ป่าหนาวในเงารัก
หญิงสาวผู้ชอบหว่านเสน่ห์ ทั้งยังไม่เคยศรัทธาต่อคำว่ารักแท้ เมื่อมาพบกับหนุ่มที่ปราศจากความสนใจในตัวเธอ...อะไรจะเกิดขึ้น
Tags: กรยุพา , ยุพากร รักโรแมนติก
ตอน: 11 . กรยุพา . ยุพากร
ความเดิมตอนที่แล้วค่ะ
นางเอก และพระเอกของเรา ไปติดอยู่กลางป่าเพราะหินถล่มปิดทางอออกค่ะ
ขอให้เพื่อนๆ สนุกกับตอนที่ 11 นี้นะคะ
วันนี้เป็นวันอะไรกันนะ ทำไมเธอต้องมาเจอเหตุการณ์ย่ำแย่ขนาดนี้ด้วย ฐิตารีย์ได้แต่คิดโดยไม่กล้าปริปาก เพราะเห็นอยู่ว่าผู้ที่นั่งเคียงข้างหงุดหงิดขนาดไหน
ทว่ายามชะตาตกเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดซ้ำอีกจนได้ เมื่อล้อข้างหนึ่งกลับติดหล่มอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
“เราคงต้องเดินกันแล้วล่ะครับ” ในที่สุดเขาก็เอ่ยออกมา
“คงต้องกลับไปพักที่บ้านนั่นก่อน แล้วค่อยว่ากันอีกที”
ถึงเขาไม่บอกเธอก็รู้ ที่สำคัญกระทั่งขณะนี้สายฟ้าและม่านฝนก็ยังคงไม่ปราณีใคร
“คงต้องรอให้ฝนซา ฟ้าหายร้องเสียก่อน แล้วค่อยโทรฯ ไปหาคนมาช่วยอีกที” ที่เขาไม่ได้พูดก็คือหากใช้โทรศัพท์ขณะนี้กลัวฟ้าผ่าจะตามมานั่นต่างหาก
ภูมิรพีนึกว่าจะได้ยินคำตีโพยตีพายหรือเสียงบ่นแต่เปล่าเลย เพราะเธอกลับหัวเราะอย่างที่เขาคิดไม่ถึง
“น่าสนุกเหมือนกันนะคะ”
เขาไม่มีอารมณ์ร่วม เพราะใบหน้าปราศจากรอยยิ้มระหว่างเอี้ยวตัวไปรื้อเป้ยังเบาะหลัง
เธอเพิ่งได้เห็นเดี๋ยวนี้เองว่าเขามีอุปกรณ์เดินป่าพร้อมสรรพ กระทั่งเต็นท์แค้มปิ้งก็ยังมีอีกด้วย
“เราไปกันตอนนี้เลยดีกว่า” เขากล่าวระหว่างดูนาฬิกาอย่างกังวล
ฐิตารีย์ไม่กล้าค้าน ทั้งใจอยากให้ฝนขาดเม็ดก่อนค่อยเดินทาง แต่ในเมื่อเธอเป็นผู้ตามย่อมต้องแล้วแต่ผู้นำ
“อะไรที่คิดว่าไม่จำเป็นก็ทิ้งไว้ในรถนี่” เขาบอกระหว่างเหลือบมองไปยังสัมภาระของอีกฝ่าย
มีหรือที่เจ้าตัวจะสะทกสะท้าน ก็ของใช้จำเป็นทั้งนั้นนี่นา... เธอได้แต่เถียงข้างๆ คูๆ อยู่ในใจ
ภูมิรพีส่งถุงพลาสติกใบยาวให้สวมทับถุงเท้าทั้งสองข้าง ตามด้วยเสื้อกันฝนที่นาทีนี้กลับดูเหมือนไม่ได้ช่วยสิ่งใดได้มากนัก ยังโชคดีที่วันนี้เธอใช้บู๊ทเตี้ยเพื่อทำงานในไร่จึงพร้อมลุยกับทุกสถานการณ์
ภายนอกชุ่มฉ่ำด้วยหยาดฝน ภูมิรพีส่งไม้ไผ่ลำยาวให้เธอเพื่อช่วยค้ำยันก่อนสวมหมวกสานปีกกว้างให้อีกใบ ส่วนตัวเขามีทั้งเป้หลังใบใหญ่ เต็นท์และไฟฉายดวงมหึมาอยู่พร้อมสรรพ
และแล้ว...การเดินทางที่เต็มไปด้วยความระมัดระวังจึงได้เริ่มต้นขึ้น ขณะฟ้าที่อุ้มฝนยังไม่มีทีท่าจะอ่อนกำลัง เช่นเดียวกับแรงลมที่พัดกระหน่ำพาให้ไม้น้อยใหญ่เริงระบำมิได้หยุด
“ไหวมั้ยคุณ” เป็นครั้งแรกภูมิรพีหันมาถามเมื่อเดินมาร่วมกิโลครึ่ง
“ค่ะ” กัดฟันตอบ ทั้งที่ขาอ่อนล้าอย่างที่สุด ถึงเคยช่วยงานในไร่ ให้อาหารสัตว์เลี้ยง หรือกระทั่งช่วยทำขนมเพื่อส่งขายก็ยังไม่รู้สึกอ่อนแรงเท่าตอนนี้ เพราะต้องเจอกับดินลูกลังซึ่งกลายเป็นโคลนเลน
ที่สำคัญคือกระเป๋าสะพายกลับเป็นตัวถ่วงที่แทบอยากทิ้งให้รู้แล้วรู้รอด ครั้นจะเอ่ยปากบ่นก็เกรงจะโดนตำหนิ เพราะเขาเตือนเธอแล้ว แต่ขึ้นชื่อว่าฐิตารีย์ มีหรือจะยอมฟัง
เสียงฟ้ายังคำราม ก่อนจะตามด้วยเสียงฟ้าผ่าอย่างกึกก้องจนใจสั่นระริกกลัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เส้นทางคดเคี้ยวมีเพียงเธอและเขาที่ยังคงก้าวต่อไปไม่หยุดยั้ง
“ข้างหน้ามีจุดชมวิว ที่นั่นใช้กางเต็นท์และพักแรมคืนนี้ได้” เขาเอ่ยออกมาอีกครั้ง
“แต่…คุณว่า เราจะไปที่บ้านนั่น” เธอตกใจจริงๆ ไม่คิดว่าเขาจะเปลี่ยนแผนเร็วขนาดนี้
“คุณเดินต่อไม่ไหวแน่ หากทางเรียบก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ทางขึ้นเขาแล้วยิ่งต้องมาเจอฝน”
ภูมิรพีพูดเช่นนั้น เพราะเห็นอยู่ว่าเธอหมดแรงแต่ยังปากแข็ง ที่น่าหนักใจยิ่งกว่าคือความมืดที่เริ่มกล้ำกลายเข้ามารอบด้าน
“เชื่อผม เราพักที่นั่นก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยไปที่บ้านนั่น”
จุดชมวิวที่มาถึงไม่ต่างกับลานร้าง มีเพียงศาลาเล็กๆ โดดเด่นอยู่เท่านั้น ทว่ายามนี้ฐิตารีย์ยอมรับจริงๆ ว่ากลัวกับบรรยากาศรอบข้างอย่างบอกไม่ถูก
ภูมิรพีดูเหมือนจะเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่าย เขาไม่เพียงเร่งกางเต็นท์กลางศาลาที่เทปูนยกพื้นสูง แต่ยังลงมือประกอบอาหารอย่างเร่งด่วนอีกด้วย
เธอแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองที่เขามีทั้งฟืนแห้งๆ และเตาถ่านใบเล็กอยู่ใต้ที่นั่งของศาลาหลังนี้ด้วย
“ผมกับเพื่อนๆ มาตั้งแคมป์ที่นี่กันบ่อยๆ” อธิบายเรื่อยๆ
“ปลัดกับผม แล้วก็ณัฐพากย์” เขากล่าวพร้อมรอยยิ้ม ความสุบอาบอยู่ทั้งใบหน้า
