พระพรหมสีชมพู
เรื่องพระพรหมสีชมพู เรื่องล่าสุดที่แต่งขึ้นจากจินตนาการ

จะมีประเทศที่ติ๊ต่างขึ้นมาเองนะคะ ผู้แต่งให้ชื่อว่าประเทศกรีนนา

...เป็นเรื่องของสาวน้อยคนไทยที่ไปตามหาพี่ชายต่างสายเลือดที่เธอรักและหวงแหนมาก พอพี่ชายจะไปแต่งงานกับผู้หญิงอื่นเธอเลยยอมไม่ได้ ความบังเอิญจากอุบัติเหตุทำให้เธอเจอกับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเป็นถึงลูกชายประธานาธิบดีแห่งกรีนนา ที่ถูกปฏิเสธการขอแต่งงาน เพราะว่าผู้หญิงคนนั้นมีคู่หมั้นอยู่แล้ว ซึ่งคู่หมั้นของหล่อนก็คือพี่ชายต่างสายเลือดของแม่สาวน้อยคนไทยนี่เอง

เธอถูกจับมาเป็นตัวประกันชั่วคราวของเขา และอะไรไม่ซวยเท่ากับการที่จู่ ๆ เธอก็เกิดสัมผัสพิเศษสามารถเห็นเหตุการณ์อันตรายที่จะเกิดขึ้นกับเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น ได้ล่วงหน้าเหตุการณ์จริง 1 นาที จากแค่ตัวประกัน เลยกลับกลายเป็นต้องอยู่คอยคุ้มภัยเขาราวผูกตัวติดกันซะอย่างนั้น...

..."เมื่อพี่ชายของคุณเป็นคนทำให้ผมถูกปฏิเสธการขอแต่งงาน คนที่น่าจะรับผิดชอบเรื่องนี้ก็เห็นที่ว่าคงต้องเป็นคุณซะแล้วแหละ แม่หนูน้อยหมวกแดง"

..."ไม่เอา...ปล่อยฉันนะ อีตาเฒ่าทารก"

..."ภายในสองเดือน ถ้าคุณทำให้พี่ชายของคุณถอนหมั้นกับแจนได้ ผมจะปล่อยคุณไป"

Tags: น่ารัก+บู๊เล็ก ๆ

ตอน: ตอนที่ 7 พระพรหมสีชมพู


ตอนที่ 7
รถไฟฟ้าอเนกประสงค์สี่ที่นั่งสีขาวเคลื่อนมาจอดตรงหน้าสนามหญ้าโล่งกว้างซึ่งถูกล้อมรอบไปด้วยรั้วตะข่ายถี่ ๆ สีดำสูงประมาณสองเมตรครึ่ง รูดี้ก้าวลงจากรถไฟฟ้าคันเล็กก่อนจะยื่นมือพร้อมโค้งศีรษะนิด ๆ รับหญิงสาวที่นั่งมาด้วยตรงเบาะด้านหลัง เนรัญยิ้มบาง ๆ วางมือเรียวทับลงกับมือใหญ่ที่ผายรอรับ ก้มตัวและก้าวตามลงมาอย่างระมัดระวัง พอร่างบางลงมายืนเคียงคู่ ชายหนุ่มก็พยักหน้าให้บอดี้การ์ดในชุดสูทสีดำ ซึ่งอยู่ในตำแหน่งคนขับให้พารถเคลื่อนไปรอยังที่จอด
ในบริเวณสนามยิงธนู คนดูแลสนามได้จัดการเตรียมอุปกรณ์รอผู้เป็นเจ้านายของเขาพร้อมสรรพ เป้าธนูหลายอันลากวางตามตำแหน่งอยู่เต็มลานสนามหญ้า รูดี้พาเนรัญเดินไปหยุดยืนยังจุดยิงธนู ซึ่งทำไว้อย่างดีมีหลังคากันแสงความร้อนจากแดด และใช้สำหรับเป็นจุดเก็บอุปกรณ์ เนรัญกวาดตามองรอบสนามและเธอพบเพียงผู้ชายสี่คนซึ่งดูแล้วคงเป็นลูกน้องของรูดี้ ไม่มีบุคคลภายนอกเข้ามายังสนามนี้เลย สมแล้วที่รูดี้บอกว่าที่นี่คือสนามส่วนตัวของเขา
ชายหนุ่มยื่นมือไปรับคันธนูแบบไม้จากผู้ชายคนหนึ่งที่ส่งให้ เนรัญมองตามแล้วก็เห็นว่าธนูแบบที่เขากำลังจะใช้ยิงเป็นแบบที่ต้องใช้ทักษะความสามารถของนักยิงล้วน ๆ มันไม่ใช่ธนูที่ยิงตามสนามยิงแข่งขันทั่วไปที่มีอุปกรณ์ช่วยความแม่นยำ และถึงแม้หญิงสาวอยากจะถามว่าทำไมถึงเลือกใช้คันธนูแบบนี้ แต่ก็ไม่กล้าเพราะเธอมีความรู้เรื่องนี้น้อยมากเหลือเกิน ทว่าพอชะเง้อมองผ่านร่างสูงไปเธอถึงได้รู้ว่ารูดี้โปรดกีฬาชนิดนี้เอามากจริง ๆ เขาไม่ได้มีคันธนูแบบเดียวหากมีครบทุกแบบเลยก็อาจจะว่าได้
“คุณรูดี้ชอบยิงธนูมากหรือคะ” เธอถาม ประกายตาสุกสกาว รูดี้ต้องข่มความหวั่นไหวเสมองไปยังเป้านิ่งด้านหน้าก่อนตอบน้ำเสียงมาดมั่น
“ครับ จะเรียกว่าเป็นกีฬาที่โปรดปรานที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ ผมชอบยิงธนูเพราะว่าเป็นกีฬาที่ท้าทาย ธนูเป็นอาวุธที่นักรบกล้าสมัยก่อนเชื่อว่าเป็นการประกาศศักดาความแข็งแกร่งและแม่นยำ” เขาเผลอหันมายิ้มบาง ๆ ให้เธอจนได้ สายตาที่ดูว่าจะมุ่งมั่นแกร่งกล้า อ่อนหวานลงทันที่ที่ตรึงนิ่งกับดวงหน้าสวย “คุณเน่ย์ละครับ เคยยิงธนูไหม ?”
