ลายลินิน
อดีต ปัจจุบัน อนาคต ผูกโยงใยจากลายผ้าผืนโบราณ
สัจจะ คำเท็จ การหลอกลวง ถักทอเป็นลายล้ำค่าของผ้าผืนนั้น
ถึงเวลาแล้วที่ประวัติศาสตร์จะถูกคลี่ออกด้วยผ้าลินินเพียงผืนเดียว
สัจจะ คำเท็จ การหลอกลวง ถักทอเป็นลายล้ำค่าของผ้าผืนนั้น
ถึงเวลาแล้วที่ประวัติศาสตร์จะถูกคลี่ออกด้วยผ้าลินินเพียงผืนเดียว
Tags: อียิปต์ ผ้าลินิน ฟาโรห์ เทพเจ้า ลี้ลับ
ตอน: เนเบท
ถึงแฟนๆ นักอ่านที่ติดตามลายลินินอยู่นะครับ
ตอนนี้ลายลินินสำเร็จเป็นรูปเล่มแล้วนะครับ สามารถอุดหนุนได้ที่เว็บสถาพรบุ๊คครับ
http://www.satapornbooks.co.th/Book/BookDetail.aspx?id=1865
หรือสามารถติดตามได้ที่ร้านหนังสือทั่วไปครับผม ส่วนนวนิยายในเว็บไซต์นาถลดายังคงลงต่อให้จนจบครับผม
++++++++++++++++++++
เสียงกรีดร้องดังขึ้นในห้องมืดทึบ อบอวลด้วยหมอกกำยานและควันเครื่องหอม มาดามเซติกลิ้งตกจากเตียงลงพื้นหินอ่อน คราบเลือดเปื้อนเปรอะเป็นลายทาง บางส่วนอาบผ้าสีแดงซึ่งยังห่มคลุมร่างมิดชิด เว้นเสียแต่ส่วนศีรษะที่ผ้าหลุดออก เรือนผมดำขลับยาวตรงหั่นหน้าม้าลักษณะคล้ายวิกแตกกระจายชุ่มเลือด ใบหน้าซีดขาวเหยเกเจ็บปวด
เสียงร้องเมื่อครู่ของมาดามสาวเรียกเหล่าหญิงรับใช้ในชุดคลุมสีดำให้วิ่งเข้ามา ทุกคนต่างตระหนกเมื่อพบนายหญิงนอนกองกับพื้น เลือดไหลนองอาบชุดคลุมสีแดงชุ่มโชก ดวงหน้าซีดขาวราวกระดาษกำลังอ้าปาก หายใจเหนื่อยหอบ คล้ายจะหมดลมอยู่รอมร่อ
“อะ...ออกุสตุส ระ...เรียก...อะ...ออกุสตุส” มาดามเซติพยายามออกแรงพูด ทว่ายิ่งออกแรงมากเท่าไรหล่อนก็ยิ่งจะขาดใจมากเท่านั้น แผลกลางอกลึกและใหญ่ ซ้ำอาวุธที่ทำร้ายยังเป็นดาบเงินของเทพเจ้า ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรักษาเยียวยา
หญิงรับใช้บางส่วนวิ่งออกจากห้องไปตามคำสั่ง ส่วนอีกสองนางเข้ามาประคองหล่อนนั่งบนเก้าอี้ไม้หุ้มเงินหุ้มทอง เลือดสีแดงสดยังคงไหลนองไม่หยุด แม้เหล่าหญิงรับใช้จะพยายามกดห้ามอย่างไรก็ไม่เป็นผล ซ้ำร้ายยังทำให้มาดามเซติเจ็บมากขึ้นกว่าเดิม
“นางโง่!” มาดามสาวตวาดแหว หวดมือภายใต้ผ้าคลุมตบหน้าหญิงรับใช้ที่พยายามกดห้ามเลือดจนกระเด็นกลิ้งไม่เป็นท่า อีกนางรีบชักมือออก สายตาจดจ้องมองเพื่อนสาว เห็นเลือดกบปากอีกฝ่ายเข้าก็ตัวสั่นงันงก
“ออกไป...ออกไปให้หมด...รีบไปพาออกุสตุสมาพบเรา”
มาดามเซติลั่นเสียง หญิงรับใช้ข้างกายน้อมตัวรับคำสั่ง จากนั้นก็วิ่งเข้าไปพยุงเพื่อนให้ลุกขึ้นแล้วพาออกจากห้อง
เสียงฝีเท้าห่างออกไปเรื่อยๆ จนในที่สุดความเงียบก็เข้ามาครอบงำ กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง ปะปนกลิ่นเครื่องหอมและหมอกกำยาน เลือดยังคงรินไหล อาบนองชุด เปรอะเปื้อนตามพื้น เรี่ยวแรงที่เคยมี บัดนี้แทบไม่หลงเหลือพอจะพยุงร่างตัวเองไปยังสถานที่ที่ต้องการ
สักการสถานแห่งเซธ...เทวะสีแดงแห่งทะเลทรายตะวันตก
“พระบิดา” มาดามสาวรำพึงรำพัน หลับตาคำนึงถึงภาพของเทพเจ้า ทว่าส่วนหนึ่งไม่อาจปฏิเสธได้ ความคั่งแค้นในใจยังคงลุกโชน
จิตดำมืดอาฆาต ราวไฟในคบที่ถูกกระพือด้วยแรงลม เพราะเหตุใด...หญิงผู้เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาจึงสามารถเอาชัยชนะเหนือเวทมนตร์ของหล่อน ที่แน่ชัดนั่นคืออำนาจแห่งเทวีบาสต์ เทวีแห่งแมวผู้ทรงมหิทธานุภาพ สามารถทำลายพญางูร้าย ‘ลูกแห่งอโบพิส’ อสูรซึ่งหล่อนสวดวิงวอนต่อพระบิดา ให้เนรมิตสังหารผู้เป็นอริศัตรู
แต่สิ่งอื่นเล่า...หล่อนรู้ดี มี ‘สิ่งอื่น’ คอยคุ้มครอง
‘ผ้าลินิน’ มาดามเซติขบปากเคี้ยวฟัน หวนคำนึงถึงผ้าลินินโบราณสีขาว ระยิบระยับด้วยใยทองสอดแทรก ‘ทำไมข้าจะจำไม่ได้ อาภรณ์ล้ำค่า...ทำให้ข้านึกถึงเจ้าเหลือเกิน...ตารี เจ้าพยายามนักหนา หมายยกนางทาสชั้นต่ำให้เป็นชายา กีดกันข้าไม่ให้ขึ้นเป็นชายาเอก เมื่อเจ้าต้องไปอยู่ร่วมกับทวยเทพ’
มาดามคิดพลางกระตุกมุมปากยิ้ม นัยน์ตาฉายแววเจ็บปวดลึก อาการหอบเหนื่อยยังคงหนักหนา
“น่าสมเพชเจ้าจริงๆ ...ตารี”
มาดามสาวจำได้นับแต่ครั้งแรกที่เห็น เมื่ออีริค เค เกียน นำเอกสารประกอบการสำรวจที่ตั้งเดิมของวิหารอาบูซิมเบลมาให้หล่อนดูพร้อมภาพหลักฐานโบราณวัตถุ
ผ้าลินิน...