“คุณยังไม่รู้จักณัฐพากย์สินะ เอาไว้มีโอกาสผมจะแนะนำให้รู้จัก”
ฝนซาแล้วก็จริง แต่ที่ตามมากลับเป็นสายลมแรงซึ่งทำให้จุดไฟแทบไม่ติด และเธอก็รู้สึกหนาวจับใจ
“คุณเข้าไปนั่งในเต็นท์ก่อนดีกว่า เดี๋ยวผมทำเสร็จจะไปเรียกคุณเอง”
ดูเหมือนเธอจะละล้าละลังด้วยความเกรงใจ
“ผมเปิดมือถือแล้ว คุณจะโทรฯ บอกทางบ้านก็ได้เลยนะครับ”
ครั้งนี้เธอปฏิบัติตามอย่างไม่มีข้อแม้ ภายในเต็นท์อบอุ่นอย่างประหลาด ตะเกียงจิ๋วที่ใช้แบตเตอร์รี่ส่องแสงสีนวลอ่อนๆ ที่สำคัญยังมีผ้าขนหนูผืนเล็กเนื้อนุ่มใหม่เอี่ยมวางอยู่ด้วย
ฐิตารีย์คิดอยู่นานว่าควรโทรฯ บอกใคร ระหว่างอาสาว บิดา หรือคุณปู่ แต่ในที่สุดก็ต่อโทรศัพท์ถึงคุณปู่ ตามด้วยกลับออกมายื่นโทรศัพท์ให้กับภูมิรพี
“คุณปู่ขอคุยกับคุณค่ะ”
เมื่อกลับเข้ามาในเต็นท์อีกครั้งจึงถือโอกาสปล่อยหางเปียออกมาเช็ด ตามด้วยเปิดกระเป๋าสะพายใบใหญ่ซึ่งด้านในเต็มไปด้วยของใช้ส่วนตัว มีกระทั่งเสื้อไหมพรมเนื้อบาง ผ้าพันคอ กระดาษทิชชูแบบเปียก แห้ง รวมทั้งเครื่องสำอางครบชุด ไม่เว้นแม้แต่น้ำหอม
“จะทานได้แล้วนะครับ”
เสียงตะโกนจากด้านนอกทำให้เธอออกมาอย่างรวดเร็ว
ภูมิรพีมองหญิงสาวตรงหน้าเพียงแวบเดียวก็จริง แต่น่าแปลกที่เขากลับรู้สึกบางอย่างขึ้นในใจ เพียงเธอปล่อยผมก็กลับเป็นอีกคนได้ขนาดนี้เชียวหรือ ซ้ำเสื้อไหมพรมสีเขียวตองตัวบางก็ขับใบหน้าให้ดูงดงามอย่างประหลาด
ภายใต้แสงจากไฟฉายเพียงดวงเดียวนั้น ฐิตารีย์ได้แต่มองอีกฝ่ายง่วนอยู่กับหม้อใบเล็กซึ่งด้านในบะหมี่สำเร็จรูปเดือดปุดๆ ส่งกลิ่นหอมฟุ้งเรียกน้ำย่อยขึ้นมากะทันหัน
“พอแล้วมั้งคะ เดี๋ยวเส้นเละ หมดอร่อยกันพอดี”
ดูเหมือนจะเป็นคำพูดที่เขานึกไม่ถึง รอยยิ้มจางๆ จึงผุดขึ้นบนริมฝีปากของชายหนุ่มแทบจะทันที
“เราไม่ได้ต้องการความอร่อย เราต้องการความอิ่ม เพราะฉะนั้นยิ่งอืดก็ยิ่งดี”
ฐิตารีย์ได้แต่เบ้หน้า ไม่อร่อยแล้วจะกินไปทำไม หมอนี่กวนอารมณ์ชมัด
“อ๊าว…งั้นตาทานก่อนนะคะ เดี๋ยวพออืดเมื่อไหร่ คุณค่อยทานดีมั้ยคะ” มีหรือที่เธอจะยอมแพ้ง่ายๆ
ครั้งนี้ชายหนุ่มกลับหัวเราะอยู่ในลำคอ
“งั้นคุณก็ทานก่อน” เขาบอกระหว่างยกหม้อร้อนจี๋ขึ้นมาตั้งบนม้านั่งอย่างไม่มีข้อแม้ใดๆ อีก
“อ้าว! แล้วคุณจะไปไหน” เธอร้องเสียงหลงเมื่ออีกฝ่ายทำท่าเดินออกไปไกลจากศาลาพร้อมไฟฉายอันจิ๋วซึ่งพกติดตัว
“ห้องน้ำครับ”
เธอหูผึ่งทันที
“ตรงนี้มีห้องน้ำด้วยเหรอคะ” ยิ้มออกมาอย่างดีใจ
“ไม่มีหรอกครับ”
คำตอบกลับทำให้ผู้รับฟังถึงกับหน้าสลด ในเมื่อห้องน้ำสำคัญที่สุดสำหรับเธอ หากไม่มีแล้วเธอจะทำอย่างไร
“ผมออกไปตรงนี้เอง คุณไม่ต้องกลัว”
ทว่าแม้เขาจะกลับมาแล้ว แต่เธอยังไม่ยอมแตะต้องอาหาร
“ทำไมคุณยังไม่ทาน”
ฐิตารีย์ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ
“ก็…ไม่มีห้องน้ำ” น้ำเสียงแผ่วเบา ไม่กล้าสบตาอีกฝ่าย
ภูมิรพีถึงบางอ้อ ครั้นจะหัวเราะก็เกรงไม่สมควร จึงได้แต่วางหน้าเคร่ง
“ทานเถอะนะครับ เรื่องอื่นเอาไว้แก้กันทีหลัง”
เห็นได้ชัดว่าเธอไม่เห็นด้วย
“หากคุณไม่ทาน คืนนี้ต้องหิวแน่ๆ อีกอย่างพรุ่งนี้เรายังต้องเดินกันอีกไกล” พยายามหว่านล้อม
“ก็ทำไม คุณถึงไม่ให้รถมารับเราจากด้านผาห่มหมอกล่ะคะ” ถามอย่างสงสัย
“เพราะทางนั่นต้องข้ามสะพานที่ถูกน้ำป่าซัดขาดไปนานแล้ว จนบัดนี้ก็ยังไม่ได้ซ่อมน่ะสิครับ”
เป็นคำตอบที่เธอคาดไม่ถึง แสดงว่าเธอถูกตัดขาดจากโลกภายนอกจริงๆ หรือนี่
ภูมิรพีตัดปัญหาโดยตักแบ่งลงในแก้วกระดาษพร้อมยัดเยียดจนถึงมือ
ภาพที่หญิงสาวตรงหน้าตักบะหมี่สำเร็จรูปเข้าปากอย่างจำยอมจึงทำให้ภูมิรพีอดไม่ได้ที่จะอมยิ้ม
“คุณไม่เคยเข้าป่าเลยสินะ” เขาชวนคุยระหว่างรับประทานอย่างเอร็ดอร่อย
ฐิตารีย์ได้แต่ส่ายหน้า
“ป่า…มีอะไรที่น่าค้นหา เช่นเดียวกับขุนเขาที่เมื่อเรามองครั้งใดก็สุขใจเมื่อนั้น แต่ต้องไม่ใช่เขาหัวโล้นด้วยนะครับ” ยังอุตสาห์กล่าวติดตลก
เธอมองผู้พูดที่น้ำเสียงบ่งบอกถึงความสุขอย่างเต็มเปี่ยม แต่สำหรับเธอแล้วในยามนี้…ขุนเขาและเงาไม้ช่างน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก
“ป่านนี้…แฟนคุณคงเป็นห่วงแย่ จะไม่โทรฯ ไปบอกเขาหน่อยหรือครับ”
คำพูดนั้นดูจะหยุดความรู้สึกบางอย่างที่ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบภายในหัวใจเธอได้แทบจะทันที
“ไม่จำเป็นหรอกค่ะ เพราะตากับเขา เราไม่ได้เป็นอะไรกัน” บอกตรงๆ อย่างไม่คิดปิดบัง
เป็นคำพูดที่เขาต้องเลิกคิ้วอย่างนึกไม่ถึง
“แล้วคุณล่ะคะ โทรฯ ไปบอกคุณสริตาหรือยังคะ” ครั้งนี้เธอจ้องชายหนุ่มตรงหน้าพร้อมรอยยิ้มจางๆที่ปรากฏบนริมฝีปากรูปกระจับ