เธอส่ายหน้า “ไม่ค่ะ ฉันเคยเรียนยิงปืนมาบ้าง แต่ธนูไม่เคยจับเลย”
ชายหนุ่มชูคันธนูขึ้นแทบอกกระชับมั่น กล่าวน้ำเสียงจริงจังราวผู้กล้า “การยิงธนูอาจจะดูเหมือนว่าง่ายนะครับ แต่การจะเหนี่ยวธนูให้ลูกวิ่งไปปักตรงกลางเป้าหมายไม่ได้ง่าย ก็คงเหมือน ๆ กับเป้าหมายในชีวิตของคนเราแหละครับ บางอย่างที่คาดหวังไว้ในชีวิตยากเย็นเหลือเกินกว่าจะไปถึง หรือบางคนก็อาจไม่มีสิทธิ์ไปถึงเป้าหมายเลย”
เนรัญยิ้มน้อย ๆ ให้กับชายหนุ่ม เธอรู้สึกว่ารูดี้เป็นผู้ชายมีหลักการ เป็นผู้ใหญ่ใจเย็นมีสติและออกแนวอบอุ่นไม่ว่าจะด้วยวาจาหรือกิริยาโดยรวมเขาดูดีมาก เป็นผู้ชายที่หญิงสาวหลายคนใฝ่หาเลยทีเดียว
“แต่สำหรับคุณแล้วฉันว่าคงไม่มีเรื่องอะไรที่ยากไปสำหรับคุณหรอกค่ะ ถึงแม้เราสองคนจะพึ่งรู้จักกันก็ตาม แต่ฉันเชื่อนะคะว่าผู้ชายอย่างคุณรูดี้ ถ้าลองได้วางเป้าหมายไว้แล้วไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนคงต้องฝ่าฟันไปจนถึงได้แน่”
“เรียกว่าเป็นคำชมได้ใช่ไหมครับ หรือว่ากำลังใจดี” เขาคลี่ยิ้มหวานเก๋ “ผมก็หวังว่าผมจะชนะทุกเรื่อง...ไม่ซิ ผมพูดผิด ผมแค่อยากจะทำให้ทุกเรื่องในชีวิตที่หวังไว้ บรรลุเป้าหมายจนสำเร็จ”
เนรัญซึ่งจ้องหน้าชายหนุ่มแทบไม่ละวาง แวบหนึ่งเธอเห็นเงาในตาคู่เทาหม่นหมอง ไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุใดหรอก เธอไม่ทราบเรื่องอะไรเกี่ยวกับครอบครัวใหญ่ร่ำรวยนี้นัก จะรู้เพียงคร่าว ๆ แค่ว่ารูดี้เป็นลูกต่างมารดากับการิม หรือด้วยเหตุนี้ก็เป็นได้ ที่ทำให้รูดี้อยู่อย่างเจียมตัวและออกจะเกรงใจการิมผู้เป็นพี่ชายเอามาก ยิ่งการิมทำตัววางอำนาจไม่ได้ให้เกียรติมารดาของเขา แถมยังแทบไม่อยากรับเขาเป็นน้องชาย ทำให้เนรัญนึกเห็นใจขึ้นครามครัน
เธอมองตามชายหนุ่มที่ขออนุญาตไปยิงธนู ซึ่งไม่ไกลจากที่เธอยืนมองนัก ท่าทางของเขายามน้าวคันธนูดูผึ่งผายเท่ราวกับโรบินฮูด และยิ่งฝีมือที่เนรัญเห็นเต็มสองตาก็อดใจนึกชื่นชมในความเก่งกาจไม่ได้ ร่างบางเดินไปใกล้เพื่อต้องการจะมองท่วงท่าสง่างามของเขาแบบชิดติดขอบ โดยหารู้ตัวเองไม่ว่าการที่เธอเข้าใกล้เขามากเช่นนั้น ทำให้สมาธิของคนที่กำลังน้าวธนูลูกสุดท้ายใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว และทำให้เขายิงพลาดเป้าสุดท้ายจนได้ หากก็ยังถือว่าดีในสายตาของคนที่ไม่ประสีประสากับกีฬาชนิดนี้
เสียงปรบมือจากเนรัญดังเปาะแปะให้กับนักกีฬา ที่กำลังส่งคันธนูคืนให้แก่ลูกน้องนำไปเก็บเข้าที่
“เก่งจังเลยค่ะ”
“คงไม่หรอกมั้งครับ วันนี้ผมยิงพลาดเป้า” เขายังคงพูดจาสุภาพและส่งรอยยิ้มหวานเช่นเดิม “คุณเน่ย์อยากจะลองยิงหน่อยไหมครับ”
“ได้เหรอคะ ?” น้ำเสียงดีใจ ตื่นเต้น “แต่คุณรูดี้ต้องสอนนะคะ เพราะว่าฉันไม่เคยยิง”
“ได้ซิครับ ผมจะเป็นครูสอนคุณเน่ย์เอง แต่...ผมไม่ค่อยแน่ใจว่าจะสอนได้ดีหรือเปล่านะครับ” เขามองเรียวหน้าสวยตาเชื่อม แม้จะพยายามซ่อนไว้แล้วก็ตาม “คุณเน่ย์อย่ายิ้มหวานให้ผมบ่อยนักซิครับ มันจะทำให้ผมสอนคุณยิงธนูพลาดเป้าเหมือนที่ผมยิงลูกสุดท้ายเมื่อกี้นะครับ”
คิ้วเรียวเลิกสูง ไม่ค่อยเข้าใจในความหมายที่เขากำลังสื่อนัก ตากลมใสแป๋วจ้องมองดูไร้เดียงสา “ห้ามฉันยิ้ม แล้วจะให้ฉันทำหน้าบึ้งเหรอคะ คุณรูดี้ชอบผู้หญิงหน้ายักษ์แบบนี้ใช่ไหม” เธอขมวดคิ้ว เบ้ปากทำหน้ายุ่งล้อเลียนคนโกรธ ทว่ากลับกลายเป็นกิริยาน่ารักน่าชัง ทำให้รูดี้เผลอหัวเราะเบา ๆ
