พระพรหมสีชมพู
เรื่องพระพรหมสีชมพู เรื่องล่าสุดที่แต่งขึ้นจากจินตนาการ

จะมีประเทศที่ติ๊ต่างขึ้นมาเองนะคะ ผู้แต่งให้ชื่อว่าประเทศกรีนนา

...เป็นเรื่องของสาวน้อยคนไทยที่ไปตามหาพี่ชายต่างสายเลือดที่เธอรักและหวงแหนมาก พอพี่ชายจะไปแต่งงานกับผู้หญิงอื่นเธอเลยยอมไม่ได้ ความบังเอิญจากอุบัติเหตุทำให้เธอเจอกับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเป็นถึงลูกชายประธานาธิบดีแห่งกรีนนา ที่ถูกปฏิเสธการขอแต่งงาน เพราะว่าผู้หญิงคนนั้นมีคู่หมั้นอยู่แล้ว ซึ่งคู่หมั้นของหล่อนก็คือพี่ชายต่างสายเลือดของแม่สาวน้อยคนไทยนี่เอง

เธอถูกจับมาเป็นตัวประกันชั่วคราวของเขา และอะไรไม่ซวยเท่ากับการที่จู่ ๆ เธอก็เกิดสัมผัสพิเศษสามารถเห็นเหตุการณ์อันตรายที่จะเกิดขึ้นกับเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น ได้ล่วงหน้าเหตุการณ์จริง 1 นาที จากแค่ตัวประกัน เลยกลับกลายเป็นต้องอยู่คอยคุ้มภัยเขาราวผูกตัวติดกันซะอย่างนั้น...

..."เมื่อพี่ชายของคุณเป็นคนทำให้ผมถูกปฏิเสธการขอแต่งงาน คนที่น่าจะรับผิดชอบเรื่องนี้ก็เห็นที่ว่าคงต้องเป็นคุณซะแล้วแหละ แม่หนูน้อยหมวกแดง"

..."ไม่เอา...ปล่อยฉันนะ อีตาเฒ่าทารก"

..."ภายในสองเดือน ถ้าคุณทำให้พี่ชายของคุณถอนหมั้นกับแจนได้ ผมจะปล่อยคุณไป"

Tags: น่ารัก+บู๊เล็ก ๆ

ตอน: ตอนที่ 2 พระพรหมสีชมพู

ตอนที่ 2

กลิ่นไอทะเลที่โชยมาตามลายลม พัดอยู่เหนือศีรษะ ทำให้เส้นผมนุ่ม พลิ้วไหวไปคลอเคลียอยู่บนพวงแก้มเนียนละเอียดสร้างความรำคาญเล็ก ๆ ให้เจ้าของพวงแก้ม เปลือกตาบางซึ่งปิดสนิทในตอนแรก เริ่มขยุกขยิกบอกสัญญาณการรู้สึกตัว หลังมือเรียวสวยยกขึ้นปาดพวงแก้มของตนเองแรง ๆ มันคันยุบยิบราวกับมีใครจงใจแกล้งเอาตัวอะไรมาปล่อย

เนรัญลืมตาขึ้นช้า ๆ มองดูรอบกาย ห้องสีฟ้าอ่อนสบายตา ทว่าคือที่ไหนกัน หญิงสาวลุกขึ้นนั่งกลางเตียงนุ่ม ทบทวนย้อนความเก่าที่ผ่านมาและก็นึกได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่แน่ใจว่ามันผ่านมาสักกี่นาทีหรือกี่ชั่วโมงแล้ว หากยามนี้มองออกไปด้านนอกหน้าต่างตรงหัวนอน เห็นแสงสีส้มของดวงตะวันดวงใหญ่ ที่กำลังจะล่วงลงลับตรงขอบทะเลที่เห็นอยู่สุดปลายสายตา บอกว่าเป็นเวลาเย็นมากเอาการ

“ทะเลเหรอ ?” ร่างบางดีดตัวลุกพรวดจากเตียง เดินไปเกาะขอบหน้าต่างชะแง้สายตามองออกไป จึงพบหาดทรายสีเพลิงและน้ำทะเลสีคล้ายกัน เนื่องเพราะต้องแสงพระอาทิตย์ยามอัสดงงดงามอยู่เบื้องล่าง “ที่นี่ที่ไหนกัน อย่าบอกนะว่าตาลุงนั่นพาฉันมากักขังไว้ เพื่อแลกตัวกับยายจา” เธอพึมพำกลัวกับตัวเอง ก่อนจะตัดสินใจเดินไปแง้มประตูห้องเปิดเบา ๆ

สายตากลมใสทำหน้าที่จับทิศทางทุกซอกมุมในบ้าน เมื่อไม่เห็นแม้เงาใครสักคนจึงย่องเบากริบเดินออกมาจากห้อง ตรงไปยังหน้าประตูบ้านที่เปิดทิ้งไว้กว้างขวาง ทำให้ความคิดเดิมว่าจะโดนกักขังลดทอนลงไปบ้าง เนรัญสาวเท้าออกมายืนตรงสนามหญ้าช่วงบริเวณด้านหน้าสุด แล้วหันกลับไปมองตัวบ้านที่เธอพึ่งเดินออกมาเมื่อสักครู่ บ้านไม้หลังสีฟ้าอ่อนทั้งหลังน่ารักจนต้องเผยยิ้มชื่นชมให้กับมัน เธอหันมองทางรั้วด้านซ้าย พื้นที่ตั้งบ้านหลังนี้เหมือนว่าจะเป็นเนินสูง เพราะมองทะลุรั้วไม้ระแนงสีขาวสูงแค่เอวลงไปก็เห็นแต่ความว่างเปล่า ก่อนจะพบน้ำทะเลที่อยู่เบื้องล่างโน้นเท่านั้น หญิงสาวเดินไปอีกนิดชะเง้อมองลงไป เห็นโขดหินใหญ่ที่คลื่นน้ำทะเลกระแทกปะทะดังครืน ๆ มันสวยงามทว่าก็น่ากลัวในเวลาเดียวกัน เพราะถ้าหากไม่มีรั้วเล็ก ๆ นี้กั้น ตรงมุมนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากหน้าผาเลย แค่คิดเล่น ๆ ว่าถ้าวันหนึ่งบังเอิญมีใครตกลงไป รับรองไม่ตายก็คงเลี้ยงไม่โต

