ทรัพย์สิดี ชื่อนี้ที่ผมรัก (รีไรท์)
เป็นเรื่องเก่าที่เคยลงที่นี่แล้ว เมื่อ 3-4 ปีก่อนได้มั้งคะ ตอนนี้เราเอามารีไรท์ใหม่ เพราะต้องการส่งสำนักพิมพ์แบบจริงจัง เพราะตอนนี้เรียนจบแล้ว มีเวลาแล้ว ถ้าคนที่เคยอ่านแล้ว เราก็ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ลงซ้ำซาก แต่ถ้าช่วยอ่านตอนรีไรท์ใหม่อีกครั้ง และลงคำติชมไว้ เพื่อแก้ไข้ก่อนส่งสำนักพิมพ์ เราก็ยินดีและขอบคุณมากเลยค่ะ สำหรับใครที่ไม่เคยอ่าน ก็รบกวนลงคำติชมไว้เพื่อการปรับปรุงได้นะคะ ขอบคุณมากๆเลยค่ะ

เรื่องย่อ...

พนักงานสาวออฟฟิศที่กำลังจะไปสัมภาษณ์งานใหม่ ปรากฏว่าชนชายคนหนึ่ง ล้มลงที่สถานีรถไฟฟ้า หล่อนโวยวายและทุบตีเขา แต่ที่ไหนได้ ปรากฏว่าเขานั่นแหละคือประธานบริษัทที่หล่อนจะไปสมัครงาน!!!
Tags: Romantic comedy

ตอน: อารมณ์พาไป?



ฉันตื่นเช้าขึ้นมาอย่างสดใส ก่อนจะล้างหน้าแปรงฟันและออกไปทานอาหารเช้ากับคุณนรินทร์ซึ่งตอนนี้หายปั้นปึ่งกับฉันแล้ว
ก็เมื่อคืนฉันขอผ้าห่มอีกผืนจากดำน่ะสิ
ฉันช่วยจุ๋มแฟนของดำเตรียมอาหารสักพักก่อนเราทั้งหมดจะนั่งล้อมวงกันตอน 7 โมงกว่าๆ
“วันนี้คุณจะไปเที่ยวไหนบ้างครับ” ดำถามขึ้น
“ยังหรอกดำ ฉันคงต้องไปจัดการกับโรงแรมนั่นก่อน”
แล้วเขาก็หันมาพูดกับฉันที่กำลังช่วยจุ๋มป้อนข้าวหนูจุกคนเล็ก
“ผมว่าคุณอยู่ที่นี่ดีกว่านะ”
นั่นสินะ ถ้าไปที่นั่นฉันก็คงเกะกะเปล่าๆ แต่อยู่ที่นี่ก็ไม่มีอะไรทำเหมือนกัน
“แหมคุณนรินทร์ใจร้ายจังนะครับมาเที่ยวภูเก็ตกันทั้งที ดันทิ้งแฟนไปทำงานเสียได้” ดำแกล้งแหย่
หึ…เขาจะมาสนอะไรฉันเล่า
“….เอ่อ…” เขาอึกอักก่อนจะหันมาขอความช่วยเหลือจากฉัน
ไม่ต้องเลยย่ะ ฉันไม่ช่วยคุณหรอก อย่าบอกนะว่าตลอดห้าวันคุณจะให้ฉันจมแหง็กอยู่ที่โฮมสเตย์ ใจร้ายที่สุด
“คุณไปทำงานเถอะค่ะ เดี๋ยวฉันเล่นน้ำที่หาดแถวนี้เอง”
คุณนรินทร์ทำหน้าลำบากใจ “รอผมทำงานเสร็จก่อนแล้วเราค่อยไปเที่ยวกัน”
ช่างเถอะ ฉันไม่ได้หวังว่าจะต้องได้ไปไหนต่อไหนกับเขาสองคนหรอก แค่ได้อยู่ใกล้ๆแล้วไม่ต้องทะเลาะใส่กัน ก็พอแล้ว ฉันยิ้มจางๆ ไม่รู้สิ บางทีฉันก็เหงาเหมือนกัน
“ค่ะฉันจะรอ”
เราทานอาหารเช้ากันสักพัก คุณปริญญาก็มารับคุณนรินทร์ ส่วนฉันก็ถูกทิ้งให้อยู่กับจุ๋มและลูกๆของเธออีกสองคน เพราะดำก็มีธุระเรื่องขายส่งปลาในตัวจังหวัด
ฉันได้คุยกับจุ๋มไปเรื่อยๆถึงชีวิตของเธอ จุ๋มบอกว่าเธอเป็นลูกสาวชาวประมงแถวนี้ ได้เรียนแค่ ป. 6 ก็ต้องออกมาช่วยแม่ทำงานรับจ้างเล็กๆน้อยๆ เนื่องจากพ่อเสีย ส่วนดำก็เป็นลูกหัวหน้าชาวประมงแถวนี้เช่นกัน แต่ฐานะดีกว่า และได้ร่ำเรียนจนจบ ม.6 จากนั้นดำก็ไปทำงานที่กรุงเทพฯเสียหลายปี กลับมามีเงินเป็นกอบเป็นกำ และได้มาพบรักกับเธอที่งานวัด ทั้งๆที่เมื่อก่อนเป็นเพื่อนเล่นกันตั้งแต่เด็ก
“ชีวิตฉันดีขึ้นเพราะพี่ดำนี่แหละค่ะ พี่ดำถือเป็นหนุ่มในฝันของสาวๆลูกหลานชาวประมงแถวนี้เลยนะคะ”
ฉันนึกถึงภาพหนุ่มร่างสูงแข็งแรง ตัวดำเมี่ยม ฟันขาวจัด หนวดครึ้ม และดวงตากึ่งดุกึ่งใจดี แต่รอยยิ้มเวลาหัวเราะกับคุณนรินทร์ก็น่าจะมัดใจสาวๆได้อยู่หรอก