แม้เพียงในภาพถ่ายหรือความทรงจำของอีริค เค เกียน หากรูปพรรณสัณฐาน...ลายผ้า...การทอ ดูอย่างไรหล่อนก็จำได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น หากสังขารไม่อาจเอื้ออำนวย บาดแผลจากการถูกทำร้ายลึกเหลือเกิน ลำพังตัวหล่อนจึงไม่อาจเยียวยาให้หายขาด
“มาดาม!” เสียงทุ้มนุ้มดังขึ้น ปลุกมาดามสาวจากภวังค์ หล่อนหันมองที่หน้าประตู เห็นหนุ่มรุ่นในชุดคลุมดำสนิท ติดตามมาด้วยหญิงรับใช้สองนาง
‘ออกัส แอนโทนี’
ทันทีที่เห็นสภาพของหล่อน ใบหน้าขาวราวกระเบื้องยิ่งซีดจัด นัยน์ตาสีเลือดปรากฏแวววูบไหว มาดามเซติมองออก เขาคงไม่นึกไม่ฝัน...ว่าคนเช่นหล่อนจะมีวันนี้
วันที่ต้องภายแพ้...และบาดเจ็บเจียนตาย
“ให้ตายเถอะ...ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น”
หนุ่มรุ่นวิ่งเข้ามานั่งที่พื้นข้างๆ เก้าอี้ สองมือพยายามสัมผัสบริเวณบาดแผล ประเมินความตื้นลึกรุนแรง
“นังผู้หญิงคนนั้น...มีผู้คุ้มครอง” มาดามพยายามตอบ ออกัสได้แต่ขมวดคิ้วสงสัย
“แต่ด้วยอำนาจของมาดามและเทพเซธ...พระบิดา บาดแผลใดๆ ก็ไม่...” พูดไม่ทันจบก็ถูกขัดเสียก่อน
“เทวีบาสต์”
ออกัสนิ่งงัน มองบาดแผลสลับกับใบหน้าซีดขาวด้วยความห่วงใย นัยน์ตาของเขาเต็มตื้นด้วยน้ำคลอหน่วย มือซึ่งสัมผัสรอยเลือดอุ่นบนชุดคลุมสั่นเทา
“ดาบเงินขององค์เทวี...ไม่ใช่อาวุธธรรมดา” มาดามสาวพูดพลางหอบพลาง ใบหน้าซีดเซียวปรากฏรอยเส้นเลือดเขียวประปราย คล้ายกระเบื้องสีขาวแตกลาย “พระนางเคยใช้ดาบนั้น...สังหารพญางูอโบพิส เจ้าเอง...ก็รู้อำนาจของมันดี”
ออกัสพยักพเยิด พยายามปรามการสนทนา จากนั้นจึงลุกขึ้นช้อนตัวนายสาวเข้าวงแขน หล่อนเองตระหนกไม่น้อย หากแวบเดียวเท่านั้น เพราะหลังจากหนุ่มรุ่นหันไปสั่งการเหล่าหญิงรับใช้ให้จัดเตรียมห้องสักการะเทพเซธ มาดามสาวก็ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ เอนศีรษะซบไหล่อีกฝ่าย แล้วหลับใหลในเวลาต่อมา
+++++++++++++++++
หลังจัดการกวาดซากสร้อยข้อมือของมาดามเซติทิ้งลงถุงรวมกับขยะชิ้นอื่น มัดปากถุงแน่นหนา อารีสก็หันมองมันด้วยความหวาดกลัว หญิงสาวมองถุงขยะบนพื้นสลับกับหลังมือซึ่งบวมแดง อาการเจ็บปวดนอกจากไม่ทุเลาแล้วยังเพิ่มมากขึ้น นี่ขนาดหล่อนเอาน้ำแข็งประคบ กินยาลดอาการปวด แต่ดูเหมือนจะไม่ดีขึ้นแม้แต่นิด ซ้ำร้ายรอยแผลเล็กเป็นจุดบนหลังมือก็คล้ายจะมีหนองคั่งด้วยซ้ำ
“แย่จริง ถ้านัตเห็นเข้า...มีหวังอดไปเที่ยว” อารีสพึมพำกับตัวเอง หันมองนาฬิกาข้อมือก็พบว่าเป็นเวลาตี ๓ ทุกคนคงตื่นกันหมดแล้ว และอีกไม่นานคงอาบน้ำแต่งตัว ไปรวมกลุ่มเพื่อออกเดินทาง
แล้วนี่หล่อนควรจะทำอย่างไรดี
หญิงสาวเดินวกไปวนมา ทว่ายังไม่ทันคิดหาทางออกหรือเตรียมแผนการแก้ไข เสียงเคาะประตูจากภายนอกก็ดังขึ้นทำเอาหล่อนสะดุ้งโหยง
“อารีสครับ นี่ผมเอง คุณตื่นหรือยัง”
เป็นอนัตตาอย่างที่หล่อนกลัวไม่มีผิด
“อายุยืนจริงๆ พูดปุ๊บก็มาปั๊บ” อารีสบ่น หันมองมือบวมแดงสลับถุงขยะด้วยความกังวล ยิ่งทำอะไรไม่ถูกเมื่อเสียงเรียกเร่งกระชั้นอีกหน
“อารีสครับตื่นหรือยัง ผมโทรศัพท์เข้าห้องคุณไม่ติด ไม่รู้เป็นอะไรหรือเปล่า” เสียงชายหนุ่มดังต่อเนื่อง “ตื่นหรือยังครับ เดี๋ยวเราจะสายเอานะครับ”
“ค่ะ...ตื่นแล้วค่ะ” หล่อนขานรับ หันรีหันขวางทำอะไรไม่ถูก จะหยิบถุงขยะ...หรือจะจัดการปกปิดมือบวมแดง...หรือจะเปิดประตูต้อนรับ
‘จะทำอะไรก่อนดี’ หล่อนคิด คิ้วขมวดยุ่ง ท้ายที่สุดจึงตัดสินใจดึงผ้าลินินโบราณมาพันมือบวมเป่ง ปกปิดรอยแผลให้พ้นจากสายตาของอนัตตา จากนั้นก็คว้าถุงขยะ ก่อนจะวิ่งไปเปิดประตู
“ขอโทษทีค่ะ เพิ่งตื่นเมื่อกี้นี้เอง” หล่อนปดคำโต พยายามซ่อนมือซึ่งพันผ้าลินินไพล่หลัง “ว่าแต่นัตตื่นเช้าจังนะคะ”
“ก็เราต้องรีบเตรียมตัวนี่ครับ” ชายหนุ่มตอบรับพลางยิ้ม ครั้นเห็นถุงดำในมือหญิงสาวก็ขมวดคิ้วสงสัย “เพิ่งตื่น...แล้วทำไมถึงหิ้วถุงขยะมาด้วยล่ะครับ”
อารีสก้มลงมองตาม พยายามใช้สมองประมวลความคิดหาเหตุผลภายในหนึ่งวินาที
“ฉันลืมว่าต้องเอาขยะไปทิ้งค่ะ ตื่นมาเลยคิดได้เป็นเรื่องแรก” คิดไปคิดว่าก็รู้สึกว่าเป็นเหตุผลที่อัปยศอดสูที่สุด และดูเหมือนชายหนุ่มจะไม่เชื่ออีกด้วย
“ทำไมจะต้องทิ้งครับ ใส่ถังเอาไว้ เดี๋ยวได้เวลาแม่บ้านของโรงแรมก็มาเก็บเอง”
หญิงสาวอึกอัก พยายามจะพูด หากก็ได้แต่ขยับริมฝีปาก ทำเอาอนัตตาเริ่มสงสัย
“มีอะไรหรือเปล่าครับอารีส”
“ไม่มีค่ะ” หล่อนรีบตอบทันควัน เอามือไพล่หลังมาโบกปฏิเสธ “ทำไมถึงคิดว่ามีอะไรล่ะคะ”
“เอ๊ะ!” อนัตตาเอียงหน้ามองกับสิ่งที่พบ
หางผ้าลินินพันมือที่หลุดสะบัดไหว หญิงสาวตาโต รีบเก็บไพล่หลังอย่างเคย ทว่าชายหนุ่มไวกว่า จึงคว้ามันออกมาดู
“มือเป็นอะไรครับ” สีหน้าอนัตตาไม่สู้ดีนัก “ทำไมต้องพันผ้าเอาไว้ด้วย แล้วนี่...นี่มันผ้าลินินโบราณที่ขุดจากห้องลับใต้น้ำนี่”
“ฉันเอาออกมาตรวจแล้วลองพันมือเล่นค่ะ” หล่อนพยายามโกหกพลางดึงมือออก หากชายหนุ่มกลับส่ายหน้า นัยน์ตาดุเอาเรื่อง
“ผมคิดว่าท่าทางดูเหมือนจะไม่ใช่” ไม่พูดเปล่า เขาดึงมือหญิงสาวแล้วคลายผ้าออก แม้อารีสจะห้ามปราม หากชายหนุ่มก็ไม่ใส่ใจ ยังคงตั้งหน้าตั้งตาดึงผ้าออกจนหมด
‘ตายแน่ๆ’ อารีสเสหน้าหลบ คิดในใจอย่างหมดหวัง ทว่าทันทีที่เสียงตอบรับดังมาจากอีกฝ่าย มันกลับทำให้หล่อนหันมองมือตัวเองอย่างรวดเร็ว
“ตกลงว่าพันเล่นจริงๆ เหรอครับ” อนัตตาว่าพลางขมวดคิ้ว “ตอนแรกก็คิดว่าคุณไปสร้างวีรกรรมจนได้แผลมาเสียอีก นี่บอกไว้ก่อนนะ ถ้าเกิดเจ็บป่วยแม้แต่นิด ผมไม่ให้คุณไปเที่ยวที่ไหนแน่ๆ”
