รอยรักเหมันต์
...เพราะสายลมหนาวหรือเพราะมนต์เสน่ห์แห่งทุ่งดอกไม้ จึงนำพาให้สองหัวใจมาพบกัน

เมื่อเขาคือนักธุรกิจหนุ่มรูปหล่อกับเธอเจ้าของสวนดอกไม้สาวผู้พราวเสน่ห์...
เพียงแรกพบสบตา เขาและเธอก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าใช่เลย
จอมทัพจะสามารถนำดอกไม้งามดอกนี้

Tags: ฤดูหนาว

ตอน: ตอนที่ ๒๔

ตอนที่ ๒๔

ร่างหนาซึ่งนอนบนเตียงคนไข้ขยับตัวอีกครั้งด้วยความเมื่อยขบเพราะการที่ต้องมานอนหลายชั่วโมง ทว่าเขาก็ขยับกายได้ไม่เต็มที่อยู่ดีเพราะแผลยังไม่เข้าที่กันดีเสียด้วยซ้ำ ความเจ็บก็แล่นแปลบเข้าไปจนถึงหัวใจ

สิ่งที่ทำได้ก็คือกรอกสายตามองไปรอบๆ ก่อนจะไปหยุดอยู่กับร่างบางซึ่งซบอยู่ข้างๆ เตียงของเขา

เป็นปุณชิกา หญิงสาวที่เขารู้สึกรักจนหมดหัวใจ

เธอมาเฝ้าเขา และบัดนี้เธอก็คงจะหลับไปแล้วด้วยความอ่อนเพลียนั่นเอง

ชัยมองร่างบางที่ซบอยู่ตรงนั้นก็พลันคลี่ยิ้มอ่อนโยน เขาหยัดตัวลุกขึ้นอย่างแผ่วเบา แม้จะปวดแผลแต่ก็สามารถทนจนสามารถลุกขึ้นมานั่งได้ในที่สุด

ร่างบางที่นอนอุตุอยู่นั้นขยับตัวนิดหนึ่ง พร้อมกับถอนหายใจออกมา ในความรู้สึกสำหรับชายหนุ่ม มันเป็นภาพที่น่ารักยิ่งนัก เขายอมรับนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้มองเธออย่างชัดๆ แบบนี้ และเหมือนว่าจะเป็นภาพที่เขาเต็มใจจะมองด้วย

ในระหว่างที่เขานอนสลบอยู่นี้ เขาได้ยินเสียงของเธอและได้รับความห่วงใยจากความรู้สึกที่สัมผัสได้ นั่นมันก็เพียงพอแล้วสำหรับความหวังที่เขาต้องการและไม่เสียแรงที่ตนอดทนฟื้นขึ้นมาเพื่อเธอ

“ผมดีใจเหลือเกินที่คุณอยู่เคียงข้างผมแบบนี้ คุณปูเป้”

ชายหนุ่มเอ่ยเสียงแผ่ว ไม่หวังผลที่จะให้เธอได้ยิน เพราะถ้าเธอได้ยินแล้ว เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอจะว่าเช่นไร

มือที่ยังมีสายเข็มน้ำเกลือปักอยู่ตรงข้อมือยกขึ้น แล้วลูบลงที่เส้นผมสลวยของเธออย่างแผ่วเบา ก่อนประโยคที่มันกลั่นกรองออกมาจากหัวใจจะดังขึ้น

“ผมรักคุณนะครับ คุณปูเป้ แม้ว่าคุณจะไม่เคยรักผม แต่ผมก็ขอรักคุณแบบนี้ข้างเดียว ผมก็ดีใจแล้วครับ ขอบคุณมากนะครับที่ห่วงใยและดูแลผม”

พูดในสิ่งที่หัวใจสั่งการแล้ว ชายหนุ่มก็ค่อยๆ ก้มลงจูบลงบนเรือนผมสลวยนั้นอย่างเชื่องช้าและเนิ่นนาน ก่อนจะขยับตัวเอนกายลงนอนอีกครั้ง เพราะถ้าทำเช่นนั้นนานเกินไป หญิงสาวจะรู้สึกตัวและมาอาละวาดเขาได้

ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่า หลังจากที่ตัวเองหลับตาลงไปแล้ว ร่างบางที่นอนนิ่งจะค่อยๆ ขยับตัว และเงยหน้าขึ้นมามองเขาด้วยรอยยิ้มเขินอายเป็นที่สุด

ปุณชิกาหน้าแดงซ่าน พร้อมกับส่งค้อนให้กับคนไข้หนุ่มไปหลายยก

“คนบ้า...มาบอกรักกันตอนหลับนี่นะ”



ร่างบางที่ซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มเคียงข้างกับร่างของไฮโซหนุ่ม ขยับเข้าแนบชิดเขาแน่นอีกหลังกิจกรรมร่วมรักซึ่งเพิ่งจบลงจะสร้างความสุขให้กับเขาและเธออย่างดูดดื่มยิ่งนัก

ทว่าเวลานั้นรัญญิกาต้องหัวเสีย เมื่อตอนเธอกำลังจะเคลิ้มหลับไปนั้นมีเสียงโทรศัพท์มือถือซึ่งวางอยู่บนหัวเตียงดังขึ้นเสียก่อน

“ใครกันนะ ไม่รู้จักเวล่ำเวลา” หญิงสาวบ่นพึม ก่อนจะขยับตัวแต่กระนั้นก็ยังไม่พ้นไปจากอกหนาเปลือยเปล่าของกริติกร หนุ่มสังคมซึ่งยังนั่งเอนหลังพิงหมอนและมองมายังเธอด้วยสายตาเป็นประกาย

