รอยรักเหมันต์
...เพราะสายลมหนาวหรือเพราะมนต์เสน่ห์แห่งทุ่งดอกไม้ จึงนำพาให้สองหัวใจมาพบกัน
เมื่อเขาคือนักธุรกิจหนุ่มรูปหล่อกับเธอเจ้าของสวนดอกไม้สาวผู้พราวเสน่ห์...
เพียงแรกพบสบตา เขาและเธอก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าใช่เลย
จอมทัพจะสามารถนำดอกไม้งามดอกนี้
เมื่อเขาคือนักธุรกิจหนุ่มรูปหล่อกับเธอเจ้าของสวนดอกไม้สาวผู้พราวเสน่ห์...
เพียงแรกพบสบตา เขาและเธอก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าใช่เลย
จอมทัพจะสามารถนำดอกไม้งามดอกนี้
Tags: ฤดูหนาว
ตอน: ตอนที่ ๒๓ เที่ยวงานดอกไม้งาม
ตอนที่ ๒๓
ความสวยงามของดอกไม้ที่นี่ ถูกจัดอย่างลงตัวและเป็นระเบียบ อีกทั้งยังสวยงามตามแบบฉบับของดอกไม้เมืองหนาว สีเหลือง สีแดง สีแสดและสีชมพู ถูกจัดวางเป็นรูปทรงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปกังหันและรูปกรงล้อรถโดยมีเหล่านักท่องเที่ยวเข้าไปถ่ายรูปเอาไว้เป็นที่ระลึก
ปุณชิการู้สึกสดชื่นกับดอกไม้นานาชนิดซึ่งจัดวางอย่างสวยงาม มีดอกไม้เมืองหนาวหลายดอกที่เธอเพิ่งเคยเห็นจากที่นี่ นอกจากนั้นก็มีดอกกุหลาบ ดอกหงอนไก่ ดอกทิวลิปและดอกเบญจมาศ ที่มีหลากหลายสีละลานตาไปหมด
“สวยๆ ทั้งนั้นเลยนะคะ” เธอหันมาเอ่ยกับวัสนางค์ที่เดินกลับมาสมทบกับเธอ หลังจากพาจอมทัพไปพบกับเมยาวีซึ่งรออยู่อีกด้านหนึ่งเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะพากันเดินลอดซุ้มนี้ไปออกซุ้มนู้น สลับกับการแวะถ่ายรูปเพื่อเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึก
“กลับไปกรุงเทพฯ คราวนี้ ปูเป้จะเอารูปพวกนี้ไปอวดเพื่อนๆ ค่ะ พวกเขาจะได้อิจฉา”
“ดีเลยค่ะ เป็นเหมือนการโปรโหมดการท่องเที่ยวด้วย นักท่องเที่ยวจะได้มาเที่ยวที่นี่เยอะๆ นะคะ” วัสนางค์เห็นด้วยกับความคิดของสาวรุ่นน้อง ก่อนจะพาหญิงสาวเดินไปหยุดที่ซุ้มแห่งหนึ่ง ซึ่งจัดทำเป็นวัดคล้ายดั่งวัดที่อยู่ท่ามกลางสวนดอกไม้เลยก็ว่าได้
“สวยจังนะคะ แม้ว่าจะไม่ใหญ่เท่ากับหอคำหลวงที่สวนราชพฤกษ์ แต่ก็สวยและแตกต่างกันไปคนละแบบ” ปุณชิกาหันมามองกรอบหน้าสวยหวานของวัสนางค์อีกครั้ง พร้อมกับถามและจูงมือเดินเข้าไปในวัดแห่งนั้นด้วยกัน
“ที่นี่พยายามจะสร้างจุดขายที่แตกต่างจากเชียงใหม่ค่ะ แม้ว่าจะไม่ค่อยดังเท่ากับที่นั่นแต่งานนี้ก็มีมานานกว่านะคะ”
“หรือคะ...แต่ก็ดีนะคะ ที่มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวกันเยอะ”
“ใช่ค่ะ อ้อ...ลืมบอกไป ปีนี้จะมีการจัดงานเมืองเชียงรายครบรอบ ๗๕๐ ปีด้วย คุณปูเป้ขึ้นมาเที่ยวอีกนะคะ”
“จริงหรือคะ แล้วเมื่อไรล่ะคะ”
“น่าจะช่วงต้นปีหน้าที่จะถึงนี้ ยังไงก็ขึ้นมาเที่ยวนะคะ เดี๋ยวฝนจะพาคุณเที่ยวเอง”
“ได้สิคะพี่ฝน ปูเป้มาเที่ยวที่นี่อีกแน่”