ภูมิรพีไม่รู้เลยว่าดวงตาทั้งคู่ที่ส่องประการระยิบระยับนั่น แท้จริงแล้วกำลังคิดสิ่งใดกันแน่
“หากผมจะบอกว่า ผมกับนิต้าเป็นกรณีเดียวกันกับคุณล่ะครับ”
เชอะ! หมอนี่ร้ายไม่เบา ปฏิเสธออกมาได้ แถมตัวเองยังเพิ่งหอบนมกับผ้าอ้อมเข้าไปที่บ้านนั่น คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจคงเป็นอย่างนี้นี่เอง นี่น่ะหรือคนที่คุณปู่หลงชื่นชม
วูบหนึ่งที่เธอนึกถึงคำพูดของคุณปู่เมื่อครู่
“เราอย่าทำตัวให้เขาเอือมซะก่อนล่ะ คุณภูเขาจะได้ไม่ว่าเอาได้ว่าหลานปู่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ”
เจ้าตัวได้แต่ปั้นปึ่งกับคำปรามาศของผู้สูงอายุ วูบหนึ่งที่เธออยากรู้ว่าเมื่อครู่ทั้งสองคุยอะไรกัน แต่กลับไม่กล้าถามออกมา
“แต่กรณีคุณ คุณยองฮวาบอกว่าคุณเป็นแฟนเขา” ดูเหมือนภูมิรพียังมีอารมณ์ต่อล้อต่อเถียง
“ฮึ...เรื่องไร้สาระนั่น มันเป็นอดีตไปแล้วล่ะค่ะ”
เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ต้องการพูดถึงอดีตคนรักอีกต่อไป
“จริงสิคะ ได้ยินว่าตอนที่คุณปะทะกับพวกมอดไม้ คุณเจอเสือในป่าด้วย”
ชายหนุ่มมองอีกฝ่ายอย่างครุ่นคิด
“เขาว่าเข้าป่าอย่าพูดถึงเสือ โดยเฉพาะเวลากลางคืนอย่างเวลานี้”
คำพูดของเขากลับทำให้เธอหัวเราะออกมาอย่างขบขัน
“เสือน่ะไม่ออกมาง่ายๆ หรอกค่ะ คุณเองก็มาที่นี่บ่อยๆ ไม่ใช่หรือคะ”
ทั้งน้ำเสียงและสายตารู้ทันของเธอทำให้เขาอยากรู้บางอย่างขึ้นทันใด บางทีเธอผู้นี้อาจให้คำตอบบางอย่างกับเขาก็เป็นได้
“ผมไม่ได้หมายถึง…เสืออย่างปกติ ธรรมดา ที่เราเห็นอยู่ทั่วไป”
“คุณกำลังพูดถึงอะไรกันแน่” เธอถามราวกระซิบ
“ผมกำลังพูดถึงเสือสมิง คนที่กลายร่างเป็นเสือได้ด้วยอาคมน่ะสิครับ”
ความเงียบเพียงชั่วขณะทำให้ภูมิรพีไม่รู้เลยว่าหญิงสาวตรงหน้ากำลังคิดสิ่งใด
“คุณไปเอาความคิดแบบนี้มาจากไหนกันคะ” ถามยิ้มๆ ที่สำคัญเธอไม่คิดมาก่อนว่าจะได้ยินเรื่องเช่นนี้จากปากเขา วูบหนึ่งที่เหมือนนึกบางอย่างขึ้นมาได้
“อย่าบอกนะคะ ว่าคุณกับคุณปู่เห็นพ้องกันว่าเสือสมิงมีอยู่จริงในปัจจุบันนี้”
เธอเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้ แท้จริงที่ทั้งคู่สนิทสนมเพราะคุยกันถูกคอนี่เอง
“แปลว่าคุณไม่เชื่อ”
เป็นอีกครั้งที่รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากเธอ หมอนี่ได้ข่าวว่าจบเศรษฐศาสตร์ แต่ทำไมมาเชื่อเรื่องไร้สาระอย่างนี้ได้นะ
“มันเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้มากกว่าค่ะ คุณก็เชื่อตามคุณปู่งั้นหรือคะ” ยังมองเขาด้วยสายตามีเลศนัย
“ผมเองก็…ไม่แน่ใจเหมือนกัน” แบ่งรับแบ่งสู้
“แต่ผมเชื่อที่คุณปู่ท่านพูดนะ สิ่งใดที่ไม่เห็นก็ใช่ว่าจะไม่มี” หากเขาไม่ประสบมากับตัวเขาก็คงไม่พูดเช่นนี้แน่
“ทำไมคุณถึง คิดว่าเรื่องนี้ไร้สาระ” เขากลับมาเรื่องเก่า
“อาจเป็นเพราะตั้งแต่เด็กๆ ก็เห็นคุณปู่เป็นอย่างนั้นมาตลอดล่ะมั้งคะ”
“เป็นยังไงหรือครับ”
ทั้งแววตาและใบหน้าฉายความสุขออกมาอย่างเด่นชัด
“เป็นคนใจเย็น เป็นคนธรรมะ ธรรมโม สุดท้ายคือเป็นกำลังใจให้ตามาตั้งแต่เด็ก ตาก็เลยไม่เคยมองท่านว่าเป็นเซียนพระชื่อดัง หรือจอมขมังเวทย์ อย่างที่คนอื่นเขาพูดกันน่ะสิคะ”
วูบหนึ่งที่เธอนึกถึงภาพวัยเยาว์ที่มักได้แต่แอบดูคุณปู่อยู่หลังบานประตูหน้าห้องพระ ระหว่างผู้สูงอายุบริกรรมคาถาอยู่ด้านใน
ผู้เคียงข้างคือลุงจ่าที่ครั้งนั้นยังหนุ่มแน่นเต็มไปด้วยมัดกล้ามที่น่ายำเกรง เหนือสิ่งอื่นใดคือรอยสักยัตต์รูปเสือเหนือแผ่นหลัง เธอเพิ่งนึกได้เดี๋ยวนี้เอง น่าแปลกทำไมถึงลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท
ฐิตารีย์ไม่ได้อุปาทานไปเองแน่ๆ เพราะ จู่ๆ สายลมที่เงียบสงบเมื่อครู่ กลับกรูเกรียวขึ้นมาใหม่ ไกลออกไปยังพอมองเห็นคือไม้ใหญ่ที่ลำต้นเก้งก้าง ทว่ายามนี้กลับราวอสูรกายที่กำลังขยับเพื่อหาเหยื่อไม่มีผิด
“คุณเข้าไปนั่งในเต๊นท์ก่อนก็ได้ เดี๋ยวผมจะจัดการเรื่องห้องน้ำให้ก่อน”
ทั้งที่เธอไม่ต้องการทำเช่นนั้นแต่กลับไม่คิดมีข้อแม้ใดๆ อีกทั้งบรรยกาศก็พาให้รู้สึกหวาดผวาอย่างบอกไม่ถูก
นานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ แต่ภาพที่ปรากฏตรงหน้าเธอคือหญิงสาวในชุดตะเบงมานที่ในมือถือดาบไว้พร้อมสรรพก่อนจะเงื้อดาบด้ามคมกริบตระหวัดลงยังร่างของชายฉกรรจ์ ฐิตารีย์ซึ่งแอบดูอยู่หลังบานหน้าต่างถึงกับหวีดร้องออกมาอย่างไม่อาจเก็บกลั้น เพราะละอองเลือดที่กระเซ็นมาโดนใบหน้าพาให้กลิ่นคาวคละคลุ้งไปทั่ว
“คุณ...เป็นอะไรหรือเปล่า”
น้ำเสียงข้างกายหยุดวิกฤตอย่างฉับพลัน
ฐิตารีย์ได้แต่เอามือแตะยังใบหน้า เหมือนว่ายังตกอยู่ในภวังค์ เธอฝันไปหรือนี่...