ดำรักครอบครัวมากเลยนะ ฉันเห็นเขาอาบน้ำให้ลูก เล่นกับลูก และช่วยจุ๋มทำงานบ้าน….อืม…จุ๋มนี่โชคดีจริงๆด้วย

“จุ๋มนี่โชคดีจังนะคะ”

จุ๋มยิ้มกว้าง ใบหน้ามีสีชมพูระเรื่อ ขณะทาแป้งให้ลูก “คุณสิดีก็โชคดีเหมือนกันนี่คะ เห็นพี่ดำบอกว่าคุณนรินทร์เป็นคนดีมาก ที่พี่ดำมีเงินกลับมาเป็นกอบเป็นกำ ก็เพราะบริษัทคุณนรินทร์ให้ค่าตอบแทนดีมากนั่นล่ะค่ะ อ้อ….เห็นพี่ดำบอกว่า ปกติคุณนรินทร์ไม่ค่อยมองผู้หญิงคนไหน แต่พนักงานสาวๆนี่ชอบเขาเยอะแยะ แต่คุณนรินทร์ก็รักคุณ….”

ฉันกลืนน้ำลายแทบไม่ลง ใช่ค่ะจุ๋ม! คุณนรินทร์เขารักฉันมาก มากปานจะทะเลาะกันให้ตายไปข้างหนึ่งบ่อยๆ แถมที่เราแต่งงานกันเนี่ย เพราะความรักล้วนๆ เลยนะคะ ไม่มีเรื่องขายบริษัท หรือเรื่องเงินสู้คดีของแม่ฉันเลยค่า
ฉันเลยได้แต่ยิ้มแห้งๆ

“ก็รีบมีเจ้าตัวน้อยเร็วๆสิคะ จะได้มีความสุขมากขึ้นอีก”

“…เอ่อ…ค่ะ…ว่าแต่แถวนี้มีชายหาดส่วนไหนที่ลงไปเล่นได้บ้างคะ” ฉันรีบเปลี่ยนเรื่องโดยเร็ว มีคนบอกว่าปลั๊กตัวผู้จะเข้าได้กับปลั๊กตัวเมียเท่านั้น แต่ฉันว่าไม่จริงหรอก ถ้าเกิดปลั๊กตัวผู้มีสามขา แต่ปลั๊กตัวเมียมีสองรู ยังไงก็เสียบกันไม่ได้….เอ่อฉันหมายถึง สปาร์กไม่ได้ ถ้าเราไม่ได้รักกันน่ะ

จุ๋มคิดนิดหนึ่ง “ ต้องเดินไปไกลค่ะ เพราะแถวนี้เป็นที่จอดเรือประมง ลงไปเล่นไม่ได้ เอาไว้แดดร่มแล้วเราพาเด็กๆไปกันดีไหมคะคุณ”

ฉันเห็นด้วยเพราะเมื่อมองออกไปนอกบ้านตอนนี้ก็เห็นเพลิงแดดร้อนจ้ากำลังแผดเผาผืนทะเล และเมื่อไม่มีอะไรทำแล้ว เพราะตอนนี้จุ๋มให้ลูกคนเล็กนอนดูดนมในเปลส่วนหนูจิ้มคนโตก็นอนดูทีวี ฉันจึงขอปลีกตัวไปอ่านหนังสือของแม่ที่ชานระเบียงริมทะเลหลังบ้าน…อบอ้าวนิดหน่อยจากลมร้อน แต่บรรยากาศช่างสงบสุขและสบายใจเสียจริง

ฉันเปิดหนังสือปกมันวับสีฟ้าที่มีตัวหนังสือแผ่หราบนปกว่า ‘เรื่องที่คุณไม่เคยรู้’ ออกอ่าน ตื่นเต้นนิดหน่อยที่จะได้อ่านงานเขียนที่ยิ่งใหญ่ของแม่ตัวเองตามที่คุณปริญญาว่า แล้วสายตาของฉันก็ไล่อ่านตามตัวอักษรไปที่บทแรก
แล้วเราก็พบกัน….
ชื่อน้ำเน่าจริงแฮะ แม่เขียนนิยายรักเหรอ

‘……..ฉันได้พบกับเขาครั้งแรกที่มหาวิทยาลัย….”
หวา…ไม่เอาอะ เรื่องพบรักระหว่างพ่อกับแม่ ฉันฟังมามากพอแล้ว มันยาวพอๆกับมหากาพย์เรื่องหนึ่งเลยนะ แต่แน่ละคงอ่านง่ายกว่าพวกอีเลียด โอดิสซี

นี่คงเป็นหนังสือเกี่ยวกับความรักของแม่สินะ

“…..เขาไม่เคยรู้หรอกว่าฉันรู้สึกกับเขามากกว่ารุ่นพี่รุ่นน้องมานานแล้ว…..อาจจะเหมือนกับพวกคุณหลายคนที่ยังคงปกปิดความรู้สึกของตัวเองอยู่….”

