ต้องชะตารัก By ณพรชล
ความรักของมนุษย์เราจะมั่นคงสักแค่ไหนกันนะ

หากว่าคนที่เรารักที่สุดกลับจำเรื่องราวระหว่างกันไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เราควรจะทำอย่างไรดี

ทำทุกวิถีทางให้เธอจำได้

ปล่อยให้ทุกอย่างผ่านไป

หรือ สร้างความทรงจำใหม่ให้กับเธอ

ถ้าเป็นคุณ คุณจะเลือกอะไร

"ผมไม่รู้ว่าสำหรับพี่ต้นแล้วแค่ไหนถึงจะเรียกว่าดี หรือ แค่ไหนถึงจะเรียกว่ามากพอ แต่ในความรู้สึกของผมปลายข้าวไม่ใช่แค่ความหลง ไม่ใช่แค่ความผูกพันธ์ หรือแม้แต่ความสงสารใดๆ แต่ปลายข้าวคือความรัก ชีวิต และจิตใจของผม เพียงครั้งแรกที่ผมเห็นเธอ ผมรู้ในทันทีว่าเธอคือ ‘คนที่ใช่’ สำหรับผม ถึงแม้ตอนนั้นจะไม่มีใครเชื่อเพราะคิดว่าผมยังเด็กเกินไป แต่ตอนนี้ผมก็ยังยืนยันความรู้สึกเดิมว่าปลายข้าวยังเป็น ‘คนที่ใช่’ สำหรับผม คือคนที่ผมอยากมีอนาคตร่วมกับเธอและไม่มีใครสามารถแทนที่เธอได้ ผมยอมทำทุกอย่างเพื่อที่จะให้ปลายข้าวอยู่ใกล้ๆ เคียงข้างผมได้โดยไม่ให้เธอเสียหายหรือมีใครมาครหา"
Tags: พี่สกาย ปลายข้าว

ตอน: ชะตาต้องรัก ตอนที่ 13

โอ้เย่!!!!!

ในที่สุดก็จิ้มดีดพี่สกายกับน้องปลายสำเร็จเฉียดฉิดเป็นเส้นยาแดงผ่าแปด เก้า สิบกันเลยทีเดียว

>"<



ขอให้มีความสุขกับการอ่านนะคะ

ด้วยรักและจุ๊บๆ

ปอรินทร์^^



13.



กายนภัสนิ์พาเดินผ่านโรงวัวนม ไปยังโรงเรือนหลังเล็กอีกหลังที่อยู่ถัดไปไม่กี่สิบเมตร มีป้ายที่แปะอยู่ด้านหน้าว่า “โรงอนุบาลลูกวัวนม” ภายในแบ่งกั้นเป็นคอกเล็กๆ หลายสิบคอก ซึ่งในแต่ล่ะคอกก็มีลูกวัวตัวน้อย อยู่หลายตัว กายนภัสนิ์พาเดินไปยังเข้าไปภายใน พบว่าคอกหนึ่งมีลูกวัวอยู่เพียงตัวเดียว ดูเหมือนลูกวัวตัวนี้จะตัวเล็กกว่าลูกวัวตัวอื่นๆ ที่เดินผ่านมา



“นี่ไงคะ! ‘เจ้าไอด้า’ ลูกวัวตัวใหม่ของฟาร์มเรา พ่อเพิ่งทำคลอดให้เมื่อเดือนที่แล้วนี้เอง” กายนภัสนิ์บอกด้วยน้ำเสียงภูมิใจในตัวบิดา



“จริงหรือคะ ที่ท่าน...เอ่อ...ที่คุณพ่อเป็นคนทำคลอดเอง” ธัญพัชรไม่อยากจะเชื่อเลยว่า คนทำคลอดเจ้าลูกวัวตัวน้อยนี้อดีตเจ้านายของเธอ เพราะเท่าที่เธอได้ทำงานร่วมกับท่านมาหลายปี คุณจักรินทร์เป็นนักธุรกิจที่สุขุม จริงจังกับงาน แทบจะไม่มีคำว่าผิดพลาดเลยด้วยซ้ำ ซึ่งถูกถ่ายทอดมายังชายที่อยู่ตรงหน้าทุกกระเบียดนิ้ว



“จริงสิคะ พ่อทำคลอดเองกับมือ ตอนนี้ได้เวลาให้นมพอดี น้องปลายอยากลองให้นมเจ้าไอด้าไหมคะ” กายนภัสนิ์บอก ขณะรับขวดนมของเจ้าไอด้าจากคนงานมายืนให้หญิงสาวตรงหน้า