“ทำไมคุณไม่รับล่ะครับ” เขาเอ่ยถามอย่างสงสัย เมื่อเธอยังไม่มีทีท่าว่าจะเอื้อมมือไปรับเจ้าของที่มาเสียงเรียกดังลั่นห้องนั้น

“ไม่ค่ะ รันนี่เบื่อค่ะ คงจะเป็นคุณพ่อหรือไม่ก็คุณแม่ที่โทรตาม”

“ที่รัก ผมว่าคุณรับเถอะนะครับ เผื่อพวกท่านมีเรื่องด่วนกันจริงๆ”

“เกรทคะ เรื่องสำคัญของคุณพ่อคุณแม่ก็คงจะไม่พ้นเรื่องของยายรติหรอกค่ะ”

“รติ...ใครกันครับ” คิ้วหนาเลิกขึ้นเป็นเชิงถาม ด้วยเพราะรู้จักกันที่เมืองนอก ข้อมูลทางครอบครัวของรัญญิกาสำหรับชายหนุ่มแล้ว จึงถือว่ามีน้อยเต็มที

เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารัญญิกาจะมีน้องสาวฝาแฝด

“ยายรติ น้องสาวของรันนี่เองค่ะ นังนั่นหัวดื้อ ชอบสร้างเรื่องอยู่เรื่อย”

“ผมว่าคุณควรจะรับนะครับ ยิ่งเป็นเรื่องของน้องสาว คุณก็ควรจะใส่ใจ” ชายหนุ่มไม่เห็นด้วย กับกิริยาของคู่ขาสาวที่ทำเหมือนจะไม่สนใจคนในครอบครัวมากนัก

“เกรทคะ รันนี่เป็นแฟนคุณนะคะ ไม่ใช่ยายรติ” ต่อมความหึงเริ่มทำงาน เมื่อคู่ขาหนุ่มทำท่าว่าจะสนใจเรื่องของน้องสาวเธอมากกว่า โดยลืมเธอไปชั่วขณะ หญิงสาวจึงทำหน้าเง้างอดและลุกขึ้นนั่งทันที

“โธ่ที่รัก...ก็คุณเป็นแฟนผมอย่างไรล่ะครับ ผมถึงอยากจะให้คุณใส่ใจเรื่องของคุณพ่อคุณแม่บ้าง รับเถอะครับ ถ้ามันเป็นเรื่องส่วนตัว งั้นผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”

เจ้าหนุ่มร่างหนา แผ่นอกมีกล้ามเป็นมัดๆ อย่างน่าหลงใหลขยับตัวนิดหนึ่ง ทว่าเวลานั้นรัญญิกากลับดึงแขนของเขาเอาไว้เสียก่อน พร้อมกับเอ่ยเสียงหวาน

“ไม่ต้องก็ได้ค่ะ รันนี่จะรับและสิ่งที่รันนี่กำลังจะพูดเกรทรู้เอาไว้เลยนะคะว่ามันจะไม่เป็นความลับระหว่างเรา” พูดให้เขาสบายใจแล้ว รัญญิกาจึงเอื้อมมือไปเอาโทรศัพท์ ซึ่งแน่นอน สายที่โทรเข้ามานั้นคือมารดาของเธอเอง

“ยายรัน นั่นลูกอยู่ที่ไหน” ทันทีที่กดรับเสียงจากปลายสายก็ดังมาในทันที

“คุณแม่คะ รันโตแล้วนะคะ จะอยู่ที่ไหนมันก็เรื่องของรัน”

“นี่แสดงว่าลูกยังไม่ไปหาน้องอีกหรือ”

“จะทำไมคะ แล้วคุณแม่ล่ะคะ ตอนนี้อยู่ที่ไหน”

“แม่กับคุณพ่อกลับกรุงเทพฯ แล้วล่ะ แม่ถึงอยากจะให้ลูกไปอยู่กับน้องยังไงล่ะ อ้อ...ตอนนี้คุณจอมทัพและหนูเมยาวีก็พายายรติไปรักษาต่อที่ไร่ศีตกรรณแล้วล่ะ แม่อยากจะให้หนูไปดูน้องมันบ้าง”

“ก็ไหนคุณแม่บอกว่ามีนัง...เอ่อ คุณเหมยดูแลแล้วยังไงล่ะคะ ขนาดคุณแม่กับคุณพ่อไม่อยู่ กลับกรุงเทพฯ ไปแล้ว ไม่เอาค่ะ พรุ่งนี้หนูก็จะกลับกรุงเทพฯ แล้วเหมือนกัน เท่านี้ก่อนนะคะ รันมีปาร์ตี้กับเพื่อนค่ะ สวัสดีค่ะ”

พูดจบเธอก็ตัดสายทิ้งในทันที โดยไม่ยอมฟังคำที่ตามมาอีกเป็นชุดของมารดา เธอกดปิดเครื่องเพราะกันการโทรตามซ้ำ ก่อนจะหันมาทางกริติกรอีกครั้งด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนา

“ทำไมคุณพูดแบบนั้นกับคุณแม่ของคุณล่ะครับ”

“ก็รันชอบพูดแบบนี้นี่คะและก็พูดมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว”

“ไม่กลัวคุณแม่ของคุณจะโกรธหรือเสียใจหรือครับ ที่คุณพูดแบบนั้นกับท่าน แล้วกับเรื่องน้องสาวของคุณอีก”

