ชื่นหัวใจ กลิ่นอายรัก
เศร้า เคล้า โรแมนติก
Tags: โรแมนติกดราม่า

ตอน: ตอนที่ 4

ตอนที่ 4
ณ บ้านวิริยะอนันต์
พิพัฒน์กับนงลักษณ์ พร้อมด้วยเลอลักษณ์ลูกสาววัยรุ่น กำลังนั่งดื่มกินอย่างสังสรรค์ บนโต๊ะมีเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์และอาหารอย่างดีวางเรียงราย ซึ่งนงลักษณ์และพิพัฒน์จัดมาเพื่อเลี้ยงฉลองให้กับความสำเร็จของพวกเขา
“ศาลสั่งให้ทางผมเป็นผู้จัดการมรดกทั้งหมด เพราะไม่มีพินัยกรรมมายืนยันว่าทรัพย์สมบัตินั้นยกให้ใครบ้าง ส่วนไอ้ทนายของพี่ภากรก็ให้ลูกน้องผมไปเก็บมันแล้ว แหม อะไรมันช่างเหมาะเจาะอย่างนี้ ทุกอย่างมันเป็นของเราแล้วนะที่รัก” พิพัฒน์พูดกับภรรยาอย่างมีความสุขกับทรัพย์สมบัติที่เขาได้มา
“ใช่ค่ะ ตำรวจก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเราจัดฉากให้มีการฆ่าตัวตาย ฮะๆๆ นี่เป็นเพราะความฉลาดของชั้นแท้ๆเลยนะเนี่ยเราถึงได้ทุกสิ่งทุกอย่างมาครอบครองอย่างนี้”นงลักษณ์ก็พูดอย่างยินดี ก่อนจะกลั้วน้ำสีอำพันลงคอลงไป
“เอ่อ คุณพ่อคุณแม่คะ แล้วนังทับทิมล่ะคะ” เลอลักษณ์ถามขึ้น ทำให้พิพัฒน์กับนงลักษณ์เริ่มมองหน้ากันด้วยความกังวล
“นั่นสิ เรายังไม่รู้เลยนะว่ามันอยู่ไหน แล้วถ้าวันใดวันหนึ่ง นังเด็กนั่นมันย้อนกลับมาเอาตำรวจมาลากคอเราเข้าคุกจะทำอย่างไรล่ะ คนของฉันที่ส่งให้ไปจัดการมันก็บอกว่ามันหนีไปเสียด้วยสิ” นงลักษณ์พูดขึ้นน้ำเสียงร้อนใจ
“ไม่หรอก มันคงไม่กล้ามาหรอก ถึงมันมาก็ทำอะไรเราไม่ได้ มันไม่มีหลักฐานอะไรมาจับเราเลย มีแค่คำพูดลอยๆ ใครจะเชื่อ” สิ้นคำพูดของพิพัฒน์ ก็เรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของสองแม่ลูกได้เป็นอย่างดี
“อย่างนี้เราก็สบายหายห่วงไปได้เลยล่ะสิคะ ดีจังเลยต่อไปนี้เราก็มีเงินใช้ไปอย่างสุขสบาย ไปจนถึงชาติหน้าเลย ฮะฮะฮะ” เลอลักษณ์พูดอย่างอารมณ์ดี
“แล้วว่าแต่เราเถอะลูก วันนี้มีเรียนไม่ใช่เหรอ ทำไมวันนี้ไม่ไปเรียนล่ะ ผลสอบเทอมที่ผ่านได้ เอฟกี่ตัว พ่อไม่เห็นแกจะหยิบหนังสือมาอ่านเลยสักครั้งนะ” พิพัฒน์เอ็ดเสียงเข้ม เลอลักษณ์หน้าจ๋อยลงก่อนส่งยิ้มแห้งๆให้พ่อ
“แหม คุณพ่อขา แอลไม่เห็นว่าการเรียนมันสำคัญเลย ในเมื่อตอนนี้เรามีเงินเยอะแยะมากมายขนาดนี้ ไม่ต้องทำงานเราก็สบาย จะไปเรียนทำไมให้เมื่อยล่ะคะ” เลอลักษณ์ตอบเล่นเอาพิพัฒน์ อารมณ์บูดขึ้นมาทันที
“แกอยากโง่หรือไงหา อับอายเขาไหม เป็นลูกเศรษฐีแต่เรียนไม่จบน่ะ!”