หญิงสาวหันกลับมามองที่มือ บริเวณที่เคยบวมเป่งแดงร้อน บัดนี้เกลี้ยงเกลาขาวสะอาด ลองกรีดนิ้วราวจะรำ กระดกข้อมือขึ้นลงก็ดูปกติทุกประการ
หญิงสาวผ่อนลมหายใจโล่งอก จากนั้นจึงหันไปยิ้มให้ชายหนุ่ม ก่อนจะใช้มือข้างนั้นตวัดเรือนผมหยักศกของตน ซ้ายที...ขวาที
“บอกแล้วว่าไม่เป็นอะไร” ว่าแล้วก็หันไปมองที่ผ้าลินินโบราณในมือของอนัตตา หญิงสาวนึกสงสัย จึงยื่นมือไปคว้าเข้ามาแนบกาย “ขอผ้าลินินคืนนะคะ เดี๋ยวฉันต้องเอาไปตรวจสอบต่อ เมื่อคืนนั่งตรวจดึกไปหน่อย ตื่นมาเลยดูงงๆ เอาเป็นว่าเดี๋ยวขอตัวไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนนะคะ แล้วเจอกัน”
อารีสพยายามแก้ตัวแล้วตัดบท แม้ในน้ำขุ่นๆ หากหล่อนก็ยังพอดำผุดดำว่ายไปจนถึงฝั่ง ท้ายที่สุดชายหนุ่มก็คงระอาและคร้านจะเถียง เขาจึงถอนหายใจแล้วส่ายหน้า หากก็ยังมีรอยยิ้มที่มุมปากพร้อมลักยิ้มน้อยๆ ให้ชื่นใจว่าไม่ได้จริงจัง
“เอาเถอะครับ รีบแต่งตัว แล้วเดี๋ยวมาเจอกัน” อนัตตาตัดบท “รถของเนบทีมารอแล้ว ล้อหมุนตี ๔ เราจะไปถึงอัสวานเช้าพอดี วิลเขาจัดโปรแกรมทัวร์เอาไว้เรียบร้อย”
“รับทราบค่ะ...คุณชาย” หญิงสาวจับชายกระโปรงยกขึ้นแล้วถอนสายบัว จากนั้นจึงโบกมือลาก่อนจะกลับหลังหันเข้าห้อง ปิดประตูลงกลอนพลางยกมือของตัวเองขึ้นพิจารณาด้วยความสงสัย
ไม่มีบาดแผลอย่างที่เป็นมาในตอนต้น ไม่ปวด...บวม...แดง...หรือร้อน และน่าประหลาดว่ามันหายไปได้อย่างไร
หรือเพราะ ‘ผ้าลินิน’
อารีสมองดูผ้าลินินโบราณในกำมือ จากนั้นจึงยกถุงขยะสีดำที่ตั้งใจจะนำไปทิ้ง พิจารณาสลับกัน
เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของหล่อน สิ่งเหล่านี้คือเรื่องจริงเช่นนั้นหรือ แต่อารีสยืนยันได้ว่าคือเรื่องจริง ไม่ใช่ความฝัน เพราะก่อนหน้า...หล่อนเพิ่งถูกแมงป่องทองคำ ซึ่งหลุดจากสร้อยข้อมือของมาดามเซติต่อยและไล่ล่า หลังมือของหล่อนบวมเป่ง แดงร้อน ทั้งยังทำท่าจะมีหนองคั่งภายใน
แต่หลังจากที่หล่อนเอาผ้าลินินโบราณพันมือเอาไว้ ตั้งใจจะปกปิดอนัตตา มันกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอยเหมือนไม่เคยปรากฏ
เป็นไปได้หรือไม่ว่า...อาจเพราะอำนาจของ ‘ผ้าลินิน’
หลุยส์เคยอธิบายให้ฟัง หล่อนยังจำได้ขึ้นใจ เกี่ยวกับจารึกบนหีบบรรจุผ้าลินินโบราณ มันคือของต้องคำสาป อาบคำอธิษฐาน มีเวทมนตร์แห่งเทพเจ้าและชาวอียิปต์โบราณแฝงอยู่ทุกเส้นใย ทั้งยังเป็นของล้ำค่าสำคัญของพระนางเนเฟอร์ตารี
ผ้าลินินผืนนี้เคยช่วยเหลือหล่อนในความฝัน เป็นแสงสว่างในยามที่ความมืดมิดเข้าครอบงำ ทั้งยังทำให้อารีสหลุดพ้นจากการตามล่าของเทพแห่งพิธีมรณะ อานูบิสมาถึงสองครั้ง ครั้นเมื่อตริตรองถ้วนถี่...มันช่วยให้หล่อนรอดพ้นจากการรุมทำร้ายของแมงป่องทองตัวกระจิริด เพียงการตวัดกวาดด้วยผ้า เหล่าแมงป่องก็สิ้นฤทธิ์เดช
ดังนั้นเรื่องบาดแผลที่หายขาดจึงอาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
ผ้าผืนนี้...คงมีบางสิ่ง...ซ่อนเร้นอยู่จริงๆ
+++++++++++++++++++
ห้องสักการะของเซธถูกจัดขึ้นภายในเวลาไม่นาน ในห้องมืดทึบ สว่างรำไรด้วยแสงจากเชิงเทียนตามมุมห้อง อบอวลด้วยกลิ่นเครื่องหอมและหมอกกำยาน ผนังสี่ด้านเป็นหินแกรนิตขัดมัน จารึกอักษรเฮียโรกลีฟิกและเขียนภาพลงสีเป็นเทพเจ้าพร้อมสตรีนางหนึ่งในอิริยาบถต่างๆ
ฟากหนึ่งของผนังเป็นภาพสตรีราชนิกุล สวมชุดลินินยาว คาดเอวด้วยครุยสีแดงสด ตามเนื้อตัวประดับทองคำและอัญมณี บนศีรษะมีมงกุฎประดิษฐ์จากพลอยหลากสีเป็นรูปนกแร้ง โอบวงปีกทาบทับวิกผมสีดำ เบื้องหน้านางนั้นคือเซธ เทพเจ้าแห่งสงคราม ทองคำ มนตร์ดำและความชั่วร้าย กำลังยื่นอังค์ เครื่องหมายแห่งความเป็นนิรันดร์แก่นางถึง ๓ ชิ้น
ผนังฟากตรงข้ามเป็นภาพของสตรีนางเดิม ถวายบรรณาการแก่เซธ และเทพก็รับด้วยความยินดี ไม่ห่างกัน...เหล่าผู้คนมากมายต่างหลั่งไหลถวายบรรณาการแก่นาง ซึ่งยืนอยู่บนแท่นหิน เหนือผู้คนที่ยกผลหมากรากไม้ บัวสายเครื่องหอม กระทั่งฝูงวัวของสักการะมาบูชา
มือหนึ่งของหล่อนถืออังค์ เครื่องหมายแห่งนิจนิรันดร์ ส่วนอีกข้างถือเซพเทอร์ ไม้เท้าหัวตะขอ แทนอำนาจในการควบคุมปกครอง ในความหมายดังกล่าวนั้น หล่อนคือผู้กุมอำนาจและดำรงอยู่ในฐานันดรอันสูงส่ง
เฉกเช่น ‘เทพเจ้า’
ออกัสอุ้มร่างของนายสาวเข้ามาในห้องสักการะ ถึงหน้าแท่นหินซึ่งเต็มไปด้วยมัดบัวสายสีแดงสดพร้อมคนโทไวน์ รายล้อมด้วยผลไม้นานาชนิด เขาก็ค่อยๆ กระซิบให้คนในอ้อมแขนตื่นจากนิทรารมณ์
“มาดาม” เสียงของชายหนุ่มละมุนนุ่ม ผิดแผกจากการพูดคุยกับใครอื่น “ถึงที่สักการะพระบิดาแล้วครับ”
มาดามเซติค่อยๆ ลืมตา หันมองรอบกายด้วยสีหน้าเหนื่อยอ่อน จากนั้นจึงหันกลับมาพยักหน้ากับชายหนุ่มรุ่นซึ่งกำลังอุ้มหล่อนอยู่
ออกัสพยักพเยิด จากนั้นจึงวางหล่อนไว้ที่เก้าอี้ไม้หุ้มเงินหุ้มทองหน้าแท่นสักการะ มาดามสาวทอดสายตามองสิ่งของเบื้องหน้า ถัดไปจากแท่นถวายเครื่องบูชา คือรูปปั้นขนาดใหญ่ยักษ์
พระบิดา...เซธ...เทวะสีแดงแห่งทะเลทรายตะวันตก
รูปสลักนั้นลงสีสัน เป็นเทพบุรุษ ทรงผ้าลินินจีบพลีตถี่ประณีต ตามวรกายประดับประดาด้วยเครื่องถนิมพิมพาภรณ์ พ้นจากแพงสร้อยเป็นพักตร์ของ ‘อสูรไทฟอน’ ลักษณะคล้ายลา หน้ายื่น ปากงุ้มยาว หูทั้งสองตั้งชัน เนตรสองข้างแดงก่ำด้วยทับทิมเม็ดเขื่องที่ฝังเอาไว้ เข้ากับสีของวิกผมซึ่งถูกสวมใส่ ทว่าเหล่านั้นยิ่งทำให้ฉวีซีดเทาราวซากศพของรูปสลักเทียมเพดานยิ่งน่ากลัว
