เพลงมาร
'เพลงมาร' จุดเริ่มต้นของเรื่องราวการตายอย่างมีเงื่อนงำ หลายชีวิตที่จากไป ล้วนเกี่ยวโยงกับมัน
ร่วมกันค้นหาความจริงเกี่ยวกับความตาย เสียงเพลง และหญิงสาวผู้เกิดมาพร้อมเสียงขับร้องแสนหวาน หากแฝงเร้นด้วยมรณกรรม และ คำสาปแช่ง
ร่วมกันค้นหาความจริงเกี่ยวกับความตาย เสียงเพลง และหญิงสาวผู้เกิดมาพร้อมเสียงขับร้องแสนหวาน หากแฝงเร้นด้วยมรณกรรม และ คำสาปแช่ง
Tags: เพลง ความตาย อาถรรพ์ อุปรากร ลี้ลับ
ตอน: องก์ที่ ๑๑
+++++++++++++++++
ทันทีที่ประตูลิฟต์บริเวณลอบบี้เปิดออก ทองธารก็ตรงดิ่งไปยังโต๊ะรับรองในส่วนโถงต้อนรับ ดวงหน้าถมึงทึงเอาเรื่อง มีสาลี่ไล่ตามหลังด้วยความกังวล
บริเวณดังกล่าวเป็นโถงกว้าง พื้นปูด้วยหินอ่อนขัดมัน มีชุดรับแขกทำจากหวายสานรองด้วยเบาะนวมสีแดงก่ำตั้งไว้เป็นจุดๆ แขกเหรื่อของโรงแรมหลายคนกำลังใช้บริการ บ้างพักดื่มกาแฟ บ้างตั้งวงสนทนา เหล่านั้นบางกลุ่มเป็นคนไทย บางกลุ่มเป็นชาวต่างชาติ
ทว่าทองธารไม่สนใจใครอื่น นอกเสียจากชายในชุดดำสองคนที่กำลังนั่งหันหน้าให้ประตูทางเข้า ครั้นเดินไปถึงก็ยกมือไหว้ตามารยาท นั่งลงที่เก้าอี้ซึ่งอยู่เยื้องกัน ก่อนเริ่มประเด็นที่ทำให้หล่อนตัดสินใจลงมา
"พ่อทำเกินไป...เล็กมันเกี่ยวอะไรด้วย!" นักร้องสาวกัดกรามกรอด จับจ้องบิดาที่เมินหน้าหนีด้วยความไม่พอใจ เสียงของหล่อนดังอยู่ไม่น้อย "พ่อไม่เคยฟังที่ใครเขาเตือนเลย ไม่พอใจก็จับขัง ไม่พอใจก็ตบตี น้องมันไม่ใช่หมูไม่ใช่หมานะ พ่อถึงจะทำกับมันอย่างนั้นได้!"
สาลี่ที่นั่งข้างๆ เอามือทาบอก แขกเหรื่อรอบด้านเริ่มหันมอง ทว่าหญิงสาวไม่อินังขังขอบ นายอรรถเองก็ยังไม่มีท่าทีโต้ตอบ จะมีก็เพียงปถวีที่นั่งข้างๆ นายอรรถเท่านั้นที่ออกตัว
"ใจเย็นๆ นะน้ำ ที่เล็กมันถูกทำโทษเพราะมันขึ้นเสียงเถียงลุงอรรถต่างหาก" ชายหนุ่มอธิบาย "เล็กมันทำไม่เหมาะสม พี่เองในฐานะพี่ชายก็ต้องเตือนมัน"
สีหน้าและน้ำเสียงที่แสดงออกมาแม้จะทำให้เห็นถึงความอ่อนโยน ทว่าไม่มีวันเสียล่ะที่ทองธารจะหลงกล ผู้ชายคนนี้หน้าซื่อใจคด ต่อหน้าคนอื่นทำเป็นพ่อพระใจอารี แต่ลับหลังก็ไม่ต่างจากมารสังคม เหมือนนางยุพา แม่ของมันไม่มีผิด
"แน่ใจหรือว่าเล็กมันขึ้นเสียง" ทองธารเปรยราวพูดกับอากาศธาตุ ไม่ได้หันมองพี่ชายนอกสายเลือดเสียด้วยซ้ำ "ถ้าคนอย่างเวหาขึ้นเสียงเป็น คนอย่างทองธารก็คงแม่ค้าปากตลาดแน่ๆ"
นักร้องสาวลอยหน้าลอยตาตอบ นัยน์ตาปรายมองผู้เป็นบิดาแล้วชักสีหน้าใส่ "คนเราถ้าลงไม่พอใจสักอย่าง ต่อให้พูดอ่อนหวานแล้วคลานเข่าเข้าหามันก็ผิดวันยังค่ำ"
"น้ำ!" ปถวีหน้าสลด หันมองนายอรรถสลับกับหญิงสาวด้วยความกังวล "ทำไมน้ำพูดกับลุงอรรถอย่างนั้น ถ้าน้ำจะต่อว่าพี่เพราะความไม่ชอบส่วนตัว พี่จะไม่ว่าอะไรเลย แต่พูดกับลุงอรรถอย่างนี้มันไม่เหมาะเลยนะน้ำ"
ทองธารเม้มริมฝีปากแน่น ได้ยินคำพูดแต่ละคำของชายหนุ่มก็ชวนให้คลื่นเหียนเวียนไส้ ไม่ใช่เพราะบทบาทเช่นนี้หรอกหรือที่ทำให้หล่อนกลายเป็นคนผิดในสายตาของบิดามาตลอด การแสดงชั้นบรมครูที่แม้แต่หล่อนก็ต้องพ่ายแพ้ เขาจะได้รับสืบทอดมาจากใคร หากไม่ใช่นางยุพาผู้เป็นมารดา
ครั้นตั้งใจจะสวนความกลับให้เจ็บแสบ นายอรรถก็ถลันลุก ปราดเข้าคว้าข้อมือของหล่อนแล้วฉุดกระชากให้ตามออกไปข้างนอกโรงแรมไม่ปราณี
++++++++++++++++++++
ครั้นฉุดทองธารออกมาด้านข้างโรงแรมเรียบร้อย นายอรรถก็เหวี่ยงจนหญิงสาวถลาล้มกองกับพื้น บริเวณดังกล่าวเป็นลานซีเมนกว้าง ชิดตัวตึกในจุดอับสายตา ปลอดคนพอที่เขาสามารถจัดการปัญหาทุกอย่างกับหล่อนโดยไม่มีใครรบกวน ฝ่ายสาลี่วิ่งตามมาเห็นเข้าจึงรี่ประคอง นัยน์ตาเหลียวมองนายอรรถไม่พอใจ
"ทำไมต้องรุนแรงกันขนาดนี้คะคุณพ่อ เกิดน้องน้ำแขนขาหักไปจะทำยังไง" ผู้จัดการสาวต่อว่าเสียงแข็ง หากบุรุษวัยกลางคนกลับกระตุกมุมปากยิ้ม
"ตายไปเลยยิ่งดี!"
ทองธารชาวาบราวถูกราดด้วยน้ำเย็นเฉียบ แม้สาลี่ที่นั่งประคองอยู่ก็ปากอ้าตาค้างด้วยความคาดไม่ถึง ควรน่าตกใจอยู่หรอก ใครจะนึกว่าพ่อบังเกิดเกล้าจะพูดกับลูกสาวแท้ๆ ของตัวเองเช่นนี้
"ทำไมคุณพ่อพูดอย่างนี้คะ!" สาลี่ออกปากด้วยความโมโห "นี่ลูกสาวคุณพ่อนะคะ!"
"แกหุบปากไปเลย!" นายอรรถชี้หน้าสาลี่ตวาดลั่น จากนั้นจึงหันมองทองธารเหี้ยมเกรียม "นี่มันเรื่องระหว่างฉันกับมัน ใครไม่เกี่ยวก็อย่าพูดให้มาก"
สาลี่ทำท่าจะเถียงต่อ ทว่าจำต้องสงบปากคำเมื่อนักร้องสาวไหวดวงหน้าเป็นเชิงห้ามปราม
แน่นอน...มันคือเรื่องของ 'หล่อน' กับ 'บิดา'
"ว่ามาเลยค่ะ!" ทองธารหยัดตัวลุกยืน เชิดหน้าตอบบิดาด้วยนัยน์ตาแข็งกร้าวไม่ต่างจากอีกฝ่าย "มีเรื่องอะไรจะต้องพูด ก็พูดมันให้จบที่ตรงนี้!" ว่าพลางชี้นิ้วลงพื้น
บัดนี้บรรยากาศในแบบเดิมได้หวนกลับมาอีกครั้ง รอบกายของชายวัยกลางคนและหญิงสาวราวมีภูเขาน้ำแข็งโอบล้อม ทั้งคู่ต่างจับจ้องอีกฝ่ายแน่วนิ่ง ราวศักดิ์และสิทธิ์นั้นยิ่งใหญ่ค้ำคอ เกินกว่าใครฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะยอมก้มหัว
"แกมันสารเลว ร้องเพลงอัปรีย์ในงานพี่อินทร์ทำไม?!" นัยน์ตาของนายอรรถแดงก่ำ ฉ่ำด้วยม่านน้ำ คำพูดแต่ละคำที่เค้นออกมาสั่นเครือและเจ็บปวดจนหญิงสาวรู้สึกได้ "ใครให้แกร้องเพลงจัญไรนั้นในงาน"
ทองธารหน้าซีด ไหวดวงหน้าน้อยๆ นัยน์ตาเริ่มคลอรื่นด้วยม่านน้ำไม่ต่างกัน
"แกตั้งใจจะฆ่าพี่อินทร์ใช่ไหม?! แกถึงได้ร้องเพลงอัปมงคลในงานเลี้ยงนั่น!" นายอรรถตวาดลั่น ปราดเข้าไปจับตัวหญิงสาวเขย่าด้วยความโมโห น้ำตาไหลพรากอาบสองแก้ม "บอกฉันมาสิ แกร้องเพลงนั้นทำไม?!"
