ลิลลี่สีเพลิง

Tags: โรแมนติก-ดราม่า

ตอน: ความหวัง ความหลัง ความฝัน

มลรัฐเวอร์จิเนีย แถบแฟร์เฟกซ์ ชุมชนแมกคลีน
อิศราวดียกกรอบรูปที่เป็นภาพเธอถ่ายกับมารดาสมัยเจ็ดขวบขึ้นจากชั้นเตาผิงที่ทำจากหินเนื้อหยาบ ยืนมองสตรีสาวสวยสง่าผมยาวตรงสลวยสีมะฮอกกานี นัยน์ตาสีม่วงสดที่ถ่ายทอดมายังเธอ เด็กหญิงตัวเล็ก ผิวขาวดุจน้ำนม ผูกผมเปียสองข้าง กำลังหัวเราะใส่กล้องอวดฟันน้ำนมสีขาวเรียงตัวสวย ภายในอ้อมกอดอบอุ่นของผู้เป็นมารดาหน้าบ้านทรงไทยหลังใหญ่ที่เมืองไทย ต่อจากนั้นไม่ถึงเดือน...เธอก็ถูกพามาอยู่ที่อเมริกาโดยคุณตาไปรับเธอกับแม่ที่กำลังป่วยด้วยโรงมะเร็งลำไส้ระยะสุดท้ายมารักษาตัวต่อที่ประเทศแห่งความเจริญ แต่เพียงแค่เดือนเดียว มารดาผู้สง่างามของเธอก็ลาจากโลกนี้ไปตลอดกาล
ภาพนี้เป็นภาพสุดท้ายที่อิศราวดีถ่ายกับมารดา คลาสซานดรา ไวท์ธิงตัน อรุณปกรณ์ โดยที่มารดาไม่มีร่องรอยของความเจ็บป่วยบนสีหน้าให้เห็นแม้เพียงนิด ทั้งๆที่ท่านป่วยมาเป็นเวลากว่าหนึ่งปี แต่เวลานั้นเธอไม่เคยรู้เรื่องอาการป่วยของมารดามาก่อนเลย นอกจากเรียนหนังสือและเที่ยวเล่นไปตามวัย
อิศราวดีวางกรอบรูปลงลวดลายสวยงามบนชั้นเตาผิงตามเดิม ก่อนจะเดินผ่านห้องทำงานของผู้เป็นตาเพื่อเลี้ยวเข้าสู่ส่วนครัว ไปเตรียมของว่างให้ท่านร่วมกับแม่บ้านเก่าแก่ประจำตระกูล
“ไอ้โจเซฟมันกำลังระแคะระคายรู้แล้วว่าฉันกำลังทำอะไรกับมัน แกต้องส่งคนไปจัดการเจ้าร็อคเวลให้เรียบร้อย ฉันจะไม่ยอมให้คนที่ข่มขืนลูกสาวฉันอย่างไอ้โจเซฟร่ำรวยมหาศาลไปได้ตลอดชาติหรอก ไม่อย่างงั้นฉันนอนตายตาไม่หลับแน่”
อิศราวดียืนตัวแข็งทื่ออยู่หน้าประตูห้องทำงานของผู้เป็นตาที่ตะโกนคำรามถ้อยความดังลอดออกมาอย่างชัดเจน‘คนที่ข่มขืนลูกสาวฉัน’ ประโยคนี้เหมือนแส้หนามหวดลงบนใบหน้าและกลางหลังเต็มแรง เรียวหน้างามซีดเผือดปราศจากสีเลือดขณะค่อยๆดันบานประตูที่แง้มไว้เพียงนิดออกกว้าง ลมหายใจติดขัด หัวสมองขาวโพลนเพราะไม่กล้าจินตนาการถึงภาพทารุณกรรมที่มารดาตัวเองประสบเจอ เพียงแค่นี้เธอก็เจ็บปวดรวดร้าวทรมานและเศร้าโศกเสียใจแทนมารดา เมื่อได้มารับรู้บางมุมหนึ่งในชีวิตของท่านอย่างไม่คาดฝัน
“คุณตาว่าอะไรนะคะ...แม่ถูกข่มขืนอย่างนั้นหรือ ใครคะ?...ที่ทำกับแม่” เสียงของเธอไม่เบาเลยขณะถาม แต่มันสั่นพร่าและแหบเครือ
“เอลย่า...นี่หลานมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่” ชายชราวัยเจ็ดสิบปีลุกพรวดพราดจากเก้าอี้ตัวใหญ่แล้วก้าวเร็วๆมาหาหลานสาว ก่อนหน้านั้นท่านโบกมือไล่เลขาส่วนตัวให้ออกไปจากห้อง
“นานพอที่จะรู้ว่าแม่ถูกคนเลวข่มขืนค่ะ” ร่างบางตกอยู่ในอ้อมกอดของร่างท้วมนิดๆ เสียงสะอื้นค่อยๆดังขึ้นพร้อมหยาดน้ำตาหยดเผาะต้องเสื้อเชิ๊ตสีขาวเนื้อดี วินาทีนี้...อิศราวดีนึกหวาดกลัวในบางสิ่งบางอย่างจับใจ
“เรื่องมันผ่านมานานแล้ว หลานไม่จำเป็นต้องรู้หรอก...เอลย่า ขึ้นไปอ่านหนังสือเรียนหรืออะไรก็ตามที่หลานชอบดีกว่านะ หลานรักของตา”
