไม่พูดอะไร พยายามทำให้ตนนิ่งเงียบมากที่สุด
หลังไหว้และกล่าวคำบูชาจบเธอก็ปักธูปและนำพวงมาลัยไปคล้องที่ใต้ฐานบัลลังก์ ก่อนจะกลับมานั่งที่เดิมโดยไม่พูดอะไรอีก
“คุณเหมยครับ...ผมขอโทษ”
หลังเห็นความมึนตึงของหญิงสาว ชายหนุ่มก็รู้สึกผิดเขาเคยบอกรักเธอไปแล้ว แต่ในวันนี้กลับทำตัวเหมือนจะไม่แคร์ต่อคำพูดเหล่านั้นเลยสักนิด อย่างนี้ที่เธอโกรธเขามันก็น่าสมควรอยู่
“เหมยไม่โกรธคุณหรอกค่ะ” เมยาวีคลี่ยิ้ม แม้ว่ามันเหมือนจะเป็นการยิ้มเพื่อบอกว่าเธอไม่ได้โกรธอะไรเขาจริงๆ แต่จอมทัพก็ดูออกว่าเธอฝืนยิ้มเพื่อให้เขาสบายใจเท่านั้น
“แต่ผมรู้ว่าคุณเหมยโกรธ”
“เหมยก็บอกยังไงล่ะคะว่าเหมยไม่ได้โกรธคุณเลยสักนิด คุณจะไปกอดไปให้ใครจูบ ให้ใครควงแขนเหมยก็ไม่เคยถือสา”
“นั่นแหละครับ ที่ทำให้ผมแน่ใจว่าคุณโกรธผม” ชายหนุ่มดักทาง เพราะดวงตาของเธอมันฟ้องอยู่แล้ว
“แต่เหมย...”
“อย่าปิดผมเลยครับคุณเหมย ผมรู้ว่าคุณกำลังงอนและกำลังโกรธผม อย่างไรแล้วผมก็ขอโทษคุณจริงๆ นะ นี่ก็ต่อหน้าขององค์พญาเม็งรายมหาราช ผมสัญญาครับว่าคำพูดต่อไปนี้ของผมมันจะไม่เป็นคำโกหกอีกต่อไป ขอให้ท่านพ่อเป็นพยาน หัวใจของผมแต่นี้เป็นต้นไปมันจะมีแต่คุณเหมยเพียงผู้เดียว ต่อให้มีอะไรมาทำให้เราเข้าใจผิดกัน ผมสัญญาครับว่าจะไม่มีวันมอบหัวใจดวงนี้ให้กับใครอีกนอกจากคุณเหมยเพียงคนเดียวเท่านั้น”
เขายกมือขึ้นพนมทั้งพวงมาลัย พร้อมกับเอ่ยคำสัตย์ปฏิญาณที่ขนาดเมยาวียังรู้สึกซ่านสยิวไปทั่วร่างกายไม่ได้ ดวงตาคู่สวยเบิกขึ้นและมองหน้าของเขาอย่างไม่เชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน
“คุณจอม...” เมยาวีครางเสียงแผ่ว หัวใจสาวยิ่งเต้นรัวไม่สามารถที่จะเอ่ยคำใดได้อีกต่อไป พร้อมกับความตื้นตันใจที่มันจุกแน่นจากหัวใจขึ้นมายังลำคอ
จอมทัพส่งยิ้มอ่อนโยนให้หญิงสาวอีกครั้ง ก่อนจะนำพวงมาลัยพวงนั้นไปวางเคียงกับของเธอและกลับมานั่งยังจุดเดิมอีกครั้ง
“ชาติที่แล้ว ผมคงจะได้เป็นทหารของพ่อพญาเม็งรายนะครับ ชาตินี้ถึงได้กลับมาที่นี่และมาไหว้ท่านอีกครั้ง” เขาเงยหน้าขึ้นมองรูปปั้นสำริดขององค์พญาเม็งรายมหาราช ที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ในท่วงท่าอันองอาจดุจเดิมมานานหลายปี ให้ผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาได้สักการบูชา แถมยังเป็นที่พึ่งให้ผู้คนหมดหวังได้ขอความหวังและเมื่อได้สมหวังแล้วก็จะมาแก้บนท่าน จนบนแท่นบูชาข้างใต้ฐานบัลลังก์มีแต่ของเซ่นสรวงเต็มไปหมด
