ต้องชะตารัก By ณพรชล
ความรักของมนุษย์เราจะมั่นคงสักแค่ไหนกันนะ

หากว่าคนที่เรารักที่สุดกลับจำเรื่องราวระหว่างกันไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เราควรจะทำอย่างไรดี

ทำทุกวิถีทางให้เธอจำได้

ปล่อยให้ทุกอย่างผ่านไป

หรือ สร้างความทรงจำใหม่ให้กับเธอ

ถ้าเป็นคุณ คุณจะเลือกอะไร

"ผมไม่รู้ว่าสำหรับพี่ต้นแล้วแค่ไหนถึงจะเรียกว่าดี หรือ แค่ไหนถึงจะเรียกว่ามากพอ แต่ในความรู้สึกของผมปลายข้าวไม่ใช่แค่ความหลง ไม่ใช่แค่ความผูกพันธ์ หรือแม้แต่ความสงสารใดๆ แต่ปลายข้าวคือความรัก ชีวิต และจิตใจของผม เพียงครั้งแรกที่ผมเห็นเธอ ผมรู้ในทันทีว่าเธอคือ ‘คนที่ใช่’ สำหรับผม ถึงแม้ตอนนั้นจะไม่มีใครเชื่อเพราะคิดว่าผมยังเด็กเกินไป แต่ตอนนี้ผมก็ยังยืนยันความรู้สึกเดิมว่าปลายข้าวยังเป็น ‘คนที่ใช่’ สำหรับผม คือคนที่ผมอยากมีอนาคตร่วมกับเธอและไม่มีใครสามารถแทนที่เธอได้ ผมยอมทำทุกอย่างเพื่อที่จะให้ปลายข้าวอยู่ใกล้ๆ เคียงข้างผมได้โดยไม่ให้เธอเสียหายหรือมีใครมาครหา"
Tags: พี่สกาย ปลายข้าว

ตอน: ตอนที่ 12

ขอให้อ่านกันอย่างมีความสุขนะคะ
ด้วยรักและจุ๊บๆ
ปอรินทร์ ^^


“น่าสงสารหนูจังเลย มีพ่อก็เหมือนไม่มีเพราะทิ้งไปทำงาน แม่แท้ๆ ก็ยังตาย พี่สาวก็หนีไปเรียนต่อเมืองนอกคงจะไม่กลับมาแล้วล่ะมั้ง ทิ้งให้อยู่กับคนใช้จนตอนนี้แยกแทบไม่ออกแล้วว่าใครเป็นนายใครเป็นบ่าว ช่างน่าสมเพชเสียจริงๆ” รอยยิ้มที่เธอมองเห็นขณะที่แม่เลี้ยพูดอยู่นั้น ช่างหาความจริงใจไม่ได้เลยแม้แต่น้อย และแน่นอนผู้เป็นบิดาย่อมไม่เคยเห็น

“หนูลืมไปแล้วหรือไง ว่าทำไมทุกคนถึงทิ้งหนูไปหมด ทั้งพ่อ ทั้งพี่สาว ขนาดแม่แท้ๆ ของหนูยังตายหนีหนูไปเลย จะให้แม่บอกหนูไหมว่าทำไม ก็เพราะพวกเขาไม่รักแกไง นังปลาย!”

ถ้อยคำที่อ่อนหวานเปรียบเสมือนน้ำตาลที่เคลือบอยู่บนเม็ดยาพิษ เมื่อความหวานหมดลงพิษของยาก็เริ่มออกฤทธิ์ ค่อยๆ กัดกินหัวใจของธัญพัชรทีละน้อย แต่อนุภาพของมันก็รุนแรงจนหัวใจดวงน้อยๆ ของเธอใกล้แหลกสลายเต็มที
“มะ...ไม่จริง แม่นันโกหก ปลายไม่เชื่อ”

