ชื่นหัวใจ กลิ่นอายรัก
เศร้า เคล้า โรแมนติก
Tags: โรแมนติกดราม่า

ตอน: ตอนที่ 8/2

ด้านไกรวิทย์นั้นกำลังขับรถนำเพื่อนสาว นพพลและอ้วนมาเพื่อไปพบทนายก็เริ่มรู้สึกตงิดๆเหมือนกำลังถูกติดตามอยู่
“วิทย์ มณว่ารถคันนั้นท่าทางแปลกๆนะ”รมณพูดขึ้นเมื่อสังเกตได้ถึงความผิดปรกติของรถยนต์สีดำคันหลังที่ขับตามมาตั้งแต่ลงทางด่วนมาแล้ว ไกรวิทย์เองก็คิดเช่นนั้น ชายหนุ่มจึงมองผ่านกระจกหลัง นพพลซึ่งนั่งอยู่เบาะหลังข้างๆอ้วนได้ยินคำพูดของรมณจึงหันไปมอง
“เอ๊ะ! นั่นมันรถของคุณพิพัฒน์นี่ เอ๊ะ! หรือว่าพวกมันรู้ตัวแล้ว”นพพลจำได้ว่าเป็นรถเจ้านายเพราะเขาเองก็เคยเป็นคนขับให้สองสามีภรรยานั่น
“ว้าย! จริงด้วย ไอ้คนขับมันน่าจะเป็นลูกน้องคนสนิทของคุณพิพัฒน์นะ ทำไงดีล่ะ มันรู้ตัวแล้ว” อ้วนร้องขึ้นอย่างตกใจเช่นกันเมื่อหันไปดู ทุกคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
“พวกมันรู้ได้ไงเนี่ย!” รมณเอ่ยอย่างร้อนรน
“คงมีใครแอบได้ยินที่พวกเราคุยกันแน่ๆ” ไกรวิทย์คาดเดา ซึ่งทุกคนเองก็คิดเช่นนั้น
“ทุกคนไม่ต้องกลัวนะครับ เดี๋ยวผมจะขับรถหลบมันเอง” ว่าแล้วไกรวิทย์ก็หักพวงมาลัยเลี้ยวรถเข้าทางแยกไปอย่างรวดเร็วจนรถคันที่วิ่งตามมาเลี้ยวแทบไม่ทัน และเมื่อเลี้ยวตามเข้าไปก็ปรากฏว่าเป็นทางสามแยกและเต็มไปด้วยตึกอาคารพาณิชย์ ฝ่ายลูกน้องของพิพัฒน์จึงตรงหยุดรถตรงทางแยกอย่างลังเลไปรู้ไปทางไหนดี แล้วชายหนุ่มก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก
“คุณพัฒน์ครับ เอ่อ..พวกมันขับรถหนีไปแล้วครับ”เลิศฤทธิ์กล่าวรายงาน
“ตามหามันให้พบแล้วจับมาให้ฉัน ฉันต้องการเค้นความจริงอะไรบางอย่างจากพวกมัน!”พิพัฒน์ออกคำสั่งเสียงดุมาตามสาย ทำให้ผู้รับคำสั่งอย่างนายเลิศฤทธิ์จำต้องรับคำอย่างเสียไม่ได้
“ได้ครับผมจะทำเต็มที่ครับคุณพัฒน์” หลังจากนั้นเลิศฤทธิ์ก็วางสาย ก่อนครุ่นคิดอย่างลังเลว่าจะเอาอย่างไรดี แล้วเขาก็ผุดคิดอะไรขึ้นมาได้ ชายหนุ่มจึงหยิบโทรศัพท์มือถือมาอีกครั้งเพื่อโทรหาพรรคพวกของเขา
“เฮ้ย! โชค นายมีงานให้ทำว่ะ เออ เดี๋ยวแกช่วยตามรถ โตโยต้าอัลติส สีขาว เลขทะเบียน กย 9874 ให้หน่อย นายต้องการให้จับตัวว่ะ เออ เออ เดี๋ยวมีรางวัลให้ เออ ช่วยหน่อยโว้ย” แล้วเลิศฤทธิก็โทรตามให้เพื่อนที่เป็นนักเลงหัวไม้ช่วยกันตามอีกหลายคน ซึ่งทุกคนนั้นรับปากเพราะหวังเงินรางวัลนั่นเอง
