วิวาห์บ่มรัก
เสน่ห์ของผู้ชายคืออะไรนะ
รูปร่างหน้าตา น้ำจิตน้ำใจและนิสัยใจคอ หรือถ้อยคำยามเจรจาพาทีเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งในสิ่งเหล่านี้หรือว่าควรจะทั้งหมดนั่น
ก็แล้วถ้าคนสองคนที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกัน
แต่หลายๆ อย่างกลับต่างกันอย่างสิ้นเชิงเล่า
แบบนี้แล้วฝ่ายไหนควรจะมีเสน่ห์มากกว่ากัน
ใครกันที่หัวใจบอกว่าใช่ หัวใจบอกว่ารัก...
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: 2

สามารถมาก เป็นอาทิตย์ได้มาแค่เนี้ยะ เรื่องนี้เอาสักปีจบเรื่องละกัน ฮ่าๆๆ
ขอบคุณสมาชิกใหม่ที่หลงทางมาจ้า อ่านกันไปแล้วก็ต้องอดทนด้วยเน้อ เพราะไรเตอร์ แต่งช้าเทพx100 เลยทีเดียว กร๊ากก

ขอบคุณทุกคลิก ไลค์ และทุกคอมเม้นจ้า เย้ อย่างน้อยบ้านก็ไม่ร้างล่ะ หุๆ

ภายในห้องโถงกว้างในคฤหาสน์หลังใหญ่แสนโอ่อ่ากลางกรุง คุณเอมจิตกำลังนั่งตะไบเล็บอย่างสบายอารมณ์ แม้นางจะอายุเลยเลขหกแล้วแต่ก็ยังพริ้งเพราเพราะเป็นคนดูแลตัวเองมาโดยตลอด อีกทั้งนิสัยใจคอและความคิดยังทันสมัยไม่ยอมปล่อยให้แก่ไปตามวัย คุณเอมจิตขยับกายเอื้อมมือหยิบแก้วน้ำทับทิมขึ้นจิบพลางปรายตามองลูกสะใภ้ซึ่งเดินเข้ามานั่งใกล้ๆ


“เป็นอะไรแม่พัชชา ทำหน้าหน้านิ่วคิ้วขมวด ประเดี๋ยวก็หน้าเหี่ยวหน้ายับกันพอดี วันๆ จะกลุ้มใจอะไรนักหนา เอ๊ะ หรือว่าหล่อนจับได้ว่าพ่ออาจองมีกิ๊ก” ถามแล้วก็หัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างอารมณ์ดี ดูไม่อนาทรร้อนใจสักเท่าใดเลย คนถูกถามนึกอยากจะค้อนให้แม่สามีอยู่ครามครันหากก็ทำไม่ได้ เลยได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ


ก็แน่ล่ะ คนรักสวยรักงามไม่ยอมแก่อย่างคุณเอมจิต ดูจะสนุกสนานอยู่ทุกเมื่อได้อยู่แล้วเพราะเชื่อว่าการมีอารมณ์สุนทรีย่อมทำให้ห่างไกลจากความชรา


“เปล่าหรอกค่ะคุณแม่”


“อ้าว แล้วหล่อนทำหน้าเครียดทำไม” นางทำเสียงสูง แล้วจึงเอื้อมมือหยิบแก้วน้ำทับทิมขึ้นดื่มอีกครั้ง...ดื่มเพราะอยากได้รับสารแอนตี้ออกซิแด๊นเพื่อต้านชราอีกนั่นล่ะ


“ตาอิทน่ะซีคะ ตั้งแต่เช้าจนป่านนี้ยังไม่เห็นหน้าเลย ไม่รู้ไปไหน” ลูกสะใภ้เอ่ยถึงบุตรชายคนเล็ก...แฝดคนน้องที่ชื่อเล่นน่าจะเป็นของคนพี่ ดังเช่นชื่อของคนพี่น่าจะเป็นของคนน้องนั่นล่ะ


เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะความสับสนเมื่อครั้งทั้งสองยังเยาว์วัย ด้วยความที่เหมือนกันมากเลยเรียกผิดเรียกถูกประจำ กระทั่งพวกเขารู้ความก็เลยปล่อยเลยตามเลย