“เอาน่า อย่าไปว่าลูกเลยคุณ วันนี้ปล่อยแกไปสักวันก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้แกก็คงไปเรียนเองหรอกน่ะ” นงลักษณ์ พูดกับพิพัฒน์อย่างใจเย็น ก่อนหันไปหาลูกสาวคนเดียวของตัวเอง ก่อนทำตาเขียวใส่ เลอลักษณ์รู้ทันจึงพูดอย่างออดอ้อน
“ใช่ค่ะ คุณพ่อ วันนี้ขอแอลพักสมองสักวันนะคะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะไปเรียน นะคะ พ่อนะ” พิพัฒน์รู้ดีว่าเป็นคำพูดที่เชื่อถือไม่ได้ แต่เขาก็ยอมที่จะไม่พูดอะไรอีก เพราะรู้ดีว่าพูดอะไรไป นงลักษณ์ก็คอยให้ท้ายเสมอ
“คุณพัฒน์ คุณนงครับ มีแขกมาขอพบครับ” เสียงคนรับใช้ในบ้านเอ่ยขึ้นมาพร้อมกับการปรากฏตัวของหนุ่มสาวหน้าตาดีคู่หนึ่ง พิพัฒน์ นงลักษณ์ และเลอลักษณ์หันไปมอง ทั้งสามคลับคล้ายคลับคลากับสองคนนี้มาก
“สวัสดีค่ะ คุณอาทั้งสอง” รมณยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองพร้อมกับไกรวิทย์เพื่อนสนิทร่วมคณะที่มาด้วยกัน
“หนูสองคนเป็นเพื่อนกับทับทิมน่ะค่ะ คือเห็นไม่ได้ไปมหาลัยหลายวันแล้ว โทรไปก็ติดต่อไม่ได้ ก็เลยมาหาที่บ้านน่ะค่ะ” สิ้นคำบอกเล่าของรมณ ทั้งสามพ่อแม่ลูกก็ถึงบางอ้อ ที่แท้ก็เพื่อนของพิชชาอรนั่นเอง คงเคยมาที่นี่ ถึงได้คุ้นหน้านัก โดยเฉพาะเลอลักษณ์ที่คุ้นหน้าอย่างแรงเพราะเป็นรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยนี่เอง หล่อนจึงเบ้ปากอย่างเซ็งๆ
“หนูทับทิมเขาทำใจไม่ได้เรื่องคุณพ่อเขาน่ะ ก็เลยหลบไปต่างประเทศ พวกหนูไม่ต้องห่วงหรอกนะจ๊ะ เดี๋ยวอีกสักพักก็คงกลับมาน่ะจ้ะ” นงลักษณ์ตอบด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย ทว่าน้ำเสียงฟังดูไม่ยินดียินร้าย เลอลักษณ์ลอบยิ้มในความฉลาดของคุณแม่ไม่น้อย
รมณกับไกรวิทย์มองหน้ากันตาปริบอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่อาสะใภ้ของเพื่อนรักบอก เพราะปรกติแล้วพิชชาอรไม่ใช่เป็นคนที่หนีปัญหาแบบนี้ ตรงกันข้ามเธอป็นคนกล้าเผชิญหน้าและยอมรับปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลงได้ดีจะตายไป อีกอย่างถ้าเธอจะไปต่างประเทศจริงๆ จะไม่บอกเพื่อนที่สนิทอย่างพวกเขาเลยหรือ
ไกรวิทย์มองเห็นขวดเหล้านอกราคาแพงและของกินอย่างดีบนโต๊ะอาหารแล้วทำให้นึกขัดแย้งอยู่ในใจ ทั้งๆที่มีคนสำคัญในบ้านเพิ่งจะเสียชีวิต แต่ทำไมพวกเขาทำเหมือนกำลังเลี้ยงฉลองกันอย่างงั้นแหละ
“งั้นพวกผม ลากลับกันก่อนล่ะครับ สวัสดีครับ” ไกรวิทย์และรมณลาทั้งสามกลับด้วยความจำใจ ทั้งที่อยากรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเพื่อนให้มากกว่านี้ แต่สิ่งที่เขาทำได้ คือการนั่งรอเฉยๆกระมัง
“มณ เธอว่าทับทิมจะไปอยู่ต่างประเทศจริงๆหรือเปล่า” ไกรวิทย์เอ่ยถาม หญิงสาวในขณะที่กำลังเดินออกจากบ้าน รมณเสยผมยุ่งของเธอเบาๆก่อนตอบอย่างไม่แน่ใจ
“ไม่รู้อ่ะ แต่มณว่าเรื่องนี้มันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลนะวิทย์”
ร่างของหนุ่มสาววัยเดียวกันได้เดินสวนกันกับหญิงร่างอวบคนหนึ่งซึ่งพวกเขารู้จักดี
“นมอ้วน สวัสดีค่ะ/ครับ” ทั้งสองพูดเกือบพร้อมกัน นมอ้วนที่เพิ่งกลับมาจากตลาดในมือถือของพะรุงพะรังนั้นฉีกยิ้มกว้างอย่างดีใจที่สุดที่เห็นรมณกับไกรวิทย์
“หนูมณ หนูวิทย์มาได้ไงลูก” รมณกับไกรวิทย์เดินตรงเข้าไปช่วยอ้วนถือของ ทั้งสามต่างยิ้มและมองหน้ากันและกันอย่างมีความหวัง ก่อนที่นมอ้วนจะพากันไปนั่งคุยที่ศาลาในสวนหลังบ้านที่ค่อนข้างห่างไกลจากบริเวณนั้น………..
