รอยอธิษฐาน
‘รอยอธิษฐาน’ โดย รวิญาดา

ชาติภพหนึ่ง ความรักของหนึ่งหญิงสองชาย ได้จบลงด้วยความเศร้า

หนึ่งคนตายจากพร้อมความเกลียดชัง...
อีกหนึ่งคนถูกคำสาปให้กลายเป็นภูติร้ายรอการปลอดปล่อย

และอีกคนมีชีวิตอยู่เพื่อรอคอยชดใช้ความผิด

เป็นภูติร้าย รอคอยการกลับมาของนางอันเป็นที่รัก

มิตรภาพ ความรัก แรงอธิษฐาน...

สิ่งใดจะมีอานุภาพเหนือกว่า ...




Tags: รวิญาดา นิยาย ภพ ชาติ

ตอน: ตอนที่ 3.อดีตเริ่มหวนคืน

ตอนที่ 3.อดีตเริ่มหวนคืน

รถเก๋งคันเล็กสีดำแล่นเข้าจอดใต้ร่มไม้ คนขับเปิดประตูลงมายืนข้างรถ อีกฝั่งผู้โดยสารลงมายืนมือเกาะขอบประตู สายตาทอดมองไปรอบกาย แสงแดดลอดร่มไม้ลงมารำไร เงียบสงบร่มรื่นไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ ที่ขึ้นอยู่เรียงราย ร่างของชายในชุดสีขาวรูปร่างผอมเกร็งเดินตรงมาหาคนทั้งสอง

“หลวงพ่ออยู่ที่กุฏิครับ คุณลิน คุณบัว” นายเขียวทักทายสองแม่ลูก

“นายเขียว ช่วยผมยกลังยาหลังรถหน่อยครับ” นลินเปิดฝากระโปรงรถ ยกลังใส่เวชภัณฑ์ส่งให้นายเขียว

“ส่งมาให้บัวช่วยยกลังนึงเถอะค่ะคุณแม่”

บัวบุษยาอาสาช่วยยกลังกระดาษ เดินตามนายเขียวไปยังกุฏิของหลวงพ่อปาน ซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังโบสถ์ เด็กวัดคนอื่นที่อยู่บริเวณนั้น เข้ามาช่วยรับกล่องยาไปเก็บ สองพี่น้องเดินขึ้นบันไดไม้ไปบนกุฏิ ด้านในร่างของผู้ทรงศีลนั่งบนอาสนะกำลังคุยกับชายหนุ่มคนหนึ่งอยู่ ชายคนนั้นสวมเสื้อสีฟ้าอ่อนกางเกงสีขาวสะอาด นั่งขัดสมาธิหันหลังให้ประตู

“มากันแล้วหรือ...” หลวงพ่อทักบุตรีและหลานสาว

นลินกับบัวบุษยาคลานเข้าไปกราบผู้ทรงศีล แล้วขยับมานั่งลงเคียงกันใกล้กับชายหนุ่มเสื้อฟ้า คนที่นั่งอยู่ก่อนหันมายิ้มให้ผู้มาใหม่ ดวงตาเรียวทอประกายอบอุ่น แววตาทอดมาแสดงความเป็นมิตร บัวบุษยายิ้มตอบ รู้สึกดีใจที่ได้พบชายหนุ่มอีกครั้ง ใบหน้าคมคายของเขายังอยู่ในความทรงจำของเธอไม่คลาย หากยามนี้ไม่ใช่เวลามาทักทายเมื่อเธอมากับมารดา และอยู่ต่อหน้าผู้ทรงศีล

“หลวงพ่ออยากพบพวกเราทำไมหรือคะ” นลินเอ่ยถาม ปรายตามองบุรุษหนุ่มอย่างสังเกต เมื่อเห็นลูกสาวกับชายหนุ่มมองหน้ากันเหมือนคนรู้จัก

ผู้ทรงศีลยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ สายตาทอดมองบุตรีกับหลานสาว แววตาซ่อนรอยบางอย่างลึกเร้น ท่านปัดสายตามองใบหน้าของบุรุษเสื้อสีฟ้า แววตาอีกฝ่ายส่งความนัยให้ท่านรับรู้