"ปล่อยหนูเดี๋ยวนี้นะ!" ทองธารสะบัดตัวจนหลุดจากมือของบิดา จากนั้นจึงเชิดหน้าทั้งนัยน์ตาพร่าพรายด้วยม่านน้ำ "ลุงอินทร์ให้น้ำร้อง แล้วมันก็เป็นแค่เพลงด้วย พ่อเข้าใจคำว่าเพลงหรือเปล่า ไม่ใช่ปืน! ไม่ใช่มีด! มันฆ่าคนไม่ได้!"
"แต่ความอัปรีย์จัญไรมันทำได้!" นายอรรถเถียงจนหน้าแดงลามถึงใบหู "เพลงระยำที่ใครฟังก็ต้องตาย แต่แกก็ยังกล้าเอาไปร้องในงานพี่อินทร์ แกมันชั่วช้าสารเลวจริงๆ!"
"พ่อหยุดพูดจาแบบนี้ได้แล้วนะ" แม้จะล่วงรู้ความหมายของบิดา หากนักร้องสาวก็ทนไม่ได้ที่นายอรรถจะมาพาดพิงถึงบทเพลงซึ่งเป็นที่รักของมารดา มิหนำซ้ำยังมีเจ้าของและที่มาซึ่งแม้แต่หล่อนก็ต้องให้เกียรติ "ให้เกียรติเจ้าของเพลงเขาด้วย พ่อพูดอย่างนี้เป็นการดูถูกเขาชัดๆ"
นายอรรถกัดกรามกรอด นิ่งฟังทองธารคร่ำครวญ
"อีกอย่าง...ถ้ามันเป็นเพลงอัปรีย์อย่างที่พ่อว่าจริงๆ ทำไมกี่คนต่อกี่คนที่เขาร้องถึงไม่เป็นอะไร จำเพาะเจาะจงอะไรต้องมาลงที่น้ำ หรือเพราะน้ำเป็นลูกของแม่ แม่รักเพลงนี้ พ่อก็เลยจงเกลียดจงชังน้ำกับแม่นัก!"
"หุบปาก!" ฉับพลันทันที ทองธารก็ถูกตบจนถลาลงกองกับพื้น สาลี่ที่ยืนข้างๆ ได้แต่นิ่งอั้น ปถวีพยายามเข้าไปจับตัวนายอรรถที่ทำท่าจะปราดเข้าไปคว้าทองธารมาทำร้ายอีกครั้ง "แกเลิกพูดถึงแม่ของแกได้แล้ว! มันตายก็เพราะแก! เพราะเพลงระยำที่แกร้อง! ใช่สิ...คนอื่นร้องมันไม่เป็นอะไรหรอก แต่แก..."
มือที่ชี้นิ้วมายังทองธารสั่นไหวจนควบคุมแทบไม่ได้ "แกมันนางฆาตกร! เสียงของแกมันเสียงจากภูตผี! ร้องเพลงห่าอะไรมันก็เป็นเพลงอัปรีย์จัญไรไปหมด! นำแต่ความหายนะมาให้ทุกคน!"
"แน่ใจหรือว่าเพราะน้ำ!" ทองธารหยัดตัวลุกฉับพลัน แทบไม่สนใจสาลี่ที่พยายามประคอง ใบหน้าขาวเป็นรอยแดงด้วยฝ่ามือของบิดา นัยน์ตาจับจ้องราวงูเห่าที่พร้อมพ่นพิษใส่ศัตรู "แน่ใจหรือว่าที่แม่ตายไม่ใช่เพราะพ่อนอกใจไปคว้านางยุพามาทำเมีย! ลืมไปแล้วหรือยังไงว่าเพลงนี้แม่เคยร้องให้พ่อในวันแต่งงาน! คนที่ทำให้แม่ตายก็คือพ่อต่างหาก!"
"สารเลว!" นายอรรถได้ยินเข้าก็เต้นผาง ปราดไปหมายจะตบตีทองธารเป็นรอบที่สอง ทว่ายังโชคดีที่ปถวีคว้าตัวไว้ได้ ทั้งยังรีบไล่ให้สาลี่พาทองธารออกไปเสียก่อนเรื่องราวจะบานปลายรุนแรง ฝ่ายนักร้องสาวไม่ยอมราข้อ ระหว่างที่สาลี่ลากตัวออกไปอย่างทุลักทุเล หล่อนยังคงตะโกนลั่นตลอดทางว่าผู้เป็นบิดาต่างหากที่ทำให้มารดาต้องจากไป
"เพราะพ่อ!" นักร้องสาวแผดเสียงทั้งร่ำไห้ น้ำตาไหลพรากอาบสองแก้ม "พ่อทำให้แม่ทิ้งน้ำไป! พ่อทำร้ายแม่! น้ำเกลียดพ่อ ได้ยินไหม...น้ำเกลียดพ่อที่สุด!"
กว่าร่างทองธารกับสาลี่จะลับเหลี่ยมมุมตึก ปถวีก็แทบหมดแรงกับการพยายามยื้อยุดฉุดกระชากร่างของพ่อเลี้ยง กระทั่งเสียงร่ำไห้ของนักร้องสาวลอยหาย นายอรรถก็เลิกดิ้นรนทั้งยังทรุดตัวลงร่ำไห้หมดสภาพ
"ลุงไม่ไหวแล้วตาใหญ่...ไม่ไหวจริงๆ" นายอรรถก้มหน้าพลางร่ำไห้
ปถวีสบโอกาส เห็นช่องทางพลิกสถานการณ์ให้ตนได้แต้มต่อ จึงเข้าประคองบุรุษวัยกลางคน แนะนำให้กลับบ้านและไปพักผ่อนเพื่อเตรียมจัดงานให้แก่ครูอินทร์ผู้จากไป
"กลับไปพักที่บ้านก่อนเถอะครับลุงอรรถ เรายังมีงานศพของครูอินทร์ต้องจัดการอีกนะครับ" ชายหนุ่มเสนอแนะ
"นั่นสินะ" นายอรรถว่าพลางพยักพเยิด เช็ดน้ำตาหมดจดก็ตบบ่าของลูกเลี้ยงหนุ่มพลางยิ้ม "ขอบใจนะที่เตือนสติลุง พาลุงกลับบ้านเถอะตาใหญ่ ลุงอยู่ที่นี่ไม่ไหวแล้ว"
"ครับ" ปถวีช่วยประคองพ่อเลี้ยง ตลอดทางที่ไปยังรถ เขาชวนอีกฝ่ายพูดคุยด้วยเรื่องต่างๆนานาจนเพลิดเพลิน รวมถึงอาสาช่วยเหลืองานศพของครูอินทร์อย่างเต็มความสามารถ ทั้งที่แท้จริงแล้ว ตัวเขาไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับผู้ตายแม้แต่ประการเดียว
++++++++++++++++
ดารุจมาพบปุณฑริกที่บ้านหลังเลิกงานตามที่นัดหมาย เข้ามาก็พบกวีรออยู่ก่อนหน้าพร้อมจิตแพทย์สาว ทั้งสองนั่งในห้องรับแขก ต่างฝ่ายยังคงอยู่ในเครื่องแบบแพทย์และนายตำรวจ ใบหน้าเคร่งเครียด จนชายหนุ่มเชื่อมั่นว่าเรื่องที่เพื่อนสาวโทร. ไปแจ้งเมื่อช่วงเที่ยง คงเป็นความจริงที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง
"ครูอินทร์เป็นอะไรไป?!" ดารุจถามขึ้นหลังจากนั่งลงบนเก้าอี้บุนวมเยื้องจิตแพทย์สาว ฝ่ายกวีได้แต่ถอนหายใจอ่อนล้า ทอดสายตามองปุณฑริกราวต้องการบอกให้หล่อนเป็นผู้ตอบคำถามนั้นแทน
"คือ...ครูอินทร์..." ปุณฑริกเม้มปากอ้ำอึ้ง "ครูอินทร์แก...กินยาเกินขนาด"
"กินยาเกินขนาด!" บรรณารักษ์หนุ่มทวนความราวไม่เชื่อถือ "เธอแน่ใจหรือปุ่น นั่นมันฆ่าตัวตายชัดๆ"
บรรณารักษ์หนุ่มหันไปหานายตำรวจผู้เป็นเพื่อน หวังให้ยืนยันในสิ่งที่ได้ยิน หากอีกฝ่ายกลับพยักพเยิดเคร่งขรึม ไม่พูดสิ่งอื่นใด
"เกิดอะไรกันแน่?!" ดารุจหันกลับมาถามจิตแพทย์สาว
"ครูมีโรคประจำตัว..." ปุณฑริกที่นั่งเยื้องกันช่างแตกต่างจากเพื่อนสาวอารมณ์ดีของเขาลิบลับ ไม่มีการล้อเลียนหรือเล่นหัว ที่ปรากฏให้เห็นกลับเป็นเพียงความเคร่งเครียดและกังวล "ครูเป็นโรคหัวใจ มียากินประจำตัวเป็น 'ดิจ็อกซิน' ยาสำหรับรักษาผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลวและโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ วีมันทำคดีนี้ ฉันเลยพาเพื่อนหมอนิติเวชไปช่วยวีมันตรวจสอบ พวกเราพบแกนอนสิ้นใจในห้อง คาดว่าคงเสียชีวิตตั้งแต่ช่วงตี ๒ สภาพศพนอนนิ่งบนเก้าอี้โยก สองมือกอดรูปภรรยาที่เสียไปแล้ว นอกจากนั้นยังเจอขวดยาเปล่าตกอยู่พร้อมเม็ดยาดิจ็อกซิน ๒ - ๓ เม็ด"
จิตแพทย์สาวว่าพลางถอนใจอ่อนระโหย "คงไม่ต้องให้ฉันอธิบายใช่ไหม...สำหรับผลข้างเคียงจากการได้ยารักษาโรคหัวใจเกินขนาด ยาพวกนี้มีช่วงความปลอดภัยในการรักษาที่แคบมาก ปริมาณยาในกระแสเลือดผิดไปนิดเดียวก็กลายเป็นพิษต่อหัวใจและอวัยวะต่างๆ ทันที "
"แต่นี่ครูกินหมดขวด!" เสียงของบรรณารักษ์หนุ่มแหบพร่า นัยน์ตามัวด้วยม่านน้ำ "ทำไมล่ะ...หรือเพราะฉัน...เพราะฉันมันนำโชคร้ายอีกแล้ว!"