“อยากค่ะ ปลายต้องทำอย่างไรบ้างคะ” ธัญพัชรตาโตราวกับเด็กเจอของเล่นถูกใจ เมื่อกายนภัสนิ์สาธิตวิธีการให้นมลูกวัว



แม้ตะวันบ่ายคล้อยไปแล้ว ธัญพัชรก็ยังสนุกกับการให้นมให้อาหารกับลูกวัวในโรงอนุบาลลูกวัวจนลืมสายตาของคนงานที่จับจ้องเธอยามเมื่อก้าวเข้ามาพร้อม ‘นายน้อย’ ของไร่ ลืมแม้กระทั่งทานข้าวกลางวัน คงเป็นเหมือนอย่างที่ใครๆ เขาว่ากันไว้ ‘เวลาของความสุขมักจะผ่านไปรวดเร็วเสมอ’



“น้องปลายคะ เราไปกันเถอะค่ะ นี่เลยเวลาอาหารกลางวันแล้ว ถ้าไม่รีบไปหาอะไรทานเดี๋ยวเป็นโรคกระเพาะนะคะ” คำลงท้ายคะขาเสียงอ่อนเสียงหวานของ ‘นายน้อย’ ก็ยิ่งทำให้คนงานเมียงๆ มองๆ หญิงสาวข้างกาย ‘นายน้อย’ อย่างสงสัย เพราะ นายน้อยของพวกเขาไม่เคยพาผู้หญิงคนไหนมาที่ไร่อัครจินดานุวัฒน์หรือโรงอนุบาลลูกวัว นอกจากนายหญิง และ คุณหนูเล็ก



“ก็ได้ค่ะ” ธัญพัชรพูดเสียงเศร้า แววตาอาลัยอาวรณ์ถูกส่งไปยังเจ้าไอด้า คนที่เห็นได้แต่อมยิ้มกับท่าทางราวกับหมดเวลาแห่งความสุข ของ ‘เด็กน้อย’



เมื่อชายหนุ่มพา ‘เด็กน้อย’ ไปหาเจ้าท้องฟ้า คราวนี้ ‘เด็กน้อย’ ยอมให้ชายหนุ่มอุ้มขึ้นหลังเจ้าท้องฟ้าโดยไม่อิดเอื้อน ท่าทางหงอยเหงานั้นทำให้กายนภัสนิ์แอบยิ้มอยู่ตลอดระยะทาง แต่รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าก็ต้องเลือนหายไปเมื่ออกเขาสัมผัสกับความเปียกชื้นของ...น้ำตา



“น้องปลายเป็นอะไรคะ ร้องไห้ทำไม” กายนภัสนิ์ถามอย่างร้อนรนระคนแปลกใจ เพราะก่อนออกมาจากโรงอนุบาลลูกวัวยังดีๆ อยู่เลย



“ปลายกลัวค่ะ ถ้าเกิดปลายรักเจ้าไอด้า ปลายกลัวว่ามันจะอยู่กับปลายไม่ได้นาน กลัวว่ามันจะทิ้งปลายไปเหมือน...ทุกคน” เสียงตอบท้ายเบาแทบไม่ได้ยิน แต่ชายหนุ่มก็รู้ว่าหมายความว่าอะไร ‘เด็กน้อยของเขา’ กำลังกลัวการถูกทิ้งรวมถึงกลัวการมีความรักอีกด้วย เธอคงฝังใจกับการที่ทุกคนทิ้งเธอให้เผชิญกับแม่เลี้ยงเพียงลำพังจนเกิดเรื่องราวเลวร้ายต่างๆ กับเธอมากมาย แต่ไม่เป็นไร เขาจะทำให้ความกลัวของเธอหายไปให้หมด



เจ้าท้องฟ้าหยุดเยื้องย่างในทันทีเมื่อถูกดึงด้วยเชือก กายนภัสนิ์ลงจากหลังม้าก่อนจากนั้นจึงอุ้มร่างบางลงมาใบหน้านวลยังเปื้อนคราบน้ำตา เขาค่อยเชยคางมนให้เงยขึ้นสบตาก่อนจะค่อยๆ เกลี่ยน้ำตาออกจากใบหน้าของหญิงสาวอย่างนุ่มนวล



“พี่เคยได้ยินมาว่า ‘เวลาของความสุขมักจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว ส่วนเวลาของความทุกข์ก็มักจะอยู่กับเรานานเสมอ’ แต่น้องปลายคะ ถ้าเรามัวแต่จมอยู่กับความทุกข์ เราก็จะมองไม่เห็นถึงคุณค่าของความสุขที่ผ่านมานะคะ...



