ป่าหนาวในเงารัก
หญิงสาวผู้ชอบหว่านเสน่ห์ ทั้งยังไม่เคยศรัทธาต่อคำว่ารักแท้ เมื่อมาพบกับหนุ่มที่ปราศจากความสนใจในตัวเธอ...อะไรจะเกิดขึ้น
Tags: กรยุพา , ยุพากร รักโรแมนติก
ตอน: กรยุพา . ยุพากร
ความเดิมตอนที่แล้ว....
พระเอกและนางเอกต้องไปติดอย่กลางป่าเหตุเพราะหินถล่มปิดทางเข้าออก...
ขอเชิญทุกท่าน เข้าสู่เรื่องราวตอนต่อไป ของ ' ป่าหนาวในเงารัก ' ได้เลยค่ะ และขอให้สนุกกับตอนนี้นะคะ ^^
13
ฐิตารีย์แทบไม่เชื่อสายตาของตัวเอง ในที่สุดเธอก็สามารถเดินจนถึง ‘กระท่อมแสงจันทร์’ แผ่นป้ายจากตาไม้เก่าระบุชื่อแสนโรแมนติกกลับปกคลุมด้วยเถาสร้อยอินทนินที่กำลังออกดอกสีม่วงเย็นตา
บ้านทรงกลมก่ออิฐแดง มีปล่องไฟงดงามน่ารัก ซ้ำหลังคายังมุงด้วยใบจาก
วูบหนึ่งที่ฐิตารีย์อดไม่ได้ที่จะวาดภาพตัวเองอยู่ในชุดหนูน้อยหมวกแดง เดินถือตะกร้าซึ่งเต็มไปด้วยดอกไม้นาๆ ชนิด
แล้วใครจะเป็น 'หมาป่า' ดีนะ บุคคลที่เพิ่งจากไปก็หน้าไม่ให้สักเท่าไหร่เลย
เธออดไม่ได้ที่จะหัวเราะ ความเครียดที่ผ่านมาดูจะมลายไปสิ้น และเพิ่งสังเกตเดี๋ยวนี้เองว่ายังมีบ้านด้านหลัง ที่ละม้ายกับหลังนี้อีกด้วย
“คุณอยู่หลังนี้นะ เดี๋ยวผมไปอยู่หลังโน้น” บอกระหว่างส่งกุญแจให้ ก่อนผละไปโดยเร็ว
หมอนี่คงคิดถึงลูกเมียใจจะขาดแน่ๆ ถึงต้องรีบขนาดนั้น เจ้าตัวได้แต่ลอบค้อนอย่างหมั่นไส้
แม้ผู้ร่วมเดินทางจะจากไปไกลแล้ว แต่เธอยังชื่นชมกับธรรมชาติรอบข้างไม่วางตา
ด้านหนึ่งคือม่วงมงคลไม้ดอกประดับ ต้นสูงระดับเอวแต่พากันอวดช่อดอกสีม่วงแกมน้ำเงินจนเต็มต้น ถัดไปคือไฮเดรนเยีย ไม้ดอกเมืองหนาวที่เบ่งบานรับละอองฝนอันชุ่มฉ่ำ
กระทั่งไม้ใหญ่อย่างหางนกยูง ยังออกดอกสีส้มจนสะพรั่ง ตื่นตาอย่างบอกไม่ถูก
กลิ่นอับภายในบ้านบอกให้รู้ว่าปราศจากการใช้งานมายาวนาน แต่กลับปราศจากฝุ่นละออง ถึงจะคล้ายรีสอร์ท เพราะสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันทั้งฟอร์นิเจอร์ก็ทันสมัย แต่ความเงียบงันทำให้เธอรู้สึกกลัวอย่างประหลาด
ครั้นเมื่อเปิดโทรทัศน์กลับพบกับภาพล้มไม่เป็นท่า ฐิตารีย์จึงเพียงอาศัยเสียงเป็นเพื่อน แต่ยังอดไม่ได้ที่จะนึกถึงผู้ซึ่งร่วมทุกข์สุขกันมาทั้งคืนกับค่อนวัน
ป่านนี้…คงยุ่งอยู่กับเมียและลูกน้อยแล้วเป็นแน่ แม้พยายามไม่ใส่ใจ แต่กลับเอามาคิดอีกจนได้
เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำเอาเธอถึงกับสะดุ้งสุดตัว
“ผมเอาชุดมาให้เปลี่ยน คุณทนใช้ไปก่อนก็แล้วกัน” บอกระหว่างยื่นเสื้อสีเข้มพร้อมกางเกงขายาวเอวรูดให้
“ทีวีดูไม่ได้หรอกนะครับ” บอกเช่นนั้นเพราะได้ยินเสียงเล็ดรอดออกมาภายนอก
“เสาอากาศล้มมานานแล้ว ยังไม่ได้จัดการเสียที ขอโทษด้วยที่ไม่สะดวกเอาเสียเลย”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ได้เท่านี้ก็ดีถมไปแล้ว” เอ่ยออกมาจากใจจริง ที่สำคัญเธอไม่ต้องการให้เขาคิดว่า เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ตามที่คุณปู่ปรามาศไว้
“หิวหรือเปล่า อีกเดี๋ยวอาหารก็เสร็จแล้ว” เขายังชวนคุย
“ยังหรอกค่ะ ว่าแต่คุณติดต่อใครได้บ้างหรือยังคะ”
เห็นได้ชัดว่าภูมิรพีไม่อยากตอบคำถามนั้น
“คือ…โทรศัพท์ผมแบตหมดแล้วน่ะครับ แต่คุณไม่ต้องกังวล ผมเชื่อว่าน่าจะออกไปได้ในวันสองวันนี่แน่ๆ”
“แล้ว…เราจะทราบได้ยังไงล่ะคะ ว่าทางนั่นใช้ได้แล้ว” ยังมีปัญหาถามอีกจนได้
“ผมจะเดินไปดูเอง”
ทว่าการเจรจาขอยืมรถแทรกเตอร์เพื่อเคลียร์หินขนาดใหญ่ถึงจะสัมฤทธิ์ผล แต่กลับไม่อาจดำเนินการได้อย่างใจคิด เหตุเพราะทางขึ้นอันสูงชัน และถนนยังอุ้มน้ำ
“เห็นว่าจะรออีกวันสองวัน” พชรบอกยองฮวาระหว่างรับประทานมื้อค่ำด้วยกัน
“คืนนี้คุณพักที่นี่ก็แล้วกัน พรุ่งนี้ค่อยย้ายมาอยู่กับผม คุณปู่ท่านอนุญาตแล้ว”
ยองฮวาเพียงพยักหน้ารับ รู้สึกเหมือนมืดแปดด้านอย่างไรชอบกล
“คุณว่า ผมยังพอมีหวังมั้ย” ในที่สุดเขาก็เอ่ยออกมาจนได้
“คุณหมายความว่ายังไง” ทั้งที่รู้อยู่เต็มอก พชรกลับทำไขสือ
“ผมกับตา คุณคิดว่าผมยังมีหวังหรือเปล่า” ถามระหว่างมองตาอีกฝ่ายนิ่ง
“หากผมจะยอมละทิ้งบ้านเกิด แล้วมาตั้งต้นนับหนึ่งกับเธอที่นี่ คุณคิดว่า ตาจะเห็นใจผมมั้ย”
เป็นอีกครั้งที่พชรถึงกับพูดไม่ออก นาทีนี้เขาได้แต่โทษตัวเองที่ไม่น่าหวังดีเป็นสื่อกลางให้ทั้งสองได้พบกัน เพราะดูเหมือนหัวใจของเพื่อรักจะปราศจากคนที่ชื่อยองฮวาไปเสียแล้ว
เขาน่าจะเข็ดหลาบกับการเข้าไปยุ่งเรื่อง ‘รัก’ ของเพื่อนคนนี้ กี่ครั้งแล้วที่เธอหว่านเสน่ห์และกี่ครั้งที่เธอเป็นฝ่าย ‘หักอกเหยื่อ’ ที่เข้ามาติดกับดักอย่างปราศจากเยื้อใย
“เราจะไม่มีวันอกหัก พชรจำไว้ รักใครก็ต้องเพียงครึ่งใจเท่านั้น”
เพราะคำถามที่ปราศจากคำตอบ ทำให้ยองฮวาต้องออกมายืนที่ระเบียงเพียงลำพัง กลิ่นหอมอ่อนๆ ของมวลหมู่ไม้ดอกไม่ได้ทำให้รู้สึกปลอดโปร่งใจแม้แต่น้อย
“เจ้าไม่คิดจะจีบหมากพลูให้ข้าเลยหรือลำเจียก”
เสียงข้างกายทำให้หญิงสาวในชุดผ้าแถบสีกรีบบัวพร้อมโจงกระเบนสีเขียวเข้ม ถึงกับสะดุ้งโหยง รีบทรุดตัวลงนั่งในทันใด
“เจ้ามาแอบดูเขาทุกวัน มันจะได้อะไรขึ้นมา เจ้าก็รู้ ว่าเราต่างอยู่คนละภพ การกระทำเยี่ยงนี้จะยิ่งทำให้เจ้าระทมทุกข์เสียเปล่าๆ”
ผู้รับฟังได้แต่ก้มหน้านิ่ง
“เรากลับเรือนกันเถอะนะลำเจียก” กล่าวก่อนจะออกเดิน
น่าเสียดายนักที่นาทีนั้น ผู้เดินนำไม่มีโอกาสได้เห็นดวงตาซึ่งเปล่งประกายอย่างหมายมั่นของผู้ที่อยู่เบื้องหลังแม้แต่น้อย
นาทีนั้นบุรุษผู้มาใหม่เหมือนต้องมนต์สะกด เพราะแม้เห็นสองสาวซึ่งเดินผ่านยังถนนหน้าระเบียงบ้านพัก แต่กลับไม่อาจขยับเขยื้อน
ซึ่งต่างกับผู้อยู่หลังบานหน้าต่าง เพราะพชรถึงกับใจเต้นไม่เป็นส่ำ เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่เขาได้เห็นเต็มๆ ตาขนาดนี้ แต่ถึงกระนั้นเขายังมีสติที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายภาพอย่างฉับไว
รอยยิ้มที่ปรากฏบอกให้รู้ถึงความหวังที่จะได้พบกับหญิงสาวในภาพใกล้เข้ามาแค่เอื้อม
ณ กระท่อมแสงจันทร์...
เข็มนาฬิกาบอกเวลาเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ แต่เสียงหนึ่งที่ดังใกล้ตัวทำให้ฐิตารีย์สะดุ้งตื่นอย่างตกใจ พร้อมๆ กับไฟหัวเตียงดับวูบลง อีกทั้งมือหนาที่ปิดปากเธอไว้ก็ยิ่งทำให้ตื่นตระหนกอีกหลายเท่า
ใจที่เต้นไม่เป็นส่ำบ่งบอกถึงอารมณ์ในยามนี้ได้เป็นอย่างดี แม้เธอจะเห็นแล้วว่าเป็นใคร
แต่เพราะเหตุใดเขาถึงเข้ามายามวิกาลเช่นนี้ได้
“เราต้องออกเดินทางกันเดี๋ยวนี้ คุณไม่ต้องเอาอะไรไปด้วยทั้งนั้น ตามผมมาให้เงียบที่สุด”
นั่นคือคำพูดที่เขากระซิบ
ให้ตายเถอะ ก็เธอกำลังหลับฝันหวานอยู่แท้ๆ แล้วจู่ๆ หมอนี่ก็มาปลุก ด้วยเรื่องอะไรยังไม่รู้ แต่ย่อมไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ
ไม่น่าเชื่อว่ายามนี้กระทั่งจะสวมรองเท้าใจยังเต้นโครมคราม…
และแม้เขาจะบอกเช่นนั้น แต่เธอยังไม่ลืมที่จะคว้ากระเป๋าคู่ชีพไปจนได้
ภายนอกยังคงเงียบสงัดปราศจากสุ้มเสียงใดๆ สองหนุ่มสาวลัดเลาะไปตามทางเดินที่บัดนี้มีเพียงแสงจันทร์สาดส่อง ทิ้งความอบอุ่นอันแสนสบายภายในบ้านหลังนั้นไว้เบื้องหลัง
แม้อยากถามผู้ที่เดินนำหน้าใจจะขาด ว่ามีเรื่องใดเกิดขึ้นกันแน่ แต่ถึงกระนั้นเธอยังไม่อาจปริปากใดๆ ได้
แล้วภูมิรพีก็หยุดเดินชั่วครู่เพื่อรอผู้ติดตาม
“มันเรื่องอะไรกันแน่คะ ทำไมเราถึงพักที่กระท่อมนั่นไม่ได้” ถามตรงๆ เมื่อวิ่งครึ่งเดินครึ่งมาถึงเขา
“เพราะคนที่ผมให้ ‘ไปหาข่าว’ เพิ่งกลับมาบอก ว่ามีคนขึ้นมาจากทางผาห่มหมอกน่ะสิ” บอกสีหน้าเครียดเคร่ง
นาทีนั้นเธอยังไม่เข้าใจอยู่ดี
“หมายความว่าจะมีคนมาช่วยเราไม่ใช่หรือคะ” ถามระหว่างหอบตัวโยน
“ถ้าใช่ ผมคงไม่ไปปลุกคุณดึกๆ ดื่นๆ อย่างนี้แน่ เรารีบไปกันเถอะ อีกเดี๋ยวก็ถึงจุดนัดหมายแล้ว”
ทว่าเสียงหนึ่งที่ดังขึ้นกลับทำให้การเดินทางต้องหยุดชะงักกะทันหัน
เสียงปืน! ที่ดังติดต่อกันถึงสามนัด ดังมาจากทางบ้านพักที่เพิ่งจากมานั่นเอง
ครั้งนี้ภูมิรพีไม่คำพูดใดออกจากปากปากทั้งสิ้น แต่คว้าข้อมือเธอออกวิ่งอย่างรวดเร็ว
ห้วงเวลานั้น…ฐิตารีย์แม้ใจคิดว่าเร็วแล้ว แต่กับนาทีแห่งความเป็นความตายเช่นนี้กลับเหมือนช้าราวชั่วกัปชั่วกันต์ ขาหนักอึ้งราวมีใครเอาหินมาถ่วง เหงื่อกาฬแตกพลักก็จริงแต่มือกลับเย็นเฉียบ
นาทีแล้วนาทีเล่าที่ใจเต้นไม่เป็นส่ำ ในชีวิตยังไม่เคยหวาดกลัวสิ่งใดได้เท่านี้มาก่อน ที่สำคัญคือเสียงหมาที่เห่ามาให้ได้ยิน มันช่างกระชั้นจนแทบหายใจรดต้นคอ
“ผมจะล่อพวกมันอยู่ที่นี่ ส่วนคุณวิ่งตรงไปตามทางนี้ จะเจอกับคนที่ผมนัดให้มารับ” บอกระหว่างส่งไฟฉายดวงจิ๋วให้กับเธอ
นาทีนั้นฐิตารีย์แทบไม่รู้ว่าเขากำลังพูดถึงสิ่งใด
“ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ก็อย่าหันหลังกลับมาเด็ดขาด รีบไปได้แล้ว” เขาเร่งอีกครั้ง
“แต่...”
“อย่าทำให้ผมต้องห่วงหน้าพะวงหลัง” บอกน้ำเสียงเฉียบขาด
ฐิตารีย์ไม่คิดมาก่อนเลยว่าเหตุการณ์จะเลวร้ายถึงเพียงนี้ ตาต่อตาที่ประสานกันทำให้เธอรู้ว่าอีกฝ่ายได้ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว และเธอก็ไม่ควรมีข้อแม้ใดๆ อีก
สองนาทีให้หลัง…
ภูมิรพียังคงซุ่มอยู่ที่เดิมโดยไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์เบื้องหน้าจะเป็นเช่นใด แต่เขาก็พร้อมแล้วที่จะเผชิญกับมัน
“เฮ้ย!”
เสียงนั้นกระชั้นชิดจนไม่ทันตั้งตัว แต่สามารถหยุดภูมิรพีได้ในทันใด
“คิดหรือวะ ว่าจะหนีพ้น”
มันไม่พูดเปล่า แต่ใช้ปลายกระบอกปืนจ่อยังร่างเขาอีกด้วย
“เป้มึง เอาวางลง” ออกคำสั่งอย่างถือไพ่เหนือกว่า
ภูมิรพีขบกรามแน่นจนเป็นสันนูน จำใจปลดเป้หลังอย่างเชื่องช้า
“อย่าตุกติกนะโว้ย ยังไงซะวันนี้ก็เป็นวันตายของมึงอยู่แล้ว” บอกอย่างย่ามใจ ขณะตบบั้นเอวเพื่อค้นอาวุธ
แต่เสี้ยวนาทีนั้นเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นจนได้...
ใครจะคาดคิดว่าผู้ตกเป็นรองทุกประตูจะกล้าจนบ้าบิ่น เพราะเขากลับหันขวับไปคว้าปลายกระบอกปืน ก่อนศอกกลับยังปลายคางศัตรูตัวฉกาจ
อีกฝ่ายหงายหลังผึ่งก็จริง แต่ที่ตามมาคือการยื้อยุดปืนกระบอกนั้นอย่างน่าหวาดเสียวที่สุด
ต่างฝ่ายต่างเป็นผู้รุกและรับ ล้มลุกคลุกคลาน โรมรันพันตูอย่างไม่มีใครยอมแพ้ใคร
และแล้วภูมิรพีก็ได้เปรียบ เมื่อขึ้นคล่อมร่างอีกฝ่ายก่อนจะส่งหมัดเข้าครึ่งปากครึ่งจมูกสุดแรงเกิด
ร่างที่นอนคลุกฝุ่นปราศจากการรับรู้ใดๆ แล้วก็จริง แต่ภูมิรพียังไม่อาจวางใจได้ เร็วเท่าความคิด เขาปราดไปยังปืนกระบอกนั้นอย่างรวดเร็ว
ทว่าเหมือนโชคไม่เข้าข้าง เพราะจู่ๆ ร่างทมึนของใครอีกคนก็ปรากฎขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน
ปืนกระบอกนั้นจึงอันตรธานในพริบตา ที่ตามมากลับเป็นน้ำเสียงกักขฬะจากชายฉกรรจน์แทน
“มึงนึกว่าตัวเองแน่มากนักหรือไง”
น่าเสียดายนัก ที่โอกาสเพียงครั้งเดียวของเขาได้หลุดลอยไปเสียแล้ว ทั้งยามนี้ปืนเจ้ากรรมกระบอกเดิมก็กลับมาจับจ้องอีกจนได้
นาทีนั้นภูมิรพีจึงได้แต่ชูมือขึ้นอย่างหมดหนทางสู้
เสียงใบไม้ต้องสายลม จึงไม่ต่างกับบทเพลงของซาตานที่กำลังขับขานไม่มีผิด
ภูมิรพีเพิ่งรู้สึกจริงๆ ว่าบุคคลที่คิดถึงมากที่สุดในยามนี้ คือมารดาของเขาเอง เพราะดูเหมือนความหวังที่จะได้กลับไปเห็นใบหน้าของบุคคลอันเป็นที่รักได้หลุดลอยไปไกลแล้ว
“ไหนๆ ก็มาถึงขั้นนี้ นายจะบอกได้มั้ย ว่าใครเป็นคนออกคำสั่ง” ถามทั้งที่หันหลัง
“มึงจะรู้ไปทำไม คิดหรือว่า คนจ้างจะกล้าโผล่หน้ามาให้เห็น” บอกระหว่างยิ้มเยาะ
“กูก็แค่ทำตามใบสั่ง เงินมา งานเดิน ก็เท่านั้น อย่าเสียเวลาดีกว่า ฉันยังต้องไปตามหา ‘ผู้หญิง’ อีก” บอกน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม
ถึงจะเป็นวาระสุดท้ายของชีวิต แต่ยังมีอีกหนึ่งที่เขาเป็นห่วงอย่างที่สุด
“นายจะทำยังไงกับฉันก็ได้ แต่...อย่าแตะต้อง ‘ผู้หญิง’ เด็ดขาด เพราะเธอไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้”
“กูว่ามึงห่วงตัวเองจะดีกว่า เพราะคำสั่งก็คือ ‘เก็บ’ มึงคนเดียวเท่านั้น” ไม่พูดเปล่าแต่กลับแสยะยิ้มอย่างผู้กำชัยชนะ
นาทีนั้นเสียงขึ้นลำกล้องจากผู้ที่อยู่เบื้องหลัง สำหรับภูมิรพีแล้วกลับเหมือนก้องไปทั้งป่า เย็นยเยือกไปจนถึงก้นบึ้งของหัวใจ
วาระสุดท้ายของเขามาถึงจริงๆ แล้วหรือนี่
ทั้งที่ภาวนาอยู่ในใจขอให้มีปาฎิหาริย์ ทว่า...แสงเทียนยามต้องลมจนลิบหรี่ ก็ยากนักที่จะกลับมาโชติช่วงได้ดังเดิม
“อโหสิให้ฉันด้วยก็แล้วกัน”
นั่นคือคำพูดสุดท้ายที่ภูมิรพีได้รับฟัง!