เวลาที่จำกัดทำให้นมอ้วนรีบเล่าเหตุการ์ณที่เกิดขึ้นในบ้านหลังนี้อย่างไม่รอช้าให้กับเพื่อนที่สนิทที่สุดของพิชชาอร สาวน้อยที่เธอรักและห่วงมากในตอนนี้ รวมถึงเรื่องที่พิชชาอรได้โทรกลับมาที่นี่เมื่อวันก่อน
รมณกับไกรวิทย์ตกใจมากกับความจริงที่ได้รับรู้จากนมอ้วน ทั้งคู่มองหน้ากันด้วยความกังวล และต่างก็อยากช่วยเหลือเต็มที่ ก่อนเสียงเข้มจริงจังของไกรวิทย์จะดังขึ้น
“นมอ้วนครับ เอาอย่างนี้แล้วกัน พวกเรานิ่งเฉยทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไว้ก่อน เพราะเดี๋ยวอาจเกิดอันตรายได้เดี๋ยวพวกผมจะช่วยเต็มที่ครับ แต่ตอนนี้สิ่งที่เราต้องรู้ให้ได้ว่าอยู่ที่ไหนคือ พินัยกรรมของคุณภากร และที่อยู่ของทับทิม!!”

ภายใต้ร่มเงาอันร่มเย็นของต้นยูคาลิปตัสสูงใหญ่ ได้กลายเป็นที่หลบแดดของหญิงสาวผู้ซุกซน หลังจากที่ตระเวนเที่ยวชมไร่จนรู้จักคนงานในไร่จนเกือบหมดแล้ว พิชชาอรก็ทิ้งตัวลงนั่งบนแคร่ไม้ที่เก่าคร่ำครึ ที่ถูกจัดวางไว้ใต้ต้นยูคาลิปตัสที่ปลูกเรียงรายอยู่ท้ายไร่ ตอนแรกหล่อนก็ไม่รู้หรอกว่านี่คือต้นอะไร แต่เพราะสอบถามกระแตสาวน้อยผู้ซุกซนไม่แพ้หล่อนนี่แหละที่เป็นคนบอกให้รู้
“ป้อเลี้ยงเปิ้นขยันแต๊กา เห็นอิหยังก็เป็นเงินเป็นทองหมด พืชผักเฮาก็บ่ต้องไปหาซื้อ ที่ไร่เฮานี่ไงมีผักให้เลือกกินยิ่งกว่าในกาดสดเสียอีกแถมมีพอขายอีกแน่ะ ต้นยูคาลิปตัสนี่ป้อเลี้ยงก็หามาปลูก เปิ้นบอกว่า เอาต้นเอาไปยะกระดาษได้ ส่วนใบก็สกัดเอาน้ำมันมาทำเป็นยาดมก็ได้ หอมๆเหมือนที่ป้อเลี้ยงมักล่ะ” นึกถึงคำบอกเล่าของกระแตแล้วก็เรียกอมยิ้มเล็กๆบนแก้มนวลขึ้นมาได้ พิชชาอรก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมยิ่งได้รู้จักเขามากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เธออิ่งอยากอยู่ใกล้ อยากอยู่กับเขาเพื่อให้ได้รับรู้ความเป็นเขามากขึ้นไปอีก
คิดไปเพลินๆพลางเบี่ยงตัวเองเข้าหาความร่มเงาเพื่อหลบแสงที่สาดส่องมากระทบ หญิงสาวสอดส่องสายตามองหาเด็กสาวที่อินทัชส่งให้มาคอยดูแลเธอ ตอนที่แยกกันบอกว่าปวดท้องเบา อยากเข้าห้องน้ำ เธอจึงมารออยู่ตรงนี้ แต่ทว่าคงปวดหนักแล้วมั้ง หายไปนานเชียว
สักครู่ก็ได้ยินเสียงกุกกักคล้ายคนเดินเหยียบใบไม้แห้งอยู่ด้านหลัง พิชชาอรยิ้มคาดเดาว่าต้องเป็นกระแตแน่ๆ หล่อนจึงหันพรวดไปทันทีพร้อมกับส่งเสียงแจ๋ว