“หนูเป็นลูกของพ่อหรือของผู้ชายที่ข่มขืนแม่คะ?” เธอโพล่งถามในสิ่งที่หวาดกลัวอย่างที่สุดออกมาเสียงปร่าแปร่ง เอลตันกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น พร้อมจุมพิตกระหม่อมบางหนักๆ
“โอ...หลานรัก อย่าวิตกไปเลย หลานเป็นลูกของนักศึกษาปริญญาเอกชาวไทยที่รักแม่ของหลานมาก และเป็นความภาคภูมิใจของแม่หลานอีกด้วย” คำบอกกล่าวของผู้เป็นตา ทำให้อิศราวดีโล่งใจขึ้นเป็นอันมาก
“ได้โปรด...เล่าให้หนูฟังทีว่าเรื่องมันเป็นยังไง” เธอวิงวอนเสียงสะอื้น มิอาจปล่อยผ่านเรื่องร้ายกาจนี้ไปได้ แม้จะวัยเพียงห้าขวบ...แต่อิศราวดีก็จำได้ดีว่า มารดาพร่ำบอกเสมอว่าท่านจะไม่ยอมกลับไปใช้ชีวิตในอเมริกาตลอดชีวิต จวบจนกระทั่งท่านป่วย คุณตาจึงมารับตัวกลับไปรักษา เธอจำได้ว่า...เวลานั้นมารดาที่มีใบหน้าซูบตอบซีดเซียว เรือนกายผ่ายผอม เหลียวมาจ้องดวงตาสีม่วงใสซื่อของเธอนิ่งนาน ขณะคุณตายืนรอคอยคำตอบจากปากของท่านอยู่ชิดเตียง แล้วมารดาก็ตกลงใจกลับไปอยู่อเมริกาอีกครั้ง
“เอลย่า...อย่ารู้เลยหลานรัก”
“ไม่ค่ะ...หนูอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับแม่ทั้งหมด คุณตาก็รู้ว่าหนูรู้เรื่องของแม่กับพ่อน้อยมากเพียงใด” เอลตันถอนหายใจยาว คลายอ้อมแขนออกจากร่างเล็ก แล้วจับจูงหลานสาวเดินไปนั่งที่โซฟาหนังมุมห้อง
“รู้แล้วจะได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา?”
“จะได้เก็บเอาไว้เตือนใจว่าไม่ควรชิดใกล้กับผู้ชายอเมริกันมากนัก” เอลตันยิ้มหม่น เมื่อเห็นสายตาวาววับเจือน้ำตาของหลานสาว ดีเพียงใด...ที่เอลย่าไม่บอกว่าจะแก้แค้น แสดงว่าอาจจะไม่ได้ยินทุกถ้อยคำ คนอย่างเอลตัน ไวท์ธิงตันไม่ต้องการให้หลานสาวเข้ามาพัวพันกับเรื่องราวที่กำลังยุ่งเหยิงอยู่ในขณะนี้ เขาจะกระทำด้วยตัวของเขาเอง เอลย่า...คือผลพวงจากความรักของลูกสาวกับหนุ่มชาวไทยที่เขานับถือหัวใจซึ่งจะต้องดูแลทะนุถนอมอย่างดีที่สุด
“นะคะ...คุณตา ได้โปรด...เล่าให้หนูฟังเถอะค่ะ”
“จำไว้นะ...ผู้ชายที่หวังดีต่อหลานมีคนเดียวคือ ตา เท่านั้น เอาล่ะ...ตาจะเล่าให้ฟัง แต่เมื่อรู้แล้วก็อย่านำมาเก็บไปคิดมากล่ะ เพราะเรื่องมันผ่านมาเป็นสิบปีแล้ว” อิศราวดีพยักหน้ารับขึงขัง เอลตัน ชายวัยเจ็ดสิบปีที่ยังคงมีเค้าของความสง่างาม ทอดสายตายาวออกไปที่บานประตูกระจกที่เปิดสู่สวนหย่อมเล็กๆสไตล์อังกฤษ เวลานี้เป็นยามบ่ายแก่ๆ แสงแดดเริงร้อนจึงทอดตัวเข้ามาแตะต้องพื้นไม้ขัดมันวาววับ หากเพราะเปิดแอร์คอนดิชั่นจึงรับรู้ถึงความเย็นสดชื่นเพียงเท่านั้น
คลาสซานดรา ไวท์ธิงตัน เป็นสาวมหาลัยสวยหมดจดซึ่งเป็นที่หมายปองของหนุ่มๆ เอลตันตั้งความหวังให้เธอจะต้องแต่งงานกับโจเซฟ หนุ่มนักธุรกิจเรียลเอสเตทไฟแรงที่น่าจับตามอง แต่คลาสซานดรากลับตกหลุมรักนักศึกษาปริญญาเอกชาวไทยจึงขัดคำสั่งของบิดา ด้วยการยอมมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับอรรณนพ อรุณปกรณ์ หนุ่มไทยผู้หล่อเหลาคมคายและฉลาดหลักแหลมเป็นที่โจษจันของบรรดาสาวๆ