การได้เห็นดอกไม้ที่สวยงาม ความสดชื่นเข้าแทนที่ทำให้ปุณชิกาลืมเรื่องร้ายแรงไปชั่วขณะและดูเหมือนว่าทุกครั้งที่มองดอกไม้ เธอก็ไม่ลืมที่จะเก็บเอาความทรงจำเหล่านั้นเอาไว้ในใจและนึกถึงชัย อยู่ตลอดเวลาเหมือนกัน
แม้จะสนุก แต่เธอก็ยังนึกถึงเขาและทุกครั้งของลมหายใจเข้าออก แม้จะเจือไปด้วยรอยยิ้ม เธอยังภาวนาขอให้เขาหายเร็วๆ เพื่อเธอจะได้ให้เขาพามาเที่ยวอย่างในวันนี้อีกครั้ง
“มาทางนี้ดีกว่าค่ะ คุณปูเป้ ทางนี้ก็สวย”
ท่ามกลางหมู่มวลดอกไม้ที่สวยงามกับบรรยากาศของธรรมชาติที่สรรสร้าง อณูความเย็นก็เริ่มจะเข้าแทนที่ สายหมอกสลัวๆ ลอยคว้างปกคลุมพื้นที่แห่งนั้น แม้ว่าจะไม่เย็นสักเท่าไร แต่อากาศในบริเวณที่แห่งนี้ก็หนาวอยู่พอสมควร
แสงแดดสาดแสงมาอ่อนๆ กระทบร่างสองร่างซึ่งยืนเคียงกัน มองทุ่งดอกไม้สีสวยงามที่ทอดยาวไล่ต่ำลงไปข้างหน้า เป็นขั้นๆ อย่างลงตัวกับพื้นที่ กรอบหน้าสวยอิ่มเอิบอย่างสุขใจ เมื่อยามที่เห็นความสวยงามเบื้องหน้าและได้มายืนมองสิ่งเหล่านี้พร้อมกับเขา...จอมทัพ
“สวยจังนะครับ” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงนุ่ม ก่อนจะก้มลงมองคนที่อยู่ข้างๆ ตน มือของเขาหนาเอื้อมมาคว้าเอวบางกระชับมาชิดเขา
“ค่ะ...เหมยก็ว่าสวยเหมือนกัน” เธอเอ่ยเสียงแผ่ว หัวใจสาวเต้นรัวแรง เธอยอมรับเลยว่ามันเป็นความสุขที่เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร
อาจจะได้อยู่กับเขา
หรืออาจจะได้มองภาพสวยเหล่านี้ โดยมีเขาอยู่เคียงข้าง
หรือไม่ ก็ทั้งสองอย่างรวมกัน เธอถึงได้รู้สึกเช่นนี้ได้
มันเป็นความรู้สึกที่มาก จนเธอก็ไม่อาจจะบอกได้ว่ามันมากเท่าไร แต่ที่แน่ใจ หัวใจของเธอสุขล้นจริงๆ
นั่นก็คงจะไม่ต่างไปจากชายหนุ่มมากนัก เขาลูบเส้นผมสลวยของหญิงสาวอย่างแผ่วเบาและเอ่ยขึ้นมาอีก “ผมมีความสุขเหลือเกินที่ได้มายืนตรงนี้ พร้อมกับคุณเหมย”
“ค่ะ...เหมยก็ดีใจ ที่มีคุณ”
เธอเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มซึ่งก้มลงมองเธออยู่ก่อนแล้วพลันยิ้มอ่อนโยน ขณะจอมทัพค่อยๆ เหนี่ยวร่างบางให้เข้ามาอยู่ในอกอุ่นของเขาและกระชับร่างนั้นให้แน่นขึ้น เป็นการยืนยันได้อย่างดีว่าทั้งเธอและเขา จะมั่นคงเช่นนี้ตลอดไป
รัญญิกาที่รู้สึกเดือดสุดๆ หลังถูกแย่งจอมทัพไปอย่างหน้าตาเฉย แถมยังโดนปุณชิกาตอกย้ำด้วยสายตา ก็ยิ่งเดือดมากเข้าไปอีก เธอพยายามจะตามจอมทัพให้พบ ทว่าก็ไม่สามารถหาเจอสักทีจนมาเดินหลงอยู่ท่ามกลางกำแพงไม้ประดับซึ่งทำอย่างกับเขาวงกต กว่าจะหาทางออกมาได้ก็เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน
เมื่อเหนื่อยและก็ยิ่งขัดใจ ทำอะไรไม่ได้ หล่อนจึงได้แต่กระทืบเท้าอย่างไม่พอใจและนั่งพักลงตรงม้านั่งตัวหนึ่งข้างทางแห่งนั้นเอง
“นังบ้านนอก ทุเรศที่สุดมาแย่งคุณจอมขาของฉัน คอยดู คราวหน้าฉันจะทำให้หล่อนไม่กล้าสะเออะมาหงอกับฉันเลย”
