รอยอธิษฐาน
‘รอยอธิษฐาน’ โดย รวิญาดา

ชาติภพหนึ่ง ความรักของหนึ่งหญิงสองชาย ได้จบลงด้วยความเศร้า

หนึ่งคนตายจากพร้อมความเกลียดชัง...
อีกหนึ่งคนถูกคำสาปให้กลายเป็นภูติร้ายรอการปลอดปล่อย

และอีกคนมีชีวิตอยู่เพื่อรอคอยชดใช้ความผิด

เป็นภูติร้าย รอคอยการกลับมาของนางอันเป็นที่รัก

มิตรภาพ ความรัก แรงอธิษฐาน...

สิ่งใดจะมีอานุภาพเหนือกว่า ...




Tags: รวิญาดา นิยาย ภพ ชาติ

ตอน: ตอนที่ 2. การปรากฏตัวของใครคนหนึ่ง

2.

ท้องฟ้าสว่างนวลตาในยามคืนเพ็ญ แสงจันทร์ฉาดฉายลงมายังหลังคาสูงของอาคารหลังใหญ่สลัวราง มองเห็นป้ายไม้แกะสลักติดไว้ว่า “ พิพิธภัณฑ์ เรือนแก้ว” เงาของกิ่งไม้ยามถูกสายลมพัดกระทบกิ่งก้านใบ ส่ายไหวไปมาเป็นเงาตะคุ่มๆ ทาบทอบนพื้นหญ้า ด้านหน้าอาคาร ร่างของชายรูปร่างสูงโปร่งในชุดสูทสีเข้ม ยืนคุยกับชายร่างเล็กค่อนข้างผอมสวมชุดสีกรมท่าข้างเอวของเขาเหน็บกระบองยาวไว้ ในมือถือกระบอกไฟฉายอันโต

“นายสม ฉันจะเข้าไปเอาของในเรือนแก้ว ตามฉันเข้าไปข้างในหน่อยนะ”

“ครับ ด็อกเตอร์บรรณ เอ... ทำไมถึงมาเอาของดึกๆป่านนี้ล่ะครับ”

นายสมเอ่ยถามนายจ้าง เขาทำงานเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัย ให้พิพิธภัณฑ์เรือนแก้วมาหลายปี สนิทสนมคุ้นเคยกับ ด็อกเตอร์ สุบรรณ นักโบราณคดี เจ้าของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้พอควร ไม่เคยเห็นผู้เป็นนาย มาเอาของในพิพิธภัณฑ์ ยามค่ำมืดแบบนี้มาก่อน

ผู้เป็นนายจ้าง ขมวดคิ้ว หากยังรักษาสีหน้าไว้ไม่ให้แสดงอาการหงุดหงิด

“ฉันก็ไม่อยากมาตอนนี้หรอกนะ แต่ท่านอธิบดีเจตต์น่ะสิ ท่านอยากให้ฉัน เอาของที่ได้มาใหม่ ให้เพื่อนท่านดู ผลัดเป็นวันพรุ่งนี้ก็ไม่ได้ ให้ตามมาดูที่นี่ก็ไม่เอา นี่ถ้าไม่เห็นแก่ งบวิจัยที่จะอนุมัติเดือนหน้า ฉันไม่ถ่อสังขารจากงานเลี้ยงมาเอาให้หรอกนะ”

ด็อกเตอร์ นักโบราณคดีบ่นออกมา ยาวเหยียด ราวกับต้องการระบายความอึดอัดใจ แม้รู้ว่าคนฟังไม่สามารถช่วยอะไรได้ แต่ยังดีกว่าเก็บไว้คับอก ไม่มีที่ระบาย

“ถ้างั้น ก็รีบไปเอาเถอะครับ นี่ก็ดึกมากแล้ว เดี๋ยวจะกลับไปไม่ทัน”