“คิดได้ยังไงนะมาปลูกบ้านอยู่บนที่สูงแบบนี้” หญิงสาวเปรยขึ้นกับตัวเอง มองสำรวจพื้นที่โดยรอบ ก็พอคาดเดาตามภูมิประเทศนี้ได้ว่า ส่วนมากเป็นพื้นที่ภูเขา เธอก็เลยเห็นคนที่นี้มักจะมีบ้านหลังสวย ๆ กันตามเนินสูง

เธอหันกลับมองไปทางด้านขวาของบ้านบ้าง ไม่พบเพื่อนบ้านทว่ากลับมีแต่ดอกไม้ดอกเล็ก ๆ สีเหลืองปลูกเรียงเป็นเป็นแพ ความสวยงามของหมู่มวลดอกไม้เบื้องหน้าไม่ใช่ว่าจะไม่ได้รับความสนใจจากหญิงสาว เธออยากให้ความสนใจมากกว่านี้อยู่หรอก ทว่ายามนี้ความต้องการทราบว่าถูกจับให้มาอยู่ที่ไหน แล้วผู้ชายสองคนนั้นไปอยู่แห่งใดมีมากกว่า ดังนั้นเธอจึงเลือกเบือนสายตาจากความสวยงาม เดินอ้อมไปทางด้านหลังสุดของบ้าน เธอเจอกับบันไดปูนเปลือย ซึ่งก่อขึ้นจากตรงนี้ทอดยาวหลายสิบขั้นลงสู่ผืนทรายละเอียดเท้าด้านล่าง หญิงสาวก้าวเท้าเปล่าเปลือยลงไปตามบันไดแต่ละขั้นอย่างระมัดระวัง ราวกับว่ากลัวมีใครมาได้ยินเสียงฝีเท้าเล็ก ระหว่างที่เดินลงไปสายตาก็สอดส่ายมองหาเจ้านายกับลูกน้องคู่นั้นตลอดเวลา รวมถึงสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ที่สามารถจะบอกเธอได้ว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน...

“แปลกไหมมาร์ค นายคิดดูซิแม่หนูน้อยคนไทยนั่น รู้ได้ยังไงว่ารถของพวกเราเบรกไม่ดี นายได้ยินตอนเธอตะโกนบอกใช่ไหม ว่าสายเบรกถูกตัด” เสียงทุ้มห้วนของชายคนหนึ่งที่เล็ดลอดผ่านเข้าหูเล็ก ทำให้ร่างบางที่กำลังจะก้าวพ้นจากบันไดขั้นสุดท้ายชะงักฝีเท้ากึก หันมองไปตามเสียง ก็เห็นการิมและมาร์คยืนคุยกันอยู่ในศาลาทรงกลมสีแดงสดซึ่งตั้งอยู่บนชายหาดไม่ไกลจากบันไดที่เธอยืนอยู่มากนัก พร้อม ๆ กันนั้นชายหนุ่มทั้งสองก็กำลังปิ้งอาหารทะเลบนเตาเล็ก แต่สีหน้าไม่ได้บอกว่าสุนทรีกับอาหารสักเท่าไหร่

“แล้วก็เรื่องเส้นทาง เหมือนเธอเห็นล่วงหน้าเลยว่าไหมครับคุณฌาน ถ้าไม่ใช่คนในพื้นที่จริง ๆ จะมีนักท่องเทียวคนไหนกัน ที่ท่องจำถนนทุกเส้นในกรีนนาได้หมด ว่าตรงไหนมีเนิน ตรงไหนมีแยก”

“เราก็คิดคล้าย ๆ กับนาย แต่เรื่องแบบนี้จะเป็นไปได้ยังไงกัน เหนือธรรมชาติ” เจ้านายไหวไหล่ “ว่าแต่นายบอกให้คนของเรา ปิดเรื่องอุบัติเหตุวันนี้ ไม่ให้แพร่งพรายออกไปถึงหูคนอื่นเรียบร้อยแล้วใช่ไหม”

“ครับเรียบร้อย ผมโทร.ไปหาคนของเรา ที่เชื่อใจได้เท่านั้นครับ ตอนที่บอกให้พวกเขาเอารถมาเปลี่ยน กำชับอีกรอบแล้วด้วยครับ ว่าเรื่องนี้แม้แต่ท่านประธานาธิบดีกับคุณปู่ของคุณ ก็จะรู้ไม่ได้” คนสนิทรายงานเสียงหนักแน่น “แต่คุณฌานครับ ถ้าเรื่องวันนี้ไม่ใช่อุบัติเหตุแต่เป็นการปองร้ายจริง ๆ คนที่คุณสงสัยคนแรก คุณคิดว่าใคร”

การิมนิ่งใช้ความคิดครู่หนึ่ง “ไม่ใช่พ่อเราแน่นอน”

“ก็แน่ละครับ ท่านประธานาธิบดีจะฆ่าลูกตัวเอง เพื่อแค่สมบัติได้ยังไงกัน เลือดก็ต้องข้นกว่าน้ำอยู่แล้ว” ประโยคนี้ทำคนแอบฟังอยู่ยกมือทาบอก ก่อนปิดปากแน่น เธอไม่ได้ตกใจว่าใครถูกปองร้ายถึงขั้นเอาชีวิต แต่ที่ตกใจมากเพราะรู้ว่าการิมเป็นใครต่างหาก...

นี่ตาลุงหน้ายาวเป็นถึงบุตรชายประธานาธิบดีแห่งกรีนนาเลยเหรอ มิน่าละเขาถึงอยากจะลากเธอไปไหนมาไหน ถึงได้ไม่เกรงกลัวใครเลย ที่สำคัญถ้าเขาโกรธกันกริช ที่ริอ่านไปแย่งจารินรัตน์ ผู้หญิงที่เขาอยากจะแต่งงานด้วยขึ้นมาละก็ เชื่อได้เลยว่าอำนาจมากมายของเขาคงไปเผาผลาญล้างตระกูลของเธอแบบข้ามประเทศแน่ หญิงสาวนึกกังวลกลัวอยู่ในใจ

เธอหมุนตัวช้า ๆ ขยับขาสั่น ๆ หวังก้าวกลับขึ้นไปยังด้านบน หากเสียงทักดังขึ้นจากด้านหลัง ทำร่างบางแทบจะทรุดฮวบเป็นลมไปอีกสักร้อยรอบ

