ปมรักภูตเสน่หา โดย ตารกา (วางแผงแล้ว)
56 ปีที่ก่อน ณ คฤหาสน์ผาทราย พลช ชายหนุ่มรูปงาม ลูกชายของนักธุรกิจผู้มั่งคั่ง ได้ฆ่าตัวตายไปพร้อมกับคู่หมั้น แม้เวลาจะผ่านมากหลายทศวรรษแล้ว แต่ดวงวิญญาณของชายหนุ่มก็ยังไม่ไปไหน เขาสถิตอยู่ที่นี่เพื่อรอคอยการกลับมาของคนที่รักหมดหัวใจ

นิยายเรื่องนี้วางแผงแล้วนะคะ สามารถหาซื้อได้ตามร้านหนังสือทั่วไป
หรือสั่งซื้อได้ตามลิงค์นี้เลยค่ะ

http://www.thebooklovers.co.th/index.php/product/detail/778


ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามผลงานนะคะ
Tags: ซึ้งกินใจ ลึกลับ ย้อนอดีต ผี โรแมนติก จิตกรหนุ่มผู้เจ้าอารมณ์ วิญญาณอาลัยที่แสนอ่อนโยน สืบสวน นางเอกเป็นนักกายภาพบำบัด คฤหาสน์กลางเกาะ

ตอน: บทที่ 8 คุณพลช

บทที่ 8 คุณพลช

ปรางรัตน์เอนหลังลงนอนหลังจากศิวกรออกไปจากห้องแล้ว หญิงสาวพยายามไม่ใส่ใจอาการปวดที่ข้อเท้า แล้วบอกตัวเองให้รีบหลับเพื่อที่จะได้ลืมความเจ็บปวด ไม่นานนักเธอก็เข้าสู่ห้วงนิทรารมณ์และถูกดึงย้อนสู่อดีตอีกครั้ง

ภาพแรกที่เห็นเมื่อประตูแห่งความฝันเปิดออกคือภาพแก้มแก้วกำลังเข็นรถเข็นพานายพงษ์ออกมารับอากาศยามเช้า นายพงษ์ดูสุขภาพดีขึ้น อารมณ์แจ่มใสแทบไม่เหลือเค้าของคนป่วยใกล้ตายเลย ที่เป็นเช่นนี้คงต้องยกความดีทั้งหมดให้กับพยาบาลสาว

เหตุการณ์ตรงหน้าหมุนไปค่อนข้างเร็วเหมือนกับกำลังดูภาพยนตร์ ไม่ทันไรจากยามเช้าตรู่ก็กลายเป็นเวลาสิบเอ็ดโมงแล้ว หลังจากเดินเล่นเสร็จ แก้มแก้วก็คอยดูแลให้นายพงษ์รับประทานอาหารเที่ยงกับยา จากนั้นจึงขอตัวไปพัก แล้วให้เด็กรับใช้รับหน้าที่ดูแลชายชราต่อ

นายพงษ์มักจะงีบหลับหลังอาหาร และอ่านหนังสือเงียบๆ ในตอนบ่าย ถ้าไม่ได้เรียกหา แก้มแก้วก็จะมีเวลาว่างจนกระทั่งถึงสี่โมงครึ่ง ซึ่งเป็นเวลายาก่อนอาหาร

ปรางรัตน์ลอยตายหญิงสาวไปที่ห้องครัว ซึ่งขณะนี้กำลังมีการตั้งสำรับล้อมวงกินข้าวกันอยู่พอดี

“อิฉันกำลังจะเตรียมสำรับไปให้คุณพยาบาลอยู่เชียวค่ะ” แม่สร้อยพูดพลางเร่งเด็กรับใช้ให้รีบยกของออกมาจากตู้กับข้าว