นายสม รีบล้วงกุญแจ ออกมาไขประตู ก่อนจะเปิดสวิชต์ไฟให้ความสว่าง จากทางเข้าด้านหน้า ซึ่งเป็นห้องโล่งกว้างเพดานสูง ปูพื้นด้วยหินอ่อน จัดแสดงวัตถุโบราณประเภทรูปปั้น และเทวรูปโบราณ เขาเดินนำนายจ้างตรงไปยังมุมด้านซ้ายสุดของห้อง ที่มีบานประตูบานใหญ่กั้นไว้ ด้านหลังประตู เป็นทางเดินยาว จากทางเดินมีห้องแสดงวัตถุโบราณอยู่ทั้งสองฟาก เมื่อเดินผ่านเข้าไปเรื่อยๆ จนสุดทางเดินจะพบห้องๆหนึ่งอยู่ด้านใน ด้านบนขอบประตู เขียนไว้ว่า ‘ห้องจัดแสดง อัญมณีและเครื่องประดับโบราณ’

“นายสมรออยู่ข้างนอกนะ เดี๋ยวฉันจะเข้าไปเอาของในตู้เซฟ”

ด็อกเตอร์สุบรรณ หันมาสั่งลูกน้อง ก่อนจะเปิดล็อคห้อง เข้าไปด้านใน ด้วยระบบสแกนด์ลายนิ้วมือ ซึ่งมีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น ที่สามารถเปิดปิดห้องนี้ได้ ปกติจะเปิดให้ผู้มาเยือนเข้าชมห้องนี้ได้เฉพาะวันจันทร์ พุธ ศุกร์ เท่านั้น ซึ่งเป็นวันที่ผู้เป็นเจ้าของจะอยู่ ดูแลด้วยตนเอง ร่างสูงเดินเข้ามาภายในห้อง มือควานเปิดสวิชต์ไฟข้างผนัง เมื่อไฟสว่างจึงมองเห็นภายในห้อง วางตู้กระจกนิรภัยภายในมีเครื่องประดับโบราณ แยกเป็นประเภทต่างๆ ไว้ เช่นกำไล ต่างหู สร้อยคอ บางตู้จัดแสดงอัญมณีจำพวกเพชร พลอย ซึ่งล้วนแต่เป็น ของเก่าแก่ นับร้อยๆปีทั้งสิ้น

ด็อกเตอร์สุบรรณ เดินไปยังตู้กระจกด้านในสุด เขามองของที่วางอยู่บนผ้ากำมหยี่สีน้ำเงินเข้ม ด้านในกล่องไม้ อัญมณีเม็ดใหญ่ประกายสีแดงสดวะวิบวาว ล้อแสงไฟที่สาดส่องกระทบ ประดับบนเรือนกำไลสีทอง ที่ทำเป็นรูปดอกบัวบาน ต่างจากกำไลอันอื่น ที่เขาเคยพบ ซึ่งล้วนทำเป็นรูปสัตว์ประเภทนาคหรืองู บางอันก็ประดับเพชรพลอย หินสี

“กำไลรัตมณีฉายครับด็อกเตอร์ มีคนนำมาขายให้คุณแม่ผม พอได้มันมาคุณแม่ผมก็ป่วย สงสัยไม่ถูกโฉลกกัน ผมยกให้ด็อกเตอร์เอาไปเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ครับ” เจ้าของเดิมบอกกับเขาแบบนั้น ก่อนจะนำกำไลโบราณชิ้นนี้ มามอบให้เขาเมื่ออาทิตย์ก่อน

ด็อกเตอร์ สุบรรณ ได้ศึกษาเกี่ยวกับเมืองโบราณ เขาได้ขุดค้นสำรวจพื้นที่หลายแห่งใ นภาคเหนือ จนพบกับซากเมืองแห่งหนึ่งในป่าลึก ที่แห่งนั้น มีศิลาจารึก เกี่ยวกับอัญมณี นามว่า รัตตมณีฉาย แห่งเวียงแสงฟ้า มีรูปวาดกำไลรูปดอกบัว ที่ประดับด้วยอัญมณี ปรากฎอยู่ด้วย