“มันหายไปแล้ว มันตามไม่ทันแล้ว แหม! คุณวิทย์นี่เก่งจัง” อ้วนกล่าวชื่นชมเมื่อหันไปมองนอกรถเห็นว่ารถที่กำลังติดตามเมื่อครู่นี้ได้หายไปแล้ว
“เฮ้อ โล่งอกไปที ”รมณถอนหายใจก่อนนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงหันไปถามคนที่นั่งอยู่เบาะหลังทั้งสองคน
“แล้วคราวนี้ป้าอ้วนกับนพพลจะทำอย่างไรดีล่ะ พวกนั้นมันไหวตัวทันแล้ว ถ้ากลับไปพวกมันคงไม่ปล่อยคุณไว้แน่” รมณพูดน้ำเสียงเป็นกังวลและเป็นห่วงทั้งสองจับใจ
“ถ้าอย่างงั้นเห็นทีผมกับป้าอ้วนคงต้องกลับไปขอความช่วยเหลือพ่อเลี้ยงอินทัชที่แม่ฮ่องสอนแล้วล่ะ คุณหนูทับทิมเองก็อยู่ที่นั่น”นพพลออกความคิดอย่างไตร่ตรอง เพราะเวลานี้ไม่มีที่ไหนปลอดภัยเท่าไร่บริรักษ์ศักดาอีกแล้ว
“ดีเหมือนกันป้าก็อยากเจอคุณหนูทับทิม ไม่รู้เป็นอย่างไรบ้าง คิดถึงเธอจะแย่อยู่แล้ว” อ้วนพูดอย่างเห็นด้วยและหล่อนก็นึกเป็นห่วงไกรวิทย์กับรมณขึ้นมาเนื่องจากทั้งสองก็ตกที่นั่งลำบากไม่แพ้กัน
“ว่าแต่คุณสองคนจะเอายังไงล่ะ ไปกับพวกป้าไหม แล้วจะบอกคนที่บ้านอย่างไรล่ะเนี่ยป่านนี้ไม่เป็นห่วงแย่หรือ ไม่ได้กลับบ้านสองวันแล้วนี่คะ”อ้วนถามทั้งไกรวิทย์และรมณด้วยความห่วงใย
“ไม่ต้องห่วงผมสองคนหรอกครับ พ่อกับแม่ผมทำงานอยู่ต่างประเทศ นานๆท่านจะกลับมาเยี่ยมสักที ผมกับมณอยู่หอพักนักศึกษาน่ะครับ” ไกรวิทย์เล่า
“ใช่ค่ะ ส่วนมณเป็นเด็กต่างจังหวัด ที่ได้ทุนมาเรียนนี่ที่ค่ะ พ่อแม่ก็อยู่ต่างจังหวัดค่ะ ไม่ต้องห่วงนะคะ พวกเราไม่มีพันธะอะไร มณกับวิทย์พร้อมลุยเต็มที่ค่ะ”รมณบอกอย่างมั่นใจพร้อมทำท่ากำหมัดประกอบการพูด ซึ่งเรียกรอยยิ้มจากทุกคนได้เป็นอย่างดี
“แล้วเรื่องการเรียนล่ะครับ พวกคุณยังเรียนอยู่ไม่ใช่เหรอ”นพพลเอ่ยถามขึ้นเมื่อนึกถึงการเรียนของทั้งคู่
“เรื่องนี้มณฝากเพื่อนช่วยจดเล็คเชอร์ให้แล้วค่ะ ส่วนนายวิทย์นี่เขาโดดเรียนบ่อยค่ะ ใช้วิธีฝากเพื่อนอัดเทปเวลาที่อาจารย์สอนทุกครั้งเลยเวลาที่โดดเรียน” รมณเล่าพลางเหล่ตามองไกรวิทย์เล็กน้อยที่ได้แซวชายหนุ่มไปในตัว จนไกรวิทย์ต้องหันมาดุใส่รมณทางหางตาเช่นกัน
“ดีเลย ถ้างั้นพวกเราไปที่ไร่บริรักษ์ศักดากันหมดนี่แหละ” นพพลพูดขึ้นอย่างยินดี
“ส่วนคุณทนายบดินทร์นี่ ผมว่าพาไปกับพวกเราดีเลยไหมครับ”ไกรวิทย์ขอความเห็นกับทุกคน ก่อนนพพลจะพูดขึ้นมาตามที่คิดเห็น