เสียงหัวเราะของชายหญิงผสมโรงกันดังขึ้นได้ไม่นาน เสียงห้าวห้วนของบุคคลที่สามที่โผล่งดังเข้ามา สกัดเสียงแห่งความสุขลงทันใด
“มีความสุขกันจริงนะ ยายเปี๊ยกใครใช้ให้มาอยู่ที่นี่”
“คะ...คุณการิม ว้าย...!” มือใหญ่ของการิมคว้าเอวบางดึงเข้าหาตัว สายตาดุดันมองหน้าเผือดสีปราดหนึ่ง ก่อนจะหันไปจ้องน้องชายต่างมารดาเขม็งกร้าว ที่เขารู้และตามมาถูก ก็เพราะได้โทร.ไปถามความเคลื่อนไหวจากพนักงานห้องควบคุมวงจรปิดเป็นระยะ ๆ แต่ล่าสุดที่เขาได้รับรายงานว่าเนรัญนั่งรถไฟฟ้าเล็กไปกับรูดี้ ทำให้ที่คิดว่าจะนอนใจไม่ต้องรีบร้อนตามเธอจึงเปลี่ยนไป
สายตาคมกริบราวคมของใบมีด ยังสบประสานกับผู้เป็นน้องชายไม่วาง ขณะที่ปากก็ตะเบงเสียงเข้มกับคนตัวเล็กที่ล็อกแน่นอยู่ในวงแขนข้างหนึ่ง “ถ้าคุณคิดจะหนีก็ควรจะหนีไปให้ไกลกว่านี้ ที่สำคัญควรดูคนที่จะพาคุณออกไปด้วยว่ามีความสามารถแค่ไหน”
“ฉะ...ฉันไม่ได้หนีนะ ก็...ก็แค่...” เนรัญแก้ตัวตะกุกตะกักหน้าเรียวเซียวซีดลงอีกเท่าตัว เธอเบ้หน้ารู้สึกเจ็บจนร่างกระตุก เพราะมือใหญ่ของคนโกรธา เผลอบีบเข้ากับเอวของเธอเต็มแรง กระนั้นก็ทำได้แค่เงียบไม่กล้าโต้ตอบ หน้าตาเดือดดาลของการิมน่ากลัวกว่าสิ่งใดในยามนี้
“มาร์ค !” เขาตะโกนเรียกลูกน้องคนสนิท มาร์คที่บังเอิญเข้ามาตึกขาวประจวบเหมาะเจอการิมกำลังจะมาตามเนรัญที่สนามยิงธนู เลยติดตามมาด้วย เขาเดินเข้ามาใกล้วางกระเป๋าใบหนึ่งลงใกล้กับเท้าหญิงสาว กระเป๋าใบสีคุ้นตาทำให้ผู้เป็นเจ้าของอ้าปากเบิกตาค้าง
“คะ...คุณเจอมาได้ยังไง”
“ที่นี่บ้านประธานาธิบดีนะคุณ ไม่ใช่สวนสาธารณะ มีตาอยู่ทุก ๆ มุม ไม่เว้นแม้แต่สนามยิงธนูบ้า ๆ นี่ด้วย เพราะฉะนั้นคุณจะหนีไปไหนถ้ายังไม่พ้นจากบริเวณของตึกขาว ผมก็เห็นคุณได้หมดนั่นแหละ”
เนรัญสะอึก อีโธ่เอ้ย ! เธอนี่มันโง่จริง ๆ แล้วคราวนี้จะทำยังไงต่อไป ไม่ทันได้ก้าวพ้นนอกรั้วของตึกขาวเลยสักก้าวเดียว ก็ถูกโดนจับได้ซะแล้ว ต่อไปก็คงไม่มีทางจะหนีไปได้อีกแน่
ร่างบางตัดสินใจฮึดสู้ สะบัดกายออกจากการเกาะกุมของการิมเร็วไว ถอยกรูดมายืนเกาะแขนรูดี้ไว้มั่น ตากลมมองการิมราวกับรังเกียจชิงชัง คนที่ถูกมองด้วยสายตาหมางเมินเช่นนั้นรู้สึกปวดหนึบที่อกขึ้นมาอย่างไม่เข้าใจ
“ฉันจะไปหาพี่ตั้ง อยากจะกลับเมืองไทย ไม่ได้อยากจะอยู่ที่นี่” เธอตะโกนบอกเขา ทั้งยังกอดแขนรูดี้ไม่ยอมปล่อย
การิมบดกรามแน่น ตาวาวโรจน์ยิ่งเห็นคนที่คิดว่าเป็นเสมือนลูกน้องของตัวเองไปให้ความสำคัญแล้วไว้ใจคนอื่นมากกว่ายิ่งรู้สึกโกรธจัด โดยเฉพาะคนที่เธอเลือกไว้ใจบุตรชายของผู้หญิงที่คิดจะฆ่าเขาได้ตลอดเวลาด้วยแล้ว ทำให้แค้นใจนัก
“อยากจะไปหาไอ้ล่ำก็ได้ แต่ต้องเมื่อคุณทำงานให้ผมจนสำเร็จแล้วเท่านั้น” การิมย่างสามขุมไปกระชากแขนเล็กออกมาจากอีกฝ่าย ทว่ารูดี้รีบขวางทางไว้ ดึงเนรัญกลับมาหลบอยู่ด้านหลังกว้าง
“พี่ฌานคิดว่าผมขอร้องเถอะครับ ว่าใช้กำลังรังแกผู้หญิงแบบนี้เลยครับ”
“เธอเป็นคนของเรา เราจ้างเธอมา” เขาตวาดเสียงกร้าว นึกเจ็บใจที่หญิงสาวยังทำท่ารังเกียจเขาผ่านทางสายตา หันมองหน้าน้องชายตาขวางอีกครั้งพลางขู่จริงจังว่า “แล้วเราขอเตือนนายเป็นครั้งสุดท้าย อย่ายุ่งกับคนของเรา เอาตัวเธอมาให้เราเดี๋ยวนี้ไม่งั้นนายเจ็บ !”