"นี่! อย่าโทษตัวเองอย่างนั้นสิ" กวีที่นั่งนิ่งหันมาพูดเสียงขรึม นัยน์ตาจับจ้องบรรณารักษ์หนุ่มเคร่งเครียด "คนจะตาย มันไม่ได้เกี่ยวกับความโชคร้ายเลย!"
"อย่างนั้นแกอธิบายเรื่องที่เกิดสิวี" ดารุจท้าทายอย่างขมขื่น "อธิบายเรื่องที่เกิดให้ฉันฟังสิ กี่รายแล้วที่ต้องมีเรื่องมีราวเพราะฉัน นี่แกคงยังไม่รู้สินะ...แม่บ้านคนใหม่ของหอสมุดที่เข้าใกล้ฉัน ตอนนี้ก็ต้องเข้าโรงพยาบาล แกบอกฉันหน่อยสิว่ามันเพราะอะไร?!"
"แต่มันไม่เกี่ยวกับแกนี่ไอ้รุจ!" กวีหมดความอด เตรียมลุกปราดเข้าหาบรรณารักษ์หนุ่ม ทว่าจิตแพทย์สาวรีบปราม
"พอเถอะวี!" ปุณฑริกลุกพลางโบกมือห้าม "แกก็รู้นี่ว่ารุจมันมีปมเรื่องนี้ ทำไมแกไม่เห็นใจมันบ้าง"
"แล้วมันจะต้องจมปลักกับเรื่องนี้ไปตลอดชีวิตของมันเลยหรือยังไงวะปุ่น!" นายตำรวจหนุ่มหัวเสีย "เรื่องที่เกิดไม่ได้เกี่ยวกับมันแม้แต่นิด แต่มันก็พยายามโยงเข้าหาตัวเองอยู่นั่นล่ะ อยากเป็นนักใช่ไหมไอ้ตัวนำความซวย โก้นักหรือยังไงวะที่ได้ชื่อว่านำโชคร้ายมาให้คนอื่น!"
"ไอ้วี!" ปุณฑริกตวาดแหว ส่งสายตาเขียวใส่ "เลิกพานได้แล้ว ถ้ามันคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ก็เงียบไปเลย!"
"หรือมันไม่จริง!" กวีไม่ลดละ นัยน์ตาที่จับจ้องดารุจแข็งกร้าว "อยากอวดตัวเองว่าเป็นพวกเหนือมนุษย์ก็บอกมาเถอะวะ!"
ดารุจนึกค้านอยู่ในใจ เขาไม่เคยคิดอยากอวดความสามารถที่นำพาความโชคร้ายมาสู่ทุกคน ทว่าฟ้าลิขิตแล้วต่างหาก กี่รายแล้วที่ต้องมาประสบเคราะห์กรรมจากความอัปมงคลในตัวของเขา คนที่รัก บุคคลสำคัญ เหล่านั้นต้องมาจบชีวิตลงเพียงเพราะปฏิเสธที่จะเชื่อข้อกล่าวหาจากสังคมที่ว่าเขาคือสิ่งนำความอัปรีย์จัญไร
ทว่าทุกรายก็มีอันเป็นไปอย่างน่าหวาดกลัว
"ไม่มีใครอยากเกิดมาเพื่อเป็นที่รังเกียจของคนในสังคมหรอกวี" บรรณารักษ์หนุ่มลุกจากเก้าอี้บุนวม เดินไปยืนพิงกรอบหน้าต่างอีกฟาก ทอดสายตามองเหล่าแมกไม้ภายในรั้วบ้านของจิตแพทย์สาวแล้วถอนใจ "แต่มันเลือกไม่ได้ต่างหาก"
พูดพลาง น้ำตาที่เคยเอ่อนองก็ไหลพลาง "ถ้าเลือกเกิดได้ ฉันก็ไม่อยากเกิดมาเพื่อให้คนเขารังเกียจหรอก"
เสียงสะอื้นเบาๆ ในลำคอของชายหนุ่มทำให้กวีหน้าเจื่อนในฉับพลัน ปุณฑริกที่ยืนอยู่ส่งสายตาเอาเรื่อง ก่อนจะผละหนีจากนายตำรวจ เดินไปลูบแขนดารุจเบาๆ เป็นการปลอบโยน
"อย่าไปฟังที่นังกีวี่มันพูดเลยนะดาด้า" เห็นได้ชัดว่าหล่อนพยายามทำให้เขาอารมณ์ดี "กีวี่มีปากสำหรับเปิดศูนย์รับเลี้ยงสุนัขเท่านั้น ไม่ได้รู้ซึ้งถึงหัวอกหัวใจคนอื่นหรอก"
ว่าแล้วก็ตวัดนัยน์ตามองนายตำรวจหนุ่มราวเฆี่ยนด้วยแส้
"เออ...ขอโทษก็ได้ ฉันมันปากไม่ดีเอง ปากหมา พอใจหรือยังวะ!" กวีชักสีหน้า กระนั้นนัยน์แววตาก็มีประกายสำนึกผิดฉาบฉาย
บรรณารักษ์หนุ่มหันมองนายตำรวจพลางยิ้มเหนื่อยอ่อน เวลานี้อารมณ์ของเขาถูกฉุดลงสู่ต่ำใต้เสียแล้ว เรื่องราวที่ประสบพบเจอทำให้หวนนึกถึงความทรงจำอันแสนเจ็บปวดในอดีต เสียงพูดของกวีและปุณฑริกที่พยายามปลุกปลอบอื้ออึงแตกซ่านราวพูดผ่านห้วงน้ำ ในหัวเหมือนมีลมพายุก่อตัวอย่างเงียบๆ หมุนคว้างจนร่างกายคลอนแคลน
ฉับพลัน ภาพซึ่งติดแน่นในความทรงจำก็ผุดขึ้นมาตอกย้ำความเลวร้ายที่เกิดขึ้นจาก 'เด็กชายดารุจ'
ทันทีที่มารดาลากตัวน้าสาวเข้าไปคุยข้างบ้าน ซึ่งรกครึ้มด้วยแมกไม้ เด็กชายดารุจที่เพิ่งถูกตวาดก็ได้ลอบตามไปฟัง แอบหลบที่เหลี่ยมมุมบ้าน มองดูการโต้เถียงของมารดาและน้าสาว
'เจ้จะบ้าหรือเจ้ริน! รุจมันลูกเจ้นะ!'
'หว้ายกให้เป็นลูกตัวเจ้แล้วก็แล้วกันสิ จะพามันมาที่นี่อีกทำไม!' วานรินว่าพลางเชิดหน้าไม่แยแส แสงลอดม่านไม้ กระทบชุดย่าหยาจนสีเหลืองทองวาววาม 'ต่อไปหว้าขอสั่งห้ามลู่เลยนะ ห้ามพามันมาที่นี่อีก เกิดคนในบ้านหว้าล้มหายตายจากไปอีกจะทำยังไง! ตอนนี้หว่าเหลือนนท์มันแค่คนเดียวนะ!'
