วังวนริษยา
แรงรัก แรงริษยา เกาะเกี่ยวเวียนวนจากอดีตสู่ปัจจุบัน
วังวนแห่งพิษรัก ยังคงโอบรัดสิ่งเหล่านี้ให้คงอยู่ และ รอคอยอยู่ที่...เรือน เจ้านาง
วังวนแห่งพิษรัก ยังคงโอบรัดสิ่งเหล่านี้ให้คงอยู่ และ รอคอยอยู่ที่...เรือน เจ้านาง
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทนำ
บทนำ
สายลมเย็นพัดแผ่วผ่าน หมู่แมกไม้ใหญ่น้อยต่างโบกสะบัดหยอกล้อสายลมเย็น พระจันทร์เดือนเพ็ญกลมโตแขวนยังปลายฟ้ากว้างสาดแสงสีเหลืองนวลกระทบผิวน้ำสีดำดั่งผ้ากำมะหยีผืนใหญ่ซึ่งวางพาดคดเคี้ยวผ่านโขดหินใหญ่น้อยหายลับไปกับม่านมืดของรัตติกาล ระริ้วระลอกน้ำสะท้อนแสงจันทร์เป็นประกาย มองดูราวกับมีดวงดาวแต่งแต้มประโปรยทั้งแผ่นฟ้าและผืนน้ำ
กลิ่นบุปผาราตรีหลากชนิดลอยอบอวล ซอกซอนไปตามสายลมผ่านศาลาทรงไทยสีเขียวประดับด้วยลายประยุกต์หลังขนาดย่อม ไปยังเรือนไทยทรงล้านนาหลังใหญ่ซึ่งกำลังนอนนิ่งสงบเงียบอยู่ภายใต้ความมืดของราตรีกาล
พื้นเบื้องล่าง เสียงสวบสวบของการก้าวย่างเดินมาตามเส้นทางซึ่งรกเรื้อและมีใบไม้แห้งตกเกลื่อนพื้น แสงตะเกียงดวงเล็กๆ วูบไหวตามจังหวะการก้าวเดินของผู้ถือ ผ่านพุ่มดอกราตรีสีขาวซึ่งบัดนี้กำลังคลี่กลีบดอกบานรับแสงจันทร์และส่งกลิ่นแข่งกับไม้ดอกหอมชนิดอื่นๆ ก่อนชายฉกรรจ์คนหนึ่งจะแหงนเงยขึ้นมองตัวเรือนซึ่งบัดนี้เงียบเชียบผิดปกติ
“พี่...จะขึ้นไปจริงๆ หรือ” ชายอีกคนซึ่งตามกันมาเอ่ยถามอย่างนึกหวั่น พลาง
เหลียวมองไปโดยรอบอย่างหวาดระแวง
“เออ...ก็ขึ้นไปจริงๆ น่ะสิ หรือเอ็งกลัว” ชายคนถือตะเกียงหันมาตวาดคนตามอย่างหัวเสียเพราะตั้งแต่เดินเข้ามายังอาณาบริเวณนี้ มันเอาแต่ถามจนน่ารำคาญ
“แต่ฉันเคยได้ยินมาว่า เรือนนี้ผีมันเฮี้ยนมากๆ เลยนะ”
มันพูดประโยคเดิมๆ เป็นครั้งที่สิบได้ ขณะไอ้คนเดินนำซึ่งมีท่าทีอาจหาญกว่าหันกลับมาอีกครั้งอย่างสุดทน ก่อนจะเขกกำปั้นลงบนหัวของไอ้เพื่อนร่วมทางชั่วเสียโป๊กโต
“โธ่พี่...มาเขกกบาลฉันทำไมเนี่ย”
“แล้วใครใช้ให้เอ็งพูดถึงผีสางในตอนกลางคืนวะ แล้วก็หยุดพูดได้แล้วเว้ย ผีเผอมันมีที่ไหน มะ...ตามกูมา”
หันมาตวาดกับผู้ติดตามแล้ว ไอ้โชคก็ตั้งหน้าเดินต่อไปโดยไม่สนใจต่อกิริยาของไอ้ลูกน้องอีก บันไดไม้ทางขึ้นเรือนอยู่ไม่ไกลมากนัก มันจึงจ้ำตรงไปยังที่แห่งนั้นทันที