จึงกลายเป็นว่าอิศวรได้ชื่อเล่นว่าอิน แต่คุณเอมจิตอยากให้พ้องกับชื่อจริงจึงให้ใช้คำว่า ‘อินทร์’ ซึ่งมีความหมายพ้องกับชื่อจริงของเขา ส่วนอินทัชก็ใช้คำว่า ‘อิท’ ไปเสีย ทว่าเหตุผลของชื่อไม่มีเพราะไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วนั่นล่ะ


“โอ๊ย...แม่พัชชา ตาอิทน่ะอายุสามสิบแล้วนะไม่ใช่สิบสาม หล่อนจะห่วงอะไรนักหนา อีกอย่างนายคนนี้น่ะถ้ากลับบ้าน อยู่ติดบ้านสิ ถือว่าเป็นเรื่องแปลก”


ฟังแล้วคิดตาม ที่มารดาสามีกล่าวน่ะไม่ผิดเลย กระนั้นหัวอกคนเป็นแม่ก็อดเป็นห่วงเป็นใยไม่ได้อยู่ดี ลูก...ต่อให้โตสักเพียงใด อายุสักเท่าไหร่ความรักความห่วงใยก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง


เหนืออื่นใด นางรู้ดีว่าภายใต้ท่าทีแสนขี้เล่นของอินทัช ในมุมลึกสุดของหัวใจนั้นมีความปวดร้าวซุกซ่อนอยู่ นั่นเพราะปมในใจที่เคยทำผิดพลาดโดยไม่ได้เจตนา แม้ว่าจะไม่เคยมีใครถือโทษโกรธเคืองเลยก็ตาม เนื่องจากต่างรู้ดีว่าเรื่องที่เขาทำนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกันแต่อย่างใดเลย


“ไม่ต้องห่วงอะไรนักหรอกน่า คงไปแรดตามประสาคนโสดนั่นล่ะแม่พัช”


พัชชาถอนหายใจ นึกระอาอยู่เหมือนกันกับการทำตัวเป็นพ่อพวงมาลัยของลูกชาย โดยไม่ทันเฉลียวใจสักนิดว่าคนถูกกล่าวถึงกำลังตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย







เสียงโหวกเหวกโวยวายเงียบไปแล้ว แม้จะอยากรู้เหลือเกินว่าเกิดอะไรขึ้นกับอดีตเจ้านาย กระนั้นจอมจันทร์ก็ยังวางเฉยไม่คิดจะเหลียวกลับไปมอง หล่อนจูงหลานสาวขึ้นบ้าน ตั้งแต่กลับมาจากสนามหญ้าก็ไม่พูดไม่จาสักคำ ในขณะที่เด็กหญิงมีคำถามเต็มอกไปหมด




“อาจอม...ตกลงลุงคนนั้นจะมาอยู่บ้านเราเหรอคะ” ระหว่างจูงมือกันเดินขึ้นเรือน เด็กหญิงก็ซักถามตามประสาอยากรู้อยากเห็น ทว่าจอมจันทร์ยังมิทันตอบคำใด เสียงของใครบางคนก็ดังมาแต่ไกล อาหลานหันขวับแลหา จึงพบว่าคนพูดกำลังเดินออกมาจากในบ้านพอดี



“ใครส่งเสียงเอะอะอะไรวะไอ้จอม ร้องยังกับจะถูกพาไปเชือด” นายเมฆ...ชายชราวัยเกษียรถามไถ่อย่างสงสัย พลางขยับมือโบกผ้าขาวม้าซ้ายทีขวาทีเพื่อดับร้อน คนถูกถามชะงักไปนิด เพราะไม่รู้จะตอบอย่างไรดี


“พ่อจับใครมาก็ไม่รู้จ้ะทวด” เด็กหญิงเป็นผู้ตอบแทน ละมือที่เกาะเกี่ยวกับอาสาวแล้วโผเข้ากอดแขนปู่ทวดอย่างรักใคร่สนิทสนม


พลันที่ได้ยินคำของเหลน เมฆก็หันขวับไปที่หลานสาว ส่งเสียงสูงอย่างไม่เชื่อหูทันที


“เฮ้ย...จริงเรอะไอ้จอม พ่อเจ้าจิ๋วไปจับใครมาวะ”