แก้มแก้วไม่อยากให้วุ่นวายจึงขอนั่งกินตรงนี้ด้วย

“ในนี้ร้อนนะคะคุณ นั่งกินเบียดๆ กันอึดอัดจะแย่ ขึ้นตึกไปรอดีกว่าค่ะ”

แก้มแก้วยิ้มรับความหวังดีของแม่สร้อย แต่ก็ไม่ยอมกลับไปที่ตึก หญิงสาวทำเสียงอ้อนขอว่า

“อย่าไล่กันเลยนะคะแม่สร้อย กินคนเดียวเหงาจะแย่ กินในวงใหญ่อย่างนี้ดีกว่าเป็นไหนๆ”

ข้อนี้ปรางรัตน์เห็นด้วยกับแก้มแก้วเป็นอย่างยิ่ง เพราะเธอโตมาในครอบครัวใหญ่ กินคนเดียวทีไรมักจะรู้สึกฝืดคอ ไม่ค่อยอร่อยทุกที

“แหม...ดูพูดเข้า ใครจะไล่คนน่ารักอย่างคุณพยาบาลได้ลงกันคะ อิ่มเอ้ย…จัดที่ให้คุณพยาบาลที” แม่สร้อยหันมาสั่งเด็กรับใช้วัยรุ่น

“เรียบร้อยแล้วจ้ะป้า” เด็กสาวหันมาฉีกยิ้มให้

อิ่มวิ่งไปยกเก้าอี้มาไว้ให้ตั้งแต่เห็นแก้มแก้วเดินเข้ามาแล้ว ทั้งยังจับจองที่นั่งข้างพยาบาลสาวเอาไว้ด้วย

“กับเรื่องกินนี่ไวจริงนะ ถ้าแย่งกินจนคุณพยาบาลกินไม่อิ่ม ข้าจะหวดให้หลังลาย”

อิ่มทำเป็นหงอเมื่อถูกขู่ แต่ก็ยังตักกับข้าวจากสำรับของแก้มแก้วกินอย่างไม่เกรงใจ ซึ่งหญิงสาวก็แบ่งให้อย่างเต็มใจ ทั้งยังแจกจ่ายกับข้าวดีๆ ของตัวเอง ให้บรรดาคนรับใช้ได้กินกันอย่างทั่วถึง

ปรางรัตน์รู้สึกได้ว่าความมีน้ำใจกับความไม่ถือตัวของแก้มแก้ว ทำให้หญิงสาวเป็นที่รักของทุกคนในบ้านหลังนี้ แม้แต่เด็กเอาแต่ใจอย่างคุณพิมพาก็ยังติดเธอ เพราะกินยังไม่ทันอิ่ม ซ่อนกลิ่น พี่เลี้ยงของเด็กหญิงก็วิ่งกระหืดกระหอบมาตามหญิงสาว

พี่เลี้ยงของคุณน้องนางคนนี้เป็นคนที่ปรางรัตน์คิดว่าดูน่าสงสารที่สุดในบ้าน เพราะมักจะมีสีหน้าอมทุกข์เกือบตลอดเวลา หญิงสาวมีใบหน้าเรียวยาวเกินพอดี ฟันยื่น หูกาง ผมลู่ลีบติดหนังศีรษะ ต่อให้ทำหน้านิ่งก็ยังมองดูแล้วหดหู่

“คุณน้องนางเธออยากเล่นกับคุณพยาบาลค่ะ คุณแม่ห้ามเธอก็ไม่ฟัง ตอนนี้อาละวาดใหญ่เลย คุณพยาบาลช่วยไปดูหน่อยเถอะนะคะ” ซ่อนกลิ่นขอร้องด้วยท่าทีเกรงใจเป็นอย่างมาก

ทั้งนายพงษ์และคุณพจน์ต่างก็สั่งเอาไว้ว่าแก้มแก้วเป็นพยาบาล ไม่ใช่คนรับใช้ ไม่ได้มีหน้าที่เลี้ยงเด็กหรือทำงานบ้าน คนที่นี่เลยปฏิบัติต่อหญิงสาวคล้ายเป็นเจ้านายคนหนึ่ง