โจเซฟเมื่อรู้ความจริงว่าคลาสซานดรานอกใจจึงจับตัวมาคุมขังหนึ่งอาทิตย์แล้วข่มขืนกับทำร้ายร่างกายเธอไม่เว้นแต่ละวัน โดยปิดบังเรื่องนี้จากเอลตัน ด้วยการทำทีเป็นว่าไปติดต่องานกับลูกค้าที่ต่างประเทศ ส่วนเอลตันก็นึกเพียงว่าลูกสาวสุดที่รักกำลังตั้งใจเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยต่างรัฐ
จนอรรณนพถึงกับบุกมาหาเอลตันที่บริษัทถามหาคลาสซานดรา เพราะไม่เห็นเธอที่มหาวิทยาลัยมากกว่าหนึ่งอาทิตย์แล้ว เอลตันจึงส่งนักสืบออกตามหาลูกสาวสุดที่รักจากเบาะแสเพียงว่าเห็นคลาสซานดราถูกลักพาตัวขึ้นรถเก๋งคันเก่าโทรมคันหนึ่งไม่ติดป้ายทะเบียน หลังจากนั้นเพียงสามวัน...คลาสซานดราก็กลับมาที่บ้านในเวอร์จิเนียด้วยสภาพบอบช้ำอิดโรย หญิงสาวไม่ยอมบอกว่าหายไปไหนมาแม้ว่าเขาจะคาดคั้นเพียงไรก็ตาม นอกจากน้ำตากับเสียงสะอื้นเท่านั้นที่เขาได้รับจนต้องยุติการคาดคั้นเพราะความสงสารเวทนา เอลตันเพิ่งรู้ว่าที่ลูกสาวไม่บอกไม่ใช่เพราะเป็นกังวลแทนเขาเนื่องจากโจเซฟเป็นหุ้นส่วนใหญ่และเอลตันมีหุ้นส่วนอยู่ด้วยในบริษัทเรียลเอสเตทของโจเซฟ ไม่ใช่เพราะคลาสซานดราไม่ต้องการให้เกิดการบาดหมางใจกันถึงกับต้องถอนหุ้นออก แต่กลัวว่าผู้เป็นพ่อจะสนับสนุนเห็นดีเห็นงามให้เธอแต่งงานกับโจเซฟเสียเลย เพราะเวลานั้น...ลมหายใจเข้าออกของเอลตันก็คือโจเซฟ นักธุรกิจหนุ่มไฟแรงที่พาบริษัทได้โลดแล่นในวงการธุรกิจโลกถึงขีดสุด
จนกระทั่งสองเดือนต่อมา คลาสซานดราตั้งครรภ์ หญิงสาวเป็นกังวลอย่างยิ่งว่าลูกในท้องจะเป็นลูกของโจเซฟ เธอจึงแอบเล่าเรื่องนี้ให้อรรณนพฟัง และบอกให้เขาลืมเธอเสียเพราะเธอจะหนีไปใช้ชีวิตกับลูกที่อื่น แต่อรรณนพกลับยอมเสนอตัวเป็นพ่อของเด็กเพราะเขามั่นใจว่าเด็กในท้องคือลูกของเขา และเขายอมประกาศตัวกับเอลตันว่าจะแต่งงานกับคลาสซานดราเพราะเธอกำลังมีลูกกับเขา เอลตันโมโหมากเพราะเสียหน้าและผิดหวังที่ไม่ได้เกี่ยวดองกับโจเซฟ แต่ก็ยอมให้คลาสซานดราแต่งงานกับอรรณนพ ส่วนโจเซฟหลังจากทำร้ายร่างกายคลาสซานดราจนสาแก่ใจก็เที่ยวควงสาวน้อยใหญ่มากหน้าหลายตาไปทั่ว
เมื่ออรรณนพสำเร็จการศึกษารับปริญญาเอกแล้วก็พาคลาสซานดราที่ตั้งครรภ์แก่กลับเมืองไทย ความลับก็คงจะเป็นความลับต่อไปถ้าวันหนึ่งโจเซฟไม่มาหาเอลตันที่บ้านในเวอร์จิเนียเพื่อสังสรรค์ตามประสาหุ้นส่วน แล้วเมาเหล้าหลุดปากออกมาว่า เขารู้สึกว่าตัวเองเหมือนผู้ยิ่งใหญ่ที่กำชะตาชีวิตของคลาสซานดราขณะข่มขืนเธอ เอลตันโกรธแค้นแทบกระอักเลือดสั่งให้บอดี้การ์ดของโจเซฟพาเจ้านายกลับบ้านที่นิวยอร์ก ส่วนตัวเองก็ไม่กล้าทำอะไรเพราะคิดว่าเด็กในท้องของคลาสซานดราเป็นลูกของเธอกับโจเซฟ เขาทำร้ายพ่อของหลานสาวตัวเองไม่ลง
และแม้กระทั่ง...คลาสซานดราเจ็บหนัก รับตัวกลับมารักษาที่อเมริกา เขาก็ไม่กล้าถามไถ่ถึงความจริงข้อนี้มานานเป็นสิบๆปี แต่ถึงกระนั้น...เอลตันเห็นใบหน้าที่มีความละม้ายคล้ายคลึงกันของเอลย่ากับอรรณนพมากเป็นพิเศษ จวบจนปีที่ผ่านมา...เขาพบผลตรวจดีเอ็นเอของเอลย่ากับอรรณนพที่คลาสซานดราแอบกระทำในกระเป๋าเอกสารที่ลูกสาวถือติดมาด้วยเมื่อสิบสองปีก่อน กระเป๋าเอกสารธรรมดาที่จัดเก็บในห้องทำงานซึ่งเขามิเคยจะใส่ใจ จนกระทั่งความคิดถึงลูกทำให้หยิบกระเป๋าออกมาค้นดูภาพถ่ายเก่าๆที่คลาสซานดราถ่ายเก็บไว้ขณะอยู่เมืองไทยและรวมอยู่ในกองเอกสารเหล่านี้