“ไหน ๆ ก็แอบฟังตั้งนานแล้ว ทำไมไม่ฟังต่อละครับ”

เนรัญสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ก่อนหันไปสะบัดเสียงเข้าสู้ “เปล่าสักหน่อย ฉันไม่ได้ยิน ไม่ได้แอบฟังใครทั้งนั้นแหละ”

“รู้สึกว่าโกหกไม่ค่อยเนียนนะแม่หนูน้อย” การิมย่างสามขุมมาหยุดอยู่ตรงหน้า คว้าข้อแขนเล็กข้างหนึ่งล็อกไว้ ก่อนจะใช้นิ้วโป้งข้างที่ว่างเกลี่ยเบา ๆ บนเรียวปากบาง สายตายังตรึงเรียวหน้าสวยหวาด ๆ ของเธอนิ่ง “จูบของเธอวิเศษมากเลย ใช่จูบแรกหรือเปล่า”

“ไอ้คนทุเรศ เฒ่าทารก !” หญิงสาวหน้าร้อนผ่าวเม้มปากแน่น ประสานตากับอีกฝ่ายได้แค่แวบเดียว แล้วคางมนก็ต้องรีบเอี้ยวหลบ ผู้หญิงอย่างเนรัญดื้อรั้นชอบเอาชนะทุกอย่าง แต่กับต้องมาประหวั่นเพราะสายตาคู่สีเทา ที่ยามมองเข้าไปทีไร ก็ทำให้เธอใจหายวูบวาบได้ทุกทีซิน่า ไม่ใช่เพราะหลงเสน่ห์ความหล่อของเขาแน่นอน แต่เพราะความพิกล ที่ยังคงหาคำบัญญัติความรู้สึกไม่ได้ต่างหาก

หญิงสาวสะบัดตัวกระฟัดกระเฟียด หวังจะให้ห่างคนที่ชอบรังแกเพศอ่อนแอกว่า แต่หากแค่เธอก้าวเท้าขึ้นบันไดขั้นต่อมา ก็ต้องส่งเสียงร้องวี้ดว้ายด้วยความตกใจ การิมคว้าเอวคอดติดมือใหญ่เข้ามาใกล้ ก่อนช้อนร่างบางลอยหวือขึ้นแนบอก

“ผมย่างกุ้ง ย่างปลาไว้เผื่อลูกหมาอย่างคุณด้วย” ชายหนุ่มยักคิ้วยียวนคนในวงแขน เนรัญดึงแขนเสื้อยืดของเขาไว้แน่น ขณะที่เท้าสองข้างก็เตะลมเต็มแรง เธอโวยวายดิ้นรนจะลงให้ได้

“จะอุ้มฉันทำไมอีตาบ้า ปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้เลย” มือเรียวข้างหนึ่งปล่อยจากการดึงแขนเสื้อคนตัวใหญ่ เงื้อขึ้นหวังตบฉาดเข้าแก้มขาว ๆ ของเขาเป็นการสั่งสอนที่ชอบรังแกผู้หญิงอย่างเธอ หากชายหนุ่มกลับว่องไวกว่าเอี้ยวหน้าหลบได้ทัน

“ดูซิยิ่งทำท่าดุ ยิ่งเหมือนลูกหมา หัดเห่าให้เก่งก่อนเถอะหนูน้อยแล้วค่อยคิดจะกัดผม” เขาหันมายิ้มเยาะใส่ตากลมที่สั่นระริกด้วยความโกรธ “จะพาไปกินของอร่อย ๆ ไม่หิวรึไง ?”

“ฉันเดินเองได้ ไม่ต้องถึงขั้นอุ้มหรอกน่า” ถึงกระนั้นก็ไม่มีทีท่าว่าการิมจะยอมปล่อยให้เธอได้ลงเดินเอง เขาอุ้มหญิงสาวไปจนถึงศาลาสีแดง ซึ่งมีมาร์คคนสนิทเบิกตาค้าง ๆ มองอยู่

การิมวางคนตัวเล็กลงตรงม้าไม้ ก่อนหย่อนตัวลงนั่งตามข้าง ๆ จ้องหน้านวลเนียนพลางแสยะยิ้มมุมปากน้อย ๆ “ก็แค่หวังดี กลัวให้เดินมาเองเดี๋ยวก็จะสำออย เป็นลมเป็นแล้งขึ้นมาอีก แค่วันนี้คุณก็เป็นลมไปสองยกละ” เขาส่ายหน้าราวกับระอาเสียเต็มประดา

หญิงสาวนั่งนิ่งคิดตาม แปลกดีเหมือนกัน ที่คนไม่เคยมีอาการเป็นลมมาก่อนอย่างเธอ จะกลายเป็นสาวขี้โรคใจเสาะ แค่ภายในวันเดียว เธอกลับเป็นลมหน้ามืดไปแล้วถึงสองครั้งสองครา

“ก็...ก็ฉันตกใจนี่หนา เจอแต่เรื่องตื่นเต้นทั้งวัน ผู้หญิงบอบบางก็ต้องช็อกเป็นลมกันบ้างเป็นเรื่องธรรมดา ใครจะหนังหนาหน้าหนาอย่างคุณกันละ ต่อให้รถคว่ำตาย คุณก็คงยังจะหัวเราะได้ในนรกละมั้ง”

นัยน์ตาสีเทาเปลี่ยนเป็นเข้มขึ้น ถลึงมองหน้าแม่สาวน้อยราวจะกินเลือด ก่อนกระตุกยิ้มมุมปาก พลางกล่าวเสียงเย็นกับลูกน้องที่ยืนอยู่หน้าเตาย่างว่า

“มาร์คกุ้งสุกรึยัง เอามาให้เราหน่อยซิ สงสัยลูกหมาแถวนี้จะหิวมาก เห่าบ๊อก ๆ ใหญ่เลย” ชายหนุ่มตรึงสายตา ไม่ละจากเสี้ยวแก้มขาวอมชมพู คนถูกเปรียบเป็นลูกหมาตัวน้อยตวัดหางตาใส่ขวับ

“คำพูดดูถูกคนอื่นหยาบ ๆ แบบนี้ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเป็นถึงลูกชายประธานาธิบดี...”