“คงอย่างนั้นล่ะมั้งคะ”
เมยาวีอมยิ้ม มองตามระดับสายตาของชายหนุ่ม ก่อนจะรู้สึกขนลุกซู่ เมื่อมองไปสบกับดวงตาของท่านซึ่งทอดต่ำลงมาอย่างอ่อนโยน บนใบหน้าของท่านเกลื้อนไปด้วยรอยยิ้มมีเมตตาเหมือนดั่งว่า ท่านจะยอมรับต่อคำสัตย์ของชายหนุ่มที่เพิ่งเอ่ยออกไป
หลังจากนั้นทั้งสองหนุ่มสาวก็พากันออกมาจากสถานที่แห่งนั้น ก่อนจะทอดสายตามองไปยังถนนทั้งห้าสายที่มาบรรจบกัน ซึ่งบัดนี้มีรถของเหล่านักท่องเที่ยวต่อแถวติดไฟแดงกันยาวเหยียด นี่ขนาดยังไม่ถึงช่วงเทศกาลปีใหม่รถและคนถึงเยอะขนาดนี้ แล้วถ้าเป็นช่วงเทศกาลล่ะ ไม่รู้ว่าจะมีเยอะกว่านี้อีกสักกี่เท่า
ทั้งสองพากันเดินเลาะเลียบมาตามทางเท้า ตรงไปยังสวนสาธารณะที่อยู่ด้านข้าง ชวนกันนั่งลงพักยังที่แห่งนั้น เพื่อจะรออีกสามสาวซึ่งได้แยกตัวออกไปเมื่อหลายนาทีก่อน
“ผมดีใจจังเลยครับ ที่ได้มาเที่ยวที่นี่ พร้อมกับคุณเหมย” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยใบหน้าเกลื้อนยิ้ม เขามองนิ่งตรงกรอบหน้าสวยหวาน
เมยาวีค่อยๆ หันกลับมามองหน้าเขาที่มองเธออยู่ก่อนแล้ว ใบหน้าของเธอเริ่มเข้มขึ้นอีกครั้ง หัวใจสาวก็ยิ่งเต้นรัว แม้ในใจอยากจะร้องออกมามากแค่ไหน แต่เมยาวีก็ไม่อาจทำดั่งใจคิดได้
“เหมยก็ดีใจค่ะ ที่ได้มาเที่ยวที่นี่อีกครั้ง....กับคุณ”
“สวยจริงๆ นะครับ ผมเคยผ่านไปผ่านมาเมื่อหลายปีก่อน แต่ไม่เคยแวะไหว้ท่านสักที มีครั้งนี้แหละที่ได้มีโอกาสมาไหว้”
“ท่านพ่อคงจะดีใจนะคะ ที่คุณได้เข้ามาไหว้ท่าน ขนาดเหมยก็ยังดีใจด้วยเลยค่ะ ตื่นเต้นด้วยนะคะ อยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิด มาที่นี่ก็ตั้งหลายครั้ง แต่ยอมรับเลยล่ะค่ะที่ครั้งนี้มันทำให้เหมยรู้สึกดีใจกว่าครั้งไหนๆ” เธอถ่ายทอดสิ่งที่พูดออกมาทางสีหน้าและแววตาซึ่งกำลังทอดมองเลยไปยังจุดที่เธอและเขาเพิ่งจากมา
“อาจจะเพราะมีผมมาด้วยนะครับ คุณเหมยถึงได้รู้สึกว่าพิเศษกว่าครั้งก่อน”
“อาจจะเป็นเช่นนั้นล่ะมั้งคะ”