ลมพัดเข้ามาปะทะหน้าของมันวูบหนึ่ง ทำให้เท้าซึ่งกำลังจะก้าวขึ้นเหยียบพื้นบันไดขั้นแรกชะงัก คราวนั้นมันจึงสัมผัสถึงความผิดปรกติบางอย่างดำเนินเข้ามา
ความเย็นวาบเข้าจู่โจมตั้งแต่ปลายเส้นผมไล่ลงไปยังปลายเท้า มันเงยหน้าขึ้นมองตัวเรือนนิดหนึ่งเพื่อเสริมความตั้งใจและสิ่งของมีค่าซึ่งมันรู้มาว่าบนเรือนไทยหลังนี้มีหลายอย่างเก็บเอาไว้อย่างมากมาย
หากว่ามันได้กลับไป ของโบราณต่างๆ ซึ่งส่วนมากเป็นเครื่องใช้ไม้สอยของเจ้านางนางหนึ่งในราชสำนักนครน่าน และไม่แม้กระทั่งชุดเครื่องดนตรีโบราณซึ่งแน่นอนมันคือสมบัติของเจ้าของเรือน เชื่อได้ว่าราคาโดยรวมแค่ส่วนหนึ่งที่คิดว่าจะขนไปได้ในคืนนี้แล้วน่าจะราวๆ เลขหกหลักได้
ตัวเลขขนาดนั้นกับความเสี่ยงเรื่องผีๆ สางๆ ซึ่งเป็นแค่เรื่องที่เล่าต่อกันมาว่าจะมีจริงหรือไม่นั้น ถือได้ว่าคุ้มสุดๆ
“พี่...มันเงียบจริงๆ นะ เสียงแมลงกลางคืนที่คิดว่าจะร้องก็ไม่มีให้ได้ยิน” ไอ้คนติดตามมิวายเอ่ยขึ้นอีก ขนตามแขนตามขาของมันเริ่มไม่นอนราบเรียบอีกต่อไป อย่างไรแล้วเรื่องผีสางนางไม้มันไว้ใจได้เสียที่ไหนกัน แม้อยากจะก้าวเดินหนีไปจากตรงนั้น ทว่ามันไม่อาจจะต้านความโลภภายในหัวใจได้เช่นกัน
“มันเงียบเพราะเราเข้ามาต่างหาก ไอ้โง่ แล้วขืนถ้าเอ็งพูดอีก กลับไปคราวนี้ โดนดีจากกูแน่”
ไอ้โชคหันมาตะคอกขู่ลูกน้องอีกรอบ ก่อนจะกระชับถุงย่ามซึ่งนำมาใส่สิ่งของที่จะมาขโมยไว้แน่น สูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดเพื่อไล่อาการกลัวซึ่งกำลังจะมี
บทบาทมากภายในตัวให้ออกไปและก้าวขึ้นบันไดในที่สุด โดยยังมีไอ้หนุ่มลูกน้องคนสนิทเดินตามไปอย่างกระชันชิด
ฮือ...
เสียงนกเค้าแมวร้องมาจากต้นมะม่วงใหญ่ซึ่งอยู่เยื้องๆ ไปจากบันไดทางขึ้น เป็นผลให้ทั้งไอ้โชคและไอ้หนุ่มหยุดการก้าวเดินและหันไปมองในทันที
ฮือ...ฮือ...
เสียงอันน่าขนพองสยองเกล้าดังมาอีก ยิ่งสร้างความตระหนกกลัวให้กับไอ้หนุ่มเป็นยิ่งนัก มันถึงกับมือไม้สั่น เส้นผมบนหัวเริ่มลุกตั้งชัน อารมณ์ตื่นกลัวเข้ามามีบทบาทอีกครั้ง จนมันต้องรีบขยับขึ้นไปชิดกับลูกพี่ซึ่งกำลังยืนอยู่ยังบันไดขั้นสุดท้ายในสภาวะอารมณ์ไม่แตกต่างกันมากนัก
เอี๊ยด...