มันช่างเหมือนจริงราวอยู่ในเหตุการณ์นั้นไม่มีผิด ไม่น่าเชื่อว่ายามนี้...ยังได้กลิ่นคาวเลือดนั่น
“ฝันร้ายอย่างนั้นหรือครับ” เขาถามอย่างเป็นห่วง
รอยยิ้มเจื่อนๆ ปรากฎขึ้นยังริมฝีปากบางนั่นแวบหนึ่ง
“กี่ทุ่มแล้วคะ”
“สามทุ่มครับ”
ช่างน่าแปลก ท่ามกลางความอบอุ่นภายในเต๊นท์ กลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายๆ ดอกไม้ป่า จากโอ เดอ ทอยเล็ตต์ที่เธอใช้ทำให้ความรู้สึกหนึ่งเกิดกับเขาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว อีกทั้งดวงหน้าของบุคคลตรงข้ามในยามนี้ก็ราวลูกกวางน้อยระวังไพรไม่มีผิด
ดวงตาวาวระยับที่ตื่นตระหนก กับริมฝีปากอันอวบอิ่มช่างยากนักที่เขาจะทำใจไม่ให้คิดเลยเถิดไปไกลเกินกว่านี้
นี่เขาเป็นอะไรไป ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ กับผู้หญิงเพียงคนเดียวที่ไม่คิดว่าถูกชะตาเธอด้วยซ้ำ แต่กลับทำให้เขามีความรู้สึกได้ถึงเพีบงนี้เชียวหรือ
“อยากเข้าห้องน้ำมั้ยครับ” เขากล่าวทำลายความเงียบ
เธอได้แต่พยักหน้ารับ
อากาศภายนอกปลอดโปร่งอย่างบอกไม่ถูก สายลมพัดแรงจนสะท้าน แม้เธอจะเดินตามเขามาติดๆ แต่ยังรู้สึกไม่ปลอดภัยอยู่ดี
ห้องน้ำที่เขาว่ามีแต่เถาวัลย์และวัชพืชที่ขึ้นปกคลุมจนไม่เห็นสภาพเดิม แต่ที่แน่ๆ มันน่าหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูก
“ขอโทษนะคะ ตา...ไม่เข้าแล้วล่ะค่ะ”
ภูมิรพีรู้สึกสงสารผู้ที่เคียงข้างขึ้นมาฉับพลัน
“เข้าไปดูด้านในก่อน แล้วคุณค่อยตัดสินใจ”
เขาไม่รอฟังเสียงเธอ เพราะก้าวเข้าไปด้านในพร้อมไฟฉายอันใหญ่ทันที ฐิตารีย์จึงจำใจก้าวตาม
ทั้งห้องเล็กๆ ที่ปราศจากประตูเต็มไปด้วยใบไม้แห้ง ที่เยียบลงไปครั้งใดก็เกิดเสียงกรอบแกรบตามมาเมื่อนั้น แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่ากลับเป็นกระจกเก่าคร่ำคร่าซึ่งเหลือเพียงครึ่งบาน ทว่ายามเมื่อสะท้อนแสงไฟกลับทำให้เธอขวัญผวาได้อย่างบอกไม่ถูก ประกอบกับสุขภัณฑ์แบบบ้านๆ ที่จำสภาพเดิมแทบไม่ได้ก็ยิ่งเพิ่มดีกรีความหวาดผวาให้อีกหลายเท่า
“คุณไม่ต้องกลัว ผมรออยู่หน้าห้องนี่ ทำธุระตามสบายเลยนะครับ”
พูดมาได้ ก็สภาพอีกทั้งบรรยากาศที่สัมผัสอยู่นี่ มันไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกอย่างที่เขาว่ามาได้เลยนี่นา
แต่นาทีนั้นเหมือนเธอจะตัดใจ เพราะปวดจนทนไม่ไหว เมื่อเขาก้าวออกไปโดยยื่นไฟฉายอันเล็กให้
เธอจึงจัดการทำธุระอย่างรีบเร่ง พยายามไม่สนใจกระจกบานนั้นแม้แต่น้อย
ไม่มีอะไรต้องกลัวหรอกน่าฐิตารีย์ เธอพยายามปลอบใจตัวเอง ทั้งที่ใจเต้นไม่เป็นส่ำ
ระหว่างกำลังจะก้าวออกจากห้องนั้นเอง เสียงหนึ่งได้ดังแทรกกะทันหัน และเพราะเหตุใดไม่อาจรู้ได้ ที่ทำให้เธอหันไปมองกระจกบานนั้นทั้งที่ห้ามใจไว้แล้ว
ภาพที่สะท้อนไม่ใช่ตัวเธอแม้แต่น้อย ใบหน้าขาวโพลนของหญิงสาวที่ผมยาวเกือบครึ่งหลัง ประกอบกับดวงตาแดงก่ำของอีกฝ่าย จึงเป็นสิ่งสุดท้ายที่ฐิตารีย์ได้รับรู้
ในเวลาเดียวกัน ณ ภูมิรพี ชาเล่ต์ ฮิลล์
“นายแม่ยังไม่นอนอีกหรือฮะ” ข้าวปุ้นที่เข้ามาเมียงๆ มองๆ ถามอย่างเป็นห่วง
“เราจะไปนอนก็ไปเถอะ”
“นายแม่ไม่ต้องห่วงหรอกนะฮะ นายต้องปลอดภัยแน่” ที่ไม่ได้พูดออกมาก็คือหญิงสาวที่เจ้านายไปติดอยู่ด้วยนั่นน่ากลัวกว่าเป็นไหนๆ
“พรุ่งนี้ ผมจะไปเกาะติดสถานการณ์ที่เกิดเหตุแต่เช้าตรู่ ได้ข่าวยังไงจะโทรฯ มาเรียนนายแม่นะฮะ”
สายฝนที่ยังคงโปรยละอองทำให้แสงดาวหวั่นใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เกรงเหลือเกินว่า ‘ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเดิม’ แต่หากพรหมได้ลิขิตไว้แล้ว เธอเองก็คงต้องยอมรับในชะตาที่กำหนดมิใช่หรือ
ทว่าสิ่งที่ก่อกวนจิตใจกลับเป็นเรื่องลึกกว่านั้น...คำปรารภของธนวัต ซึ่งได้กล่าวปลับทุกข์กับเธอเมื่อไม่นานนั่นต่างหาก
“ไม่รู้ว่าเป็นเพราะยัยตามีปมอะไรอยู่ในใจหรือเปล่า ที่ทำให้…มองความรักเป็นเรื่องฉาบฉวยอย่างวันนี้”
ขออย่าให้บุตรชายต้องพบกับเรื่องที่เธอหวาดหวั่นอยู่นี่เลย แสงดาวได้แต่ภาวนาอยู่ในใจ
.........................................................................................................