“นั่นไง ไหนเมื่อกี้ใครบอกไม่ได้แอบฟัง ไม่ได้ยินอะไรเลยไม่ใช่เรอะ ?” คิ้วหนาเลิกสูง พอ ๆ กับเสียงสูงท้ายประโยคคำถาม พร้อมกันนั้นก็รับจานที่มีกุ้งตัวใหญ่มาจากมาร์ค ซึ่งเดินเอามายื่นให้ แล้วรีบกลับไปยืนประจำตำแหน่งปิ้งย่างที่เดิม

“ฉันไม่ได้แอบฟัง...อุ๊บ !” พอหญิงสาวอ้าปากจะแก้ตัว เสียงของเธอก็ต้องหลุบกลับไปในลำคอ การิมยัดกุ้งทั้งตัวที่ยังไม่ได้แกะเปลือกแข็ง ๆ ของมันออก อุดปากเล็กไว้แน่น

เนรัญดึงกุ้งออกจากปากเร็ว ๆ ปาใส่กลางตัวของชายหนุ่มเต็มแรง ความโมโหที่ถูกแกล้งทำให้นัยน์ตาสีดำตอนนี้ ราวกำลังเกิดลูกไฟเล็ก ๆ ลอยอยู่

“คุณอายุเท่าไหร่แล้ว ถึงได้ทำนิสัยแย่ ๆ มาแกล้งผู้หญิงแบบนี้”

เขาเหยียดยิ้มสะใจ “โชคดีแค่ไหนแล้วยายลูกหมา ที่ผมลดตัวลงไปป้อนข้าวป้อนน้ำให้เนี้ย หรือว่าอยากจะให้ป้อนด้วยปาก ปกติผมไม่ได้ป้อนใครด้วยวิธีนี้บ่อยนักหรอก แต่ถ้าคุณว้อนท์ ผมก็โอเคนะ”

คนโกรธเป็นไฟเม้มปากแน่น รู้ดีว่าเขาคงอยากจะแกล้งเธอเอาคืนเรื่องที่โดนพี่ชายต่างสาวเลือดของเธอแย่งผู้หญิงไปครอง ร่างบางลุกขึ้นยืนฮึดฮัด เท้าสะเอวประจันหน้ากับคนตัวใหญ่ที่นั่งไขว่ห้างยิ้มกวนโทสะซะเหลือเกิน

“ถ้าโกรธที่ยายจาเลือกพี่ชายของฉัน คุณก็ควรจะไปลงกับเธอโน้นซิ ฉันไม่ใช่คนที่หักอกคุณสักหน่อย เพราะฉะนั้นคุณไม่มีสิทธิ์มากักขังหน่วงเหนี่ยว แล้วก็ทำกิริยาหยาบคายอย่างคนไร้การศึกษากับฉันแบบนี้เด็ดขาด !” เธอตวาดเสียงเฉียบ

ชายหนุ่มที่นั่งกระดิกเท้าอยู่ เงยมองหน้าแม่สาวปากเล็กที่ด่าเขาฉอด ๆ ราวกับไม่รู้สึกรู้สมอะไร การิมขยับขายาว ๆ ของตนที่นั่งไขว่อยู่ลง ก่อนใช้มือใหญ่ทั้งสองข้างคว้าหมับกับเอวคอด หมุนตัวเธอแล้วกระตุกพรวดเดียวเร็ว ๆ ร่างเล็กบางที่ไม่ได้ตั้งตัวก็ทรุดฮวบ นั่งจมลงกับตักใหญ่ สองแขนแกร่งรวบกอดร่างหญิงสาวไว้แน่น จนหลังบางสั่น ๆ เบียดแนบกับหน้าอกกำยำ

“ว้าย ! ปล่อย อย่ากอดฉันนะ อย่าแตะต้องตัวฉัน ปล่อย...” เธอดิ้นขลุก ๆ อยู่ในวงแขน ขนลุกเกรียว

“มากกว่ากอดก็ทำมาแล้ว ผมเคยจูบคุณยังจำได้ไหม หรือว่าอยากจะมีรอบที่สอง” คำกระซิบแผ่วข้างหูเล็ก เจือเต็มไปด้วยคำข่มขู่ และเหมือนว่าจะได้ผลเมื่อเนรัญนั่งตัวแข็งทื่อทันที เธออยากจะลุกออกจากตักและวงแขนร้อน ๆ ของเขาเหลือเกิน หากก็ต้องยอมทนฟังคำขู่ที่ย้ายมากระซิบกระซาบกับพวงแก้มแดงก่ำต่อว่า “คนที่ผมเกลียดก็คือไอ้พี่ชายของคุณ เพราะฉะนั้นในฐานะที่คุณเป็นน้องสาว ก็ต้องรับผิดชอบ หรือว่าอยากจะเห็นพี่ชายตัวเองเดือดร้อน”

ตาคู่กลมสั่นระริก เกิดความกลัวขึ้นทันควัน เธอรักกันกริชและแน่นอนว่าไม่อยากจะให้เขาได้รับความเดือดร้อน “รับผิดชอบยังไง ? ฉันจะไปรับผิดชอบอะไรได้”

“แค่คุณบอกว่าไม่อยากจะให้พี่ชายแต่งงานกับแจน แล้วก็พร้อมจะร่วมมือกับผม” แขนใหญ่กระชับกอดแน่นขึ้น ทำเนรัญหายใจแทบจะไม่ออก ราวว่ากอดนี้คือการใช้กำลังคาดคั้นเอาคำตอบกลาย ๆ โดยที่เธอก็ไม่มีทางจะปฏิเสธได้เลย

“แน่นอนฉันมาที่นี่ก็เพราะจะตามพี่ชายกลับบ้าน ฉันไม่เคยอยากมีพี่สะใภ้อยู่แล้วแหละ” เสียงตอบแม้จะสั่นเกร็ง หากเต็มไปด้วยความมาดมั่นแท้จริงอย่างที่วาดหวังไว้

