วังวนริษยา
แรงรัก แรงริษยา เกาะเกี่ยวเวียนวนจากอดีตสู่ปัจจุบัน
วังวนแห่งพิษรัก ยังคงโอบรัดสิ่งเหล่านี้ให้คงอยู่ และ รอคอยอยู่ที่...เรือน เจ้านาง
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ ๑

ตอนที่ ๑

ท่าอากาศยานจังหวัดน่าน...

หลังเครื่องลงจอดยังจุดจอดเพียงสิบนาที เหล่าผู้โดยสารต่างพากันทยอยลงมารับของยังจุดรับ ก่อนจะแยกย้ายกันออกจากสถานที่แห่งนั้น ท่ามกลางฝูงชนของเหล่าผู้โดยสาร มีหญิงสาวคนหนึ่งรูปร่างสูงระหง ในชุดเสื้อผ้าแฟชั่นสมัยนิยมสีหวาน หมวกปีกสานซึ่งเธอยกขึ้นสวมเพื่อบังแสงแดดในยามบ่ายที่กำลังแผดกล้า ช่วยสร้างความเป็นสาวมั่นของเธอได้เป็นอย่างดี

เรียวปากบางคลี่ยิ้มเมื่อสายตามองเห็นบิดายืนรออยู่ไม่ไกลกันนัก ข้างๆ มีผู้หญิงอีกสองคนแต่งหน้าตาเข้มจัดยืนขนาบข้างบิดาของเธออยู่ ปรียาทำหน้าสุดเซ็งในครั้งที่สองคนนั้นแสร้งส่งยิ้มให้กับเธอ

“สวัสดีค่ะ คุณพ่อ เอ่อ คุณอา น้องแป๋ว” เดินมาถึงพร้อมกับยกมือขึ้นพนมไหว้บิดา คุณกชกรแม่เลี้ยง และทักทายปวรินน้องสาวต่างมารดา

คุณปรีชาคลี่ยิ้มพร้อมกับโผเข้าไปโอบกอดร่างบุตรสาวอย่างแสนรัก

“เป็นอย่างไรบ้างแป้ง พ่อดีใจมากเลยที่ลูกกลับมาบ้านเราอีกครั้ง”

“ใช่ๆ อาก็ดีใจที่สุดเลยที่หนูแป้งกลับมาบ้านเราอีกครั้ง” แม้จะรู้ว่านั่นเป็นการเสแสร้งของผู้หญิงซึ่งเข้ามาแทนที่มารดาของเธอ ทว่าปรียากลับเลือกจะคลี่ยิ้มขอบคุณ

“พ่อว่าเราไปคุยกันต่อที่บ้านกันดีว่านะ ที่นี่แดดร้อนมากเลย เราไปนั่งคุยกันที่ศาลาริมน้ำบ้านเราจะได้บรรยากาศเย็นสบาย เย็นนี้พ่อได้สั่งให้แม่เอี่ยมทำกับข้าวไว้รอลูกแล้วนะ”

คุณปรีชาบอกก่อนจะจูงมือบุตรสาวพาตรงไปยังรถที่จอดรออยู่ ส่วนกระเป๋าของเธอบัดนี้คนรถได้นำไปไว้ที่รถก่อนหน้านั้นแล้ว


สายน้ำน่านไหลผ่านชื่นเย็น สายลมเย็นพัดเข้ามายังศาลาริมน้ำ ซึ่งสร้างในรูปแบบประยุกต์ผสมศิลปะโรมัน ภายใต้ร่มเงาของแมกไม้ร่มรื่นซึ่งตั้งอยู่ภายในอาณาบริเวณที่ดินกว่ากว่าสิบไร่

ปรียาทอดสายตามองสายน้ำซึ่งยังคงหลั่งไหลผ่านยังจุดที่เธอยืนอยู่ชั่วนาตาปี แม้บางปีจะเหือดแห้งไปบ้าง ทว่าลำน้ำน่านก็ยังคงไหลเอื่อยไม่หยุดหาย มันคงจะเป็นเช่นเดียวกับวันเวลาซึ่งผันผ่านไปอย่างเชื่องช้า ทว่าบางครั้งก็ช่างโหดร้ายเหลือเกิน
เมื่อหลายปีก่อนสถานที่แห่งนี้เป็นเช่นไร ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงเป็นเช่นนั้น แม้บางครั้งในยามที่เธอมองไปยังอาณาบริเวณซึ่งเธอเคยอยู่จะเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่มันก็คงจะไม่มากกว่าเดิมนัก