“รัตตมณีฉาย อัญมณีศักดิ์สิทธิ์ มีฤทธิ์บันดาลทุกสรรพสิ่ง”

ข้อความที่ถอดจากศิลาจารึกนั้น ทำให้เขายอมทิ้งครอบครัว และลูกสาว วัยห้าขวบ เพื่อค้นหามัน สิบกว่าปีกับความพยายามนั้น เขาได้มันมาครอบครองโดยไม่คาดคิด ด็อกเตอร์สุบรรณพยายามถอดข้อความ ที่เหลือในจารึกอีกแผ่น

“ในคืนจันทร์ดับ หนึ่งวิญญาณ หนึ่งหยดโลหิตสตรีพรหมจรรย์ จักเปิดผนึกมนตรา พรสามประการ แลชีวิตอมตะ จักเป็นของผู้ครอบครอง แลจักต้องสังเวยด้วยหยดโลหิต ของผู้ครอบครองทุกคืนเพ็ญ ”

เขาพยายามถอดความหมายนี้ หาก มิอาจเข้าใจประโยคแรก หนึ่งวิญญาณ หมายถึงสิ่งใด หรือจะต้องใช้ชีวิตคน สังเวยจึงจะทำให้ รัตตมณีฉาย มีอิทธิฤทธิ์ ความไม่แน่ใจทำให้ ด็อกเตอร์นักโบราณคดี ไม่อาจสนองความอยากรู้ของตนเองได้ เขาจึงนำเรื่องนี้ไปปรึกษา อธิบดีเจตต์ ผู้เป็นลุงเขย นั่นทำให้ เขาต้องกลับมาเอาของชิ้นนี้ไปให้ท่านกับเพื่อนดู

“ทำไม อากาศในนี้ถึงเย็นนักนะ”

ด็อกเตอร์สุบรรณบ่นพึมพำ รู้สึกถึงกระไอความเย็นมาสัมผัสร่างกาย ต้นคอคล้ายมีสายลมแผ่วๆ เป่ารด...ให้ความรู้สึกเย็นยะเยือก... ราวกับมีก้อนน้ำแข็งเย็นๆ ลูบผ่าน เขามองไปรอบๆห้อง ไม่พบว่าเผลอเปิดแอร์ทิ้งไว้ จึงละความสนใจ หันมากดปุ่มเปิดล็อคตู้กระจกนิรภัย เขาใช้นิ้วจิ้มแป้นตัวเลขด้านข้างตู้ ไฟสีแดงดับลงพร้อมกับไฟสีเขียวกะพริบขึ้นมาแทน กระจกครอบค่อยๆเลื่อนเปิดออกช้าๆ เมื่อฝากระจกครอบเปิดออก เขาจึงหยิบกำไลออกมาจากตู้

ทันใดนั้นเอง! ไฟในห้องก็ดับพรึบลง

วี๊ด... วี๊ด... วี๊ด!!!

เสียงแหลมๆ ดังก้องขึ้น ต้นเสียงมาจากที่ใดก็สุดรู้ สร้างความตกใจให้คนที่อยู่ในความมืด ด็อกเตอร์ สุบรรณ หันรีหันขวางมองหาทางออก ยามนี้ห้องที่เขาอยู่ ไม่ต่างจากกรงขัง เมื่อไฟดับ ระบบอีเลคโทรนิคทั้งหลาย ก็ดับลง ไฟฉุกเฉินถูกติดตั้งไว้ด้านนอก เท่านั้น

“นายสม! ได้ยินฉันมั้ย” เขาตะโกนเรียก พนักงานรักษาความปลอดภัย ที่อยู่นอกห้อง

“ใจเย็น นะครับด็อกเตอร์ ผมจะโทรเรียกช่างไฟให้เขามาดู” เสียงของนายสม ดังแว่ว เข้ามา ทำให้ใจชื้นขึ้น