เสียงปืนสองนัดที่ดังขึ้นจนก้องป่า ทำให้นกเค้าแมวตัวเขื่องบินพึบออกจากที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว
จู่ๆ วิกฤติก็เปลี่ยนเป็นโอกาสได้อย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อร่างซึ่งอยู่เบื้องหลังเขากลับล้มลงราวใบไม้ร่วง
ที่ตามมาคือเสียงร้องโอดโอย แต่กลับเงียบกริบอย่างฉับพลัน เมื่อภูมิรพีเสยด้ามปืนเจ้าปัญหาเข้าที่ปลายคางเป็นการสั่งลา
ก่อนหน้านั้นเพียงไม่กี่วินาที...
ระหว่างทางที่ฐิตารีย์แยกจากภูมิรพีนั้น ใจกลับเป็นห่วงผู้จากมาอย่างที่สุด เหนือสิ่งอื่นใดคือสร้อยพระที่เขาให้เธอเพื่อป้องกันภยันตรายมากล้ำกลาย ก็ลืมคืนเขาเสียสนิท…
สมควรแล้วอย่างนั้นหรือที่เธอจะทิ้งเขาไว้ที่นั่นเพียงลำพัง หากไม่มีเธอเป็นตัวถ่วง เขาก็คงไม่ต้องใช้วิธีนี้
นาทีนั้นเหมือนมีบางสิ่งมาดลใจ ว่ายังมีอีกสิ่งที่อาจช่วยให้ขวัญและกำลังใจเธอเต็มร้อย หากจะคิดกลับไปช่วยภูมิรพี
ท่ามกลางคืนพระจันทร์วันเพ็ญนั้น ร่างบางได้เคลื่อนตัวเข้ามาอย่างเงียบเชียบที่สุด ซุ่มดูเหตุการณ์ด้วยใจเต้นไม่เป็นส่ำ จึงได้เห็นชายฉกรรจน์เบื้องหน้าว่าราว ‘หมาป่า’ กระหายเลือดไม่มีผิด
ใบหน้ากระดูกขาวซีด ราวปราศจากจิตวิญญาณ เหนือสิ่งอื่นใดคือปืนยาวในมือซึ่งกำลังเล็งตรงมายังอีกฝ่ายอย่างหมายปลิดชีวิต
แทบจะวินาทีเดียวกันกับคำพูดนั้น ที่ออกจากปาก อโหสิ...
ด้ามปืนออโตเมติก ขนาด 9 มม. จึงถูกกระชับเข้ากับมือนุ่ม พร้อมๆ กับส่งกระสุนออกจากลำกล้องอย่างใจเย็น
หญิงสาวที่ออกจากที่ซ่อนสบตาชายหนุ่มราวไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ทว่ามือซึ่งกำด้ามปืนถึงกับสั่นระริก
เสียงเอะอะจากเบื้องหลัง และแสงจากคบเพลิงที่วอมแวมอยู่ในระยะมองเห็นทำให้ทั้งสองต้องรีบรุดออกจากที่เกิดเหตุ โดยไม่ลืมฉวยปืนของคนร้ายติดมือไปด้วย แต่ถึงกระนั้นฐิตารีย์ยังทันเก็บภาพสองมือปืนไว้เพื่อเป็นหลักฐาน
กระทั่งมาถึงจุดนัดหมาย...
รถกะบะเก่าคร่ำคร่าที่หาสีแทบไม่เจอติดเครื่องรออยู่ก่อนแล้ว ภูมิรพีกระโดดขึ้นยังด้านหลังก่อนยื่นมาฉุดหญิงสาว
แล้วรถก็ออกตัวอย่างเร่งด่วน ทิ้งเสียงปืนที่ยังดังอย่างต่อเนื่องและเสียงเห่าหอนของเจ้าหมาล่าเนื้อไว้เบื้องหลัง
ไม่น่าเชื่อว่าสองหนุ่มสาวจะผ่านพ้นค่ำคืนอันโหดร้ายมาได้อย่างเฉียดฉิว
เมื่อเหงื่อแห้งสนิทกลับกลายเป็นหนาวสะท้าน เพราะรถไต่ระดับขึ้นที่สูงไปเรื่อยๆ บนฟากฟ้าดาวนับล้านดวงส่องประกายให้ได้เห็น
สายลมแรงที่มาปะทะใบหน้าพาให้เย็นจนสะท้าน ยังโชคดีที่คืนนี้ปราศจากเมฆฝน
สำหรับเขาแล้วเหตการณ์เมื่อครู่ ทำให้ต้องยอมรับจริงๆ ว่าเธอผู้นี้ทำให้เขานึกไม่ถึง ภายใต้ดวงตาอันตื่นตระหนก ราวลูกกวางน้อยระวังไพร กลับแฝงไว้ด้วยเงาของนางสิงห์ได้อย่างไรกัน
วูบหนึ่งที่เขานึกถึงคำพูดของลูกน้องตัวแสบ…
“นายเห็นกับตาแล้วจะหนาว เจ้าหล่อนยิงเป้าบินแม่นราวจับวาง” เพราะข้าวปุ้นพร้อมสมุนที่แอบรอดรั้วมาจีบสาวๆ ที่ฟาร์มเทพทัตมักไปแอบดูอยู่บ่อยๆ
รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นยังริมฝีปากที่ไรหนวดเขียวครึ้ม
“ทำไมคุณถึง หวนกลับมา”
นับเป็นคำถามที่เธอนึกไม่ถึงแม้แต่น้อย
“คุณก็รู้ว่าการกระทำเมื่อครู่อาจนำมาซึ่งเรื่องคาดไม่ถึง หากพวกนั้นจับคุณได้อะไรจะเกิดขึ้น”
เพราะคำพูดของเขาเธอถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ รีบถอดสร้อยคืนให้ทันที
ภูมิรพีกลับมองอย่างไม่เข้าใจ
“เพราะตาลืมคืนสิ่งนี้ให้กับคุณกระมังคะ” เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
“คุณเก็บไว้เถอะครับ”
ครั้งนี้เธอส่ายหน้า
“คุณปู่ตั้งใจให้ไว้เพื่อคุ้มครองคุณ เพราะฉะนั้นก็สมควรที่จะอยู่กับเจ้าของไม่ใช่หรือคะ”
เขากลับแตะมือของผู้ยัดเยียดให้ด้วยความรู้สึกหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นในใจ...