“ได้ค่ะ” แก้มแก้วรับคำแล้วรวบช้อนส้อมทันที

“กินให้อิ่มก่อนเถอะค่ะคุณ เด็กเอาแต่ใจแบบนั้นปล่อยให้อาละวาดไปเถิด” แม่สร้อยแย้ง

พิมพาแปดขวบแล้วแต่ยังงอแงเหมือนเด็กเล็ก ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าได้รับการตามใจเป็นอย่างมาก และผู้เป็นมารดาก็วางตัวเหมือนตัวเองเป็นคนรับใช้ของลูก ไม่กล้าที่จะอบรมสั่งสอน ถูกเลี้ยงดูมาอย่างนี้ไม่เสียเด็กก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว

“ไม่เป็นไรค่ะ หนูกะว่าจะเก็บท้องไว้กินขนมตาลอยู่แล้ว”

“ได้ค่ะคุณ เดี๋ยวอิฉันจะเก็บขนมเอาไว้ให้”

แม่สร้อยรีบกระวีกระวาดแบ่งขนมออกมาจากลังถึง ใส่จานปิดฝาครอบเอาไว้ให้ต่างหาก แล้วสั่งห้ามอย่างเด็ดขาดว่าไม่ให้ใครมาแอบกินของคุณพยาบาล

เมื่อแก้มแก้วเดินออกไปจากห้องแล้ว ตัวของปรางรัตน์ก็ลอยตามหญิงสาวไปที่ชั้นสามของปีกตะวันออก ส่วนนี้เป็นเสมือนกับอาณาจักรของคุณพิมพา เพราะไม่มีใครอื่นอยู่เลย นอกจากเด็กหญิงกับมารดา

ปรางรัตน์ได้ยินเสียงร้องกรี๊ดดังแว่วมาแต่ไกล เธอเลยลองบังคับตัวเองให้ลอยคู่ไปกับซ่อนกลิ่นที่เดินนำลิ่วไปไกลดู จึงเห็นว่าคุณพิมพากำลังอาละวาดอยู่กับมารดา เด็กหญิงร้องกรี๊ดแล้วตะโกนว่าจะหาพี่แก้มแก้วเสียงดังลั่น

“ใจเย็นนะคะคุณน้องนาง แม่ให้ซ่อนกลิ่นไปตามแล้ว” คนเป็นแม่พยายามปลอบแต่ดูเหมือนว่าจะไร้ผล

แจ่มจันทร์เรียกลูกสาวตัวเองว่าคุณทุกคำ พินอบพิเทาเสียเหลือเกิน เด็กหญิงจึงไม่มีความยำเกรงในตัวมารดาเลย
“ลูกบังเกิดเกล้าของจริงเลยนะเนี่ย” ปรางรัตน์พึมพำกับตัวเอง เธอรู้สึกเห็นใจแก้มแก้วขึ้นมาทันทีที่ต้องมารับมือกับเด็กอย่างนี้

“คุณพยาบาลมาแล้วค่ะ” ซ่อนกลิ่นรีบร้องบอก

พอรู้ว่าคนที่ต้องการพบมาหา คุณพิมพาก็เลิกโยเยแล้วโผเข้าหาแก้มแก้ว

“น้องนางอยากฟังนิทาน แต่ไม่มีใครเล่าให้ฟังเลย” เด็กหญิงฟ้องราวกับเป็นฝ่ายโดนรังแก ทั้งที่ตัวเองต่างหากที่เอาแต่ใจจนน่าจะถูกตี