“ผมคิดว่าที่ที่คุณทนายอยู่น่าจะปลอดภัยดีแล้วนะครับ และพวกคุณพัฒน์กับคุณนงก็ไม่รู้ที่อยู่ของคุณทนาย อีกอย่าง ผมทราบมาว่า คุณนงให้จ้างคนไปเก็บคุณทนาย แล้วคนๆนั้นคงทำพลาดก็เลยกลับมาบอกคุณนงว่าทนายเสียชีวิตแล้ว คุณนงกับคุณพัฒน์ก็เลยเข้าใจว่าคุณทนายเสียชีวิตแล้ว คงไม่คิดถึงตรงนี้แน่นอนครับ” นพพลอธิบายด้วยเหตุผล ทุกคนที่ได้ฟังยอมรับและครุ่นคิดก่อนจะเห็นจริงดังที่นพพลว่า
“ใช่ คุณนงคงไม่ตามล่าคุณทนายแล้วล่ะ พวกเราไปหาทับทิมและพาตัวเธอมาให้ปากคำกับตำรวจเรื่องการตายของคุณภากร รวมถึงเรื่องพินัยกรรมด้วย” รมณเสริมอีกที และทำให้ทุกคนที่ได้ฟังพยักหน้าเห็นด้วยอย่างแรงกับแผนการครั้งนี้
“งั้นเดี๋ยวผมโทรไปบอกเรื่องนี้กับพ่อเลี้ยงอินทัชก่อนนะครับ” นพพลบอกกับทุกคนพลางหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เพื่อจะกดโทรออก แต่ทว่า ชายหนุ่มกดไปได้เพียงสองปุ่มเท่านั้น
“ปังๆๆๆ” เสียงปืนดังสนั่นและรถของไกรวิทย์กลายเป็นเป้าเล็ง ทุกคนในรถโดยเฉพาะรมณกับอ้วนร้องโวยวายด้วยความตกใจ ไกรวิทย์เองก็ได้แต่ประคองรถเพื่อขับหนีไปยังที่ชุมชน เพราะตอนนี้เขาอยู่บนทางมอเตอร์เวย์ และถนนค่อนข้างโล่งเสียด้วย นพพลได้สติจึงหยิบปืนลูกซองที่เหน็บอยู่ข้างเอวตลอดเวลานั้นขึ้นมาใช้งาน
ชายหนุ่มปิดกระจกรถและยิงสู้รถคันที่ยิงใส่อย่างไม่หวั่นเกรง ชายหนุ่มเจาะจงยิงยางรถรถยนต์อย่างเดียวจนกระทั่งรถคันนั้นยางหน้าระเบิดไปทั้งสองข้าง ทำให้ไม่สามารถขับต่อได้อีก ในขณะที่รถของไกรวิทย์ถูกยิงที่ตัวรถด้านหลังเช่นกันแต่โชคดีที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ
“โอย! ฉันจะเป็นลม พวกมันกัดไม่ปล่อยเลยจริงๆ”อ้วนรำพึงอย่างอกสั่นขวัญแขวน สองมือทาบอกเหมือนกลัวมาหัวใจจะหลุดจากอก
“พวกมันคงจะพาพวกแยกย้ายกันตามล่าพวกเราแล้วล่ะ ลูกน้องคุณพัฒน์คงจำเลขทะเบียนรถผมได้”
ไกรวิทย์บอกอย่างหวั่นวิตก รมณเองก็ยังตัวสั่นไม่หายกับเหตุการณ์เมื่อครู่ เธอหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
“ผมว่าพวกมันคงไม่กะจะฆ่าเราหรอกครับ คงแค่ยิงให้เราหยุดรถเฉยๆ เพื่อจับตัวเราไป แต่โชคดีที่รถของคุณวิทย์นั้นเตี้ย เลยทำให้ยิงล้อลำบาก ไม่เหมือนกับรถของพวกมันที่เป็นรถกระบะ สูงกว่าจึงทำให้ผมยิงล้อหน้ามันได้ง่ายกว่าน่ะครับ”นพพลอธิบายจากรูปการณ์