ด็อกเตอร์สุบรรณ ล้วงหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋า มาเปิดเพื่อให้ความสว่าง เขาใช้มันส่องทางเดินเพื่อหาที่นั่ง แสงจากโทรศัพท์บางเบาจนมองแทบไม่เห็น เมื่อพาตัวเองมาถึงมุมห้อง ที่จำได้ ว่ามีโต๊ะไม้วางไว้ ก็เลื่อนเก้าอี้มานั่ง ภายในห้องที่ปิดทึบ แถมไฟฟ้ายังดับเช่นนี้ รู้สึกอึดอัด จนหายใจไม่คล่องปอด ในมือ ยังถือกำไลไว้ เขาวางมันลงบนโต๊ะ ข้างโทรศัพท์ ที่เปิดหน้าจอไว้ แสงสว่างกระทบอัญมณี ในความมืด

ประกายแสง สีแดงฉาดฉายเจิดจ้า... พุ่งออกมาจากอัญมณีนั้น!

ลำแสงสว่างใส รวมตัวก่อเป็นรูปร่างของบุรุษในชุดนักรบดุดัน ร่างนั้น...โปร่งแสง พลิ้วพราย... กระเพื่อมไหว... ลอยละล่องอยู่เหนือเพดานห้อง ละม้ายร่างของภูติผี ปีศาจ ทำให้คนที่เห็นถึงกับตกตะลึงกับภาพเบื้องหน้า ร่างกายแข็งทื่อ ตาเบิกกว้าง หัวใจคล้ายหยุดเต้นไปชั่วครู่ ก่อนจะตั้งสติได้ ในไม่กี่วินาทีต่อมา แล้วผงะถอยห่าง จากตรงนั้นอย่างลนลาน!

ร่างโปร่งแสง ลอยลงมายังพื้นเบื้องล่าง แล้วเคลื่อนกายลอยเอื่อย เข้ามาใกล้เรื่อยๆ ด็อกเตอร์สุบรรณ พาร่างอันกระปลกกระเปลี้ย ด้วยความกลัวของตน ถอยหนีมาจนหลังชนผนังห้องอีกด้าน หอบหายใจแรง เหงื่อแตกพลั่ก เต็มตัว ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่ถึงนาที เจ้าตัวเพิ่งบ่นว่าเย็นอยู่แท้ๆ เขาพยายามตั้งสติไม่ให้หวาดกลัวมากกว่านี้

“นายสม ช่วยด้วย ช่วยฉันที” เขาแหกปากตะโกนสุดเสียง

ทว่า ... กลับไม่มีถ้อยคำใดหลุดลอดออกมาจากคอเลย เสียงของเขาหายไป มีเพียงริมฝีปาก ที่ขยับไปมา สร้างความตกใจให้อีกเท่าตัว ดวงตาเบิกโพลงขึ้นด้วยความหวาดหวั่น

เมื่อร่างโปรงแสง เคลื่อนเข้ามาใกล้ ทำให้มองเห็นใบหน้าคมคาย ของบุรษหนุ่มในชุดนักรบโบราณ ยืนผงาดอยู่เบื้องหน้า แววตาเยียบเย็น ฉายแววอำมหิต ขณะโน้มกายลงมาหาช้าๆ พลัน... ละอองหมอกควันสีขาว ก็เข้ามาโอบล้อมร่างกาย ของด็อกเตอร์สุบรรณ ความหนาวเย็น แผ่ซ่านไปทุกอณูเย็นจนถึงกระดูก ร่างกายคล้ายเป็นตะคริว ขยับเขยื้อนไม่ได้ เรี่ยวแรงดูเหมือนจะค่อยๆ หายไประหว่างลมหายใจ ที่แผ่วอ่อนลงไปทุกที เจ้าของร่างกายพยายามต่อสู้ หากมิอาจช่วยเหลือตัวเองได้ พลังชีวิต เลือดเนื้อ ถูกดูดกลืนไปเรื่อยๆ ยังดีที่ไม่เจ็บปวดทรมาน มากมาย ร่างหนาเต็มไปด้วยเลือดเนื้อของมนุษย์ค่อยยุบลงๆ