ไม่น่าเชื่อว่าความปราถนาดีของอีกฝ่ายจะสามารถจุดประกายภายในหัวใจอันแห้งผากของเขาให้ชุ่มชื่นขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ก็ในเมื่อเป็นของผม ผมก็มีสิทธิที่จะให้ใครได้ใช้ ไม่ใช่หรือครับ”
ฐิตารีย์ถึงกับพูดไม่ออกกับเหตุผลของเขา
ตาต่อตาที่ประสานกันเสมือนต่างฝ่าย ต่างมีความในใจที่ไม่อาจเอ่ยออกมา
“แต่…หากคุณเป็นอะไรไป แล้วใครจะปกป้องตากันล่ะคะ” เธอยังพยายามหาเหตุผลมาจนได้
ดูเหมือนคำพูดครั้งนี้ของเธอจะทำให้เขาตื้นตันใจขึ้นมาอย่างประหลาด พระปิดตาองค์เดิมจึงกลับมาอยู่ที่คอเขาอีกครั้ง
“จริงๆ แล้ว ตามีของที่ทำให้อุ่นใจแล้วล่ะค่ะ”
ไม่พดเปล่า แต่โชว์บางอย่างที่ให้เขาดูด้วย
“นี่ไงคะ คุณปู่ให้ตามานานมากๆ แต่ตาก็เก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์มาตลอด จะใช้ก็ยามคับขันเท่านั้น”
ภูมิรพีเพิ่งสังเกตเดี๋ยวนี้เองว่าบนนิ้วเรียวของอีกฝ่ายสวมแหวนสีประหลาดทั้งไม่เห็นว่าน่าจะเข้มขลังที่ตรงไหน
“แหวนนี่เรียกว่า ‘พิรอด’ ค่ะ” เธออธิบาย
“ในกระเป๋าใบนี้ ยังมีอะไรที่ทำให้ผมนึกไม่ถึงอีกหรือเปล่า”
คำสัพยอกของเขาทำให้เธอต้องเลิกคิ้วด้วยสงสัย
“ขนาดปืนคุณก็ยังพกติดตัวมา ผมนึกไม่ถึงเลยจริงๆ” พูดระหว่างส่ายหน้า
ฐิตารีย์เพิ่งจะรู้ว่าเขาหมายถึงสิ่งใด
“อันที่จริงคุณเองน่าจะมีไว้ป้องกันตัวมากกว่าใครๆ ไม่ใช่หรือคะ”
กล่าวเช่นนั้นเพราะกิตติศัพท์ของอีกฝ่าย
ครั้งนี้เขากลับหัวเราะหึ หึ
“ก็ในเมื่อผมมีบอดี้การ์ดมือฉมังระดับคุณ คอยพิทักษ์อยู่ทั้งคน ยังจะต้องกังวลอะไรอีก”
ฐิตารีย์ได้แต่ลอบค้อน ทว่าหัวใจอบอุ่นอย่างประหลาด
“เรื่องเมื่อครู่ ผมขอบคุณ คุณมากๆ ถึงแม้ว่านั่น ผมจะไม่เห็นด้วยเลยก็ตาม” ในที่สุดเขาก็เอ่ยประโยคนี้ออกมาจนได้
“ที่สำคัญ หากคุณเป็นอะไรไป ผมคงไม่กล้ากลับไปสู้หน้าคุณปู่ หรือใครๆ ในเทพทัตแน่”
น่าแปลกเพียงคำพูดนั้นของเขากลับทำให้เธอตื้นตันในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก
“แต่...เราก็รอดมาได้ไม่ใช่หรือคะ” บอกพร้อมรอยยิ้ม
“อย่างที่เขาว่า ‘หนึ่งคนหัวหาย สองคนเพื่อนตาย’ ยังไงล่ะคะ เพื่อนก็ย่อมต้องไม่ทิ้งเพื่อนอยู่แล้ว”
น่าแปลกที่คำพูดของเธอกลับสะดุดใจเขาเข้าอย่างจัง เพื่อน…ย่อมไม่ทิ้งเพื่อนอย่างนั้นหรือ
“ไอ้หมอนั่น มันคงยังงงอยู่แน่ๆ ว่าตัวเองโดนยิงได้ยังไง ขนาดผมยังนึกไม่ถึง”
บอกเช่นนั้นเพราะเธอซุ่มยังหลังพุ่มไม้ระหว่างย่อตัวยิง วิถีกระสุนนัดแรกจึงโดนมือสังหารยังมือขวาซึ่งพร้อมจะเหนี่ยวไกเข้าอย่างจัง นัดที่สองโดนช่วงขาอ่อนที่ตามมาจึงล้มทั้งยืน
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่คะ คุณจะเล่าได้หรือยัง”
“ให้เราถึงจุดหมายก่อน แล้วผมจะบอกทุกอย่าง”
แม้นั่นจะไม่ใช่คำตอบที่ต้องการ แต่ในยามนี้กลับไม่มีอารมณ์ต่อล้อต่อเถียง
ถึงสมองจะหนักอึ้ง แต่ยังอดไม่ได้ที่จะทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้น หากคนซึ่งเคียงข้างเมื่อครู่ไม่ใช่เขาแต่เป็นยองฮวา เขาจะปกป้องเธอโดยยอมเอาชีวิตเข้าแลกเหมือนที่ภูมิรพีทำเมื่อครู่นั่นหรือไม่
นาทีนี้เธอยอมรับอย่างไม่อายเลยว่ารู้สึกอบอุ่นที่ได้อยู่เคียงข้างชายคนนี้
แต่ที่ไม่น่าเชื่อคือชีวิตเธอต้องมาเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้ได้
แท้จริงแล้วเรื่องเป็นเช่นใดกันแน่ ก็ในเมื่ออีกวันหรือสองวันก็จะได้กลับบ้านอยู่แล้วนี่นา
นาทีนี้เธอกลับอยากให้ทุกสิ่งเป็นเพียงฝันร้าย ที่เมื่อตื่นทุกอย่างก็จะจางหาย
ถึงเคยยิงเป้าบิน และเป้านิ่งมานับไม่ถ้วน แต่ไม่ใช่การยิงคนเป็นๆ อย่างวันนี้ มันเป็นเรื่องที่เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยจริงๆ
“คุณจะงีบก่อนก็ได้ อีกไกลกว่าเราจะถึง”
ครั้งนี้เขาไม่พูดเปล่า แต่เปิดเป้นำเสื้อกันลมและฝนมาคลุมไหล่ให้กับเธอแล้วจึงนำฮู้ดคลุมผมเพื่อกันหนาว
เป็นอีกครั้งที่การกระทำของเขา ราวกับเธอเป็นน้องน้อยที่น่าทะนุถนอม ความรู้สึกเต็มตื้นในหัวใจจึงไหลบ่า ท่วมท้นจนน้ำตาคลอเบ้า
ความสุขและอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วทั้งตัวและหัวใจ ไม่ต่างกับต้องแสงแรกของแสงตะวันกับคืนวันในฤดูหนาว
“ผมจะบอกกับคุณปู่ ว่าไร่เทพทัตมีหลานสาวที่เก่งเทียบเท่าชายอกสามศอก”
เพียงเพราะคำพูดนั้นความคิดฟุ้งซ่านของฐิตารีย์เหมือนถูกเบรคกะทันหัน หมดอารมณ์วาดฝันทันท่วงที
คนบ้า! กำลังโรแมนติกอยู่ดีๆ มาทำลายความรู้สึกเสียได้ เจ้าตัวอดไม่ได้ที่จะค้อนลมไปตามเรื่อง
นานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ แต่หญิงสาวที่เคียงข้างเขากลับหลับสบายโดยมีไหล่เขาเป็นที่พึ่งพิง ทว่าภูมิรพีกลับไม่อาจข่มตาให้หลับ
กังวลอย่างบอกไม่ถูก อดไม่ได้ที่จะคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น มันย่อมไม่ใช่เหตุบังเอิญแน่
เพราะมีเพียงสามคนเท่านั้นที่รู้ว่าเขาจะต้องมาพักยังกระท่อมแสงจันทร์แห่งนี้
ใครกันคือผู้ทรยศ! เขาได้แต่ถามตัวเอง โดยปราศจากคำตอบอย่างสิ้นเชิง
ฐิตารีย์รู้สึกตัวอีกครั้ง เธอกลับกำลังซบไหล่เขา ที่หนักกว่าเห็นจะเป็นมือของเธอที่ยึดแขนอีกฝ่ายไว้มั่น นาทีนั้นจึงรีบดึงกลับอย่างฉับไว
นี่เธอทำอะไรลงไปโดยไม่รู้ตัวบ้างหรือเปล่านะ
เพราะใกล้ยิ่งกว่าใกล้ จนสัมผัสได้ถึงความอ่อนล้าของอีกฝ่าย ที่หลับเป็นตายอยู่ขณะนี้ ลมหายใจแผ่วๆ กับไรหนวดเขียวครึ้มพาให้หัวใจของเธออบอุ่นได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ช่วงเวลาเดียวกัน ณ ร้านกระทงทอง
หนึ่งหนุ่มที่มาตามคำเชิญของกำนันคือปลัดธันวิน โดยเขาได้ชวนณัฐพากย์มาด้วยตามที่เจ้าภาพต้องการ แต่กลับได้รับคำปฏิเสธแทน
“นายตามสบายเถอะนะ แต่ฉันทำใจไม่ได้จริงๆ ที่จะต้องไปร่วมวงนั่น”
กำนันกำลังสรวนเสเฮฮา โดยข้างกายคือบุตรสาวที่สีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะแท้จริงเธอไม่ต้องการมายังสถานที่แห่งนี้เลยสักนิด สิ่งสำคัญคือผู้ที่ขึ้นชื่อว่าคนรักแม้จะนั่งเพียงแค่เอื้อม แต่เธอกลับรู้สึกว่าห่างไกลจนสุดหล้า ซ้ำเขายังไม่มีทีท่าสนใจเธอแม้แต่น้อย
ห้วงเวลาเดียวกัน...
ผู้บริกรรมคาถาเสมือนมีตาทิพย์ โดยอาศัยการมองผ่านเค้าแมวตัวเขื่อง หรือ ‘พยนต์’ ซึ่งกำหนดจิตปลุกเสกด้วยวิทยาคมอันแกร่งกล้า บัดนี้ได้โบยบินติดตามสองหนุ่มสาวข้ามขุนเขาลูกแล้ว ลูกเล่าอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สวัสดีค่ะ
ตอนที่ 13 มาพบกับเพื่อนๆ ผู้อ่านในวันฝนพรำนะคะ
หวังว่าจะชื่อนชอบและสนุกสนานกันนะคะ ผิดพลาดประการใด ขออภัยด้วยค่ะ
ขอขอบคุณ ทุกๆ like ตลอดจนคุณanOO และคุณอัปสรา อย่างมากค่ะ ที่ฝากเมนท์ไว้เพื่อเป็นกำลังใจ
อย่าลืมรักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ สุดท้ายนี้ ขอให้สุขภาพกายและใจแข็งแรง สมบูรณ์ กันทุกๆ ท่านเลยนะคะ
ด้วยรักจากใจค่ะ
ยุพากร
พระเอกและนางเอกต้องไปติดอย่กลางป่าเหตุเพราะหินถล่มปิดทางเข้าออก...