ประกายตาที่แจ่มจ้าไปด้วยความแค้นเคืองปะทุขึ้นในดวงตาคู่สวยนั้น เธอกราดมองไปข้างหน้าไปยังทุ่งดอกไม้ด้วยอารมณ์เดือดดาลและขัดใจ ส่วนภายในใจก็พยายามคิดหาแผนแก้เผ็ดนังนั่นเด็ดๆ สักแผนหนึ่ง
“นังวัสนางค์หล่อนกับฉัน เราจะต้องเห็นดีกัน”
เรียวปากสวยซึ่งทาด้วยลิปสติกสีแดงสดเม้มแน่นเป็นเส้นตรง มันทำอย่างนี้กับหล่อน ก็เท่ากับว่าได้ประกาศตัวอย่างออกหน้าแล้วว่าจะเป็นศัตรูกับเธอจริงๆ
ทว่าเวลานั้น ยังไม่ทันได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น พร้อมกับร่างสูงของใครคนหนึ่งก็เดินแหวกฝูงนักท่องเที่ยวเข้ามาหาเธอในทันที
“รันนี่...ใช่คุณจริงๆ ด้วย” เสียงทุ้มอันคุ้นเคย พร้อมกับเงาร่างสูงของใครคนหนึ่งซึ่งเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า ทำให้รัญญิกาเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของร่างอย่างขัดใจที่เขามาขัดจังหวะความคิดของเธอ ทว่ากรอบหน้าหล่อคมที่ปรากฏอยู่บนภาพการมองเห็นนั้น มันพอจะทำให้อารมณ์เดือดในหัวใจลดทอนลงไปบ้าง ก่อนเรียวปากสวยจะคลี่ยิ้มอย่างดีใจ
“เกรท...ที่รัก คุณมาได้ยังไงกันคะ”
“ผมมาเที่ยวกับเพื่อนๆ แล้วคุณล่ะรันนี่ คุณมาได้ยังไง”
กริติกร หรือเกรท หนุ่มนักเรียนนอก ลูกชายนักการเมืองคนดังระดับประเทศ ครอบครัวของเขาและครอบครัวของเธอรู้จักกันดีและเขากับรัญญิกาก็เคยเป็นคู่ขากันในครั้งที่เรียนอยู่แคนนาดา แต่เพราะว่าหญิงสาวกลับมาก่อนเพราะเรียนไม่จบ การติดต่อของทั้งสองจึงขาดกันไป
ต่อเมื่อได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง แม้จะเจอกันในช่วงระยะเวลาแบบนี้ แต่มันก็พอจะทำให้รัญญิกาลืมเรื่องของจอมทัพไปได้ชั่วขณะ
เพราะกริติกร ทั้งหล่อ และรวย ความสามารถก็ใช้ได้ บางทีอาจจะพอๆ กับจอมทัพเสียด้วยซ้ำ เมื่อมีทางเลือกเข้ามาให้เลือก หล่อนจึงรีบดึงเอาทางนี้ในทันที
“ฉันก็มาเที่ยวค่ะ แต่พอดีหลงกับเพื่อน”
“โอ...น่าสงสารจังครับที่รัก มาครับ มาเที่ยวกับผมก็ได้”
เขาเอื้อมมือมาให้เธอจับและดึงร่างสวยเฉี่ยวนั้นให้ลุกขึ้นและพาเธอให้เข้าไปหากลุ่มเพื่อนของเขา ซึ่งแน่นอน กลุ่มคนเหล่านั้นส่วนมากเธอก็รู้จักดีเหมือนกัน เพราะเป็นเพื่อนของชายหนุ่มที่มาจากเมืองนอกและมาเที่ยวกันทั้งนั้น
และนั่นก็พอที่จะทำให้รัญญิกาคลี่ยิ้มอย่างสดใจ เวลานี้เธอเหมือนหงส์ทองในกลุ่มของหนุ่มๆ ที่ทั้งหล่อและสมาร์ทกันแทบจะทุกคน โดยเฉพาะหนุ่มเกรท อดีตคนรักของเธอและไม่แน่ ถ่านไฟเก่ามันอาจจะลุกโชนขึ้นมาอย่างรวดเร็วก็เป็นได้ เพราะดูๆ แล้วกริติกรก็ดูจะสนใจเธออยู่เหมือนกัน
เป้าหมายของแม่สาวเฉี่ยวเริ่มเปลี่ยนไป เพราะหนุ่มคนนี้ หล่อนไม่ต้องไปแย่งชิงกับใครให้เสียแรง เพียงแค่ใช้เสน่ห์ของตนเองที่คิดว่าเปี่ยมล้น กับการชุนเชื้อไฟรักเดิมๆ เข้าไปอีกนิด เท่านี้ก็ดีถมไปแล้ว