...ทำไมน้องปลายไม่เก็บเกี่ยวความทรงจำดีๆ ระหว่างที่น้องปลายได้เจอเจ้าไอด้าหรือทุกๆ คน เอาไว้ล่ะคะ พอถึงเวลาที่น้องปลายทุกข์ น้องปลายจะได้มีความทรงจำที่แสนสุขเหล่านั้นมาหล่อเลี้ยงหัวใจ ให้น้องปลายเข้มแข็งต่อสู้กับความทุกข์ที่เข้ามาได้ไงคะ” น้ำเสียงที่อ่อนโยนแต่แฝงไปด้วยความเข้มแข็งและมุ่งมั่น ทำให้น้ำตาที่เหือดแห้งไปแล้วเริ่มรื้นขึ้นมาอีกครั้ง เธอผินหน้าหนีพร้อมทั้หลบตาลงมองพื้นหญ้าเบื้องล่าง น้ำตาที่รื้นขึ้นมาจึงค่อยๆ ไหลรินมาเป็นสาย มือทั้งสองข้างกำแน่นราวกับจะสกัดกลั้นอะไรบางอย่างไว้



“ปลายนี่โง่จริงๆ เลยนะคะ ปล่อยให้ตัวเองต้องทุกข์ ต้องเป็นภาระของคนอื่นๆ อยู่ได้ตั้งนาน ไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองมีความสุขเสียที ปลายนี่โง่จริงๆ เลยนะคะ พี่สกายว่ามะ...” หญิงสาวพูดยังไม่ทันจบประโยคดีก็ถูกร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้าคว้าตัวไปกอด เพียงเท่านั้นเธอก็ปล่อยโฮออกมาราวกับทำนบพัง แขนเรียวเสลายกขึ้นกอดรัดชายหนุ่มไว้แน่น ความอึดอัด ความเครียด ความกดดันทั้งหมดทั้งมวลถูกปลดปล่อยออกมาผ่านหยาดน้ำตาที่ไหลริน



“ร้องออกมาเลยค่ะ อย่าเก็บมันไว้ ร้องออกมาให้หมดนะคะ น้องปลายจะได้ไม่ต้องทุกข์ทรมานอีก ต่อไปถ้าน้องปลายจะร้องไห้ ก็มาร้องไห้กับอกพี่นี่นะคะ ถึงแม้ว่าพี่จะช่วยอะไรไม่ได้มาก แต่อย่างน้อยพี่ก็อยากให้น้องปลายรู้เอาไว้ ว่าคนที่กำลังกอดน้องปลายอยู่นี่ สามารถให้น้องปลายพึ่งพิงและพักพิงได้เสมอ” มือแกร่งค่อยๆ ลูบหัวพร้อทั้งโยกตัวไปมาอย่างอ่อนโยนเหมือนกำลังปลอบประโลม ‘เด็กน้อย’ ให้หายจากความเศร้า



กายนภัสนิ์พาธัญพัชรกลับมาที่เรือนใหญ่หลังจากปลอบหญิงสาวให้หยุดร้องไห้แล้ว หลังจากทานมื้อกลางวันกันเรีบยร้อยแล้ว เขาก็พาเธอไปส่งที่ห้องนอนเพื่อล้างหน้าล้างตาแล้วพักผ่อน พร้อมกำชับว่าตอนเย็นเขามีอะไรบางอย่างจะให้ดู ถึงแม้ว่าเธอจะอยากอยู่คนเดียวมากกว่า แต่ก็ขัดร่างสูงที่พกลูกอ้อนมาเต็มกระบุงจนเธอใจอ่อนยอมรับปากว่าจะไปดูอะไรบางอย่างที่เขาบอก



เสียงรถยนต์แล่นเข้ามาจอดที่บริเวณหน้าเรือน ทำให้กายนภัสนิ์ที่กำลังโทรศัพท์สั่งงานที่บริษัทอยู่บริเวณนั้นหันกลับไปมอง จึงรู้ว่าบิดามารดากลับมาจากกรุงเทพฯ เข้าจึงสั่งความอีกสองสามอย่างแล้วจึงว่าสายไป