“ทำไมจะไม่จริงล่ะจ๊ะ เรื่องไม่จริงแม่จะพูดทำไมให้เปลืองน้ำลาย หนูคงต้องหัดทำบุญบ้างแล้วล่ะ เผื่อผลบุญกุศลจะช่วยให้ชาติหน้าไม่ต้องอยู่แบบเดียวดายอย่างนี้ แต่แม่ว่า...” น้ำเสียงเย็นเหยียบในตอนท้ายและรอยยิ้มเหี้ยมๆ ของแม่เลี้ยง ทำให้หญิงสาวเสียวสันหลังวาบ แม่เลี้ยงเดินเข้ามาหาเธออย่างช้าๆ ในขณะที่เธอถอยหลังอย่างหวาดกลัวจนกระทั่งเท้าสัมผัสกับความว่างเปล่า

“แม่ว่า...ชาตินี้หนูอย่าอยู่นานเลย ไปอยู่ชาติหน้าดีกว่า แม่ว่าหนูคงจะสบายกว่านี้เยอะ...” พูดจบมืออวบอูมก็ผลักร่างบางที่อยู่ตรงหน้าด้วยรอยยิ้มที่แสนจะน่ากลัว ร่างบางพยายามหาสิ่งยึดเกาะ แต่ไขว้คว้าได้เพียงแค่อากาศเท่านั้น...



“กรี๊ด!” เสียงกรีดร้องที่ดังขึ้นยามค่ำคืน ทำให้กายนภัสนิ์ที่กำลังยืนมองท้องฟ้ายามค่ำคืนอย่างครุ่นคิดภายในห้อง รีบวิ่งไปยังห้องของต้นเสียงอย่างรวดเร็ว ทันทีที่เปิดห้องเสียงกรีดร้องและอาการดิ้นทุรนทุรายอย่างทรมานของธัญพัชร ยิ่งตอกย้ำคำพูดของธัญกาญจน์ที่บอกเขาไว้ก่อนออกเดินทาง

‘พี่ทนเห็นน้องตัวเองทรมานเหมือนคนเสียสติไม่ได้อีกแล้ว พี่ขอร้อง สกายช่วยปลายข้าวด้วย’

“ปลายครับ...ปลาย...” กายนภัสนิ์พยายามปลุกหญิงสาว เพียงแค่เขาสัมผัสหญิงสาวก็ยกมือขึ้นปัดป้องและกรีดร้องราวกับหวาดกลัวอะไรอยู่

“กรี๊ด! ไม่นะ... ปล่อยหนู... หนูกลัวแล้ว...กรี๊ด!”

“ปลาย...ตื่น...ปลาย...นี่พี่เองนะ...ลืมตาขึ้นมาดูสิ...ปลาย...” กายนภัสนิ์พยายามปลุกอีกครั้ง คราวนี้ชายหนุ่มคว้าตัวหญิงสาวมาไว้ในอ้อมแขน ยิ่งร่างบางดิ้นเพียงไรเขาก็ยิ่งกอดแน่นเพียงนั้น

“แม่พิมขา...แม่พิมอยู่ไหน...แม่พิมช่วยน้องปลายด้วย” ร่างบางเริ่มสงบ แต่ก็ยังได้ยินเสียงสะอื้นดังแผ่วๆ มันช่างบีบคั้นอารมณ์ของเขายิ่งนัก

“แม่พิมจะไปไหนคะ...น้องปลายไม่ให้ไป...แม่พิมอย่าทิ้งน้องปลายไปนะคะ” เสียงแผ่วเบาพร้อมแรงกอดรัดของร่างบางในยามที่เขาขยับตัว ในวินาทีนี้กายนภัสนิ์ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้วว่าต่อจากนี้ไป เขาควรจะทำอย่างไรกับคนที่อยู่ในอ้อมแขนนี้



อากาศที่หนาวเย็นในตอนย่ำรุ่งทำให้ร่างบางต้องเบียดซุกหาความอบอุ่น จนกระทั่งได้ยินเสียงแปลกๆ ดังอยู่ข้างหู เสียงที่ไม่สามารถหาฟังได้ง่ายๆ เสียงที่ต้องใช้ประสาทอย่างอื่นรับรู้นอกจากประสาทการได้ยิน