“ดีนะที่คุณนพมีปืน ไม่งั้นพวกเราแย่แน่เลย”รมณกล่าวอย่างใจชื้นขึ้นมานิดหนึ่ง
“ใครบอกว่าคุณนพมีปืนคนเดียวล่ะ” ไกรวิทย์พูดขึ้นมาทำเอา ทุกคนต้องครางหือในลำคอ ก่อนจะเห็นไกรวิทย์นั้นเปิดลิ้นชักที่อยู่ด้านหน้ารถตัวเองและหยิบทำให้ทุกคนได้เห็นปืนพกหลายรุ่น มีอยู่ 4 กระบอก ทำเอาทั้งรมณ อ้วนและนพพลต่างก็ตาค้างไปตามๆกัน
“นี่ผมมีครบพอดีคนเลยนะ มีกระสุนอยู่เต็มแม็กทุกกระบอกเลย”ไกรวิทย์บอกอย่างภูมิใจกับความรอบคอบของตัวเองที่เขาเตรียมพร้อมไว้เสมอ
“นี่นายพกมาด้วยเหรอ ไม่เห็นบอกกันก่อนเลย” รมณถามเสียงสั่นด้วยความคาดไม่ถึง
“ฉันพกไว้ในรถมานานแล้วล่ะ นานจนบางครั้งลืมว่ามีปืนอยู่ในนี้ เพราะยังไม่มีโอกาสได้ใช้ แต่เห็นทีคราวนี้คงต้องใช้แล้วล่ะ”ไกรวิทย์บอก
“โธ่ไม่น่าเลย ป้าไม่น่าบอกพวกคุณให้คุณต้องมาเสี่ยงเลย”อ้วนรำพันอย่างเห็นอกเห็นใจ รมณได้ฟังแล้วก็หรี่ตามองหญิงวัยกลางคนอย่างเข้าใจ
“ไม่เอาน่าป้าอ้วน พวกเราไม่ได้คิดว่าเป็นการเสี่ยงอะไรหรอก ถ้าหากพวกเราเสี่ยง ทับทิมก็เสี่ยงยิ่งกว่า อนาคตของเธอจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ที่ต้องมาสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไปอย่างนี้ พวกเราเป็นเพื่อนกัน อะไรที่ช่วยได้เราก็จะช่วยค่ะ”รมณพูดเสียงอ่อนโยนปลอบใจไม่ให้หล่อนต้องคิดมาก และอ้วนก็เริ่มยิ้มออกขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนหันไปกล่าวขอบคุณทั้งสองคน
และทันใดนั้นเองเสียงโทรศัพท์ของนพพลก็ดังขึ้น ชายหนุ่มจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูและแล้วก็ยิ้มออกอย่างยินดี เมื่อคนที่โทรมานั้นคืออินทัชนั่นเอง
“ฮัลโหลครับพ่อเลี้ยง!” นพพลกดรับสายและพูดทักทายอย่างร้อนใจและกำลังจะขยับปากพูดสิ่งที่อยากจะพูดออกมา ทว่าอีกฝ่ายกลับส่งเสียงเข้มและร้อนรนกลับมาเสียก่อน
“นพ เมื่อครู่นี้ที่นายโทรมา ฉันได้ยินหมดแล้วนะ แล้วฉันก็พร้อมที่ช่วยเหลือทุกอย่างสุดกำลังความสามารถ ตอนนี้พวกนายอยู่ที่ไหน” เสียงที่ตอบกลับมาฟังดูช่างมีพลังและทำให้คนฟังเชื่ออย่างหมดใจว่าเขาสามารถเป็นได้ทั้งที่พึ่งและที่ฝากชีวิตไว้ได้อย่างแน่นอน

เช้าวันรุ่งขึ้น ที่ไร่บริรักษ์ศักดา
อินทัชเรียกประชุมคนงานแต่เช้าซึ่งทุกคนก็มาโดยพร้อมเพรียงกันที่ลานกว้างหน้าบ้านพักเช่นเคย