“คุณแม่ไม่โกรธรันนี่หรอกค่ะเกรท ท่านรักรันนี่จะตายไป อีกอย่างเรื่องของยายรติน้องสาวก็มีคนที่ทำให้ยายนั่นเป็นแบบนั้นดูแลอยู่แล้ว”

เธอพูดอย่างไม่ใยดีมากนักกับน้องสาวของตนเองที่กำลังป่วย ขณะกริติกรมองหน้าหญิงสาวตรงหน้าอย่างค้นหา พรางคิดตาม ผู้หญิงคนนี้น่ากลัวนัก ขนาดคนในครอบครัวหล่อนยังไม่สนใจใยดี แล้วกับเขาล่ะ อีกไม่นานเธอก็คงจะไม่สนใจเหมือนกัน

คนฉลาดย่อมจะมองออกและคนอย่างกริติกรก็ไม่ใช่คนประเภทให้หลอกง่ายๆ เหมือนกัน แม้ว่าผู้หญิงคนนี้จะเคยเป็นคู่ขาของเขา ทว่าเขาก็ไม่อยากจะคิดเอาหล่อนมาอยู่เคียงข้างอย่างจริงจังและก็ดูออกว่ารัญญิกาก็คงจะมีความรู้สึกไม่ต่างกันมากนักเช่นกัน

และคนอย่างเขา ก็ไม่มีวันเอาคนที่เห็นแก่ตัวและใช้ชีวิตเสเพลไปวันๆ อย่างผู้หญิงคนนี้มาช่วยดูแลธุรกิจส่วนตัวของเขาที่กำลังไปอย่างรุ่งโรจน์ เพราะหล่อนเห็นว่าเขามีเงินหรอก

“ไม่เอาแล้วค่ะ พูดเรื่องนี้ก็เสียอารมณ์ เรามาพูดเรื่องของเราดีกว่านะคะที่รัก” รัญญิกาเอ่ยเสียงยั่ว ก่อนมือบางจะลูบไล้ไปบนแผงอกหนา แล้วไล่เรื่อยต่ำหายเข้าไปในผ้าห่ม ควานหาสิ่งหนึ่งซึ่งนอนสงบนิ่งในนั้นก่อนจะจัดการปลุกปั้นให้มันมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง ท่ามกลางเสียงร้องครวญอย่างถูกใจของชายหนุ่ม

ชั่วเวลาไม่ถึงนาที เพลิงปรารถนาก็โหมกระพือ ทั้งสองร่างต่างพากันกระโจนลงบ่อน้ำแห่งความสุขสมและห้วงดำฤษณา



เช้านี้ เป็นอีกวันหนึ่งที่เมยาวีรู้สึกสดชื่นเพราะเป็นวันที่เธอไม่ต้องคิดอะไรให้หนักสมอง โดยเฉพาะเรื่องของจอมทัพ เพราะตั้งแต่วันที่ไปเที่ยวด้วยกัน รัญญิกาก็ดูเหมือนจะไม่กลับมายุ่งย่ามกับจอมทัพอีก แถมรายนั้นได้ย้ายของออกไปจากไร่ของเธอโดยไม่ลาสักคำและเวลานี้ก็หายไปเลยเช่นกัน ขนาดน้องสาวของตนเองอยู่ที่นี่ หล่อนยังไม่โผล่หน้ามาดูแล หญิงสาวจึงได้แต่ส่ายหน้า คนที่เกิดเป็นฝาแฝดกัน บางทีอาจจะเคยเป็นศัตรูกันในชาติที่แล้วก็เป็นได้ อย่างรติกรกับรัญญิกาสิ ทั้งสองแม้จะเกิดในท้องเดียวกัน เวลาที่ไล่เลี่ยกัน นิสัยกลับแตกต่างกันอย่างลิบลับ แถมยังมีทีท่าว่าจะเกลียดกันเสียด้วยซ้ำ

ไม่เหมือนเธอกับน้องชาย แม้ว่าจะอยู่กันคนละขั้วโลก เพราะเจ้านั่นไปเรียนต่อปริญญาโทที่นิวซีแลนด์ แม้ว่าจะห่างกัน แต่ก็ยังติดต่อกันอยู่เป็นระยะเหมือนกัน

อีกคนหนึ่งก็กับชัย แม้ว่าจะเป็นคนละพ่อคนละแม่ แต่เธอก็ถือว่าเขาเป็นน้องชาย ความห่วงใยมักจะมอบให้มากกว่าน้องชายแท้ๆ ซึ่งอยู่ห่างกันเสียด้วยซ้ำ

อาจจะเป็นเพราะความใกล้ชิดกระมัง ที่ทำให้ความรู้สึกสำหรับเธอถึงได้เป็นเช่นนั้น แต่กระนั้นหญิงสาวก็ไม่อาจแบ่งความรู้สึกให้เกลียดต่อคนเป็นน้องทั้งสองได้

แม้กระทั่งผู้คนร่วมโลกที่เรียกว่าเพื่อน แม้จะไม่สนิทมากนักอย่างรติกร เธอกลับดูแลหล่อนได้อย่างดีและมันก็ไม่แม้กระทั่งกับมณีกานดาและวัสนางค์ เหล่าเพื่อนสาวสนิทของเธอเลย