“ดี งั้นเราสองคนก็มาร่วมมือกัน คุณได้พี่ชายคืนไป ส่วนผมก็ได้แต่งงานกับแจน” พูดกับเสี้ยวแก้มของเธอ ขนาดยามโพล้เพล้แบบนี้ ยังรู้สึกได้เลยว่าแก้มที่ใกล้แค่ปลายจมูก ใสเนียนละเอียดมาก กลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ ของเธอก็ด้วย กำลังทำหัวใจเขาประเดี๋ยวเต้นแรง ประเดี๋ยวเต้นช้าประดุจว่านี่เป็นสัมผัสแรกที่เคยแตะต้องร่างกายผู้หญิงก็ไม่ปาน การิมกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ก่อนพูดต่อว่า “สองเดือน มีเวลาสองเดือนเท่านั้น ถ้าคุณทำให้พี่ชายของคุณถอนหมั้นกับแจนได้ แล้วเธอยอมแต่งงานกับผม ชีวิตคุณจะได้รับอิสรภาพ”

วันครบรอบวันคล้ายวันเกิดครบสามสิบปีของเขาที่จะมาถึง นั่นคือกำหนดวันแต่งงานของเขาด้วย มันเกิดขึ้นตามสัญญาลูกผู้ชายใจร้อน ซึ่งทนกับความท้าทายจากแม่เลี้ยงยอดทูนหัวของบิดาไม่ไหว ทั้งเขาและคุณปู่จึงเผลอให้อารมณ์เซ็นสัญญาบ้า ๆ นั้นไป เพื่อรักษาศักดิ์ศรีลูกผู้ชายในเวลานั้นไว้ แต่พอรู้ตัวอีกทีหลังจากมีสติและใจเย็นลงแล้ว ทั้งหมดก็เหมือนจะสายเกินแก้ ในสัญญานั้นบอกไว้ว่าถ้าเขาสามารถแต่งงานภายในกำหนด และมีทายาทสืบสกุลได้ภายในสองเดือน สัญญาทุกอย่างจะเป็นโมฆะและทรัพย์สมบัติทุกชิ้นที่รุ่นปู่สร้างมาจะตกเป็นของการิมแต่เพียงผู้เดียว

โรสลีนาแม่เลี้ยงคนสวย อยากจะให้คุณปู่ของการิมทำการแบ่งสมบัติเป็นสามส่วนอย่างยุติธรรม เพื่อว่าหนึ่งในสามส่วนนั้นจะได้ตกเป็นของบุตรชายเพียงคนเดียวของหล่อนบ้าง ซึ่งมีสิทธิ์ตามกฎหมายเพราะว่าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขบิดาเดียวกับการิม และคือหลานชายคนหนึ่งของวงศ์ตระกูลเช่นกัน ส่วนอีกสองส่วนที่เหลือก็ให้เป็นของการิมและบิดาของเขาไป หากชายวัยแปดสิบผู้เป็นคุณปู่ไม่ยอม เพราะเชื่อมาเสมอว่าบุตรชายของโรสลีนา ไม่ได้มีสายเลือดของตระกูลอารัญแม้แต่น้อย หล่อนแต่งงานเข้ามาเป็นสะใภ้หลังจากมารดาของการิมเสียไปได้แค่สองปีเท่านั้น ทว่าคุณเปรมฌอนบิดาของการิมกับยืนยันว่าใช่ และสารภาพความรักลับ ๆ ที่มีมานานระหว่างตนกับโรสลีนาให้แก่คนภายในครอบครัวรับรู้

ตอนนี้สมบัติทุกชิ้นยังคงอยู่ในอำนาจของคุณปู่ชายวัยใกล้ฝั่ง และหวังไว้ว่าจะมอบทุกสิ่งอย่างให้หลานชายที่ชื่อการิมเป็นสืบทอดดูแล เนื่องจากคุณปู่ไม่ไว้ใจบุตรชายของตนเอง เพราะรู้ว่าเปรมฌอนหลงใหลได้ปลื้มและเชื่อฟังภรรยาคนใหม่มากแค่ไหน ถ้าท่านยกสมบัติให้ไป ก็คงไม่วายต้องถูกฝ่ายหญิงยืดอำนาจไว้ทั้งหมดเป็นแน่

“ก็ได้ฉันจะทำ แต่ว่า...ที่ยอมร่วมมือกับคุณไม่ใช่เพราะทำเพื่อคุณหรอกนะ ฉันทำเพื่อตัวเอง” เนรัญรับคำเสนอเสียงห้วน หลังจากนั่งคิดอยู่บนตักใหญ่ไปพักหนึ่ง พลางแกะฝ่ามือใหญ่ที่ประสานกันปิดกั้นตัวเธอออก “คราวนี้ปล่อยฉันได้หรือยัง จะกอดให้เนื้อตัวฉันยุ่ยติดมือเลยรึไง”

ชายหนุ่มหัวเราะคึกคักในลำคอ ให้กิริยาค้อนประหลับประเหลือกน่ารักของแม่สาวน้อย ก่อนยอมตัดใจปล่อยร่างนิ่ม ๆ แต่ก็ยังมองตามคนที่ผละตัวออกไปยืนห่างราวเธอรังเกียจเขาหนักหนา ในห้วงเล็ก ๆ ของความคิด บอกว่าเขากำลังเสียดายคนในอ้อมกอดเมื่อครู่ยังไงชอบกล


หญิงสาวเดินปรี่เข้าไปยืนใกล้ผู้ชายอีกคน ที่ยืนหน้าแห้งเกรียมอยู่ตรงหน้าเตาย่าง และดูเหมือนเขาก็เหมือนพยายามจะทำไม่รู้ไม่ชี้กับภาพกัดรัดฟัดเหวี่ยงตรงหน้าเมื่อนาทีก่อน


“คุณมาร์คคะ รบกวนคุณไปส่งฉันที่โรงแรมหน่อยนะคะ” คำอ้อนวอนเสียงอ่อน พลางช้อนดวงตากลมใสวิงวอนอีกทาง มาร์คตีสีหน้าลำบากให้มองเธอปราดหนึ่งก่อนสบตากับคนเป็นเจ้านาย


การิมลุกพรวดเดินตรงมาหยุดยืนเต็มความสูงด้านหลังหญิงสาว ก่อนพูดขึ้นเสียงเย็น“นับตั้งแต่คุณรับปากว่าจะช่วยผม นั่นหมายถึงอิสรภาพของคุณไม่มีอีกแล้ว ตราบใดยังทำงานไม่สำเร็จ เราสองคนก็ต้องเห็นหน้ากันทุกวัน”


คนฟังสะดุ้งอ้าปากค้าง หันขวับไปมองใบหน้าคมคาย ที่ดูยังไงก็น่าหมั่นไส้มากกว่าจะหาเจอความหล่อ “ฉันจะอยู่กับคุณได้ยังไง อะไรฉันก็ไม่มีติดตัวมาสักอย่าง เสื้อผ้าของใช้ของฉันที่โรงแรมละจะทำยังไง...”