“ก็คุณแม่กับซ่อนกลิ่นไม่รู้หนังสือฝรั่งนี่คะ” ซ่อนกลิ่นแก้ต่าง

ส่วนแจ่มจันทร์ก็หันมาขอโทษขอโพยแก้มแก้วเป็นการใหญ่ที่ทำให้ต้องลำบาก

“ดิฉันว่างอยู่แล้วค่ะ อยู่เฉยๆ ก็ไม่ได้ทำอะไร คุณแจ่มจันทร์อย่าเห็นว่าเป็นการรบกวนเลยนะคะ”

เห็นผู้ใหญ่ทำท่าจะคุยกันยาว เด็กหญิงก็หันมาดึงแขนแก้มแก้วเป็นการเร่ง

“เล่นนิทานค่ะ” คุณพิมพาพูดพลางส่งสายตาเว้าวอนมาให้

ปรางรัตน์เห็นแล้วก็นึกเอ็นดูขึ้นมาบ้าง ถ้าตัดเรื่องโมโหร้าย ชอบอาละวาดออกไป เธอก็ดูไม่ต่างจากนางฟ้าน้อยๆ นัก เพราะคุณพิมพามีหน้าตาที่น่ารักมาก โตไปคงได้ชื่อว่าเป็นสาวงาม

แก้มแก้วเดินตามแรงดึงของเด็กหญิงไปที่หีบใบใหญ่ซึ่งบรรจุหนังสือมากมาย มีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เล่มที่เด็กหญิงอยากฟังก็คือนิทานภาษาอังกฤษที่มีภาพประกอบสีสันสดใส แก้มแก้วรับมากางอ่านบนโต๊ะตัวเล็ก โดยมีเด็กหญิงนั่งฟังอยู่ข้างๆ หญิงสาวไม่ได้เล่านิทานให้ฟังเปล่าๆ แต่ยังสอนคำศัพท์ภาษาอังกฤษให้เด็กหญิงไปด้วย

ระหว่างที่แก้มแก้วเล่านิทานให้คุณพิมพาฟัง ปรางรัตน์ก็หันไปชมทัศนีย์ภาพจากหน้าต่างห้อง เผลออึดใจเดียวตัวเธอก็ถูกดึงได้ลอยตามแก้มแก้วออกไปจากห้องเสียแล้ว

ในโลกแห่งความฝันนี้เธอกับแก้มแก้วเหมือนมีเชือกเส้นยาวๆ ประมาณสิบเมตรผูกติดกันเอาไว้ แก้มแก้วไปไหนเธอก็ต้องไปด้วย ไม่มีอิสระจะไปไหนมาไหนได้ตามชอบใจ แต่ขยับตัวได้ทุกทิศทางในรัศมีที่กำหนด

ก่อนออกจากห้องหญิงสาวชำเลืองมองนาฬิกาข้างฝาผนัง ตอนเข้ามามันจะเพิ่งจะเป็นเวลาเที่ยงครึ่งเท่านั้น แต่ตอนนี้บ่ายสามโมงกว่าแล้ว เวลาในความฝันมักจะหมุนช้าหมุนเร็วสลับกันไปแบบนี้เสมอ แรกๆ ก็ชวนให้สับสนอยู่บ้าง แต่หลังจากได้ฝันแบบเดิมสองสามครั้ง ปรางรัตน์ก็เริ่มจะคุ้นชิน

แก้มแก้วกลับไปที่ห้องครัว หญิงสาวคงจะมากินขนมที่แม่สร้อยเก็บเอาไว้ให้ อยู่ๆ หญิงสาวก็หยุดกะทันหัน ปรางรัตน์ที่ลอยตามหลังมาก็เลยชนเข้าให้อย่างจัง แต่จะเรียกว่าชนก็คงไม่ถูกนัก ต้องเรียกว่าทะลุผ่านไปต่างหาก ในความฝันนี้เธอเป็นเพียงผู้เฝ้ามอง ไม่มีใครมองเห็นหรือรับรู้การมีตัวตนของเธอเลย