“อาทิตย์หน้าอาตมาจะไปธุดงค์สักหนึ่งเดือน” ท่านหยุดนิดหนึ่ง วางถ้วยชาบนแป้น “อยากให้โยมทั้งสองช่วยดูแลลูกศิษย์วัด ฝากเขาเข้าเรียนในโรงเรียนให้ด้วย”

“ได้สิคะหลวงพ่อ มีกี่คนคะ” นลินรับคำ เธอรับอุปการะเด็กด้อยโอกาสลูกศิษย์ก้นกุฎิของหลวงพ่อ ส่งเสียให้เรียนจนจบปริญญาตรีมาหลายรุ่น

“สามคนครับคุณลิน เด็กทางเหนือครับ พ่อแม่เขาฝากดูแล”

นายเขียวตอบแทนหลวงพ่อ กวักมือเรียกเด็กชายสามคนที่นั่งแอบอยู่หน้าประตูให้เข้ามา “เข้ามาสวัสดีคุณลินสิ...”

เด็กชายวัยรุ่นสามคนคลานเข่าเข้ามาพนมมือไหว้ นลินโอบไหล่เด็กที่ตัวเล็กสุดให้มานั่งข้างๆ

“อยู่ชั้นอะไรกันแล้วจ้ะ”

“เพิ่งจบประถมหกครับคุณผู้หญิง” เด็กน้อยตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพ

“ให้เข้าโรงเรียนอาจารย์ประมูลนะคะ เด็กของเราเรียนที่นั่นหลายคน” นลินบอกผู้ทรงศีล

เธอแตะมือขยี้ศีรษะเด็กทั้งสามอย่างเอ็นดู โครงการทุนการศึกษาเพื่อเด็กด้อยโอกาส ที่หลวงพ่อปานจัดตั้งขึ้น ชื่อว่า “กองทุนประทีปธรรม” ได้ช่วยให้เด็กที่เรียนดีแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ในชนบทหลายคน สามารถเข้าเรียนในระดับที่สูงขึ้นได้ นลินมีหน้าที่ดูแลเด็กๆที่ได้รับทุน ให้เข้าศึกษาตามโรงเรียนที่คัดสรรไว้

“หลวงพ่อยังไม่ได้แนะนำให้รู้จัก โยมวาริชเลย ท่านเป็น...” ผู้ทรงศีลผ่อนเสียงลง “ท่านเป็นผู้อุปถัมภ์เด็กๆสามคนนี้ รู้จักกันไว้นะ”

“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะคุณวาริช ฉันชื่อนลินค่ะ เป็นลูกสาวของหลวงพ่อ นี่หนูบัวลูกสาวของฉันเอง” นลินหันไปทักทายชายหนุ่มที่นั่งอยู่ พร้อมแนะนำตัวเองกับลูกสาวให้อีกฝ่ายรู้จัก

วาริชยิ้มละมุนตา เขามองสองแม่ลูกด้วยแววตาเป็นมิตร

“ยินดีที่ได้รู้จักคนดีๆ อย่างคุณสองคน” คำทักทายของชายหนุ่มฟังแปลกหู

นลินมองใบหน้าขาวกระจ่างนั้นอย่างติดใจ เธอต้องเคยพบชายหนุ่มที่ไหนมาก่อนแน่ๆ แต่ที่ใดกัน...นึกยังไงก็นึกไม่ออก ใบหน้าคมคายสะดุดตาเช่นนี้ ไม่น่าจะผ่านสายตาไปโดยไร้การจดจำ เมื่ออีกฝ่ายมองมาแววตาของเขาเจือรอยบางอย่าง ช่างคุ้นตากับแววตาแบบนี้

“ไม่ทราบว่าเราเคยพบกันมาก่อนหรือเปล่าคะ” นลินอดถามไม่ได้

วาริชยิ้มมุมปาก ปรายสายตามองผู้ทรงศีลแวบหนึ่ง ดวงตาคมกระจ่างใส

“คนเราถ้ารู้สึกว่าคุ้นเคย ในอดีตภพย่อมเคยเป็นเพื่อนกันมาก่อน บางทีผมกับคุณอาจเป็นเพื่อนกันมาแต่ชาติปางก่อน”

“ยังงี้ถ้าเห็นหน้าแล้วรู้สึกชังน้ำหน้า แปลว่าชาติก่อนเคยเป็นศัตรูกันมาก่อนสิคะ” นลินเอ่ยทีเล่นทีจริง พร้อมกับหัวเราะเบาๆ