คนทั้งหมดกลับมาที่โรงพยาบาลอีกครั้งในช่วงเย็นของวันนั้น โดยก่อนหน้าที่จะกลับจอมทัพได้โทรตามหารัญญิกาแล้ว แต่ฝ่ายนั้นกลับปฏิเสธอย่างไร้ซึ่งเยื่อใย ว่าหล่อนได้เจอเพื่อนและขออยู่กับเพื่อนดีกว่ามาแย่งของๆ ใครอีก ได้ยินดังนั้นแล้ว วัสนางค์ก็แทบจะเหยียบคันเร่งรถไปข้างหน้าทันทีอย่างลิงโลด เพราะอย่างน้อย เธอก็คงจะไม่ต้องมาเห็นกิริยาที่เต็มไปด้วยความกระแดะอันเกินจริงของผู้หญิงคนนั้น
ปุณชิกาเข้าไปเยี่ยมชัย ส่วนเมยาวี จอมทัพและวัสนางค์หลังจากดูอาการของชัยแล้วก็ได้ขอแยกตัวออกมา เพราะไม่อยากจะไปขัดจังหวะของหนุ่มสาวทั้งสอง ก่อนจะพากันมาเยี่ยมรติกรที่อยู่อีกตึกหนึ่ง
เข้าไปในห้องก็เห็นสภาพที่คงเดิม นั่นก็คือเลขาฯ สาวของจอมทัพ ยังนั่งนิ่งอยู่บนเตียง ดวงตาคู่สวยทอดมองดูโทรทัศน์ซึ่งบิดาและมารดาของเธอที่มาถึงเมื่อวันก่อนเปิดเอาไว้ให้ดู
“สงสารคุณรติจริงๆ นะคะ คุณจอม” เมยาวีเสียงแผ่ว ก่อนจะพาเขาและเพื่อนสาวเดินเข้าไปใกล้ๆ กับเตียงของคนไข้สาว
เห็นว่ามีคนเยี่ยมกลุ่มใหม่มาหา นอกจากบิดาและมารดาซึ่งออกไปเมื่อหลายนาทีก่อน เธอจึงหันมามองพวกเขาแล้วส่งยิ้มให้ เมื่อมองออกว่าคนทั้งสามรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาดี แถมภายในหัวใจของเธอยังรู้สึกปลอดภัยทุกครั้งที่เห็นใบหน้าของคนพวกนี้อีก
“ทานอะไรหรือยังคะ คุณรติ” เมยาวีเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เธอเอื้อมมือไปจับและบีบมือของผู้ป่วยสาวเบาๆ อย่างให้กำลังใจ
“ทานแล้วค่ะ อร่อยมากเลยค่ะ” คนไข้สาวตอบ ก่อนจะหันไปสนใจกับภาพบนจอโทรทัศน์ต่อ
“ฝนขอให้คุณรติหายเร็วๆ นะคะ ฝนยังไม่ได้พาคุณไปเที่ยวที่ไร่พรรณกรเลย” วัสนางค์ซึ่งยืนอยู่อีกด้านของเตียงคนไข้ เอ่ยขึ้นอีก
“ใช่ค่ะ ไร่อุษณกานต์อีก คุณรติยังไม่ได้ไปเที่ยวเลยนะคะ รีบๆ หายเร็วๆ นะคะ”
“ไร่พรรณกร...ไร่อุษณกานต์ ไร่ศีตกรรณ ไร่ดอกไม้ศีตกรรณ” คนไข้สาวเอ่ยทวนคำเหล่านั้นอย่างเชื่องช้า ก่อนจะหันมามองหน้าเมยาวีแล้วคลี่ยิ้มออกมาอีกครั้ง
“ไร่ดอกไม้ศีตกรรณ ของคุณเหมย สวนดอกไม้ของคุณเหมย”
“ใช่แล้วค่ะ ไร่ดอกไม้ศีตกรรณของเหมยเองค่ะ”
“รติชอบดอกไม้ รติชอบดอกไม้ในไร่ศีตกรรณ”
ความรู้สึกภายในถูกกลั่นกรองออกมาเป็นคำพูด เมยาวี จอมทัพและวัสนางค์มองหน้ากันด้วยความดีใจมากขึ้น อย่างน้อยคนไข้สาวก็สามารถจะพูดสิ่งเหล่านี้ออกมาได้และนั่นก็แสดงว่าความทรงจำที่อาจจะเลือนหายไปชั่วขณะของรติกรกำลังจะกลับมาแล้ว
“พารติไปที่นั่นทีค่ะ รติชอบดอกไม้ รติชอบดอกกล้วยไม้แคทลียา ลีลาวดี”
“ค่ะ...เอาไว้พรุ่งนี้เหมยจะพาคุณรติกลับไปที่ไร่นะคะ แล้วจะพาคุณรติไปดูดอกกล้วยไม้ด้วย” เมยาวีบีบมือของคนไข้สาวแน่นอย่างยินดี ขณะรติกรก็ยิ้มอย่างดีใจที่ได้รับการตอบสนองจากคนรอบข้างเป็นอย่างดี