ผลตรวจลับๆทำให้เขาได้รู้ว่า...เอลย่าหรืออิศราวดี คือบุตรสาวที่แท้จริงของ นายอรรณนพ อรุณปกรณ์!
ความจริงเหล่านี้ทำให้เลือดในกายของเอลตันอุ่นวาบด้วยความปิติ แต่ในวินาทีต่อมากลับร้อนเร่าดุจไฟโลกันตร์สลับกับความเย็นยะเยียบดุจมหาสมุทรน้ำแข็งเพราะความโกรธแค้นโจเซฟเหลือคณนา เขาจึงวางแผนทำลายกิจการของมันอยู่ในขณะนี้ เพื่อชำระแค้นที่ลูกสาวถูกทารุณกรรมอย่างเลือดเย็นเมื่อสิบเก้าปีก่อน!
ความจริงเรื่องหลังนี้ เอลตันมิได้เล่าให้หลานสาวคนเดียวฟัง...
“ตาดีใจและภูมิใจที่ได้รู้ว่าหลานเป็นลูกสาวแท้ๆของอรรณนพ ตาเชื่อว่าแม่ของหลานจะต้องดีใจมากเช่นกันที่หลานเกิดขึ้นมาจากผลพวงของความรักแท้” เอลตันปิดท้ายเรื่องเล่าด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
“เล่าเรื่องพ่อให้หนูฟังหน่อยได้ไหมคะ?” อิศราวดีวิงวอน เธอรู้เรื่องราวของบิดาน้อยมาก มิหนำซ้ำท่านยังจากเธอไปตอนยังเล็กนัก
“พ่อของหลานเป็นผู้ชายที่เพียบพร้อมในทุกด้านยกเว้นเรื่องฐานะทางการเงิน แต่หัวใจที่มีแต่รักแท้ของเขาล้ำค่ายิ่งกว่าเพชรเลอค่าที่สุดในโลกใบนี้” สายตาฝ้าฟางของเอลตันเต็มไปด้วยความชื่นชม
“พ่อป่วยเป็นโรคอะไรคะ?”
“อรรณนพป่วยเป็นโรคหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน” ผู้เป็นตาไม่ขยายความต่อ และหลานสาวดูเหมือนจะไม่ต้องการรู้มากกว่านั้น
“แม่ไม่เคยเล่าให้หนูฟังเลย”
“ตอนนั้นหลานยังเล็กนัก คลาสซานดราอยากให้ชีวิตหนูเต็มไปด้วยโลกอันสดใส การบอกว่าพ่อไปสวรรค์จะช่วยให้หลานเลิกร้องไห้หาพ่อลงได้”
“ใช่ค่ะ...ความคิดของแม่ได้ผล แม้กระทั่งตอนนี้หนูยังนึกหน้าพ่อไม่ออก แถมรูปพ่อสักใบก็ไม่มีให้หนูเก็บไว้ดูต่างหน้า”
“ตาเข้าใจว่าอรรณนพคงจะทำงานหนักมากหลังเรียนจบ จนไม่มีเวลาได้พาคลาสซานดราและหลานไปเที่ยวที่ไหน ภาพความทรงจำจึงไม่มี ตาเสียใจด้วย”
“แล้วตอนนี้คนที่ทำร้ายแม่ โจเซฟน่ะค่ะ เขาใช้ชีวิตยังไงบ้างคะ” หญิงสาวเปลี่ยนเรื่อง ถามด้วยแววตาที่คาดคั้น เอลตันเองก็มองหลานสาวด้วยแววตาล้ำลึก ชายชราถอนหายใจบางออกมาเมื่อเห็นแววในดวงตาสีม่วงสด เอลตันใคร่ครวญอยู่นานว่าจะบอกเล่าเรื่องชีวิตที่รุ่งโรจน์ของโจเซฟดีหรือไม่ เขาไม่อยากให้เด็กสาวผู้บริสุทธิ์อย่างอิศราวดีต้องแปดเปื้อนไปด้วยความคิดชั่วร้ายเยี่ยงเขา ให้มันยุติลงในรุ่นของเขาก็เพียงพอแล้ว
“ได้โปรด...เล่าให้หนูฟังเถอะค่ะ คุณตา”
จังหวะนั้นเอง...เสียงเคาะประตูสามทีก็ดังขึ้น เอลตันลอบผ่อนลมหายใจโล่งอก เอ่ยปากอนุญาต แล้วเลขาคนสนิทก็เปิดประตูก้าวเข้ามา
“มีเรื่องสำคัญมากต้องคุยกับท่านในเวลานี้ครับ” ชายชราปรายตามองเลขาส่วนตัวแวบเดียว ก่อนหันกลับไปพูดกับอิศราวดีว่า
“หลานออกไปก่อน ตาต้องจัดการงานสำคัญ”
“เรื่องสำคัญอย่างนี้ หนูรู้ไม่ได้เลยหรือคะ คุณตา?”