‘เสียงอะไรเนี่ย ทำไมมันคล้ายเสียงของหัวใจจังเลย’ ธัญพัชรถามตัวเองในใจ มือเรียวลูบสำรวจสิ่งที่เธอกำลังโอบซุกหาความอบอุ่นทั้งที่ยังไม่ลืมตา เริ่มรับรู้ถึงความมีชีวิตของสิ่งที่ตนกอดอยู่

‘ใช่แล้ว...เสียงหัวใจ แล้วมันเป็นหัวใจของใครกัน ของเราหรือว่า...’ สิ่งที่ธัญพัชรเห็นเป็นอย่างแรกเมื่อลืมตาขึ้นมาคือ แผ่นอกกว้างที่อยู่ภายใต้เสื้อนอนสีน้ำเงินเข้ม ยิ่งมองสูงขึ้นไปใบหน้าก็ยิ่งแดงมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อพบว่าเจ้าของแผ่นอกกว้างที่มอบความอบอุ่นให้เธอตลอดทั้งคืน กำลังจ้องมองเธออยู่ด้วยแววตาเป็นประกาย

“พะ...พี่สกาย ขะ...เข้ามาทำอะไรในห้องปลายคะ...ละ...แล้ว...” ปลายนิ้วอุ่นยกขึ้นแตะริมฝีปากอิ่มเป็นสัญญาณให้หยุดพูด ทั้งที่ใจของกายนภัสนิ์อยากใช้ริมฝีปากของเขาในการหยุดคำพูดของหญิงสาวมากกว่า

“พี่ว่าปลายน่าจะพูด ‘อรุณสวัสดิ์’ ประโยคแรกของวันมากกว่าคำถามเมื่อกี้นะ” น้ำเสียงทุ้มที่ใช้ไม่ต่างจากเมื่อวานนี้ ทำให้เธอได้แต่พูดตามที่เขาบอกอย่างจนใจ ทั้งที่หน้าของเธอตอนนี้ร้อนจนแทบระเบิด

“อะ...อรุณสวัสดิ์ค่ะ ละ...แล้วพี่สกายจะตอบปลายได้หรือยังคะว่าเข้ามาทำอะไรในห้องปลาย”

“เมื่อคืนพี่ได้ยิน ‘เด็กน้อย’ คนหนึ่งกำลังฝันร้าย พี่ก็เลยเข้ามาปลอบให้ ‘เด็กน้อย’ หายจากฝันร้าย แต่ปรากฎว่าพอพี่จะลุก ‘เด็กน้อย’ คนนั้นกลับกอดพี่แน่นอย่างกับกลัวว่าพี่จะหาย พี่ก็เลยต้องอุทิศตัวเองเป็น ‘หมอนข้าง’ ให้ ‘เด็กน้อย’ นอนกอดตลอดทั้งคืน...” กายนภัสนิ์บอกด้วยแววตาแพรวพราวพร้อมกับม้วนปอยผมยาวสลวยเล่น ส่วน ‘เด็กน้อย’ เมื่อฟังคำอธิบายจบ เธอก็มองที่แขนตัวเองก็พบว่าเป็นอย่างที่ ‘หมอนข้าง’ บอกจริงๆ แขนเรียวจึงรีบยันตัวลุกออกจาก ‘หมอนข้าง’ ในทันที

หากมีผู้ชายคนไหนได้มาเห็นสภาพ ‘เด็กน้อย’ ในตอนนี้ เขาสาบานได้เลยว่าเขาจะเป็นคนควักลูกตามันแน่ๆ เพราะใบหน้าหวานที่ปราศจากสิ่งเติมแต่ง ผมเผ้าที่ดูยุ่งนิดๆ มันช่างแสนจะเซ็กซี่ในสายตาของเขาเป็นที่สุด ยิ่งเมื่ออยู่ในชุดนอนสีอ่อนเนื้อผ้าเรียบลื่น ทำให้เขารู้ว่า ‘เด็กน้อย’ ของเขา ไม่ได้น้อยอย่างที่เขาเรียกเลยแม้แต่น้อย