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ วิชชุ!” เสียงตวาดดังก้องขึ้น

ร่างสูงสง่า ของบุรุษในชุดสีดำ ยืนจังก้าอยู่เบื้องหลัง ด็อกเตอร์สุบรรณที่บัดนี้ เหลือเพียงร่างที่ซูบซีด ถูกปลดปล่อย ร่างของเขาล้มลงกองกับพื้น ไม่ต่างจากเศษผ้าขี้ริ้วเก่าๆ ร่างโปร่งแสงนั้น ผละออกจากเหยื่อ ก่อนจะกลายเป็นลำแสงสีแดง หายวูบไปในอัญมณีบนกำไลทอง

ชายหนุ่มในชุดดำ รีบเข้ามาช้อนร่างที่นอนหายใจผะแผ่วบนพื้น หากสายเกินแก้ เสียแล้ว เมื่อเขามาช้าเกินไป พลังชีวิต ของร่างนั้น ได้ถูกดูดไปจนหมด !

๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

ร่างเพรียวระหงสวมชุดกระโปรงยาวสีดำ เดินตามคนนำที่เป็นตำรวจ ผ่านประตูห้องดับจิตเข้าไปข้างในช้าๆ คนที่เดินนำหยุด เมื่อพบกับแพทย์แผนกชันสูติพลิกศพ ซึ่งยืนรออยู่ข้างเตียงพยาบาล ที่มีผ้าสีขาวคลุมไว้

“ต้องขอโทษด้วยนะครับ ที่ให้มาดูร่างของผู้ตายด้วยตัวเอง”

นายแพทย์เอ่ย ขณะเปิดผ้าคลุมออก ก่อนจะรูดซิปเปิดถุงพลาสติกใบใหญ่ ที่หุ้มห่อไว้ เผยให้เห็นร่างของผู้ที่นอนนิ่งอยู่ในนั้นชัดเจน ร่างนั้นพอมองออกว่าเป็นเพศชายสวมเสื้อชุดสูทเต็มยศ ใบหน้าที่มีแต่หนังแห้งติดกระโหลกศีรษะเหมือนกระดาษ มองเห็นลูกนัยน์ตาเหลือกโปน คล้ายหวาดกลัวอะไรก่อนเสียชีวิต มือที่โผล่ออกมาจากแขนเสื้อ มองเห็นนิ้วทั้งห้าหงิกงอแห้งกรอบ สภาพร่างกายยังคงรูปร่างเดิมไว้ ลักษณะของผู้ตายคล้ายได้รับความเจ็บปวดทรมานอย่างสาหัสก่อนตาย...

“นี่คุณพ่อ หรือคะ” บัวบุษยา ถามด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า ปลายนิ้วสั่นระริก ขณะเอื้อมมาแตะใบหน้าของศพ

“ใช่ครับ ร่างนี้เป็นร่างของด็อกเตอร์ สุบรรณ พ่อของคุณครับ” นายตำรวจ เจ้าของคดี เปิดแฟ้ม ที่นำมาด้วยให้ผู้เป็นลูกสาวคนตายดู

“ราวเที่ยงคืน เราได้รับแจ้งจากนายสมมาตร บุญห่อ พนักงานรักษาความปลอดภัย ของพิพิธภัณฑ์ เรือนแก้วว่า ด็อกเตอร์สุบรรณ เสียชีวิต อยู่ภายในห้องเก็บวัตถุโบราณในพิพิธภัณฑ์” นายตำรวจอธิบายรายละเอียดคร่าวๆ

“พอไปถึงที่เกิดเหตุ ก็พบร่างของด็อกเตอร์ ในสภาพนี้ครับ”