คนฟังยังยิ้มใจเย็น มองคนถามด้วยสายตาอารี

“อยู่ที่ว่าความรู้สึกนั้น เกิดขึ้นเพราะความอคติในใจ หรือว่าเป็นความรู้สึกดั้งเดิม” คำตอบเรียบเอื่อย แฝงรอยเมตตา

“คนเราจะโกรธข้ามชาติ พยาบาทข้ามภพเลยเหรอ” บัวบุษยาท้วง ไม่เห็นด้วยกับคนพูด

“ถ้าคนๆนั้นแค้นใครมากๆ จิตสุดท้ายก่อนตายฝังใจเจ็บ อาจทำให้เขาเกิดมาในชาติใหม่และจดจำความคุมแค้นครั้งเก่าได้ เขาเรียกว่าผูกพยาบาทยังไงครับ”

วาริชเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบอ่อน จ้องหน้าคนถามนิ่ง คล้ายอยากจะบอกว่า... ยามนี้มีใครบางคน กำลังผูกพยาบาทคนๆหนึ่งไม่ปล่อยวาง เช่นเดียวกับใครอีกคนผูกพันธะด้วยความรัก เหนี่ยวรั้งให้วนเวียนในห้วงของความผูกพันไม่มีที่สิ้นสุด ทว่าแรงแค้นหรือแรงรักจะมีอำนาจมากกว่ากัน

คำพูดนั้นคล้ายแหวกม่านบางเบาที่ขวางกั้นให้เปิดออก หากเป็นความรักล่ะ... จะผูกพันด้วยดวงจิตสุดท้ายได้หรือไม่... เปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติจะเปลี่ยนความรู้สึกในหัวใจได้หรือ... ภาพของบุรุษใบหน้าคมเข้มผ่านเข้ามาในมโนนึก หัวใจอ่อนละมุนราวกับโอบล้อมด้วยสายลมอุ่นๆ บัวบุษยาเผลอยิ้ม ดวงตาทอประกายเจิดจ้า

อาการของหนุ่มสาวทั้งสอง ทำให้คนที่แอบลอบมองอยู่เข้าใจผิด คุณแม่แกล้งกระแอมดังๆ จิกสายตาเขียวๆใส่ลูกสาว

“ยายบัว เราไปช่วยเด็กเตรียมเอกสารสมัครเรียนให้แม่ด้วย พรุ่งนี้จะได้มารับแต่เช้า” คนเป็นแม่แกล้งใช้งานลูกสาว หวังให้ไปให้พ้นสายตาชายหนุ่มอีกคน

“หนูบัวไปดูให้เด็กเขาหน่อยนะ แล้วช่วยพาโยมวาริชไปดูห้องสมุดด้วย” หลวงพ่อเอ่ยขึ้น

คนที่ออกอุบายหน้ามุ่ย หลวงพ่อหนอ...หลวงพ่อ ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย ทำแบบนี้ก็เปิดโอกาสให้เจ้าหนุ่มนั่นจีบหลานสาวสิคะ นลิน ตวัดสายตามองใบหน้าขาวกระจ่างนั้น ในเชิงปราม ว่า... อย่ามายุ่งกับลูกสาวฉันนะ ไม่งั้นเจอดีแน่...

วาริชอมยิ้ม ใบหน้าแย้มละไม ไม่มีทีท่าว่าจะเข้าใจนัยยะที่คุณแม่ขี้หวงส่งมาแม้แต่น้อย เขาลุกขึ้นเดินตามบัวบุษยาลงไปด้านล่าง

ผู้ทรงศีลมองตามสายตาของบุตรีอย่างเข้าใจ นลินหวงลูกสาวพอๆกับห่วงใย ด้วยมีลูกเพียงคนเดียวย่อมห่วงใยเป็นธรรมดา

“อย่าห่วงเลย โยมวาริชเขาเป็นคนดี”

“หลวงพ่อรู้ได้ยังไงคะ ลินว่าสายตาที่เขามองหนูบัว เฮ้อ...ลินอดห่วงลูกไม่ได้”