แล้วเธอก็เป็นฝ่ายก้มหน้าลงมองพื้นอีกครั้งหนึ่งด้วยความเขินอาย ไม่มีครั้งไหนจะทำให้เธออายได้มากขนาดนี้ ทั้งๆ ที่ประโยคเหล่านั้นมันก็ไม่ได้มีอะไรมากนัก แต่หัวใจของเธอกลับยืนยัน สิ่งนี้มันสำคัญกับเธอมากและจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป
“ไหนล่ะ ห้องน้ำของเธอ ปุณชิกา”
หลังจากที่ปวดท้องอยากจะถ่ายปัสสาวะ รัญญิกาจึงชวนจอมทัพเพื่อจะให้เขาพาไปห้องน้ำ ทว่าชายหนุ่มกลับปฏิเสธเพราะเขาเป็นผู้ชายไม่สมควร อะไรมันจะลงล็อคได้กับการเล่นละครของปุณชิกากับวัสนางค์ เห็นดังนั้นแล้วปุณชิกาจึงเป็นฝ่ายเข้ามาอาสาพาพี่สาวของรติกรไปห้องน้ำแทนพี่ชายของเธอทันที
แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับว่าเวลานี้ ทั้งสองสาวยังหาห้องน้ำไม่เจอเลยสักห้อง ทั้งๆ ที่ปุณชิกาบอกเธอเอาไว้อย่างดิบดีแล้วว่า เคยมาที่นี่และรู้จักทางไปห้องน้ำดี ไอ้เจ้าน้ำที่กินไปเยอะเมื่อเช้าก็ยิ่งบีบกระเพาะปัสสาวะมากยิ่งขึ้น เธอจึงหยุดเดินและถามแม่สาวรุ่นน้องอย่างไม่พอใจสักเท่าไร
“อีกนิดเดียวค่ะ ผ่านร้านค้าไปทางนู้นก็จะเจอแล้วล่ะค่ะ” ปุณชิกาแทบจะกลั้นเสียงหัวเราะของตัวเองเอาไว้ไม่ได้ หลังจากเห็นใบหน้าแหยเกของรัญญิกา
“ผ่านๆ ฉันเห็นเธอพาฉันผ่านมาทางนี้สามรอบแล้วนะ นังเด็กบ้า นี่คิดจะแกล้งฉันหรือยะ” อารมณ์เดือดเข้าแทนที่ทันที ความอดทนแปรเปลี่ยนเป็นเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นทางกรอบหน้าสวยเฉี่ยว
“ปูเป้ไม่ได้แกล้งนะคะ ปูเป้ก็ปวดท้องเหมือนกัน”
“ไม่ได้แกล้ง แล้วเธอพาฉันมาทางนี้อีกทำไม แล้วไหนล่ะไอ้ห้องน้ำของเธอ”
“ทางนี้จริงๆ นะคะ ปูเป้จำได้ ผ่านร้านค้านั่นไปอีกนิดจริงๆ” แม่สาวรุ่นน้องยังทำหน้าใสซื่อ เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แกมดัดจริตนิดหน่อย ขณะรัญญิกาไม่มีทางเลือกสะบัดตัวเองไปมาอย่างไม่พอใจ แล้วกระทืบเท้าเดินไปทางนั้นในทันที
“รอปูเป้ด้วยสิคะคุณรัน เดี๋ยวจะหลงกันเสียก่อนหรอก” หลังเห็นฝ่ายนั้นเดินนำไปก่อนแล้ว ปุณชิกาจึงยกมือขึ้นปิดปากและปล่อยเสียงหัวเราะออกมาในที่สุด
“เป็นไงบ้างคะ คุณปูเป้” วัสนางค์ตามมาถึงตรงที่ปุณชิกายืนอยู่และเห็นว่าสาวรุ่นน้องยืนหัวเราะจึงเข้าไปถามทันที
“หน้าเบ้เลยค่ะพี่ฝน”
“จริงๆ หรือคะ แล้วไปทางไหนแล้วล่ะ”