ชายหนุ่มยกนิ้วชี้ขึ้นแกว่งไปมาใส่ตาคู่โตวาว คล้ายจะบอกว่านั่นไม่ใช่ปัญหา “แค่บอกมาว่าคุณพักโรงแรมไหน ลูกน้องผมเขาจะจัดการทุกอย่างให้คุณเอง”


++++++++++++++++++++


เนรัญต้องจำใจนอนอ้างค้างแรมกับผู้ชายแปลกหน้าที่บ้านชายทะเลของเขา ตลอดทั้งคืนเธอแทบไม่กล้าข่มตาหลับให้สนิท แม้จะผล็อยหลับเป็นพัก ๆ แต่ก็พยายามเหลือเกินจะปลุกตัวเองให้รู้ตัวอยู่เสมอ กลัวสารพัดในสิ่งที่มองไม่เห็น และไอ้ตัวที่มองเห็นสูง ๆ ขาว ๆ ยิ่งน่ากลัวมากกว่าอื่นใด ถ้าเกิดการิมบ้าบิ่นขึ้นมาแล้วเข้าไปปลุกปล้ำเธอ มันไม่คุ้มที่ต้องเสียสาวให้เขาเป็นแน่ เมื่อคืนก่อนเข้านอนเธอเลยแอบย่องไปค้นของในห้องเก็บของที่เธอสังเกตเห็นตั้งแต่หัวค่ำ ได้อาวุธติดมือมาเป็นไม้เบสบอลและมันก็กลายเป็นหมอนข้างที่เธอนอนกอดหลับ ๆ ตื่น ๆ ทั้งคืน


“ก๊อก ก๊อก ก๊อก...” เสียงเคาะประตูรัวติดกันยาว ก่อนตามด้วยเสียงเรียกห้วนห้าว “ตื่นรึยังคุณ สายแล้วนะมัวแต่นอนตูดโด่งอยู่นั่นแหละ” มือใหญ่เงื้อขึ้นหวังเคาะลงกับประตูห้องนอนอีกรอบ หากต้องค้างเติ่งยามที่เจ้าของห้องเปิดประตูออก


“ตื่นได้ชาติหนึ่งแล้วล่ะค่ะ มีอะไรไม่ทราบ”


การิมกวาดตามองคนตัวเล็กตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าเสื้อยืดตัวใหญ่ ๆ สีสดกับกางเกงขาสั้นกุดสีขาวเหมือนจะธรรมดา แต่กลับดูดีตอนอยู่บนเนื้อตัวเจ้าหล่อน ชายหนุ่มนึกชมในใจก่อนเอ่ยขึ้นว่า


“วันนี้ผมจะพาคุณไปตลาดปลา หาซื้อของสดมาทำอะไรกิน”


“อ้าว ! ฉันก็นึกว่าวันนี้คุณจะพาเข้าไปในเมือง ไปพบพี่ชายฉันซะอีก” ยกแขนขึ้นกอดอกแน่น แล้วเชิดหน้าพูดต่อ “คุณจะมัวเสียเวลาใจเย็นอยู่ทำไม ไม่รีบเริ่มหาวิธีแย่งแฟนคืนสักที แล้วเมื่อไหร่เกมจะจบ”


“เวลานี้ผมคือเจ้านายของคุณ เป็นคนออกคำสั่ง ผมอยากจะไปที่ไหน อยากจะทำอะไรเมื่อไหร่ มันก็ขึ้นอยู่กับผม” คนตัวสูงโน้มหน้าลงมาเสมอคนตัวเล็ก เค้นเสียงลอดไรฟัน “จะพาไปสูดอากาศไม่อยากไปหรือไง”


สุดท้ายหญิงสาวก็ยอมจำนนอย่างเสียมิได้ เธอนั่งรถคันใหม่ซึ่งไม่ทราบว่าพวกการิมได้มาจากที่ไหน แต่รถคันนี้ไม่ใช่คันที่เกิดอุบัติเหตุเมื่อวานแน่นอน นึกขึ้นได้ถึงอุบัติเหตุเนรัญก็ใจหายแวบ ทำไมเธอถึงเห็นภาพพวกนั้นได้นะ ไม่แปลกหรอกที่การิมกับมาร์คสงสัย เพราะตัวเธอเองก็งงกับอาการวูบวาบและภาพล่วงหน้าพวกนั้นเช่นกัน


มาถึงตลาดปลาใกล้ชายทะเล การิมก็เดินนำเข้าไปโดยไม่ลืมบังคับให้เนรัญเดินตามมาด้วย ส่วนลูกน้องคนสนิทเขาให้รออยู่ที่รถยนต์ เพราะเรื่องเมื่อวานที่ยังสืบไม่ได้ว่าเกิดขึ้นเพราะอุบัติเหตุหรือมีคนจงใจฆ่า ทำให้เจ้านายและลูกน้องไม่อยากไว้วางใจใครอีก


ตลาดปลายามเช้าดูวุ่นวาย มีพ่อค้าแม่ค้าที่นำอาหารทะเลสด ๆ ใหม่ ๆ ขึ้นมาจากทะเลวางขายตามแผงกลาดเกลื่อน น้ำเฉอะแฉะบนพื้นกับกลิ่นเหม็นคาวจากกุ้ง หอย ปู ปลา ทำให้เนรัญเกิดอาการคลื่นไส้ขึ้นมาตงิด ๆ เธอยกมือปิดจมูก หากสายตาก็มองตามชายหนุ่มที่เดินนำดุ่ม ๆ อย่างไม่มีท่าทีสะอิดสะเอียดแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำเขายังยิ้มทักทายพวกพ่อค้าแม่ค้าราวกับสนิทสนมรู้จักคนทั้งตลาด


“ไม่อยากเชื่อเลยว่าลุงจะเป็นลูกประธานาธิบดี คนระดับนั้นมาเดินติดดินแบบนี้ได้ด้วยเหรอ” คนบ่นพึมพำแบะปากตามหลังกว้าง ถึงกับสะดุ้งเฮือก เมื่อได้ยินเสียงเรียกตะคั้นตะคอก