ห่างจากตรงนั้นไปไม่เท่าไร ซึ่งเป็นสถานที่อีกแห่งหนึ่งปรากฏภายในครองจักษุของหญิงสาว สถานที่แห่งนั้นมันมีมากกว่าความทรงจำ มันเป็นเสมือนชีวิตที่เคยผ่านมาของเธอ เรือนทรงไทยโบราณหลังใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ภายใต้เงามืดของหมู่แมกไม้ใบบังอย่างน่ากลัว

สถานที่แห่งนั้นแตกต่างกับตรงจุดที่เธอยืนอยู่อย่างลิบลับ ทั้งๆ ที่มันเป็นอาณาบริเวณรัวรอบเดียวกัน

คุ้มเจ้านาง...คืออาณาบริเวณเรือนไทยหลังนั้น ตลอดจนสถานที่ซึ่งเธอยืนอยู่ หรือจะเรียกอีกแบบหนึ่งก็คือ อาณาบริเวณบ้านของบิดาของเธอทั้งหมดคือสถานที่ตั้งของคุ้มเจ้านาง

ความหลังที่เด่นชัดในหัวใจกำลังจะพาเธอเดินทางไปยังที่แห่งนั้น ทว่ายังไม่ทันได้ก้าวออกจากศาลา คุณปรีชาก็เดินเข้ามาและทักหญิงสาวเสียก่อน

“พ่อตามหาลูกตั้งนาน ที่แท้ก็มายืนอยู่ที่นี่น่ะเอง”

“หนูคิดถึงบรรยากาศของบ้านค่ะ พอลงรถเลยมาที่ริมน้ำนี่เลย” หญิงสาวอมยิ้ม ดวงตาคู่สวยเป็นประกายในยามที่เธอหันหน้ามองออกไปยังท้องลำน้ำน่านซึ่งไหล

ผ่านยังศาลาที่เธอยืนอยู่อย่างเชื่องช้า หากชื่นเย็น

“เมื่อก่อนเวลาทำงาน พ่อมักจะมานั่งทำที่นี่แหละ มันเย็นดีนะ”

“ใช่ค่ะ...” บุตรสาวพยักหน้ารับคำของบิดาอย่างถนอมคำ เวลานี้กับเมื่อก่อนมันไม่
เหมือนกันอีกต่อไปแล้ว มันแตกต่างไปพร้อมๆ กับการจากไปของมารดาของเธอ

“แล้ว...คุณอาบัวล่ะคะ”

“บัวเธอช่วยแม่เอี่ยมทำอาหารอยู่ในครัวน่ะ ลูกมีอะไรหรือเปล่า”

คุณปรีชาเอ่ยถามอย่างใคร่รู้ แม้ว่าเขาจะรู้ความสัมพันธ์ระหว่างบุตรสาวคนโตกับภรรยาคนใหม่ของเขาว่าเป็นอย่างไร และสิ่งนี้ก็เป็นผลให้ปรียาต้องออกจากบ้านไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ เกือบห้าปีเต็ม จะกลับมาบ้านแต่ละครั้งก็อยู่ไม่นาน จนเหมือนกับว่าบัดนี้ปรียากลับกลายเป็นคนนอกไปเสียแล้ว ไม่เหมือนกับปวริน น้องสาวต่างมารดาของปรียาที่อยู่กับเขาตั้งแต่เล็ก จวบจนบัดนี้และดูจะสนิทกับเขามากกว่า

แม้ทุกอย่างจะเป็นเช่นนั้น ทว่าคุณปรีชากลับไม่เคยลืมบุตรสาวคนนี้เลย พอรู้ว่าลูกเรียนจบ เขาจึงคะยั้นคะยอให้ปรียากลับมายังบ้านเพื่อจะได้อยู่กับเขาในวันที่เขาแก่ชรา เพื่อความสัมพันธ์ระหว่างสองพ่อลูกจะได้กลับมาเหมือนเดิม...อีกครั้ง