“ทางนู้นค่ะ...” สาวรุ่นน้องชี้ไปยังทางห้องน้ำที่มีป้ายบอกทางอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นมากนัก ซึ่งเธอเห็นตั้งแต่รอบแรกที่เดินผ่านมาแล้วล่ะ แต่เพราะอยากจะแกล้งรัญญิกา จึงพาเดินวนไปสามรอบให้สะใจก่อน
“พี่ว่าเราตามแม่นั่นไปเถอะค่ะ เผื่อมีอะไรเด็ดๆ ให้เราได้ทำอีก” วัสนางค์พูดดังนั้นแล้วก็รีบจ้ำไปข้างหน้าทันที โดยมีปุณชิกาที่ยังหัวเราะอยู่ตลอดเวลาตามไปอย่างรวดเร็ว
ทั้งสองเดินมาหยุดอยู่หน้าห้องน้ำ ก่อนปุณชิกาจะขอตัวแยกไปเข้าห้องน้ำ โดยให้วัสนางค์ยืนรออยู่ตรงหน้าห้องน้ำแห่งนั้น
รัญญิกาที่ทำธุระของตัวเองเสร็จแล้ว เมื่อออกมาเจอกับวัสนางค์ซึ่งยืนกอดออกรออยู่ ต่อมความเดือดก็ปะทุขึ้นมาทันทีเพราะเริ่มจะรู้แล้วล่ะว่าแผนการที่ปุณชิกาแกล้งเธอนั้นมาจากนังบ้านนอกนี่อย่างแน่นอน
“นังบ้านนอก เป็นแผนการของเธอใช่ไหม ที่แกล้งฉัน” ไม่รีรอจะเดินเข้าไปปะ ฉะ ดะ กับวัสนางค์ซึ่งยืนยิ้มกริ่มอยู่ด้านหน้านั้นทันที
“แกล้ง...แกล้งอะไรล่ะคะคุณ”
“ก็แกล้งไม่ให้ฉันเข้าห้องน้ำอย่างไรล่ะ นังบ้านนอก”
“นังบ้านนอก...ลืมไปแล้วหรือคะ ว่าที่คุณยืนอยู่นี่มันบ้านนอก ระวังนะคะ จะไม่ได้กลับเมืองสวรรค์ของคุณ”
วัสนางค์เอ่ยเสียงเยาะ มองหญิงสาวตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างเหยียดหยัน การแต่งตัวก็ดีอยู่หรอก แต่กิริยานี่สิผิดแผกไปจากความสวยหรูด้านนอกอย่างลิบลับ นี่แหละนะที่เขาบอกว่า ข้างนอกสดใส ข้างในกลวงโบ๋
เพราะแม่นี่ ข้างในใจไม่มีอะไรดีสักอย่าง ผิดกับเปลือกนอกที่แต่งซะสวยหรูเพื่ออวดผู้คน
“ฉันจะว่าแก จะทำไม” รัญญิกาเชิดหน้ามองร่างบางตรงหน้าอย่างท้าทาย โดยไม่เกรงกลัวต่อคำขู่นั้นเลยสักนิด
“ก็ไม่อะไรหรอกค่ะ แกก็จะได้รับประทานยำตีนอย่างไรล่ะ” ว่าแล้ววัสนางค์ก็กระทืบเท้าไปบนพื้นดินหนักๆ สองที ก่อนจะก้าวเข้าไปหาคู่กรณีอย่างเอาเรื่อง
“จะเอาไหมล่ะ ยำตีนน่ะ”
“ยี๋...ต่ำ เลวทรามที่สุด”
“ใครกันแน่ล่ะที่ต่ำ ทราม แกนั่นแหละนังรัญญิกา”
“นี่แกว่าฉันหรือยะ นังบ้านนอก รู้ไหมว่าฉันเป็นลูกใคร”
“ลูกใครล่ะ ขนาดตัวเองยังไม่รู้เลย มาถามฉันแล้วฉันจะรู้หรือคะ คุณลูกนกหลงรัง”
“อ๊าย...อีบ้า นังบ้านนอก”
“อ้อ...สงสัยคุณคงจะเป็นพวกขาดความอบอุ่นนะคะ ถึงได้เร่เที่ยวถามหาพ่อแม่ของตัวเองอีก”
“อีฝน...แกว่าฉันหรือยะ อ๊าย...”