“จ๊ะเอ๋ มาแล้วเหรอจ๊ะ……..”ทว่า ภาพตรงหน้าที่ได้เห็นกลับไม่ใช่คนที่เธอคิด แต่เป็นชายแปลกหน้าที่หล่อนไม่รู้จัก พิชชาอรตาค้างยิ้มแห้งๆ อย่างเก้อๆ ทว่าความสดใสน่ารักของเธอกลับดึงดูดสายตาชายตรงหน้าอย่างแรง เขาจ้องเธอตาเป็นประกายราวกับเด็กน้อยเห็นขนม
“เธอเป็นใครน่ะ คนงานไร่นี้เหรอ ทำไมน่ารักจัง” ชายนิรนามยิงคำถามที่มาพร้อมกับน้ำเสียงที่ส่อเค้าความเจ้าชู้ พร้อมกับเดินเข้ามาใกล้ ทำให้พิชชาอรต้องถอยตัวออกห่างโดยอัตโนมัติ ก่อนพิจารณารูปร่างหน้าตาและลักษณะการแต่งตัว หล่อนคิดว่าไม่น่าจะเป็นคนงานในไร่ เพราะแต่งตัวดีและดูสะอาดสะอ้าน หน้าตาก็ไม่มอมแมมเหมือนคนที่เป็นลูกจ้าง ออกจะหน้าตาดีด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างไรพิชชาอรก็ไม่ไว้ใจที่จะคุยด้วย เพราะตอนนี้เธออยู่ในที่ที่ลับตาผู้คนพอสมควร ถ้าหากชายผู้นี้เกิดเป็นคนร้ายขึ้นมาก็ง่ายที่จะปู้ยี่ปู้ยำเธอ ดังนั้นเธอควรเลือกที่จะเดินหนีดีกว่า แต่ทว่า ไม่ทันเสียแล้ว เมื่อชายคนนั้นคว้าข้อมือเธอไว้ได้
“จะไปไหน คุยกันก่อนนะ เธอยังไม่บอกเลยว่าเธอเป็นใคร มาอยู่ที่ไร่ของอินทัชตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมฉันไม่เคยเห็นเลย”
“ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยด้วย!!!” เสียงกรีดร้องของพิชชาอร ดังขึ้นอย่างสุดเสียง เพราะเธอตั้งใจให้มันดังที่สุดเพื่อให้มีคนได้ยินและมาช่วยเธอ ซึ่งเสียงนั้นก็ทำให้ สิรเวช หน้าแหยไปเนื่องจากแสบแก้วหู
“ไม่ต้องร้องเลย ที่นี่มันเป็นเขตไร่สิรเวชของฉันแล้ว ไม่มีใครช่วยเธอได้หรอก ฉันจะจับเธอไปข้อหาที่เธอบุกรุกไร่ของฉัน” สิรเวชอ้างเรื่องพื้นที่ก้ำกึ่งระหว่างไร่บริรักษ์ศักดากับไร่สิรเวชว่าเป็นเขตพื้นที่ของเขาเพื่อแสดงการมีสิทธิจับตัวสาวน้อยไปในข้อหาบุกรุก ซึ่งพิชชาอรก็ยังไม่รู้ว่า ไร่บริรักษ์ศักดานั้นมีพื้นที่สุดเขตตรงนี้ที่เธอยืนอยู่นั่นเอง
“ปล่อยตัวคนของฉันเดี๋ยวนี้นะ” เสียงคมเข้มดังขึ้น พิชชาอรฉีกยิ้มข้างแก้มก่อนหันไปมอง
“พ่อเลี้ยง ช่วยทับทิมด้วย” หญิงสาวพูดพลางสะบัดข้อมือเต็มแรง จนหลุดพ้นจากการจับของสิรเวช แล้ววิ่งไปหาอินทัชทันที สิรเวชมองตามร่างบางอย่างนึกเสียดาย