นลินถอนหายใจเสียงดัง แววตาเป็นกังวล เธอดูแลลูกสาวเหมือนไข่ในหิน ประคับประคองไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง จนเรียนจบมหาลัย ผู้ชายที่เข้ามาใกล้ชิดลูกเธอจะคอยสอดส่อง ว่ามีใครที่กิริยาหรือนิสัยไม่น่าไว้ใจบ้าง หากมีคนๆนั้นก็ไม่มีโอกาสได้คบหากับบัวบุษยาต่อไป

“ถ้าแปลเจตนาในทางไม่ดี ย่อมไม่สบายใจ คนเราอย่ามองกันแค่เพียงผิวเผิน มองให้ลึกถึงหัวใจเขา แล้วลินจะเข้าใจว่าสิ่งที่เราคิด อาจไม่ใช่สิ่งที่เป็นจริงก็ได้”

“ค่ะ หลวงพ่อ”

นลินจำยอมรับคำ หากในใจอดห่วงลูกสาวไม่ได้ ชายหนุ่มชื่อวาริชคนนั้นเป็นใครกันแน่...

๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐



รถโฟล์คเต่าสีขาวแล่นเข้าจอดหน้าบ้านหลังเล็ก หญิงสาวร่างระหงเปิดประตูลงมา ในมือถือพวงกุญแจพวงใหญ่ ทำท่าจะไขกุญแจรั้ว เสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหลัง

“สวัสดีครับ...”

บัวบุษยาหันไปดู พบร่างสูงสง่าของเจ้าของเสียงยิ้มกว้าง ยืนอยู่ข้างๆรถของเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

“คุณวาริช รู้จักบ้านฉันได้ยังไงคะ” หญิงสาวมองใบหน้าหล่อเหลานั้น พร้อมกับยิ้มสดใส

“เคยเห็นคุณอยู่ที่นี่” เขาขยับเข้ามายืนใกล้ๆ “ผมมาชวนคุณไปทานข้าวเย็น”

คำชวนทื่อ ไม่มีอ้อมค้อม หากเป็นคนอื่นบัวบุษยาคงคิดว่าเขากำลังจีบเธออยู่ แต่กับชายหนุ่มคนนี้ น้ำเสียงและแววตาของเขา เปิดเผย เป็นมิตร ซื่อและตรง เกินกว่าจะคิดว่าเขามีนัยยะอื่นแฝงเร้นในคำชวนนั้น

“ที่ไหนดีคะ” เมื่ออีกฝ่ายกล้าชวน เธอก็กล้ารับ

“เชิญครับ” วาริชผายมือไปยังรถเก๋งสีบอร์นทองคันใหญ่ของเขาแทนคำตอบ

“ฉันว่าฉันขับรถตามคุณไปดีกว่า เวลากลับจะได้ไม่ต้องลำบาก” บัวบุษยาเอ่ยท้วง เธอไม่อยากนั่งรถไปกับผู้ชายสองต่อสอง หากมารดารู้เข้าเธอกับวาริชคงไม่ได้สานสัมพันธ์กันต่อไป

“แล้วแต่คุณครับ” วาริชยิ้มรับ

บัวบุษยาขับรถตามหลังรถสีบอร์นทองนั้นมา ท้องถนนว่างโล่งรถราแล่นผ่านง่ายดาย ไม่ติดขัด ทั้งที่ปกติเวลาเย็นๆแบบนี้ ถนนทุกสายคราคล่ำด้วยรถราที่ติดกันเป็นแพ รถคันหน้าแล่นเข้าไปจอดที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ป้ายด้านหน้าเขียนว่า “สวนมิ่งเมือง”

หญิงสาวเดินเคียงชายหนุ่ม ตามทางเดินปูกระเบื้องทรายสีขาวสะอาดตา สองข้างทางปลูกดอกไม้นานาพันธุ์ สีสันสดสวย ละม้ายแต้มละอองสีทองเล็กบนกลีบดอก งดงามแปลกตา ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆตามลม อากาศสดชื่นเย็นสบายไม่ร้อน ไม่หนาวจนเกินไป ทางเดินคดเคี้ยวลัดเลาะผ่านสวนดอกไม้ สุดทางเป็นสะพานไม้ทาสีขาว ทอดข้ามคูน้ำใสสะอาด ดอกบัวชูดอกส่ายไหวไปมา ปลาน้อยใหญ่เกล็ดสีเงินสีทองแหวกว่ายในสายธาร แสงสีทองของดวงตะวันทาบทอบนพื้นน้ำ เป็นประกายวิบวาว