บัวบุษยา มองร่างของผู้ให้กำเนิดด้วยความอาลัย เธอแทบไม่ได้ใกล้ชิดกับผู้เป็นพ่อเลย นับตั้งแต่คุณนิดามารดาของเธอหย่าขาดกับท่าน สาเหตุเกิดจากความบ้างานของพ่อ ทำให้แม่ทนไม่ไหว พาเธอกลับมาอยู่บ้านตากับยาย คุณนิดาตัดขาดจากสามี และแต่งงานใหม่กับนักธุรกิจเจ้าของร้านอัญมณี บัวบุษยาจึงไม่ได้มาคลุกคลีกับญาติฝ่ายบิดาเท่าใดนัก เมื่อได้รับโทรศัพท์แจ้งข่าวร้าย เธอจึงรีบเดินทางมายังโรงพยาบาลตำรวจ ตามลำพัง

“สภาพศพแห้งเกรียมเหมือนถูกอบให้แห้ง แต่เสื้อผ้าและเครื่องประดับไม่มีร่องรอยอะไรเลย บริเวณที่พบศพไม่พบการต่อสู้ หรือข้าวของเสียหาย ทุกอย่างปกติหมด ลักษณะการตายแบบนี้ผมไม่เคยพบมาก่อน” นายตำรวจบอกรายละเอียดเพิ่มเติม

คำบอกเล่านั้น ทำให้คนฟังเกิดความสงสัย “ เกิดอะไรขึ้นกับคุณพ่อคะ”

คำถามนั้นได้รับคำตอบว่า “ขอเวลาให้เรา ชันสูติตามกระบวนการก่อน เราถึงจะให้คำตอบได้”

บัวบุษยา เดินตามนายตำรวจคนเดิมออกมาจากห้องนั้น หญิงสาวเดินช้าๆ เรื่อยเอื่อยไปตามหลังคนเดินนำ โดยไม่สนใจสิ่งรอบกาย ความเสียใจ อาลัยรัก ทำให้แทบสิ้นเรี่ยวแรง ในสมองคุ่นคิดถึงสาเหตุการตายของบิดา ลักษณะที่ผิดธรรมดานั้น ชวนให้คนเป็นลูกอดคิดไม่ได้ ว่าผู้เป็นพ่อได้พานพบสิ่งใด ก่อนสิ้นลมหายใจ เธอจะทำอย่างไร ถึงจะค้นพบคำตอบนั้น...

๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

หน้าต่างบานใหญ่เปิดกว้างรับสายลมเย็นตามธรรมชาติที่พัดโชยมา ม่านบางพลิ้วส่ายไหวปลิวสะบัดตามแรงลม แสงสว่างจากโคมไฟด้านนอกสาดส่องเข้ามาหากไม่สว่างจ้ามากพอ บรรยากาศในห้องจึงหม่นสลัวมองเห็นเพียงเงาวูบวาบของปลายยอดไม้ อากาศเย็นสบายจนเจ้าของห้องพอใจที่จะเปิดหน้าต่างรับลมธรรมชาติ มากกว่าความเย็นจากเครื่องปรับอากาศเหมือนทุกคืน เมฆลอยเกลื่อนฟ้าจนมองไม่เห็นดวงดาว สายลมพัดเบาๆแล้วสงบนิ่งในที่สุด

ตรงบริเวณใต้ระเบียงติดกับหน้าต่างที่เปิดอ้า ร่างๆหนึ่งกำลังเคลื่อนตัวขึ้นมาสู่ด้านบนระเบียงอย่างช้าๆ ร่างนั้นลอยขึ้นมาอยู่บนขอบระเบียงราวกับปุยนุ่น ก่อนจะเคลื่อนตัวอย่างเงียบกริบผ่านเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดโล่ง แสงสว่างจากด้านนอกมองเห็นเงาตะคุ่มๆของร่างสูงใหญ่กำยำที่ปีนหน้าต่างๆ เข้ามาภายในห้องนอน เจ้าร่างนั้นยืนนิ่งอยู่หลังม่าน สายตามองผ่านม่านบางเบามองคนบนเตียง แสงไฟจากโคมไฟสาดส่องรางๆ บนเตียงร่างสองร่างนอนเคียงกันหลับสนิท ร่างเล็กกว่าหันหลังให้อีกคนที่นอนหงายส่งเสียงกรนดังสนั่น ร่างสูงใหญ่เคลื่อนกายออกมาจากหลังม่าน แล้วหยุดที่ข้างเตียง มือหนาใหญ่ยื่นไปแตะลำคอของคนที่นอนกรน พร้อมกับกระชากร่างนั้นจนลอยหวือติดมือมา