“หวัดดีพ่อเลี้ยงอิน มีเด็กใหม่ก็ไม่บอกกันบ้างเลยนะ”สิรเวชทักทายเสียงเย็น แต่อินทัชคงสีหน้าเข้มแขนข้างซ้ายของเขาถูกพิชชาอรจับไว้แน่น
“เราต่างคนต่างอยู่ดีกว่านะสิรเวช เขตตรงนี้ยังเป็นเขตของไร่บริรักษ์ แล้วนี่ก็เป็นคนของผม คุณไม่ควรมายุ่ง”อินทัชพูดเสียงจริงจังแต่สิรเวชได้ฟังกลับหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า พูดอะไรอย่างนั้นพ่อเลี้ยง ที่ตรงนี้มันเป็นเขตของไร่สิรเวชของพ่อผมต่างหาก เขตของพ่อเลี้ยงน่ะ สิ้นสุดตั้งแต่พ้นลำธารนั่นแล้ว” พูดพลางชี้ไปที่ลำธารเล็กๆที่อยู่ไม่ไกลจากที่พวกเขายืนเท่าไรนัก
“แล้วที่ผมจับสาวน้อยคนนี้มาก็มันก็สิทธิ์ของผมเพราะเธอบุกรุกเข้ามาในเขตไร่ของผมแล้ว ถ้าหากเธอเป็นพวกมิจฉาชีพผมจะทำไงล่ะ สวยๆอย่างนี้ไว้ใจไม่ได้หรอกนะ” อินทัชได้ฟังแล้วนึกโกรธในความขี้โกงอย่างหน้าด้านๆของพวกไร่สิรเวช ที่คิดจะฮุบเอาที่ดินของบรรพบุรุษของเขาไปใช้ประโยชน์ ถึงแม้จะมีเนื้อที่ไม่มากมายอะไรแต่ช่องว่างลำรางรอยต่อระหว่างไร่บริรักษ์ศักดากับไร่สิรเวชนั้นกว้างไม่เท่าไหร่แต่ความยาวติดต่อกันหลายเกือบหลายร้อยเมตร แต่ส่วนอื่นไม่มีปัญหาเพราะมีรั้วกั้น บ้างก็มีกำแพงกั้น คงมีแต่ที่ตรงนี้เท่านั้นที่มีปัญหา เป็นที่รกร้างและยังไม่มีอะไรกั้นระหว่างสองไร่เลย ทางไร่สิรเวชจึงขี้ตู่เอาเป็นของตัวเองและคิดจะสร้างกำแพงกั้นแต่อินทัชก็แก้เกมโดยการซื้อพันธุ์ไม้ยูคาลิปตัสมาปลูกไว้แต่เนิ่นๆ เพื่อกั้นเป็นอาณาเขตของตัวเอง จึงมีปัญหาถกเถียงกันมาเรื่อยๆ แต่อินทัชก็เลือกที่จะไม่เอาความเพราะเห็นเป็นบ้านใกล้เรือนเคียงกันจึงไม่อยากมีปัญหา
“ผมว่าเราคุยกันหลายรอบแล้วนะเรื่องที่ตรงนี้ แต่ดูเหมือนพวกคุณคงฟังไม่รู้เรื่อง แต่ผมก็ไม่เบื่อที่จะบอกหรอกนะว่ากรุณาอย่ารุกล้ำและยุ่งกับคนหรือสิ่งของหรือทำอะไรทุกอย่างในไร่ของผมอีก ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าผมไม่เตือนนะคุณสิรเวช!!!” อินทัชยื่นคำขาดเสียงเข้ม สิรเวชจ้องตากลับไปอย่างไม่ยอมเช่นกัน ก่อนที่อินทัชและพิชชาอรจะพากันหันหลังกลับไปอย่างไม่ใยดี
พิชชาอรลอบสังเกตสีหน้าของอินทัชและได้รู้ว่าสีหน้าเขาตอนนี้ดูเครียดเอามากๆ ทำให้เธอรู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุทำให้ชายหนุ่มต้องเครียด เธอจึงอ้อมแอ้มพูดขึ้นมา