“เปล่าค่ะ...หนูไม่มีอะไร” ปรียาเลี่ยงจะตอบปฏิเสธ ก่อนจะหันมองไปยังเรือนไทยหลังเก่าซึ่งอยู่ไม่ห่างจากตรงนั้นมากนัก

“เรือนคุณแม่ไม่มีใครเข้าไปเก็บกวาดเลยหรือคะ”

ไม่เข้าใจ ยามใดที่พูดถึงเรือนหลังนั้น หัวใจสาวกลับรู้สึกหดหู่ เป็นยิ่งนัก อาจจะเป็นเพราะที่ตรงนั้นเป็นสถานที่สุดท้ายซึ่งเธอกับมารดาเคยอยู่อย่างมีความสุขก็ได้ ความรู้สึกเดิมๆ จึงเข้ามาแทนที่และถวิลหาวันนั้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

“คุณบัวเธอต้องการจะให้พ่อรื้อไม้ไปขายเหมือนกัน แต่พ่อไม่อยากจะทำเพราะบ้านหลังนั้นเป็นบ้านของลูก”

“แล้ว...ผู้หญิงคนนั้นมาเกี่ยวอะไรด้วยล่ะคะ”

แวบหนึ่งของแววตาหม่นเศร้าหญิงสาว ปรียาฉายแววไม่พอใจออกมาในทันทีที่รับรู้ซึ่งสิ่งที่ผู้เป็นบิดาเอ่ยบอก...เป็นคนนอก จะมาเกี่ยวอะไรกับสมบัติและสถานที่เคยอยู่ของเธอและมารดาได้

“ไม่หรอกลูก คุณบัวเธอไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรด้วยหรอก เพราะบ้านหลังนั้นเป็นของลูก พ่อจึงไม่ให้ใครเข้าไปยุ่งเกี่ยวไง”

“เอ่อ...ค่ะ”

เห็นบิดาว่าเช่นนั้น ปรียาจึงลดระดับความไม่พอใจลงไปเกือบครึ่ง ก่อนแววตาหม่นเศร้าจะเข้าแทนที่อีกครั้งหนึ่ง เธอทอดถอนใจ กี่ปีแล้วล่ะที่เธอจากที่นั่นไป กี่ปีแล้วที่ความทรงจำอันเจ็บปวดได้เกิดขึ้น แล้วกี่ปีที่ฝันร้ายของเธอมันคอยติดตามหลอกหลอนให้เจ็บปวด

“ไม่มีคนเข้าไปทำความสะอาด หรือเก็บกวาดที่ตรงนั้นเลยหรือคะ” หญิงสาวถามอีก ก่อนจะขยับเข้าไปนั่งข้างๆ กับบิดา เธอเงยหน้ามองกรอบหน้าซึ่งในอดีตมีเค้าโครงของคนหน้าตาคมสันอยู่ แม้ว่าสังขารจะโรยรามาจนเกือบจะหกสิบปีแล้ว ทว่าหญิงสาวกลับมองออกซึ่งดวงตาของบิดาว่าเขาก็ไม่เคยลืมวันนั้นเช่นกัน

“ที่นั่นมีสมบัติทั้งของแม่ของลูกและเจ้ายายเยอะ พ่อกลัวมันจะสูญหายเลยไม่ให้ใครเข้าไปที่นั่น อีกอย่างเพื่อจะคงความขลังและน่ากลัวเอาไว้เพื่อเป็นเกาะป้องกันไม่ให้พวกลักเล็กขโมยน้อยเข้ามาขโมยของ”

“เรื่องเจ้ายายและเจ้าแม่หรือคะ...”