“ถ้าหลานเรียนจบเมื่อไหร่ และหนูเลิกคิดที่จะทำงานกับองค์การสหประชาชาติ ตาจะสอนงานหนูเอง แต่ตอนนี้หนูออกไปก่อน ตาต้องทำงาน”
การได้ทำงานในองค์การสหประชาชาติเป็นความฝันส่วนหนึ่งของอิศราวดี เธออยากอุทิศชีวิตเพื่อการช่วยเหลือผู้อื่นโดยเฉพาะเด็กผู้ยากไร้ในประเทศโลกที่สาม และแม้กระทั่งการได้พบรักกับเจซาเร็ต เธอก็ยังยึดมั่นในอุดมคติเดิม เพียงแต่ตัดสินใจแล้วว่าหลังจากแต่งงานกับบุรุษหนุ่มแล้ว เธอจะแบ่งเวลาระหว่างงานกับครอบครัวให้เท่าเทียมกันเท่าที่จะสามารถ
ครั้นผู้เป็นตาออกปากเช่นนี้ อิศราวดีจึงไม่กล้าดื้อดึงอีกต่อไป
“ค่ะ...แล้วหนูจะเอาของว่างกับน้ำชายามบ่ายเข้ามาให้นะคะ”
“ให้โลลิต้านำเข้ามาให้แล้วกัน หลานกลับไปพักผ่อนเถอะ”
“ก็ได้ค่ะ”
เสียงห้าวทุ้มแสนคุ้นเคยที่วิ่งมาตามสาย หลังสัญญาณดังขึ้นสองครั้ง ทำให้อิศราวดียิ้มออกมาทั้งน้ำตาแห่งความหดหู่และหมองเศร้า
“สวัสดีจ้ะเอลย่า ดีใจที่คุณโทรมา ผมคิดถึงคุณ” หัวใจอิศราวดีอุ่นวาบต่อถ้อยคำอ่อนหวาน
“วันนี้ฉันได้รับรู้เสี้ยวหนึ่งของชีวิตแม่ค่ะ... คุณตาบอกว่าท่านเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวที่ฉันสามารถไว้ใจได้” น้ำเสียงของหญิงสาวเศร้าสร้อยนัก
“ถ้าคุณตาพูดเช่นนั้นคุณไม่จำเป็นต้องไว้ใจผมก็ได้ ผมเข้าใจว่าความรักของเรามันเกิดขึ้นเร็วมาก”
“ฉันเข้าใจดีค่ะ เจซาเร็ต” เธอยิ้มตามลำพัง รู้ดีว่าที่เขาไม่บอกรักออกมาในเวลาแบบนี้เพราะอยากให้เธอไตร่ตรองหัวใจตัวเอง
“เล่าเรื่องแม่ของคุณให้ผมฟังหน่อย หากทำให้คุณสบายใจขึ้น น้ำเสียงของคุณไม่ดีเลย มันทำให้ผมรู้สึกแย่และเป็นห่วงคุณมาก”
“แม่ฉันเคยถูกข่มขืนค่ะ แต่ฉันเป็นลูกที่เกิดจากความรัก” น้ำเสียงเธอสั่นพร่า จนเจซาเร็ตรู้ทันทีว่าหญิงสาวต้องใช้ความพยายามมากเพียงใดที่จะกลั่นคำพูดออกมา
“โอ...ที่รัก ถ้ามันทำให้คุณเศร้าก็อย่าไปคิดถึงมันอีกเลย คิดถึงแต่ช่วงเวลาที่คุณกับแม่มีความสุขร่วมกันดีกว่า...อยากให้ผมไปหาไหม?” ถ้อยความสุดท้ายจากเสียงทุ้มทำให้อิศราวดียิ้มกว้างอย่างลืมตัว ความหนาวเฉียบในหัวใจพลันสลายกลายเป็นกระแสอุ่นวาบที่ลามไหลไปทั่วทั้งตัว แม้อยากจะให้เขามาอยู่ตรงหน้ามากเพียงใด แต่รู้ว่าเวลานี้เขากำลังทำงานเพื่อเธอ ทำให้อิศราวดีปฏิเสธความหวังดีได้อย่างไม่ลังเล
“อย่าดีกว่าค่ะ คุณทำงานเถอะ แล้วเจอกันวันจันทร์ค่ะ ฉันคิดถึงเจซาเร็ตเสมอนะคะ”
“ถ้าคุณยังไม่สบายใจ ผมยินดีไปอยู่เคียงข้างคุณนะ ถ้าคุณเกรงผมจะเหนื่อยก็โทรหาได้ตลอดเวลา”
“ขอบคุณมากค่ะ ฉันรักคุณค่ะ...เจซาเร็ต” เป็นครั้งแรกที่เธอเอ่ยความรู้สึกส่วนลึกกับเขา ก่อนจะรีบวางสาย ผิวหน้าร้อนผ่าวด้วยความขัดเขินหากปลื้มเปรมอิ่มเอมใจอย่างที่สุด ที่เธอได้พบรักแท้อย่างแท้จริงดุจเดียวกับมารดา