ยังไม่ทันที่มือของมันจะได้แตะประตูเสียด้วยซ้ำ ประตูบานนั้นก็เปิดออกปานว่าจะต้อนรับการมาเยือนของมันทั้งสองเลยกระนั้น
ไอ้โชคมองเลยบานประตูเข้าไปยังข้างในของเรือน เพราะก่อนจะเข้าไปถึงยังชายคาของหลังคาไม้แป้นเก็ดเก่าๆ ซึ่งมีตะไคร้สีเขียวเกาะอยู่ยังปลายไม้ในส่วนของชายคา มีบางแผ่นผุพังตามกาลเวลา เป็นชานเรือนไม้ซึ่งพ้นออกมาจากหลังคา และเป็นชานโล่งสามารถเห็นท้องฟ้าในยามค่ำคืนได้
มันและไอ้หนุ่มจึงก้าวเข้าไปภายในบ้านด้วยฝีเท้าที่เงียบกริบ
“มึงเห็นไหม ขนาดประตูยังเปิดรอพวกเรา กับเรื่องผีเผอมันมีที่ไหนกัน” ไอ้โชคหันมาสำทับไอ้หนุ่มถึงความง่ายดายของการก้าวเข้ามาขโมยของของพวกมัน โดยไม่ได้เฉลียวใจอะไรสักนิด
“มา ตามกูมา ถ้ามึงกลัวนักก็ถือถุงนี่เอาไว้ แล้วก็อย่าพร่ำปากมากเดี๋ยวใครมาเห็นเป็นได้ซวยกันพอดี”
ไอ้โชคยื่นถุงย่ามให้กับลูกน้อง พร้อมกับกระชับตะเกียงในมือมั่นแล้วก้าวเดินผ่านชานเรือนอันกว้างขวางมุ่งตรงสู่ชายคาและห้องหนึ่งทางด้านซ้ายมือทันที
ความเงียบประกอบกับความเย็นยะเยือกทั้งจากสายลมยามปกติและสิ่งเหนือมิติซึ่งไอ้หนุ่มยังคงเชื่อว่ามันยังมีอยู่ภายในอาณาบริเวณแห่งนั้นเป็นความเชื่อที่คนแถวนี้ต่างเล่าลือกันจนปากต่อปากว่า ‘ผี’ ที่นี่ช่างเฮี้ยนนัก
ทันใดนั้น...
“...เดือนสามต่างเดือนสาม เดือนสามไม้ซางคำข้อถี่
เดือนสี่ไม้จะกี่เฝือยปวง ข้อยจะแป๋งโกงหลังหลวงใส่สาย
ใส่ใยกู่หลังไม้สี่ปล้องสานถักตึงแคง แป๋งหางหิงกับตึงโกงกว้าง
ต่อนี้เฮาจะถางไฮ่กว้างละล้างขวาน บกต๋อซางก๋อค้างก๋อไม้ลำขาวตี่ฝ้าย...”
(เดือนสาม ในความหมายของชาวล้านนารวมไปถึงชาวไทลื้อตรงกับเดือนมกราคม ไม้ซางคำจะได้ที่ เดือนสี่จะเอามาทำโกงหลังใหญ่ จากนั้นก็จะถางไร่ปรับปรุงไร่ฝ้าย ขุดตอไม้ซาง ทั้งกอไม้อื่นๆ เพื่อจะปลูกฝ้าย)
เสียงลำนำขับลื้อดังขึ้นแต่แว่ว ก่อนจะค่อยๆ ชัดเจนขึ้น สองร่างซึ่งกำลังจะก้าวเหยียบพื้นไม้ต่างระดับซึ่งอยู่ภายใต้ชายคาต่างชะงักเท้าแล้วหันมามองหน้ากันในทันที
“พี่โชค...เสียงอะไรน่ะพี่” ไอ้หนุ่มถามด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก
“คงจะเสียงของชาวบ้านแถวนี้ขับลื้อเล่นตอนกลางคืนล่ะมั้ง” พยายามจะไม่คิดให้เป็นเรื่องของผีสาง ก็รู้ๆ กันอยู่ว่าผู้คนแถวนี้ส่วนหนึ่งเป็นคนเชื้อสายชาวไทลื้อเกือบทั้งหมด ทั้งสรรพสำเนียงที่ได้ยินนั้นก็บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าเป็นการขับลื้อที่ชาวไทลื้อมักจะขับร้องทุกครั้งเมื่ออยู่ในอารมณ์ต่างๆ เพื่อจะรำลึกถึงบ้านเกิดเมืองนอนที่ได้จากมา
ทว่าไอ้หนุ่มกลับส่ายหน้า และยืนยัน
“แต่ฉันแน่ใจว่าได้ยินชัดมากๆ นะพี่ ชัดอย่างกับ....พี่ ทางนู้น ทางนู้น”