แม้จะไม่เคยคิดเชื่อเรื่องผีสาง สำหรับเธอแม้จะอาศัยยังที่ตรงนั้นเสมอมา ทว่ากลับไม่เคยมี กับคำกล่าวขานความเฮี้ยนของเรือนหลังนั้นอีก เธอก็ยิ่งไม่เชื่อว่ามันจะมีจริง เพราะถ้าหากเป็นเช่นนั้นเธอก็คงจะเจอมันนานแล้วล่ะ และถ้ามีกันจริงๆ เธอก็อยากจะเจอสักครั้ง เพราะจะได้ถามว่าเหตุการณ์ที่แท้จริงของวันนั้นมันคืออะไร
แม่และเจ้ายายของเธอตายบนเรือนหลังนั้น ทั้งบ่าวบนเรือนที่หายไปอย่างปริศนาอีก ยังสร้างความค้างคาใจให้กับเธอ ไม่แม้กระทั่งคุณปรีชาว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน

คนร้ายขึ้นปล้นบ้านหลังนั้นในกลางดึกของคืนเดือนดับ พวกมันฆ่าเจ้านางปิ่นเงินและเจ้าแก้วคำแปง ยายของเธอตายและพวกมันก็หนีไปทั้งๆ ที่สมบัติทั้งหมดบนเรือนไม่ได้เอาติดมือไปสักชิ้น

ทั้งนางแก้วเกื่อน นางข้าหลวงของเจ้าแก้วคำแปงอีกคนที่หายตัวไปในคืนนั้นเช่นกัน ครั้งแรกทุกคนเข้าใจว่านางแก้วเกื่อนจะเป็นสายสนกลในให้กับพวกหัวขโมยเหล่านั้น แต่ก็ยังมีคนคัดค้านเพราะตอนหลังๆ พวกเขาเห็นวิญญาณของนางแก้วเกื่อนเดินไปเดินมาอยู่ในบริเวณนั้น

ที่เข้าใจว่านางแก้วเกื่อนคือวิญญาณ เพราะมีหลายคนที่เห็นนางอย่างชัดตา ทว่าเพียงไม่กี่วินาทีร่างนั้นก็หายไป ทั้งเสียงหัวเราะของนางข้าหลวงผู้ซื่อสัตย์จึงทำให้ทุกคนแน่ใจว่านางแก้วเกื่อนคงจะถูกฆาตกรรมเช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่า แม้กระทั่งบัดนี้ไม่มีใครพบศพของนางเหมือนอย่างกับเจ้านางทั้งสอง

อีกทั้งกิติศัพท์ของวิญญาณนางแก้วเกื่อนได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งหมู่บ้าน เมื่อมีหลายคนซึ่งตั้งบ้านเรือนอยู่โดยรอบใกล้ๆ เรือนเจ้านางมักจะได้ยินเสียงของนางร้องลำนำขับลื้อมาให้ได้ยินอยู่ไม่ขาดระยะ บางครั้งก็ปรากฏตัวออกมาหลอกหลอนผู้คนที่ลักลอบเข้าไปยังเรือนหลังนั้นเพื่อจะขโมยสมบัติ


ปรียาเดินมาหยุดยังทางขึ้นเรือนไทยทรงล้านนาหลังใหญ่ ความเงียบเชียบของอาณาบริเวณแห่งนี้ ในครั้งอดีตเป็นเช่นไร บัดนี้มันก็ยังคงเป็นเช่นนั้น เจ้ายายแก้วคำแปงท่านชอบความสงบเงียบ และสายน้ำเย็นของลำน้ำน่านจึงเลือกสถานที่ตรงนี้เป็นที่อยู่...สุดท้ายก็ได้กลายเป็นเรือนตายของเจ้านางและบุตรสาว ซึ่งก็คือมารดาของเธอ

ทั่วทั้งตัวของหญิงสาวเสียววูบ ความรู้สึกสลดหดหู่ดำเนินเข้าจู่โจมสู่จิตใจของหญิงสาว ปรียาก้าวเท้าขึ้นเรือนไปอย่างเชื่องช้า ก่อนมือบางจะค่อยๆ ผลักบานประตูไม้เก่าๆ ไปอย่างเชื่องช้า

ที่นี่ไม่ได้ล็อคกุญแจหรือใส่โซ่ตรวนเอาไว้แต่อย่างไร เพราะมีความเชื่อซึ่งเหนือคำบรรยายคอยเป็นสิ่งป้องกันเอาไว้อยู่แล้ว