“แต่คุณเน่ย์เลือกผม แสดงว่าเธอก็คงไม่อยากจะทำงานกับพี่ต่อแล้วละครับ” รูดี้ยืดอกปกป้อง เขากางแขนทั้งสองข้างขวางทางการิมไม่ให้คว้าตัวเนรัญไปได้อีก คนหมดความอดทนจึงผลักอกกว้างที่ขวางเป็นกำแพงหนาเต็มแรงโทสะ คนตัวเล็กที่หลบอยู่ด้านหลังกระโดดหนีโดยสัญชาตณาณ ทว่ารูดี้เสียหลักไม่ทันระวัง ร่างสูงเลยกระเด็นหลังชนเข้ากับตู้เก็บอุปกรณ์และคันธนูเต็มแรง
“คุณรูดี้ !” เนรัญหน้าเหวอ วิ่งเข้าไปประคองชายหนุ่มทันควัน ก่อนตวัดหางตาไม่พอใจมองการิมเขม็ง กระชากเสียงแหลมเกรี้ยวโกรธ “คุณมันพวกบ้าอำนาจ เขาเป็นน้องชายของคุณนะ”
“เฮ้อ ! กับอีแค่แรงผมผลักเบา ๆ เขายังไม่มีปัญญารับมือ แล้วจะมีปัญญาอะไรมาปกป้องคุณ” การิมยิ้มเหยียด ใครจะว่าเขาเกลียดน้องชายตัวเองก็ย่อมได้เขาไม่สนใจ ตราบใดที่มารดาเลี้ยงยังไม่รามือในการตามเอาชีวิตเขาและสมบัติของตระกูล เขาก็ไม่มีทางญาติดีกับศัตรูได้หรอก
รูดี้พิงร่างสูงเข้ากับขอบตู้ ก้มมองคันธนูสุดรักสุดหวงที่ตกลงมาจากที่เก็บเกลื่อนระเนระนาด เขาข่มความโกรธด้วยการกัดริมฝีปากแน่น แววตาแข็งกล้าจ้องกลับไปยังพี่ชาย หากน้ำเสียงที่เปล่งออกมายังคงไว้ซึ่งความให้เกียรติ
“ไม่ใช่ว่าผมไม่มีปัญญาทำอะไรพี่หรอกนะครับ แต่ที่ผมยอมเพราะเห็นว่าพี่เป็นพี่ชายของผม”
“นายคิดแบบนี้จริง ๆ เหรอ หรือว่าแค่เสแสร้งแกล้งทำอย่างที่แม่ของนายชอบทำ”
“คุณการิม คุณนี่มันไร้มารยาท ปากเสียที่สุด” หญิงสาวแว้ดเสียงสวนกลับทันควัน มองรูดี้ด้วยความสงสารจับใจ ประคองเขาให้หยัดยืนได้เต็มความสูง แต่ความรู้สึกเย็น ๆ ตรงฝ่ามือที่แตะลงกับช่วงแขนและหัวไหล่ของชายหนุ่ม เธอจึงรีบหงายฝ่ามือตัวเองขึ้นดู “เลือด !”
คนเจ็บก้มมองตาม เขาพึ่งรู้ตัวว่าเลือดไหลและเริ่มเจ็บ ชายหนุ่มค่อย ๆ ดึงมือเนรัญที่เกาะอยู่กับต้นแขนของเขาออก ยิ้มให้เธอจาง ๆ ก่อนกล่าวว่า “ไม่เป็นไรครับ เลือดแค่นี้เอง ไม่ถึงกับตายหรอก คนอย่างผมตายยาก คงจะเหมือนกับพี่ฌานนั่นแหละครับ” ท้ายประโยคเขาหันมองการิมแน่วแน่ สายตาที่อ่านความหมายยากยิ่งทำให้การิมขมวดคิ้วมุ่น
++++++++++++++++++++
ที่สุดเนรัญก็ต้องถูกลากกลับไปพร้อมการิมและมาร์คแบบกึ่งจำยอม เธอไม่อยากจะทำให้รูดี้ลำบากใจและต้องมีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกับพี่ชายด้วยเรื่องของเธออีก คนตัวเล็กนั่งนิ่งปิดปากเงียบ ด้วยโกรธจัดและหมดคำจะต่อว่าคนนิสัยเสีย แม้ว่าการิมจะสั่งให้เธอเดิน หยุดหรือนั่งลงตรงไหน ก็ยอมทำตามไม่มีขัด หากก็ไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดออกมาจากปากเหมือนกัน
การิมหงุดหงิดและอึดอัดใจเป็นที่สุด ยิ่งเธอไม่ร้องแรกแหกกระเชออย่างควรเป็น ก็ยิ่งทำให้เขาประสาทจะรับประทาน จมูกแหลมสูดลมหายใจเข้าลึกเต็มปอด สะกดกลั้นความอารมณ์ร้อนแรงให้เย็นลงเท่าที่จะทำได้ มองเสี้ยวหน้านวลของคนที่นั่งตาลอยไม่พูดไม่จาอยู่พักใหญ่ ก่อนจะหมดความอดทนลง