“จริงหรือคะ คุณจะพารติไปที่นั่นจริงๆ หรือคะ”
“ค่ะ เหมยไม่โกหกคุณรติหรอกค่ะ พรุ่งนี้เหมยจะพาคุณรติไปที่ไร่ศีตกรรณนะคะ” รติกรค่อยๆ ช้อนตาขึ้นสบกับแววตาดีใจของเมยาวี ก่อนจะเลื่อนไปมองจอมทัพและหันไปทางวัสนางค์อีกรอบด้วยความหวังที่มีอยู่เต็มเปี่ยมในหัวใจ
“จริงๆ นะ”
“ค่ะ...พวกเราจะพาคุณรติกลับไปที่ไร่นะคะ” วัสนางค์ที่ดีใจไม่แพ้กันช่วยเสริม
“อ้าว....คุณจอมทัพ มากันแล้วหรือคะ ขอโทษด้วยนะคะ พอดีพวกเราออกไปทานข้าวกันน่ะ” คุณหญิงวิภาเปิดประตูนำเข้ามาก่อน โดยมีคุณณรงค์ สามีเดินตามเข้ามาและพร้อมกันนั้นก็มีเหล่าสมุนในชุดสูทสีดำของคุณณรงค์ตามเข้ามาอีกสองคน ส่วนอีกสองรออยู่หน้าห้อง
ทั้งสามหนุ่มสาวต่างยกมือขึ้นไหว้คนมาใหม่ทั้งสองคน เพราะต่างรู้ดีว่าคุณหญิงและคุณณรงค์เป็นคนดังในวงสังคมชั้นสูง แต่เพราะเป็นคนดี จึงมีกระแสข่าวถูกป้ายสีไม่น้อยเหมือนกัน
โดยเฉพาะคุณณรงค์ ที่เป็นถึงหนึ่งในสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีหลายฝ่ายจับตามองและจ้องจะดึงตัวไปอยู่ในพรรคของตน เพราะเขาคนนี้เป็นอีกคนหนึ่งที่เก่งในหลายๆ ด้าน
“ไหว้พระเถอะทุกคน...” บิดาของรติกรขยับเข้าไปนั่งยังโซฟาตัวยาว ส่วนคุณหญิงก็เดินตรงเข้าไปที่เตียงของบุตรสาว
“แล้วนี่ยายรันหายไปไหนเสียแล้วล่ะ เห็นว่าไปด้วยกันไม่ใช่หรือ”
“ครับ แต่พอดีคุณรันเจอเพื่อนน่ะครับ ก็เลยไปกับเพื่อน” จอมทัพเป็นคนบอกตามความจริงที่รัญญิกาบอกมา ขณะคุณณรงค์ส่ายหน้าอย่างไม่ค่อยจะพอใจสักเท่าไรกับพฤติกรรมของบุตรสาวคนนี้
“ปากบอกว่าห่วงน้อง แต่เอาเข้าจริงๆ ก็ไม่เคยสนใจ”
“คุณรันอาจจะเบื่อละมั้งคะ คุณท่าน” เมยาวีเป็นฝ่ายแก้ต่างให้กับรัญญิกา แม้ว่าลึกๆ แล้วจะรู้สึกขัดใจไม่แพ้กันกับกิริยาที่รัญญิกาเคยทำกับเธอ
“ไม่เบื่อหรอก เคยเข้ามาเยี่ยมน้องสาวแค่ครั้งสองครั้งเองน่ะแหละ นี่ก็ปาเข้าไปวันที่สามแล้วล่ะ ไม่เห็นโผล่หน้ามาเลย”
คุณหญิงช่วยเสริมอย่างนึกหมั่นไส้ในตัวของบุตรสาว ก็มันจริงไหมล่ะ ตั้งแต่ที่นางและสามีมาถึง ไม่เห็นรัญญิกาอยู่กับน้องเลยสักครั้ง
“อ้าว...ก็ไหนว่าคุณรันเฝ้าคุณรติทั้งวันอย่างไรล่ะคะ” ได้ที วัสนางค์จึงเอ่ยแทรกขึ้นมาทันที
“ไม่หรอกหนู แค่หน้าของน้องก็ไม่อยากจะมองเสียด้วยซ้ำ เฮ้อ...ลูกสองคนนี่ แตกต่างกันจริงๆ นี่ถ้ายายรันมีนิสัยอย่างยายรติสักครึ่งหนึ่งนะ แม่ก็คงจะหมดห่วง”
คุณหญิงได้แต่ส่ายหน้าไปมาอย่างเอือมระอา จริงๆ ที่ผ่านมาน่ะ จะมีแต่จอมทัพ เมยาวี เท่านั้นแหละที่เข้ามาเยี่ยมลูกสาวของนาง โดยเฉพาะหนูเหมย ที่นางเห็นครั้งแรกก็รู้สึกรักและรู้ได้ในทันที ว่าผู้หญิงคนนี้ห่วงใยรติกรมากกว่าพี่สาวของคนไข้เสียด้วยซ้ำ
“เอ่อ...แล้วอาการของคุณรติ คุณหมอว่ายังไงบ้างล่ะคะ คุณหญิง”