“ที่ผมเรียกประชุมวันนี้มีเรื่องที่สำคัญคุยกับทุกคน เรื่องแรก เป็นข่าวดีที่วันนี้ผมจะบอก คือไร่บริรักษ์ศักดาของเรา ได้รับรางวัลผลิตภัณฑ์แปรรูปดีเด่นของจังหวัดประจำปีครับ” สิ้นคำบอกของอินทัช เสียงเฮและเสียงปรบมือก็ดังสนั่นไปทั่วบริเวนด้วยความยินดี
“ปีนี้เป็นปีพิเศษที่ทางสมาคมเกษตรจัดให้มีการประกวดธิดาชาวไร่ขึ้นมา และผมและทีมงานก็กำลังมองหาผู้ที่มีความเหมาะสมตามคุณสมบัติที่จะเข้าประกวดในครั้งนี้ หากคิดว่ามีใครคุณสมบัติพอก็เขียนชื่อแล้วมาหย่อนในกล่องแสดงความคิดเห็นที่หน้าออฟฟิตด้านหน้าเลยครับ” บรรดาคนงานทั้งหญิงชายต่างตื่นเต้นที่ได้ฟังข่าวนั้น ต่างหันมาพูดคุยกันต่างๆนาๆด้วยความสนใจ ว่าใครจะได้เป็นตัวแทนของไร่เข้าประกวดในครั้งนี้ ซึ่งทุกคนก็รู้ดีว่าเป็นการประกวดที่สำคัญเนื่องจากพ่อเลี้ยงได้ท้ากับทางไร่สิรเวชแล้ว โดยมีที่ดินที่เป็นลำรางหลาย ร้อยกว่าเมตรเป็นเดิมพัน
“อีกเรื่องหนึ่งนะครับ คือเรื่องการใช้สารเคมี ที่ผมจับได้ว่าทางไร่ของเรามีการลักลอบใช้สารเคมี ตอนนี้ทางเรารู้ตัวคนทำแล้วและผมจะต้องจัดการขั้นเด็ดขาด โดยไม่มีข้อยกเว้น” เสียงนั้นช่างทรงพลังเหลือเกินจนใครบางคนที่รู้เห็นเรื่องนี้นั้นต้องขนลุกทีเดียว
“เอาล่ะครับทุกคนไปทำงานได้ ยกเว้นนายปั้นกับใบบัว ตามเข้ามาคุยกับฉันที่เรือนใหญ่ด้วย” อินทัชออกคำสั่งโดยมองไปทั่วๆไม่ได้เน้นที่ใครแม้แต่ผู้ที่เอ่ยถึง ใบบัวซึ่งแม้จะยืนใกล้ก็เริ่มรู้สึกตงิดๆในใจ หลังจากที่อินทัชเดินไปยังที่เรือนใหญ่แล้ว ใบบัวหันมาจ้องหน้าปั้นตาเขม็งอย่างหาเรื่อง เพราะเธอเดาได้ไม่ยากเลยว่าพ่อเลี้ยงจะเรียกคุยเรื่องอะไรหากมีนายปั้นไปด้วย
“นายปั้น! ตั๋วบอกอิหยั้งป้อเลี้ยง”ใบบัวตะคอกเสียงใส่อย่างโมโห และจับแขนชายวัยกลางคนไว้อย่างวางอำนาจ เพราะถึงแม้ปั้นจะอายุมากกว่า ใบบัวก็หาได้เกรงใจ เพราะถือว่าตัวเองนั้นมีหน้าที่การงานที่สูงกว่า
“เฮามีลูกเมียต้องเลี้ยงเน้อ เฮาบ่ยอมถูกลงโทษผู้เดียวดอก ปล่อยเฮา!” ว่าแล้วปั้นก็สะบัดแขนใส่อย่างไม่ใยดีและไม่นึกกลัวเกรงเช่นก่อน และเขาก็นึกเสียใจที่ไปเชื่อถ้อยคำผู้หญิงอย่างใบบัว
เมื่อใบบัวและปั้นเดินมาถึงยังเรือนใหญ่แล้ว ทุกคนก็อยู่กันพร้อมหน้า ทั้งอินทัช อำพล แม้นวาด พิชชาอร และกระแต อินทัชเห็นดังนั้นก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ชายหนุ่มเริ่มต้นคำถามทันที