“ร้านสวยนะคะ”

บัวบุษยาเอ่ยชม สายตากวาดมองรอบกายอย่างพอใจ

“สวนดอกไม้ก็สวยแบบนี้แหละครับ ที่นี่งดงามไม่ต่างจากอุทยานในพระราชวัง”

วาริชยิ้มละมุนตา เขาผายมือให้หญิงสาวเดินข้ามไปยังศาลาหลังน้อยที่อยู่เบื้องหน้า

“ผมให้เขาจัดโต๊ะไว้ตรงนั้น”

ศาลาไม้หลังน้อยทาสีขาวตั้งอยู่กลางสวนสวย บนหลังคามีพันธุ์ไม้เลื้อยออกดอกช่อเล็กๆหลากสีเลื้อยคลุมทั่วหลังคานั้น เถาไม้เลื้อยพันตามเสาทั้งสี่มุม ตรงกลางวางโต๊ะเก้าอี้ไม้สีขาวไว้

“อาหารตกแต่งสวยจัง”

บัวบุษยามองจานอาหารบนโต๊ะอย่างตื่นตะลึง ข้าวสีน้ำตาลอ่อนหอมกรุ่นบนจานแก้วใส น้ำแกงสีเหลืองใสมองเห็นผักนานาชนิด แกะสลักเป็นรูปดอกไม้กลิ่นหอมแตะจมูก อีกจานผักหลากสีซอยเป็นเส้นเล็กๆราดด้วยน้ำสลัดครีมข้นสีขาว มีแป้งกรอบสีเหลืองทองโรยแต่งหน้า อาหารบนโต๊ะหลายจานล้วนตกแต่งอย่างสวยงาม ข้าวเหนียวสีเขียวกดพิมพ์เป็นรูปดอกไม้ วางมะม่วงสุกสีเหลืองสดราดกะทิข้นโรยด้วยถั่วทองเม็ดเล็ก เป็นของหวานในมื้อนี้

“ทุกอย่างทำมาจากผักผลไม้ ไม่มีเนื้อสัตว์ปน แต่อร่อยทุกจานเลยค่ะ”

บัวบุษยาวางแก้วน้ำสีชมพูใส กลิ่นหอมคล้ายดอกกุหลาบลง พลางเอ่ยชม หญิงสาวมองไปรอบๆนึกชื่นชมบรรยากาศของร้าน ที่ดูสวยงามและเย็นสบายโดยไม่ต้องพึ่งเครื่องปรับอากาศ ครั้งหน้าเธอจะพามารดามารับประทานอาหารที่นี่บ้าง

“ของอร่อย ไม่จำเป็นต้องเบียดเบียนผู้อื่น เนื้อสัตว์หรือผักไม่ต่างกัน อยู่ที่ผู้กินจะเลือกให้กระเพาะอาหาร บรรจุซากของสิ่งใด” วาริชเอ่ยยิ้มๆ

“จริงค่ะ ฉันเห็นด้วย เราเบียดเบียนชีวิตสัตว์ เพื่อสนองความอยากของตัวเอง ทั้งที่เรามีสิ่งอื่นสามารถกินได้ แต่เราเลือกที่จะเสพเนื้อหนังของสัตว์ มากกว่าผักผลไม้” บัวบุษยาเห็นพร้องด้วย

ชีวิตหลายชีวิต ต้องกลายเป็นอาหารให้มนุษย์โลก ทั้งที่มีสิ่งอื่นให้เลือกรับประทานมากมาย แต่มนุษย์กลับเลือกที่จะเสพซากของสัตว์ต่างๆ กระเพาะอาหารเป็นเหมือนสุสานของสัตว์

“ยินดีด้วย ที่เปลี่ยนมุมมอง” วาริชยิ้มเย็น แววตากระจ่างใส

ความเย็นฉ่ำสดชื่น ซึมผ่านเข้ามากระทบใจจนรู้สึกปลื้มปรีติ บัวบุษยารับรู้ถึงกระแสนั้นอย่างสุขใจ ยามอยู่ใกล้ชายหนุ่มคนนี้ เธอรู้สึกปลอดโปร่งสบายใจเหลือเกิน หญิงสาวลุกขึ้นเดินไปนั่งพิงเสาศาลา เบิกบานในหัวใจจนรู้สึกว่าทุกอย่างที่เห็น งดงามไปหมด