“โอ๊ย! ไม่ไหว ไม่ไหว ทำไมกรุงเทพฯ รถถึงติดขนาดนี้เนี่ย เดินทางนานๆ ปวดเมื่อยไปหมดทั้งตัวเลย ให้ตายสิ” คุณยุพเรศบ่นอุดขณะก้าวลงจากรถ ในขณะที่คุณจักรินทร์ได้แต่ยิ้มกับเสียงบ่นของภรรยา



“โถ่! คุณไอ้ที่บ่นเมื่อยน่ะ ไม่ใช่เพราะคุณมัวแต่ไปเดินช้อปปิ้งหาของฝากหรือไง”



“เอ๊ะ! คุณนี่! เดี๋ยวคืนนี้ฉันก็ให้ไปนอนกับเจ้าไอด้าเสียหรอก” เสียงเขียวๆ ของภรรยาทำให้คุณจักรินทร์ต้องรีบง้อทันที มิเช่นนั้นเขาได้นอนกอดลูกวัว แทนกอดเมียเป็นแน่



“ผมล้อเล่นน่าคุณ แค่เมื่อคืนผมก็จะแย่อยู่แล้ว ไม่สงสารผมบ้างหรือไง”



“เชอะ...อ้าว! สกาย แล้วน้องล่ะลูก” คุณยุพเรศเดินหนีผู้เป็นสามีเข้าบ้านอย่างงอนๆ แต่ก็มาเจอกับลูกชายเสียก่อนจึงเดินเข้ามาหา



“ผมให้ปลายพักผ่อนบนห้องก่อนครับ เพราะเดี๋ยวตอนเย็นผมจะพาปลายไปที่กระท่อม” กายนภัสนิ์บอกมารดา คุณจักรินทร์เดินตามเข้ามาในบ้านพอดี จึงบอกบางสิ่งกับลูกชาย



“พ่อกับแม่จัดการให้แล้วนะ ที่เหลือก็อยู่ที่ฝีมือแกเองแล้วล่ะ”



“ทำให้สำเร็จนะลูก พ่อกับแม่เป็นกำลังใจให้” คุณยุพเรศบอกด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม



“ขอบคุณครับพ่อ ขอบคุณครับแม่” กายนภัสนิ์กอดบิดา ก่อนที่จะกอดมารดาเสียแน่นพร้อมทั้งหอมแก้มด้วยความดีใจ



“นี่! น้อยๆ หน่อยนั้นเมียฉันนะโว้ย” คุณจักรินทร์โว้ยวายทันที เมื่อผู้เป็นลูกชายกอดมารดาไม่ยอมปล่อย



“เมียของพ่อก็แม่ของผมนะ” กายนภัสนิ์บอกก่อนจะคลายอ้อมกอด



“พ่อลูกคู่นี้ยังไงกันเนี่ย พูดดีได้ไม่ถึงห้านาทีก็ทะเลาะกันอีกแล้ว” คุณยุเพรศบอกน้ำเสียงเจือรอยขำขับ



“จะไปไหนก็ไปเลยนะไอ้ตัวดี ถ้าขืนแกอยู่นานกว่านี้ เดี๋ยวพ่อจะเตะให้หายหมั่นไส้เสียเลย” คุณจักรินทร์รีบคว้าตัวภรรยามากอดไว้เอง ก่อนเอ่ยปากไล่เจ้าลูกชายตัวแสบ



“ไปก็ได้ เย็นนี้พ่อกับแม่ไม่ต้องรอทานข้าวเย็นนะครับ ผมอาจจะกลับช้าหน่อย” กายนภัสนิ์บอกก่อนจะเดินขึ้นไปชั้นสองเพื่อพาหญิงสาวไปเที่ยวตามที่ได้นัดแนะเอาไว้







เป็นครั้งที่เท่าแล้วก็ไม่รู้ในวันนี้ ที่เธออยู่บนหลังเจ้าท้องฟ้าโดยมีกายนภัสนิ์นั่งอยู่ด้านหลังคอยบังคับให้เจ้าท้องฟ้าไปยังทิศทางที่ต้องการ ซึ่งสวนทางกับบรรดาคนงานทั้งหลายที่เลิกงานแล้วต่างพากันกลับเข้าที่พัก คนงานหลายคนเมียงๆ มองๆ เธอและเขา เธอจึงยิ้มให้กับคนเหล่านั้นสิ่งที่ได้รับกลับมาคือรอยยิ้มแบบซื่อๆ ตามประสาคนต่างจังหวัดที่จริงใจ ไม่เสแสร้ง