เห…เหมือนฉันเลยแฮะ อ้าวแต่แม่เคยบอกฉันว่าพ่อเข้ามาจีบแม่ก่อนไม่ใช่เหรอ

แล้วฉันก็พลิกหน้าต่อๆไปอ่านแบบข้ามๆ

“…..ความรักของคนเรานั้นช่างไม่มีเหตุผลสิ้นดี คุณเคยคิดไหมว่าคนที่คุณแอบรักนั้นจริงๆก็มีข้อเสียตั้งมากมาย ที่สำคัญเขาอาจจะไม่เคยเห็นคุณอยู่ในสายตาเลยสักครั้งเดียว….แต่คุณก็ยังคงรักเขาต่อไป…เหมือนฉันนั่นเอง…”

อะไรนี่ๆๆๆ พ่อเคยไม่มีแม่ในสายตาด้วยเหรอ ตอนที่ทั้งสองคนเล่าให้ฉันฟังไม่ได้เป็นอย่างนี้เลยนี่นา ออกจะหวานชื่นแบบปริศนากับท่านชายพจน์ด้วยซ้ำ

คราวนี้ฉันเปิดไปตอนกลางเรื่อง เผื่อจะเข้าถึงเนื้อหาได้รวดเร็วขึ้น

“….น้องชายของเขามักจะมีปฏิกิริยาแปลกๆกับฉันเสมอ…แต่ฉันไม่ได้ใส่ใจอะไรไปมากกว่าการที่คนรักเก่าของเขากลับมาทวงสิทธิ์ความรักคืนนั่นเอง…”

เหวยๆ พ่อฉันเป็นลูกกำพร้าไม่ใช่เหรอ พ่อบอกว่าครอบครัวของพ่อเสียกันไปหมดเพราะ…เพราะอะไรก็จำไม่ได้แฮะ

นี่แม่กำลังเขียนอะไรของแม่เนี่ย!!!!! เอ่อ แต่ทำไมฉันรู้สึกเหมือนเข้าตัวเองเลยล่ะ

“สิดี คุณทำอะไรอยู่น่ะ”
ฉันละสายตาจากหนังสือเงยหน้าขึ้นไปมอง ก็พบคุณนรินทร์จ้องอยู่ด้วยนัยน์ตาคมเข้มคู่เดิม
ฉันปิดหนังสือทันที พร้อมๆกับที่เขานั่งลงข้างๆ
“อ้าวคุณไม่ไปถ่ายรูปโรงแรมสิทราเหรอคะ”
“วันนี้ดันมีคนมาคุมเต็มเลยน่ะสิ ทั้งวิศวกร ทั้งผู้บริหารฝ่ายต่างๆ แต่ไม่ยักเห็นจิทัศน์ คุณอ่านอะไรอยู่น่ะ อย่าบอกนะว่าขโมยวิหารที่ว่างเปล่าของผมมาอ่าน”

ฮึ! ฉันไม่เหมือนคุณนี่คะที่ขโมยชินจังของฉันไปอ่าน
“หนังสือของแม่น่ะค่ะ” แล้วเขาก็ฉวยจากมือไปพิจารณา
“สงสัยผมต้องลองอ่านบ้างแล้วล่ะ”
เขาอ่านคำนำอยู่สักพักก่อนจะหันมาพูดอย่างกระตือรือร้น

“เออนี่ ไหนๆผมก็ไม่มีอะไรทำแล้ว เราไปเที่ยวกันดีไหม”
นึกใจดีอะไรขึ้นมาอีกล่ะพ่อคุณ
“แล้วแต่คุณสิคะ”
แล้วเขาก็ลุกขึ้น