หัตถ์ข้างหนึ่งของเซธถืออังค์ อีกข้างทรงเซพเทอร์ เครื่องหมายแห่งความเป็นนิรันดร์และอำนาจ มาดามเซติมองอย่างเคารพศรัทธา น้อมศีรษะลงเล็กน้อย ก่อนจะหันไปกล่าวกับหนุ่มรุ่นที่ยืนอยู่ข้างๆ
“ออกุสตุส...เจ้าไปปรุงยาเถอะ” เมื่อได้พัก อาการบาดเจ็บก็คล้ายทุเลาลง “เราคงต้องรีบใช้ยาของเจ้า แล้วให้นางพวกนั้นเอาเลือดมาสังเวยพระบิดาด้วย”
ออกัสน้อมรับคำสั่ง จากนั้นแยกตัวเดินไปสั่งการเหล่าหญิงรับใช้ให้จัดการหาเครื่องสักการะสำคัญ ส่วนตัวเขาไปที่แท่นหินอีกฟากฝั่ง ซึ่งเต็มไปด้วยอุปกรณ์เตรียมยา ทั้งหินบด มีด หม้อเหล็กและสารพัดสมุนไพร
มาดามสาวทอดสายตามองชายหนุ่ม เขาดูเชี่ยวชาญในการหยิบจับคัดเลือกสมุนไพร ไม่ว่าจะเป็นพืช ชิ้นส่วนจากสัตว์หรือหินแร่ต่างๆ เพียงยกขึ้นแตะปากจมูก สัมผัสด้วยปลายลิ้น ก็ตัดสินใจว่าจะเลือกใช้หรือวางลง ท่าทางในการจับมีดหั่น การใช้หินบด...กะเทาะ หรือแม้แต่การรินน้ำกระษัยเพื่อผสม ยากยิ่งที่ใครจะลอกเลียน
ทว่า ‘เสียดาย’
มาดามเซติผ่อนลมหายใจเหนื่อยอ่อน หันมองเทวรูป เวลานี้หญิงรับใช้มาพร้อมกับเครื่องสักการะสำคัญในพิธี พวกนางวางอ่างทองคำไว้ตรงกลางแท่นบูชา จากนั้นจึงรินเลือดจากคนโททองลงอ่างนั้นอย่างระมัดระวัง
หญิงรับใช้จัดการได้อย่างดีเยี่ยม ยามของเหลวสีแดงเข้มรินออกจากปากคนโททอง คาวเลือดสดก็คละคลุ้ง แม้ในห้องจะอบอวลด้วยหมอกกำยานและเครื่องหอม หากก็ไม่อาจปกปิดกลิ่นน่าสะอิดสะเอียนได้หมดสิ้น
แต่นั่นล่ะ...พระบิดาต้องทรงพอพระทัย...ต่อของสักการะที่หล่อนนำมาถวาย
มาดามเซติจดจ้องดวงเนตรเทวรูป เริ่มพร่ำบ่นมนตราด้วยภาษาอียิปต์โบราณ เสียงหวานลึกล้ำยามสวดขออำนาจจากเทวะสีแดงดูทุ้มต่ำ หากยังคงความลี้ลับอ่อนหวานสม่ำเสมอ และด้วยผนังห้องเป็นหินแกรนิตทึบ เสียงจึงสะท้อนก้องดังระงม คล้ายมีผู้ร่วมสวดนับสิบนับร้อย
เทพเจ้าเองก็คล้ายจะตอบสนอง นัยน์ตาซึ่งฝังเม็ดทับทิมเรืองรองส่องสว่าง แสงนั้นจัดจ้าราวสีเลือด ทั้งยังมีเสียงคล้ายการตอบรับจากเทวรูป เป็นเสียงของบุรุษสะท้อนก้องกลับมายังมาดามสาว กระทั่งจบบทสวด มาดามเซติจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ ล้มจากเก้าอี้ไม้ลงกองกับพื้น
“มาดาม!” ออกัสที่เพิ่งผสมยาเสร็จร้องตระหนก รีบละงานวิ่งเข้ามาช่วยพยุงพร้อมหญิงรับใช้ ครั้นเมื่อเห็นว่าสีหน้าของนายสาวเริ่มดีขึ้น ใบหน้าซีดขาวแตกลายเริ่มแดงเรื่อซับสีเลือด ลองใช้มือสำผัสบาดแผลผ่านชุดคลุม ก็พบว่าเลือดหยุดไหล ชายหนุ่มจึงหันไปหาองค์เทพ น้อมตัวเคารพอย่างศรัทธา ก่อนจะช้อนตัวนายสาวให้นั่งบนเก้าอี้ไม้ตัวเดิม
“ไปเอายาบนแท่นมา ฉันเพิ่งผสมน้ำกระษัย” ออกัสหันไปสั่งหญิงรับใช้ นางหนึ่งจึงไปจัดการนำมาให้ ก่อนที่เขาจะบรรจงป้อนมาดามสาว ทว่าจิบเพียงนิดหล่อนก็เบนหน้าหนี
“ยาขม ไม่เห็นเหมือนเมื่อคราวก่อน” สีหน้ามาดามเซติพะอืดพะอม หากออกัสพยายามคะยั้นคะยอ
“ยาตัวนี้เป็นสูตรยาสำคัญ สมานบาดแผลและฟื้นฟูกำลังได้ดีเยี่ยม” หนุ่มรุ่นอธิบายสรรพคุณ “มาดามจะหายจากอาการบาดเจ็บอย่างรวดเร็ว”
ออกัส แอนโทนียื่นจอกทองใกล้ริมฝีปาก มาดามเซติหันมอง เห็นน้ำยาสีเขียวข้นส่งกลิ่นชวนคลื่นเหียน ทว่าเพื่อการอยู่รอด หล่อนต้องกลั้นใจกลืน และเพียงอึดใจยาน้ำในจอกทองก็หมดเกลี้ยง มาดามสาวผ่อนลมเหนื่อยอ่อน เอนหลังลงพนักเก้าอี้ไม้ สายตาทอดมองพระบิดาราวจะส่งผ่านความคับแค้น
“ยาของเจ้ารวมกับอำนาจแห่งพระบิดา” อยู่ๆ หล่อนก็กล่าวขึ้นมา นัยน์ตายังคงจดจ้องเทวรูปอย่างมาดหมาย “อีกนานไหม กว่าอาการของข้าจะดีขึ้น”
“ด้วยอำนาจแห่งเซธ กับยาของข้า” ออกัสก้มหน้า ขมวดคิ้วครุ่นคิด “คาดว่าไม่เกิน ๓ วันครับ”
มาดามเซติรับฟังเงียบๆ พยักพเยิดน้อยๆ จากนั้นจึงหันไปโบกมือไล่เหล่าหญิงรับใช้ให้ออกไปนอกห้อง กระทั่งลับแผ่นหลัง ก็หันมาหาออกัสเพื่อพูดคุยถึงเรื่องสำคัญบางอย่าง
“อย่างนั้นจงติดต่อเกียน บอกมันว่า...ข้าต้องการพบคณะสำรวจและลงตรวจสอบพื้นที่”
คำสั่งดังกล่าวทำเอาหนุ่มรุ่นตระหนก สีหน้าขาวราวกระเบื้องซีดจัด นัยน์ตาปรากฏแววพรั่นพรึง
“แต่มาดาม” ออกัสรีบคัดค้าน “มาดามจะออกไปข้างนอกไม่ได้ สภาพร่างกายของมาดามไม่สมควรออกไปข้างนอก ยิ่งในเขตวิหารอาบูซิมเบล เวทมนตร์ของชายาเอกจะยิ่งกล้าแข็ง ทำร้ายมาดามได้”
“แล้วยังไง” เสียงของมาดามสาวแข็งกร้าวเห็นได้ชัด แม้ออกัสจะสะดุ้ง หากก็ยังกัดฟันทัดทานต่อ
“เพราะเหตุนี้ เราถึงต้องอาศัยพวกนักโบราณคดีกับเกียน มาดามลืมไปแล้วหรือครับ”
มาดามสาวชำเลืองมองออกัส หล่อนเห็นส่วนหนึ่งในแววตาคือหวาดกลัว เด่นชัดเสียจนไม่จำเป็นต้องอ่านด้วยอำนาจพิเศษใดๆ หากอีกส่วน...กลับทำให้หล่อนอ่อนไหวไปวูบหนึ่ง
ทว่าคำสั่งของมาดามซิต เซติ...ไม่ได้มีไว้ให้ใครขัด
“คำสั่งของข้าคือที่สุด” เสียงหวานลึกล้ำกังวานดัง จนหนุ่มรุ่นรีบหมอบลงแทบเท้า “และเจ้าเองก็ไม่มีหน้าที่มาขัดคำสั่ง อย่าหลงลืมเสียว่าเจ้ามีชีวิตรอดมาจนทุกวันนี้เพราะใคร หากไม่ใช่เพราะข้า...เจ้าคงตายพร้อมนางราชินีปโตเลมีกับนายพลแอนโทนีอุส พี่ชายของเจ้าไปนานแล้ว”
เสียงสุดท้ายตวัดสูง เสียดแทงโสตประสาท กังวานก้องในห้องสักการะ และราวเทวรูปเองก็เห็นพ้อง มีเสียงหัวเราะสอดประสาน สะท้อนออกมาจากหน้าเทวรูปไม่ขาดสาย ออกัสรีบส่ายหัว ตัวสั่นเทิ้ม พร่ำพูดจนลิ้นแทบพันกัน
“ไม่เคยลืม...กะ...กระหม่อม...ไม่เคยลืม”
มาดามเซติหรี่ตามองเอาเรื่อง หากอึดใจจึงเลิกแยแส หันไปสบเนตรเทวรูป หล่อนกระตุกยิ้มมุมปากอย่างพอใจ และคล้ายเทวรูปก็ตอบรับ นัยน์ตาสีทับทิมแดงฉานเรืองรองแวววับน่าหวาดกลัว