หากจะเทียบกันจริงๆ เธอกับรัญญิกา อาจจะมองกันในเรื่องของการอบรมเลี้ยงดูด้วย เธอรู้ความเหล่านี้จากคุณหญิงรภา มารดาของรัญญิกาว่าตั้งแต่เล็กๆ ได้เลี้ยงดูอย่างตามใจ เพราะเป็นคนขี้โรค ผิดกับรติกรที่เป็นคนเข้มแข็ง จึงไม่ถูกตามใจเหมือนพี่สาวและพอโตขึ้นมา ก็กลายเป็นคนที่เอาการเอางานอย่างที่คุณหญิงหวังไว้ แต่สำหรับรัญญิกานี่สิ กลับผิดไปอย่างที่เคยคาดคิดไว้เสียถนัด

เมยาวีเดินมาถึงระเบียงของบ้านเรือนไม้ เมื่อครู่เธอเข้าไปในห้องของรติกรที่เพิ่งจะตื่นและขอทำธุระส่วนตัว โดยบอกว่าจะตามเมยาวีออกมายังระเบียงเพื่อดูอาทิตย์ขึ้นอย่างที่หญิงสาวเจ้าของไร่บอกเมื่อค่ำวาน

มือบางเอื้อมจับที่ขอบราวไม้ พรางทอดถอนใจกับความคิดที่เพิ่งคิดไป ไม่รู้เหมือนกัน ว่าถ้าหากเธอถูกพ่อและแม่ตามใจมาตั้งแต่เล็กๆ ชีวิตที่โตขึ้นจนอายุจะเหยียบเลขสามอย่างในเวลานี้ของเธอจะเป็นเช่นไรต่อไป

เธอจะได้บริหารงานที่ไร่แห่งนี้ตามความฝันจริงหรือไม่ หรือว่าจะเป็นเพียงแม่สาวโคโยตี้ตามงานโชว์รูม รถต่างๆ เท่านั้น

คิดแล้วก็ตลกกับชีวิตของตนเองเหมือนกัน เคยอกหักกับแค่หมอดูคนหนึ่งทัก ซึ่งตอนหลังมานี้เธอได้ข่าวว่าตานั่นถูกชาวบ้านกระทืบเพราะไปทักเขาจนเข้าใจผิดกันไปหลายคน กับปวีร์ชายหนุ่มที่เคยเป็นคนรักของเธอจนเกือบจะแต่งงานกัน

รอยยิ้มอ่อนโยนถูกคลี่จากเรียวปากสวยและมองเลยไปยังทุ่งดอกไม้ที่ตระการตาเบื้องหน้า พรางสูดลมหายใจเอาความสดชื่นเข้าไปจนเต็มปอด

เธอเลิกกับปวีร์ตอนนั้นก็ดีเหมือนกัน เพราะไม่รู้ว่าถ้าแต่งงานกันไปแล้วเขาและเธอจะเป็นเช่นไร เขาจะทนต่อความเอาแต่ใจของเธอได้หรือไม่ ในเมื่อเขาแต่งงานกับมัสมารสไปแล้ว เธอก็ควรจะยินดีกับความสุขของทั้งสองไม่ใช่หรือ

ติดที่เธอน่าจะขอบคุณชายหนุ่มเสียด้วยซ้ำ เพราะถ้าไม่เลิกกันในตอนนั้น เธอก็คงจะไม่ได้เจอกับจอมทัพ แล้วความรักแบบง่ายๆ แต่เข้าใจกันก็เกิดขึ้นกับเธออย่างรวดเร็ว

ยังคิดไม่ถึงอยู่เหมือนกัน ว่าความรักของเธอกับจอมทัพจะเกิดได้อย่างรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ เธอและเขาพบเจอกันแค่ไม่กี่วัน ก็แปรเปลี่ยนเป็นความรัก หากหญิงสาวก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนไหน หัวใจของเธออ่อนไหวให้กับเขาไปเมื่อไร

มันอาจจะเกิดขึ้นในครั้งแรกที่สบสายตากัน หรือว่าอาจจะเป็นตอนที่เขาจูบเธอ

คิดมาถึงตอนนี้รอยยิ้มก็ยิ่งบาน อีกทั้งกรอบหน้าสวยก็ยิ่งเข้มขึ้นด้วยความเขินอาย เขาจูบเธอ มันเป็นความดีใจที่ไม่อาจจะบอกได้ว่ามากน้อยขนาดไหน แต่เธอก็ยอมรับ มันสุขใจมากที่สุดถึงขนาดที่เธอไม่สามารถกะปริมาณได้

สายหมอกเส้นบางดั่งผ้าไหมโลมไล้ผิวกาย สร้างความเย็นไปทุกอณูของพื้นที่ ทุ่งดอกไม้หลากสีของเธอวางตัวเป็นแปลงทอดยาวจนไปจรดกับเชิงเขาซึ่งอยู่ไกลออกไปและพาดตัวดั่งกับกำแพงขนาดมหึมา ยังคงนอนสงบนิ่งอยู่ภายในม่านหมอกสีขาวและเป็นเป้าสายตาให้เธอได้มองมันอย่างสุขใจ

แม้จะมองภาพเหล่านั้นทุกวัน แต่ไม่แปลกเลยสักนิดว่าเธอจะไม่รู้สึกเบื่อ ตรงกันข้าม วันเวลาที่เปลี่ยนไป เธอกลับมองเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เหมือนกัน ทุกสิ่งทุกอย่างที่มองเห็น มันเปรียบเสมือนความสวยงามที่ไม่มีวันสิ้นสุด และที่สำคัญมันได้สร้างความสุขในหัวใจให้กับเธออย่างที่เธอก็ยากจะลืมเลือน