“โกรธที่ผมไม่ให้คุณไปหาพี่ชาย หรือเกลียดที่ผมทำร้ายร่างกายน้องชายตัวเอง หรือทั้งสองอย่างก็บอกมา อยากจะด่าผมก็ด่าหรือโวยวายอะไรก็ได้ อย่ามาเล่นสงครามประสาทกับผม” พูดไปหากกลับเห็นฝ่ายหญิงถอนหายใจเบื่อระอา เบือนหน้าหนี “อย่านึกว่าคุณใช้ความเงียบกับผม แล้วผมจะไม่กล้าทำอะไรคุณนะ ผมมีวิธีทำให้คุณร้องครางออกมาได้ไม่ยาก คุณก็เคยเรียนรู้วิธีของผมมาบ้างแล้วไม่ใช่เหรอ อยากจะลองแบบครบสูตรเลยไหม คราวนี้ถึงมาร์คเข้ามาเจอ รับรองได้ผมไม่มีทางหยุดแน่” เขาขู่เพื่อหวังได้เห็นสายตาตกตระหนัก กับเสียงแหลมกระแทกแก้วหูบ้าง แต่เปล่าเลยเมื่อเนรัญยังเงียบเช่นเดิม
ชายหนุ่มลุกยืนตรงหน้าเนรัญ ใช้สองแขนแกร่งยันลงกับที่พิงหลังของโซฟาตัวยาว กักขังร่างบางให้อยู่ระหว่างสองแขนของเขา ก่อนก้มหน้าเค้นเสียงกระซิบแทบปากเรียวบาง
“ถ้าไม่ยอมพูดกับผม ผมจะจูบคุณ”
ตากลมที่เคยสุกสกาวหากยามนี้ช้อนมองราวกับกำลังท้าทายคำขู่ของเขา เธอไม่มีอะไรจะหวั่นกลัวอีกแล้ว มันไม่ใช่ครั้งแรกของเธอสักหน่อย เขาล่วงเกินเธอมามากกว่าจูบแทบจะนับครั้งไม่ถ้วนแล้วด้วยซ้ำ การิมประสานสายตาเข้มขึงตรึงนิ่ง ค่อยเคลื่อนกลีบปากหนาต่ำลงเรื่อย ๆ เนรัญทำแค่ปิดเปลือกตาลงหากไม่คิดหลบหรือเบือนหนี ทำชายหนุ่มเป็นฝ่ายบุกต้องหยุดเสียเอง เขามองเรียวปากชมพูนิ่มที่เชิดรอรับจูบจากเขาอย่างไม่กริ่งเกร็ง ก็ให้นึกหวั่นกลัวขึ้นมาว่าถ้าคราวนี้เขาทำอะไรเธออีก บางทีเธออาจจะหาทุกวิถีทางบินหนีไปจากกรงของเขาก็ได้ ซึ่งเขาไม่คิดอยากให้มันเป็นเช่นนั้นแน่ และจะไม่มีทางให้เป็น...
“โธ่เว้ย ! คุณนี่มัน” เขาฟาดมือแรง ๆ ลงกับโซฟา อยากจะระบายอารมณ์ลงกับเธอก็ไม่กล้า นึกโมโหตัวเองเหลือเกินที่ยอมให้เด็กเมื่อวานซืนมีอิทธิพลต่อความรู้สึก จนเธอเชิดหน้าเชิดตาทำตัวคล้ายกับว่าถือไพ่เหนือกว่า “จะเอายังไง คิดจะเป็นใบ้ไปอีกนานไหม เอาเลยตามสบาย ไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูด ถ้าผมได้ยินเสียงคุณหลุดออกมาเมื่อไหร่ เห็นดีกัน”
เสียงห้าวห้วนสุดขีดตะเบ่งใส่หน้าแม่สาวที่ยังคงหลับตานั่งนิ่งทำใจดีสู้เสือ ก่อนชายหนุ่มจะเดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงออกไปจากห้องนั่งเล่น สาวเท้ายาวฉับ ๆ ตรงไปหาลูกน้องคนสนิทที่นั่งชื่นชมสร้างความสุนทรีให้ชีวิตอยู่กับบรรยากาศส่วนหย่อมเล็ก ๆ ตรงระเบียงกว้างทางด้านหลังของชั้นสาม
“มาร์คขอบุหรี่เราตัวซิ” ยื่นมือไปทางคนสนิทที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ดีไซต์แปลกตา มาร์คส่ายหน้ายิ้ม ๆ
“ไม่มีครับ ผมเลิกนานแล้วคุณฌานก็รู้นี่ครับ” มองเจ้านายที่ทรุดตัวนั่งลงตรงเก้าอี้ตัวตรงกันข้าม “หงุดหงิดเพราะคุณเน่ย์ซินะครับ”
“ยายเด็กนั่นอยากจะลองดีกับเรา คิดจะประท้วงทำสงครามประสาทด้วยความเงียบ อยากรู้นักจะเก่งได้สักกี่น้ำ” การิมกำหมัดแน่น หน้าตาเดือดดาลด้วยแรงโกรธา ไม่รู้เพราะเหตุใดทำไมแค่เนรัญไม่ยอมมองหน้า ไม่ต่อปากต่อคำด้วย ถึงทำให้เขาฉุนขาดมากเพียงนี้ เธอกำลังเกลียดเขาขนาดที่ไม่อยากแม้จะปริปากด้วยสักคำเลยรึ