“ด้วยอำนาจแห่งพระบิดา” มาดามสาวกล่าวเป็นภาษาอียิปต์โบราณ ทุกอักขระถ้อยคำชัดเจน “พระองค์จะทรงมอบชัยชนะแก่ข้าและบริวาร ให้ข้ามีอำนาจเหนือเหล่าศัตรูและผู้ที่เป็นปรปักษ์ จัดการผู้ที่กล้ากำแหงต่ออำนาจของพระองค์ ข้าจะฉีกร่างของมันออกเป็นชิ้นๆ สังเวยพระองค์ แล้วส่งให้เหล่าบริวารของได้ลิ้มรสวิญญาณอันแสนเจ็บปวดทรมานของมัน”
สิ้นเสียงของมาดามเซติ เสียงหัวเราะทุ้มต่ำก็ดังออกมาจากเทวรูปอีกครั้ง เสียงนั้นสะท้อนสอดประสาน กังวานกระทบผนังหิน ในความสลัวมัวมน ท่ามกลางหมอกกำยานและควันเครื่องหอมซึ่งม้วนตัวตลบ ฟังราวกับเสียงนั้นคือเสียงแห่งความพึงพอใจของพญามัจจุราช
++++++++++++
ตอนนี้ลายลินินสำเร็จเป็นรูปเล่มแล้วนะครับ สามารถอุดหนุนได้ที่เว็บสถาพรบุ๊คครับ
http://www.satapornbooks.co.th/Book/BookDetail.aspx?id=1865
หรือสามารถติดตามได้ที่ร้านหนังสือทั่วไปครับผม ส่วนนวนิยายในเว็บไซต์นาถลดายังคงลงต่อให้จนจบครับผม
++++++++++++++++++++
เสียงกรีดร้องดังขึ้นในห้องมืดทึบ อบอวลด้วยหมอกกำยานและควันเครื่องหอม มาดามเซติกลิ้งตกจากเตียงลงพื้นหินอ่อน คราบเลือดเปื้อนเปรอะเป็นลายทาง บางส่วนอาบผ้าสีแดงซึ่งยังห่มคลุมร่างมิดชิด เว้นเสียแต่ส่วนศีรษะที่ผ้าหลุดออก เรือนผมดำขลับยาวตรงหั่นหน้าม้าลักษณะคล้ายวิกแตกกระจายชุ่มเลือด ใบหน้าซีดขาวเหยเกเจ็บปวด
เสียงร้องเมื่อครู่ของมาดามสาวเรียกเหล่าหญิงรับใช้ในชุดคลุมสีดำให้วิ่งเข้ามา ทุกคนต่างตระหนกเมื่อพบนายหญิงนอนกองกับพื้น เลือดไหลนองอาบชุดคลุมสีแดงชุ่มโชก ดวงหน้าซีดขาวราวกระดาษกำลังอ้าปาก หายใจเหนื่อยหอบ คล้ายจะหมดลมอยู่รอมร่อ
“อะ...ออกุสตุส ระ...เรียก...อะ...ออกุสตุส” มาดามเซติพยายามออกแรงพูด ทว่ายิ่งออกแรงมากเท่าไรหล่อนก็ยิ่งจะขาดใจมากเท่านั้น แผลกลางอกลึกและใหญ่ ซ้ำอาวุธที่ทำร้ายยังเป็นดาบเงินของเทพเจ้า ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรักษาเยียวยา
หญิงรับใช้บางส่วนวิ่งออกจากห้องไปตามคำสั่ง ส่วนอีกสองนางเข้ามาประคองหล่อนนั่งบนเก้าอี้ไม้หุ้มเงินหุ้มทอง เลือดสีแดงสดยังคงไหลนองไม่หยุด แม้เหล่าหญิงรับใช้จะพยายามกดห้ามอย่างไรก็ไม่เป็นผล ซ้ำร้ายยังทำให้มาดามเซติเจ็บมากขึ้นกว่าเดิม
“นางโง่!” มาดามสาวตวาดแหว หวดมือภายใต้ผ้าคลุมตบหน้าหญิงรับใช้ที่พยายามกดห้ามเลือดจนกระเด็นกลิ้งไม่เป็นท่า อีกนางรีบชักมือออก สายตาจดจ้องมองเพื่อนสาว เห็นเลือดกบปากอีกฝ่ายเข้าก็ตัวสั่นงันงก
“ออกไป...ออกไปให้หมด...รีบไปพาออกุสตุสมาพบเรา”
มาดามเซติลั่นเสียง หญิงรับใช้ข้างกายน้อมตัวรับคำสั่ง จากนั้นก็วิ่งเข้าไปพยุงเพื่อนให้ลุกขึ้นแล้วพาออกจากห้อง
เสียงฝีเท้าห่างออกไปเรื่อยๆ จนในที่สุดความเงียบก็เข้ามาครอบงำ กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง ปะปนกลิ่นเครื่องหอมและหมอกกำยาน เลือดยังคงรินไหล อาบนองชุด เปรอะเปื้อนตามพื้น เรี่ยวแรงที่เคยมี บัดนี้แทบไม่หลงเหลือพอจะพยุงร่างตัวเองไปยังสถานที่ที่ต้องการ
สักการสถานแห่งเซธ...เทวะสีแดงแห่งทะเลทรายตะวันตก
“พระบิดา” มาดามสาวรำพึงรำพัน หลับตาคำนึงถึงภาพของเทพเจ้า ทว่าส่วนหนึ่งไม่อาจปฏิเสธได้ ความคั่งแค้นในใจยังคงลุกโชน
จิตดำมืดอาฆาต ราวไฟในคบที่ถูกกระพือด้วยแรงลม เพราะเหตุใด...หญิงผู้เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาจึงสามารถเอาชัยชนะเหนือเวทมนตร์ของหล่อน ที่แน่ชัดนั่นคืออำนาจแห่งเทวีบาสต์ เทวีแห่งแมวผู้ทรงมหิทธานุภาพ สามารถทำลายพญางูร้าย ‘ลูกแห่งอโบพิส’ อสูรซึ่งหล่อนสวดวิงวอนต่อพระบิดา ให้เนรมิตสังหารผู้เป็นอริศัตรู
แต่สิ่งอื่นเล่า...หล่อนรู้ดี มี ‘สิ่งอื่น’ คอยคุ้มครอง
‘ผ้าลินิน’ มาดามเซติขบปากเคี้ยวฟัน หวนคำนึงถึงผ้าลินินโบราณสีขาว ระยิบระยับด้วยใยทองสอดแทรก ‘ทำไมข้าจะจำไม่ได้ อาภรณ์ล้ำค่า...ทำให้ข้านึกถึงเจ้าเหลือเกิน...ตารี เจ้าพยายามนักหนา หมายยกนางทาสชั้นต่ำให้เป็นชายา กีดกันข้าไม่ให้ขึ้นเป็นชายาเอก เมื่อเจ้าต้องไปอยู่ร่วมกับทวยเทพ’
มาดามคิดพลางกระตุกมุมปากยิ้ม นัยน์ตาฉายแววเจ็บปวดลึก อาการหอบเหนื่อยยังคงหนักหนา
“น่าสมเพชเจ้าจริงๆ ...ตารี”
มาดามสาวจำได้นับแต่ครั้งแรกที่เห็น เมื่ออีริค เค เกียน นำเอกสารประกอบการสำรวจที่ตั้งเดิมของวิหารอาบูซิมเบลมาให้หล่อนดูพร้อมภาพหลักฐานโบราณวัตถุ
ผ้าลินิน...
แม้เพียงในภาพถ่ายหรือความทรงจำของอีริค เค เกียน หากรูปพรรณสัณฐาน...ลายผ้า...การทอ ดูอย่างไรหล่อนก็จำได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น หากสังขารไม่อาจเอื้ออำนวย บาดแผลจากการถูกทำร้ายลึกเหลือเกิน ลำพังตัวหล่อนจึงไม่อาจเยียวยาให้หายขาด
“มาดาม!” เสียงทุ้มนุ้มดังขึ้น ปลุกมาดามสาวจากภวังค์ หล่อนหันมองที่หน้าประตู เห็นหนุ่มรุ่นในชุดคลุมดำสนิท ติดตามมาด้วยหญิงรับใช้สองนาง
‘ออกัส แอนโทนี’
ทันทีที่เห็นสภาพของหล่อน ใบหน้าขาวราวกระเบื้องยิ่งซีดจัด นัยน์ตาสีเลือดปรากฏแวววูบไหว มาดามเซติมองออก เขาคงไม่นึกไม่ฝัน...ว่าคนเช่นหล่อนจะมีวันนี้
วันที่ต้องภายแพ้...และบาดเจ็บเจียนตาย
“ให้ตายเถอะ...ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น”
หนุ่มรุ่นวิ่งเข้ามานั่งที่พื้นข้างๆ เก้าอี้ สองมือพยายามสัมผัสบริเวณบาดแผล ประเมินความตื้นลึกรุนแรง
“นังผู้หญิงคนนั้น...มีผู้คุ้มครอง” มาดามพยายามตอบ ออกัสได้แต่ขมวดคิ้วสงสัย
“แต่ด้วยอำนาจของมาดามและเทพเซธ...พระบิดา บาดแผลใดๆ ก็ไม่...” พูดไม่ทันจบก็ถูกขัดเสียก่อน