สวัสดีค่ะ มาพบกับตอนที่11 แล้วนะคะ
ขอขอบคุณเพื่อนๆ ทุกๆ ท่านค่ะ ที่ยังคงติดตามผลงานกันอยู่ และที่กรุณาฝากเมนท์ไว้เพื่อเป้นกำลังใจด้วยนะคะ
ขอแจ้งข่าวนิดหนึ่งนะคะ
ยุพากรมีผลงานใหม่ซึ่งลงในนามปากกา 'ดารัณ' เรื่อง หนึ่งในรัก ลงตอนแรกให้ได้อ่านกันแล้วนะคะ หวังว่าเพื่อนๆ จะชื่นชอบ และติดตามกันเช่นเคยนะคะ
ขอฝากผลงานที่จะออก เร็วๆ นี้กับสำนักพิมพ์ดอกหญ้า 2000ด้วยค่ะ
เรื่อง ' บูงาฆารัก ' ใช้ชื่อผู้เขียน ' ดารัณ ' รบกวนเพื่อนๆ ช่วยติดตามกันด้วยนะคะ
แล้วพบกันในตอนต่อไปนะค่ะ
ปล. พบกับ การเดินทางเส้นทางสายภูผาเรียง บ้านน้ำเพียงดินได้ที่บล็อกของผู้เขียนนะคะ http://yupakorn.exteen.com
ด้วยรักจากใจค่ะ
ยุพากร , ดารัณ
นางเอก และพระเอกของเรา ไปติดอยู่กลางป่าเพราะหินถล่มปิดทางอออกค่ะ
ขอให้เพื่อนๆ สนุกกับตอนที่ 11 นี้นะคะ
วันนี้เป็นวันอะไรกันนะ ทำไมเธอต้องมาเจอเหตุการณ์ย่ำแย่ขนาดนี้ด้วย ฐิตารีย์ได้แต่คิดโดยไม่กล้าปริปาก เพราะเห็นอยู่ว่าผู้ที่นั่งเคียงข้างหงุดหงิดขนาดไหน
ทว่ายามชะตาตกเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดซ้ำอีกจนได้ เมื่อล้อข้างหนึ่งกลับติดหล่มอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
“เราคงต้องเดินกันแล้วล่ะครับ” ในที่สุดเขาก็เอ่ยออกมา
“คงต้องกลับไปพักที่บ้านนั่นก่อน แล้วค่อยว่ากันอีกที”
ถึงเขาไม่บอกเธอก็รู้ ที่สำคัญกระทั่งขณะนี้สายฟ้าและม่านฝนก็ยังคงไม่ปราณีใคร
“คงต้องรอให้ฝนซา ฟ้าหายร้องเสียก่อน แล้วค่อยโทรฯ ไปหาคนมาช่วยอีกที” ที่เขาไม่ได้พูดก็คือหากใช้โทรศัพท์ขณะนี้กลัวฟ้าผ่าจะตามมานั่นต่างหาก
ภูมิรพีนึกว่าจะได้ยินคำตีโพยตีพายหรือเสียงบ่นแต่เปล่าเลย เพราะเธอกลับหัวเราะอย่างที่เขาคิดไม่ถึง
“น่าสนุกเหมือนกันนะคะ”
เขาไม่มีอารมณ์ร่วม เพราะใบหน้าปราศจากรอยยิ้มระหว่างเอี้ยวตัวไปรื้อเป้ยังเบาะหลัง
เธอเพิ่งได้เห็นเดี๋ยวนี้เองว่าเขามีอุปกรณ์เดินป่าพร้อมสรรพ กระทั่งเต็นท์แค้มปิ้งก็ยังมีอีกด้วย
“เราไปกันตอนนี้เลยดีกว่า” เขากล่าวระหว่างดูนาฬิกาอย่างกังวล
ฐิตารีย์ไม่กล้าค้าน ทั้งใจอยากให้ฝนขาดเม็ดก่อนค่อยเดินทาง แต่ในเมื่อเธอเป็นผู้ตามย่อมต้องแล้วแต่ผู้นำ
“อะไรที่คิดว่าไม่จำเป็นก็ทิ้งไว้ในรถนี่” เขาบอกระหว่างเหลือบมองไปยังสัมภาระของอีกฝ่าย
มีหรือที่เจ้าตัวจะสะทกสะท้าน ก็ของใช้จำเป็นทั้งนั้นนี่นา... เธอได้แต่เถียงข้างๆ คูๆ อยู่ในใจ
ภูมิรพีส่งถุงพลาสติกใบยาวให้สวมทับถุงเท้าทั้งสองข้าง ตามด้วยเสื้อกันฝนที่นาทีนี้กลับดูเหมือนไม่ได้ช่วยสิ่งใดได้มากนัก ยังโชคดีที่วันนี้เธอใช้บู๊ทเตี้ยเพื่อทำงานในไร่จึงพร้อมลุยกับทุกสถานการณ์
ภายนอกชุ่มฉ่ำด้วยหยาดฝน ภูมิรพีส่งไม้ไผ่ลำยาวให้เธอเพื่อช่วยค้ำยันก่อนสวมหมวกสานปีกกว้างให้อีกใบ ส่วนตัวเขามีทั้งเป้หลังใบใหญ่ เต็นท์และไฟฉายดวงมหึมาอยู่พร้อมสรรพ
และแล้ว...การเดินทางที่เต็มไปด้วยความระมัดระวังจึงได้เริ่มต้นขึ้น ขณะฟ้าที่อุ้มฝนยังไม่มีทีท่าจะอ่อนกำลัง เช่นเดียวกับแรงลมที่พัดกระหน่ำพาให้ไม้น้อยใหญ่เริงระบำมิได้หยุด
“ไหวมั้ยคุณ” เป็นครั้งแรกภูมิรพีหันมาถามเมื่อเดินมาร่วมกิโลครึ่ง
“ค่ะ” กัดฟันตอบ ทั้งที่ขาอ่อนล้าอย่างที่สุด ถึงเคยช่วยงานในไร่ ให้อาหารสัตว์เลี้ยง หรือกระทั่งช่วยทำขนมเพื่อส่งขายก็ยังไม่รู้สึกอ่อนแรงเท่าตอนนี้ เพราะต้องเจอกับดินลูกลังซึ่งกลายเป็นโคลนเลน
ที่สำคัญคือกระเป๋าสะพายกลับเป็นตัวถ่วงที่แทบอยากทิ้งให้รู้แล้วรู้รอด ครั้นจะเอ่ยปากบ่นก็เกรงจะโดนตำหนิ เพราะเขาเตือนเธอแล้ว แต่ขึ้นชื่อว่าฐิตารีย์ มีหรือจะยอมฟัง
เสียงฟ้ายังคำราม ก่อนจะตามด้วยเสียงฟ้าผ่าอย่างกึกก้องจนใจสั่นระริกกลัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เส้นทางคดเคี้ยวมีเพียงเธอและเขาที่ยังคงก้าวต่อไปไม่หยุดยั้ง
“ข้างหน้ามีจุดชมวิว ที่นั่นใช้กางเต็นท์และพักแรมคืนนี้ได้” เขาเอ่ยออกมาอีกครั้ง
“แต่…คุณว่า เราจะไปที่บ้านนั่น” เธอตกใจจริงๆ ไม่คิดว่าเขาจะเปลี่ยนแผนเร็วขนาดนี้
“คุณเดินต่อไม่ไหวแน่ หากทางเรียบก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ทางขึ้นเขาแล้วยิ่งต้องมาเจอฝน”
ภูมิรพีพูดเช่นนั้น เพราะเห็นอยู่ว่าเธอหมดแรงแต่ยังปากแข็ง ที่น่าหนักใจยิ่งกว่าคือความมืดที่เริ่มกล้ำกลายเข้ามารอบด้าน
“เชื่อผม เราพักที่นั่นก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยไปที่บ้านนั่น”
จุดชมวิวที่มาถึงไม่ต่างกับลานร้าง มีเพียงศาลาเล็กๆ โดดเด่นอยู่เท่านั้น ทว่ายามนี้ฐิตารีย์ยอมรับจริงๆ ว่ากลัวกับบรรยากาศรอบข้างอย่างบอกไม่ถูก
ภูมิรพีดูเหมือนจะเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่าย เขาไม่เพียงเร่งกางเต็นท์กลางศาลาที่เทปูนยกพื้นสูง แต่ยังลงมือประกอบอาหารอย่างเร่งด่วนอีกด้วย
เธอแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองที่เขามีทั้งฟืนแห้งๆ และเตาถ่านใบเล็กอยู่ใต้ที่นั่งของศาลาหลังนี้ด้วย
“ผมกับเพื่อนๆ มาตั้งแคมป์ที่นี่กันบ่อยๆ” อธิบายเรื่อยๆ
“ปลัดกับผม แล้วก็ณัฐพากย์” เขากล่าวพร้อมรอยยิ้ม ความสุบอาบอยู่ทั้งใบหน้า
“คุณยังไม่รู้จักณัฐพากย์สินะ เอาไว้มีโอกาสผมจะแนะนำให้รู้จัก”
ฝนซาแล้วก็จริง แต่ที่ตามมากลับเป็นสายลมแรงซึ่งทำให้จุดไฟแทบไม่ติด และเธอก็รู้สึกหนาวจับใจ
“คุณเข้าไปนั่งในเต็นท์ก่อนดีกว่า เดี๋ยวผมทำเสร็จจะไปเรียกคุณเอง”
ดูเหมือนเธอจะละล้าละลังด้วยความเกรงใจ
“ผมเปิดมือถือแล้ว คุณจะโทรฯ บอกทางบ้านก็ได้เลยนะครับ”
ครั้งนี้เธอปฏิบัติตามอย่างไม่มีข้อแม้ ภายในเต็นท์อบอุ่นอย่างประหลาด ตะเกียงจิ๋วที่ใช้แบตเตอร์รี่ส่องแสงสีนวลอ่อนๆ ที่สำคัญยังมีผ้าขนหนูผืนเล็กเนื้อนุ่มใหม่เอี่ยมวางอยู่ด้วย
ฐิตารีย์คิดอยู่นานว่าควรโทรฯ บอกใคร ระหว่างอาสาว บิดา หรือคุณปู่ แต่ในที่สุดก็ต่อโทรศัพท์ถึงคุณปู่ ตามด้วยกลับออกมายื่นโทรศัพท์ให้กับภูมิรพี
“คุณปู่ขอคุยกับคุณค่ะ”
เมื่อกลับเข้ามาในเต็นท์อีกครั้งจึงถือโอกาสปล่อยหางเปียออกมาเช็ด ตามด้วยเปิดกระเป๋าสะพายใบใหญ่ซึ่งด้านในเต็มไปด้วยของใช้ส่วนตัว มีกระทั่งเสื้อไหมพรมเนื้อบาง ผ้าพันคอ กระดาษทิชชูแบบเปียก แห้ง รวมทั้งเครื่องสำอางครบชุด ไม่เว้นแม้แต่น้ำหอม
“จะทานได้แล้วนะครับ”
เสียงตะโกนจากด้านนอกทำให้เธอออกมาอย่างรวดเร็ว
ภูมิรพีมองหญิงสาวตรงหน้าเพียงแวบเดียวก็จริง แต่น่าแปลกที่เขากลับรู้สึกบางอย่างขึ้นในใจ เพียงเธอปล่อยผมก็กลับเป็นอีกคนได้ขนาดนี้เชียวหรือ ซ้ำเสื้อไหมพรมสีเขียวตองตัวบางก็ขับใบหน้าให้ดูงดงามอย่างประหลาด
ภายใต้แสงจากไฟฉายเพียงดวงเดียวนั้น ฐิตารีย์ได้แต่มองอีกฝ่ายง่วนอยู่กับหม้อใบเล็กซึ่งด้านในบะหมี่สำเร็จรูปเดือดปุดๆ ส่งกลิ่นหอมฟุ้งเรียกน้ำย่อยขึ้นมากะทันหัน
“พอแล้วมั้งคะ เดี๋ยวเส้นเละ หมดอร่อยกันพอดี”
ดูเหมือนจะเป็นคำพูดที่เขานึกไม่ถึง รอยยิ้มจางๆ จึงผุดขึ้นบนริมฝีปากของชายหนุ่มแทบจะทันที
“เราไม่ได้ต้องการความอร่อย เราต้องการความอิ่ม เพราะฉะนั้นยิ่งอืดก็ยิ่งดี”
ฐิตารีย์ได้แต่เบ้หน้า ไม่อร่อยแล้วจะกินไปทำไม หมอนี่กวนอารมณ์ชมัด
“อ๊าว…งั้นตาทานก่อนนะคะ เดี๋ยวพออืดเมื่อไหร่ คุณค่อยทานดีมั้ยคะ” มีหรือที่เธอจะยอมแพ้ง่ายๆ
ครั้งนี้ชายหนุ่มกลับหัวเราะอยู่ในลำคอ
“งั้นคุณก็ทานก่อน” เขาบอกระหว่างยกหม้อร้อนจี๋ขึ้นมาตั้งบนม้านั่งอย่างไม่มีข้อแม้ใดๆ อีก
“อ้าว! แล้วคุณจะไปไหน” เธอร้องเสียงหลงเมื่ออีกฝ่ายทำท่าเดินออกไปไกลจากศาลาพร้อมไฟฉายอันจิ๋วซึ่งพกติดตัว
“ห้องน้ำครับ”
เธอหูผึ่งทันที
“ตรงนี้มีห้องน้ำด้วยเหรอคะ” ยิ้มออกมาอย่างดีใจ
“ไม่มีหรอกครับ”
คำตอบกลับทำให้ผู้รับฟังถึงกับหน้าสลด ในเมื่อห้องน้ำสำคัญที่สุดสำหรับเธอ หากไม่มีแล้วเธอจะทำอย่างไร
“ผมออกไปตรงนี้เอง คุณไม่ต้องกลัว”
ทว่าแม้เขาจะกลับมาแล้ว แต่เธอยังไม่ยอมแตะต้องอาหาร
“ทำไมคุณยังไม่ทาน”
ฐิตารีย์ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ
“ก็…ไม่มีห้องน้ำ” น้ำเสียงแผ่วเบา ไม่กล้าสบตาอีกฝ่าย
ภูมิรพีถึงบางอ้อ ครั้นจะหัวเราะก็เกรงไม่สมควร จึงได้แต่วางหน้าเคร่ง
“ทานเถอะนะครับ เรื่องอื่นเอาไว้แก้กันทีหลัง”
เห็นได้ชัดว่าเธอไม่เห็นด้วย
“หากคุณไม่ทาน คืนนี้ต้องหิวแน่ๆ อีกอย่างพรุ่งนี้เรายังต้องเดินกันอีกไกล” พยายามหว่านล้อม
“ก็ทำไม คุณถึงไม่ให้รถมารับเราจากด้านผาห่มหมอกล่ะคะ” ถามอย่างสงสัย
“เพราะทางนั่นต้องข้ามสะพานที่ถูกน้ำป่าซัดขาดไปนานแล้ว จนบัดนี้ก็ยังไม่ได้ซ่อมน่ะสิครับ”
เป็นคำตอบที่เธอคาดไม่ถึง แสดงว่าเธอถูกตัดขาดจากโลกภายนอกจริงๆ หรือนี่
ภูมิรพีตัดปัญหาโดยตักแบ่งลงในแก้วกระดาษพร้อมยัดเยียดจนถึงมือ
ภาพที่หญิงสาวตรงหน้าตักบะหมี่สำเร็จรูปเข้าปากอย่างจำยอมจึงทำให้ภูมิรพีอดไม่ได้ที่จะอมยิ้ม
“คุณไม่เคยเข้าป่าเลยสินะ” เขาชวนคุยระหว่างรับประทานอย่างเอร็ดอร่อย
ฐิตารีย์ได้แต่ส่ายหน้า
“ป่า…มีอะไรที่น่าค้นหา เช่นเดียวกับขุนเขาที่เมื่อเรามองครั้งใดก็สุขใจเมื่อนั้น แต่ต้องไม่ใช่เขาหัวโล้นด้วยนะครับ” ยังอุตสาห์กล่าวติดตลก
เธอมองผู้พูดที่น้ำเสียงบ่งบอกถึงความสุขอย่างเต็มเปี่ยม แต่สำหรับเธอแล้วในยามนี้…ขุนเขาและเงาไม้ช่างน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก
“ป่านนี้…แฟนคุณคงเป็นห่วงแย่ จะไม่โทรฯ ไปบอกเขาหน่อยหรือครับ”
คำพูดนั้นดูจะหยุดความรู้สึกบางอย่างที่ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบภายในหัวใจเธอได้แทบจะทันที
“ไม่จำเป็นหรอกค่ะ เพราะตากับเขา เราไม่ได้เป็นอะไรกัน” บอกตรงๆ อย่างไม่คิดปิดบัง
เป็นคำพูดที่เขาต้องเลิกคิ้วอย่างนึกไม่ถึง