“ดูท่า คราวนี้นายน้อยคงจะมีข่าวดีสักที เอ็งว่าไหมนังบุญ” คนงานคนหนึ่งคุยกับเพื่อนที่เดินกลับที่พักด้วยกันหลังจากที่ม้าของนายน้อยผ่านพวกเขาไปแล้ว



“ข้าก็ว่าอย่างนั้นวะนังแจ่ม ดูนายน้อยสิ แค่พวกคนงานหนุ่มๆ ยิ้มให้แม่หนูคนนั้น นายน้อยมองตาขวางเชียว สงสัยคงจะหวงมาก”



“ข้าว่านายน้อยกับแม่หนูคนนั้นก็ดูน่ารักดีนะ ข้าได้ยินนังน้อยที่ทำครัวบนเรือนใหญ่เล่าว่า นอกจากนายหญิงกับคุณหนูเล็ก มันก็ยังไม่เคยเห็นนายน้อยเอาใจผู้หญิงคนไหนเลย นอกจากแม่หนูคนนี้”







บุคคลที่ตกเป็นหัวข้อสนทนาของเหล่าคนงานอยู่นั้น กำลังลัดเลาะไปตามเส้นทางจนในที่สุดก็ถึงที่หมาย บ้านไม้หลังน้อยทาสีขาวทั้งหลังตั้งอยู่ตรงหน้าคนทั้งคู่ เสียงสายน้ำไหลเอื่อยดังแว่วๆ ต้นไม้สูงใหญ่ขนาดสามถึงสี่คนโอบตั้งตระหง่านอยู่บริเวณด้านข้าง มีชิงช้าที่ทำจากไม้ขนาดนั่งได้ถึงสองคนผูกไว้กับต้นไม้ต้นนี้ด้วย กายนภัสนิ์ลงจากหลังเจ้าท้องฟ้าก่อนจะอุ้มหญิงสาวลง



“บ้านใครหรือคะพี่สกาย สวยจังเลย” ธัญพัชรมองบ้านหลังน้อยอย่างตกตะลึง เพราะ...



“มีใครคนหนึ่งเคยบอกพี่ว่า เขาฝันอยากมีบ้านหลังเล็กๆ สีขาว มีลำธารไหลผ่าน แล้วที่สำคัญต้องมีชิงช้าที่นั่งได้สองคนอยู่ในบริเวณบ้านด้วย เพราะไม่ชอบนั่งชิงช้าคนเดียว...”



“มันทำให้เรารู้สึกกลัวและโดดเดี่ยวเวลาถูกแกว่งให้ลอยขึ้นสูง ถ้าชิงช้าที่สามารถนั่งได้สองคน ถึงแม้ว่าจะถูกแกว่งให้สูงสักแค่ไหน คนที่นั่งอยู่ก็จะไม่รู้สึกกลัวหรือโดดเดี่ยวเพราะอย่างน้อยก็ยังมีใครสักคนอยู่ข้างเรา” ธัญพัชรต่อประโยคนั้นทั้งน้ำตา เพราะเธอเคยฝันอยากจะมีบ้านแบบนี้ เธอจำได้ว่าเคยพูดกับเขาเมื่อนานมาแล้ว ไม่น่าเชื่อว่านอกจากเขาจะยังจำได้แล้ว เขายังสร้างมันขึ้นมาอีกด้วย



“ร้องไห้อีกแล้ว ‘เด็กน้อยของพี่’ ดูสิตาช้ำหมดแล้ว” ชายหนุ่มว่าขณะเช็ดน้ำตาให้ ‘เด็กน้อย’ อย่างอ่อนโยน



“พี่สร้างกระท่อมหลังนี้ขึ้นมาเพื่อรอให้ใครคนหนึ่งได้มาเห็น ได้มารับรู้ว่ามีใครอีกคนที่พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อเธอ จะไม่ทิ้งให้เธอต้องอยู่เพียงลำพัง” กายนภัสนิ์บอกขนาดยกมือของหญิงสาวขึ้นมากุมไว้หลวมๆ



“พี่สกาย...”