“หนูขอโทษนะที่ทำให้เครียด..” อินทัชมามาหาเจ้าของเสียงหวานนั้นแล้วอมยิ้มเล็กๆ
“ไม่เป็นไร ไม่ใช่ความผิดเธอหรอก เธอไม่รู้นี่ แต่คราวหน้าคราวหลังก็อย่ามาแถวนั้นคนเดียวอีกนะ” พิชชาอรยิ้มได้หลังจากที่ชายหนุ่มพูดจบ ก่อนได้สติเพิ่งสังเกตตัวเองว่ามือของเธอกำลังจับแขนเขาอยู่อย่างแนบแน่น เมื่อรู้ดังนั้นแล้วหญิงสาวก็เอามืออกเบาๆอย่างเก้อเขิน แต่ทว่า อินทัชก็มคว้ามือบางนั้นมากุมไว้อีกก่อนจ้องใบหน้าหวานอย่างมีความหมาย
“มานี่เลย ยัยเด็กซน!!!” แล้วมือเล็กๆนั้นก็ถูกมือแข็งแกร่ง ทั้งจับทั้งจูงทั้งลากไปจนร่างบางแทบปลิว
ช่วงเวลาโพล้เพล้ยามอาทิตย์ใกล้จะหายไปจากท้องฟ้า บนเนินเขาเล็กๆที่ถูกปกคลุมไปด้วยต้นหญ้าเขียวขจี ด้านซ้ายมีต้นทองกวาวสูงใหญ่กำลังออกดอกชูช่อสวยงาม ด้านขวาก็เป็นทุ่งดอกไม้ต้นเล็กสีสันสวยงามดูไม่เบื่อ ด้านหน้าก็ไปดวงอาทิตย์กลมโตส่องแสงสีทองจับขอบฟ้าเป็นประกาย ด้านหลังก็เป็น เป็น..เอ่อ..ผู้ชายร่างสูงใหญ่กำลังยืนยิ้มอยู่
“ที่คุณลากฉันมาเมื่อครู่นี้ก็เพื่อมาที่นี่เหรอคะ” พิชชาอรถามอย่างงอนๆก่อนส่งค้อนให้หนึ่งวง
“ใช่ชอบไหมล่ะ นั่นพระอาทิตย์กำลังจะตกนะสวยดี” อินทัชตอบอย่างอารมณ์ดี
“นึกว่ามาดูอะไร ลากมาซะไอ้เราก็นึกว่าโมโหเสียอีก”
“ฉันขอโทษที่ทำให้ตกใจ แต่ที่รีบมาเพราะกลัวเดี๋ยวดูไม่ทันไงล่ะ นั่นไงพระอาทิตย์กำลังจะตกแล้ว” พูดจบทั้งอินทัชและพิชชาอรก็ต่างให้ความสนใจกับดวงอทิตย์ดวงโตทันที ซึ่งกำลังจะลับขอบฟ้าหายไป แต่ก็ได้ฝากความประทับใจกับความสวยงามของธรรมชาติไว้ตราตรึงใจทั้งคู่ไม่รู้ลืม
หลังจากชมพระอาทิตย์ตกอย่างมีความสุขแล้ว อินทัชก็ชวนพิชชาอรกลับเรือนพัก โดยทั้งคู่เดินคุยกันมาเรื่อยๆอย่างออกรส อินทัชชักเริ่มรุ้สึกว่าตัวเองเหมือนเด็กเพื่อได้คุยกับสาวน้อยคนนี้ พิชชาอรเองก็มีความสุขมากเช่นกันที่ได้อยู่ที่นี่ ได้พบได้เจออะไรใหม่ๆ และได้เที่ยวพักผ่อนด้วยไปในตัว แต่ถึงเธอจะมีความสุขแค่ไหน เธอก็ไม่เคยลืมสิ่งที่เธอต้องทำ!



พราวเพชร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 ก.ค. 2555, 16:50:41 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 ก.ค. 2555, 16:50:41 น.

จำนวนการเข้าชม : 1140





<< ตอนที่ 3/2   ตอนที่ 4/2 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account