“ใคร...ใครจับใครมาพ่อ ใครจับใครมาวะไอ้จอม” หญิงสาวยังมิทันตอบ ใครอีกคนก็วิ่งหน้าตั้งมาร่วมวง เมฆเหลียวมองคนถาม แล้วส่ายหน้าเร็วด้วยว่ายังไม่รู้รายละเอียดเช่นกัน


จอมจันทร์เริ่มหนักใจ หล่อนไม่อยากให้หลานสาวต้องมารับรู้เรื่องราวเหล่านี้เลย ที่สำคัญถ้าพ่อกับปู่รู้ว่าพี่ชายจับอดีตเจ้านายมาเพราะเหตุผลใดคงวุ่นวายไม่รู้จบแน่


แหงล่ะ บ้านที่มีแต่ผู้ชาย อันประกอบด้วยพี่ชาย พ่อและปู่ ส่วนผู้หญิงมีแต่หล่อนกับเจ้าจิ๋วหรือใกล้ฟ้า เด็กหญิงวัยสิบขวบลูกสาวของข้ามฟ้าผู้พี่ ก็เลยถูกรุมล้อมดูแลราวกับไข่ในหินจนแทบหมดโอกาสกระดิกตัวกันเลยทีเดียว


นี่อย่างไรเล่าที่ทำให้ช่วงหนึ่งหล่อนกระสันชีวิตอิสระ จนเกิดเรื่องราวเกี่ยวโยงมาถึงปัจจุบัน คิดแล้วก็ลอบถอนใจยาวแรงๆ ก่อนจะมองหน้าหน้าคนสูงวัยกว่า อึกอักพูดไม่ออกอยู่เป็นนาน ไม่ทันใจผู้ชายสองคนตรงหน้าที่อารมณ์ยังวัยรุ่นเอาเสียเลย จึงพากันส่งเสียงจึ๊ปากอย่างนึกรำคาญ


“อุวะ...อึกอักอยู่นั่นแหละ พ่อถามว่าใครจับใครมา” นายฟ้าครามถามซ้ำ ก่อนจะนึกได้ว่าถ้ารอคำตอบแล้วมันช้านักทำไมไม่ออกไปดูด้วยตัวเอง ทว่ายังมิทันขยับตัว คำตอบที่ต้องการก็ดังเข้าหูเสียก่อน


“ผมจับไอ้ผู้ชายที่บังอาจทำไอ้จอมอกหักมาเองแหละพ่อ” เสียงข้ามฟ้าดังมาแต่ไกล จอมจันทร์เลยได้แต่ยกมือขึ้นกุมขมับ


ฟ้าครามและเมฆมองหน้ากัน ไม่มีแววประหลาดใจใดๆ เลย ที่สำคัญประกายบางอย่างในแววตาของทั้งสองท่านส่งผลให้จอมจันทร์นึกระแวง

พ่อกับปู่รู้เห็นเป็นใจกับวีรกรรมสุดห่ามครั้งนี้ด้วยหรือไร!?!







โบราณว่าฝันร้ายจะกลายเป็นดี อินทัชค้นพบสัจธรรมในข้อนี้แล้วเช่นกัน เพราะแท้จริงแล้วเรื่องที่เขาเผชิญมาตลอดบ่ายนั้นแค่ฝันไป




จอมจันทร์ และพี่ชายจอมโหดรวมถึงเด็กแสบที่ฝากรักไว้ด้วยฉี่นั่นเป็นแค่จินตนาการในห้วงฝันยามหลับใหลเท่านั้นเอง ด้วยว่ายามนี้เขากำลังนอนอย่างสบายบนเก้าอี้เนื้อนุ่ม ซึ่งตั้งอยู่ใต้ร่มไม้ริมสระน้ำกว้าง ทั้งยังอวลไปด้วยกลิ่นหอมของอโรมาเทอราปีชวนให้ชุ่มชื่นแจ่มใจ แว่วเสียงนกขับขานคอยขับกล่อมให้ความบันเทิงใจเป็นระยะ



กระทั่งรู้สึกว่ามีบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวอยู่ที่ปลายเท้าและกำลังขยับสูงขึ้นตามลำดับ จึงเผลอเปลือกตาเหลือบแลมอง