“อ๊าย...นี่พูดมาตั้งนานยังไม่รู้ตัวอีกหรือคะ” วัสนางค์ได้ที ทำเสียงล้อเลียนเสียยกใหญ่ ขณะรัญญิกาก็ยิ่งเดือดจัดที่นังบ้านนอกมาเล่นสงครามน้ำลายกับเธอ แถมมันยังไม่มีทีท่าว่าหยุดเสียด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่เธอก็ไม่รู้ว่าจะด่ามันยังไงต่อไปอีกแล้ว
ปุณชิกาที่ทำธุระของตนเองเสร็จ มาทันเห็นเหตุการณ์นั้นพอดี จึงรีบเข้ามาสมทบกับวัสนางค์ในทันที
“เกิดอะไรขึ้นคะ พี่ฝน”
“อ้อ...ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ปูเป้ทำธุระเสร็จแล้วใช่ไหมคะ งั้นเรากลับกันเถอะเดี๋ยวคุณจอมขา...และยายเหมยจะรอนาน”
พูดจบวัสนางค์ก็บิดยิ้มอย่างเหยียดหยัน ก่อนจะเดินเชิดหน้านำออกไปจากที่แห่งนั้นทันที โดยมีปุณชิกาและรัญญิกาที่กระทืบเท้าตามไปด้วยใบหน้าไม่ค่อยจะพอใจมากนัก
สถานที่อีกแห่งหนึ่งซึ่งวัสนางค์และเมยาวีแนะนำให้กับจอมทัพ ปุณชิกาและรัญญิกาได้รู้จักก็คือ งานดอกไม้งามที่เชียงราย ซึ่งเวลานี้ทางจังหวัดได้จัดขึ้นพอดีและก็เพิ่งเปิดงานไปเมื่อไม่กี่วันก่อน
“ที่งานแห่งนี้ ดอกไม้ส่วนหนึ่งมาจากสวนของเหมยด้วยค่ะ คุณจอมทัพ” วัสนางค์หันมาบอกชายหนุ่มเพียงคนเดียวในกลุ่ม ก่อนจะเลื่อนสายตามองเพื่อนสาวซึ่งยังคงนั่งนิ่งอยู่เบาะข้างกับเธอ
เมยาวีเลี่ยงที่จะไม่นั่งเบาะหลังติดกับจอมทัพ เพราะเธอเบื่อจะเห็นท่าทีดัดจริตของรัญญิกาที่ยังเกาะแขนของชายหนุ่มไม่เลิก
จากที่หายงอนเขาไปชั่วขณะ บัดนี้อาการเหล่านั้นได้กลับมาอีกครั้ง
แม้จะรู้ว่าชายหนุ่มไม่ได้เล่นด้วย แต่สำหรับเธอแล้ว เมื่อเห็นท่าทีของรัญญิกาเธอก็อดที่จะงอนเขาอีกไม่ได้
ดังนั้นตลอดทางที่เดินทางเข้ามายังงานแห่งนี้ เมยาวีจึงนั่งเงียบไปตลอด แม้ว่าเพื่อนสาวจะชวนคุยเป็นบางครั้งก็ตาม
“หรือครับ...ถึงว่าล่ะ งานนี้จึงมีคนมาเที่ยวกันมาก”
เขาเอ่ยพร้อมกับมองออกไปยังนอกกระจกรถ เห็นเหล่านักท่องเที่ยวมาแวะเที่ยวกันอย่างหนาตา บางคนยืนถ่ายรูปกับเหล่าเพื่อนฝูงและหลายคนก็กำลังเดินชมดอกไม้กันอย่างเพลิดเพลิน
“ใช่ค่ะ ดอกไม้จากสวนของพี่เหมยสวยอยู่แล้ว แม้กระทั่งเจ้าของ”