“คราวนี้จะทำยังไงละครับ ผู้หญิงมาไม้นี้สงสัยว่าเธอคงจะโกรธคุณมากแล้วจริง ๆ” ลูกน้องอมยิ้ม ยังคงลอบสังเกตอากัปกิริยากระวนกระวายของเจ้านายอย่างต่อเนื่อง ก่อนหยั่งเชิงต่อว่า “ถ้าอยากจะให้เธอเกลียดคุณเข้าไส้มากขึ้นอีก ก็ไม่ต้องพยายามจะทำอะไรหรอกครับ คุณก็อยู่เฉย ๆ บังคับให้เธอทนช่วยคุณต่อไปโดยไม่ต้องสนใจไยดีความรู้สึกของเธอ ยังไงพอจบงานคุณกับเธอก็จบบทบาทของเจ้านายกับลูกจ้างอยู่แล้วนี่ครับ”
การิมหันขวับมองหน้าคนสนิท มาร์คกำลังพูดจี้ใจดำเขาชะมัด “เออ...เรา...ไม่ใช่ว่าเราแคร์หรือกลัวยายเด็กบ้านั่นโกรธเกลียดหรอกนะ แต่นายก็รู้ว่าเราจำเป็นต้องพึ่งเธอ ถ้าเธอไม่พอใจทำงานกับเรา เกิดวันไหนมีคนจะฆ่าเราขึ้นมาละ ถ้าเธอไม่ยอมบอกเราให้รู้ตัวล่วงหน้าก่อน เราก็มีแต่ตายกับตายเท่านั้นซิ”
“ตอนนี้คุณฌานจ้างเธอแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวแล้วเหรอครับ แล้วเรื่องคุณแจนละ ไม่อยากให้เธอช่วยแล้วเหรอครับ”
เจ้านายเจอคำถามเข้าไปตรง ๆ เกือบหน้าหงาย เขาลืมอีกแล้ว ลืมประเด็นเดิมเสียสนิท มิหนำซ้ำเรื่องของจารินรัตน์ก็เป็นประเด็นแรกที่เขาลากตัวเนรัญให้มาข้องเกี่ยวด้วย
“ก็ช่วยทั้งสองเรื่องนั่นแหละ นายอย่าพึ่งมาถามเรื่องพวกนี้ได้ไหม ช่วยเราคิดก่อนซิว่าจะทำยังไงให้ยายเด็กขี้งอนหายโกรธ” พอรู้ตัวว่าหลุดปาก เจ้านายจึงรีบโบกไม้โบกมือ ละล่ำละลักอธิบาย “เออ...ไม่ใช่ว่าที่เราคิดจะง้อเพราะกลัวยายนั่นโกรธหรอกนะ แต่เรากลัวว่าเธอจะไม่ยอมทำงานให้เราต่างหาก”
มาร์คซ่อนยิ้ม พลางแขวะขึ้นว่า “อายุปูนนี้แล้วนะครับ กับอีแค่เรื่องง้อหญิงไม่เห็นต้องให้ผมช่วยเลยนี่ครับ คุณฌานประสบการณ์มากกว่าผมอีก เพียงแค่รายนี้อาจจะเด็กมาก เลยง้อยากไปสักหน่อยเท่านั้นเองครับ
“สรุปนายจะไม่บอกเราใช่ไหมว่าต้องทำยังไง โอเคงั้นเราจะใช้วิธีโหด ๆ ของเรานี่แหละ” การิมทำทีจะขยับตัวลุก หากมาร์คแตะแขนเจ้านายให้นั่งลงอยู่ต่อ ยิ้มมุมปากและมองหน้าอีกฝ่ายราวอยากจะบอกอะไรบางอย่าง
“เข้าใจ ใส่ใจ เอาใจแล้วก็จริงใจครับ” มาร์คบอก ก่อนจะพูดต่อสีหน้าจริงจังผิดกับประโยคแรก “ก่อนที่คุณฌานจะไปจีบหญิง ผมมีเรื่องอยากจะพูดกับคุณฌานเรื่องหนึ่งครับ”
“เรื่องอะไร ?” คนถามกลับขมวดคิ้วเครียดตาม ประกายตาของคนสนิทที่ประสานมายิ่งรบเร้าความต้องการอยากรู้ “พูดมาซิมาร์ค”
“เป็นเรื่องที่ผมแค่สันนิษฐานนะครับ เรื่องเมื่อสักครู่ที่คุณฌานทะเลาะกับคุณรูดี้” มาร์คตบมือลงกับบ่าขวาของตัวเองเบา ๆ สายตาสื่อสารความหมายมากกว่าที่พูด และเหมือนการิมก็คงเข้าใจ
ผู้เป็นนายนิ่วหน้าคิดตาม เพราะเรื่องเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนเขามัวแต่โมโหใช้อารมณ์เป็นใหญ่ เลยไม่ทันสังเกต อันที่จริง ‘เลือด’ จะไหลได้ยังไง หรือเป็นเพราะส่วนแหลมของคันธนูบังเอิญทิ่มลงกับไหล่ของรูดี้กันแน่ หรือถ้าไม่ใช่ก็แสดงว่า...เขาควรจะระวังทั้งสองแม่ลูกนี้ไปพร้อมกันเลย !