วัสนางค์เอ่ยแทรกขึ้นอีก หลังจากได้รับการตอบสนองไปในทางที่ดีมากขึ้นของคนไข้เมื่อครู่ มันเพียงพอแล้วล่ะที่จะทำให้หญิงสาวดีใจไปด้วย
“หมอก็บอกว่าดีขึ้นแล้วล่ะ เห็นว่าความทรงจำจะค่อยๆ กลับมา”
“ถ้าอย่างนั้นเหมยขอพาคุณรติไปรักษาตัวที่ไร่ของเหมยต่อจะได้ไหมคะคุณหญิง เผื่อบรรยากาศที่นั่นจะทำให้คุณรติดีขึ้น”
“ใช่ค่ะ เมื่อกี้พอเราพูดถึงไร่ศีตกรรณ คุณรติก็พูดออกมาเลยว่าอยากจะไปที่นั่น”
“จริงหรือเปล่าหนูเหมย คุณจอมทัพ”
คุณหญิงหันมาทางจอมทัพ คล้ายจะถามและให้เขายืนยันและเมื่อจอมทัพพยักหน้า ความดีใจก็ยิ่งฉายขึ้นมาบนใบหน้าของคุณหญิงและคุณณรงค์ซึ่งลุกจากโซฟาตรงมาที่เตียงของบุตรสาวในทันที
“ถ้ามันทำให้ลูกสาวของฉันหาย ฉันก็ยินดี”
“ใช่...ถ้ามันทำให้ยายรติดีขึ้น ฉันก็ยินดี ขอบใจหนูมากนะ หนูเหมย”
“ค่ะ เหมยยินดีอยู่แล้วค่ะ มันจะเป็นเกียรติมากนะคะถ้าคุณท่านและคุณหญิงไปพักที่นั่นด้วย”
เธอเอ่ยเป็นการเชิญชวนบุคคลสำคัญทั้งสอง ทว่าในเวลานั้นทั้งสองกลับคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยนออกมาให้กับทั้งสามหนุ่มสาว ก่อนคุณหญิงจะเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น
“เรื่องนี้คงจะต้องรบกวนหนูเหมยเสียแล้วล่ะ พอดีเมื่อครู่มีโทรศัพท์มาจากกรุงเทพฯ คุณณรงค์จะต้องเข้าประชุมและฉันก็จะต้องกลับไปด้วย เราสองคนว่าจะขอร้องคุณเหมยและคุณจอมทัพอยู่พอดีเลย ตอนแรกว่าจะพายายรติกลับ แต่เพราะคิดว่าให้ยายรติอยู่ที่นี่ก่อน มันน่าจะดีกว่า ส่วนเรื่องไปพักที่ไร่ เห็นทีจะต้องขอเป็นโอกาสหน้าก็แล้วกันนะ”
“เอ่อ...ค่ะ”
เมยาวีพยักหน้ารับอย่างแกนๆ รู้สึกเสียใจอยู่เหมือนกันที่ถูกผู้ใหญ่ปฏิเสธเช่นนั้น ทว่าเวลานั้นมืออันอวบอูมหากแต่ก็สวยเรียบเนียนของคุณหญิงก็เอื้อมมาจับที่มือบางของหญิงสาวเป็นเชิงขอโทษและขอบคุณ
“ฉันสัญญาจ้ะ ว่าจะกลับมาที่นี่อย่างแน่นอน อีกอย่างลูกสาวของฉันก็อยู่ที่นี่ เราจะไม่กลับมาได้ยังไงล่ะจ๊ะ แต่เพราะมีงานสำคัญ เราจึงต้องฝากยายรติไว้กับคุณเหมย จะพึ่งยายรันก็คงจะเป็นไปไม่ได้”
“ค่ะ เมื่อคุณหญิงและคุณท่านไว้วางใจเหมยแบบนี้แล้ว เหมยก็ยิ่งจะต้องดูแลคุณรติอย่างดีเลยค่ะ”
“ขอบใจหนูมากนะ หนูเหมย”
“คุณรติเป็นคนดีค่ะ อีกอย่างที่เกิดเหตุการณ์นี้ก็เกิดที่ไร่ของเหมยด้วย เหมยก็ต้องรับผิดชอบดูแลคุณรติค่ะ”
“อย่าพูดแบบนั้นเลยนะหนู พวกเราไม่ใส่ใจกับเรื่องนี้หรอก แค่ยายรติไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว และเราก็รู้ว่าหนูเหมยเป็นคนดี หนูจะต้องดูแลลูกสาวของเราให้ได้”
“ค่ะ ขอบคุณคุณท่านทั้งสองนะคะ ที่ไว้ใจเหมย”
“จ้ะ...ยังไงก็ฝากยายรติด้วยนะหนูเหมย คุณจอม หนูด้วยนะ...” ประโยคท้ายก็หันมาทางวัสนางค์ซึ่งยืนอยู่อีกด้าน วัสนางค์พยักหน้าน้อมรับอย่างยินดีเช่นกัน