“มานี่ซิยายเปี๊ยก ! จะกินอะไรก็มาดู ยืนเบื้ออยู่ได้” เท้าเล็กที่อยู่ในรองเท้าผ้าใบส้นเตี้ยกระแทกเดินกระบึงกระบอนตรงไปหาคนที่กวักมือเรียก


หญิงสาวเดินไปหยุดยืนข้างร่างสูงโปร่งได้ไม่ถึงนาที ความรู้สึกบางอย่างบอกว่ามีใครบางคนกำลังจะเดินตรงมาทางนี้ และเป้าหมายของคนผู้นั้นก็เหมือนว่าจะเป็นการิม


“คุณหันไปมองขวามือคุณซิ ผู้ชายคนที่กำลังเดินตรงมาคุณรู้จักเขาหรือเปล่า” เนรัญบอก การิมขมวดคิ้วงงหากแต่ก็ปรายหางตามองตาม ปราดเดียวเท่านั้นชายหนุ่มก็รีบคว้าแขนเล็กจูงให้เดินออกจากจุดนั้นไว ๆ “ใครกันทำไมต้องหนีด้วย ?”


“คนของแม่เลี้ยงผมเอง น่าจะเป็นนักข่าว” เขาบอกพลางฉุดแขนเธอให้ก้าวเร็วขึ้นอีก พาเดินเลาะไปทางริมทะเล ช่วงที่มีซอกของโขดหินสูง


“ทำไมต้องหลบนักข่าวด้วยล่ะ” หญิงสาวกระซิบถาม ขณะที่ตัวเองก็ถูกยัดเข้าไปในซอกหินพอดีตัว พร้อม ๆ กับการิมที่เข้ามายืนเบียดอยู่ด้วย


“ถ้าไม่หลบแล้วนักข่าวคนนั้นถ่ายรูปของผมกับคุณได้ พรุ่งนี้คงมีข่าวเรื่องแต่งงานของผมประกอบภาพสวีตหวานพาดอยู่หน้าหนังสือพิมพ์แน่ แม่เลี้ยงผมต้องการให้มันเป็นอย่างนั้น”


“แล้วยังไง มันเป็นเรื่องน่าเสียหาย ถึงต้องพากันมาหลบแบบนี้เลยเหรอ” หญิงสาวหรี่เสียงถาม ระหว่างที่การิมก็เบียดกายเข้ามายืนอยู่ตรงข้าม แนบชิดแทบไม่มีช่องว่างให้ขยับตัว “ถ้าบังเอิญฉันต้องโดนเข้าใจผิดเป็นข่าวกับคุณขึ้นมาจริง ๆ คุณก็ไปแก้ข่าวได้นี่ บอกว่าฉันเป็นเพื่อนหรือใครก็ได้”


“มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คุณคิดหรอก แล้วก็ไม่ได้สำคัญว่าผู้หญิงที่ตกเป็นข่าวกับผมคือใคร แม่เลี้ยงของผมแค่อยากทำให้ผมขายหน้า เธอประกาศให้คนทั้งประเทศรู้ไปครั้งหนึ่งแล้วด้วยว่าจะมีงานแต่งงานของผมเกิดขึ้น ยิ่งเห็นผมมาอยู่กับผู้หญิงก็เหมือนเป็นการยืนยันว่าเรื่องข่าวแต่งงานเป็นความจริง เพราะฉะนั้นถ้าเกิดงานแต่งล่มไม่มีเจ้าสาว คราวนี้คุณปู่ของผมคงโรคหัวใจกำเริบขั้นรุนแรง” เขาสาธยายยาว โน้มหน้าคมคายใกล้เรียวหน้าสวยอีกนิด “ช่วยกันหน่อยซิคุณ ถือว่ามันเป็นงานแรกของเราที่ร่วมมือกัน”


เนรัญแทบจะหยุดหายใจ รู้สึกถึงไอความร้อนจากกายชายที่สนิทใกล้ชิดมากขึ้น เสียดสีกับต้นแขนเล็กซึ่งยกขึ้นกั้นระหว่างหน้าอกของทั้งสอง ก่อนที่ร่างบางเกือบจะละลายเหมือนขี้ผึ้งถูกไฟรน เมื่อการิมดึงเธอเข้าไปกอดฝังอยู่กลางอก พร้อมสบหน้าซุกระหว่างต้นคอขาวระหง


“จะ...จะทำอะไร” เธอถามเสียงสั่นไม่เป็นส่ำ พยายามจะผลักคนตัวใหญ่ออกแต่เนื้อที่ไม่มีให้ขยับตัวหนีไปได้เลย นอกจากว่าเขาจะยอมปล่อยเธอแล้วให้เดินออกไปจากซอกโขดหินแคบ ๆ นี้เท่านั้น


“ทำเหมือนคู่รักไง ขืนให้ผมชูคออยู่แบบนี้ถ้าผู้ชายคนนั้นเดินผ่านมาเห็น รับรองเขาจำผมได้แน่” เขากระซิบบอก ขณะพาดคางแหลมกับไหล่เล็ก สากไรเคราที่เหมือนจะไม่ได้โกนมาสักสามวัน มันยาวพอที่จะสร้างความสยิวจั๊กจี้ให้ผิวอ่อนบาง


“เอาหน้าออกไปนะ รู้ไหมคุณกำลังจะทำให้ฉันเป็นผื่น”


การิมเงยหน้าสบตากับดวงตาคู่สวยกราดเกรี้ยว แสยะยิ้มมุมปากนิดหน่อยก่อนกระซิบยียวน “โอ้แม่เจ้า...ผิวคุณมันบอบบางมากขนาดนั้นเลยรึครับ”


ชายหนุ่มนึกสนุก อยากจะรู้จริงว่าเธอจะเป็นผื่นคันอย่างที่ว่าไหม หน้าตาเขามันสกปรกมากขนาดที่จะทำให้ผิวขาว ๆ ของเจ้าหล่อนเกิดอาการแพ้เลยรึไร การิมกดไรคางสากคลอเคลียทั่วแก้มและต้นคอหญิงสาว คนตัวเล็กที่ไม่มีทางหนีจึงทำได้แค่ดิ้นเบี่ยงหน้าหลบไปมา ไม่นานต้นคอขาวก็แดงเป็นปื้น