รอยยิ้มบางยังไม่จางหายไปในยามที่มองภาพสวยงามเหล่านั้น ก่อนเธอจะสะดุ้งและดึงความคิดทั้งหมดกลับมาที่ตัวอีกครั้ง เมื่อคนที่ขยับเข้ามายืนข้างๆ ไม่ใช่รติกรอย่างใจคิด หากแต่เป็นจอมทัพ ชายหนุ่มที่ทำให้หัวใจของเธอสั่นไหวและรู้สึกรักเขามากจนหมดหัวใจ

“ยืนคิดอะไรอยู่หรือครับ”

เป็นประโยคแรกที่เขาเอ่ยทัก โดยสายตายังไม่วางที่จะมองไปยังสันเขา ซึ่งบัดนี้กำลังมีพระอาทิตย์ดวงกลมโตกำลังขยับขึ้นทีละนิดภายในม่านหมอกสีขาวปกคลุมหนาแน่น

“เปล่าค่ะ เหมยแค่รอดูภาพพระอาทิตย์ขึ้น เอ่อ...แล้วคุณรติล่ะคะ”

“คงจะยังอยู่ในห้องน่ะครับ ผมเห็นคุณเหมยออกมายืนตรงนี้ ก็เลยจะมาคุยเป็นเพื่อน”

“ขอบคุณนะคะ” เธอละสายตากับภาพตรงหน้า หันมามองกรอบหน้าคม ก่อนรอยยิ้มจะถูกจุดขึ้นที่มุมปาก “ดูเหมือนว่าคุณจะมีเรื่องคุยกับเหมย มีอะไรหรือเปล่าคะ”

สังเกตจากแววตาของเขาที่ก้มลงมาสบตา เธอก็มองออกได้ในทันที ว่าชายหนุ่มคงจะต้องมีเรื่องคุยกับเธออย่างแน่นอน และมันก็เป็นเช่นนั้น เมื่อจอมทัพยิ้มพร้อมกับเสียงหัวเราะ ก่อนจะหันมาทางหญิงสาวอย่างเต็มตัว

“คุณเหมยนี่เก่งจริงๆ นะครับ เดาถูกด้วย”

“ไม่ได้เดาหรอกค่ะ เหมยแค่มองเห็นในแววตาของคุณ”

“แววตาของผม หึ...สงสัยผมคงจะไปโกหกใครไม่ได้เสียแล้วล่ะ เพราะทุกครั้งมันจะฉายออกมาทางแววตา และก็ทำให้คุณเหมยมองเห็นมัน”

“โกหกกับคนอื่นไม่เป็นไรหรอกค่ะ แต่กับเหมยห้ามเด็ดขาด” เธอเอ่ยเสียงเย้า ก่อนจะละสายตาจากกรอบหน้าคมที่ทำให้หัวใจของเธอยิ่งเต้นรัว และยิ่งมายืนอยู่ข้างๆ กันแบบนี้อีก มันก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกว่าหัวใจของตนเองเต้นแรงไม่ต่างจากกลองเพล

“สำหรับคุณเหมย มันจะมีแต่ความจริงจังและจริงใจครับ”

“จริงหรือคะ เหมยจะเชื่อได้ไหมนี่”

“จริงสิครับ คนอย่างนายจอมทัพ อัศวศิโรรมณ์ เจ้าของธุรกิจส่งออกดอกไม้บริษัท เจ โปรดัก ไม่เคยโกหกอยู่แล้วครับ” เขาทำท่าทางปฏิญาณตนพร้อมกับยกมือขึ้นชูเหมือนอย่างกับลูกเสือที่เคยเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ก่อนจะเปิดเสียงหัวเราะตามเมยาวีที่หัวเราะคิกกับความขี้เล่นของเขา

จอมทัพมีอะไรหลายอย่างที่หญิงสาวยอมรับเลยว่าต้องค้นหาอีกนาน บางครั้งเขาก็เป็นคนขี้เล่นอย่างในเวลานี้ บางสถานการณ์เขาก็นิ่งขรึมจนน่ากลัว และบางครั้งก็เป็นผู้นำที่หญิงสาวยอมรับเลยว่าผู้ตามอย่างเธอควรจะเลือกเป็นหัวหน้าและผู้นำของชีวิต

เขาเป็นอีกคนหนึ่งที่ผู้หญิงหลายๆ คนต้องการ และอยากจะให้มาเคียงคู่ สำหรับเมยาวีแล้วเธอกลับรู้สึกว่าตนเองเป็นคนโชคดีที่ได้มารักเขาและเขาก็รักเธอ ซึ่งอาจจะมีหลายคนคิดอิจฉาเธอเช่นกัน

“เอาล่ะค่ะ เหมยเชื่อก็ได้ คุณจอมมีเรื่องอะไรจะพูดกับเหมยหรือคะ” คนถามถามด้วยหัวใจที่ลิงโลดเป็นที่สุด อะไรไม่สำคัญกับสิ่งที่เขาจะพูดกับเธอก็คงจะไม่พ้นเรื่องขอเธอแต่งงาน...