ได้ยินดังนั้นก็สลดใจ นี่แม่รังเกียจเขาถึงเพียงนี้เชียวหรือ?!
'เจ้รินนี่ปัญญาอ่อน!' เป็นครั้งแรกที่เด็กชายดารุจได้เห็นน้าสาวด่าทอคนอย่างเจ็บแสบ นัยน์ตาคู่นั้นแข็งกร้าว สองมือเท้าเอวประชันหญิงสาวผู้พี่ 'เรียนจบมาก็สูง...แต่ทำไมเชื่อเรื่องบ้าๆ บอๆ ถ้ารุจมันเป็นอย่างเจ้ว่าจริงๆ ทำไมหว้ายังมีหน้ามายืนสอนให้เจ้รู้จักผิดชอบชั่วดีได้อย่างนี้อยู่เล่า ป่านนี้หว้าก็ตายโหงตายห่าไปนานแล้ว'
ได้ยินเช่นนั้น วานรินก็แทบเต้นด้วยความโมโห 'อาดี! ลู่กล้าดียังไงมาพูดกับหว้าอย่างนี้ หว้าเป็นเจ้ลู่นะ'
'ก็ใช่น่ะสิ!' น้าสาวถกซิ่นปาเต๊ะตวาดแหว 'แต่เจ้ก็ไม่เคยทำตัวเป็นเจ้ที่ดีเลย แม้แต่อามะที่ดีของลูก เจ้ก็ไม่เคยทำ!'
'ลู่มันไม่รู้อะไรอาดี' มารดาชักสีหน้าเมินเสียทางอื่น 'ตั้งแต่ตอนท้องมันแล้ว ลู่รู้ไหมว่าหว้าฝันว่าอะไร!'
ที่เหลี่ยมมุมของตัวบ้าน เด็กชายดารุจได้ยินคำสนทนาชัดเจนแจ่มแจ้ง แม้แต่อารมณ์ที่ซ่อนในน้ำเสียงของผู้เป็นมารดา เขาก็ยังจดจำได้ไม่มีวันลืม
ทั้งเกลียด...ทั้งกลัว
'ตอนท้องมัน หว้าแทบจะเป็นบ้า หว้าฝันถึงแต่งานศพกับแมวดำทุกวี่ทุกวัน' มารดาว่าพลางกัดกรามกรอด นัยน์ตาปรากฏแววพรั่นพรึงฉาบฉาย 'ลู่ไม่รู้หรอกว่ามันทรมานแค่ไหน ช่วงที่ท้องมันมีแต่เรื่องไม่ดี อาเอกก็มีอันต้องถูกพวกอันธพาลตีจนตาย ทั้งที่อีเป็นเด็กดีไม่เคยมีเรื่องกับใคร ไหนจะกิจการของอาเฮียที่เคยรุ่งเรืองเฟื่องฟู อยู่ๆ ก็จะฉิบหายวายวอด ทั้งที่มันเดินหน้ามาด้วยดีตลอด แล้วพอมันโตขึ้นมา อาเฮียก็รักนักรักหนา แล้วเป็นยังไง อีถูกรถชนตายทั้งที่มันก็ไปด้วย แต่ทำไมมันถึงรอดอยู่คนเดียว!'
ความข้อนี้มารดาคงหมายถึงบิดา
'ตัวเจ้เองก็พลอยตายโหงเพราะมันไม่ใช่หรือ' วานรินเค้นเสียงถามอรุณวดี พาดพิงถึงรำพาผู้เป็นพี่สาวคนโตของบ้าน 'ลู่ก็รู้ ตัวเจ้อยากได้มันเป็นลูกนักหนาทั้งที่หว้าเตือนจนปากจะฉีกถึงรูหู แล้วเป็นยังไง...สุดท้ายพอคลอดมันออกมาก็ดันมาถูกรถชนตายทุเรศทุรัง ไม่ให้หว้าพูดว่าเป็นตัวอัปมงคลแล้วจะให้เรียกว่าอะไร!'
'หยุดเถอะเจ้ริน!' สีหน้าน้าสาวอึดอัดยิ่งยวด 'มันก็มีเหตุทั้งนั้น เจ้อย่ามาใส่ความเด็กหน่อยเลย อย่างเรื่องอาเอก เจ้ไปรู้กับอีเหรอว่าอยู่ที่โรงเรียนอีไม่เคยมีเรื่องจนถูกพวกอันธพาลมันดักตี...'
ได้ยินน้าสาวยวนเข้า มารดาก็เต้นผาง ตั้งใจจะค้าน ทว่าอีกฝ่ายไม่ยอมเปิดโอกาสให้แทรกแซง
'เรื่องเฮียก็เหมือนกัน ช่วงนั้นใครก็รู้ว่าเป็นช่วงเศรษฐกิจฟองสบู่ กิจการอะไรทั้งหลายมันก็ต้องเจ๊งเป็นธรรมดา แล้วเรื่องที่อาเฮียกับตัวเจ้ตาย มันก็อุบัติเหตุเหมือนกัน แต่เจ้มันนิสัยไม่ดี เห็นว่าเด็กมันปลอดภัยก็โยนความผิดให้มันอย่างนั้น! น่าเกลียด!'
จากเหลี่ยมมุมบ้าน เด็กชายลอบมองด้วยความตื่นตระหนก เขาไม่เคยเห็นน้าสาวเถียงใครจนหน้าดำหน้าแดงขนาดนี้มาก่อน 'เจ้อย่าเอาเรื่องพวกนี้มาหาเรื่องลูกหน่อยเลย ถ้ามันจะมีเรื่องจากดารุจจริงๆ ทำไมหว้าเป็นคนเลี้ยงมันมากับมือถึงไม่ตายห่าตามคนอื่นไปเสียล่ะ'
'ก็ลู่มันคนดวงแรงนี่' วานรินแค่นเสียงตอบ 'ไม่อย่างนั้นจะอยู่ในบ้านอัปมงคลกับตัวอัปมงคลอย่างนั้นได้หรือ แต่หว้ากับลูกมันไม่ใช่ จะตายวันตายพรุ่งเมื่อไรก็ไม่รู้ เพราะอย่างนั้นลู่ไม่ต้องพามันมาบ้านนี้อีก ถ้าขืนยังพามา...หว้าจะบอกให้หมด...หว้าเกลียดมัน ไม่อยากเจอแม้กระทั่งเงา นี่ถ้าตัวเจ้ไม่ขอเอาไว้เป็นลูกอี หว้ากินยาขับมันออกไปนานแล้ว แค่ก้อนเลือดก้อนเดียว หว้าไม่เสียดายหรอก!'
'เจ้ริน!' อรุณวดีตวาดด้วยความคาดไม่ถึง ไม่ต่างอะไรจากดารุจ ที่ได้แต่ยืนนิ่งตาค้าง
แล้วอยู่ๆ ในหูของเด็กชายก็อื้ออึงด้วยเสียงระฆังใหญ่ดังเหง่งหง่าง ร่างกายคลอนแคลนจวนเจียนล้ม ขอบตาร้อนผ่าวหนักอึ้งด้วยทำนบน้ำตาที่กำลังจะทลายลงในไม่ช้า ในอกที่เคยอึดอัด บัดนี้แหลกเหลวไม่มีชิ้นดี แล้วฉับพลัน ร่างผอมบางก็ทรุดลงพื้น โผล่พ้นจากเหลี่ยมมุมบ้านที่เคยหลบเร้น
'รุจ!' น้าสาวหันมองด้วยความตระหนก ได้สติจึงรีบวิ่งมารับร่างสิ้นกำลังเข้าอ้อมกอดพลางปลอบประโลม
ทว่าเวลานี้ดารุจหมดสิ้นทุกอย่างเสียแล้ว ทำนบน้ำตาที่พยายามกักกั้นทลายราญ น้ำตานองหน้าพร้อมเสียงกรีดร้องราวเสียงของสัตว์ในโรงเชือดดังขั้น ความเจ็บปวดนั้นสาหัสสากรรจ์เกินกว่าเด็กชายตัวเล็กๆ จะทานทน
แม่ 'ไม่เคย' ต้องการเขาเลย
'เจ้พูดอะไรออกมา! เจ้พูดอะไร!' อรุณวดีหันไปตวาด นัยน์ตาฉ่ำน้ำแข็งกร้าวโกรธแค้น สองแขนยังคอยกอดประคองเด็กชายดารุจที่ยังร้องไห้ราวจะขาดใจตาย
ฝ่ายมารดาแม้ดวงหน้าสลด หากก็พยายามแข็งใจเชิดหนี ตัดรอนไม่เหลือเยื่อใย
'รู้แล้วก็ดี' น้ำเสียงนั้นเยียบเย็นกรีดลึก 'ต่อไปไม่ต้องมาบ้านนี้อีก ไม่ต้องมาเกี่ยวข้องกับหว้าอีก ตอนนี้หว้าเหลือลูกชายแค่คนเดียวเท่านั้น'
จบคำ มารดาก็เดินเบี่ยงจากไป สายลมที่พาดพัดต้องร่างเหมือนความเปล่าเปลี่ยวเคว้งคว้าง ชีวิตในฝันที่เคยวาดหวังทลายลงราวปราสาททรายถูกคลื่นทะเลซัด น้ำตาหยาดแล้วหยาดเล่าหยดลงพื้น จากวงเล็กๆ ขยายเป็นวงกว้าง ราวอาณาเขตแห่งความอาดูรที่ครอบงำในจิตใจเด็กชาย ยิ่งกว้างใหญ่และทุกข์ทรมาน
+++++++++++++++++++
ทันทีที่ประตูลิฟต์บริเวณลอบบี้เปิดออก ทองธารก็ตรงดิ่งไปยังโต๊ะรับรองในส่วนโถงต้อนรับ ดวงหน้าถมึงทึงเอาเรื่อง มีสาลี่ไล่ตามหลังด้วยความกังวล
บริเวณดังกล่าวเป็นโถงกว้าง พื้นปูด้วยหินอ่อนขัดมัน มีชุดรับแขกทำจากหวายสานรองด้วยเบาะนวมสีแดงก่ำตั้งไว้เป็นจุดๆ แขกเหรื่อของโรงแรมหลายคนกำลังใช้บริการ บ้างพักดื่มกาแฟ บ้างตั้งวงสนทนา เหล่านั้นบางกลุ่มเป็นคนไทย บางกลุ่มเป็นชาวต่างชาติ
ทว่าทองธารไม่สนใจใครอื่น นอกเสียจากชายในชุดดำสองคนที่กำลังนั่งหันหน้าให้ประตูทางเข้า ครั้นเดินไปถึงก็ยกมือไหว้ตามารยาท นั่งลงที่เก้าอี้ซึ่งอยู่เยื้องกัน ก่อนเริ่มประเด็นที่ทำให้หล่อนตัดสินใจลงมา
"พ่อทำเกินไป...เล็กมันเกี่ยวอะไรด้วย!" นักร้องสาวกัดกรามกรอด จับจ้องบิดาที่เมินหน้าหนีด้วยความไม่พอใจ เสียงของหล่อนดังอยู่ไม่น้อย "พ่อไม่เคยฟังที่ใครเขาเตือนเลย ไม่พอใจก็จับขัง ไม่พอใจก็ตบตี น้องมันไม่ใช่หมูไม่ใช่หมานะ พ่อถึงจะทำกับมันอย่างนั้นได้!"