ขอเชิญทุกท่าน เข้าสู่เรื่องราวตอนต่อไป ของ ' ป่าหนาวในเงารัก ' ได้เลยค่ะ และขอให้สนุกกับตอนนี้นะคะ ^^
13
ฐิตารีย์แทบไม่เชื่อสายตาของตัวเอง ในที่สุดเธอก็สามารถเดินจนถึง ‘กระท่อมแสงจันทร์’ แผ่นป้ายจากตาไม้เก่าระบุชื่อแสนโรแมนติกกลับปกคลุมด้วยเถาสร้อยอินทนินที่กำลังออกดอกสีม่วงเย็นตา
บ้านทรงกลมก่ออิฐแดง มีปล่องไฟงดงามน่ารัก ซ้ำหลังคายังมุงด้วยใบจาก
วูบหนึ่งที่ฐิตารีย์อดไม่ได้ที่จะวาดภาพตัวเองอยู่ในชุดหนูน้อยหมวกแดง เดินถือตะกร้าซึ่งเต็มไปด้วยดอกไม้นาๆ ชนิด
แล้วใครจะเป็น 'หมาป่า' ดีนะ บุคคลที่เพิ่งจากไปก็หน้าไม่ให้สักเท่าไหร่เลย
เธออดไม่ได้ที่จะหัวเราะ ความเครียดที่ผ่านมาดูจะมลายไปสิ้น และเพิ่งสังเกตเดี๋ยวนี้เองว่ายังมีบ้านด้านหลัง ที่ละม้ายกับหลังนี้อีกด้วย
“คุณอยู่หลังนี้นะ เดี๋ยวผมไปอยู่หลังโน้น” บอกระหว่างส่งกุญแจให้ ก่อนผละไปโดยเร็ว
หมอนี่คงคิดถึงลูกเมียใจจะขาดแน่ๆ ถึงต้องรีบขนาดนั้น เจ้าตัวได้แต่ลอบค้อนอย่างหมั่นไส้
แม้ผู้ร่วมเดินทางจะจากไปไกลแล้ว แต่เธอยังชื่นชมกับธรรมชาติรอบข้างไม่วางตา
ด้านหนึ่งคือม่วงมงคลไม้ดอกประดับ ต้นสูงระดับเอวแต่พากันอวดช่อดอกสีม่วงแกมน้ำเงินจนเต็มต้น ถัดไปคือไฮเดรนเยีย ไม้ดอกเมืองหนาวที่เบ่งบานรับละอองฝนอันชุ่มฉ่ำ
กระทั่งไม้ใหญ่อย่างหางนกยูง ยังออกดอกสีส้มจนสะพรั่ง ตื่นตาอย่างบอกไม่ถูก
กลิ่นอับภายในบ้านบอกให้รู้ว่าปราศจากการใช้งานมายาวนาน แต่กลับปราศจากฝุ่นละออง ถึงจะคล้ายรีสอร์ท เพราะสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันทั้งฟอร์นิเจอร์ก็ทันสมัย แต่ความเงียบงันทำให้เธอรู้สึกกลัวอย่างประหลาด
ครั้นเมื่อเปิดโทรทัศน์กลับพบกับภาพล้มไม่เป็นท่า ฐิตารีย์จึงเพียงอาศัยเสียงเป็นเพื่อน แต่ยังอดไม่ได้ที่จะนึกถึงผู้ซึ่งร่วมทุกข์สุขกันมาทั้งคืนกับค่อนวัน
ป่านนี้…คงยุ่งอยู่กับเมียและลูกน้อยแล้วเป็นแน่ แม้พยายามไม่ใส่ใจ แต่กลับเอามาคิดอีกจนได้
เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำเอาเธอถึงกับสะดุ้งสุดตัว
“ผมเอาชุดมาให้เปลี่ยน คุณทนใช้ไปก่อนก็แล้วกัน” บอกระหว่างยื่นเสื้อสีเข้มพร้อมกางเกงขายาวเอวรูดให้
“ทีวีดูไม่ได้หรอกนะครับ” บอกเช่นนั้นเพราะได้ยินเสียงเล็ดรอดออกมาภายนอก
“เสาอากาศล้มมานานแล้ว ยังไม่ได้จัดการเสียที ขอโทษด้วยที่ไม่สะดวกเอาเสียเลย”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ได้เท่านี้ก็ดีถมไปแล้ว” เอ่ยออกมาจากใจจริง ที่สำคัญเธอไม่ต้องการให้เขาคิดว่า เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ตามที่คุณปู่ปรามาศไว้
“หิวหรือเปล่า อีกเดี๋ยวอาหารก็เสร็จแล้ว” เขายังชวนคุย
“ยังหรอกค่ะ ว่าแต่คุณติดต่อใครได้บ้างหรือยังคะ”
เห็นได้ชัดว่าภูมิรพีไม่อยากตอบคำถามนั้น
“คือ…โทรศัพท์ผมแบตหมดแล้วน่ะครับ แต่คุณไม่ต้องกังวล ผมเชื่อว่าน่าจะออกไปได้ในวันสองวันนี่แน่ๆ”
“แล้ว…เราจะทราบได้ยังไงล่ะคะ ว่าทางนั่นใช้ได้แล้ว” ยังมีปัญหาถามอีกจนได้
“ผมจะเดินไปดูเอง”
ทว่าการเจรจาขอยืมรถแทรกเตอร์เพื่อเคลียร์หินขนาดใหญ่ถึงจะสัมฤทธิ์ผล แต่กลับไม่อาจดำเนินการได้อย่างใจคิด เหตุเพราะทางขึ้นอันสูงชัน และถนนยังอุ้มน้ำ
“เห็นว่าจะรออีกวันสองวัน” พชรบอกยองฮวาระหว่างรับประทานมื้อค่ำด้วยกัน
“คืนนี้คุณพักที่นี่ก็แล้วกัน พรุ่งนี้ค่อยย้ายมาอยู่กับผม คุณปู่ท่านอนุญาตแล้ว”
ยองฮวาเพียงพยักหน้ารับ รู้สึกเหมือนมืดแปดด้านอย่างไรชอบกล
“คุณว่า ผมยังพอมีหวังมั้ย” ในที่สุดเขาก็เอ่ยออกมาจนได้
“คุณหมายความว่ายังไง” ทั้งที่รู้อยู่เต็มอก พชรกลับทำไขสือ
“ผมกับตา คุณคิดว่าผมยังมีหวังหรือเปล่า” ถามระหว่างมองตาอีกฝ่ายนิ่ง
“หากผมจะยอมละทิ้งบ้านเกิด แล้วมาตั้งต้นนับหนึ่งกับเธอที่นี่ คุณคิดว่า ตาจะเห็นใจผมมั้ย”
เป็นอีกครั้งที่พชรถึงกับพูดไม่ออก นาทีนี้เขาได้แต่โทษตัวเองที่ไม่น่าหวังดีเป็นสื่อกลางให้ทั้งสองได้พบกัน เพราะดูเหมือนหัวใจของเพื่อรักจะปราศจากคนที่ชื่อยองฮวาไปเสียแล้ว
เขาน่าจะเข็ดหลาบกับการเข้าไปยุ่งเรื่อง ‘รัก’ ของเพื่อนคนนี้ กี่ครั้งแล้วที่เธอหว่านเสน่ห์และกี่ครั้งที่เธอเป็นฝ่าย ‘หักอกเหยื่อ’ ที่เข้ามาติดกับดักอย่างปราศจากเยื้อใย
“เราจะไม่มีวันอกหัก พชรจำไว้ รักใครก็ต้องเพียงครึ่งใจเท่านั้น”
เพราะคำถามที่ปราศจากคำตอบ ทำให้ยองฮวาต้องออกมายืนที่ระเบียงเพียงลำพัง กลิ่นหอมอ่อนๆ ของมวลหมู่ไม้ดอกไม่ได้ทำให้รู้สึกปลอดโปร่งใจแม้แต่น้อย
“เจ้าไม่คิดจะจีบหมากพลูให้ข้าเลยหรือลำเจียก”
เสียงข้างกายทำให้หญิงสาวในชุดผ้าแถบสีกรีบบัวพร้อมโจงกระเบนสีเขียวเข้ม ถึงกับสะดุ้งโหยง รีบทรุดตัวลงนั่งในทันใด
“เจ้ามาแอบดูเขาทุกวัน มันจะได้อะไรขึ้นมา เจ้าก็รู้ ว่าเราต่างอยู่คนละภพ การกระทำเยี่ยงนี้จะยิ่งทำให้เจ้าระทมทุกข์เสียเปล่าๆ”
ผู้รับฟังได้แต่ก้มหน้านิ่ง
“เรากลับเรือนกันเถอะนะลำเจียก” กล่าวก่อนจะออกเดิน
น่าเสียดายนักที่นาทีนั้น ผู้เดินนำไม่มีโอกาสได้เห็นดวงตาซึ่งเปล่งประกายอย่างหมายมั่นของผู้ที่อยู่เบื้องหลังแม้แต่น้อย
นาทีนั้นบุรุษผู้มาใหม่เหมือนต้องมนต์สะกด เพราะแม้เห็นสองสาวซึ่งเดินผ่านยังถนนหน้าระเบียงบ้านพัก แต่กลับไม่อาจขยับเขยื้อน
ซึ่งต่างกับผู้อยู่หลังบานหน้าต่าง เพราะพชรถึงกับใจเต้นไม่เป็นส่ำ เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่เขาได้เห็นเต็มๆ ตาขนาดนี้ แต่ถึงกระนั้นเขายังมีสติที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายภาพอย่างฉับไว
รอยยิ้มที่ปรากฏบอกให้รู้ถึงความหวังที่จะได้พบกับหญิงสาวในภาพใกล้เข้ามาแค่เอื้อม
ณ กระท่อมแสงจันทร์...
เข็มนาฬิกาบอกเวลาเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ แต่เสียงหนึ่งที่ดังใกล้ตัวทำให้ฐิตารีย์สะดุ้งตื่นอย่างตกใจ พร้อมๆ กับไฟหัวเตียงดับวูบลง อีกทั้งมือหนาที่ปิดปากเธอไว้ก็ยิ่งทำให้ตื่นตระหนกอีกหลายเท่า
ใจที่เต้นไม่เป็นส่ำบ่งบอกถึงอารมณ์ในยามนี้ได้เป็นอย่างดี แม้เธอจะเห็นแล้วว่าเป็นใคร
แต่เพราะเหตุใดเขาถึงเข้ามายามวิกาลเช่นนี้ได้
“เราต้องออกเดินทางกันเดี๋ยวนี้ คุณไม่ต้องเอาอะไรไปด้วยทั้งนั้น ตามผมมาให้เงียบที่สุด”
นั่นคือคำพูดที่เขากระซิบ
ให้ตายเถอะ ก็เธอกำลังหลับฝันหวานอยู่แท้ๆ แล้วจู่ๆ หมอนี่ก็มาปลุก ด้วยเรื่องอะไรยังไม่รู้ แต่ย่อมไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ
ไม่น่าเชื่อว่ายามนี้กระทั่งจะสวมรองเท้าใจยังเต้นโครมคราม…
และแม้เขาจะบอกเช่นนั้น แต่เธอยังไม่ลืมที่จะคว้ากระเป๋าคู่ชีพไปจนได้
ภายนอกยังคงเงียบสงัดปราศจากสุ้มเสียงใดๆ สองหนุ่มสาวลัดเลาะไปตามทางเดินที่บัดนี้มีเพียงแสงจันทร์สาดส่อง ทิ้งความอบอุ่นอันแสนสบายภายในบ้านหลังนั้นไว้เบื้องหลัง
แม้อยากถามผู้ที่เดินนำหน้าใจจะขาด ว่ามีเรื่องใดเกิดขึ้นกันแน่ แต่ถึงกระนั้นเธอยังไม่อาจปริปากใดๆ ได้
แล้วภูมิรพีก็หยุดเดินชั่วครู่เพื่อรอผู้ติดตาม
“มันเรื่องอะไรกันแน่คะ ทำไมเราถึงพักที่กระท่อมนั่นไม่ได้” ถามตรงๆ เมื่อวิ่งครึ่งเดินครึ่งมาถึงเขา
“เพราะคนที่ผมให้ ‘ไปหาข่าว’ เพิ่งกลับมาบอก ว่ามีคนขึ้นมาจากทางผาห่มหมอกน่ะสิ” บอกสีหน้าเครียดเคร่ง
นาทีนั้นเธอยังไม่เข้าใจอยู่ดี
“หมายความว่าจะมีคนมาช่วยเราไม่ใช่หรือคะ” ถามระหว่างหอบตัวโยน
“ถ้าใช่ ผมคงไม่ไปปลุกคุณดึกๆ ดื่นๆ อย่างนี้แน่ เรารีบไปกันเถอะ อีกเดี๋ยวก็ถึงจุดนัดหมายแล้ว”
ทว่าเสียงหนึ่งที่ดังขึ้นกลับทำให้การเดินทางต้องหยุดชะงักกะทันหัน
เสียงปืน! ที่ดังติดต่อกันถึงสามนัด ดังมาจากทางบ้านพักที่เพิ่งจากมานั่นเอง
ครั้งนี้ภูมิรพีไม่คำพูดใดออกจากปากปากทั้งสิ้น แต่คว้าข้อมือเธอออกวิ่งอย่างรวดเร็ว
ห้วงเวลานั้น…ฐิตารีย์แม้ใจคิดว่าเร็วแล้ว แต่กับนาทีแห่งความเป็นความตายเช่นนี้กลับเหมือนช้าราวชั่วกัปชั่วกันต์ ขาหนักอึ้งราวมีใครเอาหินมาถ่วง เหงื่อกาฬแตกพลักก็จริงแต่มือกลับเย็นเฉียบ
นาทีแล้วนาทีเล่าที่ใจเต้นไม่เป็นส่ำ ในชีวิตยังไม่เคยหวาดกลัวสิ่งใดได้เท่านี้มาก่อน ที่สำคัญคือเสียงหมาที่เห่ามาให้ได้ยิน มันช่างกระชั้นจนแทบหายใจรดต้นคอ
“ผมจะล่อพวกมันอยู่ที่นี่ ส่วนคุณวิ่งตรงไปตามทางนี้ จะเจอกับคนที่ผมนัดให้มารับ” บอกระหว่างส่งไฟฉายดวงจิ๋วให้กับเธอ
นาทีนั้นฐิตารีย์แทบไม่รู้ว่าเขากำลังพูดถึงสิ่งใด
“ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ก็อย่าหันหลังกลับมาเด็ดขาด รีบไปได้แล้ว” เขาเร่งอีกครั้ง
“แต่...”
“อย่าทำให้ผมต้องห่วงหน้าพะวงหลัง” บอกน้ำเสียงเฉียบขาด
ฐิตารีย์ไม่คิดมาก่อนเลยว่าเหตุการณ์จะเลวร้ายถึงเพียงนี้ ตาต่อตาที่ประสานกันทำให้เธอรู้ว่าอีกฝ่ายได้ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว และเธอก็ไม่ควรมีข้อแม้ใดๆ อีก
สองนาทีให้หลัง…
ภูมิรพียังคงซุ่มอยู่ที่เดิมโดยไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์เบื้องหน้าจะเป็นเช่นใด แต่เขาก็พร้อมแล้วที่จะเผชิญกับมัน
“เฮ้ย!”
เสียงนั้นกระชั้นชิดจนไม่ทันตั้งตัว แต่สามารถหยุดภูมิรพีได้ในทันใด
“คิดหรือวะ ว่าจะหนีพ้น”
มันไม่พูดเปล่า แต่ใช้ปลายกระบอกปืนจ่อยังร่างเขาอีกด้วย
“เป้มึง เอาวางลง” ออกคำสั่งอย่างถือไพ่เหนือกว่า
ภูมิรพีขบกรามแน่นจนเป็นสันนูน จำใจปลดเป้หลังอย่างเชื่องช้า
“อย่าตุกติกนะโว้ย ยังไงซะวันนี้ก็เป็นวันตายของมึงอยู่แล้ว” บอกอย่างย่ามใจ ขณะตบบั้นเอวเพื่อค้นอาวุธ
แต่เสี้ยวนาทีนั้นเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นจนได้...
ใครจะคาดคิดว่าผู้ตกเป็นรองทุกประตูจะกล้าจนบ้าบิ่น เพราะเขากลับหันขวับไปคว้าปลายกระบอกปืน ก่อนศอกกลับยังปลายคางศัตรูตัวฉกาจ
อีกฝ่ายหงายหลังผึ่งก็จริง แต่ที่ตามมาคือการยื้อยุดปืนกระบอกนั้นอย่างน่าหวาดเสียวที่สุด
ต่างฝ่ายต่างเป็นผู้รุกและรับ ล้มลุกคลุกคลาน โรมรันพันตูอย่างไม่มีใครยอมแพ้ใคร
และแล้วภูมิรพีก็ได้เปรียบ เมื่อขึ้นคล่อมร่างอีกฝ่ายก่อนจะส่งหมัดเข้าครึ่งปากครึ่งจมูกสุดแรงเกิด
ร่างที่นอนคลุกฝุ่นปราศจากการรับรู้ใดๆ แล้วก็จริง แต่ภูมิรพียังไม่อาจวางใจได้ เร็วเท่าความคิด เขาปราดไปยังปืนกระบอกนั้นอย่างรวดเร็ว
ทว่าเหมือนโชคไม่เข้าข้าง เพราะจู่ๆ ร่างทมึนของใครอีกคนก็ปรากฎขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน
ปืนกระบอกนั้นจึงอันตรธานในพริบตา ที่ตามมากลับเป็นน้ำเสียงกักขฬะจากชายฉกรรจน์แทน
“มึงนึกว่าตัวเองแน่มากนักหรือไง”
น่าเสียดายนัก ที่โอกาสเพียงครั้งเดียวของเขาได้หลุดลอยไปเสียแล้ว ทั้งยามนี้ปืนเจ้ากรรมกระบอกเดิมก็กลับมาจับจ้องอีกจนได้
นาทีนั้นภูมิรพีจึงได้แต่ชูมือขึ้นอย่างหมดหนทางสู้
เสียงใบไม้ต้องสายลม จึงไม่ต่างกับบทเพลงของซาตานที่กำลังขับขานไม่มีผิด
ภูมิรพีเพิ่งรู้สึกจริงๆ ว่าบุคคลที่คิดถึงมากที่สุดในยามนี้ คือมารดาของเขาเอง เพราะดูเหมือนความหวังที่จะได้กลับไปเห็นใบหน้าของบุคคลอันเป็นที่รักได้หลุดลอยไปไกลแล้ว
“ไหนๆ ก็มาถึงขั้นนี้ นายจะบอกได้มั้ย ว่าใครเป็นคนออกคำสั่ง” ถามทั้งที่หันหลัง
“มึงจะรู้ไปทำไม คิดหรือว่า คนจ้างจะกล้าโผล่หน้ามาให้เห็น” บอกระหว่างยิ้มเยาะ
“กูก็แค่ทำตามใบสั่ง เงินมา งานเดิน ก็เท่านั้น อย่าเสียเวลาดีกว่า ฉันยังต้องไปตามหา ‘ผู้หญิง’ อีก” บอกน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม
ถึงจะเป็นวาระสุดท้ายของชีวิต แต่ยังมีอีกหนึ่งที่เขาเป็นห่วงอย่างที่สุด
“นายจะทำยังไงกับฉันก็ได้ แต่...อย่าแตะต้อง ‘ผู้หญิง’ เด็ดขาด เพราะเธอไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้”
“กูว่ามึงห่วงตัวเองจะดีกว่า เพราะคำสั่งก็คือ ‘เก็บ’ มึงคนเดียวเท่านั้น” ไม่พูดเปล่าแต่กลับแสยะยิ้มอย่างผู้กำชัยชนะ
นาทีนั้นเสียงขึ้นลำกล้องจากผู้ที่อยู่เบื้องหลัง สำหรับภูมิรพีแล้วกลับเหมือนก้องไปทั้งป่า เย็นยเยือกไปจนถึงก้นบึ้งของหัวใจ
วาระสุดท้ายของเขามาถึงจริงๆ แล้วหรือนี่
ทั้งที่ภาวนาอยู่ในใจขอให้มีปาฎิหาริย์ ทว่า...แสงเทียนยามต้องลมจนลิบหรี่ ก็ยากนักที่จะกลับมาโชติช่วงได้ดังเดิม
“อโหสิให้ฉันด้วยก็แล้วกัน”
นั่นคือคำพูดสุดท้ายที่ภูมิรพีได้รับฟัง!