“อะ...เอ่อ...คะ...คือ...” ธัญพัชรได้แต่เอ่ยเสียงตะกุกตะกักอย่างไม่รู้จะพูดอะไรกับคนตรงหน้านี้ดี เพราะเธอรู้สึกทั้งเขิน ทั้งอาย ทั้งสับสน และอาจจะปนโกรธนิดๆ เข้าไปด้วย เมื่อเห็นสายตาของคนตรงหน้าที่มองมา

“นี่เพิ่งจะตีสี่กว่ายังเช้ามืดอยู่เลย ป่านนี้พ่อกับแม่พี่คงยังไม่ตื่น เวลาพ่อกับแม่พี่มาอยู่ที่นี่พวกท่านจะตื่นราวๆ เจ็ดโมงกว่านั้นแหละ เดี๋ยวพี่จะกลับห้องก่อน ‘เด็กน้อย’ นอนต่อเถอะนะคะ” ร่างหนาลุกขึ้นจากที่นอน แล้วดันให้ร่างบางนอนลงพร้อมทั้งจัดแจงห่มผ้าให้อย่างนุ่มนวล

“พักผ่อนเยอะๆ นะคะ ‘เด็กน้อย’ จะได้โตเร็วๆ” ชายหนุ่มลูบหัว ‘เด็กน้อย’ ของอย่างอ่อนโยน

“ปะ...ปลายไม่ใช่เด็กน้อยแล้วนะ” หญิงสาวบอกด้วยน้ำเสียงที่แยกไม่ออกว่าขัดเขินหรือขุ่นเคืองกันแน่

“ค่ะ พี่รู้แล้วว่าเราน่ะ ไม่ใช่ ‘เด็กน้อย’ เจอกันตอนมื้อเช้านะคะ” กายนภัสนิ์เอ่ยโดยเน้นคำบางที่สื่อความหมายบางอย่าง ทำให้ธัญพัชรถึงกับหน้าแดงเถือกยกผ้าห่มคลุมโปงเพื่อหลบหลีกสายตาที่มองมาอย่างแพรวพราว

ร่างบางภายใต้ผ้าห่มได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วเบา ก่อนที่จะมีเสียงเปิดปิดประตูดังขึ้น เธอค่อยๆ เลื่อนผ้าห่มลงจึงเห็นว่าชายหนุ่มได้ออกจากห้องไปแล้ว พี่สกายบ้า ชอบทำให้เราอายได้ตลอดเวลาจริงๆ เธอเอาแต่เข่นเขี้ยวคนที่เพิ่งออกจากห้องไป จนลืมไปว่าสาเหตุเขาเข้ามาอยู่ในห้องเธอนั้นคืออะไร



ใบหน้าของกายนภัสนิ์เปลี่ยนไปทันทีหลังจากประตูห้องปิดลง แววตาแพรวพราวกลับกลายเป็นนิ่งสนิทดุจหลุมดำที่พร้อมจะกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่าง แววตาที่เขาจะไม่มีวันให้หญิงสาวในห้องได้เห็นโดยเด็ดขาด จุดมุ่งหมายที่ขาทั้งสองข้างพาร่างกายไปนั้นหาใช่ห้องของเขาอย่างที่ได้บอกไว้ไม่ แต่กลับเป็นระเบียงรับลมทางปีกตะวันออกแทน ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีแล้ว แต่ชายหนุ่มก็ยังคงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นไม่ไหวติง ไม่ได้รู้สึกชื่นชมแสงอาทิตย์ยามเช้าที่ค่อยๆ โผล่มาจากเส้นขอบฟ้าแม้แต่น้อย

“ทำไมมาบ้านคราวนี้ถึงมายืนดูพระอาทิตย์ขึ้นได้ล่ะ” เสียงเข้มปนอ่อนโยนของผู้เป็นบิดา ดึงชายหนุ่มออกจากภวังค์

“เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับครับ” กายนภัสนิ์ตอบคำถามนั้น โดยไม่ได้ละสายตาไปจากทิวทัศน์ตรงหน้า

“ที่นอนไม่หลับเพราะตาค้างหรือเพราะบำเพ็ญตบะล่ะ” คำถามของบิดา ทำให้กายนภัสนิ์หันควับมาทันที แต่ก็ไม่ได้มีคำพูดอะไรเล็ดลอดออกจากปากของลูกชาย

“เมื่อคืนพ่อกับแม่เห็น...” คุณจักรินทร์พูดทิ้งไว้เพียงแค่นั้น ผู้เป็นลูกชายก็รู้แล้ว ว่าบิดาตนเห็นอะไร

“พ่อครับ ผมขออะไรพ่อกับแม่สักอย่างหนึ่งได้ไหมครับ” คำพูดที่เอ่ยออกมานั้น เป็นคำพูดที่น้อยครั้งจะได้ยินมันออกมาจากปากของคนที่ชื่อ ‘กายนภัสนิ์ อัครจินดานุวัฒน์’ ยิ่งเห็นแววตาอ้อนวอนผู้เป็นลูกชาย ทำให้คุณจักรินทร์อดนึกถึงเมื่อหลายปีก่อน

‘ผมจะไปเรียน MBA ที่อังกฤษตามที่พ่อบอกครับ แต่พ่อครับผมขอร้อง รับปลายข้าวมาฝึกงานที่บริษัทเราเถอะครับ’

“เอาสิ จะขออะไรล่ะ” คำตอยรับง่ายๆ ของผู้เป็นบิดาเปรียบเสมือนแสงแดดยามเช้า ที่ค่อยๆ ส่องสว่างเผยให้เห็นทางออกที่เขาคลำหาอยู่นาน



เช้านี้ธัญพัชรตื่นขึ้นมาอีกครั้งหลังจากหลับไปได้ไม่กี่ชั่วโมงเพราะเสียงโทรศัพท์ เมื่อหยิบขึ้นมาดูก็พบว่าผู้โทรมาคือธัญกาญจน์ เธอจึงรีบกดรับสายทันที

“อรุณสวัสดิ์ค่ะต้นจ๋า โทรมาหาปลายแต่เช้าเลย คิดถึงปลายสิท่า” ธัญพัชรปรับเสียงให้สดใส เพื่อไม่ให้ผู้เป็นพี่สาวต้องเป็นกังวลกับตัวเธอไปมากกว่านี้

‘คิดถึงสิ พี่รักแล้วก็คิดถึงปลายทุกวันอยู่แล้ว รัก...มากกว่าอะไรทั้งหมด’ ปลายตอบมาด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ในตอนท้าย

“ต้นจ๋าอย่ารักปลายมากกว่าทุกคนเลยค่ะ ต้นจ๋ารักปลายให้น้อยว่าคนอื่นเถอะ”

‘ไม่! พี่ไม่มีวันรักคนอื่นมากกว่าปลาย...’ คราวนี้ธัญพัชรได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ จากปลายสาย

“อย่าร้องไห้เลยนะคะต้นจ๋า ที่ปลายบอกให้ต้นจ๋ารักคนอื่นมากกว่าปลายก็เพราะน้องพีทต้องการความรักจะแม่ ต้องการการเลี้ยงดูเอาใจใส่ให้เขาได้เติมโตอย่างแข็งแรงและเป็นคนดี พี่ไมล์ก็ต้องการความรักจากภรรยาคู่ชีวิต ที่พร้อมจะช่วยกันฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ต้นจ๋าเห็นไหมว่าคนอื่นเขาต้องการความรักของต้นจ๋ามากกว่าปลายเสียอีก ปลายแค่ต้องการแค่ต้องการความรักพี่สาว ไม่ต้องดูแลปลายมากมาย ปลายขอแค่ความรักเพียงเล็กน้อยกับความกำลังใจจากต้นจ๋าแค่นั้น” เธอบอกปลายสายด้วยน้ำเสียงสดใส ใขณะที่ดวงตากลับฉ่ำไปด้วยน้ำตา