“ดีเลยๆ ไปเปลี่ยนชุดที่ทะมัดทะแมงหน่อยเร็ว ผมจะพาคุณไปหาดป่าตอง”
หาดป่าตอง!!!!! ฉันทำหน้าหวาดเสียวทันที นี่เขาไม่รักฉันเลยจริงๆสินะ
“คุณนรินทร์คะ!!!! หาดป่าตองที่โดนสึนามิถล่มคนตายเป็นพันเป็นหมื่นนั่นเหรอ เอาเถอะค่ะ ถึงคุณจะไม่ค่อยพอใจที่ฉันเคยแย่งผ้าห่มเท่าไร แต่ไม่เห็นต้อง…”
เขามองฉันอย่างเอือมระอาแล้วรีบตัดบททั้งๆที่ฉันยังพูดไม่จบเลย
“ไปเปลี่ยนชุดไป๊ ผมจะไปรอหน้าบ้าน”
ฉันเลยต้องจำใจจากผ้าถุงโปร่งโล่งสบายของจุ๋มมาเป็นกางเกงสามส่วนและเสื้อยืดลายเช เกวาร่า สุดทะมัดทะแมงแทน
ฉันเดินทำหน้าไม่พอใจออกไปหาเขา ก่อนจะโบกมือบ๋ายบายจุ๋มและหนูจิ้ม สูกสาวคนโต
คุณนรินทร์มองฉันหัวจรดเท้าแล้วยิ้มเยาะ
“ใส่เสื้อตัวนี้ เดี๋ยวคนก็หาว่าคุณเป็นพวกหัวรุนแรงหรอก”
“หึ ก็คงไม่เท่าคุณที่จะพาฉันไปที่ๆเคยเกิดสึนามิหรอกค่า”
คุณนรินทร์หัวเราะก๊าก ขำอะไรนักหนา ทีบางเรื่องตลกก็เห็นไร้อารมณ์ กับเรื่องไร้สาระแบบนี้ทำมา...
“นี่สิดี ตอนนี้เขาปรับปรุงจนหาดป่าตองสวยงามเหมือนเดิมแล้วนะ แถมยังมี จังซีลอน อีก คุณรู้จักหรือเปล่า เอ…สงสัยผมคงให้คุณทำงานมากไปจนลืมติดตามข่าวสารแน่ๆ”
จังซีลอน…อ๋อ….
“ทำไมฉันจะไม่รู้จักคะ กะอีแค่ ชาซีลอน คุณหาซื้อตามเซเว่นก็ได้ ไม่เห็นต้องดั้นด้นไปถึงหาดป่าตองนั่นเลย”
อ้าว…แล้วนั่นเขาขำอะไรอีกล่ะ
“เอาเถอะๆ ไปถึงคุณก็จะรู้เอง”
เนื่องจากคุณปริญญาต้องทำธุระต่อ และดำก็มีรถกระบะเก่าๆคันเดียวซึ่งได้ขับเข้าไปในเมืองแล้ว ฉันกับคุณนรินทร์จึงขึ้นสองแถวไปลงหาดป่าตองซึ่งไม่ห่างจากบ้านของดำมากนัก
เมื่อถึงที่หาดซึ่งขอยอมรับว่าผิดคาดกว่าที่ฉันคิดจริงๆ หาดป่าตองไม่ได้เสื่อมโทรมเพราะสึนามิถล่มอย่างที่ฉันคิดแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามชายหาดขาวสะอาด น้ำทะเลเป็นสีฟ้าใส มีเรือสปีดโบ๊ทจอดให้เช่า เตียงผ้าใบพร้อมร่มบริการ และมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินกันขวักไขว่ไปหมด อีกทั้งเสียงคลื่นที่เคล้าเสียงเสียดสีของใบมะพร้าว กับล้มร้อนจากไอทะเล ทำเอาฉันรู้สึกขอบคุณคุณนรินทร์จากใจ
“ไงล่ะ สวยกว่าที่คุณคิดไหม”
เขาถามยิ้มๆ คงเห็นว่าฉันกำลังหลับตาพริ้มรับลมทะเลอย่างพอใจเป็นแน่
“เอ่อ…ไม่นี่คะ” ฉันตอบอย่างไว้ที นึกขึ้นมาได้ว่าไม่อยากเสียหน้า
คุณนรินทร์หัวเราะเบาๆอย่างรู้ทัน ก่อนจะแตะข้อศอกฉันให้เดินไปใกล้ทะเลมากขึ้น
“ผมไม่ได้ใช้ชีวิตสงบเงียบมากี่ปีแล้วนี่”
อืม…คนระดับประธานบริษัทใหญ่ แถมมีพ่อแม่ที่คอยฝากอนาคตไว้ พ่วงด้วยน้องชายซึ่งหลงศิลปะงอมแงม บวกกับมีเลขาจอมปัญหาอย่างฉัน คงพูดได้ยากว่าวันที่สงบสุขของเขาจริงๆแล้วมีกี่วันกันแน่
นี่ถ้าฉันไม่หมดอารมณ์ในปฏิบัติการรักเพราะเขาเสียก่อน ฉันคงใจกล้าหน้าด้านจูงมือเขาวิ่งกระโดดตูมลงทะเลกันแล้วก็เป็นได้
แต่แล้วมือว่างเปล่าข้างขวาของฉันก็พลันได้เกาะกุมอีกมือที่ใหญ่และแข็งแรงกว่า….ความรู้สึกอุ่นวาบวิ่งพล่านตั้งแต่ปลายนิ้วก่อนจะแล่นไปทั่วร่างกาย
นี่คุณนรินทร์จับมือฉันเหรอ….
ว้าย! อีตาบ้า แต๊ะอั๋งฉันเหรอเนี่ย แต่ฉันจะไม่ทำตัวปัญญาอ่อนหวงเนื้อหวงตัวมากไปอีกแล้ว ในเมื่อฉันรู้ใจตัวเองว่ารักเขาแค่ไหน และไม่รู้ว่าความรักนี้จะทำให้ฉันเจ็บปวดหรือเปล่า แต่ฉันไม่ยอมทิ้งโอกาสที่จะได้อยู่ใกล้ชิดคนที่ฉันรักอีกต่อไป
ฉันเหลือบมองเขาด้วยความเขินอาย แต่คุณนรินทร์เสมองทางอื่นก่อนจะกุมมือฉันกระชับมากขึ้น
“ไปแถวนั้นกันเถอะ”
ความรักมันเป็นอย่างนี้นี่เอง ทั้งๆที่นักท่องเที่ยวเต็มหาดไปหมด เสียงคลื่นก็ดังซัดสาด แต่ฉันกลับไม่เห็นไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น รู้สึกได้แค่เพียงสัมผัสระหว่างมือของเราสองคนและฉันไม่เห็นใครทั้งนั้นที่หาดป่าตองนี้…นอกจากเราสองคน