บางครั้งเธอก็อดจะหัวเราะกับสิ่งที่ชาวบ้านเห็นกันว่าเป็นวิญญาณผีเฮี้ยนของนางแก้วเกื่อน นางทาสผู้ซื่อสัตย์ของเจ้าแก้วคำแปง ซึ่งเป็นดั่งพี่เลี้ยงของมารดาเธอ...เรื่องพวกนี้มันไร้สาระสิ้นดี

สายลมพัดวูบเข้ามาปะทะกรอบหน้าสวย จนเธอต้องยกมือขึ้นบัง ทั้งใบไม้แห้งและเศษฝุ่นผงปลิวว่อน ลมแรงนั้นเป็นแค่วูบเดียวเท่านั้น แล้วทุกอย่างก็สงบลงเช่นเดิม
ปรียาก้มลงมองตะเกียงเก่าๆ ใบหนึ่งซึ่งเอียงกะเท่เร่อยู่บนพื้นไม่ไกลกันนัก หญิงสาวมองมันด้วยสายตาค้นหา ว่าเหตุใดมันจึงมาอยู่ตรงนั้นได้ ก้าวตรงเข้าไปหามัน พร้อมกับหยิบมันขึ้นมาดูอีกครั้ง ทว่าคำตอบที่ได้ยังคงเดิมคือ...ไม่รู้ หรือมันอาจจะเป็นของบนเรือนหลังนี้ซึ่งปลิวมาตกก็เป็นได้...เมื่อไม่ได้คำตอบที่คิดว่าจะถูกใจ ปรียาจึงสรุปว่าตะเกียงอันนั้นคือส่วนหนึ่งของพื้นที่ซึ่งมีอดีตบนเรือนหลังนี้

เธอกวาดสายตามองไปโดยรอบ ทุกอย่างยังคุ้นตา ไม่แม้กระทั่งตั่งไม้ตัวเก่าซึ่งนางแก้วเกื่อนมักจะชอบออกมาปั่นฝ้ายยังนอกชายคายังคงตั้งที่เดิม ไม่แม้กระทั่งวงล้อกลมๆ ซึ่งทำจากไม้ไผ่และยังคงมีเส้นฝ้ายเส้นบางซึ่งบางช่วงผุขาดพาดอยู่

“เจ้ายายคะ...คุณแม่คะ แป้งกลับมาบ้านเราแล้วนะคะ”

หญิงสาวเอ่ยบอกสิ่งที่คนรอบๆ บริเวณแห่งนั้นเรียกว่าวิญญาณ แม้จะไม่เชื่อและเชื่อว่าปานนี้คนที่ตายบนเรือนหลังนี้ต่างไปผุดไปเกิดกันหมดแล้ว หญิงสาวก็ยังคงยินดีบอกกล่าวคนพวกนั้น หากว่าวิญญาณของมารดาและยายทั้งบ่าวนางทาสผู้ซื่อสัตย์ยังไม่ไปไหนจะได้รับรู้ ว่าเธอได้กลับมายังที่แห่งนี้อีกครั้งแล้ว

ปรียาเลือกจะเดินเข้าไปยังเติ๋นของเรือนไทยหลังนั้น ซึ่งเป็นพื้นที่ว่างด้านหน้าของ
เรือนก่อนจะถึงห้องนอน ที่แห่งนั้นมีตั่งไม้ตัวกว้าง ซึ่งเมื่อไม่กี่ปีก่อนเธอเคยมานั่งอยู่ตรงนั้น พร้อมกับเจ้ายายและมารดา ทุกสิ่งทุกอย่างมันยังเหมือนปกติ ไม่แม้กระทั่ง คนโทใส่น้ำดื่มของเจ้ายายที่ยังวางยังตำแหน่งเดิม

แล้วภาพในอดีตก็ลอยเข้าเวียนวนให้เธอคิดถึงอีกครั้ง...

ช่วงเย็นของวันนั้น เธอ แม่ของเธอ ซึ่งเป็นธิดาของเจ้านางแก้วคำแปง ธิดาในเจ้าหลวงนครน่าน นั่งอยู่บนตั่งไม้ตัวกว้างเพื่อจะทานอาหารเย็นอย่างเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา

เพียงไม่นาน นางแก้วเกื่อนและผู้ติดตามอีกสองคนก็ยกสำรับกับข้าวเข้ามา

“มีอะไรบ้างคะ แม่ป้าแก้วเกื่อน...”