'ปลายข้าว...พี่ขอโทษ....พี่ขอโทษ' คราวนี้ปลายสายถึงกับสะอึกสะอื้อ

“ต้นจ๋าจะขอโทษปลายทำไม ก็ในเมื่อต้นจ๋าดูแลปลายอย่างดีอยู่แล้ว ปลายต่างหากที่ต้องขอโทษต้นจ๋า ที่ทำให้ต้นจ๋าต้องเหนื่อยกายเหนื่อยใจ” ธัญพัชรปลอบใจอยู่นานกว่าผู้เป็นพี่สาวจะหยุดร้องไห้ สองพี่น้องพูดคุยถามถึงข่าวคราวของกันและกัน ต่างฝ่ายต่างสรรหาเรื่องราวมาคุยกันได้เรื่อยๆ



การร่วมโต๊ะอาหารกับครอบครัวของกายนภัสนิ์ในมื้อแรกของวัน ไม่ได้ทำให้ธัญพัชรอึดอัดเลยแม้แต่น้อย คุณจักรินทร์นั่งดื่มกาแฟไปอ่านหนังสือพิมพ์ไปอยู่หัวโต๊ะ ส่วนคุณยุพเรศ กายนภัสนิ์และตัวเธอนั่นรับประทานข้าวต้มกุ้งทรงเครื่อง คุณยุพเรศดูแลเอาใจใส่เธอเป็นอย่างดีราวกับว่าเธอเป็นลูกสาวอีกคน คุณยุพเรศแทบจะเป็นคนผูกขาดการสนทนาทั้งหมดบนโต๊ะอาหารไว้กับหญิงสาว

“เฮ้อ! พ่อครับ พ่อได้กลิ่นอะไรจากหัวผมไหม” กายนภัสนิ์หันมาพูดกับบิดาด้วยแววตาเศร้า

“เมื่อเช้าไม่ได้อาบน้ำสระผมมาหรือไง” คุณจักรินทร์ถามกลับพลางลดหนังสือพิมพ์ลงมองหน้าลูกชาย ก็รู้ทันทีว่าแววตาอย่างนี้มันแกล้งทำชัดๆ

“อาบสิครับ แต่พอมากินข้าวแล้วรู้สึกเหมือนหัวตัวเองเน่าๆ ยังไงก็ไม่รู้ เฮ้อ!” เสียงถอนหายใจอย่างเสแสร้งของกายนภัสนิ์ ทำให้คุณยุพเรศที่กำลังคุยอย่างออกรสโดยมีธัญพัชรป็นผู้ฟังที่ดี หันมาค้อนใส่ลูกชายทันที

“แหม! ไม่ต้องมาแกล้งน้อยอกน้อยใจเลยนะพ่อตัวดี คดีขอเรายังไม่ได้สะสางเลยนะ แล้วเช้านี้ยังคิดจะสร้างคดีใหม่อีกใช่ไหม”

“โถ่! แม่ครับ ผมจะสร้างคดีให้ติดตัวทำไมเล่า ผมก็แค่น้อยใจอุตสาห์กลับมาบ้านทั้งที เอะอะอะไรแม่ก็ปลายตลอด อะไรต่อมิอะไรทำกันอยู่แค่สองคน จนผมชักจะเริ่มน้อยใจแล้วสิ” กายนภัสนิ์แสร้งพูดด้วยน้ำเสียงน้อยอกน้อยใจเสียเหลือเกิน

“งั้นแกก็หา ‘เมีย’ เสียสิ จะได้มีคนไว้ให้แกอ้อน ไม่ต้องมาเดือดร้อนเมียฉัน” จู่ๆ คุณจักริท์ก็เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย คุณยุพเรศได้โอกาสจึงรีบกล่าวเสริมสามีทันที

“นั่นสิ! อายุก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้วนะ รีบหาเข้าสิ แม่อยากอุ้มหลานย่าจะแย่แล้วนะ”