“ใบบัว ฉันรู้หมดเรื่องทุกอย่างหมดแล้วนะ ฉันหวังว่าเธอคงไม่มีข้อแก้ตัวอะไร บอกฉันมาเลยดีกว่า ว่าเธอทำแบบนี้ทำไม” อินทัชพูดอย่างเย็นชาโดยไม่หันหน้ามามองใบบัวแม้แต่น้อย ต่างจากใบบัว ที่ได้แต่จ้องใบหน้าคมคายที่แสนจะเย็นชามากในตอนนี้
“ว่าไง! ใบบัว” อินทัชส่งเสียงเข้มกว่าเดิมเมื่อไม่ได้ยินเสียงใบบัวตอบกลับมา ทำเอาผู้ถูกถามกระพริบตาถี่ๆด้วยความหวั่นเกรง
ใบบัวยังเริ่มน้ำตาคลอด้วยไม่รู้จะหาคำพูดใดที่จะมาช่วยทำให้ความผิดครั้งนี้นั้นบรรเทาลง เนื่องจากเธอเองก็รูดีว่าอินทัชนั้นเข้มงวดเรื่องนี้แค่ไหน นอกจากจะประกอบสัมมาชีพแล้ว ชายหนุ่มยังมีจิตสาธารณะ รับผิดชอบสังคมด้วยการคัดสรรแต่ของดีๆ ไร้สารพิษเพื่อผู้บริโภคจะได้รับสิ่งที่ดีและปลอดภัยที่สุด นั่นคือความภาคภูมิใจของเขาที่มันมีค่ามากกว่าเงินทองมากมายที่ได้กลับคืนมาเสียอีก
“ป้อเลี้ยงเจ้า ใบบัวมีเหตุผลนะเจ้า ตี้ใบบัวยะลงไปก็เพราะใบบัวหวังดีนะเจ้า” อินทัชได้ฟังถึงกับฉุนขาดกับคำพูดไม่รู้จักคิดของใบบัว
“หวังดีเหรอ หวังดียังไง ทำอย่างนี้จะเรียกหวังดีได้อย่างไร หา!” ใบบัวและทุกคนในที่นั้นต่างสะดุ้งกับเสียงของอินทัชที่เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ
“ฟังใบบัวก่อนนะเจ้า คือทุกครั้งตี้ใบบัวไปส่งของ ก็มีพวกพ่อค้าแม่ค้าหลายคนมาต่อว่า ว่าผักของเฮาบ่งาม มีรูเต็มไปหมด และเขาก็ไม่อยากสั่งซื้ออีกแล้ว ใบบัวไม่อยากเสียลูกค้า ใบบัวก็เลย...”
“แล้วเธอไม่ได้บอกเขาเหรอว่าผักของเรามันเป็นผักปลอดสารพิษ มันก็ต้องมีรอยแมลงเจาะเป็นธรรมดา” อินทัชย้อนถามกลับมาอย่างจริงจัง ใบบัวจ้องหน้าคนที่เธอรักน้ำตารื้นก่อนพูดขึ้นด้วยเสียงสะอื้น
“ก็ ก็ เปิ้นบอกว่าผักของเจ้าอื่นกะปลอดสาร แต่ยะหยังผักของเขาถึงงามกว่า” พูดแค่นั้นอินทัชก็ตบโต๊ะเสียงดังฉาด ก่อนลุกขึ้นยืนเต็มความสูง พูดขึ้นอย่างหงุดหงิด
“จำที่ฉันเคยบอกไม่ได้หรือไง ผักปลอดสารพิษในท้องตลาดน่ะ ไม่มีที่ไหนปลอดสารพิษร้อยเปอร์เซ็นหรอก มีการปนเปื้อนสารพิษกันทั้งนั้นแหละ มีแต่ผักของไร่เราที่ปลอดสารพิษ ออร์แกนิกส์ร้อยเปอร์เซ็นน่ะ ถ้าหากเขาไม่เชื่อก็ให้เขามาดูที่ไร่เราก็ได้ แล้วอีกอย่างลูกค้าประจำของเราก็มีมากมาย จะไปสนใจทำไมกะอีแค่ลูกค้าที่ไม่รู้จักเลือกพวกนั้น”ใบบัวยิ่งได้ฟังเสียงเข้มนั้นดังเท่าไหร่ก็ยิ่งเสียดแทงหัวใจเธอมากขึ้นเท่านั้น