บ่ายวันจันทร์อิศราวดีก็ได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มของชายอันเป็นที่รักที่ลานจอดรถของมหาวิทยาลัย เจซาเร็ตสวมกอดเธอและจูบขมับบางๆด้วยความคิดถึง แม้หญิงสาวจะขัดเขินต่อการแสดงความรักในที่สาธารณะแต่ก็ไม่อาจปฏิเสธหัวใจตัวเองได้ว่าเธอต้องการมากเพียงใด ถึงกระนั้น...เจซาเร็ตก็ไม่ทำอะไรมากไปกว่ากอดหลวมๆและจุมพิตขมับ
“อีกสองอาทิตย์มหาลัยจะปิดเทอม ฉันขอคุณตาอยู่ที่นี่ตลอดทั้งสองสุดสัปดาห์เพื่อเตรียมตัวสอบกับทำรายงานให้ดีที่สุดค่ะ” อิศราวดีบอก พลางม้วนเส้นสปาเกตตีใส่ปากอย่างเอร็ดอร่อย
มื้อเย็นในวันนี้เจซาเร็ตอาสาทำให้หญิงสาวทานเอง เธอจึงมีหน้าที่ล้างจานแทนเขา หลังจากฝึกศิลปะป้องกันตัวหนึ่งชั่วโมงและไปซุปเปอร์มาร์เกตกันเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา
“ถ้างั้นผมจะให้เวลาคุณมุ่งอยู่แต่การเรียนดีไหม ไว้เจอกันอีกทีวันเสาร์ ผมจะพาคุณไปเซ็นทรัลปาร์ก ผมจะยืมรถเพื่อนมารับคุณ ไปอ่านหนังสือที่นั้นอาจจะช่วยให้สมองคุณตื่นตัว คิดวิเคราะห์ได้ดีและความจำดีขึ้นก็ได้”
“ก็ดีค่ะ...ฉันจะรอนะคะ” อิศราวดียิ้มหวาน เห็นชอบจริงๆ
“เพื่อเดตแรกของเรา” เจซาเร็ตชูแก้วโคล่าของตนเองขึ้นชนกับแก้วของแฟนสาว ความจริงเขาอยากดื่มเบียร์มากกว่า แต่เธอขอร้องให้ดื่มหลังทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว เขาจึงไม่ขัดเพราะไม่เป็นการบังคับจิตใจเขาแม้แต่น้อย
“ค่ะ”
“เรื่องแม่ของคุณ..ผมว่าอย่าเก็บเอามาคิดอีกเลยนะ ในเมื่อคุณไม่ใช่ผลพวงจากความเลวร้ายที่เกิดกับท่าน” อิศราวดีหลุบตาลงต่ำ คงเพราะเขาเห็นแววตาที่ยังคงหมองหม่นของเธอแน่ๆ ถึงกล้าพูดเรื่องนี้ขึ้นมา เจซาเร็ตกุมมือเล็กบาง บีบเบาๆ พูดต่อว่า
“ผมจะไม่ยอมให้ใครทำร้ายคุณเด็ดขาด แม้แต่ตัวผมเอง” สัญญา...ที่แม้แต่เจซาเร็ตก็ยังลืมเลือน
“ฉันเชื่อคุณค่ะ” อิศราวดีคลี่ยิ้มอ่อนๆ ก้มหน้าทานสปาเกตตีอีกครั้ง และไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก จวบจนกระทั่งทานเสร็จและจัดการทำความสะอาดทุกอย่างในครัวเรียบร้อย
สองหนุ่มสาวเดินออกไปนั่งรับลมเย็นๆและดูผืนฟ้าพร่างดาวที่ระเบียงหน้าบ้าน ในมือเจซาเร็ตถือกระป๋องเบียร์ เขานั่งโอบไหล่บางข้างหนึ่ง กรุ่นกลิ่นหอมจากเรือนผมยาวสลวยที่คลอเคลียข้างแก้มเพราะอิศราวดีเอนศีรษะซบไหล่หนาของเขา
“คุณยังไม่เล่าชีวิตของคุณให้ฉันฟังบ้างเลยนะคะ เจซาเร็ต ฉันอยากรู้จักครอบครัวคุณค่ะ” หญิงสาวถามเพราะอยากรู้จักตัวตนของเขา เจซาเร็ตเลื่อนมือที่โอบไหล่บางขึ้นมาลูบไล้เส้นผมยาวสลวยนุ่มดุจเกลียวไหมเบาๆ