“ผมก็กำลังหาอยู่นี่ไงครับ แต่ไม่รู้ว่าจะถูกใจพ่อแม่ แล้วก็ยัยหนูหรือเปล่า” กายนภัสนิ์บอก สายตาก็ชำเลืองไปทางหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ

ส่วนธัญพัชรนั้นได้แต่ส่งยิ้มให้ทุกคนอย่างเขินๆ แม้จะไม่แน่ใจว่าการสนทนาครั้งนี้จะรวมเธอเข้าไปด้วยหรือไม่ แต่เมื่อเห็นสายตาของผู้ใหญ่ทั้งสองที่มองมายังเธอก็ทำให้ความร้อนจากข้าวต้มมาวนเวียนอยู่ที่ใบหน้าของเธอ ยิ่งคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ส่งสายตาแปลกๆ มาให้ก็ยิ่งเขินหนักเข้าไปใหญ่ แต่เมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้า ก็อดที่จะมองค้อนอีกฝ่ายไม่ได้

“ผมว่าเราออกเดินทางกันได้แล้วนะคุณ จะได้ถึงกรุงเทพฯ ก่อนเที่ยง” คุณจักรินทร์ว่าขณะมือก็พับหนังสือพิมพ์วางบอกโต๊ะ ก่อนจะยกกาแฟดื่มจนหมด

“พ่อกับแม่ไปทำธุระก่อนนะลูก เดี๋ยวเย็นๆ กลับ หนูปลายจ๊ะ ถ้าพี่เขาแกล้งอะไรบอกอารีเลยนะลูก เดี๋ยวแม่จะกลับมาจัดการ” คุณยุพเรศบอกหันมาบอกหญิงสาวก่อนจะปรายตามายังเจ้าลูกชายตัวดี แล้วจึงเดินตามสามีออกไปขึ้นรถ

เมื่อเหลือเพียงสองคนธัญพัชรก็เริ่มทำตัวไม่ถูก ก่อนที่อาการนี้จะสำแดงเดช มือเรียวที่ตอนแรกไม่รู้ว่าจะเอาไปไว้ที่ไหน ก็ถูกมือของอีกฝ่ายจับไว้แล้วดึงให้เดินตามออกไปนอกบ้าน เมื่อถึงที่หมายซึ่งก็คือบริเวณสนามหญ้าหน้าบ้าน เธอก็เห็นสิ่งมีชีวิตสี่ขา ขนสีน้ำตาลเป็นเงางาม กำลังยืนอย่างสง่างามกลางสนามหญ้า

“จะไปไหนคะพี่สกาย แล้วทำไมถึงมี...ว้าย!” หญิงสาวถามได้เพียงเท่านั้น เมื่อจู่ๆ ก็ถูกอุ้มขึ้นไปนั่งบนหลังสิ่งมีชีวิตสี่ขานั้น ตามด้วยร่างสูง ท่าทางการนั่งของทั้งคู่ทำให้อารีที่แอบมองอยู่ถึงกับอมยิ้ม เพราะมันเหมือนฝ่ายหญิงกำลังแอบอิงซบอกฝ่ายช่ายอยู่

“เดี๋ยววันนี้ ‘เจ้าท้องฟ้า’ จะพาน้องปลายเที่ยวรอบๆ ไร่นะคะ” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงนุ่มอยู่เหนือศรีษะของหญิงสาว มือสองข้างเอื้อมมาดึงสายเหมือนกำลังกอดบวกกับคำพูดคะขา ยิ่งทำให้หน้าเธอร้อนจนแทบไหม้ กายนภัสนิ์กระตุกสายเพื่อบังคับให้ ‘เจ้าท้องฟ้า’ ไปในทิศทางที่ต้องการ

“น้องปลายอย่านั่งเกร็งสิคะ ทำตัวสบายๆ เถอะ ถ้าตกลงไปมันเจ็บนะคะ” กายนภัสนิ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ เมื่อหญิงสาวนั่งเกร็งตัวหลังตรงพยายามไม่ให้ถูกเนื้อต้องตัวเขา