สิ่งที่ทำให้แก้มแก้วหยุดฝีเท้าก็คือโจรขโมยขนม โจรคนนี้กำลังใช้นิ้วแคะขนมตาลออกมาจากถ้วยตะไล แล้วหยิบเข้าปากกินอย่างเอร็ดอร่อย

“ให้ดิฉันตักใส่จานให้ดีกว่าค่ะ” แก้มแก้วส่งยิ้มละไมให้ชายหนุ่ม แล้วจัดแจงจัดขนมใส่จานให้เขา

โจรขโมยขนมหันมามองหญิงสาวตาค้าง ทั้งที่ขนมยังคาปาก ชวนให้นึกถึงภาพอิเหนาตอนตะลึงตะลานยามได้พบหน้านางบุษบา

พอได้มองหน้าชายหนุ่มเต็มตาปรางรัตน์ก็อดหัวเราะขำไม่ได้ เพราะเขาหน้าเหมือนกับศิวกรไม่มีผิด ถ้าให้เดาคนคนนี้คงเป็นคุณพลชอย่างไม่ต้องสงสัย

ในรูปถ่ายคุณพลชทำหน้านิ่งๆ เลยดูไม่ต่างกับศิวกรเท่าใด แต่ในความฝันนี้เขาหันมายิ้มกว้างให้แก้มแก้วอย่างเป็นมิตร ไม่ต้องสังเกตแววตากับรูปปากก็แยกออกในทันทีว่าใครเป็นใคร ช่วงอายุก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ทั้งคู่ดูแตกต่าง พลชในความฝันเป็นชายหนุ่มอายุยี่สิบต้นๆ อยู่ในวัยที่เพิ่งจะพ้นจากชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยมาได้ไม่นาน แววตาจึงดูสดใส มีชีวิตชีวา ผิดกับศิวกรที่อายุมากกว่าเกือบรอบ ดูเป็นชายหนุ่มเต็มตัวแล้ว สุขุมน่าเกรงขามกว่ากันมาก

“ขอบคุณครับ” คุณพลชหันมาพูดกับแก้มแก้วด้วยน้ำเสียงลอยๆ เขายังคงจ้องเธอตาค้าง จนลืมเรื่องขนมไปเลย

“ไม่ทานขนมตาลแล้วหรือคะ” แก้มแก้วถาม

“ทานครับ…ทาน” ชายหนุ่มรับคำแล้วหยิบเอาขนมใส่ปากไม่ยั้งแก้เขิน

แก้มแก้วกับปรางรัตน์จึงพร้อมใจกันยิ้มขำอากัปกิริยาของเขา

“ระวังติดคอนะคะ” หญิงสาวหันไปหยิบแก้วออกมาจากชั้น แล้วรินน้ำจากเหยือกส่งไปให้เขา

คุณพลชรับน้ำมาดื่มแต่ก็ยังไม่ยอมละสายตาไปจากแก้มแก้ว แววตาเขาแสดงออกอย่างชัดเจนว่าหลงเสน่ห์เธอเข้าแล้ว

ปรางรัตน์เข้าใจความรู้สึกของชายหนุ่มดีทีเดียว เพราะเธอเองก็นิยมชมชอบกิริยานุ่มนวลอ่อนหวานของแก้มแก้วไม่น้อย ขนาดเป็นผู้หญิงด้วยกันยังมองเพลิน นับประสาอะไรกับผู้ชายอย่างคุณพลช

สองหนุ่มสาวได้อยู่ด้วยกันอีกอึดใจ แม่สร้อยก็เดินเข้ามาในห้องครัวด้านใน แกมักจะมาหยิบวัตถุดิบที่แกหวงเอาไว้ให้คุณๆ ทั้งหลายเวลานี้เสมอ ที่ไม่เก็บเอาไว้ในครัวด้านนอก ก็เพราะกลัวพวกคนรับใช้คนอื่นจะแอบหยิบเอาไปทำกินกันเสียหมด