ปรียาเอ่ยถามเสียงใส มองสำรับกับข้าวสลับกับหญิงชราวัยหกสิบกว่า ซึ่งเป็นข้ารับ
ใช้ติดตามเจ้านางแก้วคำแปงมาตั้งแต่อยู่ในสำนักราชวงศ์

“วันนี้มีน้ำพริกต๋าแดง กับผักนึ้งเจ้า คุณแป้ง” หญิงชราเอ่ยบอกพลางชม้ายมองคนถามด้วยรอยยิ้มสดใส

“ว้าว...น่ากินจริงๆ นะคะคุณแม่ เจ้ายาย”

“ไจ้แล้วน้องแป้ง น้ำพริกต๋าแดงของนางแก้วเกื่อน เปิ้นยะได้รำขนาด” เจ้านางแก้วคำแปงมิวายชมนางบ่าวผู้ติดตามทั้งรอยยิ้มอ่อนโยนที่มอบให้กับอีกฝ่าย

“เจ้านางก่ว่าเกินไปเจ้า...จะใดข้าเจ้าก่ยะได้รำบ่เต้ากับเจ้านางดอก” นางบ่าวมองค้อนเจ้านางเหนือหัว ก่อนจะพากันหัวเราะไปตามๆ กัน

“มะ...มากิ๋นกั๋น มะแม่ปิ่น น้องแป้ง”

หญิงชราวัยย่างแปดสิบหกหันไปบอกบุตรสาวและหลานสาว ก่อนจะปั้นข้าวเหนียวแต่พอคำ จิ้มน้ำพริกเข้าปาก ก่อนจะตามด้วยผักพื้นบ้านซึ่งนึ้งได้กลิ่นหอมน่ากิน ผักพวกนั้นประกอบไปด้วย ใบบัวบก ดอกหอมแดง ยอดผักขจร ยอดชะอมและผักกะจ้อน ทั้งยังมีผักอื่นๆ ซึ่งเก็บมาจากกลางทุ่งกลางนา ถือได้ว่าเป็นเครื่องเคียงได้อร่อยนัก

“เจ้าแม่คะ วันนี้แป้งขอไปนอนบ้านเพื่อนนะคะ ทำรายงานกัน กลัวว่าพอเสร็จก็ดึกกันพอดี หนูคงจะกลับบ้านไม่ทัน” หญิงสาวขออนุญาต พร้อมกับมองเลยไปยังผู้เป็นยายเป็นเชิงขออนุญาตอีกคน

“มันจะดีกา น้องแป้ง ยายว่าหื้อคนไปส่งแล้วฮับปิ๊กมาบ่ดีกา”

“ใช่ ให้คนรถคุณพ่อไปส่งก็ได้ แล้วบ้านใครน่ะ ไกลไหม” เจ้าปิ่นเงินถามบุตรสาว ดวงตาคมคู่สวยเบิกขึ้นอย่างใคร่รู้

“บ้านของจันทร์เจ้า ที่บ้านท่าล้อค่ะ คุณแม่ เจ้ายาย” หญิงสาวเอ่ยบอก

“ก่บ่ไก๋กั๋นนิ จะอั้นก่หื้อไอ้เมืองคนรถของพ่อปรีชาไปส่งก่าได้ ห่างหลานแล้วยายใจ๋บ่ดี เป๋นห่วงเฮา นอนบ้านไผก่บ่เท่ากับนอนบ้านเฮา”

เจ้านางแก้วคำแปงว่าพร้อมกับเอื้อมมือไปลูบเส้นผมสลวยของหลานสาวอย่างเป็นห่วง ในวูบหนึ่งของความรู้สึกบอกว่านี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่นางจะได้ลูบเส้นผมของหลานสาว

เพราะอะไรก็สุดจะหยั่งรู้ ไม่ใช่แค่หญิงชราเชื้อเจ้านางนี้เท่านั้น เจ้าปิ่นเงินผู้เป็นมารดาก็รู้สึกไม่ต่างกันมากนัก