เส้นขนตามตัวต่างพากันลุกตั้งชันในทันทีเมื่อมันหันมองไปโดยรอบก่อนจะไปหยุดยังตั่งไม้ตัวหนึ่งด้านนอกชายคา ซึ่งห่างจากเติ๋น สถานที่ซึ่งมันทั้งสองกำลังจะก้าวขึ้นไปเหยียบไม่ไกลมากนัก
ตั่งไม้ตัวใหญ่ตั้งอยู่ยังชานเรือนด้านหนึ่ง บนตั่งหลังนั้นมีโกงหรือเฟี่ยนปั่นฝ้ายหรือไน เครื่องมือดึงเส้นฝ้ายให้เป็นเส้น ซึ่งมีลักษณะเป็นวงกลมคล้ายวงล้อรถกำลังหมุนคว้างโดยมีใครคนหนึ่งในชุดผ้าฝ้ายสีเนื้อเรียบๆ นั่งพับเพียบบังคับอยู่ เรียวปากบางสวยได้รูป จมูกสวยโด่งงาม เช่นเดียวกับดวงตายาวรีทั้งคิ้วบางโก่งงามประกอบกันเป็นใบหน้าของหญิงนางหนึ่งซึ่งสวยหวานเป็นยิ่งนัก รองรับกับผ้าโพกหัวสีชมพูพันรอบศีรษะได้รูปและเส้นผมซึ่งม้วนเกล้าเก็บเอาไว้อย่างเรียบร้อย
มือที่กำลังปั่นโกง เครื่องมือปั่นฝ้ายไปนั้น เช่นเดียวกับปากที่ขับลำนำลื้อดั่งเดิมอย่างเชื่องช้า โดยไม่สนใจเลยว่าแขกยามวิกาลทั้งสองจะพากันรู้สึกอย่างไร
“...เดือนสิบเอ็ดเอ้ยฝ้ายหน่ายเกล้าจะถอง เดือนสิบสองฝ้ายยองยวงติแตก
ฝ้ายแตกไว้เต็มไฮ่จอนรอน กอนเอาก๋วยและซอง
เก็บหาบหามมาบ้าน
หล้าเป็นน้องจะยกตากจานกอน วอนใจหล้าวอนหอและติเลิกติยกอีดเป็นฝูง
น้องติยกเอากุ๋งบดเป็นฝุ๋งก่ายฮัมเหนือแป้นอ่อนแอ่น หล้านางน้องก็ติบิดแปงหาง
โหมงหมางเหม๋งเหมือนดังเจ้าไตโรงใต้แคร่ บ่าวน้องใคร่โตนแคร่มาแอ่วหาสาว...”
(เดือนสิบเอ็ดดอกฝ้ายจะแก่ เดือนสิบสองปุยฝ้ายแตกขาวเต็มไร่ จะเก็บใส่ตะกร้าหามมาบ้าน ให้น้องๆ เก็บตากและอีดฝ้าย แล้วก็จะพากันไปปั่นฝ้ายที่แคร่ พวกหนุ่มๆ ก็มาเที่ยวหาพวกสาวๆ ที่กำลังปั่นฝ้ายกัน)
ไอ้หนุ่มขาแข็งทื่ออย่างกับเอาปูนปาสเตอร์มาเททับเอาไว้ ในยามที่มันมองใบหน้าสวยหวานนั้นชัดๆ และเห็นอย่างชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อร่างหลังเครื่องปั่นเส้นฝ้ายหลังนั้นเงยหน้าขึ้นมา...
วูบหนึ่งในครองจักษุ มันเชื่อว่าตาของตัวเองไม่ได้หลอกอย่างแน่นอน
“ผะ...ผี...” มันร้องลั่นก่อนจะหันหลังวิ่งจ้ำลงเรือนไปในทันทีอย่างรวดเร็ว
“...บ่าวน้องใคร่โตนแค่มาแอ่วหาสาว
นางแปงก็มาแยงตองดู ฝ้ายปอในก็ติถอด....คิๆ มาแอ่วหาข้าเจ้ากั๋นกา”
แม่หญิงนางนั้นเงยหน้ามองไอ้โชคแล้วคลี่ยิ้มเอียงอาย ขณะมันก็มองร่างของหญิงคนนั้นเขม็งเช่นกัน ไม่เข้าใจว่าทำไมไอ้หนุ่มถึงได้ร้องแล้วถลาลงเรือนไป ทิ้งให้มันยืนอยู่ตรงนั้นเพียงคนเดียว
ครั้นจะหันหลังลงไปตาม ทว่าร่างแม่หญิงในชุดพื้นเมืองตรงหน้ากลับตรึงให้มันอยู่กับที่แล้วเลือกจะก้าวตรงเข้าไปหานางในที่สุด
ถึงเวลานี้ คำว่าผีไม่ได้มีความหมายอะไรกับมันอีกต่อไป หากผีจะสวยเหมือนกับร่างตรงหน้าจริงๆ มันก็ขอเลือกจะออกมาพบเจอทุกค่ำคืนไป