“เราเข้าไปดูในกระท่อมกันไหม จะได้ทันดูพระอาทิตย์ตกดิน” ชายหนุ่มบอกก่อนจะจับจูง ‘เด็กน้อย’ ให้เดินตาม



ภายในกระท่อมแบ่งเป็นสัดส่วนชัดเจน ผนังและพื้นเป็นลายธรรมชาติของเนื้อไม้ เฟอร์นิเจอร์เกือบทุกชิ้นก็ทำมาจากไม้ ห้องนั่งเล่นมีชุดโซฟาสีเบจตั้งอยู่กลางห้องพร้อมชุดโฮมเธียเตอร์ ในห้องรับประทานอาหารมีโต๊ะกินข้าวตัวยาวที่สามารถนั่งได้เกือบสิบคน มีเคาท์เตอร์กั้นระหว่างห้องครัวกับห้องรับประทานอาหาร ส่วนห้องครัวก็มีอุปกรณ์ทำครัวอยู่อย่างครบครัน เมื่อเดินผ่านห้องนั่งเล่นและห้องรัปประทานอาหารก็จะเจอกับประตูอยู่สามบาน บานแรกเมื่อเปิดออกเป็นห้องน้ำที่ตกแต่งอย่างดี ส่วนอีกสองบานที่เหลือ บานหนึ่งมีกุญแจล็อคไว้อย่างแน่นหนา เธอเดาได้เลยว่าห้องหนึ่งต้องเป็นห้องนอนแน่ๆ แต่อีกห้องหนึ่งล่ะ



“พี่ว่าสองห้องนี้เราอย่าเพิ่งเข้าไปเลยนะคะ นี่ก็หกโมงครึ่งแล้ว เราออกไปดูพระอาทิตย์ตกกันดีกว่านะคะ” กายนภัสนิ์บอก ก่อนจะรีบพาหญิงสาวออกห่างจากห้องที่เป็นอันตรายต่อร่างกายของเธอและจิตใจของเขาทันที



เมื่อออกมานอกบ้าน ทั้งสองก็มานั่งที่ชิงช้าเพื่อดูพระอาทิตย์ตก พระอาทิตย์ดวงกลมๆ สีส้มอมเหลืองลับเหลี่ยมเขาไปอย่างช้าๆ โดยที่มือของทั้งคู่ยังไม่ยอมปล่อยออกจากกัน ต่างซึมซับบรรยากาศนี้เอาไว้ จนกระทั่งความมืดเริ่มปกคลุม ดวงดาวเริ่มเปล่งประกายทอแสงระยิบระยับ จากนั้นเพียงไม่นานพระจันทร์ดวงโตก็โผล่ขึ้นมาเพื่อเปล่งแสงสีนวลยามค่ำคืน ความหนาวเย็นเริ่มปกคลุม กายนภัสนิ์จึงเปลี่ยนจากกุมมือมาเป็นโอบกอดหญิงสาวเอาไว้ จิตใจที่หนาวเหน็บมานานเริ่มอุ่นขึ้นจากอ้อมกอดอันอ่อนโยนของคนข้างกายที่ถ่ายเทความอบอุ่นมาให้



“พระจันทร์สวยจังเลยค่ะ ปลายไม่เคยเห็นท้องฟ้าที่ไหนสวยงามเท่านี้มาก่อนเลย” หญิงสาวบอก ศรีษะซบลงที่ไหล่ของอีกฝ่ายอย่างวางใจ แขนทั้งสองข้างค่อยๆ กอดชายหนุ่มเพื่อถ่ายเทความอบอุ่นให้เขาเช่นกัน



“แต่ก็สวยไม่เท่าคนที่พี่กอดอยู่หรอกค่ะ” ชายหนุ่มบอกเสียงอ่อนหวาน ทำให้ธัญพัชรหน้าร้อนยิ่งกว่าคบไฟที่จุดอยู่รอบๆ บ้านเป็นแน่ เธอพยายามดิ้นให้หลุดจากอ้อมแขนด้วยความขวยเขิน



“พี่สกายบ้า พูดอะไรก็ไม่รู้” เธอได้แต่ต่อว่าอย่างขัดเขิน เมื่อดิ้นออกจากอ้อมแขนไม่สำเร็จ