เสียงปืนสองนัดที่ดังขึ้นจนก้องป่า ทำให้นกเค้าแมวตัวเขื่องบินพึบออกจากที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว
จู่ๆ วิกฤติก็เปลี่ยนเป็นโอกาสได้อย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อร่างซึ่งอยู่เบื้องหลังเขากลับล้มลงราวใบไม้ร่วง
ที่ตามมาคือเสียงร้องโอดโอย แต่กลับเงียบกริบอย่างฉับพลัน เมื่อภูมิรพีเสยด้ามปืนเจ้าปัญหาเข้าที่ปลายคางเป็นการสั่งลา
ก่อนหน้านั้นเพียงไม่กี่วินาที...
ระหว่างทางที่ฐิตารีย์แยกจากภูมิรพีนั้น ใจกลับเป็นห่วงผู้จากมาอย่างที่สุด เหนือสิ่งอื่นใดคือสร้อยพระที่เขาให้เธอเพื่อป้องกันภยันตรายมากล้ำกลาย ก็ลืมคืนเขาเสียสนิท…
สมควรแล้วอย่างนั้นหรือที่เธอจะทิ้งเขาไว้ที่นั่นเพียงลำพัง หากไม่มีเธอเป็นตัวถ่วง เขาก็คงไม่ต้องใช้วิธีนี้
นาทีนั้นเหมือนมีบางสิ่งมาดลใจ ว่ายังมีอีกสิ่งที่อาจช่วยให้ขวัญและกำลังใจเธอเต็มร้อย หากจะคิดกลับไปช่วยภูมิรพี
ท่ามกลางคืนพระจันทร์วันเพ็ญนั้น ร่างบางได้เคลื่อนตัวเข้ามาอย่างเงียบเชียบที่สุด ซุ่มดูเหตุการณ์ด้วยใจเต้นไม่เป็นส่ำ จึงได้เห็นชายฉกรรจน์เบื้องหน้าว่าราว ‘หมาป่า’ กระหายเลือดไม่มีผิด
ใบหน้ากระดูกขาวซีด ราวปราศจากจิตวิญญาณ เหนือสิ่งอื่นใดคือปืนยาวในมือซึ่งกำลังเล็งตรงมายังอีกฝ่ายอย่างหมายปลิดชีวิต
แทบจะวินาทีเดียวกันกับคำพูดนั้น ที่ออกจากปาก อโหสิ...
ด้ามปืนออโตเมติก ขนาด 9 มม. จึงถูกกระชับเข้ากับมือนุ่ม พร้อมๆ กับส่งกระสุนออกจากลำกล้องอย่างใจเย็น
หญิงสาวที่ออกจากที่ซ่อนสบตาชายหนุ่มราวไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ทว่ามือซึ่งกำด้ามปืนถึงกับสั่นระริก
เสียงเอะอะจากเบื้องหลัง และแสงจากคบเพลิงที่วอมแวมอยู่ในระยะมองเห็นทำให้ทั้งสองต้องรีบรุดออกจากที่เกิดเหตุ โดยไม่ลืมฉวยปืนของคนร้ายติดมือไปด้วย แต่ถึงกระนั้นฐิตารีย์ยังทันเก็บภาพสองมือปืนไว้เพื่อเป็นหลักฐาน
กระทั่งมาถึงจุดนัดหมาย...
รถกะบะเก่าคร่ำคร่าที่หาสีแทบไม่เจอติดเครื่องรออยู่ก่อนแล้ว ภูมิรพีกระโดดขึ้นยังด้านหลังก่อนยื่นมาฉุดหญิงสาว
แล้วรถก็ออกตัวอย่างเร่งด่วน ทิ้งเสียงปืนที่ยังดังอย่างต่อเนื่องและเสียงเห่าหอนของเจ้าหมาล่าเนื้อไว้เบื้องหลัง
ไม่น่าเชื่อว่าสองหนุ่มสาวจะผ่านพ้นค่ำคืนอันโหดร้ายมาได้อย่างเฉียดฉิว
เมื่อเหงื่อแห้งสนิทกลับกลายเป็นหนาวสะท้าน เพราะรถไต่ระดับขึ้นที่สูงไปเรื่อยๆ บนฟากฟ้าดาวนับล้านดวงส่องประกายให้ได้เห็น
สายลมแรงที่มาปะทะใบหน้าพาให้เย็นจนสะท้าน ยังโชคดีที่คืนนี้ปราศจากเมฆฝน
สำหรับเขาแล้วเหตการณ์เมื่อครู่ ทำให้ต้องยอมรับจริงๆ ว่าเธอผู้นี้ทำให้เขานึกไม่ถึง ภายใต้ดวงตาอันตื่นตระหนก ราวลูกกวางน้อยระวังไพร กลับแฝงไว้ด้วยเงาของนางสิงห์ได้อย่างไรกัน
วูบหนึ่งที่เขานึกถึงคำพูดของลูกน้องตัวแสบ…
“นายเห็นกับตาแล้วจะหนาว เจ้าหล่อนยิงเป้าบินแม่นราวจับวาง” เพราะข้าวปุ้นพร้อมสมุนที่แอบรอดรั้วมาจีบสาวๆ ที่ฟาร์มเทพทัตมักไปแอบดูอยู่บ่อยๆ
รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นยังริมฝีปากที่ไรหนวดเขียวครึ้ม
“ทำไมคุณถึง หวนกลับมา”
นับเป็นคำถามที่เธอนึกไม่ถึงแม้แต่น้อย
“คุณก็รู้ว่าการกระทำเมื่อครู่อาจนำมาซึ่งเรื่องคาดไม่ถึง หากพวกนั้นจับคุณได้อะไรจะเกิดขึ้น”
เพราะคำพูดของเขาเธอถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ รีบถอดสร้อยคืนให้ทันที
ภูมิรพีกลับมองอย่างไม่เข้าใจ
“เพราะตาลืมคืนสิ่งนี้ให้กับคุณกระมังคะ” เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
“คุณเก็บไว้เถอะครับ”
ครั้งนี้เธอส่ายหน้า
“คุณปู่ตั้งใจให้ไว้เพื่อคุ้มครองคุณ เพราะฉะนั้นก็สมควรที่จะอยู่กับเจ้าของไม่ใช่หรือคะ”
เขากลับแตะมือของผู้ยัดเยียดให้ด้วยความรู้สึกหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นในใจ...