นี่ถ้าสึนามิจะมาถล่มอีกครั้ง ฉันก็ยอม ถ้าเขายังคงเกาะกุมมือฉันตลอดไป
“คุณอยากเล่นน้ำทะเลไหม” เขาหันมากระซิบเบาๆ
“ก็อยากนะคะ แต่ไม่ได้เอาชุดมาเปลี่ยนนี่สิ”
“ไม่เห็นยาก มีเสื้อผ้าขายแถวนี้ เราค่อยไปซื้อใหม่ก็ได้”
แหมๆ ทำมาหน้าใหญ่ใจโต
แล้วเราสองคนก็เดินเล่นชมหาดไปเรื่อยๆ นี่เป็นครั้งแรกหรือเปล่าที่เราอยู่กันสองคนโดยไร้ศึกสงครามอย่างนี้
“ดูนั่นสิ” คุณนรินทร์ชี้ให้ฉันดูบางอย่าง ตอนแรกฉันคิดว่า คงแบบ ชี้นกชมไม้ แต่ที่ไหนได้กลับเป็นเด็กคนหนึ่งใส่หมวกฟางเก่าๆ เสื้อผ้าปอนๆ ก้มหน้าก้มตาทำอะไรอยู่ไม่รู้ แต่ที่สำคัญคือ มีแก้ววางอยู่ข้างๆ ฉันเลยเข้าใจ
คุณนรินทร์นี่มีเมตตาดีนะ
ฉันเดินเข้าไปใกล้เด็กคนนั้น พลางควักเหรียญออกจากกระเป๋า เมื่อเดินไปถึงตัวเด็ก ฉันก็หยอดเหรียญใส่แก้วพลาสติกดัง แกร๊ง! นี่ฉันเป็นรายแรกเหรอที่บริจาคให้เงินเด็กขอทานน่ะ
“สิดีคุณทำอะ…”
“นี่พี่ทำอะไรเนี่ย!!!!!!!” เด็กขอทานผู้น่าสงสารเงยหน้าขึ้นมองฉันแล้วมองเหรียญในแก้วด้วยความงงงวย
เขาคงไม่เคยได้รับเงินจากใครสินะ
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกจ้ะ รับเงินไปเถอะ”
“นี่มันแก้วใส่ปูลมของผมนะ!!!!!” เด็กนั่นร้องโวยวายใหญ่ ก่อนจะคว่ำแก้วเอาเหรียญออก แล้วฉันก็เห็นปูลมเดินขวักไขว่วิ่งเข้ารูของตัวเองไป
เด็กนั่นมองปูลมด้วยความเสียดายก่อนจะหันมาทำหน้าโกรธใส่ฉัน
“พี่บ้า!!!! จะฟ้องแม่ ฮือออออออออออออออ” แล้วก็วิ่งตูดเปิดไปหาแม่ที่ไหนไม่รู้
อ้าว….อะไรเนี่ย…แล้วใครจะไปรู้เล่าว่าเด็กกำลังเก็บปูลม!!!!!!! อีตาคุณนรินทร์เอ๊ย!!!!
ฉันกำลังหน้าแตกเป็นเสี่ยงๆ ขณะที่คนแถวนั้นมองฉันเหมือนเป็นยายแม่มด แต่อีตานรินทร์ กลับหัวเราะกิ๊กๆ อยู่ข้างหลัง
“ผมแค่จะชี้ให้ดูปูลมเท่านั้น” แล้วเขาก็พาฉันออกไปจากตรงนั้น ทั้งๆที่ยังหัวเราะงอหาย
“แล้วจะรู้ไหมล่ะ!!!! ยังไม่เห็นปูลมสักตัว ฉันก็นึกว่าคุณชี้ให้ดูเด็กขอทาน” ฉันโวยวาย
โอ๊ย!!!! ขายขี้หน้าชะมัด นี่ไงล่ะที่เขาบอกว่า คนดีไม่มีที่อยู่นอกจากรูปูลม “ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ คุณนี่สุดยอดไปเลย เอาน่าๆ อย่าอารมณ์เสีย ไปเล่นน้ำกันดีกว่านะ”
หึย! ใช่ซี่ ตัวเองไม่ได้หน้าแตกนี่นา
อ้อ! ฉันรู้ละว่าต้องทำยังไง
“คุณนรินทร์คะ อย่าพึ่งเล่นน้ำเลยค่ะ ไปนอนกลบทรายกันดีกว่านะคะ ฉันอ่านมาว่า ความร้อนของทรายทำให้เลือดลมไหลเวียนดีขึ้นค่ะ ลองดูไหมคะ”
เขาทำท่าสนใจ
“เอาสิ”
ฉันเลยหาบริเวณที่ปลอดคนจับจอง แล้วให้เขานอนราบกับพื้น จากนั้นฉันก็ค่อยๆถมทรายลงบนตัวเขาทีละน้อย ทีละน้อย ทีละน้อย….