“เฮ้ย! ทำอะไรวะ”

เสียงร้องตกใจดังมาจากเจ้าของร่างสันทัด หัวใจเต้นแรง จนสั่นไปทั้งตัว สายตาพร่าพรายเพราะตื่นกะทันหัน สมองมึนงงไปหมด แต่อาการคุกคามของผู้บุกรุก ทำให้เจ้าของห้องรู้สึกหวาดกลัว มือที่กำรอบคอบีบแน่นขึ้น จนหายใจไม่ออก อาการง่วงหายไปเป็นปลิดทิ้ง

“ปล่อยฉันนะ... ช่วย...โอย...ด้วย...”

เสียงร้องแหบโหยจนไม่ได้ยิน แม้ออกแรงดิ้นก็ไม่อาจหลุดจากกำมือของอีกฝ่าย แสงไฟในห้องจะทำให้มองเห็นใบหน้าไม่ชัด หากกิริยาที่อีกฝ่ายกำลังทำ ส่งผลให้ร่างของเจ้าของห้องอ่อนแรงลงทุกขณะ มือพยายามแกะมือของอีกฝ่ายที่กุมลำคอให้หลุดออกแต่สู้แรงของอีกฝ่ายไม่ได้

“อย่า... อย่าทำฉัน...”

ดวงตาเหลือกถลนตามแรงบีบ เขาส่งเสียงร้องให้ดังที่สุดเท่าที่จะแผดเสียงได้ แต่คนร่วมห้องกลับนอนนิ่ง ไม่มีท่าทางรับรู้ถึงอันตรายที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย ราวกับโดนสะกดไว้

ร่างสูงใหญ่กำยำลากร่างสันทัดของเจ้าของห้องลงมาจากเตียง หิ้วคอเดินลิ่วออกมาจากห้องนั้นราวกับเป็นแค่ตุ๊กตายัดนุ่น ก่อนจะโยนโครมลงบนพื้นสนามหญ้าหน้าบ้าน แสงไฟจากโคมไฟสนามที่เปิดไว้โดยรอบส่องกระทบใบหน้าคมคาย

“อย่าทำอะไรผมเลย ผมกลัวแล้ว”เขาพนมมือแต้

ร่างสูงใหญ่ยืนจังก้าน่าเกรงขาม จ้องมองร่างบนพื้นด้วยแววตาเยียบเย็น มือหนายื่นไปจับคอคนบนพื้น ยกลอยขึ้นมาจนใบหน้าชิดกัน

“หุบปากแล้วฟังข้า!”

๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

มาอัพแล้วค่ะ ตอนนี้น่ากลัวนิดๆ นะคะ หวังว่าคงจะตามอ่านกันต่อนะ

ขอบคุณที่แวะมาอ่านค่ะ

รวิญาดา



รวิญาดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 ส.ค. 2555, 16:22:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 ก.ย. 2555, 15:50:05 น.

จำนวนการเข้าชม : 1243





<< ตอนที่ 1.   ตอนที่ 3.อดีตเริ่มหวนคืน >>
คิมหันตุ์ 8 ส.ค. 2555, 17:09:09 น.
อ้าวตาย...กลายเป็นน่ากลัวซะยังงั้น ...อิอิ


ตามหาฝัน 8 ส.ค. 2555, 21:03:17 น.
เรืองร้อยรัก ไม่ลงแล้วเหรอค่ะ


อริสา 9 ส.ค. 2555, 03:47:36 น.
น่าสนุกค่ะแต่ท่าทางจะเศร้าด้วย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account