ไม่น่าเชื่อว่าความปราถนาดีของอีกฝ่ายจะสามารถจุดประกายภายในหัวใจอันแห้งผากของเขาให้ชุ่มชื่นขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ก็ในเมื่อเป็นของผม ผมก็มีสิทธิที่จะให้ใครได้ใช้ ไม่ใช่หรือครับ”
ฐิตารีย์ถึงกับพูดไม่ออกกับเหตุผลของเขา
ตาต่อตาที่ประสานกันเสมือนต่างฝ่าย ต่างมีความในใจที่ไม่อาจเอ่ยออกมา
“แต่…หากคุณเป็นอะไรไป แล้วใครจะปกป้องตากันล่ะคะ” เธอยังพยายามหาเหตุผลมาจนได้
ดูเหมือนคำพูดครั้งนี้ของเธอจะทำให้เขาตื้นตันใจขึ้นมาอย่างประหลาด พระปิดตาองค์เดิมจึงกลับมาอยู่ที่คอเขาอีกครั้ง
“จริงๆ แล้ว ตามีของที่ทำให้อุ่นใจแล้วล่ะค่ะ”
ไม่พดเปล่า แต่โชว์บางอย่างที่ให้เขาดูด้วย
“นี่ไงคะ คุณปู่ให้ตามานานมากๆ แต่ตาก็เก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์มาตลอด จะใช้ก็ยามคับขันเท่านั้น”
ภูมิรพีเพิ่งสังเกตเดี๋ยวนี้เองว่าบนนิ้วเรียวของอีกฝ่ายสวมแหวนสีประหลาดทั้งไม่เห็นว่าน่าจะเข้มขลังที่ตรงไหน
“แหวนนี่เรียกว่า ‘พิรอด’ ค่ะ” เธออธิบาย
“ในกระเป๋าใบนี้ ยังมีอะไรที่ทำให้ผมนึกไม่ถึงอีกหรือเปล่า”
คำสัพยอกของเขาทำให้เธอต้องเลิกคิ้วด้วยสงสัย
“ขนาดปืนคุณก็ยังพกติดตัวมา ผมนึกไม่ถึงเลยจริงๆ” พูดระหว่างส่ายหน้า
ฐิตารีย์เพิ่งจะรู้ว่าเขาหมายถึงสิ่งใด
“อันที่จริงคุณเองน่าจะมีไว้ป้องกันตัวมากกว่าใครๆ ไม่ใช่หรือคะ”
กล่าวเช่นนั้นเพราะกิตติศัพท์ของอีกฝ่าย
ครั้งนี้เขากลับหัวเราะหึ หึ
“ก็ในเมื่อผมมีบอดี้การ์ดมือฉมังระดับคุณ คอยพิทักษ์อยู่ทั้งคน ยังจะต้องกังวลอะไรอีก”
ฐิตารีย์ได้แต่ลอบค้อน ทว่าหัวใจอบอุ่นอย่างประหลาด
“เรื่องเมื่อครู่ ผมขอบคุณ คุณมากๆ ถึงแม้ว่านั่น ผมจะไม่เห็นด้วยเลยก็ตาม” ในที่สุดเขาก็เอ่ยประโยคนี้ออกมาจนได้
“ที่สำคัญ หากคุณเป็นอะไรไป ผมคงไม่กล้ากลับไปสู้หน้าคุณปู่ หรือใครๆ ในเทพทัตแน่”
น่าแปลกเพียงคำพูดนั้นของเขากลับทำให้เธอตื้นตันในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก
“แต่...เราก็รอดมาได้ไม่ใช่หรือคะ” บอกพร้อมรอยยิ้ม
“อย่างที่เขาว่า ‘หนึ่งคนหัวหาย สองคนเพื่อนตาย’ ยังไงล่ะคะ เพื่อนก็ย่อมต้องไม่ทิ้งเพื่อนอยู่แล้ว”
น่าแปลกที่คำพูดของเธอกลับสะดุดใจเขาเข้าอย่างจัง เพื่อน…ย่อมไม่ทิ้งเพื่อนอย่างนั้นหรือ
“ไอ้หมอนั่น มันคงยังงงอยู่แน่ๆ ว่าตัวเองโดนยิงได้ยังไง ขนาดผมยังนึกไม่ถึง”
บอกเช่นนั้นเพราะเธอซุ่มยังหลังพุ่มไม้ระหว่างย่อตัวยิง วิถีกระสุนนัดแรกจึงโดนมือสังหารยังมือขวาซึ่งพร้อมจะเหนี่ยวไกเข้าอย่างจัง นัดที่สองโดนช่วงขาอ่อนที่ตามมาจึงล้มทั้งยืน
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่คะ คุณจะเล่าได้หรือยัง”
“ให้เราถึงจุดหมายก่อน แล้วผมจะบอกทุกอย่าง”
แม้นั่นจะไม่ใช่คำตอบที่ต้องการ แต่ในยามนี้กลับไม่มีอารมณ์ต่อล้อต่อเถียง
ถึงสมองจะหนักอึ้ง แต่ยังอดไม่ได้ที่จะทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้น หากคนซึ่งเคียงข้างเมื่อครู่ไม่ใช่เขาแต่เป็นยองฮวา เขาจะปกป้องเธอโดยยอมเอาชีวิตเข้าแลกเหมือนที่ภูมิรพีทำเมื่อครู่นั่นหรือไม่
นาทีนี้เธอยอมรับอย่างไม่อายเลยว่ารู้สึกอบอุ่นที่ได้อยู่เคียงข้างชายคนนี้
แต่ที่ไม่น่าเชื่อคือชีวิตเธอต้องมาเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้ได้
แท้จริงแล้วเรื่องเป็นเช่นใดกันแน่ ก็ในเมื่ออีกวันหรือสองวันก็จะได้กลับบ้านอยู่แล้วนี่นา
นาทีนี้เธอกลับอยากให้ทุกสิ่งเป็นเพียงฝันร้าย ที่เมื่อตื่นทุกอย่างก็จะจางหาย
ถึงเคยยิงเป้าบิน และเป้านิ่งมานับไม่ถ้วน แต่ไม่ใช่การยิงคนเป็นๆ อย่างวันนี้ มันเป็นเรื่องที่เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยจริงๆ
“คุณจะงีบก่อนก็ได้ อีกไกลกว่าเราจะถึง”
ครั้งนี้เขาไม่พูดเปล่า แต่เปิดเป้นำเสื้อกันลมและฝนมาคลุมไหล่ให้กับเธอแล้วจึงนำฮู้ดคลุมผมเพื่อกันหนาว
เป็นอีกครั้งที่การกระทำของเขา ราวกับเธอเป็นน้องน้อยที่น่าทะนุถนอม ความรู้สึกเต็มตื้นในหัวใจจึงไหลบ่า ท่วมท้นจนน้ำตาคลอเบ้า
ความสุขและอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วทั้งตัวและหัวใจ ไม่ต่างกับต้องแสงแรกของแสงตะวันกับคืนวันในฤดูหนาว
“ผมจะบอกกับคุณปู่ ว่าไร่เทพทัตมีหลานสาวที่เก่งเทียบเท่าชายอกสามศอก”
เพียงเพราะคำพูดนั้นความคิดฟุ้งซ่านของฐิตารีย์เหมือนถูกเบรคกะทันหัน หมดอารมณ์วาดฝันทันท่วงที
คนบ้า! กำลังโรแมนติกอยู่ดีๆ มาทำลายความรู้สึกเสียได้ เจ้าตัวอดไม่ได้ที่จะค้อนลมไปตามเรื่อง
นานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ แต่หญิงสาวที่เคียงข้างเขากลับหลับสบายโดยมีไหล่เขาเป็นที่พึ่งพิง ทว่าภูมิรพีกลับไม่อาจข่มตาให้หลับ
กังวลอย่างบอกไม่ถูก อดไม่ได้ที่จะคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น มันย่อมไม่ใช่เหตุบังเอิญแน่
เพราะมีเพียงสามคนเท่านั้นที่รู้ว่าเขาจะต้องมาพักยังกระท่อมแสงจันทร์แห่งนี้
ใครกันคือผู้ทรยศ! เขาได้แต่ถามตัวเอง โดยปราศจากคำตอบอย่างสิ้นเชิง
ฐิตารีย์รู้สึกตัวอีกครั้ง เธอกลับกำลังซบไหล่เขา ที่หนักกว่าเห็นจะเป็นมือของเธอที่ยึดแขนอีกฝ่ายไว้มั่น นาทีนั้นจึงรีบดึงกลับอย่างฉับไว
นี่เธอทำอะไรลงไปโดยไม่รู้ตัวบ้างหรือเปล่านะ
เพราะใกล้ยิ่งกว่าใกล้ จนสัมผัสได้ถึงความอ่อนล้าของอีกฝ่าย ที่หลับเป็นตายอยู่ขณะนี้ ลมหายใจแผ่วๆ กับไรหนวดเขียวครึ้มพาให้หัวใจของเธออบอุ่นได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ช่วงเวลาเดียวกัน ณ ร้านกระทงทอง
หนึ่งหนุ่มที่มาตามคำเชิญของกำนันคือปลัดธันวิน โดยเขาได้ชวนณัฐพากย์มาด้วยตามที่เจ้าภาพต้องการ แต่กลับได้รับคำปฏิเสธแทน
“นายตามสบายเถอะนะ แต่ฉันทำใจไม่ได้จริงๆ ที่จะต้องไปร่วมวงนั่น”
กำนันกำลังสรวนเสเฮฮา โดยข้างกายคือบุตรสาวที่สีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะแท้จริงเธอไม่ต้องการมายังสถานที่แห่งนี้เลยสักนิด สิ่งสำคัญคือผู้ที่ขึ้นชื่อว่าคนรักแม้จะนั่งเพียงแค่เอื้อม แต่เธอกลับรู้สึกว่าห่างไกลจนสุดหล้า ซ้ำเขายังไม่มีทีท่าสนใจเธอแม้แต่น้อย
ห้วงเวลาเดียวกัน...
ผู้บริกรรมคาถาเสมือนมีตาทิพย์ โดยอาศัยการมองผ่านเค้าแมวตัวเขื่อง หรือ ‘พยนต์’ ซึ่งกำหนดจิตปลุกเสกด้วยวิทยาคมอันแกร่งกล้า บัดนี้ได้โบยบินติดตามสองหนุ่มสาวข้ามขุนเขาลูกแล้ว ลูกเล่าอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สวัสดีค่ะ
ตอนที่ 13 มาพบกับเพื่อนๆ ผู้อ่านในวันฝนพรำนะคะ
หวังว่าจะชื่อนชอบและสนุกสนานกันนะคะ ผิดพลาดประการใด ขออภัยด้วยค่ะ
ขอขอบคุณ ทุกๆ like ตลอดจนคุณanOO และคุณอัปสรา อย่างมากค่ะ ที่ฝากเมนท์ไว้เพื่อเป็นกำลังใจ
อย่าลืมรักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ สุดท้ายนี้ ขอให้สุขภาพกายและใจแข็งแรง สมบูรณ์ กันทุกๆ ท่านเลยนะคะ
ด้วยรักจากใจค่ะ
ยุพากร
ยุพากร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 ส.ค. 2555, 14:17:51 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 ต.ค. 2555, 16:47:13 น.
จำนวนการเข้าชม : 1472
<< 12 กรยุพา . ยุพากร | 14 กรยุพา . ยุพากร >> |
จิรารัตน์ 15 ส.ค. 2555, 21:17:34 น.
มาเป็นกำลังใจให้ค่ะ อ่านเมื่อไหร่ก็สนุกน่าอ่านเสมอค่ะคุณแจ
มาเป็นกำลังใจให้ค่ะ อ่านเมื่อไหร่ก็สนุกน่าอ่านเสมอค่ะคุณแจ
ยุพากร 16 ส.ค. 2555, 09:27:00 น.
ขอบคุณ คุณจิรารัตน์มากมายค่ะ
ขอบคุณ คุณจิรารัตน์มากมายค่ะ