++++++++++++++++++++
เนรัญนั่งเท้าคางมองปฏิทินในโทรศัพท์มือถือของตัวเอง ดวงตาหม่นเศร้าระคนเบื่อหน่าย เธออยากจะไปพบพี่ชายมาก สำคัญสุดอยากจะไปพบเขาวันนี้เลย ทว่าเมื่อคืนเธอยังคงไม่ได้ปริปากคุยกับการิมแม้แต่คำเดียว แต่เธอก็ไม่ได้อดข้าวอดน้ำประท้วงอย่างคราวก่อน ขนาดเขาเรียกให้เธอไปนั่งดูรายการทีวีเป็นเพื่อนด้านนอก เธอก็ยังทำตามไปนั่งด้วยแต่โดยดี เพียงแค่ไม่มองหน้าเขาแล้วก็ทำหูลอยลมในสิ่งที่เขาพล่ามพูดทั้งหมด ถึงแม้บางช่วงบางประโยคเขาจะพูดดีพูดเพราะก็เถอะ แต่ก็เลือกจะไม่ใส่ใจเขาอยู่ดี ให้รู้ซะบ้างว่าคนอย่างเนรัญเวลาโกรธแล้วเกลียดเลย พวกชอบตบหัวแล้วลูบหลัง เธอไม่มีทางให้อภัยง่าย ๆ และที่สำคัญการที่เธอเงียบก็ดีไปอีกแบบ เพราะการิมไม่กล้าที่จะแตะต้องตัวเธอด้วย
เสียงออดประตูหน้าห้องนอนดังขึ้นติดกันหลายครั้ง เพราะความรำคาญเนรัญจึงลุกจากมุมนั่งเล่นในห้องนอนกว้างไปดูว่าเป็นใคร ทั้งที่อันที่จริงให้เธอเดาก็น่าจะถูกเป๊ะเลยด้วยซ้ำว่าต้องเป็นคุณลุงหน้ายาวเจ้าอารมณ์คนเดิมแน่นอน ทว่าพอมายืนดูจอภาพสี่เหลี่ยมตรงหน้าประตูด้านใน เธอกลับไม่เห็นหน้าค่าตาคนกดออด แต่เห็นไวท์บอร์ดขนาดเล็กที่เขียนตัวหนังสือภาษาอังกฤษหวัด ๆ ยุ่งเยิงด้วยหมึกสีน้ำเงิน โชว์อยู่เต็มหน้าจอภาพ ข้อความที่พออ่านได้บอกว่า
‘คุณเน่ย์ผมรู้นะว่าคุณกำลังเบื่อ ไปช็อปปิ้งไหมผมจ่ายไม่อั้น’ เจ้าของลายมือหวัดวุ่น ลดกระดานไวท์บอร์ดในมือลง โดยที่เขาก็ไม่ได้เห็นหน้าหญิงสาวในห้องนอนหรอก ว่าเธอกำลังเหยียดยิ้มขำ ๆ กับการง้องอนฉบับแข็งทื่อของเขา เนรัญคงยังยืนกอดอกมองผ่านจอภาพและเห็นการิมก้มเขียนไวท์บอร์ดอันเดิมยิก ๆ เขาชูขึ้นมาให้เห็นอีกครั้งพร้อมกับข้อความใหม่
‘ไปกินข้าวก็ได้ ร้านอร่อยที่สุดในประเทศเลยเอาไหม ถ้าคุณตกลงก็กรุณากดอินเตอร์คอมเปล่งเสียงออกมาตอบรับให้ผมได้ยินบ้าง’
หญิงสาวยังคงเงียบทำเพียงแค่ยืนอ่าน และเริ่มจะขำหนักกับท่าทางหัวเสียหน้าหงิกของเขา แต่กระนั้นการิมก็ยังมีความพยายามฝืนยิ้มเฝื่อน ๆ ยื่นหน้ามาใกล้กล้อง ราวกับว่าเขารู้ว่าเนรัญคงยืนมองอยู่ ก่อนจะยกไวท์บอร์ดขึ้นแทรกแทนใบหน้าหล่อเหลา
‘ถ้าให้ผมไปขอโทษนายรูดี้ผมไม่ทำแน่ แต่ถ้าจะให้พาคุณไปหาพี่ชาย ผมพาไปได้...’
อ่านถึงแค่ประโยคนี้ร่างบางก็กระโดดตัวลอย ไชโยตาลุงยอมพาเธอไปหากันกริชจนได้ หน้าสวยที่เผลอยิ้มร่า ปั้นบึ้งตึงก่อนจะเปิดประตูเยี่ยมหน้าออกไป การิมแสร้งตีสีหน้าเข้มทั้งที่นึกดีใจให้กับความสำเร็จก้าวแรกในความพยายามของเขา และคราวนี้หวังว่าคนขี้งอนโกรธนานคงยอมพูดกับเขาสักที
“อยากจะไปหาไอ้ล่ำวันไหนก็บอกมาละกัน แต่ถ้าไม่บอก ผมก็ไม่พาคุณไปหรอกนะ” ชายหนุ่มพูด ก่อนดันบานประตูห้องนอนเปิดกว้าง เดินเข้ามาด้านในอย่างถือวิสาสะ กวาดตามองรอบหนึ่งก่อนจะหันไปยิ้มยียวน “สงสัยว่าผมจะต้องให้คนมาติดกล้องวงจรไว้ในห้องนอนคุณบ้างแล้วซิ”
‘คิดจะแอบดูฉันแก้ผ้าอาบน้ำด้วยเลยซิท่า อีตาทะลึ่ง’ หญิงสาวด่าในใจ ก่อนเสมองอีกทางยามที่สายตาคมหันมาหา รู้สึกว่าเขาจ้องเธอนานเกินไปจึงตัดสินใจหันกลับและพบกับรอยยิ้มเหยเก
การิมลอบกลืนน้ำลายก่อนย้ำว่า “เออ…พร้อมจะไปหาไอ้ล่ำวันไหนก็บอกมา”
“วันนี้” คนตัวเล็กรีบตอบสั้นห้วน แต่เรียกรอยยิ้มได้เต็มวงหน้าคมคาย การิมรู้สึกโล่งอกและแล้วยายเปี๊ยกก็ยอมพูดกับเขาจนได้ถึงจะสั้นไปหน่อยก็เถอะ ชายหนุ่มเดินมารั้งเอวบางเข้าแนบกับอกแกร่ง ก้มหน้ากระซิบข้างใบหูเล็กเสียงแผ่ว
“ได้ครับคุณผู้หญิง ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยไปอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อยด้วยนะครับ ชุดนอนคุณตัวนี้เล่นเอาผมเลือดกำเดาจะไหล” จบประโยคพูดก็บรรจงจูบหนัก ๆ ลงกับแก้มใสไปที อันที่จริงอยากทำมากกว่านี้แต่ยังคงไม่กล้า แล้วคลายวงแขนใหญ่ออกจากร่างบอบบาง ขยับตัวออกห่างคนที่ยืนตะลึงงงงวยนิดหนึ่ง ตาคมกวาดสายตาเล้าโลมมองทั่วร่างอรชร “ชุดนอนบาง ๆ นี่ก็ไม่เลวนะ แต่จะให้ดีกว่านี้ คราวหน้าคุณไม่ต้องใส่ไอ้ตัวเล็ก ๆ ข้างในหรอก”
เนรัญที่พึ่งรู้ตัว ยกมือขึ้นปิดกายตัวเองเร็วไวเท่าที่จะปิดได้ ถลึงตาดุค้อนคนลามกวงใหญ่ “คนบ้า ! ยืนมองตาฉ่ำอยู่ได้ ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษเลย”
“อ้าว...แล้วกันซิ ก็คุณใส่ให้ผมดูเองนี่ ผมไม่ได้แอบดูสักหน่อย” เขาเริ่มอารมณ์ดีพูดกลั้วขำ เห็นแม่สาวน้อยกระฟัดกระเฟียดต่อปากต่อคำก็ทำให้ใจชื้นขึ้นเป็นกอง “ไม่ต้องอายหรอกน่า ทำยังกับผมไม่เคยเห็นไปได้”
การิมหัวเราะร่า เนรัญทั้งโกรธทั้งอายกระโจนตัวเข้าหา ใช้ค้อนน้อยทุบอกไหล่คนตัวใหญ่อย่างไม่ลืมหูลืมตา “คนแก่ลามก ทะลึ่ง บ้ากามที่สุด !”