“ใบบัวบ่กึ๊ดเลยว่าการหวังดีของข้าเจ้าจะยะหื้อป้อเลี้ยงโกรธได้ปานนี้ แต่ไหนๆก็ไหนๆ เรื่องมาถึงขนาดนี้ ใบบัวขอยอมฮับผิดทุกอย่างเจ้า แต่ขออย่างเดียว ป้อเลี้ยงอภัยให้ใบบัวเน้อเจ้า ใบบัวสุมาเต๊อะเจ้า” ว่าแล้วใบบัวก็ยกมือประนมขึ้นแล้วตรงเข้าไปกราบที่อกแกร่งของอินทัชอย่างฉอเลาะ จนทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ต่างตะลึงไปตามๆกัน ฝ่ายอินทัชเองก็ตะลึงเช่นกัน
แล้วชายหนุ่มก็ดันมือของใบบัวที่ประนมอยู่นั้นให้ออกจากอกของเขาอย่างไม่ใยดี ใบบัวมองตามน้ำตาร่วง
“กฎต้องเป็นกฎ ทุกคนต้องปฏิบัติตามกฎ ใครทำผิดก็ต้องได้รับโทษ!” อินทัชพูดอย่างจริงจังจนทุกคนรู้สึกได้ว่าชายหนุ่มนั้นเคร่งครัดเจ้าระเบียบแค่ไหน
“ฉันขอพักงาน นายปั้น หนึ่งเดือน ส่วนเธอใบบัว พักงานสามเดือน!”สิ้นคำพูดที่เด็ดขาดของอินทัชทำเอาใบบัวเข่าอ่อนทรุดลงทันที ส่วนปั้นเองก็ใจชื้นอยู่บ้างที่ถูกพักงานแค่เดือนเดียว คงไม่เดือดร้อนเท่าไหร่
“ป้าแม้นครับ ผมหวังว่าป้าแม้นคงเข้าใจที่ผมทำนะครับ” อินทัชหันมาพูดกับแม้นวาดอย่างนึกเกรงใจที่ต้องพักงานลูกสาวของหล่อนอย่างไม่ปราณี ซึ่งแม้นวาดเองก็เข้าใจและไม่ถือโทษโกรธเคือง
“ดีแล้วค่ะ ป้อเลี้ยง แม่ใบบัวยะผิดกฎ ยะหื้อป้อเลี้ยงเสียหายขนาด ต้องลงโทษพ่อง จะได้จำ”แม้นวาดพูดพลางมองหน้าลูกสาวที่นั่งร้องไห้อย่างไม่อาลัย ใบบัวได้ฟังคำแม่บังเกิดเกล้าแล้วนึกน้อยใจหนักเข้าไปอีก ขนาดแม่แท้ๆยังไม่เข้าข้างเธอเลย แล้วหล่อนก็จ้องใบหน้าเข้มนั้นอย่างอ้อนวอน หล่อนคงขาดใจตายแน่หากไม่ได้เห็นหน้าพ่อเลี้ยง ตั้งสามเดือน คิดดังนั้นหล่อนก็คลานเข้าไปคว้าหมับเข้าที่ขาของอินทัชอย่างจังแล้วกอดไว้อย่างนั้น ทำเอาทุกคนในที่นั้นตะลึงอีกระลอก
“ป้อเลี้ยง ฮือๆๆ ใบบัวสุมาเต๊อะ เจ้า อย่ายะจะอี้กับใบบัวเลย ใบบัวยอมแล้ว ใบบัวจะบ่ยะจะอี้อีกแล้วเน้อเจ้า ให้ใบบัวยะงานเต๊อะเจ้า ใบบัวอยากยะงานเจ้า” ใบบัวคร่ำครวญหวนไห้อย่างน่าสงสาร พลางกอดขาชายหนุ่มไว้อย่างแนบแน่น ถึงแม้การพักงานสามเดือนจะทำให้เธอขาดรายได้ แต่นั่นก็ไม่มีความหมายเท่ากับการที่เธอไม่ได้อยู่ใกล้ชิดเขาเหมือนเช่นทุกวันนี้เลยแม้แต่น้อย
พิชชาอรมองใบบัวร้องไห้แล้วก็นึกสงสารอย่างจับใจ แม้การทำผิดครั้งนี้จะร้ายแรงและทำให้อินทัชเสียหายต้องรื้อแปลงพืชผักใหม่หมด แต่เธอคิดว่าใบบัวเป็นผู้หญิงเก่งก็มีความสามารถเป็นกำลังสำคัญให้งานของอินทัชสำเร็จลุล่วงได้