รุ่งขึ้นเมยาวีก็พารติกรกลับมาพักที่ไร่ของเธออีกครั้ง เจ้าของไร่สาวพาคนไข้ไปรู้จักกับบิดามารดาของเธอ ซึ่งคุณกัณฑ์สิทธิ์และคุณมาติกาก็คลี่ยิ้มรับอย่างอ่อนโยนและยินดีที่รติกรมาพักรักษาตัวอยู่ที่นี่ ในฐานะของคนในครอบครัว ไม่ใช่แขกอย่างที่เคยอีกต่อไป
ในช่วงสายของวันนั้น เมยาวีก็พารติกรที่นั่งบนรถเข็นไปยังพื้นที่ส่วนหน้าของเรือนไม้ ซึ่งจากตรงนั้นก็จะเห็นพื้นที่ด้านล่างเป็นทุ่งดอกไม้วางตัวตามแบบแปลนอย่างสวยงาม
พอได้เห็นดังนั้นแล้วคนไข้สาวก็ยิ้มแย้มแจ่มใสและรู้สึกสดชื่นกับธรรมชาติอันสวยงาม สายหมอกในยามเช้าที่เริ่มจะเจือจางลงไปมาก พร้อมกับไอเย็นแทรกผ่านเข้ามา แม้ว่าจะไม่มากนักแต่ก็พอจะทำให้เย็นสบายได้
“สวยไหมคะ คุณรติ” เมยาวีก้มลงถามคนไข้ซึ่งกำลังทอดสายตามองไปยังภาพด้านหน้าที่เหมือนกับภาพวาดไม่มีผิด
“ค่ะสวย สวยมากๆ เลยนะคะ”
“นี่แหละค่ะ สวนดอกไม้ของเหมย คุณรติเคยมายืนอยู่ตรงนี้ จำได้ไหมคะ”
“ตรงนี้หรือคะ”
รติกรทวนคำนั้นอย่างเชื่องช้า พยายามเค้นสมองคิดทบทวนถึงสิ่งที่มันฉายชัดเป็นบางครั้งและก็หายไปอีกครั้ง
“ค่ะ ตรงนี้ คุณรติเคยมายืนมองดูตรงนี้กับเหมยเมื่อหลายวันก่อน แล้วคุณรติก็บอกว่าชอบที่นี่ด้วย”
“ชอบ...ใช่ค่ะ รติชอบที่นี่ รติชอบดอกไม้ ดอกกล้วยไม้ คุณพารติไปได้ไหมคะ”
ความทรงจำที่เลือนรางและเห็นชัดบ้างไม่ชัดบ้าง หากยังมีสิ่งหนึ่งที่มันค่อยๆ ฉายชัดขึ้นมาและแทรกผ่านความคิดทั้งหมดก็คือภาพของดอกไม้รูปร่างเหมือนดอกลีลาวดีและกลิ่นของมันก็ยังคงติดตรึงในความรู้สึก
สิ่งที่ผุดมาจากส่วนลึกบอกเธอว่าเธอเคยชอบมัน ดอกกล้วยไม้ ดอกแคทลียา ลีลาวดี...
“ได้สิคะ ถ้าอย่างนั้นเราไปกันเลยนะคะ”
แล้วเมยาวีก็พารติกรตรงไปยังโรงเรือนกล้วยไม้ของเธอทันที ก่อนจะพาคนไข้สาวตรงไปยังกระบะที่ตั้งของกล้วยไม้พันธุ์นั้นและตัดช่อดอกช่อหนึ่งให้กับคนไข้สาว ซึ่งรติกรก็รับมันมาด้วยความดีใจเป็นที่สุด
“สวย สวยจังเลยนะคะ รติชอบมันค่ะ คุณ...คุณเหมย”
“เหมยก็ดีใจค่ะที่คุณรติชอบมัน มาทางนี้สิคะ ยังมีอีกพันธุ์หนึ่งที่น่าสนใจ”
วันนั้นทั้งวัน เมยาวีก็พารติกรไปเที่ยวเยี่ยมชมทั้งไร่ของเธอ โดยไม่คิดรังเกียจหรือเหน็ดเหนื่อย ตรงกันข้าม หญิงสาวกลับมีความสุขที่ได้ดูแลเพื่อนสาวที่เพิ่มมาอีกคน เช่นเดียวกับรติกร ที่เริ่มจะมีความรู้สึกที่ว่าคล้ายจะจำบางเรื่องและบางสถานที่ได้แล้ว ในเย็นวันนั้นหญิงสาวจึงพารติกรกลับมาทานข้าวกับครอบครัวของเธอ พร้อมกับจอมทัพ บนตึกใหญ่ ก่อนเธอจะพาคนไข้สาวกลับไปยังที่พักในที่สุด
ผ้าห่มผืนบางค่อยยกขึ้นมาห่มให้กับร่างของรติกรซึ่งล้มตัวนอนลงไป กรอบหน้าสวยของคนไข้สาวดีขึ้นตามลำดับ หากจะเทียบกับวันแรกที่ฟื้นตัว
“หลับฝันดีนะคะ คุณรติ”
“รติขอบคุณ คุณเหมยมากนะคะ ที่พารติไปเที่ยวในวันนี้” คนไข้สาวคลี่ยิ้ม เอื้อมคว้ามือของเมยาวีเอาไว้เสียก่อนที่เธอจะผละจากไป