“คือแบบนี้ครับ...” เขาส่งยิ้มให้เธอ พร้อมกับก้มลงมองคนที่เงยหน้ามองตอบเขาด้วยประกายตาจริงจังเป็นยิ่งนัก

เรียวปากสวยก็ฉีกยิ้มกว้างตลอดเวลา ส่วนสองหูก็พยายามกางให้กว้างมากที่สุด เพื่อจะให้ได้ยินคำนั้นอย่างชัดเจน

“เมื่อเช้ามีโทรศัพท์มาจากกรุงเทพฯ ว่ามีเรื่องนิดหน่อยที่จะให้ผมตามไปแก้ไข เย็นนี้ผมคงจะต้องเดินทางแล้ว ยังไงผมขอฝากคุณรติกับปูเป้ด้วยนะครับ เพราะคุยกันแล้วรายนั้นไม่ยอมไปไหนจนกว่าชัยจะหายดี”

เมยาวีหน้าสลดลงไปในทันที เมื่อสิ่งที่เธออยากจะให้เป็นกลับไม่เป็นเช่นนั้น เธอยิ้มเจื่อนและมองหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจ

“เอ่อ...ค่ะ”

“ยังไงผมก็ฝากทั้งสองคนกับคุณเหมยด้วยนะครับ”

“ค่ะ ขอให้คุณเดินทางปลอดภัยนะคะ”

เมื่อสิ่งที่หวังไม่ได้เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ หญิงสาวจึงก้มหน้าลงและตอบรับไปในที่สุด เห็นท่าทางเช่นนั้นแล้วจอมทัพก็รู้สึกไม่สบายใจเหมือนกันที่ทำให้เธอเป็นเช่นนั้น เขาเอื้อมมือไปวางที่หัวไหล่บางทั้งสองข้าง ก่อนจะกระชับเอาไว้จนมั่น เมยาวีจึงเงยหน้าขึ้นมามองเขาอีกครั้ง

“เมื่อเคลียร์งานทางนั้นเสร็จ ผมสัญญาครับว่าจะกลับมาหาคุณเหมยอีกครั้ง เพราะการไปกรุงเทพฯ คราวนี้ ผมกลับไปแต่เพียงร่างกายเท่านั้น ผมจะทิ้งหัวใจเอาไว้ที่นี่และอีกไม่นานผมก็จะกลับมาเอาหัวใจของผม ฝากคุณเหมยดูแลมันด้วยนะครับ”

“คุณจอม...”

ริ้วความรู้สึกเต็มตื้นจุกแน่นที่ลำคอ เธอไม่อาจจะพูดประโยคไหนได้มากเท่ากับเรียกชื่อของเขา แล้วเรียวปากสวยก็คลี่ยิ้มอีกครั้ง จอมทัพจึงเอานิ้วเกลี่ยไล้ที่แก้มนวลของเธอเป็นเชิงเย้านิดๆ แล้วเอ่ยบอกอีก

“มองมาที่แววตาของผมสิครับ มันไม่ได้โกหกเลยใช่ไหม”

“ค่ะ...เหมยรู้แล้วล่ะค่ะว่าคุณจะไม่โกหกเหมย”

ดวงตาที่สบประสานกันบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าสิ่งนั้นจริงใจและจริงจังมากแค่ไหน เมยาวียอมรับสิ่งที่เธอมองเห็นจากแววตาของเขาว่ามันเป็นความจริงและเธอจะยืนยัน เธอจะรอเขาจนกว่าเขาจะกลับมา



ห่างออกมาจากตรงนั้นไม่มากนัก รติกรกำลังจะออกมาหาเมยาวีต้องรีบหลบมุมเมื่อเห็นว่านอกจากเจ้าของไร่สาวแล้ว ยังจะมีจอมทัพเจ้านายของเธอยืนอยู่ด้วย แล้วความคิดทั้งหมดก็ต้องหยุดลงเพียงแค่หน้าประตู เธอเลือกที่จะยืนอยู่ตรงนั้นและแอบมองภาพของทั้งคู่ด้วยสายตาแกมอิจฉา

แม้จะรู้สึกอิจฉา หากแต่เธอกลับดีใจที่เจ้านายของตนเองเลือกเมยาวี ซึ่งเป็นคนดี หญิงสาวยิ้มมองภาพของทั้งสองที่หวานกันท่ามกลางพระอาทิตย์ที่กำลังเบิกอรุณแห่งวันใหม่

ฉากหลังกับความโรแมนติกที่เกิดขึ้น ยิ่งเป็นภาพสวยงามเป็นยิ่งนัก ความดีใจแล่นริ้วอยู่ในตัวของหญิงสาว จอมทัพเจ้านายของเธอเป็นคนดีและเมยาวีก็คู่ควรกับเขา แม้จะอิจฉามากแค่ไหน แต่เธอก็รู้ จะไม่มีสิ่งไหนมาพรากความรักของทั้งสองให้จากกันได้อีกต่อไป

จะเหลือแต่เธอนั่นแหละที่รักเขาเพียงข้างเดียว คิดแล้วความเศร้าก็เริ่มจะเข้าแทนที่ เจ้านายของเธอมีความสุข แล้วเมื่อไรเธอจะมีความสุขเป็นของเธอบ้าง ไม่รู้ว่าคู่ของเธอจะเป็นใคร แล้วเมื่อไรจะเดินทางมาหาเธอสักที

ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดใจ หญิงสาวจึงตัดสินใจหันหลังให้กับภาพหวานเหล่านั้น ก่อนจะรีบเดินเลี่ยงออกไปจากตรงนั้นทันที



ยิ่งนานวันอาการของชัยก็เริ่มดีขึ้นตามลำดับ อาจจะเป็นเพราะมีพยาบาลดีอย่างปุณชิกาคอยดูแลเขาอย่างใกล้ชิดก็เป็นได้ จึงทำให้อาการของชายหนุ่มหายแบบดีวันดีคืน