“งาม...งามเหลือเกิน” มันทิ้งตะเกียงลงกับพื้น แล้วเดินตรงเข้าไปหาหญิงงามปริศนานางนั้นอย่างต้องมนต์
ความเงียบสงัดของอาณาบริเวณแห่งนั้นยิ่งเพิ่มมากขึ้น จะมีแต่เพียงแสงจันทร์เท่านั้นซึ่งสาดส่องลงมายังชานเรือนและนำทางให้มันมุ่งตรงไปยังแม่หญิงงามในทันที
“คิ...คิ...คิ”
หญิงนางนั้นหยุดปั่นฝ้ายลงในที่สุด ก่อนจะเอามือมาปิดปากตัวเองในยามหัวเราะอย่างมีจริต พลางชม้ายชายตามองไอ้โชคปานว่าจะเอียงอายต่อสายตาซึ่งจ้องมองมาของมันเป็นยิ่งนัก
“มาเจ้า มานั่งตรงนี้ก่อนเจ้า” แม่หญิงเชื้อเชิญ ขณะแขกในยามวิกาลรีบขยับเข้าไปนั่งข้างๆ กับนางในทันที และทันทีที่ก้นของมันแตะพื้น มือของมันซึ่งเร็วตามสันดานอยู่แล้วก็คว้ามือของแม่หญิงเอามาดอมดมอย่างรวดเร็ว
“มือน้องนี่หอมจริงๆ เลยนะจ๊ะ”
“แต้ก่าเจ้า...หอมแต้ก่า”
นางปริศนาหัวเราะคิกคักอย่างเขินอายสุดๆ ขณะไอ้โชคเริ่มได้ใจ ยิ่งเวลานี้ความเงียบเหมือนอย่างจะเป็นใจให้กับมัน มันจึงเริ่มปฏิบัติการดอมดมไปทั่วทั้งแขนของหญิงสาวในทันที ก่อนจมูกจะได้กลิ่นอะไรบางอย่างซึ่งตอนแรกนั้นหอมปานดอกไม้ยามดึก ทว่าเวลานี้กลับกลายเป็นกลิ่นซากศพไปได้
“อ่ะ...” มันตกใจและรับรู้ถึงสิ่งปกติ จึงเพ่งตามองแขนของหญิงสาวนางนั้น ก่อนจะพบว่าแขนเรียวซึ่งแทนที่จะเป็นแขนนางซึ่งมีแต่ความอวบอัด มีเลือดมีเนื้อ ทว่ากลับเป็นแขนของยายแก่คนหนึ่ง ที่มีแต่เพียงหนังแห้งกรังติดกระดูกเท่านั้น และบัดนี้ใบหน้าที่เคยสวยสดงดงามนั้นก็ไม่แผกไปจากนั้นมากนัก
“เฮ้ย...เป็นไปได้ยังไงวะ”
“คิ...คิ...คิ...”
ยายแก่หง่ำเหงือกยกมือข้างหนึ่งขึ้นปิดปากหัวเราะอย่างมีจริต พลางชะมดชม้าย มองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างขบขัน
“ผะ ผีหลอก” ไอ้โชคร้องลั่นและพยายามจะลุกขึ้น ทว่าเงาร่างปริศนาซึ่งมันถือเอาไว้กลับเป็นฝ่ายดึงมันเสียก่อน
“อย่าเพิ่งไปสิจ๊ะอ้าย...ข้าเจ้ากำลังปั่นฝ้ายม่วนอยู่เจ้า มาจ้วยกั๋นก่อน...”
พายุ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 มิ.ย. 2555, 23:52:43 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 มิ.ย. 2555, 23:52:43 น.
จำนวนการเข้าชม : 1355
ตอนที่ ๑ >> |
WallyValent 10 มิ.ย. 2555, 00:49:00 น.
อ่านเรื่องนี้ตอนเกือบตีหนื่ง น่ากลัวว่าจะนอนไม่หลับเสียแล้วเรา 55 รอต่อนะคะ :)
อ่านเรื่องนี้ตอนเกือบตีหนื่ง น่ากลัวว่าจะนอนไม่หลับเสียแล้วเรา 55 รอต่อนะคะ :)
อริสา 10 มิ.ย. 2555, 08:30:38 น.
ลำนำเพราะดีค่ะ
ลำนำเพราะดีค่ะ
Edelweiss 10 มิ.ย. 2555, 13:38:56 น.
น่าติดตามมากค่ะ
น่าติดตามมากค่ะ
MAGNUM 26 พ.ย. 2555, 02:49:16 น.
อ่านตอนจะตีสาม หลับแทบไม่ลงเลย
อ่านตอนจะตีสาม หลับแทบไม่ลงเลย