สาลี่ที่นั่งข้างๆ เอามือทาบอก แขกเหรื่อรอบด้านเริ่มหันมอง ทว่าหญิงสาวไม่อินังขังขอบ นายอรรถเองก็ยังไม่มีท่าทีโต้ตอบ จะมีก็เพียงปถวีที่นั่งข้างๆ นายอรรถเท่านั้นที่ออกตัว
"ใจเย็นๆ นะน้ำ ที่เล็กมันถูกทำโทษเพราะมันขึ้นเสียงเถียงลุงอรรถต่างหาก" ชายหนุ่มอธิบาย "เล็กมันทำไม่เหมาะสม พี่เองในฐานะพี่ชายก็ต้องเตือนมัน"
สีหน้าและน้ำเสียงที่แสดงออกมาแม้จะทำให้เห็นถึงความอ่อนโยน ทว่าไม่มีวันเสียล่ะที่ทองธารจะหลงกล ผู้ชายคนนี้หน้าซื่อใจคด ต่อหน้าคนอื่นทำเป็นพ่อพระใจอารี แต่ลับหลังก็ไม่ต่างจากมารสังคม เหมือนนางยุพา แม่ของมันไม่มีผิด
"แน่ใจหรือว่าเล็กมันขึ้นเสียง" ทองธารเปรยราวพูดกับอากาศธาตุ ไม่ได้หันมองพี่ชายนอกสายเลือดเสียด้วยซ้ำ "ถ้าคนอย่างเวหาขึ้นเสียงเป็น คนอย่างทองธารก็คงแม่ค้าปากตลาดแน่ๆ"
นักร้องสาวลอยหน้าลอยตาตอบ นัยน์ตาปรายมองผู้เป็นบิดาแล้วชักสีหน้าใส่ "คนเราถ้าลงไม่พอใจสักอย่าง ต่อให้พูดอ่อนหวานแล้วคลานเข่าเข้าหามันก็ผิดวันยังค่ำ"
"น้ำ!" ปถวีหน้าสลด หันมองนายอรรถสลับกับหญิงสาวด้วยความกังวล "ทำไมน้ำพูดกับลุงอรรถอย่างนั้น ถ้าน้ำจะต่อว่าพี่เพราะความไม่ชอบส่วนตัว พี่จะไม่ว่าอะไรเลย แต่พูดกับลุงอรรถอย่างนี้มันไม่เหมาะเลยนะน้ำ"
ทองธารเม้มริมฝีปากแน่น ได้ยินคำพูดแต่ละคำของชายหนุ่มก็ชวนให้คลื่นเหียนเวียนไส้ ไม่ใช่เพราะบทบาทเช่นนี้หรอกหรือที่ทำให้หล่อนกลายเป็นคนผิดในสายตาของบิดามาตลอด การแสดงชั้นบรมครูที่แม้แต่หล่อนก็ต้องพ่ายแพ้ เขาจะได้รับสืบทอดมาจากใคร หากไม่ใช่นางยุพาผู้เป็นมารดา
ครั้นตั้งใจจะสวนความกลับให้เจ็บแสบ นายอรรถก็ถลันลุก ปราดเข้าคว้าข้อมือของหล่อนแล้วฉุดกระชากให้ตามออกไปข้างนอกโรงแรมไม่ปราณี
++++++++++++++++++++
ครั้นฉุดทองธารออกมาด้านข้างโรงแรมเรียบร้อย นายอรรถก็เหวี่ยงจนหญิงสาวถลาล้มกองกับพื้น บริเวณดังกล่าวเป็นลานซีเมนกว้าง ชิดตัวตึกในจุดอับสายตา ปลอดคนพอที่เขาสามารถจัดการปัญหาทุกอย่างกับหล่อนโดยไม่มีใครรบกวน ฝ่ายสาลี่วิ่งตามมาเห็นเข้าจึงรี่ประคอง นัยน์ตาเหลียวมองนายอรรถไม่พอใจ
"ทำไมต้องรุนแรงกันขนาดนี้คะคุณพ่อ เกิดน้องน้ำแขนขาหักไปจะทำยังไง" ผู้จัดการสาวต่อว่าเสียงแข็ง หากบุรุษวัยกลางคนกลับกระตุกมุมปากยิ้ม
"ตายไปเลยยิ่งดี!"
ทองธารชาวาบราวถูกราดด้วยน้ำเย็นเฉียบ แม้สาลี่ที่นั่งประคองอยู่ก็ปากอ้าตาค้างด้วยความคาดไม่ถึง ควรน่าตกใจอยู่หรอก ใครจะนึกว่าพ่อบังเกิดเกล้าจะพูดกับลูกสาวแท้ๆ ของตัวเองเช่นนี้
"ทำไมคุณพ่อพูดอย่างนี้คะ!" สาลี่ออกปากด้วยความโมโห "นี่ลูกสาวคุณพ่อนะคะ!"
"แกหุบปากไปเลย!" นายอรรถชี้หน้าสาลี่ตวาดลั่น จากนั้นจึงหันมองทองธารเหี้ยมเกรียม "นี่มันเรื่องระหว่างฉันกับมัน ใครไม่เกี่ยวก็อย่าพูดให้มาก"
สาลี่ทำท่าจะเถียงต่อ ทว่าจำต้องสงบปากคำเมื่อนักร้องสาวไหวดวงหน้าเป็นเชิงห้ามปราม
แน่นอน...มันคือเรื่องของ 'หล่อน' กับ 'บิดา'
"ว่ามาเลยค่ะ!" ทองธารหยัดตัวลุกยืน เชิดหน้าตอบบิดาด้วยนัยน์ตาแข็งกร้าวไม่ต่างจากอีกฝ่าย "มีเรื่องอะไรจะต้องพูด ก็พูดมันให้จบที่ตรงนี้!" ว่าพลางชี้นิ้วลงพื้น
บัดนี้บรรยากาศในแบบเดิมได้หวนกลับมาอีกครั้ง รอบกายของชายวัยกลางคนและหญิงสาวราวมีภูเขาน้ำแข็งโอบล้อม ทั้งคู่ต่างจับจ้องอีกฝ่ายแน่วนิ่ง ราวศักดิ์และสิทธิ์นั้นยิ่งใหญ่ค้ำคอ เกินกว่าใครฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะยอมก้มหัว
"แกมันสารเลว ร้องเพลงอัปรีย์ในงานพี่อินทร์ทำไม?!" นัยน์ตาของนายอรรถแดงก่ำ ฉ่ำด้วยม่านน้ำ คำพูดแต่ละคำที่เค้นออกมาสั่นเครือและเจ็บปวดจนหญิงสาวรู้สึกได้ "ใครให้แกร้องเพลงจัญไรนั้นในงาน"
ทองธารหน้าซีด ไหวดวงหน้าน้อยๆ นัยน์ตาเริ่มคลอรื่นด้วยม่านน้ำไม่ต่างกัน
"แกตั้งใจจะฆ่าพี่อินทร์ใช่ไหม?! แกถึงได้ร้องเพลงอัปมงคลในงานเลี้ยงนั่น!" นายอรรถตวาดลั่น ปราดเข้าไปจับตัวหญิงสาวเขย่าด้วยความโมโห น้ำตาไหลพรากอาบสองแก้ม "บอกฉันมาสิ แกร้องเพลงนั้นทำไม?!"