คฤหาสน์แห่งนี้มีครัวหลักอยู่สองแห่งคือครัวในคฤหาสน์ไว้ที่เอาไว้จัดเตรียมสำรับกับครัวไฟที่ใช้หุงหาอาหารโดยเฉพาะ ครัวไฟนี้เป็นครัวเปิด เพราะว่าสมัยนั้นยังใช้เตาถ่านกันอยู่

“คุณพลชมาเมื่อไรกันคะ!” แม่สร้อยอุทานอย่างตกใจ

ดูเหมือนคนที่บ้านนี้จะยังไม่รู้กันว่าคุณพลชกลับมาแล้ว ปกติแม่สร้อยรู้ความเคลื่อนไหวในบ้านไวกว่าใครเสมอ เพราะมีเด็กรับใช้วัยรุ่นอย่างอิ่มและอึ่ง คอยวิ่งรายงานความเป็นไปในบ้านให้แกรับรู้ มาตกข่าวแบบนี้แกเลยมีสีหน้าไม่ค่อยจะพอใจนัก

“เมื่อครู่นี่เองครับแม่สร้อย ยังไม่ได้กินอะไรเลยแต่เช้า ดีที่ได้ขนมตาลรองท้อง เลยรอดตาย” ชายหนุ่มเอ่ยพลางหันไปทำตาซึ้งใส่แก้มแก้ว

“ตายจริง! แล้วทำไมไม่ให้คนไปบอกอิฉันคะ ไปแย่งของคุณพยาบาลเธอกินทำไม”

“คุณพยาบาล? ผมนึกว่าเป็นคุณครูเสียอีก” คุณพลชหันไปมองแก้มแก้วด้วยสีหน้าประหลาดใจ

ในสมัยนั้นบุคลากรทางการแพทย์ขาดแคลน หรือต่อให้เป็นปัจจุบันนี้ก็ยังมีน้อยคนนักที่จะยอมออกมาในอยู่ชนบทห่างไกลความเจริญ

“ไม่ใช่หรอกค่ะ คุณครูของคุณน้องนางยังหาไม่ได้เลย คุณแจ่มจันทร์เธอเลยต้องสอนเองไปพลางๆ ก่อน”

ทั้งสามสนทนากันอีกพักหนึ่ง แก้มแก้วก็ขอตัวไปเตรียมจัดยาให้นายพงษ์ คุณพลชจึงขอตามไปด้วย เพราะยังไม่ได้ไปกราบบิดาเพื่อรายงานตัวว่ามาถึงแล้ว

ปรางรัตน์เฝ้ามองชายหนุ่มช่วยแก้มแก้วยกถาดน้ำกับยาเดินไปด้านบน สองหนุ่มสาวดูเหมาะสมกันเหลือเกิน คนหนึ่งก็สูงโปร่งหล่อเหลา ส่วนอีกคนก็สวยหวานนุ่มนวล ไม่แน่ว่าทั้งคู่อาจจะหมั้นกันในเวลาต่อมาก็ได้ แต่แล้วปรางรัตน์ก็ต้องลังเล เมื่อนายพงษ์หันไปคุยกับลูกชายว่าอยากพูดเรื่องการแต่งงาน

“แหวนหมั้นที่สั่งให้ทำไปถึงไหนแล้ว”

“ใกล้เสร็จแล้วครับ พี่พจน์มาคราวหน้าคงเอามาด้วย แต่ไม่เร็วไปหรือครับคุณพ่อ อีกฝ่ายเขายังไม่ได้ตกลงกับเราเลย”

“ช้าไปด้วยซ้ำ แกคิดว่าฉันจะอยู่บนโลกนี้ได้อีกนานแค่ไหนกันเชียว”

ฟังได้เท่านี้ก็ต้องออกมาเสียแล้ว เพราะแก้มแก้มหลบฉากออกมาอย่างรู้มารยาท

จากนั้นปรางรัตน์ก็ตามติดแก้มแก้วไปดูฉากการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งไม่มีเหตุการณ์น่าสนใจอะไรอีกเลยจนกระทั่งตื่นนอน