“สิดี มัน….มันต้องถมทรายลงบนตัวขนาดนี้เลยเหรอ” คุณนรินทร์เริ่มต่อต้าน เมื่อฉันดันมือหนักปัดเม็ดทรายเข้าปากเขา
“แหม ก็ให้เลือดไหลดียังไงล่ะคะ นอนนิ่งๆสิ คุณหลับตานอนเลยก็ได้ ค่อยๆ ผ่อนคลาย ปล่อยความกังวลของทุกอย่างไปสิคะ”
คงเพราะเสียงอ่อนโยนจอมปลอมของฉัน เขาจึงค่อยๆหลับตาลงในที่สุด
ฉันถมทรายบนตัวคุณนรินทร์อีกสักพักก็เสร็จ คุณนรินทร์คงหลับไปจริงๆ เพราะปากเขาเริ่มอ้านิดๆอีกแล้ว
นักท่องเที่ยวแถวนั้นขำมนุษย์ทรายอย่างคุณนรินทร์ยกใหญ่ ลองนึกภาพชายหนุ่มหน้าตาดีนอนอ้าปากหวอ มีทรายถมตัวเป็นรูปร่างใหญ่เหมือนยักษ์ ที่สำคัญตอนนี้ ฉันกำลังทำภูเขาสูงๆ สองลูก บนหน้าอกเขาด้วยละ
ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ขำชะมัดยาด
“อือ….เสร็จยางงงง” อยู่ๆ เขาก็ถามเสียงสลึมสลือ
คงเพราะฉันหัวเราะดังเกินไปแน่ๆ เขาเลยตื่น
“ยะ….ยังค่ะ หลับต่อสิคะ”
“แม่ฮะ คนอะไรนมใหญ๊ใหญ่” เอ้ย! เด็กจับปูลมคนเมื่อกี้นี่นา เดินจูงมือมากับแม่ พร้อมชี้ชวนให้ดูความมหัศจรรย์บนหน้าอกของคุณนรินทร์
ซวยแล้วสิ คุณนรินทร์ตื่นแล้วมองเด็กคนนั้นงงๆ มองหน่มน้มตัวเองด้วยความตกใจ ก่อนจะมองฉันด้วยความโกรธ ที่สำคัญเด็กนั่นกำลังจ้องฉันอยู่เต็มๆ
“นี่คุณ!!!!”
“แม่ฮะพี่คนนี้ไง!!!!!”
หวาย!!!!! เสียงประณามฉันทั้งเด็กนั่นและคุณนรินทร์ดังพร้อมกัน
สัญชาตญาณการเอาตัวรอดพลุ้งพล่าน ฉันลุกขึ้นจากกองทราย วิ่งสุดกู่หนีสองคนนั่นไปลงทะเล ตูม!
ฉันกึ่งว่ายกึ่งเดิน พอหันไปมองก็เห็นแต่คุณนรินทร์ทำหน้าเคียดแค้น ตั้งแต่หัวจรดเท้าเต็มไปด้วยทราย ส่วนน้องปูลมนั้นอายุห้าขวบกว่าๆได้ คุณแม่เขาเลยรั้งตัวเอาไว้ แต่ฉันก็เห็นว่าไอ้หนูนั่นแค้นฉันขนาดไหนเพราะแกดิ้นพล่านจะหนีออกจากเงื้อมมือแม่มาให้ได้
แต่ขอทีเถอะ แค่คุนรินทร์ก็น่ากลัวจะแย่
“แย้ก!!!! แมงกะพรุนไฟ!!!!” ฉันตะโกนด้วยความตกใจ
นี่ฉันหนีเสือปะจระเข้หรือไง เออ…ไม่ใช่สิ หนีมนุษย์ทรายหน่มน้มใหญ่ปะแมงกะพรุนไฟต่างหาก
ช่วยไม่ได้ฉันคงต้องวิ่งย้อนเส้นทาง
ปึ้ก! แล้วฉันก็ถูกใครบางคนกอดเอาไว้
“เฮ้ย! คุณนรินทร์ ปล่อยนะ ฉันขอโทษค่ะ แค่แกล้งเล่นๆเอ๊ง!”
แต่เขากลับหัวเราะ ก่อนจะขยับอ้อมแขนให้ถนัดขึ้น
“คุณนี่…..จริงๆเลยนะ” เขากระซิบเบาๆข้างหู ทำเอาฉันร้อนวาบไปทั้งตัว
แล้วเขาก็ลูบไล้ผมฉัน ก่อนจะเอาหน้าซบบ่าฉันเนิ่นนาน
นี่เขากำลังทำอะไรกัน….ส่วนฉันทั้งรู้สึกดีและทำอะไรไม่ถูก จึงยืนตัวแข็งทื่ออยู่อย่างนั้น
“…คือผม…”
คุณนรินทร์ค่อยๆเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่ว
แต่แล้วฉันกลับเห็นคนคนหนึ่ง สาวแว่นดำที่รู้สึกคุ้นๆในร้านอาหารที่คุณปริญญาพาไปนั่นเอง เธอกำลังจ้องมองเราสองคนอยู่