"ปล่อยหนูเดี๋ยวนี้นะ!" ทองธารสะบัดตัวจนหลุดจากมือของบิดา จากนั้นจึงเชิดหน้าทั้งนัยน์ตาพร่าพรายด้วยม่านน้ำ "ลุงอินทร์ให้น้ำร้อง แล้วมันก็เป็นแค่เพลงด้วย พ่อเข้าใจคำว่าเพลงหรือเปล่า ไม่ใช่ปืน! ไม่ใช่มีด! มันฆ่าคนไม่ได้!"
"แต่ความอัปรีย์จัญไรมันทำได้!" นายอรรถเถียงจนหน้าแดงลามถึงใบหู "เพลงระยำที่ใครฟังก็ต้องตาย แต่แกก็ยังกล้าเอาไปร้องในงานพี่อินทร์ แกมันชั่วช้าสารเลวจริงๆ!"
"พ่อหยุดพูดจาแบบนี้ได้แล้วนะ" แม้จะล่วงรู้ความหมายของบิดา หากนักร้องสาวก็ทนไม่ได้ที่นายอรรถจะมาพาดพิงถึงบทเพลงซึ่งเป็นที่รักของมารดา มิหนำซ้ำยังมีเจ้าของและที่มาซึ่งแม้แต่หล่อนก็ต้องให้เกียรติ "ให้เกียรติเจ้าของเพลงเขาด้วย พ่อพูดอย่างนี้เป็นการดูถูกเขาชัดๆ"
นายอรรถกัดกรามกรอด นิ่งฟังทองธารคร่ำครวญ
"อีกอย่าง...ถ้ามันเป็นเพลงอัปรีย์อย่างที่พ่อว่าจริงๆ ทำไมกี่คนต่อกี่คนที่เขาร้องถึงไม่เป็นอะไร จำเพาะเจาะจงอะไรต้องมาลงที่น้ำ หรือเพราะน้ำเป็นลูกของแม่ แม่รักเพลงนี้ พ่อก็เลยจงเกลียดจงชังน้ำกับแม่นัก!"
"หุบปาก!" ฉับพลันทันที ทองธารก็ถูกตบจนถลาลงกองกับพื้น สาลี่ที่ยืนข้างๆ ได้แต่นิ่งอั้น ปถวีพยายามเข้าไปจับตัวนายอรรถที่ทำท่าจะปราดเข้าไปคว้าทองธารมาทำร้ายอีกครั้ง "แกเลิกพูดถึงแม่ของแกได้แล้ว! มันตายก็เพราะแก! เพราะเพลงระยำที่แกร้อง! ใช่สิ...คนอื่นร้องมันไม่เป็นอะไรหรอก แต่แก..."
มือที่ชี้นิ้วมายังทองธารสั่นไหวจนควบคุมแทบไม่ได้ "แกมันนางฆาตกร! เสียงของแกมันเสียงจากภูตผี! ร้องเพลงห่าอะไรมันก็เป็นเพลงอัปรีย์จัญไรไปหมด! นำแต่ความหายนะมาให้ทุกคน!"
"แน่ใจหรือว่าเพราะน้ำ!" ทองธารหยัดตัวลุกฉับพลัน แทบไม่สนใจสาลี่ที่พยายามประคอง ใบหน้าขาวเป็นรอยแดงด้วยฝ่ามือของบิดา นัยน์ตาจับจ้องราวงูเห่าที่พร้อมพ่นพิษใส่ศัตรู "แน่ใจหรือว่าที่แม่ตายไม่ใช่เพราะพ่อนอกใจไปคว้านางยุพามาทำเมีย! ลืมไปแล้วหรือยังไงว่าเพลงนี้แม่เคยร้องให้พ่อในวันแต่งงาน! คนที่ทำให้แม่ตายก็คือพ่อต่างหาก!"
"สารเลว!" นายอรรถได้ยินเข้าก็เต้นผาง ปราดไปหมายจะตบตีทองธารเป็นรอบที่สอง ทว่ายังโชคดีที่ปถวีคว้าตัวไว้ได้ ทั้งยังรีบไล่ให้สาลี่พาทองธารออกไปเสียก่อนเรื่องราวจะบานปลายรุนแรง ฝ่ายนักร้องสาวไม่ยอมราข้อ ระหว่างที่สาลี่ลากตัวออกไปอย่างทุลักทุเล หล่อนยังคงตะโกนลั่นตลอดทางว่าผู้เป็นบิดาต่างหากที่ทำให้มารดาต้องจากไป
"เพราะพ่อ!" นักร้องสาวแผดเสียงทั้งร่ำไห้ น้ำตาไหลพรากอาบสองแก้ม "พ่อทำให้แม่ทิ้งน้ำไป! พ่อทำร้ายแม่! น้ำเกลียดพ่อ ได้ยินไหม...น้ำเกลียดพ่อที่สุด!"
กว่าร่างทองธารกับสาลี่จะลับเหลี่ยมมุมตึก ปถวีก็แทบหมดแรงกับการพยายามยื้อยุดฉุดกระชากร่างของพ่อเลี้ยง กระทั่งเสียงร่ำไห้ของนักร้องสาวลอยหาย นายอรรถก็เลิกดิ้นรนทั้งยังทรุดตัวลงร่ำไห้หมดสภาพ
"ลุงไม่ไหวแล้วตาใหญ่...ไม่ไหวจริงๆ" นายอรรถก้มหน้าพลางร่ำไห้
ปถวีสบโอกาส เห็นช่องทางพลิกสถานการณ์ให้ตนได้แต้มต่อ จึงเข้าประคองบุรุษวัยกลางคน แนะนำให้กลับบ้านและไปพักผ่อนเพื่อเตรียมจัดงานให้แก่ครูอินทร์ผู้จากไป
"กลับไปพักที่บ้านก่อนเถอะครับลุงอรรถ เรายังมีงานศพของครูอินทร์ต้องจัดการอีกนะครับ" ชายหนุ่มเสนอแนะ
"นั่นสินะ" นายอรรถว่าพลางพยักพเยิด เช็ดน้ำตาหมดจดก็ตบบ่าของลูกเลี้ยงหนุ่มพลางยิ้ม "ขอบใจนะที่เตือนสติลุง พาลุงกลับบ้านเถอะตาใหญ่ ลุงอยู่ที่นี่ไม่ไหวแล้ว"
"ครับ" ปถวีช่วยประคองพ่อเลี้ยง ตลอดทางที่ไปยังรถ เขาชวนอีกฝ่ายพูดคุยด้วยเรื่องต่างๆนานาจนเพลิดเพลิน รวมถึงอาสาช่วยเหลืองานศพของครูอินทร์อย่างเต็มความสามารถ ทั้งที่แท้จริงแล้ว ตัวเขาไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับผู้ตายแม้แต่ประการเดียว
++++++++++++++++
ดารุจมาพบปุณฑริกที่บ้านหลังเลิกงานตามที่นัดหมาย เข้ามาก็พบกวีรออยู่ก่อนหน้าพร้อมจิตแพทย์สาว ทั้งสองนั่งในห้องรับแขก ต่างฝ่ายยังคงอยู่ในเครื่องแบบแพทย์และนายตำรวจ ใบหน้าเคร่งเครียด จนชายหนุ่มเชื่อมั่นว่าเรื่องที่เพื่อนสาวโทร. ไปแจ้งเมื่อช่วงเที่ยง คงเป็นความจริงที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง
"ครูอินทร์เป็นอะไรไป?!" ดารุจถามขึ้นหลังจากนั่งลงบนเก้าอี้บุนวมเยื้องจิตแพทย์สาว ฝ่ายกวีได้แต่ถอนหายใจอ่อนล้า ทอดสายตามองปุณฑริกราวต้องการบอกให้หล่อนเป็นผู้ตอบคำถามนั้นแทน
"คือ...ครูอินทร์..." ปุณฑริกเม้มปากอ้ำอึ้ง "ครูอินทร์แก...กินยาเกินขนาด"
"กินยาเกินขนาด!" บรรณารักษ์หนุ่มทวนความราวไม่เชื่อถือ "เธอแน่ใจหรือปุ่น นั่นมันฆ่าตัวตายชัดๆ"
บรรณารักษ์หนุ่มหันไปหานายตำรวจผู้เป็นเพื่อน หวังให้ยืนยันในสิ่งที่ได้ยิน หากอีกฝ่ายกลับพยักพเยิดเคร่งขรึม ไม่พูดสิ่งอื่นใด
"เกิดอะไรกันแน่?!" ดารุจหันกลับมาถามจิตแพทย์สาว
"ครูมีโรคประจำตัว..." ปุณฑริกที่นั่งเยื้องกันช่างแตกต่างจากเพื่อนสาวอารมณ์ดีของเขาลิบลับ ไม่มีการล้อเลียนหรือเล่นหัว ที่ปรากฏให้เห็นกลับเป็นเพียงความเคร่งเครียดและกังวล "ครูเป็นโรคหัวใจ มียากินประจำตัวเป็น 'ดิจ็อกซิน' ยาสำหรับรักษาผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลวและโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ วีมันทำคดีนี้ ฉันเลยพาเพื่อนหมอนิติเวชไปช่วยวีมันตรวจสอบ พวกเราพบแกนอนสิ้นใจในห้อง คาดว่าคงเสียชีวิตตั้งแต่ช่วงตี ๒ สภาพศพนอนนิ่งบนเก้าอี้โยก สองมือกอดรูปภรรยาที่เสียไปแล้ว นอกจากนั้นยังเจอขวดยาเปล่าตกอยู่พร้อมเม็ดยาดิจ็อกซิน ๒ - ๓ เม็ด"
จิตแพทย์สาวว่าพลางถอนใจอ่อนระโหย "คงไม่ต้องให้ฉันอธิบายใช่ไหม...สำหรับผลข้างเคียงจากการได้ยารักษาโรคหัวใจเกินขนาด ยาพวกนี้มีช่วงความปลอดภัยในการรักษาที่แคบมาก ปริมาณยาในกระแสเลือดผิดไปนิดเดียวก็กลายเป็นพิษต่อหัวใจและอวัยวะต่างๆ ทันที "
"แต่นี่ครูกินหมดขวด!" เสียงของบรรณารักษ์หนุ่มแหบพร่า นัยน์ตามัวด้วยม่านน้ำ "ทำไมล่ะ...หรือเพราะฉัน...เพราะฉันมันนำโชคร้ายอีกแล้ว!"