ปรางรัตน์สะดุ้งตื่นมาพร้อมกับความรู้สึกเหมือนมีคนมาจับข้อเท้า หญิงสาวชักข้อเท้าหนีตามสัญชาตญาณแล้วก็ต้องร้องครางเพราะความเจ็บปวด ไม่ต้องมองก็รู้ว่าตอนนี้ข้อเท้าคงจะบวมมาก

หญิงสาวหยัดตัวลุกขึ้นแล้วหยีตาขึ้นมองแสงสีส้มจากโคมไฟข้างเตียง แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อเห็นว่าศิวกรกำลังนั่งอยู่ที่ปลายเตียงของเธอ

“ขอโทษครับ ผมแค่จะมาพันผ้าให้ใหม่ แต่เห็นว่าคุณหลับก็เลยไม่อยากปลุก” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

ความเปลี่ยนแปลงของเขาทำให้หญิงสาวหันไปจ้องหน้าชายหนุ่มตาเขม็ง เธอคุยอยู่กับศิวกรไม่ผิดแน่ แต่มีบางอย่างในท่าทีของเขาที่แปลกไป

“ห้อยหาลงข้างเตียงได้ไหมครับคนดี ผมจะได้พันแผลให้”

ชายหนุ่มขยับตัวมาอยู่ข้างเตียง เขาคุกเข่าลงกับพื้น แล้วบุ้ยใบ้ให้เธอวางเท้าลงบนหน้าขา

ปรางรัตน์รู้สึกกระดากพิลึกกับคำว่า ‘คนดี’ ของเขา ศิวกรนึกเพี้ยนอะไรขึ้นมาถึงได้เรียกกันแบบนั้น

“รังเกียจที่จะให้ผมดูแลหรือครับ” ชายหนุ่มช้อนตาขึ้นมามอง เนื่องจากหญิงสาวเอาแต่นั่งนิ่งไป ไม่ส่งขามาให้เขาเสียที

แววตาที่เหมือนกับลูกสุนัขตัวน้อยที่ถูกเจ้าของหมางเมินทำให้รู้สึกผิด จนต้องรีบปฏิเสธว่าไม่ได้รังเกียจ แล้วยื่นเท้าไปให้เข้าทันที

ชายหนุ่มจับข้อเท้าของปรางรัตน์อย่างเบามือ แล้วแกะผ้ายืดที่พันอยู่ออก เขาจับปลายผ้ามาม้วนใหม่ให้พร้อมใช้งาน แล้วจับข้อเท้าเธอกระดกขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็พันเป็นแนวขึ้นมา เพื่อจำกัดความเคลื่อนไหวของข้อเท้า จะได้ไม่เจ็บเวลาขยับตัวและเป็นการลดบวมไปด้วย

“ถ้าแน่นไปก็บอกนะครับ ผมจะพันให้ใหม่”

“ไม่เลยคะ พอดีแล้ว ขอบคุณนะคะ”

ฝีมือการพันของเขาจัดว่ายอดเยี่ยมทีเดียว ถ้านี่เป็นการสอบศิวกรคงจะได้คะแนนเต็มเป็นแน่แท้

“ค่อยๆ ยกเท้าขึ้นนะครับ”

ชายหนุ่มช่วยประคองขาของหญิงสาวขึ้นมาบนเตียง หาหมอนมาหนุนขาให้สูง แล้วเตรียมน้ำกับยาแก้ปวดให้

ถึงจะรู้สึกแปลกที่ศิวกรเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ แต่การดูแลของเขาก็ทำให้ปรางรัตน์ประทับใจ ตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งมีครั้งนี้ที่มีคนมาดูแลเอาใจใส่ราวกับเธอเป็นเจ้าหญิง