“เทวีบาสต์”
ออกัสนิ่งงัน มองบาดแผลสลับกับใบหน้าซีดขาวด้วยความห่วงใย นัยน์ตาของเขาเต็มตื้นด้วยน้ำคลอหน่วย มือซึ่งสัมผัสรอยเลือดอุ่นบนชุดคลุมสั่นเทา
“ดาบเงินขององค์เทวี...ไม่ใช่อาวุธธรรมดา” มาดามสาวพูดพลางหอบพลาง ใบหน้าซีดเซียวปรากฏรอยเส้นเลือดเขียวประปราย คล้ายกระเบื้องสีขาวแตกลาย “พระนางเคยใช้ดาบนั้น...สังหารพญางูอโบพิส เจ้าเอง...ก็รู้อำนาจของมันดี”
ออกัสพยักพเยิด พยายามปรามการสนทนา จากนั้นจึงลุกขึ้นช้อนตัวนายสาวเข้าวงแขน หล่อนเองตระหนกไม่น้อย หากแวบเดียวเท่านั้น เพราะหลังจากหนุ่มรุ่นหันไปสั่งการเหล่าหญิงรับใช้ให้จัดเตรียมห้องสักการะเทพเซธ มาดามสาวก็ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ เอนศีรษะซบไหล่อีกฝ่าย แล้วหลับใหลในเวลาต่อมา
+++++++++++++++++
หลังจัดการกวาดซากสร้อยข้อมือของมาดามเซติทิ้งลงถุงรวมกับขยะชิ้นอื่น มัดปากถุงแน่นหนา อารีสก็หันมองมันด้วยความหวาดกลัว หญิงสาวมองถุงขยะบนพื้นสลับกับหลังมือซึ่งบวมแดง อาการเจ็บปวดนอกจากไม่ทุเลาแล้วยังเพิ่มมากขึ้น นี่ขนาดหล่อนเอาน้ำแข็งประคบ กินยาลดอาการปวด แต่ดูเหมือนจะไม่ดีขึ้นแม้แต่นิด ซ้ำร้ายรอยแผลเล็กเป็นจุดบนหลังมือก็คล้ายจะมีหนองคั่งด้วยซ้ำ
“แย่จริง ถ้านัตเห็นเข้า...มีหวังอดไปเที่ยว” อารีสพึมพำกับตัวเอง หันมองนาฬิกาข้อมือก็พบว่าเป็นเวลาตี ๓ ทุกคนคงตื่นกันหมดแล้ว และอีกไม่นานคงอาบน้ำแต่งตัว ไปรวมกลุ่มเพื่อออกเดินทาง
แล้วนี่หล่อนควรจะทำอย่างไรดี
หญิงสาวเดินวกไปวนมา ทว่ายังไม่ทันคิดหาทางออกหรือเตรียมแผนการแก้ไข เสียงเคาะประตูจากภายนอกก็ดังขึ้นทำเอาหล่อนสะดุ้งโหยง
“อารีสครับ นี่ผมเอง คุณตื่นหรือยัง”
เป็นอนัตตาอย่างที่หล่อนกลัวไม่มีผิด
“อายุยืนจริงๆ พูดปุ๊บก็มาปั๊บ” อารีสบ่น หันมองมือบวมแดงสลับถุงขยะด้วยความกังวล ยิ่งทำอะไรไม่ถูกเมื่อเสียงเรียกเร่งกระชั้นอีกหน
“อารีสครับตื่นหรือยัง ผมโทรศัพท์เข้าห้องคุณไม่ติด ไม่รู้เป็นอะไรหรือเปล่า” เสียงชายหนุ่มดังต่อเนื่อง “ตื่นหรือยังครับ เดี๋ยวเราจะสายเอานะครับ”
“ค่ะ...ตื่นแล้วค่ะ” หล่อนขานรับ หันรีหันขวางทำอะไรไม่ถูก จะหยิบถุงขยะ...หรือจะจัดการปกปิดมือบวมแดง...หรือจะเปิดประตูต้อนรับ
‘จะทำอะไรก่อนดี’ หล่อนคิด คิ้วขมวดยุ่ง ท้ายที่สุดจึงตัดสินใจดึงผ้าลินินโบราณมาพันมือบวมเป่ง ปกปิดรอยแผลให้พ้นจากสายตาของอนัตตา จากนั้นก็คว้าถุงขยะ ก่อนจะวิ่งไปเปิดประตู
“ขอโทษทีค่ะ เพิ่งตื่นเมื่อกี้นี้เอง” หล่อนปดคำโต พยายามซ่อนมือซึ่งพันผ้าลินินไพล่หลัง “ว่าแต่นัตตื่นเช้าจังนะคะ”
“ก็เราต้องรีบเตรียมตัวนี่ครับ” ชายหนุ่มตอบรับพลางยิ้ม ครั้นเห็นถุงดำในมือหญิงสาวก็ขมวดคิ้วสงสัย “เพิ่งตื่น...แล้วทำไมถึงหิ้วถุงขยะมาด้วยล่ะครับ”
อารีสก้มลงมองตาม พยายามใช้สมองประมวลความคิดหาเหตุผลภายในหนึ่งวินาที
“ฉันลืมว่าต้องเอาขยะไปทิ้งค่ะ ตื่นมาเลยคิดได้เป็นเรื่องแรก” คิดไปคิดว่าก็รู้สึกว่าเป็นเหตุผลที่อัปยศอดสูที่สุด และดูเหมือนชายหนุ่มจะไม่เชื่ออีกด้วย
“ทำไมจะต้องทิ้งครับ ใส่ถังเอาไว้ เดี๋ยวได้เวลาแม่บ้านของโรงแรมก็มาเก็บเอง”
หญิงสาวอึกอัก พยายามจะพูด หากก็ได้แต่ขยับริมฝีปาก ทำเอาอนัตตาเริ่มสงสัย
“มีอะไรหรือเปล่าครับอารีส”
“ไม่มีค่ะ” หล่อนรีบตอบทันควัน เอามือไพล่หลังมาโบกปฏิเสธ “ทำไมถึงคิดว่ามีอะไรล่ะคะ”
“เอ๊ะ!” อนัตตาเอียงหน้ามองกับสิ่งที่พบ
หางผ้าลินินพันมือที่หลุดสะบัดไหว หญิงสาวตาโต รีบเก็บไพล่หลังอย่างเคย ทว่าชายหนุ่มไวกว่า จึงคว้ามันออกมาดู
“มือเป็นอะไรครับ” สีหน้าอนัตตาไม่สู้ดีนัก “ทำไมต้องพันผ้าเอาไว้ด้วย แล้วนี่...นี่มันผ้าลินินโบราณที่ขุดจากห้องลับใต้น้ำนี่”
“ฉันเอาออกมาตรวจแล้วลองพันมือเล่นค่ะ” หล่อนพยายามโกหกพลางดึงมือออก หากชายหนุ่มกลับส่ายหน้า นัยน์ตาดุเอาเรื่อง
“ผมคิดว่าท่าทางดูเหมือนจะไม่ใช่” ไม่พูดเปล่า เขาดึงมือหญิงสาวแล้วคลายผ้าออก แม้อารีสจะห้ามปราม หากชายหนุ่มก็ไม่ใส่ใจ ยังคงตั้งหน้าตั้งตาดึงผ้าออกจนหมด
‘ตายแน่ๆ’ อารีสเสหน้าหลบ คิดในใจอย่างหมดหวัง ทว่าทันทีที่เสียงตอบรับดังมาจากอีกฝ่าย มันกลับทำให้หล่อนหันมองมือตัวเองอย่างรวดเร็ว
“ตกลงว่าพันเล่นจริงๆ เหรอครับ” อนัตตาว่าพลางขมวดคิ้ว “ตอนแรกก็คิดว่าคุณไปสร้างวีรกรรมจนได้แผลมาเสียอีก นี่บอกไว้ก่อนนะ ถ้าเกิดเจ็บป่วยแม้แต่นิด ผมไม่ให้คุณไปเที่ยวที่ไหนแน่ๆ”
หญิงสาวหันกลับมามองที่มือ บริเวณที่เคยบวมเป่งแดงร้อน บัดนี้เกลี้ยงเกลาขาวสะอาด ลองกรีดนิ้วราวจะรำ กระดกข้อมือขึ้นลงก็ดูปกติทุกประการ
หญิงสาวผ่อนลมหายใจโล่งอก จากนั้นจึงหันไปยิ้มให้ชายหนุ่ม ก่อนจะใช้มือข้างนั้นตวัดเรือนผมหยักศกของตน ซ้ายที...ขวาที
“บอกแล้วว่าไม่เป็นอะไร” ว่าแล้วก็หันไปมองที่ผ้าลินินโบราณในมือของอนัตตา หญิงสาวนึกสงสัย จึงยื่นมือไปคว้าเข้ามาแนบกาย “ขอผ้าลินินคืนนะคะ เดี๋ยวฉันต้องเอาไปตรวจสอบต่อ เมื่อคืนนั่งตรวจดึกไปหน่อย ตื่นมาเลยดูงงๆ เอาเป็นว่าเดี๋ยวขอตัวไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนนะคะ แล้วเจอกัน”
อารีสพยายามแก้ตัวแล้วตัดบท แม้ในน้ำขุ่นๆ หากหล่อนก็ยังพอดำผุดดำว่ายไปจนถึงฝั่ง ท้ายที่สุดชายหนุ่มก็คงระอาและคร้านจะเถียง เขาจึงถอนหายใจแล้วส่ายหน้า หากก็ยังมีรอยยิ้มที่มุมปากพร้อมลักยิ้มน้อยๆ ให้ชื่นใจว่าไม่ได้จริงจัง
“เอาเถอะครับ รีบแต่งตัว แล้วเดี๋ยวมาเจอกัน” อนัตตาตัดบท “รถของเนบทีมารอแล้ว ล้อหมุนตี ๔ เราจะไปถึงอัสวานเช้าพอดี วิลเขาจัดโปรแกรมทัวร์เอาไว้เรียบร้อย”