“แล้วคุณล่ะคะ โทรฯ ไปบอกคุณสริตาหรือยังคะ” ครั้งนี้เธอจ้องชายหนุ่มตรงหน้าพร้อมรอยยิ้มจางๆที่ปรากฏบนริมฝีปากรูปกระจับ
ภูมิรพีไม่รู้เลยว่าดวงตาทั้งคู่ที่ส่องประการระยิบระยับนั่น แท้จริงแล้วกำลังคิดสิ่งใดกันแน่
“หากผมจะบอกว่า ผมกับนิต้าเป็นกรณีเดียวกันกับคุณล่ะครับ”
เชอะ! หมอนี่ร้ายไม่เบา ปฏิเสธออกมาได้ แถมตัวเองยังเพิ่งหอบนมกับผ้าอ้อมเข้าไปที่บ้านนั่น คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจคงเป็นอย่างนี้นี่เอง นี่น่ะหรือคนที่คุณปู่หลงชื่นชม
วูบหนึ่งที่เธอนึกถึงคำพูดของคุณปู่เมื่อครู่
“เราอย่าทำตัวให้เขาเอือมซะก่อนล่ะ คุณภูเขาจะได้ไม่ว่าเอาได้ว่าหลานปู่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ”
เจ้าตัวได้แต่ปั้นปึ่งกับคำปรามาศของผู้สูงอายุ วูบหนึ่งที่เธออยากรู้ว่าเมื่อครู่ทั้งสองคุยอะไรกัน แต่กลับไม่กล้าถามออกมา
“แต่กรณีคุณ คุณยองฮวาบอกว่าคุณเป็นแฟนเขา” ดูเหมือนภูมิรพียังมีอารมณ์ต่อล้อต่อเถียง
“ฮึ...เรื่องไร้สาระนั่น มันเป็นอดีตไปแล้วล่ะค่ะ”
เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ต้องการพูดถึงอดีตคนรักอีกต่อไป
“จริงสิคะ ได้ยินว่าตอนที่คุณปะทะกับพวกมอดไม้ คุณเจอเสือในป่าด้วย”
ชายหนุ่มมองอีกฝ่ายอย่างครุ่นคิด
“เขาว่าเข้าป่าอย่าพูดถึงเสือ โดยเฉพาะเวลากลางคืนอย่างเวลานี้”
คำพูดของเขากลับทำให้เธอหัวเราะออกมาอย่างขบขัน
“เสือน่ะไม่ออกมาง่ายๆ หรอกค่ะ คุณเองก็มาที่นี่บ่อยๆ ไม่ใช่หรือคะ”
ทั้งน้ำเสียงและสายตารู้ทันของเธอทำให้เขาอยากรู้บางอย่างขึ้นทันใด บางทีเธอผู้นี้อาจให้คำตอบบางอย่างกับเขาก็เป็นได้
“ผมไม่ได้หมายถึง…เสืออย่างปกติ ธรรมดา ที่เราเห็นอยู่ทั่วไป”
“คุณกำลังพูดถึงอะไรกันแน่” เธอถามราวกระซิบ
“ผมกำลังพูดถึงเสือสมิง คนที่กลายร่างเป็นเสือได้ด้วยอาคมน่ะสิครับ”
ความเงียบเพียงชั่วขณะทำให้ภูมิรพีไม่รู้เลยว่าหญิงสาวตรงหน้ากำลังคิดสิ่งใด
“คุณไปเอาความคิดแบบนี้มาจากไหนกันคะ” ถามยิ้มๆ ที่สำคัญเธอไม่คิดมาก่อนว่าจะได้ยินเรื่องเช่นนี้จากปากเขา วูบหนึ่งที่เหมือนนึกบางอย่างขึ้นมาได้
“อย่าบอกนะคะ ว่าคุณกับคุณปู่เห็นพ้องกันว่าเสือสมิงมีอยู่จริงในปัจจุบันนี้”
เธอเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้ แท้จริงที่ทั้งคู่สนิทสนมเพราะคุยกันถูกคอนี่เอง
“แปลว่าคุณไม่เชื่อ”
เป็นอีกครั้งที่รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากเธอ หมอนี่ได้ข่าวว่าจบเศรษฐศาสตร์ แต่ทำไมมาเชื่อเรื่องไร้สาระอย่างนี้ได้นะ
“มันเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้มากกว่าค่ะ คุณก็เชื่อตามคุณปู่งั้นหรือคะ” ยังมองเขาด้วยสายตามีเลศนัย
“ผมเองก็…ไม่แน่ใจเหมือนกัน” แบ่งรับแบ่งสู้
“แต่ผมเชื่อที่คุณปู่ท่านพูดนะ สิ่งใดที่ไม่เห็นก็ใช่ว่าจะไม่มี” หากเขาไม่ประสบมากับตัวเขาก็คงไม่พูดเช่นนี้แน่
“ทำไมคุณถึง คิดว่าเรื่องนี้ไร้สาระ” เขากลับมาเรื่องเก่า
“อาจเป็นเพราะตั้งแต่เด็กๆ ก็เห็นคุณปู่เป็นอย่างนั้นมาตลอดล่ะมั้งคะ”
“เป็นยังไงหรือครับ”
ทั้งแววตาและใบหน้าฉายความสุขออกมาอย่างเด่นชัด
“เป็นคนใจเย็น เป็นคนธรรมะ ธรรมโม สุดท้ายคือเป็นกำลังใจให้ตามาตั้งแต่เด็ก ตาก็เลยไม่เคยมองท่านว่าเป็นเซียนพระชื่อดัง หรือจอมขมังเวทย์ อย่างที่คนอื่นเขาพูดกันน่ะสิคะ”
วูบหนึ่งที่เธอนึกถึงภาพวัยเยาว์ที่มักได้แต่แอบดูคุณปู่อยู่หลังบานประตูหน้าห้องพระ ระหว่างผู้สูงอายุบริกรรมคาถาอยู่ด้านใน
ผู้เคียงข้างคือลุงจ่าที่ครั้งนั้นยังหนุ่มแน่นเต็มไปด้วยมัดกล้ามที่น่ายำเกรง เหนือสิ่งอื่นใดคือรอยสักยัตต์รูปเสือเหนือแผ่นหลัง เธอเพิ่งนึกได้เดี๋ยวนี้เอง น่าแปลกทำไมถึงลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท
ฐิตารีย์ไม่ได้อุปาทานไปเองแน่ๆ เพราะ จู่ๆ สายลมที่เงียบสงบเมื่อครู่ กลับกรูเกรียวขึ้นมาใหม่ ไกลออกไปยังพอมองเห็นคือไม้ใหญ่ที่ลำต้นเก้งก้าง ทว่ายามนี้กลับราวอสูรกายที่กำลังขยับเพื่อหาเหยื่อไม่มีผิด
“คุณเข้าไปนั่งในเต๊นท์ก่อนก็ได้ เดี๋ยวผมจะจัดการเรื่องห้องน้ำให้ก่อน”
ทั้งที่เธอไม่ต้องการทำเช่นนั้นแต่กลับไม่คิดมีข้อแม้ใดๆ อีกทั้งบรรยกาศก็พาให้รู้สึกหวาดผวาอย่างบอกไม่ถูก
นานเท่าใดไม่อาจรู้ได้ แต่ภาพที่ปรากฏตรงหน้าเธอคือหญิงสาวในชุดตะเบงมานที่ในมือถือดาบไว้พร้อมสรรพก่อนจะเงื้อดาบด้ามคมกริบตระหวัดลงยังร่างของชายฉกรรจ์ ฐิตารีย์ซึ่งแอบดูอยู่หลังบานหน้าต่างถึงกับหวีดร้องออกมาอย่างไม่อาจเก็บกลั้น เพราะละอองเลือดที่กระเซ็นมาโดนใบหน้าพาให้กลิ่นคาวคละคลุ้งไปทั่ว
“คุณ...เป็นอะไรหรือเปล่า”
น้ำเสียงข้างกายหยุดวิกฤตอย่างฉับพลัน
ฐิตารีย์ได้แต่เอามือแตะยังใบหน้า เหมือนว่ายังตกอยู่ในภวังค์ เธอฝันไปหรือนี่...