“คุณเคยบอกฉันว่า คนเราถ้าพบกันแล้วรู้สึกคุ้นเคยกัน ชาติก่อนเราอาจเป็นเพื่อนกันมาก่อน ฉันอยากรู้ว่าชาติก่อนฉันเกิดเป็นใคร”น้ำเสียงทอดเอื่อย ดวงตามองไปไกล

“คนเราเวียนว่ายตายเกิด มาหลายภพหลายชาติ เปลี่ยนเพศพรรณ จนยากที่จะจดจำได้” เสียงเย็นระรื่น ดังกังวาน

“ถ้าเราจำทุกอย่างที่เคยทำได้ เราจะเป็นยังไงคะ” หญิงสาวถามต่อ ดวงตากลมโตมองชายหนุ่มด้วยแววตาใคร่รู้

“จำได้แล้ว ยอมรับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นได้หรือเปล่า นี่ต่างหากที่สำคัญ” คนพูดทอดสายตามองใบหน้างดงามด้วยแววตาอ่อนโยน

หญิงสาวพิงศีรษะเกยท่อนแขน “ฉันอยากจะจำตอนที่มีความสุขที่สุดเอาไว้” เธอบอกสิ่งที่ตัวเองคิดให้เขารับรู้

ใครกันอยากจำสิ่งไม่ดี สิ่งที่ทำให้หัวใจเจ็บปวดกันเล่า... บัวบุษยาหวนนึกความฝันเมื่อหลายคืนก่อนขึ้นมา หากสิ่งที่เธอฝันเห็นคือเรื่องจริงในชาติภพใดชาติภพหนึ่ง เธอควรทำเช่นไร...

“ไม่มีใครเลือกรับสิ่งดีๆได้ทั้งหมด ในความสุขย่อมมีความทุกข์แทรกอยู่ และในความทุกข์ย่อมมีความสุขเจือปน...” คนพูดทอดเสียงอ่อนเบา

ภาพหนึ่งวาบผ่านมาในความทรงจำ...

ศาลาไม้หลังน้อย ปลูกอยู่ข้างบึงน้ำกว้าง ดอกบัวสีแดงสดเบ่งบานเต็มท้องน้ำ ส่งกลิ่นหอมกำจายโชยกรุ่นมาตามสายลม หญิงสาวร่างระหงในภัตราภรณ์งดงาม ยืนมองดอกไม้น้ำ ดวงตาคู่งามคู่นั้นสงบนิ่ง เย็นชา จนคนที่อยู่ข้างกายสะท้านในอก

“เจ้านางเคยสัญญากับข้า ว่าจะรับบัวแสงทับทิมจากข้า”

เขาเอ่ยพลางขยับกายยื่นมือไปเด็ดดอกบัวสีแดงสดที่อยู่ริมบึง ส่งให้เจ้านางปทุมทิพยาดอกฟ้าผู้สูงศักดิ์ อีกฝ่ายกลับนิ่งเฉย เมินหน้าไม่มองดูดอกไม้น้ำแสนสวยนั้นสักนิด จนคนที่อยู่ด้วยทนไม่ไหวคว้ามือน้อย เอาดอกบัวยัดใส่มือของนาง มือหนากุมมือน้อยพร้อมดอกบัวไว้มั่น บังคับให้รับไว้

“เจ้านางปทุมทิพยาจงรับดอกบัวจากข้า แล้วเราจะแต่งงานกัน” เสียงที่เอ่ย แผ่วพร่า เขาบีบมือบางแน่นขึ้น ดวงตาคมจ้องหน้านวล แววตาคาดคั้น

“อย่าพยายามอีกเลย ท่านวาริช”

เสียงหวานดังกังวานละม้ายเสียงกังดาลยามต้องลม ซึ่งครั้งหนึ่งคนที่ได้ยินเคยรับฟังอย่างระรื่นโสถ บัดนี้กลับทำให้คนฟัง รู้สึกเหมือนมีใครตะโกนกรอกหูดังๆ ด้วยเสียงอันบาดแหลม ถ้อยคำนั้นเอ่ยตัดรอน โดยไม่มีเยื่อใยเมื่อเพียงน้อย ดวงหน้างดงามชวนหลงไหลเชิดตรงอย่างทนงในศักดิ์ของตน แววตานางทอดมองเขาราวกับอาบชุ่มด้วยยาพิษ มันเต็มไปด้วยความเกลียดชัง