“เหมยยินดีค่ะ เพราะคุณรติเป็นเพื่อนของเหมยอย่างไรล่ะคะ”
“เพื่อน...จริงด้วยค่ะ รติกับคุณเหมยเราเป็นเพื่อนกันแล้วนี่คะ”
“ใช่ค่ะ เราสองคนเป็นเพื่อนกัน สิ่งไหนที่ทำให้คุณรติมีอาการดีขึ้น เหมยยินดีมากๆ ค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ คุณรติก็นอนได้แล้วนะคะ วันพรุ่งนี้เหมยจะมาพาคุณไปดูพระอาทิตย์ขึ้นตั้งแต่เช้าเลย”
คนดูแลสาวเดินจากไปแล้วและก็มิวายหันมาปิดไฟให้กับคนไข้ รติกรมองตามร่างนั้นจวบจนลับประตูไป ก่อนจะขยับตัวมาเปิดไฟที่หัวเตียงและทอดถอนใจออกมาในที่สุด
ไม่ใช่ว่าเธอจะจำอะไรไม่ได้เลย แต่เธอเริ่มจะจำอะไรบางส่วนได้แล้ว แม้ว่าจะมากกว่าที่แสดงออกมาก็ตาม หยาดน้ำตาสาวหลั่งรินออกมาอย่างซาบซึ้งในน้ำใจของหญิงสาวที่เพิ่งจากไป ทั้งๆ ที่เธอไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่เมยาวีก็ดูแลเธอดีเหลือเกิน ดีจนเธอเริ่มจะละอายที่ต้องโกหกโดยการทำตัวเหมือนจะจำอะไรไม่ได้แบบนี้
และอีกคนหนึ่งที่ทำให้เธอนึกน้อยใจก็คือชัย...ในช่วงเวลานี้ดูเหมือนว่าเขาจะหายไปเลย เขาหายไปพร้อมๆ กับปุณชิกา ซึ่งถ้าเป็นแค่ปุณชิกาเพียงคนเดียวเธอก็พอจะเดาออกว่ากลับกรุงเทพฯ ไปแล้ว แต่นี่ชัยกลับหายไปอีกคน เธอชักจะอยากรู้แล้วล่ะสิ ว่าทั้งสองนั้นหายไปไหนกัน
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หัวใจสาวก็ยิ่งรู้สึกสับสน ความเจ็บปวดแทรกซึมเข้าสู่หัวใจ สำหรับเธอกับเขามันคงจะเป็นไปไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
แม้ว่าอยากจะลืม แต่โชคชะตาเหมือนจะแกล้งกัน ทำให้เธอจำทุกสิ่งทุกอย่างได้ในเร็ววัน จะมีใครรู้บ้างนะ ว่าเธอก็เจ็บเหมือนกัน เจ็บจนยากจะถ่ายถอนออกมาได้
สิ่งที่ทำได้ในเวลานี้ก็คือพยายามทำใจและลืมเขาให้ได้ เพราะรู้ชัยรักปุณชิกามากขนาดไหน แม้ว่าจะไม่เคยสนใจเขาอย่างกับเธอเลยก็ตาม แต่เธอก็ขอภาวนาขอให้ปุณชิกากลับมาใจอ่อนให้กับชายหนุ่มสักวัน
ภาวนาขอให้เป็นเช่นนั้น ทั้งๆ ที่ตัวเองยังเจ็บน่ะหรือ...อีกส่วนหนึ่งคอยถามอยู่อย่างใกล้ชิดและดูเหมือนว่าบัดนี้ น้ำตาของเธอเริ่มจะเอ่อคลอและไหลออกมาอาบสองแก้มอีกครั้งแล้ว หากว่าเธอจะต้องเจ็บ ก็ขอให้เขามีความสุขก็เพียงพอแล้ว เธอยอมเจ็บเพื่อจะมองดูคนที่เธอรักได้มีความสุข ส่วนเธอ จะเจ็บมากแค่ไหน สักวันเธอคงจะลืมเขาได้ ขอเพียงให้เธอมีเรี่ยวแรงให้ไปถึงวันนั้น มันน่าจะเพียงพอแล้วล่ะ
พายุ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 มิ.ย. 2555, 18:18:10 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 มิ.ย. 2555, 18:18:10 น.
จำนวนการเข้าชม : 1619
<< ตอนที่ ๒๒ อธิฐานรัก | ตอนที่ ๒๔ >> |
anOO 15 มิ.ย. 2555, 18:00:18 น.
รติ ยังไม่รู้สินะ ว่าชัยก็ป่วยเหมือนกัน
รติ ยังไม่รู้สินะ ว่าชัยก็ป่วยเหมือนกัน