“กะ...ก็ปลายไม่ชิน ว้าย! พี่สกายทำอะไรคะ กอดปลายทำไม” ไออุ่นที่สัมผัสได้รวมทั้งแรงรัดตรงช่วงเอว ทำให้เธออุทานเสียงหลงอีกครั้ง

“พี่ก็ป้องกันไม่ให้ ‘เด็กน้อยของพี่’ ตกลงจากหลังม้าไงคะ ถ้าจะให้ดีพี่ว่า น้องปลายกอดเอวพี่ไว้แน่นๆ จะได้ไม่ตก” กายนภัสนิ์เน้นคำที่สร้างสีแดงให้กับใบหน้าหวานอีกจนได้ หญิงสาวได้แต่ส่งค้อนวงใหญ่ให้เป็นการตอบแทน มือทั้งสองข้างก็ยังไม่ทำตามที่ชายหนุ่มบอก ชายหนุ่มจึงแกล้งโดยการปล่อยมือออกจากเอวของหญิงสาวแล้วกระแทกเข่ากับสีข้างเจ้าท้องฟ้าให้วิ่งเร็วขึ้น หญิงสาวร้องวี๊ดรีบกอดเอวเขาไว้แน่น ใบหน้าหวานซุกหน้าเข้ากับอก ราวกับต้องการจะเข้าไปอยู่ในร่างของชายหนุ่ม

“พี่สกายแกล้งปลาย ปลายจะฟ้องคุณแม่” หญิงสาวจึงเงยหน้าขึ้นไปมองชายหนุ่มอย่างงอนๆ

เมื่อมาถึงจุดหมายที่ต้องการ ชายหนุ่มจึงชะลอความเร็วของเจ้าท้องฟ้า ทำให้เธอได้มีโอกาสได้สังเกตว่าสถานที่ที่ชายหนุ่มพามานั้น เป็นโรงเรือนขนาดใหญ่แปะป้ายว่า “โรงวัวนม” ถึงแม้จะมีกลิ่นไม่พึงประสงค์โชยมาบ้างแต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับเธอ ภาพแม่วัวยืนอยู่ในคอกอย่างเป็นระเบียหลายสิบตัวถูกรีดนมด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับเธอเป็นอย่างมาก

“เดี๋ยวพี่จะพาน้องปลายไปเจอไอด้า รับรองว่าถ้าน้องปลายเจอกับไอด้าแล้วน้องปลายจะชอบ”




จากใจปอรินทร์ : เริ่มทายถูกหรือยังคะ ว่าไอด้าคืออะไรเอ่ย ^____^



ปอรินทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 ส.ค. 2555, 11:54:56 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 ส.ค. 2555, 11:55:03 น.

จำนวนการเข้าชม : 1857





<< ชะตาต้องรัก ตอนที่ 11   ชะตาต้องรัก ตอนที่ 13 >>
sai 14 ส.ค. 2555, 17:00:11 น.
เป็นวัวนี่เองงง ชิมิ


bluelily 15 ส.ค. 2555, 00:25:42 น.
ว้าย ๆ อ่านไปก็เขิลไปนะเนี่ยพี่สกายกะน้องปลาย ^__^

ที่เข้ามาอ่านตอนแรกชอบชื่อเรื่องนะอ่านไปอ่านมาชอบทั้งเรื่องแล้ว

อ่านรวดเดียวเลย 12 ตอน แล้วจะตามมาอ่าน+ให้กำลังใจปอรินทร์อีกนะ ^__^


ทองหลาง 15 ส.ค. 2555, 07:40:26 น.
ที่แท้ก็วัว...ว่าแต่ ตัวผู้หรือตัวเมียจ๊ะปอรินทร์


Pat 15 ส.ค. 2555, 19:39:32 น.
ลูกวัวหรือเปล่าน้อ . พี่สกายหวานได้เสมอต้นเสมอปลายเลยนะคะ


anOO 18 ส.ค. 2555, 14:36:09 น.
ยังอยากให้ไอด้า เป็นลูกแกะอยู่ดี


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account