เขาไม่หลบหากยังยิ้มรับคำด่าหน้าตาเฉย สองแขนแข็งแรงรวบกอดคนตัวเล็กกระชับแน่นจนอกนุ่มนิ่มเบียดชิดอกแกร่งจนร้อนผ่าว ก้มมองคนหน้างอง้ำด้วยอารมณ์หวามไหว การิมคลายมือใหญ่ข้างหนึ่งขึ้นมาช้อนคางเรียวตรึงไว้นิ่ง เปรยเสียงผะแผ่วราวจะให้ได้ยินเพียงลำพัง
“เมื่อคืนผมนอนไม่หลับ เพราะว่ากลัวคุณโกรธจนไม่ยอมคุยกับผม” เนรัญตาค้างยามได้ยินเขาสารภาพ แล้วนาทีต่อมาต้องหลับตาปี๋เมื่อริมฝีปากหนาร้อนจูบเร็ว ๆ คล้ายจะหยอกให้เธอใจหาย ก่อนที่เขาจะพูดต่อแทบปากบางว่า “อีกอย่างเมื่อคืนผมไม่ได้จูบได้จับคุณ คิดถึงเป็นบ้า ขอจูบหน่อยได้ไหม”
ตากลมลืมโพลงจ้องหน้าการิมเป๋ง “รู้งี้ฉันไม่ยอมเปิดปากคุยกับคุณก็ดี”
“แต่คุณก็ยอมคุยแล้วนี่ ช่วยไม่ได้ ผมถือว่าคุณหายโกรธผมแล้ว แล้วก็...ถือว่าจูบครั้งนี้เป็นค่าจ้างของผม ที่จะพาคุณไปพบพี่ชาย”
“บ้าเหรอ ทำไมฉันต้องจ่ายด้วย คุณบอกเองว่าจะพาฉันไป” เนรัญหน้างอ ดิ้นขลุกขลักผลักแผงอกกว้างคนตัวใหญ่ออกห่าง
“ถ้ายอมจ่ายเป็นจูบผมก็จะพาคุณไป แต่ถ้าไม่ยอมจ่ายดี ๆ ผมก็จะปล้ำจูบแล้วคุณก็อดไป เอาไงดีมีให้เลือกแค่สองข้อ”
“ขี้โกง คุณนี่ปลิ้นปล้อนที่สุด” ชายหนุ่มยิ้มกว้างไหวไหล่ เห็นหน้านวลเนียนแดงก่ำเหตุเพราะโกรธระคนเขินอาย ก็ทำให้อยากเพ่งพิศไม่คิดวางตา “ไม่มีการจ่ายค่าจ้างอะไรทั้งแหละ ถ้าคุณไม่พาฉันไปเจอพี่ตั้ง ฉันก็จะไม่พูดกับคุณอีก” เชิดหน้าประสานตาสู้ หากใจดวงเล็กต้องสั่นระริกเมื่อเห็นแววตาคมสีเทาเร่าร้อนราวจะหลอมตัวเธอให้ละลาย แต่สุดท้ายเขาก็จำยอม
“โอเค วันนี้ผมยอมแพ้ แต่คุณห้ามงอนจนไม่ยอมพูดหรือคิดหนีผมไปอีก เข้าใจไหม” แค่รอยยิ้มบาง ๆ กับคำตอบคือการพยักหน้าของเจ้าหล่อน สร้างความปีติเป็นล้นพ้นให้หัวใจดวงใหญ่ ไม่อยากจะเชื่อว่าเขากำลังจะหลงเสน่ห์แม่เด็กหน้าใสตาใสคนนี้ได้ ชายหนุ่มคลายอ้อมกอดจากร่างบางอย่างแสนเสียดายจับจิต ผลักเธอออกห่างช้า ๆ พลางเบือนหน้ามองทางอื่น พูดแกมขู่ขึ้นว่า “นับหนึ่งถึงสามถ้าวิ่งเข้าห้องน้ำไม่ทัน ผมจะจับคุณมาปล้ำจูบแน่ หนึ่ง...สอง...สา...”
“ปั้ง !” การิมมองตามเสียงประตูห้องน้ำที่ปิดลงดังโครมรวดเร็ว แล้วก็ต้องเงยหน้าหัวเราะร่วน ยายเด็กคนนี้ สามารถทำให้อารมณ์เขาแปรปรวนได้ตลอดเลยซิน่า



กันเหงา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 ก.ค. 2555, 17:56:45 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 ก.ค. 2555, 17:56:45 น.

จำนวนการเข้าชม : 1304





<< ตอนที่ 6 พระพรหมสีชมพู   ตอนที่ 8 พระพรหมสีชมพู >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account