ปุณชิกาได้ทีเสริมคำนั้นในทันที ก่อนจะหันมาทางคนที่นั่งอยู่ถัดกับจอมทัพซึ่งกำลังแสดงสีหน้าไม่พอใจ เมื่อมีแต่คนเห็นดีเห็นงามด้วยกับเมยาวี ซึ่งเธอคิดว่าหล่อนเป็นศัตรูหัวใจตัวฉกาจเลยล่ะ
แต่ละคนชื่นชมมันอย่างกับมันเป็นนางฟ้าอย่างนั้นแหละ แล้วหล่อนล่ะ สวยสู้นังนั่นไม่ได้หรือยังไง
“ใช่ไหมคะ คุณรัน” สาวรุ่นน้องได้ทีรุกหน้าต่อ ทว่ารัญญิกากลับไม่ตอบ หล่อนเชิดหน้าแถมยังเบ้ปากอย่างนึกหมั่นไส้ แล้วกระแซะเข้าไปในวงแขนของชายหนุ่มแน่นเข้าไปอีก
“สงสัยคุณรันคงจะไม่เคยเห็นของสวยๆ งามๆ แบบนี้หรอกค่ะ เพราะเมืองกรุง มีแต่สิ่งหลอกตาทั้งนั้น ใช่ไหมคะ คุณปูเป้”
“น่าจะใช่นะคะพี่ฝน เพราะปูเป้เริ่มจะรู้แล้วล่ะค่ะ ว่าสิ่งไหนหลอกและสิ่งไหนคือความจริง”
สองสาวตามกันได้เป็นอย่างดี เพียงแค่ระยะเวลาเพียงไม่กี่วันเท่านั้น ความสนิทสนมก็มากขึ้น แถมยังจะมีคนที่อยากจะแกล้งคนเดียวกันอีก วัสนางค์และปุณชิกายิ่งเข้าขากันแน่นเข้าไปอีก
เพียงไม่เท่าไร วัสนางค์ก็หาที่จอดรถได้ ก่อนคนทั้งหมดจะพากันลงจากรถและพากันเดินเข้างานไปทันที
จอมทัพและรัญญิกาเดินนำเข้าไปก่อน เมยาวีเดินตามต้องยิ่งขบเขี้ยวเมื่อเห็นว่ารัญญิกาซบหน้าลงบนหัวไหล่ของจอมทัพ โดยไม่แคร์ต่อสายตาของใครเลยสักนิด
“ฝน...” แม่สาวเจ้าของสวนดอกไม้หน้าแดงเข้ม เธอหันมาทางวัสนางค์ที่เดินมาด้วยกันก็พอจะรู้ความหมายดีว่าเพื่อนสาวต้องการอะไร
“ด้านได้อายอด เธอทนไม่ได้ก็อย่าทนนะเหมย ฉันอยากจะเห็นเธอกลับมาสู้อีกครั้ง สู้ๆ ยายเหมย เดี๋ยวฉันกับคุณปูเป้จะช่วย”
“ใช่ค่ะพี่เหมย พี่ทนได้ยังไงกันคะไปเถอะค่ะ เดี๋ยวปูเป้จะช่วยเองนะคะ” สาวรุ่นน้องเข้ามากุมมือของเมยาวี และมองหญิงสาวด้วยประกายตาที่อยากจะช่วยเหลือสุดๆ
“คุณจอมค้า...คุณจอมขา รอฝนด้วยสิคะ” เสียงหวานหยดของวัสนางค์ดังขึ้น จอมทัพที่ได้ยินยังรู้สึกขนลุกไปด้วยไม่ได้ เขาหันกลับมาพร้อมกับความแปลกใจที่เห็นหญิงสาวมีกิริยาเปลี่ยนไป วิ่งรี่ตรงเข้ามาหาเขาพร้อมกับแทรกกลางระหว่างเขาและรัญญิกา แถมยังใช้สะโพกสะบัดร่างของฝ่ายนั้นให้ออกห่างไปอย่างรวดเร็ว
“เอ่อ...คุณฝน”