“ปี้แก้วเกื่อน ไปบอกอ้ายเมืองหื้อไปส่งน้องแป้งกำเต๊อะ” เจ้าปิ่นเงินหันไปสั่งนางข้าบาทของผู้เป็นมารดา ขณะนางบ่าวผู้ซื่อสัตย์พยักหน้าแล้วถอยออกไปในที่สุด
“นอนบ้านเราอย่างที่เจ้ายายว่าน่ะแหละแป้ง สบายใจกว่า”

“แต่แป้งเกรงใจคุณแม่กับเจ้ายายนี่คะที่ต้องกลับค่ำ” เด็กสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงติดจะเกรงใจมากกว่า

“บ่เป๋นอะหยังหรอกน้องแป้ง จะดึกจะดื่นอะหยังยายบ่ว่าหนูดอก ขอหื้อปิ๊กมานอนบ้านเฮาก่ดีแล้ว ยายเป๋นห่วงหนู เข้าใจ๋ก่อ”

“ค่ะ...” หญิงสาวคลี่ยิ้ม ก่อนจะก้มลงไปซุกอกอุ่นของเจ้ายายแก้วคำแปงอย่างแสนรัก ท่ามกลางแววตาหม่นเศร้าของมารดาที่มองบุตรสาวทั้งรอยยิ้มบาง

นับตั้งแต่คุณปรีชา พาคุณกชกรเข้ามาอยู่ในบ้านในฐานะภรรยาอีกคน ทั้งยังมีปวรินซึ่งอายุห่างจากปรียาเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น เรื่องทั้งหมดได้สร้างความเจ็บปวดให้กับคุณปิ่นเงินเป็นยิ่งนัก ทั้งกิริยากระทำการเสแสร้งของสองแม่ลูกนั่นอีก จึงทำให้เธอไม่สามารถจะอยู่ร่วมชายคากับคนพวกนั้นได้ จึงขอเลือกทางเดินของตนเองนั่นก็คือการมาอยู่กับมารดาที่เรือนเจ้านางแห่งนี้ แม้จริงๆ แล้วภรรยาที่ถูกต้องตาม
กฎหมายและชื่อที่ทุกคนทั้งจังหวัดรับรู้ว่าผู้หญิงที่ชื่อเจ้านางปิ่นเงิน คือภรรยาของท่านผู้ว่าปรีชา ไม่ใช่กชกร ผู้หญิงที่ติดตามคุณปรีชามาตั้งแต่กรุงเทพฯ ในครั้งที่เขามารับราชการยังจังหวัดแห่งนี้เพียงไม่กี่ปีหลังจากนั้น และหลังการแต่งงานที่ถูกต้องตามประเพณีของเจ้าปิ่นเงิน


ภาพทุกอย่างยังเด่นชัดคล้ายดั่งจะเพิ่งผ่านพ้นไปเพียงไม่กี่วันก่อนหน้า ทว่ามันกลับสร้างความเจ็บปวดให้เธอเป็นยิ่งนัก จนไม่อาจจะกลั้นก้อนสะอื้นและหยาดน้ำตาให้หยุดไหลออกมาได้

ใช่...ไม่ลืม เธอไม่เคยลืมภาพเหล่านั้นเลย แม้ว่ามันจะเป็นภาพสุดท้ายที่เธอได้ทานข้าวและพูดคุยกับบุคคลเหล่านั้นก็ตาม

เพราะหลังจากนั้น...หลังจากที่เธอก้าวลงจากเรือนหลังนั้นไปและทำรายงานวิชาในภาคเรียนที่สองในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่หก ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของเธอ ปรียาก็ไม่ได้พูดคุยอย่างมีความสุขกับแม่ เจ้ายายและนางแก้วเกื่อนอีกเลย

ทุกคนตายจากเธอหลังจากนั้น ทุกคนจากไปพร้อมกับความสุขที่เธอมี ทุกคนจากเธอไปพร้อมกับความไม่เข้าใจของเธอและทุกคนจากไปพร้อมกับนำความทุกข์
ระทมข่มไหม้มายังเธอ

ไม่...ไม่มีอีกแล้ว ไม่มีอีกต่อไป...



พายุ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 มิ.ย. 2555, 18:30:47 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 มิ.ย. 2555, 18:30:47 น.

จำนวนการเข้าชม : 1358





<< บทนำ   ตอนที่ ๒ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account