พลันต้องตะลึงตัวแข็งค้างไม่กล้าเคลื่อนไหว เนื่องจากงูตัวใหญ่ขนาดโคนขากำลังเลื้อยผ่านมาตามช่วงขาของเขา ยามนั้นเดาไม่ถูกหรอกว่าเจ้าสัตว์เลื้อยคลานมีเกล็ดตัวนี้มีสายพันธุ์ชนิดไหน เพราะลำตัวสีขาวราวกับงูเผือกทั้งตัวใหญ่และยาวมาก นึกอยากจะตะโกนขอความช่วยเหลือหากก็ร้องไม่ออก


ประหนึ่งว่าอรพิษตัวร้ายรับรู้ถึงความคิดของเหยื่อหนุ่ม จึงเลื้อยรัดรอบกายของเขาอย่างรวดเร็ว


อินทัชดิ้นทุรนทุราย หายใจไม่ออก แล้วกลิ้งตกจากเก้าอี้ตัวยาวที่เอนหลังนอนมาหลายชั่วโมง ก่อนจะหล่นลงไปในน้ำทั้งคนทั้งงู!


“ช่วยด้วย!!!” ตะโกนก้องแล้วลุกพรวดขึ้นนั่ง พร้อมกับหน้าตาเนื้อตัวที่เปียกโชกอีกตามเคย ครั้นตื่นเต็มตาจึงพบว่า นายณเดช คูหาสวรรค์ ยืนถือกระป๋องน้ำมองอยู่ก่อนแล้ว ถัดไปก็คือนายยา...สองผู้คุมคนเดิม


ฝัน?!?...นี่เขาฝันว่าถูกงูรัดอีกแล้วหรือ


คงไม่ผิดหรอก ฝันไปจริงๆ ในเมื่อสถานที่รอบกายมิได้เหมือนหรือคล้ายกับภาพที่เห็นเมื่อก่อนหน้านี้เลยสักนิดเดียว ธรรมชาติริมน้ำที่ผสานกลิ่นอโรมาฯ แสนผ่อนคลาย...ใช่ที่ไหนกัน มีแต่กลิ่นขี้ไก่คละคลุ้งไปหมด เสียงขับขานของนกคือเสียงแม่ไก่ที่กกไข่ต่างหาก เก้าอี้ยาวสำหรับเอนนอนเป็นเพียงแคร่ไม่ไผ่แข็งๆ สระน้ำกว้างไกลที่ตกลงไปคือน้ำจากในกระป๋องของนายเดชนั่นเอง


เอาเถอะ อย่างน้อยก็ไม่มีเจ้างูเผือกตัวนั้นล่ะน่า


สรุปแล้วกระท่อมปลายนา...เอิ่ม ไม่สิ กระท่อมหลังบ้านที่ว่าคงเป็นที่นี่สินะ เห็นสภาพแล้วอยากจะบ้าตาย เขาถูกพามาขังภายในเล้าไก่เนี่ยนะ


ครั้นคิดสะระตะแล้วก็นึกสมเพชตัวเอง ลองได้ถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้งคงได้มีเรื่องให้ต้องผจญอีกกระมัง



พินพัชน์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 มิ.ย. 2555, 20:32:49 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 มิ.ย. 2555, 20:32:49 น.

จำนวนการเข้าชม : 1290





<< บทที่1   
anOO 19 มิ.ย. 2555, 16:29:45 น.
แค่ทำน้องสาวอกหัก แค่นี้เองจริงๆ เหรอ เหมือนจะมีอะไรมากกว่านี้


ปูจ้า 17 ก.ย. 2555, 18:37:28 น.
มันเยอะไปนะคะ แบบว่าเอาตรงๆนะคะ เว่อร์ไป แบบทำเกินไป ไม่ฟังกัน รวมๆแล้ว พี่พ่อนางเอกไร้เหตุผล(หรือเหตุและผลจะตามมาทีหลัง) มันไม่ค่อยไหลรื่นเท่าไหร่ค่ะ อ่านแล้วให้รู้สึกอึดอัดแทนพระเอกค่ะ รีบเอาตอนต่อไปมาลงเร็วๆนะคะ บ้านจะได้ไม่ร้างงงง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account