“พ่อกับผม...เราเข้ากันไม่เคยได้ ตั้งแต่ท่านทำร้ายจิตใจแม่จนแม่ตรอมใจตายไป ผมหนีออกจากบ้านในคืนที่แม่ตาย ทำงานด้วยสารพัดอาชีพทุกรูปแบบเพื่อส่งเสียตัวเองเรียนและเลี้ยงตัวเอง ผมเรียนจบโทเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัย...” เจซาเร็ตบอกชื่อมหาวิทยาลัยหนึ่งในกลุ่มไอวีลีกที่มีชื่อเสียง
“และก็ได้เข้าทำงานที่บริษัทหลักทรัพย์ของนิวยอร์ก ทำอยู่สองปีจึงได้รู้ว่าพ่อมีส่วนผลักดันให้ผมได้เข้าทำงานที่นี่ด้วย ท่านติดตามดูผมมาตลอดเวลาโดยที่ผมไม่รู้ตัวก็ว่าได้ ผมไม่ต้องการการช่วยเหลือจากท่านจึงลาออก...” เขาหันมามองวงหน้าสวยเกลี้ยงเกลาชั่วครู่ ราวใคร่ครวญว่าจะพูดประโยคต่อไปออกมาอย่างไร
“จากนั้นจึงมาเป็นพนักงานล้างรถที่อู่ในบรู๊คลินแทน” เจซาเร็ตยกกระป๋องเบียร์ขึ้นซดอึกใหญ่ แล้ววางลงบนพื้น
“เอ่อ...บางที ผมอาจจะหางานใหม่เร็วๆนี้” บุรุษหนุ่มบอกเหมือนไม่แน่ใจ ก่อนจะหันมาจูบกระหม่อมบางหนักๆ
“ผมจะเลี้ยงดูคุณให้เหมือนเจ้าหญิงเลยล่ะ” อิศราวดีหัวเราะเบาๆ เงยหน้าขึ้นยิ้มหวานใส่ดวงตาสีทองสุกปลั่ง
“ไม่ต้องดูแลฉันแบบเจ้าหญิงหรอกค่ะ ขอแค่อย่าทิ้งฉัน อย่าทรยศความรักของฉันก็พอ เพราะชีวิตของฉันนอกจากคุณตาแล้ว ก็มีเพียงคุณค่ะ เจซาเร็ต”
“ผมจะไม่มีวันทำตัวแบบนั้นกับคุณแน่ สาบานได้เลยว่าจะไม่ยอมให้อะไรหรือใครมาพรากเราจากกันได้ชั่วชีวิต” เจซาเร็ตสัญญาหนักแน่น พลางจ้องลึกในเรียวตาสีม่วงสดงามล้ำที่ฉายชัดถึงความรักความเสน่หาล้นใจ ประหนึ่งถูกมนตร์ขลังในดวงตาคู่สวยที่มีแรงดึงดูดมหาศาลอันไม่อาจถอนออกมาจนหลุดพ้นได้ สั่งให้เขาโน้มหน้าลงเพื่อซึบซับความหวานล้ำที่สุดในชีวิตอีกครั้งจากกลีบปากอ่อนนุ่มสีกุหลาบสด มือข้างหนึ่งดันแผ่นหลังบอบบางเข้าหาจนแนบชิด อีกข้างประคองวงหน้านวลเพื่อจุมพิตได้อย่างดูดดื่ม โหยหาตามการเรียกร้องของแรงปรารถนา เจซาเร็ตเริ่มต้นด้วยความนุ่มนวล หวานล้ำ ก่อนแรงจูบจะค่อยๆทวีความเร่าร้อน ดื่มด่ำขึ้นทุกขณะ จนสาวน้อยตัวสั่นสะท้านในอ้อมแขน หากจูบตอบเขาอย่างดูดดื่มลึกซึ้งเฉกเดียวกัน เจซาเร็ตถอนจุมพิตออกอย่างเสียดายเมื่อผ่านไปหลายนาทีเพื่อให้หญิงสาวในอ้อมกอดได้สูดหายใจลึก หลังจากถูกเขาปล้นชิงลมหายใจเนิ่นนาน
“ผมอยากรักคุณ...จะได้ไหม?” บุรุษหนุ่มกระซิบขอชิดใบหู เขาไม่อาจทนทำตัวเป็นสุภาพบุรุษได้อีกต่อไปแล้ว แม่ลิลลี่ของเขาช่างมีเสน่ห์ทางเพศเหลือร้าย แค่จูบเดียวก็สามารถเรียกร้องความเป็นหนุ่มให้เดือดพล่านสั่นระริก
อิศราวดีหน้าแดงจัด ร้อนผะผ่าว รู้สึกถึงความไม่เหมาะสมในทุกประการ แม้หัวใจจะเต้นตึกตักถี่แรง แถมผิวเนื้อยังซ่านซ่าด้วยความรู้สึกต้องการอย่างน่าอาย แต่สติที่ยังหลงเหลือทำให้เธอนึกไปถึงเรื่องราวของเทเรซ่า คอรท์นีย์ ผู้หญิงคนหนึ่งของเจซาเร็ตที่เธอดูแคลนในเย็นวันนั้นที่ห้องน้ำหญิงว่า