“คุณนรินทร์คะ นั่นใครกัน”
แต่เขาก็ยังไม่ยอมขยับตัวไปไหน
“อืม…อยู่อย่างนี้สักพักได้ไหม”
…….ทำไมเขาพูดอะไรแปลกๆอย่างนี้ล่ะ ทำเอาฉันรู้สึกหวั่นไหวพิกล
แล้วเขาก็พูดพึมพำอะไรสักอย่าง
“แต่เธอจ้องเราสองคนนานแล้วนะคะ”
เขาทำเสียงไม่พอใจ ก่อนจะปล่อยตัวฉันแล้วหันไปมอง
แต่เธอคนนั้นกลับหายไป
“อ้าวหายไปแล้ว แล้วเมื่อกี้คุณพูดอะไรนะคะ”
“นี่คุณไม่ได้ฟังเลยเหรอ” เขาหงุดหงิด
“ผมไม่พูดแล้ว” จากนั้นก็วักน้ำทะเลสาดฉัน
“นี่คุณ!” น้ำทะเลเค็มปิ๊ดปี๋เลย ฉันไม่ยอมหรอกน่า แล้วสงครามสาดน้ำย่อมๆแบบในหนังรักโรแมนติกระหว่างนางเอกกับพระเอก ก็เริ่มต้นขึ้น
ฉันรู้สึกมีความสุขจริงๆ….หรือว่าคุณนรินทร์อาจจะรักฉันบ้างล่ะมั้ง
เราปัญญาอ่อนกันอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเปียกโชกอย่างเค็มๆเดินไปร้านขายเสื้อผ้าแถวๆนั้น
เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าจนตัวแห้ง เขาก็พาฉันไปทานอาหารเย็นที่ร้านอาหารทะเล
ช่วงเวลาอาหารมื้อเย็นของเราเป็นไปด้วยบรรยากาศที่ฉันไม่คุ้นเคยนัก คุณนรินทร์เอาใจใส่และดูแลฉันมากขึ้น ทั้งเรื่องเติมน้ำ ตักอาหาร ที่สำคัญเขาไม่ค่อยพูดกวนๆอีกแล้ว แต่ออกแนวเข้าอกเข้าใจฉันเสียด้วยซ้ำ
“คุณรู้ไหม เมื่อก่อนผมขรึมและขี้หงุดหงิดกว่านี้”
“แหม รู้สิคะ ขนาดตอนนี้คุณก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่…อืม…ความจริงคุณก็ขี้เล่นขึ้นนะ”
เขายิ้มอย่างอ่อนโยน เป็นยิ้มที่หาดูได้ยากยิ่ง และฉันว่าไม่แปลกเลยถ้าสาวๆทั้งบริษัทจะตกหลุมรักเขา
“ผมหัวเราะมากขึ้นด้วย คุณรู้หรือเปล่า”
แทนที่จะตอบ ฉันกลับเขิน นั่นเพราะแววตาของเขาที่สบตาฉันมันเปลี่ยนไป
“คุณยังคิดถึงเรื่องขึ้นคานอยู่หรือเปล่า” จู่ๆเขาก็ถามแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
เขาจะรู้ไปทำไมนะ แล้วฉันจะตอบอย่างไรดีล่ะ
“….ที่ฉันอยากขึ้นคาน เพราะฉันไม่อยากเสียใจเหมือนตอนที่เสียพ่อ และฉันไม่อยากเสียใจเหมือนแม่กับหนูเล็กเพราะความรัก”
ฉันตอบเลี่ยงๆ
“ผมรู้ คุณเคยบอกแล้ว” น้ำเสียงเขาดูเข้าอกเข้าใจ
“แต่ถ้าความรักที่คุณจะได้ไม่มีทางทำให้คุณผิดหวังล่ะ”
ฉันมองเขาด้วยความสงสัย แล้วเขาก็ยิ้ม
“แล้วคุณล่ะคะ อยากขึ้นคานเหมือนเดิมไหม” ฉันถามกลับ…พร้อมกลั้นใจฟังคำตอบ
บรรยากาศและความรู้สึกอีกทั้งท่าทีแปลกๆของเขาอย่างนี้ไม่แน่ว่าอาจจะ….
เขาสบตาฉันแน่วแน่ “คือผม……”
“น้ำแข็งหมดแล้วใช่ไหมครับ นี่ครับถังใหม่ เติมน้ำด้วยไหมฮะ”
พนักงานเสิร์ฟวัยรุ่น เดินถือถังน้ำแข็งดังก๊องแก๊ง ก่อนจะมาวางตุ้บบนโต๊ะทำลายบรรยากาศของเรา
หมดกัน…ฉันเลยไม่รู้เลยว่าเขาจะตอบอะไร