“ก็พี่พูดเรื่องจริงนี่ค่ะ สำหรับพี่น้องปลายเปรียบเสมือนพระจันทร์ ถึงแม้ว่าน้องปลายจะเจอเรื่องราวเลวร้ายแค่ไหน แต่น้องปลายก็จะต้องผ่านมันไปได้ด้วยดี เหมือนพระจันทร์ยามที่หม่นหมองเพราะมีเมฆหมอกมาบดบัง แต่เมื่อใดก็ตามที่เมฆหมอกนั้นหายไป พระจันทร์ก็จะส่องแสงสว่างมายังโลกนี้เสมอ” กายนภัสนิ์ปล่อยมือออกจากไหล่ของหญิงสาวก่อนจะหยิบกล่องกำมะยี่จากในกระเป๋าเสื้อออกมาเมื่อเปิดออกก็พบว่า มีแหวนที่ทำจากแพลตินั่มอยู่สองวง โดยวงหนึ่งมีเพชรเรียงกันสามเม็ดดีไซน์เรียบหรู ส่วนอีกวงที่ใหญ่กว่าเป็นแหวนเกลี้ยง ก่อนที่จะลงไปคุกเข่าอยู่หน้าชิงช้า



“สำหรับน้องปลาย อาจจะคิดว่ามันเร็วไป แต่นับตั้งแต่ที่พี่เจอน้องปลายครั้งแรก พี่ก็บอกกับตัวเองว่าน้องปลายคือคนที่อยากจะมีอนาคตร่วมด้วย ถึงแม้ว่าจะมีบางช่วงเวลาขาดหายไป แต่ไม่มีวินาทีไหนที่พี่ไม่รักน้องปลาย น้องปลายเหมือนพระจันทร์ที่ส่องสว่างมายังหัวใจของพี่เสมอ...น้องปลายคะ...แต่งงานกับพี่นะ...”



ราวกับเวลาหยุดหมุน สรรพสิ่งทุกอย่างหยุดเคลื่อนไหว สมองของเธอว่างเปล่า ในหัวของเธอตอนนี้มีแต่คำสุดท้ายที่เขาพูดยังดังก้องอยู่ในหัวซ้ำไปซ้ำมา ตอนนี้ความรู้สึกหลายอย่างกำลังตีกันมั่ว ทั้งดีใจ ตื้นตัน หวั่นไหว สับสน ไม่มั่นใจ และหวาดกลัว



“ปะ...ปลาย...”



“พี่ไม่ได้ขอคำตอบจากปลายตอนนี้นะคะ พี่แค่อยากให้น้องปลายรับรู้เอาไว้ว่าพี่ขอโอกาสดูแลน้องปลายทั้งชีวิต น้องปลายค่อยๆ คิด ค่อยๆ พิจารณา ว่าพี่มีคุณสมบัติที่ดีพอที่น้องปลายจะฝากอนาคตทั้งชีวิตไว้กับพี่ไหม” เขาหยิบแหวนที่วงเกลี้ยงขึ้น แล้วเอาใส่มือหญิงสาว



“แต่ตอนนี้พี่มั่นใจว่าอนาคตทั้งหมดของพี่คือ...ปลาย น้องปลายช่วยสวมแหวนให้พี่ได้ไหมคะ” หญิงสาวก้มมองแหวนที่อยู่ในมือ ก่อนจะมองหน้าชายที่กำลังคุกเข่าอีกครั้ง แววตาของเขาจริงใจ จริงจัง แน่วแน่และมั่นคง เธอสวมแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายให้ชายหนุ่มอย่างบรรจง ชายหนุ่มยกมือที่สวมแหวนให้ตัวเองขึ้นจูบอย่างอ่อนโยน จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นหยิบบางสิ่งออกจากกระเป๋าเสื้ออีกครั้ง คราวนี้เป็นสายสร้อยเส้นยาว เขาจัดการหยิบแหวนวงเล็กอีกวงร้อยเข้าไปที่สายสร้อย แล้วก้มลงมาสวมสายสร้อยให้หญิงสาวอย่างอ่อนโยน



“เก็บแหวนวงนี้ไว้นะคะ เมื่อไหร่ที่น้องปลายมั่นใจในตัวพี่ น้องปลายค่อยเอามาให้พี่สวมให้นะคะ” กายนภัสนิ์บรรจงจูงหน้าผากของหญิงสาวอย่างอ่อนหวาน