มันช่างเหมือนจริงราวอยู่ในเหตุการณ์นั้นไม่มีผิด ไม่น่าเชื่อว่ายามนี้...ยังได้กลิ่นคาวเลือดนั่น
“ฝันร้ายอย่างนั้นหรือครับ” เขาถามอย่างเป็นห่วง
รอยยิ้มเจื่อนๆ ปรากฎขึ้นยังริมฝีปากบางนั่นแวบหนึ่ง
“กี่ทุ่มแล้วคะ”
“สามทุ่มครับ”
ช่างน่าแปลก ท่ามกลางความอบอุ่นภายในเต๊นท์ กลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายๆ ดอกไม้ป่า จากโอ เดอ ทอยเล็ตต์ที่เธอใช้ทำให้ความรู้สึกหนึ่งเกิดกับเขาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว อีกทั้งดวงหน้าของบุคคลตรงข้ามในยามนี้ก็ราวลูกกวางน้อยระวังไพรไม่มีผิด
ดวงตาวาวระยับที่ตื่นตระหนก กับริมฝีปากอันอวบอิ่มช่างยากนักที่เขาจะทำใจไม่ให้คิดเลยเถิดไปไกลเกินกว่านี้
นี่เขาเป็นอะไรไป ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ กับผู้หญิงเพียงคนเดียวที่ไม่คิดว่าถูกชะตาเธอด้วยซ้ำ แต่กลับทำให้เขามีความรู้สึกได้ถึงเพีบงนี้เชียวหรือ
“อยากเข้าห้องน้ำมั้ยครับ” เขากล่าวทำลายความเงียบ
เธอได้แต่พยักหน้ารับ
อากาศภายนอกปลอดโปร่งอย่างบอกไม่ถูก สายลมพัดแรงจนสะท้าน แม้เธอจะเดินตามเขามาติดๆ แต่ยังรู้สึกไม่ปลอดภัยอยู่ดี
ห้องน้ำที่เขาว่ามีแต่เถาวัลย์และวัชพืชที่ขึ้นปกคลุมจนไม่เห็นสภาพเดิม แต่ที่แน่ๆ มันน่าหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูก
“ขอโทษนะคะ ตา...ไม่เข้าแล้วล่ะค่ะ”
ภูมิรพีรู้สึกสงสารผู้ที่เคียงข้างขึ้นมาฉับพลัน
“เข้าไปดูด้านในก่อน แล้วคุณค่อยตัดสินใจ”
เขาไม่รอฟังเสียงเธอ เพราะก้าวเข้าไปด้านในพร้อมไฟฉายอันใหญ่ทันที ฐิตารีย์จึงจำใจก้าวตาม
ทั้งห้องเล็กๆ ที่ปราศจากประตูเต็มไปด้วยใบไม้แห้ง ที่เยียบลงไปครั้งใดก็เกิดเสียงกรอบแกรบตามมาเมื่อนั้น แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่ากลับเป็นกระจกเก่าคร่ำคร่าซึ่งเหลือเพียงครึ่งบาน ทว่ายามเมื่อสะท้อนแสงไฟกลับทำให้เธอขวัญผวาได้อย่างบอกไม่ถูก ประกอบกับสุขภัณฑ์แบบบ้านๆ ที่จำสภาพเดิมแทบไม่ได้ก็ยิ่งเพิ่มดีกรีความหวาดผวาให้อีกหลายเท่า
“คุณไม่ต้องกลัว ผมรออยู่หน้าห้องนี่ ทำธุระตามสบายเลยนะครับ”
พูดมาได้ ก็สภาพอีกทั้งบรรยากาศที่สัมผัสอยู่นี่ มันไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกอย่างที่เขาว่ามาได้เลยนี่นา
แต่นาทีนั้นเหมือนเธอจะตัดใจ เพราะปวดจนทนไม่ไหว เมื่อเขาก้าวออกไปโดยยื่นไฟฉายอันเล็กให้
เธอจึงจัดการทำธุระอย่างรีบเร่ง พยายามไม่สนใจกระจกบานนั้นแม้แต่น้อย
ไม่มีอะไรต้องกลัวหรอกน่าฐิตารีย์ เธอพยายามปลอบใจตัวเอง ทั้งที่ใจเต้นไม่เป็นส่ำ
ระหว่างกำลังจะก้าวออกจากห้องนั้นเอง เสียงหนึ่งได้ดังแทรกกะทันหัน และเพราะเหตุใดไม่อาจรู้ได้ ที่ทำให้เธอหันไปมองกระจกบานนั้นทั้งที่ห้ามใจไว้แล้ว
ภาพที่สะท้อนไม่ใช่ตัวเธอแม้แต่น้อย ใบหน้าขาวโพลนของหญิงสาวที่ผมยาวเกือบครึ่งหลัง ประกอบกับดวงตาแดงก่ำของอีกฝ่าย จึงเป็นสิ่งสุดท้ายที่ฐิตารีย์ได้รับรู้
ในเวลาเดียวกัน ณ ภูมิรพี ชาเล่ต์ ฮิลล์
“นายแม่ยังไม่นอนอีกหรือฮะ” ข้าวปุ้นที่เข้ามาเมียงๆ มองๆ ถามอย่างเป็นห่วง
“เราจะไปนอนก็ไปเถอะ”
“นายแม่ไม่ต้องห่วงหรอกนะฮะ นายต้องปลอดภัยแน่” ที่ไม่ได้พูดออกมาก็คือหญิงสาวที่เจ้านายไปติดอยู่ด้วยนั่นน่ากลัวกว่าเป็นไหนๆ
“พรุ่งนี้ ผมจะไปเกาะติดสถานการณ์ที่เกิดเหตุแต่เช้าตรู่ ได้ข่าวยังไงจะโทรฯ มาเรียนนายแม่นะฮะ”
สายฝนที่ยังคงโปรยละอองทำให้แสงดาวหวั่นใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เกรงเหลือเกินว่า ‘ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเดิม’ แต่หากพรหมได้ลิขิตไว้แล้ว เธอเองก็คงต้องยอมรับในชะตาที่กำหนดมิใช่หรือ
ทว่าสิ่งที่ก่อกวนจิตใจกลับเป็นเรื่องลึกกว่านั้น...คำปรารภของธนวัต ซึ่งได้กล่าวปลับทุกข์กับเธอเมื่อไม่นานนั่นต่างหาก
“ไม่รู้ว่าเป็นเพราะยัยตามีปมอะไรอยู่ในใจหรือเปล่า ที่ทำให้…มองความรักเป็นเรื่องฉาบฉวยอย่างวันนี้”
ขออย่าให้บุตรชายต้องพบกับเรื่องที่เธอหวาดหวั่นอยู่นี่เลย แสงดาวได้แต่ภาวนาอยู่ในใจ
.........................................................................................................
สวัสดีค่ะ มาพบกับตอนที่11 แล้วนะคะ
ขอขอบคุณเพื่อนๆ ทุกๆ ท่านค่ะ ที่ยังคงติดตามผลงานกันอยู่ และที่กรุณาฝากเมนท์ไว้เพื่อเป้นกำลังใจด้วยนะคะ
ขอแจ้งข่าวนิดหนึ่งนะคะ
ยุพากรมีผลงานใหม่ซึ่งลงในนามปากกา 'ดารัณ' เรื่อง หนึ่งในรัก ลงตอนแรกให้ได้อ่านกันแล้วนะคะ หวังว่าเพื่อนๆ จะชื่นชอบ และติดตามกันเช่นเคยนะคะ
ขอฝากผลงานที่จะออก เร็วๆ นี้กับสำนักพิมพ์ดอกหญ้า 2000ด้วยค่ะ
เรื่อง ' บูงาฆารัก ' ใช้ชื่อผู้เขียน ' ดารัณ ' รบกวนเพื่อนๆ ช่วยติดตามกันด้วยนะคะ
แล้วพบกันในตอนต่อไปนะค่ะ
ปล. พบกับ การเดินทางเส้นทางสายภูผาเรียง บ้านน้ำเพียงดินได้ที่บล็อกของผู้เขียนนะคะ http://yupakorn.exteen.com
ด้วยรักจากใจค่ะ
ยุพากร , ดารัณ
ยุพากร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 มิ.ย. 2555, 15:52:17 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 ต.ค. 2555, 16:46:17 น.
จำนวนการเข้าชม : 1649
<< 10 กรยุพา . ยุพากร | 12 กรยุพา . ยุพากร >> |
น้ำแอปเปิ้ล 8 มิ.ย. 2555, 01:29:07 น.
แวะมาให้กำลังใจค่ะ...ว่าแต่บูงาฆารักจะออกแล้วหรือคะ ดีใจด้วยค่ะ ชอบเรื่องนั้นมาก
แวะมาให้กำลังใจค่ะ...ว่าแต่บูงาฆารักจะออกแล้วหรือคะ ดีใจด้วยค่ะ ชอบเรื่องนั้นมาก
ยุพากร 8 มิ.ย. 2555, 09:21:55 น.
ขอกรี้ด ดังๆ ค่ะ คุณน้ำแอปเปิ้ล กลับมาแล้ว ขอบคุณมากนะคะสำหรับข้อความที่ฝากไว้ให้ อิอิ เป็นกำลังใจมากมายเลยล่ะค่ะ
ขอกรี้ด ดังๆ ค่ะ คุณน้ำแอปเปิ้ล กลับมาแล้ว ขอบคุณมากนะคะสำหรับข้อความที่ฝากไว้ให้ อิอิ เป็นกำลังใจมากมายเลยล่ะค่ะ
อัปสรา 25 มิ.ย. 2555, 23:32:38 น.
มาต่อนะเขารอให้กำลังใจค่ะ คุณยุพากรเป็นนักเขียนคนหนึ่งที่เขียนงานดีนะคะชมจากใจค่ะ
มาต่อนะเขารอให้กำลังใจค่ะ คุณยุพากรเป็นนักเขียนคนหนึ่งที่เขียนงานดีนะคะชมจากใจค่ะ
จิรารัตน์ 26 มิ.ย. 2555, 19:09:51 น.
จะรอเป็นกำลังใจให้บูงาฆารักค่ะ
จะรอเป็นกำลังใจให้บูงาฆารักค่ะ
ยุพากร 27 มิ.ย. 2555, 21:15:17 น.
ขอบคุณ คุณจิรารัตน์ มากค่ะ ที่กรุณาเข้ามาเป็นกำลังใจ
ขอบคุณ คุณจิรารัตน์ มากค่ะ ที่กรุณาเข้ามาเป็นกำลังใจ