หลังจากนั้นเราก็กลับมาที่บ้านของดำเช่นเดิม หนูจิ้มและหนูจุกหลับกันหมดแล้ว ส่วนดำกับจุ๋มก็เตรียมตัวจะนอนเช่นกัน ฉันกับคุณนรินทร์จึงแยกย้ายกันไปอาบน้ำหลังจากเหนื่อยมาทั้งวัน
“เพลียได้ที่จริงๆนะคุณนรินทร์” ฉันหาว ขณะตบหมอนเตรียมนอน
“ช่าย..ผมนี่คันตัวมากๆ ทรายเต็มเสื้อผ้าไปหมด ไม่เห็นเลือดลมจะไหลเวียนดีขึ้นตรงไหนเล้ย”
ฉันหัวเราะสะใจ ที่สำคัญเขาหัวเราะด้วย
ฉันจ้องเขาเนิ่นนาน คุณนรินทร์ที่ตอนนี้อยู่ในเสื้อกล้ามตาห่านคู่ กับกางเกงแพรขาก๊วยใส่สบายของดำ อีกทั้งผิวขาวๆที่เริ่มคล้ำแดดของเขา ทรงผมยุ่งๆหลังอาบน้ำ เขานี่ ดูดีทุกสถานการ์จริงๆ…
“คุณหัวเราะง่ายขึ้นจริงๆด้วยนะคะ”
เขาหย่อนตัวลงบนเตียง แล้วเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ฉัน ทั้งๆที่มีหมอนข้างกั้นฝั่งเราสองคนอยู่
“ผมหัวเราะง่ายขึ้นเพราะใครรู้ไหม”
เขาจ้องฉันด้วยสายตากรุ้มกริ่ม
“อย่าบอกนะว่าเพราะฉัน ฮ่าๆๆๆๆ” ฉันพูดติดตลกกลบเกลื่อนความอาย
เขามองฉันนิ่งๆ แต่ทำเอาฉันตัวร้อนมวาบ
ฉันเลยรีบทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้จับผ้าห่มทำทีจะคลุมโปงนอน แต่แล้วเขากลับโน้มตัวเข้ามาใกล้ ปัดหมอนข้างออกไปให้พ้นตรงกลางเตียง ฉันตั้งตัวไม่ทัน เพราะขณะที่หันหน้ากลับไปก็เป็นจังหวะเดียวกับที่เขาขยับตัวเข้ามาประชิด มือหนึ่งแตะไหล่ฉันเบาๆ และ...ลมหายใจอุ่นๆของคุณนรินทร์รดใบหน้า กว่าจะรู้ว่าการกระทำแบบนี้เรียกว่าอะไร ใจฉันก็หลุดลอยไปไหนต่อไหนแล้ว
ริมฝีปากอ่อนโยนของเขาประทับอย่างกล้าๆกลัว แต่แน่วแน่บนริมฝีปากฉัน สองสิ่งประกบกันแนบแน่น ฉันไม่รู้ว่าสถานการณ์แบบนี้ต้องทำอย่างไร จึงปล่อยให้เขาเริ่มและจบลงไปคนเดียว ปากอุ่นๆของเคลื่อนไหวอย่างค่อยเป็นค่อยไปและเริ่มร้อนแรงมากขึ้น เหมือนกำลังลิ้มลองรสชาติแปลกใหม่ ร่างกายเราเริ่มแนบชิดกัน เขาโอบกอดฉันไว้ทั้งตัว ริมฝีปากอุ่นๆเริ่มผละออกจากปากฉันก่อนจะพรมจูบไปทั่วหน้าและเลยมาถึงซอกคอ มาถึงตรงนี้ ฉันที่กำลังตัวละลาย หัวสมองตื้อ คิดอะไรไม่ออก ก็ร้องครางออกมา
"ยะ...อย่าเลยค่ะ" ฉันบิดตัวออกและใช้สองฝ่ามือผลักอกเขาออกไปเบาๆ
เหมือนสติของเขาจะเริ่มกลับมา เขาจ้องฉันที่หน้าแดงกล่ำ และเหมือนจะกำลังร้องไห้
ไม่รู้สิ...เขาทำแบบนี้ทำไมเหรอ แค่อารมณ์พาไป หรือเพราะรักฉันกันแน่ ใช่ ฉันยอมรับว่ารู้สึกดี ฉันรักเขาเกินกว่าที่เขาคิด แต่ฉันไม่ได้ต้องการที่จะมีอะไรแบบนั้น
"ผม​..." เขาเอ่ยขึ้น น้ำเสียงกล้าๆกลัวๆ
ฉันเบี่ยงตัวออก และนอนหันหลังให้เขา ฉันไม่อยากฟัง ฉันกลัวว่าเขาจะพูดแค่ว่าขอโทษ เพราะอารมณ์พาไป
"ช่างเถอะค่ะ นอนเถอะ"








ลายเส้น
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 ก.ค. 2555, 02:41:07 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 ก.ค. 2555, 02:41:07 น.

จำนวนการเข้าชม : 1999





<< ทะเลาะ   ความจริง... >>
agentaja 1 ก.ค. 2555, 06:52:35 น.
ง่ะเข้าด้ายเข้าเข็มทุกทีเลย ลุ้นตาหลอดเล้ย


mhengjhy 1 ก.ค. 2555, 08:35:04 น.
ง่า ไม่พูดกันจะเข้าใจกันหรอ


Kapoh 1 ก.ค. 2555, 08:56:58 น.
เมื่อไหร่จะเข้าใจกันล่ะค้าาาาา


goldensun 1 ก.ค. 2555, 10:45:10 น.
เก่งแต่เรื่องงานนะ คุณนรินทร์ สิดีเลิกเส้นกระตุกแล้ว ยังปากหนักอีก ยิ่งสิดีเข้าใจเอาเองเก่งอยู่
แล้วสาวลึกลับนี่ กิ๊กเก่าคุณนรินทร์รึเปล่าเก


MYsister 2 ก.ค. 2555, 12:30:56 น.


ling 2 ก.ค. 2555, 16:13:28 น.
ไปไม่ถึงไหน


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account