“ฝนว่าคุณเดินไปทางนู้นกันดีกว่าค่ะ มาค่ะ ฝนมีอะไรจะให้คุณดู” วัสนางค์ทำตาหวานก่อนจะกะพริบตาเป็นสัญญาณให้เขาตามเธอไป
“นี่หล่อน หลีกไปนะ นี่คุณจอมขา ของฉัน” รัญญิกายืนสะบัดตัวอย่างไม่พอใจอยู่อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่ปรับตัวให้หายจากอาการมึนงงซึ่งจู่ๆ ตัวเองก็ถูกสลัดออกจากเขาได้แล้ว ก็รีบรี่เข้าไปหาจอมทัพอย่างไม่ยอมความในทันที
“ใครว่าของเธอล่ะ คุณลั้ลล้า คุณจอมขาเป็นของฉันต่างหากย่ะ ใช่ไหมคะ”
“อ๊าย...หน้าด้าน หน้าด้านสุดๆ” สาวเฉี่ยวจากเมืองกรุงยิ่งไม่พอใจเมื่อเห็นวัสนางค์โต้ตอบ
“คุณนั่นแหละค่ะ หน้าด้านยังไม่รู้ตัวอีกหรือคะ”
สาวชาวไร่เชิดหน้าท้าทาย ขณะรัญญิกายิ่งหน้าเข้มมากกว่าเดิมที่ถูกปะทะอย่างที่ตนเองก็ไม่คิดมาก่อนว่าวัสนางค์จะกล้าทำ ความโกรธแล่นปะทุอยู่ในอก เธอหันมามองจอมทัพที่คิดว่าจะเป็นตัวกลาง ทว่าเขากลับยืนนิ่งอย่างกับน้ำแข็ง จะเข้ามาช่วยห้ามก็ไม่มี แถมยังดูเหมือนว่าจะเข้าข้างนังนั่นเสียอีก
อยากจะกรีดร้องให้มันดังลั่นไปทั้งงานหากก็ทำไม่ได้ เพราะบัดนี้ เริ่มจะมีคนหันมาสนใจกับการปะทะคารมของเธอกับนังนั่น ยิ่งอยู่นาน เธอก็ยิ่งอาย
“มาทางนี้ดีกว่าค่ะ คุณจอมขา...” แล้ววัสนางค์ก็ลากจอมทัพจากไปในทันที โดยทิ้งให้รัญญิกายืนตัวสั่นอยู่ที่เดิมอย่างไม่พอใจ
“อ๊าย...คอยดู นังบ้านนอก ฉันจะเอาคุณจอมคืนมาให้ได้ กลับมานะ กลับมาเดี๋ยวนี้เลยนะ คุณจอม อ๊าย...”
“ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะคุณ”
รัญญิกายิ่งเดือดจัด เมื่อเสียงเยาะของปุณชิกาซึ่งยืนยิ้มเยาะอยู่ทางด้านหลัง และมองมาที่เธออย่างเย้ยหยันสุดๆ
“แกว่าฉันหรือนังเด็กบ้า”
ปุณชิกาไม่สนใจต่ออารมณ์เดือดของรัญญิกามากนัก เธอเบ้ปากให้กับความรู้สึกที่นึกรังเกียจสาวตรงหน้า ก่อนจะเดินแยกไปอีกด้านหนึ่งทันที
พายุ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 มิ.ย. 2555, 22:04:30 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 มิ.ย. 2555, 22:04:30 น.
จำนวนการเข้าชม : 1643
<< ตอนที่ ๒๑ เข้าใจ | ตอนที่ ๒๓ เที่ยวงานดอกไม้งาม >> |