คืนนั้นกว่าทั้งคู่จะกลับถึงเรือนใหญ่ก็ดึกพอสมควร ยังดีที่ระยะทางจากกระท่อมถึงเรือนใหญ่มีไฟทางอยู่เป็นระยะ การเดินทางกลับจึงไม่เป็นอุปสรรคแต่อย่างใด เมื่อไปถึงเรือนชายหนุ่มก็เดินมาส่งถึงหน้าห้อง พอประตูปิดลงเธอก็รีบวิ่งเข้าหน้าน้ำเพื่อส่องกระจก เงาที่สะท้อนให้เห็นคือหญิงสาวที่มีสีแดงแต่งแต้มอยู่ทั่วใบหน้านวล นัยน์ตาเต็มไปด้วยประกายแห่งความสุข ไม่มีแววทุกข์เลยแม้แต่น้อย ริมฝีปากอิ่มยิ้มอยู่ตลอด คงเหมือนที่ใครต่อใครเขาพูดกัน เวลาผู้หญิงมีความรักมักจะดูสวยขึ้น เมื่อมองไปยังสร้อยคอที่เพิ่งได้มาก็ทำให้นึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมา หญิงสาวสะบัดหัวเบาไล่ความคิดฟุ้งซ่าน แล้วจัดการอาบน้ำชำระล้างสิ่งต่างๆ ออกจากร่างกาย



หลังจากที่เธออาบน้ำแต่งตัวเสร็จและเตรียมจะเข้านอนซึ่งไม่รู้ว่าคืนนี้เธอจะนอนหลับไหม ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น เมื่อเดินไปเปิดก็พบคนที่ทำให้เธอคิดฟุ่งซ่านยืนอยู่หน้าห้องในชุดนอนสีเข้มพร้อมแก้วนมอยู่ในมือ



“ดื่มนมหน่อยนะคะ เมื่อเย็นเราไม่ได้ทานอะไรกันเลย เดี๋ยวดึกๆ จะปวดท้องนะคะ”



หญิงสาวรับแก้วนมมาดื่มอย่างว่าง่าย ก่อนจะส่งคืนให้เขาทันที แล้วรีบปิดประตูแต่ฝ่ามือแกร่งของเขาก็ยันประตูเอาไว้ไม่ยอมให้หญิงสาวปิดประตู



“พี่สกายจะขวางประตูทำไมคะ ปลายง่วง ปลายจะนอนแล้ว” หญิงสาวว่า แต่ชายหนุ่มไม่สนใจ ค่อยๆ ก้มหน้าลงมาจนจมูกเกือบจะสัมผัสกันอยู่แล้ว ดวงตาคมของเขาที่จ้องมองมาทำให้เธอต้องหลบตาปี๋ไม่กล้าสบตาด้วย ก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ และความร้อนของปลายนิ้วที่ไล้อยู่เหนือริมฝีปากอิ่ม หญิงสาวลืมตาขึ้นมาก็เห็นว่าเขาจุ๊บนิ้วที่เขาใช้เช็ดคราบนมให้เธอ คราบนมที่อยู่ที่ปลายนิ้วจึงค่อยๆ ซึมผ่านริมฝีปากของเขา



“เช็ดคราบนมให้หมดก่อน แล้วค่อยนอนนะคะเด็กน้อยของพี่” กายนภัสนิ์พูดจบแล้วก็เดินกลับห้องของตัวเอง ทิ้งให้หญิงสาวยืนหน้าแดงอยู่เพียงลำพัง...คืนนี้ฉันจะนอนหลับไหมเนี่ย....



จากใจปอรินทร์ : ถ้าคุณเป็นน้องปลายคืนนี้จะนอนหลับกันไหมคะ ^^



ปอรินทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 ส.ค. 2555, 23:50:32 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 ส.ค. 2555, 16:08:51 น.

จำนวนการเข้าชม : 1834





<< ตอนที่ 12   ชะตาต้องรัก ตอนที่ 14.1 >>
Pat 19 ส.ค. 2555, 00:26:36 น.
ท่าจะนอนไม่หลับแฮะ


bluelily 19 ส.ค. 2555, 00:33:20 น.
นอนไม่หลับแน่เลยพี่สกายเนี่ย


ทองหลาง 19 ส.ค. 2555, 05:22:35 น.
สุภาพบุรุษตัวจริงเสียงจริงนะเนี่ย พี่สกาย


Amata 19 ส.ค. 2555, 17:50:54 น.
น่ารักมากเลยนะพี่สกายของน้องปลาย...


anOO 19 ส.ค. 2555, 18:26:42 น.
เจอแบบนี้เข้าไปหลับแน่นอน หลับฝันดีด้วย


sai 20 ส.ค. 2555, 01:06:49 น.
อ้ายยยยยย เค้าเขิลอ่ะตัวเองงง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account