“ฟ้ายังมืดอยู่ นอนต่อเถิดนะครับคนดี ผมไม่รบกวนแล้ว”

ปรางรัตน์ยอมทำตามคำพูดของศิวกรอย่างไม่อิดออด พอเธอทิ้งตัวลงนอนแล้วเขาก็ดึงผ้าห่มมาห่มให้ถึงคาง แล้วเอ่ยราตรีสวัสดิ์ คืนนี้หญิงสาวคงจะฝันดีเป็นแน่ ถ้าไม่ได้ยินประโยคสุดท้ายที่ชายหนุ่มพูดก่อนออกไปจากห้อง

“ราตรีสวัสดิ์นะครับแก้มแก้ว”

ชื่อของพยาบาลสาวทำให้ปรางรัตน์ตัวแข็งทื่อ วูบหนึ่งเธอเห็นว่าใบหน้าของเขาไม่ใช่ศิวกรที่เธอรู้จัก แต่กลับกลายเป็นคุณพลชที่อยู่ในความฝันของเธอแทน





นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 ก.ค. 2555, 12:53:26 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 ก.ค. 2555, 12:53:26 น.

จำนวนการเข้าชม : 1871





<< บทที่ 7 บาดเจ็บ   บทที่ 9 คนสองบุคลิก? >>
goldensun 30 ก.ค. 2555, 13:15:04 น.
คุณพลชมาแก้ไขที่ศิวกรพันผ้าไว้ทันทีที่มีโอกาส แต่ก็ทำให้แก้มรู้สึกกับความต่างแล้ว ก็เพิ่งฝันเห็นหยกๆ นี่คะ แต่สงสัยศิวกรนอนช้าแน่ เลยทำให้แก้มมีเวลาฝันก่อน
ลอยตามค่ะ ไม่ใช่ลอยตาย


ameerahTaec 30 ก.ค. 2555, 13:44:33 น.
คุณพลชมาแล้ววววววว อัยย๊ะเรียกนางเอกว่าแก้มแก้วด้วย แบบนี้นางเอกจะรู้มั้ยหนอ


Zephyr 30 ก.ค. 2555, 14:19:04 น.
แก้มจะต้องรู้แน่ๆเลยว่าเป็นคุณพลชอ่ะ ไม่ใช่ศิวกร
โอ้ มาแก้ไขที่พันแบบแปลกๆใช่มั้ย น่ารักจังคุณพลช
อ่านๆไปก็ชักอยากจะรู้ว่า เกิดอะไรขึ้นในอดีตกันนะ


หนอนฮับ 30 ก.ค. 2555, 15:18:34 น.
มาแว้วววว...คุณพลช เข้าสิง...


konhin 30 ก.ค. 2555, 19:39:06 น.
ง่ะ สาวน้อยกำลังหวานในอารมณ์อยู่ดีๆเรียกชื่อแก้มแก้วซะงั้น กลัวเลย


นิชาภา 31 ก.ค. 2555, 14:35:11 น.
คุณ goldensun ใช่ค่ะ ศิวกรนอนต่างจากคนปกติค่ะ กลางคืนฮีไม่ค่อยนอน คุณพลชเลยออกมาได้เป็นพักๆ

คุณ ameerahtaec นางเอกรู้ตัวค่ะแต่ยังไม่แน่ใจ นางกลัวผีเลยคิดในแง่ดีไว้ก่อน

เฟอร์จัง ใช่แล้วเฟอร์จัง แก้มรู้ตัวแหละ แต่นางยังไม่อยากฟันธง นางปลอบใจตัวเองเอาไว้ก่อนว่าคิดมาก 5555

คุณหนอนฮับ อิๆ ปล่อยให้คุณพลชมีบทบ้างค่ะ เดี๋ยวศิวกรจะเด่นไป

คุณ kohin กระชากอารมณ์กันนิสสสสสสนึงค่ะ เพื่อความตื่นเต้น


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account