‘เจซาเร็ตเขาไม่เคยล่วงเกินฉันสักครั้ง เขาเป็นสุภาพบุรุษ ถึงเขาจะผ่านเธอมาก่อนฉันก็ไม่แคร์หรอกนะ แค่รู้สึกเสียดายที่เธอเห็นว่าเซ็กซ์จะสามารถใช้จูงจมูกเขาได้ เธอ...ง่าย... เกินไป ไม่สมกับตำแหน่งสาวเก่งของมหาวิทยาลัยที่ได้รับตำแหน่งประธานสภานักศึกษาเลยนะ’
“ไม่ค่ะ...คุณอดใจรอคืนแต่งงานของเราเถอะนะคะ” อิศราวดีปฏิเสธเสียงอ่อน มองเขาอย่างเว้าวอน ใจสั่นสะท้านยามที่บุรุษหนุ่มไล้นิ้วโป้งบนเรียวปากอิ่ม และทอดสายตามองอ้อยอิ่งเหมือนริมฝีปากของเธอคือขนมหวานชั้นเลิศ
“ไม่ได้จริงๆค่ะ” เธอปฏิเสธเสียงเข้มขึ้น เพื่อยุติการกระทำอันวาบหวาม เจซาเร็ตถอนหายใจแรงอย่างไม่ปิดบัง ก่อนยิ้มเย้า พูดเสียงแหบพร่าว่า
“แค่อีกสองปีคงไม่นานเท่าไหร่ แต่ถ้าถึงคืนเข้าหอผมทำตัวเป็นไอ้หนุ่มกลัดมันขึ้นมาเมื่อไหร่ คุณจะมาวิงวอนร้องขอแบบนี้ไม่ได้แน่...เอลย่า ผมจะใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุดสมกับที่ผมสูญเสียมันไปในวันนี้ทีเดียวเชียวล่ะ”
“คนเอาแต่ใจ” อิศราวดีย่นจมูกน่ารัก ทุบอกแกร่งหลายทีด้วยความเขินอายเหลือกำลัง วงหน้าและลำคอเปลี่ยนเป็นสีชมพูจัดจนบุรุษหนุ่มนึกอยากปล้ำเธอขึ้นมาจริงๆ แต่กลบเกลื่อนด้วยเสียงหัวเราะร่วน
“ฮะฮะฮะ...โอเค...ผมจะเลิกเอาแต่ใจก็ได้ จะยอมยกให้คุณเอาแต่ใจคนเดียวตลอดเวลาเลยดีไหม”
“คุณก็เบื่อพอดีสิ” อิศราวดียอมเผยความลับ แม้ใจอยากจะเอาแต่ใจกับเขาจริงๆก็ตาม เจซาเร็ตยิ้มร่า ฉวยมือบางที่ทาบแผ่นอกขึ้นมาจูบแผ่วๆ ทอดสายตามองอย่างลึกซึ้ง
“สำหรับเอลย่า ผมยอมให้ได้”
“ขอบคุณค่ะ”
“ผมกลับก่อนแล้วกัน เจอกันวันเสาร์ตอนเช้า จะให้ผมเตรียมอาหารและข้าวของสำหรับปิกนิกเอง หรือคุณจะทำหือ...ที่รัก”
“ฉันจะเตรียมให้เองค่ะ”
“ตกลงตามนี้จ้ะ มายเดียร์” เจซาเร็ตพยักหน้าแล้วลุกขึ้นยืนจากม้านั่งตัวยาวสีขาว เดินจูงมือสาวคนรักไปที่ฮาร์เลย์ เดวิดสันคันโปรด หันมาจูบที่หน้าผากนูนเกลี้ยงทิ้งช่วงยาวนานด้วยความโหยหา ก่อนยินยอมให้อิศราวดีช่วยเขาใส่หมวกกันน็อก หญิงสาวโบกมืออำลา มองไฟท้ายรถสีแดงวาบจนหายลับ แล้วเดินเข้าบ้านหลังน้อยด้วยความรู้สึกผ่อนคลายเจือรอยหวานกรุ่น



อิลวลาอิลตาร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 ส.ค. 2555, 15:47:43 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 ส.ค. 2555, 15:47:43 น.

จำนวนการเข้าชม : 1085





<< การเริ่มต้นของสายสัมพันธ์...5   ฤดูแห่งรัก >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account