“พ่อเลี้ยงคะ พักงานคุณใบบัวสามเดือนมันไม่มากไปเหรอคะ คือหนูคิดว่า น่าจะให้คุณใบบัวได้แก้ตัวใหม่ด้วยการแปลงผักให้พ่อเลี้ยงใหม่และกลับมาเป็นแปลงผักปลอดสารพิษเหมือนเดิมได้นะคะ” พิชชาอรออกความคิดเพื่ออยากช่วยใบบัวด้วยใจที่นึกสงสารไม่น้อย ทว่าใบบัวกลับหันมามองพิชชาอรตาขวาง
“ตั๋วบ่ต้องมาอู้เลย เพราะตั๋วใจ้ก่อ ตี้เอาเรื่องนี้มาใส่ฮ้ายเฮา อู้หื้อป้อเลี้ยงโกรธเฮาขนาดนี้!” ใบบัวพูดตามที่เธอคิดอย่างโมโห และไม่ต้องการได้รับความช่วยเหลือจากพิชชาอร ซึ่งพิชชาอรได้ฟังคำใบบัวก็นึกอ่อนใจ คนอุตส่าห์ช่วยพูดให้ หาว่าใส่ร้ายซะงั้น
“คุณหนูทับทิมอุตส่าห์ช่วยพูดหื้อเน้อ ยะหยังตอกกลับมาจะอี้ แม่ใบบัวนิสัยบ่ดี”กระแตพูดขึ้นบ้างด้วยความทนไม่ไหวกับท่าทีของใบบัว
“เอาล่ะ! ทุกคนไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ฟังฉัน ก่อนที่ฉันจะพูดอะไร ฉันคิดดีแล้ว เพราะฉะนั้นจะไม่มียกโทษให้เด็ดขาด” พูดจบอินทัชก็หันไปแกะมือของใบบัวที่กอดขาเขาอยู่อย่างเหนียวแน่นนั้นให้หลุดออก ใบบัวจำใจต้องปล่อยอย่างเสียไม่ได้
“นับตั้งแต่วันนี้ไปอีก สามเดือน เธอไม่ต้องมาทำงานหรือมายุ่งเกี่ยวอะไรที่ไร่อีก หวังว่าเธอคงเข้าใจนะใบบัว” พูดจบอินทัชก็เดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองใครเลยแม้แต่น้อย ทว่าใบบัวมองตามร่างสูงใหญ่นั้นอย่างอาวรณ์ยิ่ง ยังความเสียใจมาให้อย่างที่สุด อาจเพราะครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เธอมีปากมีเสียงกับอินทัช ทำให้เธอทั้งเสียใจทั้งน้อยใจชายหนุ่มเป็นอย่างมาก ทำไมไม่นึกถึงสิ่งดีๆที่เธอเคยทำให้เลย เพราะอะไร
“กรี๊ดดด!” ใบบัวส่งเสียงร้องดังอย่างเจ็บและเสียใจรวมกัน มีเคืองๆด้วยเล็กน้อย ทุกคนต่างตกใจกลับการกระทำของเธอ แม้นวาดจึงเดินเข้าไปหวังจะปลอบใจลูกสาว ทว่าใบบัวกลับลุกหนีไปเสียก่อน
“เฮ้อ ลูกคนนี้ ยะหยังเป็นจะอี้ก็บ่ฮู้” แม้นวาดบ่นอย่างเหนื่อยใจ



พราวเพชร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 ก.ค. 2555, 16:33:19 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 ก.ค. 2555, 16:33:19 น.

จำนวนการเข้าชม : 1071





<< ตอนที่ 8/1   ตอนที่ 8/3 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account