“รับทราบค่ะ...คุณชาย” หญิงสาวจับชายกระโปรงยกขึ้นแล้วถอนสายบัว จากนั้นจึงโบกมือลาก่อนจะกลับหลังหันเข้าห้อง ปิดประตูลงกลอนพลางยกมือของตัวเองขึ้นพิจารณาด้วยความสงสัย
ไม่มีบาดแผลอย่างที่เป็นมาในตอนต้น ไม่ปวด...บวม...แดง...หรือร้อน และน่าประหลาดว่ามันหายไปได้อย่างไร
หรือเพราะ ‘ผ้าลินิน’
อารีสมองดูผ้าลินินโบราณในกำมือ จากนั้นจึงยกถุงขยะสีดำที่ตั้งใจจะนำไปทิ้ง พิจารณาสลับกัน
เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของหล่อน สิ่งเหล่านี้คือเรื่องจริงเช่นนั้นหรือ แต่อารีสยืนยันได้ว่าคือเรื่องจริง ไม่ใช่ความฝัน เพราะก่อนหน้า...หล่อนเพิ่งถูกแมงป่องทองคำ ซึ่งหลุดจากสร้อยข้อมือของมาดามเซติต่อยและไล่ล่า หลังมือของหล่อนบวมเป่ง แดงร้อน ทั้งยังทำท่าจะมีหนองคั่งภายใน
แต่หลังจากที่หล่อนเอาผ้าลินินโบราณพันมือเอาไว้ ตั้งใจจะปกปิดอนัตตา มันกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอยเหมือนไม่เคยปรากฏ
เป็นไปได้หรือไม่ว่า...อาจเพราะอำนาจของ ‘ผ้าลินิน’
หลุยส์เคยอธิบายให้ฟัง หล่อนยังจำได้ขึ้นใจ เกี่ยวกับจารึกบนหีบบรรจุผ้าลินินโบราณ มันคือของต้องคำสาป อาบคำอธิษฐาน มีเวทมนตร์แห่งเทพเจ้าและชาวอียิปต์โบราณแฝงอยู่ทุกเส้นใย ทั้งยังเป็นของล้ำค่าสำคัญของพระนางเนเฟอร์ตารี
ผ้าลินินผืนนี้เคยช่วยเหลือหล่อนในความฝัน เป็นแสงสว่างในยามที่ความมืดมิดเข้าครอบงำ ทั้งยังทำให้อารีสหลุดพ้นจากการตามล่าของเทพแห่งพิธีมรณะ อานูบิสมาถึงสองครั้ง ครั้นเมื่อตริตรองถ้วนถี่...มันช่วยให้หล่อนรอดพ้นจากการรุมทำร้ายของแมงป่องทองตัวกระจิริด เพียงการตวัดกวาดด้วยผ้า เหล่าแมงป่องก็สิ้นฤทธิ์เดช
ดังนั้นเรื่องบาดแผลที่หายขาดจึงอาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
ผ้าผืนนี้...คงมีบางสิ่ง...ซ่อนเร้นอยู่จริงๆ
+++++++++++++++++++
ห้องสักการะของเซธถูกจัดขึ้นภายในเวลาไม่นาน ในห้องมืดทึบ สว่างรำไรด้วยแสงจากเชิงเทียนตามมุมห้อง อบอวลด้วยกลิ่นเครื่องหอมและหมอกกำยาน ผนังสี่ด้านเป็นหินแกรนิตขัดมัน จารึกอักษรเฮียโรกลีฟิกและเขียนภาพลงสีเป็นเทพเจ้าพร้อมสตรีนางหนึ่งในอิริยาบถต่างๆ
ฟากหนึ่งของผนังเป็นภาพสตรีราชนิกุล สวมชุดลินินยาว คาดเอวด้วยครุยสีแดงสด ตามเนื้อตัวประดับทองคำและอัญมณี บนศีรษะมีมงกุฎประดิษฐ์จากพลอยหลากสีเป็นรูปนกแร้ง โอบวงปีกทาบทับวิกผมสีดำ เบื้องหน้านางนั้นคือเซธ เทพเจ้าแห่งสงคราม ทองคำ มนตร์ดำและความชั่วร้าย กำลังยื่นอังค์ เครื่องหมายแห่งความเป็นนิรันดร์แก่นางถึง ๓ ชิ้น
ผนังฟากตรงข้ามเป็นภาพของสตรีนางเดิม ถวายบรรณาการแก่เซธ และเทพก็รับด้วยความยินดี ไม่ห่างกัน...เหล่าผู้คนมากมายต่างหลั่งไหลถวายบรรณาการแก่นาง ซึ่งยืนอยู่บนแท่นหิน เหนือผู้คนที่ยกผลหมากรากไม้ บัวสายเครื่องหอม กระทั่งฝูงวัวของสักการะมาบูชา
มือหนึ่งของหล่อนถืออังค์ เครื่องหมายแห่งนิจนิรันดร์ ส่วนอีกข้างถือเซพเทอร์ ไม้เท้าหัวตะขอ แทนอำนาจในการควบคุมปกครอง ในความหมายดังกล่าวนั้น หล่อนคือผู้กุมอำนาจและดำรงอยู่ในฐานันดรอันสูงส่ง
เฉกเช่น ‘เทพเจ้า’
ออกัสอุ้มร่างของนายสาวเข้ามาในห้องสักการะ ถึงหน้าแท่นหินซึ่งเต็มไปด้วยมัดบัวสายสีแดงสดพร้อมคนโทไวน์ รายล้อมด้วยผลไม้นานาชนิด เขาก็ค่อยๆ กระซิบให้คนในอ้อมแขนตื่นจากนิทรารมณ์
“มาดาม” เสียงของชายหนุ่มละมุนนุ่ม ผิดแผกจากการพูดคุยกับใครอื่น “ถึงที่สักการะพระบิดาแล้วครับ”
มาดามเซติค่อยๆ ลืมตา หันมองรอบกายด้วยสีหน้าเหนื่อยอ่อน จากนั้นจึงหันกลับมาพยักหน้ากับชายหนุ่มรุ่นซึ่งกำลังอุ้มหล่อนอยู่
ออกัสพยักพเยิด จากนั้นจึงวางหล่อนไว้ที่เก้าอี้ไม้หุ้มเงินหุ้มทองหน้าแท่นสักการะ มาดามสาวทอดสายตามองสิ่งของเบื้องหน้า ถัดไปจากแท่นถวายเครื่องบูชา คือรูปปั้นขนาดใหญ่ยักษ์
พระบิดา...เซธ...เทวะสีแดงแห่งทะเลทรายตะวันตก
รูปสลักนั้นลงสีสัน เป็นเทพบุรุษ ทรงผ้าลินินจีบพลีตถี่ประณีต ตามวรกายประดับประดาด้วยเครื่องถนิมพิมพาภรณ์ พ้นจากแพงสร้อยเป็นพักตร์ของ ‘อสูรไทฟอน’ ลักษณะคล้ายลา หน้ายื่น ปากงุ้มยาว หูทั้งสองตั้งชัน เนตรสองข้างแดงก่ำด้วยทับทิมเม็ดเขื่องที่ฝังเอาไว้ เข้ากับสีของวิกผมซึ่งถูกสวมใส่ ทว่าเหล่านั้นยิ่งทำให้ฉวีซีดเทาราวซากศพของรูปสลักเทียมเพดานยิ่งน่ากลัว
หัตถ์ข้างหนึ่งของเซธถืออังค์ อีกข้างทรงเซพเทอร์ เครื่องหมายแห่งความเป็นนิรันดร์และอำนาจ มาดามเซติมองอย่างเคารพศรัทธา น้อมศีรษะลงเล็กน้อย ก่อนจะหันไปกล่าวกับหนุ่มรุ่นที่ยืนอยู่ข้างๆ
“ออกุสตุส...เจ้าไปปรุงยาเถอะ” เมื่อได้พัก อาการบาดเจ็บก็คล้ายทุเลาลง “เราคงต้องรีบใช้ยาของเจ้า แล้วให้นางพวกนั้นเอาเลือดมาสังเวยพระบิดาด้วย”
ออกัสน้อมรับคำสั่ง จากนั้นแยกตัวเดินไปสั่งการเหล่าหญิงรับใช้ให้จัดการหาเครื่องสักการะสำคัญ ส่วนตัวเขาไปที่แท่นหินอีกฟากฝั่ง ซึ่งเต็มไปด้วยอุปกรณ์เตรียมยา ทั้งหินบด มีด หม้อเหล็กและสารพัดสมุนไพร
มาดามสาวทอดสายตามองชายหนุ่ม เขาดูเชี่ยวชาญในการหยิบจับคัดเลือกสมุนไพร ไม่ว่าจะเป็นพืช ชิ้นส่วนจากสัตว์หรือหินแร่ต่างๆ เพียงยกขึ้นแตะปากจมูก สัมผัสด้วยปลายลิ้น ก็ตัดสินใจว่าจะเลือกใช้หรือวางลง ท่าทางในการจับมีดหั่น การใช้หินบด...กะเทาะ หรือแม้แต่การรินน้ำกระษัยเพื่อผสม ยากยิ่งที่ใครจะลอกเลียน
ทว่า ‘เสียดาย’
มาดามเซติผ่อนลมหายใจเหนื่อยอ่อน หันมองเทวรูป เวลานี้หญิงรับใช้มาพร้อมกับเครื่องสักการะสำคัญในพิธี พวกนางวางอ่างทองคำไว้ตรงกลางแท่นบูชา จากนั้นจึงรินเลือดจากคนโททองลงอ่างนั้นอย่างระมัดระวัง