จนในเวลานี้เจ้าหนุ่มก็สามารถลุกขึ้นมานั่งและลงเดินทรงตัวได้แล้ว แต่กระนั้นก็ยังมีแม่สาวคนสวยจากกรุงเทพฯ คอยเป็นไม้พยุงอยู่ใกล้ๆ อยู่ดี

เช่นเดียวกับวันนี้ ที่หัวใจเริ่มจะรับรู้ว่าอีกฝ่ายก็มีความรู้สึกไม่ต่างจากตนแล้ว ชัยจึงเริ่มแผนการของตนเองโดยการบอกกับหญิงสาวว่าตนจะไปเข้าห้องน้ำ และก็นั่นแหละจะต้องมีปุณชิกาคอยพยุงพาไปอย่างแน่นอน

“ค่อยๆ เดินนะคะ” เสียงหวานดังขึ้นพร้อมๆ กับคอยช่วยหิ้วปีกของคนป่วยที่ดูอย่างไรก็ดูออกว่าเขาหายพอที่จะเดินเองได้แล้ว แต่เขาก็ยังจะแกล้งมาอ้อนให้เธอคอยช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา จนบัดนี้อาจจะติดเป็นนิสัยเสียแล้วกระมัง

แล้วหญิงสาวก็สามารถพาชายหนุ่มเข้ามาในห้องน้ำได้ในที่สุด ก่อนจะปล่อยให้เขาทำธุระโดยที่เธอเดินออกมารอข้างนอก

“ไม่ต้องปิดประตูนะครับคุณปูเป้” เสียงนุ่มยังจะดังตามมาอีก เมื่อเห็นว่าปุณชิกาผละออกมาด้านนอก จนเธออดจะมองค้อนเขาไปอีกวงไม่ได้

“คนบ้า ไม่ปิดประตู นายไม่อายหรือยังไง”

“ไม่หรอกครับ ผมเป็นผู้ชาย เรื่องแค่นี้ไม่ต้องอาย”

“นายไม่อายแต่ฉันอาย พอละจะทำธุระอะไรของนายก็เชิญ ฉันจะรออยู่ข้างนอกนี่แหละมีอะไรก็เรียกแล้วกัน” พูดจบหญิงสาวก็สะบัดหน้าแล้วเดินทิ้งเท้าออกไปจากห้องน้ำอย่างรวดเร็ว ขณะที่คนป่วยได้แต่ยิ้มอย่างมีความสุขที่มีเธอคอยพยาบาลอย่างใกล้ชิดแบบนี้และยิ่งในเวลานี้มีเธอที่ดูแลเขาอย่างห่วงใย ชัยก็เริ่มจะแน่ใจ สิ่งที่เขาลงทุนรักเธอนั้น อีกไม่นานนักมันก็จะเป็นผลแล้ว

“เรียบร้อยแล้วครับ คุณปูเป้”

หายไปไม่นานเสียงของชัยก็ดังขึ้น ปุณชิกาที่นั่งรออยู่หน้าห้องน้ำจึงเปิดประตูและเดินเข้าไปหาเขาในทันที ซึ่งพ่อคุณก็ยืนรอเธอด้วยรอยยิ้มที่สดใสเป็นยิ่งนัก

“รอนานไหมครับ”

เจ้าหนุ่มยังมิวายที่จะถามอย่างเกรงใจ ทั้งๆ ที่แท้จริงนั้นไม่รู้สึกเช่นนั้นเลยสักนิด เห็นใบหน้าระรื่นของเขาแล้วปุณชิกาก็อดที่จะเอามือฟาดลงตรงแผลของเขาแรงๆ ไม่ได้ โทษฐานที่เรียกใช้เธออย่างกับคนใช้ และเธอก็ไม่เคยทำแบบนี้ให้กับใครมาก่อน

“ฉันจะต้องแคร์ด้วยหรือ ว่าจะนานหรือไม่นาน ยังไงฉันก็ต้องดูแลนายอยู่ดี”

“คุณปูเป้ไม่เต็มใจดูแลผม...” คนขี้น้อยใจเอ่ยเสียงเบาหวิว

“ใครว่าล่ะ ฉันเต็มใจต่างหาก แล้วนายก็ไม่ต้องถามอะไรฉันอีกว่าเพราะอะไร มาๆ เมื่อกี้พยาบาลเอาอาหารเช้ามาให้แล้ว จะได้กินแล้วกินยาสักที” แล้วหญิงสาวก็เข้าไปประจำที่ แล้วเริ่มปฏิบัติการพาคนป่วยกลับเตียงนอนของตนเองเสียที

หากแต่คราวนี้กลับไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะนอกจากคนแกล้งป่วยจะทำสำออยเดินลากขาแล้ว เขายังทิ้งน้ำหนักลงที่หัวไหล่ของหญิงสาวที่คอยพยุงเขาอยู่จนไหล่สวยเสียหลักและทำท่าจะล้มลงไป แต่ก็ดีที่คนป่วยนั่นแหละช่วยดึงเอาไว้ ก่อนที่หญิงสาวจะหันมาและเป็นจังหวะกับที่แก้มของเธอมาอยู่ตรงตำแหน่งของปากเจ้าหนุ่มอย่างพอดิบพอดี

“เอ่อ...ขอโทษครับ”

เขาเอ่ยขอโทษ ทั้งๆ ที่ใบหน้าระรื่นเพราะได้แอบขโมยจูบหญิงสาวไปเสียฟอดใหญ่ จนปุณชิกาหน้าแดงเข้มด้วยความเขินอาย ดีที่เป็นห้องพักฟื้นส่วนตัว ไม่อย่างนั้นเธอคงได้อายคนอื่นซึ่งจะมองมาแน่ หญิงสาวไม่พูดอะไรอีกก่อนจะพยุงเขากลับมายังเตียงได้ในที่สุด