“หัวใจของข้ามิได้เป็นของท่าน และมิเคยคิดจะมอบให้ท่าน หัวใจของข้าเป็นของวิชชุ สหายของท่าน และข้าไม่มีวันรักใครได้อีก”

เจ้านางปทุมทิพยาขยับออกห่าง ดึงมือออกจากการเกาะกุม ดอกไม้น้ำร่วงหล่นลงแทบเท้านาง มิต่างกับหัวใจของชายหนุ่ม ที่หล่นกองอยู่ข้างกัน เจ็บแปลบราวกลับถูกคมมีดที่มองไม่เห็นกรีดลงมากลางใจ

“จำไว้วาริช เจ้าเป็นได้แค่คนที่ข้าเกลียด ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน ข้าจะขอเกลียดชังเจ้าไปทุกชาติ”

นางปักคมมีดสุดท้ายก่อนเดินจากไป ทิ้งให้เขามองตามร่างระหงด้วยความปวดร้าว นางไม่ยอมรับดอกบัวทับทิมซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนคำขอแต่งงานตามประเพณีของชาวเวียงแสงฟ้าที่ปฏิบัติต่อกันมาเนิ่นนาน เขาก้มลงมองดอกบัวเปื้อนฝุ่น ก่อนจะเก็บมันขึ้นมาสาบานกับตัวเองว่า จะไม่ยอมให้นางทิ้งดอกบัวที่เขาให้เป็นครั้งที่สอง...

ภาพอดีตค่อยๆ พร่าเลือนหาย... ดวงหน้างดงามของหญิงสาวตรงหน้ามาแทนที่ดวงหน้าของคนในอดีต ริมฝีปากบางราวกลีบดอกไม้ขยับแย้มส่งยิ้มให้ ทำให้คนมองเผลอถอนหายใจ หลุดจากภวังค์

“ฉันว่าเรากลับกันเถอะค่ะ ฉันไม่ได้บอกคุณแม่ไว้ กลัวท่านจะเป็นห่วงค่ะ”

บัวบุษยาเห็นชายหนุ่มนิ่งไปนาน คิดเอาเองว่าเขาคงเบื่อคุยเรื่องไร้สาระกับเธอ ดวงตาคู่สวยหม่นหมองลงหากเจ้าตัวยังฝืนแสดงท่าทางร่าเริงกลบเกลื่อน ในหัวไม่คลายจากความคิดหมกมุ่นที่ยังค้างคาใจมาตลอดอาทิตย์

“ครับ ผมจะขับรถตามไปส่งคุณ”

วาริชมองหญิงสาวด้วยความเห็นใจ บัวบุษยากำลังสับสนกับสิ่งที่เขาถ่ายทอดให้เธอในวันก่อน นี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น ยังมีอีกหลายสิ่งที่เธอต้องรับรู้ เมื่อเธอรู้ทุกสิ่งแล้ว เขาจะยอมให้เธอเป็นคนตัดสินทุกอย่างเอง

ไม่ว่ารักหรือแค้น ทุกอย่างจะสิ้นสุดลงในวันนั้น !

QQQQQQQQQQQQQQQQQQQQQQQQQQQQQQQQQQ



ขอบคุณที่แวะมาอ่านนะคะ

รวิญาดา



รวิญาดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 ส.ค. 2555, 14:47:37 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 ก.ย. 2555, 16:03:18 น.

จำนวนการเข้าชม : 1255





<< ตอนที่ 2. การปรากฏตัวของใครคนหนึ่ง   
คิมหันตุ์ 9 ส.ค. 2555, 23:23:22 น.
แอบ...สงสารคุณวาริช นะเนี่ย ว่าแต่มีเบื้องหลังอะไรบ้างเนี่ย ติดตามอยู่นะจ๊ะ


lovemuay 9 ก.ย. 2555, 19:18:36 น.
น่าสนุกจังเลยค่ะ ส่วนตัวเราเชียร์ให้วาริชเป็นพระเอกนะคะ
มันทำใจยากนะคะ ถ้าจะให้คู่กับคนที่ฆ่าพ่อของเราเอง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account