หญิงรับใช้จัดการได้อย่างดีเยี่ยม ยามของเหลวสีแดงเข้มรินออกจากปากคนโททอง คาวเลือดสดก็คละคลุ้ง แม้ในห้องจะอบอวลด้วยหมอกกำยานและเครื่องหอม หากก็ไม่อาจปกปิดกลิ่นน่าสะอิดสะเอียนได้หมดสิ้น
แต่นั่นล่ะ...พระบิดาต้องทรงพอพระทัย...ต่อของสักการะที่หล่อนนำมาถวาย
มาดามเซติจดจ้องดวงเนตรเทวรูป เริ่มพร่ำบ่นมนตราด้วยภาษาอียิปต์โบราณ เสียงหวานลึกล้ำยามสวดขออำนาจจากเทวะสีแดงดูทุ้มต่ำ หากยังคงความลี้ลับอ่อนหวานสม่ำเสมอ และด้วยผนังห้องเป็นหินแกรนิตทึบ เสียงจึงสะท้อนก้องดังระงม คล้ายมีผู้ร่วมสวดนับสิบนับร้อย
เทพเจ้าเองก็คล้ายจะตอบสนอง นัยน์ตาซึ่งฝังเม็ดทับทิมเรืองรองส่องสว่าง แสงนั้นจัดจ้าราวสีเลือด ทั้งยังมีเสียงคล้ายการตอบรับจากเทวรูป เป็นเสียงของบุรุษสะท้อนก้องกลับมายังมาดามสาว กระทั่งจบบทสวด มาดามเซติจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ ล้มจากเก้าอี้ไม้ลงกองกับพื้น
“มาดาม!” ออกัสที่เพิ่งผสมยาเสร็จร้องตระหนก รีบละงานวิ่งเข้ามาช่วยพยุงพร้อมหญิงรับใช้ ครั้นเมื่อเห็นว่าสีหน้าของนายสาวเริ่มดีขึ้น ใบหน้าซีดขาวแตกลายเริ่มแดงเรื่อซับสีเลือด ลองใช้มือสำผัสบาดแผลผ่านชุดคลุม ก็พบว่าเลือดหยุดไหล ชายหนุ่มจึงหันไปหาองค์เทพ น้อมตัวเคารพอย่างศรัทธา ก่อนจะช้อนตัวนายสาวให้นั่งบนเก้าอี้ไม้ตัวเดิม
“ไปเอายาบนแท่นมา ฉันเพิ่งผสมน้ำกระษัย” ออกัสหันไปสั่งหญิงรับใช้ นางหนึ่งจึงไปจัดการนำมาให้ ก่อนที่เขาจะบรรจงป้อนมาดามสาว ทว่าจิบเพียงนิดหล่อนก็เบนหน้าหนี
“ยาขม ไม่เห็นเหมือนเมื่อคราวก่อน” สีหน้ามาดามเซติพะอืดพะอม หากออกัสพยายามคะยั้นคะยอ
“ยาตัวนี้เป็นสูตรยาสำคัญ สมานบาดแผลและฟื้นฟูกำลังได้ดีเยี่ยม” หนุ่มรุ่นอธิบายสรรพคุณ “มาดามจะหายจากอาการบาดเจ็บอย่างรวดเร็ว”
ออกัส แอนโทนียื่นจอกทองใกล้ริมฝีปาก มาดามเซติหันมอง เห็นน้ำยาสีเขียวข้นส่งกลิ่นชวนคลื่นเหียน ทว่าเพื่อการอยู่รอด หล่อนต้องกลั้นใจกลืน และเพียงอึดใจยาน้ำในจอกทองก็หมดเกลี้ยง มาดามสาวผ่อนลมเหนื่อยอ่อน เอนหลังลงพนักเก้าอี้ไม้ สายตาทอดมองพระบิดาราวจะส่งผ่านความคับแค้น
“ยาของเจ้ารวมกับอำนาจแห่งพระบิดา” อยู่ๆ หล่อนก็กล่าวขึ้นมา นัยน์ตายังคงจดจ้องเทวรูปอย่างมาดหมาย “อีกนานไหม กว่าอาการของข้าจะดีขึ้น”
“ด้วยอำนาจแห่งเซธ กับยาของข้า” ออกัสก้มหน้า ขมวดคิ้วครุ่นคิด “คาดว่าไม่เกิน ๓ วันครับ”
มาดามเซติรับฟังเงียบๆ พยักพเยิดน้อยๆ จากนั้นจึงหันไปโบกมือไล่เหล่าหญิงรับใช้ให้ออกไปนอกห้อง กระทั่งลับแผ่นหลัง ก็หันมาหาออกัสเพื่อพูดคุยถึงเรื่องสำคัญบางอย่าง
“อย่างนั้นจงติดต่อเกียน บอกมันว่า...ข้าต้องการพบคณะสำรวจและลงตรวจสอบพื้นที่”
คำสั่งดังกล่าวทำเอาหนุ่มรุ่นตระหนก สีหน้าขาวราวกระเบื้องซีดจัด นัยน์ตาปรากฏแววพรั่นพรึง
“แต่มาดาม” ออกัสรีบคัดค้าน “มาดามจะออกไปข้างนอกไม่ได้ สภาพร่างกายของมาดามไม่สมควรออกไปข้างนอก ยิ่งในเขตวิหารอาบูซิมเบล เวทมนตร์ของชายาเอกจะยิ่งกล้าแข็ง ทำร้ายมาดามได้”
“แล้วยังไง” เสียงของมาดามสาวแข็งกร้าวเห็นได้ชัด แม้ออกัสจะสะดุ้ง หากก็ยังกัดฟันทัดทานต่อ
“เพราะเหตุนี้ เราถึงต้องอาศัยพวกนักโบราณคดีกับเกียน มาดามลืมไปแล้วหรือครับ”
มาดามสาวชำเลืองมองออกัส หล่อนเห็นส่วนหนึ่งในแววตาคือหวาดกลัว เด่นชัดเสียจนไม่จำเป็นต้องอ่านด้วยอำนาจพิเศษใดๆ หากอีกส่วน...กลับทำให้หล่อนอ่อนไหวไปวูบหนึ่ง
ทว่าคำสั่งของมาดามซิต เซติ...ไม่ได้มีไว้ให้ใครขัด
“คำสั่งของข้าคือที่สุด” เสียงหวานลึกล้ำกังวานดัง จนหนุ่มรุ่นรีบหมอบลงแทบเท้า “และเจ้าเองก็ไม่มีหน้าที่มาขัดคำสั่ง อย่าหลงลืมเสียว่าเจ้ามีชีวิตรอดมาจนทุกวันนี้เพราะใคร หากไม่ใช่เพราะข้า...เจ้าคงตายพร้อมนางราชินีปโตเลมีกับนายพลแอนโทนีอุส พี่ชายของเจ้าไปนานแล้ว”
เสียงสุดท้ายตวัดสูง เสียดแทงโสตประสาท กังวานก้องในห้องสักการะ และราวเทวรูปเองก็เห็นพ้อง มีเสียงหัวเราะสอดประสาน สะท้อนออกมาจากหน้าเทวรูปไม่ขาดสาย ออกัสรีบส่ายหัว ตัวสั่นเทิ้ม พร่ำพูดจนลิ้นแทบพันกัน
“ไม่เคยลืม...กะ...กระหม่อม...ไม่เคยลืม”
มาดามเซติหรี่ตามองเอาเรื่อง หากอึดใจจึงเลิกแยแส หันไปสบเนตรเทวรูป หล่อนกระตุกยิ้มมุมปากอย่างพอใจ และคล้ายเทวรูปก็ตอบรับ นัยน์ตาสีทับทิมแดงฉานเรืองรองแวววับน่าหวาดกลัว
“ด้วยอำนาจแห่งพระบิดา” มาดามสาวกล่าวเป็นภาษาอียิปต์โบราณ ทุกอักขระถ้อยคำชัดเจน “พระองค์จะทรงมอบชัยชนะแก่ข้าและบริวาร ให้ข้ามีอำนาจเหนือเหล่าศัตรูและผู้ที่เป็นปรปักษ์ จัดการผู้ที่กล้ากำแหงต่ออำนาจของพระองค์ ข้าจะฉีกร่างของมันออกเป็นชิ้นๆ สังเวยพระองค์ แล้วส่งให้เหล่าบริวารของได้ลิ้มรสวิญญาณอันแสนเจ็บปวดทรมานของมัน”
สิ้นเสียงของมาดามเซติ เสียงหัวเราะทุ้มต่ำก็ดังออกมาจากเทวรูปอีกครั้ง เสียงนั้นสะท้อนสอดประสาน กังวานกระทบผนังหิน ในความสลัวมัวมน ท่ามกลางหมอกกำยานและควันเครื่องหอมซึ่งม้วนตัวตลบ ฟังราวกับเสียงนั้นคือเสียงแห่งความพึงพอใจของพญามัจจุราช
++++++++++++
นาถลดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 มิ.ย. 2555, 09:39:18 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 มิ.ย. 2555, 09:39:18 น.
จำนวนการเข้าชม : 1447
<< คาร์นัก (๒) | ไนล์ (๑) >> |
april 29 มิ.ย. 2555, 17:50:25 น.
ดีใจด้วยค่ะ
ดีใจด้วยค่ะ
นาถลดา 29 มิ.ย. 2555, 21:32:16 น.
ขอบคุณครับ ^^
ขอบคุณครับ ^^