“อะ กินข้าวซะ”

ว่าพร้อมกับเลื่อนถาดอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะยื่นอยู่ตรงหน้าของผู้ป่วยในตำแหน่งการนั่งที่พอดี ขณะชัยได้แต่ก้มหน้าลงมองถาดอาหารและเลื่อนเลยไปยังหญิงสาวที่ทำหน้าบึ้งมองเขาอยู่ตรงหน้า เจ้าหนุ่มยิ้มแหะๆ พร้อมกับทำสำออยขอความช่วยเหลือ

“คุณไม่ป้อนผมอย่างที่ผ่านมาหรือครับ”

“นายไม่ได้เจ็บมือสักนิด รีบๆ ทานซะ ฉันจะได้ให้ยานายกิน”

แม่คุณทำเสียงเข้ม พยายามข่มความรู้สึกของหัวใจที่มันสั่นไหวเอาไว้ให้ลึกที่สุด ก็เธอเป็นประเภทที่ชอบปกปิดความรู้สึกของตนเองนี่ จะให้นายนี่รู้ว่าเธอรู้สึกยังไงกับเขาได้ง่ายๆ ไม่ได้ มันจะต้องดูด้วยว่าเขาจะมีความรู้สึกที่เหมือนกับเธอเช่นกันหรือไม่ และเมื่อแน่ใจแล้วเวลานั้นเธอถึงจะบอกเขาเอง

เช่นเดียวกับชัยทำหน้าสลดลงไปในทันทีที่ถูกปฏิเสธอย่างเห็นๆ ท่าทีห่วงใยของเธอเมื่อหลายวันก่อน มันดูเหมือนว่าจะลดน้อยลงกว่าเดิมมาก มันลดลงจนเขาอดจะใจหายไปด้วยไม่ได้

“รู้อย่างนี้ไม่ตื่นขึ้นมาก็ดี หลับแล้วก็ตายๆ ไปซะจะได้สิ้นเรื่อง ดีกว่ามาเป็นภาระให้กับใคร”

คนขี้น้อยใจเริ่มบทบาทอันดีเยี่ยมของตนอีกครั้ง ก่อนจะทำหน้ายุ่งแล้วหันมองไปทางอื่นเสีย ขณะปุณชิกาที่ได้ยินดังนั้นแล้วก็ทำตาโตด้วยความตกใจ เธอทอดถอนใจก่อนจะเอ่ยออกมาในที่สุด

“ก็ได้ ไหนหันมาสิ ฉันจะป้อน”

“ถ้ามันฝืนใจนักคุณไม่ต้องทำก็ได้ครับ อีกอย่างผมก็ไม่หิว เห็นหมอว่าอีกไม่กี่วันก็กลับไปที่ไร่ได้แล้วนี่ คุณก็คงจะได้เวลากลับกรุงเทพฯ แล้วล่ะสิ”

“นี่นายชัย...นายเป็นคนขี้งอนไปตั้งแต่เมื่อไรแล้วหึ” แม่สาวร่างบางตีหน้าเข้มอีก เธอมองหน้าเขาอย่างเอาเรื่อง เธอดูแลเขาขนาดนี้โดยที่ยังไม่ยอมกลับกรุงเทพฯ เขายังไม่รู้อีกหรือยังไงว่าเธอคิดอย่างไรกับเขา

“ผมก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว คุณปูเป้จะมาสนใจทำไมล่ะครับ”

“ไม่สนได้ยังไง ก็ฉัน...”

“ก็อะไรล่ะครับ” เจ้าหนุ่มหันมาสบตากับเธออีกครั้ง ประกายตาที่ฉายแวววาวนั้นปรากฏชัดในครองจักษุของชายหนุ่ม

ตาสองตาสบประสานกัน ดั่งมีความรู้สึกหลากหลายอย่างวิ่งผ่านสื่อสารโดยไร้คำพูด มันเป็นการสื่อสารที่ผ่านจากหัวใจซึ่งชัยก็อดจะรู้สึกดีไปด้วยไม่ได้ ยิ่งประโยคต่อจากนั้นของหญิงสาว เขาก็แทบจะกระโดดอย่างลืมเจ็บเข้าไปกอดเธอในเวลานั้นเลย

“ก็ฉันเป็นห่วงนายนี่ ที่ดูแลอย่างนี้อยู่ทุกวันนายยังดูไม่ออกหรือยังไง อะๆ มากินข้าวได้แล้ว” ปุณชิกาพูดได้แค่นั้นก็จัดการตักอาหารป้อนเขา ซึ่งชายหนุ่มก็อ้าปากรับอย่างสุขใจและยอมรับเลยว่าอาหารมื้อนี้เป็นมื้อที่อร่อยและมีความสุขมากที่สุดเท่าที่เคยกินมา



พายุ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 มิ.ย. 2555, 22:44:33 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 มิ.ย. 2555, 22:44:33 น.

จำนวนการเข้าชม : 1676





<< ตอนที่ ๒๓ เที่ยวงานดอกไม้งาม   ตอนที่ ๒๕ >>
pattisa 21 มิ.ย. 2555, 22:57:45 น.


anOO 22 มิ.ย. 2555, 11:14:49 น.
หวังว่ายัยรติคงไม่ฟุ้งซ่าน ก่อเรื่องอะไรเพิ่มอีกนะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account