"นี่! อย่าโทษตัวเองอย่างนั้นสิ" กวีที่นั่งนิ่งหันมาพูดเสียงขรึม นัยน์ตาจับจ้องบรรณารักษ์หนุ่มเคร่งเครียด "คนจะตาย มันไม่ได้เกี่ยวกับความโชคร้ายเลย!"
"อย่างนั้นแกอธิบายเรื่องที่เกิดสิวี" ดารุจท้าทายอย่างขมขื่น "อธิบายเรื่องที่เกิดให้ฉันฟังสิ กี่รายแล้วที่ต้องมีเรื่องมีราวเพราะฉัน นี่แกคงยังไม่รู้สินะ...แม่บ้านคนใหม่ของหอสมุดที่เข้าใกล้ฉัน ตอนนี้ก็ต้องเข้าโรงพยาบาล แกบอกฉันหน่อยสิว่ามันเพราะอะไร?!"
"แต่มันไม่เกี่ยวกับแกนี่ไอ้รุจ!" กวีหมดความอด เตรียมลุกปราดเข้าหาบรรณารักษ์หนุ่ม ทว่าจิตแพทย์สาวรีบปราม
"พอเถอะวี!" ปุณฑริกลุกพลางโบกมือห้าม "แกก็รู้นี่ว่ารุจมันมีปมเรื่องนี้ ทำไมแกไม่เห็นใจมันบ้าง"
"แล้วมันจะต้องจมปลักกับเรื่องนี้ไปตลอดชีวิตของมันเลยหรือยังไงวะปุ่น!" นายตำรวจหนุ่มหัวเสีย "เรื่องที่เกิดไม่ได้เกี่ยวกับมันแม้แต่นิด แต่มันก็พยายามโยงเข้าหาตัวเองอยู่นั่นล่ะ อยากเป็นนักใช่ไหมไอ้ตัวนำความซวย โก้นักหรือยังไงวะที่ได้ชื่อว่านำโชคร้ายมาให้คนอื่น!"
"ไอ้วี!" ปุณฑริกตวาดแหว ส่งสายตาเขียวใส่ "เลิกพานได้แล้ว ถ้ามันคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ก็เงียบไปเลย!"
"หรือมันไม่จริง!" กวีไม่ลดละ นัยน์ตาที่จับจ้องดารุจแข็งกร้าว "อยากอวดตัวเองว่าเป็นพวกเหนือมนุษย์ก็บอกมาเถอะวะ!"
ดารุจนึกค้านอยู่ในใจ เขาไม่เคยคิดอยากอวดความสามารถที่นำพาความโชคร้ายมาสู่ทุกคน ทว่าฟ้าลิขิตแล้วต่างหาก กี่รายแล้วที่ต้องมาประสบเคราะห์กรรมจากความอัปมงคลในตัวของเขา คนที่รัก บุคคลสำคัญ เหล่านั้นต้องมาจบชีวิตลงเพียงเพราะปฏิเสธที่จะเชื่อข้อกล่าวหาจากสังคมที่ว่าเขาคือสิ่งนำความอัปรีย์จัญไร
ทว่าทุกรายก็มีอันเป็นไปอย่างน่าหวาดกลัว
"ไม่มีใครอยากเกิดมาเพื่อเป็นที่รังเกียจของคนในสังคมหรอกวี" บรรณารักษ์หนุ่มลุกจากเก้าอี้บุนวม เดินไปยืนพิงกรอบหน้าต่างอีกฟาก ทอดสายตามองเหล่าแมกไม้ภายในรั้วบ้านของจิตแพทย์สาวแล้วถอนใจ "แต่มันเลือกไม่ได้ต่างหาก"
พูดพลาง น้ำตาที่เคยเอ่อนองก็ไหลพลาง "ถ้าเลือกเกิดได้ ฉันก็ไม่อยากเกิดมาเพื่อให้คนเขารังเกียจหรอก"
เสียงสะอื้นเบาๆ ในลำคอของชายหนุ่มทำให้กวีหน้าเจื่อนในฉับพลัน ปุณฑริกที่ยืนอยู่ส่งสายตาเอาเรื่อง ก่อนจะผละหนีจากนายตำรวจ เดินไปลูบแขนดารุจเบาๆ เป็นการปลอบโยน
"อย่าไปฟังที่นังกีวี่มันพูดเลยนะดาด้า" เห็นได้ชัดว่าหล่อนพยายามทำให้เขาอารมณ์ดี "กีวี่มีปากสำหรับเปิดศูนย์รับเลี้ยงสุนัขเท่านั้น ไม่ได้รู้ซึ้งถึงหัวอกหัวใจคนอื่นหรอก"
ว่าแล้วก็ตวัดนัยน์ตามองนายตำรวจหนุ่มราวเฆี่ยนด้วยแส้
"เออ...ขอโทษก็ได้ ฉันมันปากไม่ดีเอง ปากหมา พอใจหรือยังวะ!" กวีชักสีหน้า กระนั้นนัยน์แววตาก็มีประกายสำนึกผิดฉาบฉาย
บรรณารักษ์หนุ่มหันมองนายตำรวจพลางยิ้มเหนื่อยอ่อน เวลานี้อารมณ์ของเขาถูกฉุดลงสู่ต่ำใต้เสียแล้ว เรื่องราวที่ประสบพบเจอทำให้หวนนึกถึงความทรงจำอันแสนเจ็บปวดในอดีต เสียงพูดของกวีและปุณฑริกที่พยายามปลุกปลอบอื้ออึงแตกซ่านราวพูดผ่านห้วงน้ำ ในหัวเหมือนมีลมพายุก่อตัวอย่างเงียบๆ หมุนคว้างจนร่างกายคลอนแคลน
ฉับพลัน ภาพซึ่งติดแน่นในความทรงจำก็ผุดขึ้นมาตอกย้ำความเลวร้ายที่เกิดขึ้นจาก 'เด็กชายดารุจ'
ทันทีที่มารดาลากตัวน้าสาวเข้าไปคุยข้างบ้าน ซึ่งรกครึ้มด้วยแมกไม้ เด็กชายดารุจที่เพิ่งถูกตวาดก็ได้ลอบตามไปฟัง แอบหลบที่เหลี่ยมมุมบ้าน มองดูการโต้เถียงของมารดาและน้าสาว
'เจ้จะบ้าหรือเจ้ริน! รุจมันลูกเจ้นะ!'
'หว้ายกให้เป็นลูกตัวเจ้แล้วก็แล้วกันสิ จะพามันมาที่นี่อีกทำไม!' วานรินว่าพลางเชิดหน้าไม่แยแส แสงลอดม่านไม้ กระทบชุดย่าหยาจนสีเหลืองทองวาววาม 'ต่อไปหว้าขอสั่งห้ามลู่เลยนะ ห้ามพามันมาที่นี่อีก เกิดคนในบ้านหว้าล้มหายตายจากไปอีกจะทำยังไง! ตอนนี้หว่าเหลือนนท์มันแค่คนเดียวนะ!'
ได้ยินดังนั้นก็สลดใจ นี่แม่รังเกียจเขาถึงเพียงนี้เชียวหรือ?!