“หยุดนะ...อีตาบ้า !” รวบรวมแรงทั้งหมดผลักศีรษะเขาออกห่าง


“โอ้ ! ผมเชื่อละ ผิวคุณแพ้ง่ายเหมือนตูดเด็กจริง ๆ” การิมยอมรับว่าตกใจเหมือนกันที่เห็นผิวแม่หนูน้อยไวต่อความรู้สึกมากขนาดนี้ ดวงตาคมเคลื่อนมองทั่วดวงหน้าหวาดหวั่นของหล่อน แล้วสายตาก็ถูกตรึงไว้หยุดตรงปากเรียวบางสีชมพู เขาเองนึกอยากจะลองสัมผัสอีกสักครั้ง อยากจะรู้นักว่าจุมพิตที่ให้ความรู้สึกพิเศษต่างจากหญิงอื่นที่เกิดขึ้นเมื่อวาน มันเป็นตามนั้นจริง ๆ หรือว่าแค่ความบังเอิญในคราวแรก


เขาแตะริมฝีปากจูบเร็ว ๆ บนกลีบปากนุ่มนิ่มไปทีหนึ่ง แค่เท่านั้นก็ทำให้หัวใจผู้ชายที่เคยผ่านประสบการณ์ตามวัยมานับครั้งไม่ถ้วน เกิดอาการเย็บวูบวาบในบัดดล เขาไม่ได้รักไม่ได้ชอบเจ้าหล่อนสักหน่อย แล้วทำไมถึง...


เพียะ ! เจ็บจังโว้ย ! การิมยกมือขึ้นลูบแก้มที่โดนฝ่ามือเล็กตวัดตบฉาดเข้าให้เต็มแรง


“งานบ้าอะไรของคุณ หลอกจูบฉันใช่ไหม” แหวเสียง ดวงตาลุกวาวด้วยความโกรธ


“เด็กบ้าเอ้ย ! ไม่ต้องกลัวผมจะพิศวาสคุณหรอกน่า นอนแก้ผ้ายังไม่รู้จะน่าดูหรือเปล่าเลย” คำปรามาสทำคนตาโตอยู่แล้ว ลูกกะตาแทบทะลักออกจากเบ้า


เธอกัดปากตัวเองแน่น ถ้าไม่เห็นแก่สวัสดิภาพของพี่ชาย รับรองต้องมีตายกันไปข้างหนึ่งเดี๋ยวนี้เลย หญิงสาวผลักคนตัวโตออกแรงอีกครั้ง หลังเขาปล่อยมือจากเธอไปกุมแก้มแดง ๆ แทน เนรัญเดินปึงปังออกมาจากซอกโขดหินไปยังหาดทรายเม็ดละเอียด ก่อนจะเอ๊ะใจกวาดตามองหานักข่าวคนที่ว่า แต่กลับไม่เห็นเงาของใครเลย


หญิงสาวส่ายหน้าระอา นี่พึ่งจะรู้จักกันไม่กี่ชั่วโมง การิมก็มีเรื่องวุ่นวายเยอะแยะน่าปวดหัวขนาดนี้ ถ้าเรื่องที่เขาเล่าเป็นความจริง เธอรู้สึกได้เลยว่าชีวิตคนรวยมีอำนาจมากไปบางทีก็หาได้สุขสบายกายใจอย่างที่คนอื่นมองเห็น เนรัญยกนาฬิกาเรือนสวยบนข้อมือขึ้นดู เวลาบอกอีกหนึ่งนาทีเก้านาฬิกาตรง ระหว่างที่คิดจะเดินไปหามาร์คที่รถ เป็นช่วงหนึ่งที่ลมพลิ้วพัดอ่อน ๆ ริมทะเลสงบนิ่ง เพียงแค่ไม่กี่วินาทีจริง ๆ ที่สายลมสงบราวกับโลกหยุดการเคลื่อนไหว และช่วงเวลาเดียวกันนั้นเองประกายไฟบางอย่างเหมือนแสงสายฟ้าฟาดวิ่งปราดเข้ามาในหัวสมอง เนรัญขยายม่านตาโตหมุนตัวกลับรวดเร็ว แล้ววิ่งสุดแรงกำลังกลับไปหาการิมที่เดินคลำแก้มป้อย ๆ ตามหลังมา


“คุณหมอบลง !” เธอตะโกนบอกเขาสุดเสียง พร้อม ๆ กับกระโจนตัวพรวดผลักคนตัวสูงซึ่งยืนหัวโด่ให้ล้มลง สองร่างกอดกันกลิ้งหลุน ๆ ไปบนผืนทราย ก่อนหยุดนิ่ง


ฉึก! บางอย่างเป็นแทงแหลม ๆ ปักลงกับทราย มันฉิวเฉียดคนทั้งสองไปแค่นิดเดียว การิมหันมองสิ่งนั้น ที่หวุดหวิดเกือบจะปักกลางศีรษะของเขาจังเบ้อเริ่ม ถ้าเนรัญไม่เสี่ยงชีวิตเข้ามาช่วย


“บ้าเอ้ย ! ใครกันว่ะมายิ่งธนูเล่นบนชายหาด มันน่าจับมาหักคอนักเชียว” เขาสบถ หน้าซีด ๆ เมื่อเสี้ยวนาทีก่อนเริ่มเปลี่ยนเป็นแดงจัดด้วยโทสะ หากหันกลับมามองคนที่นอนทับอยู่เหนือลำตัว พบว่าเธอหน้าขาวราวกระดาษ


คราวนี้เนรัญไม่หมดสติไปเสียก่อน เธอกล่าวเสียงสั่นระรัวทั้งยังนอนนิ่งอยู่บนตัวเขาว่า “แน่ใจเหรอคะ ว่านี่เป็นการยิ่งธนูเล่นเฉย ๆ”


ทั้งสองขยับตัวลุกขึ้นนั่ง มองไปทางลูกธนู กำลังที่ยิงส่งแรงและรวดเร็วได้มากเช่นนี้ แสดงว่าคนยิงธนูดอกนี้มา คงไม่ใช่ฝีมือธรรมดา ๆ เป็นแน่



กันเหงา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 มิ.ย. 2555, 20:04:22 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 มิ.ย. 2555, 20:04:22 น.

จำนวนการเข้าชม : 1416





<< ตอนที่ 1 พระพรหมสีชมพู   ตอนที่ 4 พระพรหมสีชมพู >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account