'เจ้รินนี่ปัญญาอ่อน!' เป็นครั้งแรกที่เด็กชายดารุจได้เห็นน้าสาวด่าทอคนอย่างเจ็บแสบ นัยน์ตาคู่นั้นแข็งกร้าว สองมือเท้าเอวประชันหญิงสาวผู้พี่ 'เรียนจบมาก็สูง...แต่ทำไมเชื่อเรื่องบ้าๆ บอๆ ถ้ารุจมันเป็นอย่างเจ้ว่าจริงๆ ทำไมหว้ายังมีหน้ามายืนสอนให้เจ้รู้จักผิดชอบชั่วดีได้อย่างนี้อยู่เล่า ป่านนี้หว้าก็ตายโหงตายห่าไปนานแล้ว'
ได้ยินเช่นนั้น วานรินก็แทบเต้นด้วยความโมโห 'อาดี! ลู่กล้าดียังไงมาพูดกับหว้าอย่างนี้ หว้าเป็นเจ้ลู่นะ'
'ก็ใช่น่ะสิ!' น้าสาวถกซิ่นปาเต๊ะตวาดแหว 'แต่เจ้ก็ไม่เคยทำตัวเป็นเจ้ที่ดีเลย แม้แต่อามะที่ดีของลูก เจ้ก็ไม่เคยทำ!'
'ลู่มันไม่รู้อะไรอาดี' มารดาชักสีหน้าเมินเสียทางอื่น 'ตั้งแต่ตอนท้องมันแล้ว ลู่รู้ไหมว่าหว้าฝันว่าอะไร!'
ที่เหลี่ยมมุมของตัวบ้าน เด็กชายดารุจได้ยินคำสนทนาชัดเจนแจ่มแจ้ง แม้แต่อารมณ์ที่ซ่อนในน้ำเสียงของผู้เป็นมารดา เขาก็ยังจดจำได้ไม่มีวันลืม
ทั้งเกลียด...ทั้งกลัว
'ตอนท้องมัน หว้าแทบจะเป็นบ้า หว้าฝันถึงแต่งานศพกับแมวดำทุกวี่ทุกวัน' มารดาว่าพลางกัดกรามกรอด นัยน์ตาปรากฏแววพรั่นพรึงฉาบฉาย 'ลู่ไม่รู้หรอกว่ามันทรมานแค่ไหน ช่วงที่ท้องมันมีแต่เรื่องไม่ดี อาเอกก็มีอันต้องถูกพวกอันธพาลตีจนตาย ทั้งที่อีเป็นเด็กดีไม่เคยมีเรื่องกับใคร ไหนจะกิจการของอาเฮียที่เคยรุ่งเรืองเฟื่องฟู อยู่ๆ ก็จะฉิบหายวายวอด ทั้งที่มันเดินหน้ามาด้วยดีตลอด แล้วพอมันโตขึ้นมา อาเฮียก็รักนักรักหนา แล้วเป็นยังไง อีถูกรถชนตายทั้งที่มันก็ไปด้วย แต่ทำไมมันถึงรอดอยู่คนเดียว!'
ความข้อนี้มารดาคงหมายถึงบิดา
'ตัวเจ้เองก็พลอยตายโหงเพราะมันไม่ใช่หรือ' วานรินเค้นเสียงถามอรุณวดี พาดพิงถึงรำพาผู้เป็นพี่สาวคนโตของบ้าน 'ลู่ก็รู้ ตัวเจ้อยากได้มันเป็นลูกนักหนาทั้งที่หว้าเตือนจนปากจะฉีกถึงรูหู แล้วเป็นยังไง...สุดท้ายพอคลอดมันออกมาก็ดันมาถูกรถชนตายทุเรศทุรัง ไม่ให้หว้าพูดว่าเป็นตัวอัปมงคลแล้วจะให้เรียกว่าอะไร!'
'หยุดเถอะเจ้ริน!' สีหน้าน้าสาวอึดอัดยิ่งยวด 'มันก็มีเหตุทั้งนั้น เจ้อย่ามาใส่ความเด็กหน่อยเลย อย่างเรื่องอาเอก เจ้ไปรู้กับอีเหรอว่าอยู่ที่โรงเรียนอีไม่เคยมีเรื่องจนถูกพวกอันธพาลมันดักตี...'
ได้ยินน้าสาวยวนเข้า มารดาก็เต้นผาง ตั้งใจจะค้าน ทว่าอีกฝ่ายไม่ยอมเปิดโอกาสให้แทรกแซง
'เรื่องเฮียก็เหมือนกัน ช่วงนั้นใครก็รู้ว่าเป็นช่วงเศรษฐกิจฟองสบู่ กิจการอะไรทั้งหลายมันก็ต้องเจ๊งเป็นธรรมดา แล้วเรื่องที่อาเฮียกับตัวเจ้ตาย มันก็อุบัติเหตุเหมือนกัน แต่เจ้มันนิสัยไม่ดี เห็นว่าเด็กมันปลอดภัยก็โยนความผิดให้มันอย่างนั้น! น่าเกลียด!'
จากเหลี่ยมมุมบ้าน เด็กชายลอบมองด้วยความตื่นตระหนก เขาไม่เคยเห็นน้าสาวเถียงใครจนหน้าดำหน้าแดงขนาดนี้มาก่อน 'เจ้อย่าเอาเรื่องพวกนี้มาหาเรื่องลูกหน่อยเลย ถ้ามันจะมีเรื่องจากดารุจจริงๆ ทำไมหว้าเป็นคนเลี้ยงมันมากับมือถึงไม่ตายห่าตามคนอื่นไปเสียล่ะ'
'ก็ลู่มันคนดวงแรงนี่' วานรินแค่นเสียงตอบ 'ไม่อย่างนั้นจะอยู่ในบ้านอัปมงคลกับตัวอัปมงคลอย่างนั้นได้หรือ แต่หว้ากับลูกมันไม่ใช่ จะตายวันตายพรุ่งเมื่อไรก็ไม่รู้ เพราะอย่างนั้นลู่ไม่ต้องพามันมาบ้านนี้อีก ถ้าขืนยังพามา...หว้าจะบอกให้หมด...หว้าเกลียดมัน ไม่อยากเจอแม้กระทั่งเงา นี่ถ้าตัวเจ้ไม่ขอเอาไว้เป็นลูกอี หว้ากินยาขับมันออกไปนานแล้ว แค่ก้อนเลือดก้อนเดียว หว้าไม่เสียดายหรอก!'
'เจ้ริน!' อรุณวดีตวาดด้วยความคาดไม่ถึง ไม่ต่างอะไรจากดารุจ ที่ได้แต่ยืนนิ่งตาค้าง
แล้วอยู่ๆ ในหูของเด็กชายก็อื้ออึงด้วยเสียงระฆังใหญ่ดังเหง่งหง่าง ร่างกายคลอนแคลนจวนเจียนล้ม ขอบตาร้อนผ่าวหนักอึ้งด้วยทำนบน้ำตาที่กำลังจะทลายลงในไม่ช้า ในอกที่เคยอึดอัด บัดนี้แหลกเหลวไม่มีชิ้นดี แล้วฉับพลัน ร่างผอมบางก็ทรุดลงพื้น โผล่พ้นจากเหลี่ยมมุมบ้านที่เคยหลบเร้น
'รุจ!' น้าสาวหันมองด้วยความตระหนก ได้สติจึงรีบวิ่งมารับร่างสิ้นกำลังเข้าอ้อมกอดพลางปลอบประโลม
ทว่าเวลานี้ดารุจหมดสิ้นทุกอย่างเสียแล้ว ทำนบน้ำตาที่พยายามกักกั้นทลายราญ น้ำตานองหน้าพร้อมเสียงกรีดร้องราวเสียงของสัตว์ในโรงเชือดดังขั้น ความเจ็บปวดนั้นสาหัสสากรรจ์เกินกว่าเด็กชายตัวเล็กๆ จะทานทน
แม่ 'ไม่เคย' ต้องการเขาเลย
'เจ้พูดอะไรออกมา! เจ้พูดอะไร!' อรุณวดีหันไปตวาด นัยน์ตาฉ่ำน้ำแข็งกร้าวโกรธแค้น สองแขนยังคอยกอดประคองเด็กชายดารุจที่ยังร้องไห้ราวจะขาดใจตาย
ฝ่ายมารดาแม้ดวงหน้าสลด หากก็พยายามแข็งใจเชิดหนี ตัดรอนไม่เหลือเยื่อใย
'รู้แล้วก็ดี' น้ำเสียงนั้นเยียบเย็นกรีดลึก 'ต่อไปไม่ต้องมาบ้านนี้อีก ไม่ต้องมาเกี่ยวข้องกับหว้าอีก ตอนนี้หว้าเหลือลูกชายแค่คนเดียวเท่านั้น'
จบคำ มารดาก็เดินเบี่ยงจากไป สายลมที่พาดพัดต้องร่างเหมือนความเปล่าเปลี่ยวเคว้งคว้าง ชีวิตในฝันที่เคยวาดหวังทลายลงราวปราสาททรายถูกคลื่นทะเลซัด น้ำตาหยาดแล้วหยาดเล่าหยดลงพื้น จากวงเล็กๆ ขยายเป็นวงกว้าง ราวอาณาเขตแห่งความอาดูรที่ครอบงำในจิตใจเด็กชาย ยิ่งกว้างใหญ่และทุกข์ทรมาน
+++++++++++++++++++
นาถลดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 มิ.ย. 2555, 09:06:11 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 มิ.ย. 2555, 09:06:11 น.
จำนวนการเข้าชม : 1298
<< องก์ที่ ๑๐ |