วังวนริษยา
แรงรัก แรงริษยา เกาะเกี่ยวเวียนวนจากอดีตสู่ปัจจุบัน
วังวนแห่งพิษรัก ยังคงโอบรัดสิ่งเหล่านี้ให้คงอยู่ และ รอคอยอยู่ที่...เรือน เจ้านาง
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ ๗

ตอนที่ ๗

วันซ้อมนางบัวชุมมาที่บ้านของปรียาตั้งแต่เช้า เธอมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พร้อมกับอุปกรณ์หลายๆ อย่าง

“สวัสดีตอนเช้าค่ะแม่ครูบัวชุม” ทั้งสี่สาวยกมือขึ้นพนมไหว้ ก่อนปรียาจะเข้าไปช่วยถือของจากนางบัวชุม

“สวัสดีเช่นกันจ๊ะหนูๆ แหม...วันนี้อยู่กันครบเลยนะ อ้าว ยังขาดหนูจันทร์นี่”

มองไล่ไปยังสี่สาวก็พอจะรู้ว่าขาดใครไปบ้าง ก่อนจะรู้ว่านั่นคือจันทร์เจ้า ลูกศิษย์คนเก่งของนาง

ในบรรดาตาลแก้ว ปรียา และจันทร์เจ้านั้น คือศิษย์ที่นางเคยฝึกซ้อมมาเมื่อหลายปีก่อน และคนที่เรียนรู้การฟ้อนรำได้ดีกว่าใครก็คือจันทร์เจ้า ส่วนปรียาและตาลแก้วแม้จะเรียนรู้ช้ากว่าจันทร์เจ้า ทว่าทั้งสองรับเอาความอ่อนช้อยไปอย่างเต็มตัว
ดังนั้นครั้งใดที่โชว์งานฟ้อนของกลุ่มปรียาออกมาเมื่อไร จึงมีแต่คนมาชม เพราะว่านอกจากจะมีความสวยงามของเด็กสาวแรกรุ่นแล้ว ทุกนางฟ้อนยิ่งมีความอ่อนช้อยงดงามตามแบบฉบับของนางฟ้อนชาวล้านนา

“จันทร์เจ้าไปเที่ยวต่างจังหวัดกับครอบครัวค่ะแม่ครู”

“อ้อ ถึงว่า ช่วงนี้ไม่ค่อยเห็นแม่เพ็ญไปตลาด ที่แท้ก็พากันไปเที่ยวไปแอ่วนี่เอง”

“แม่ครูคะ พวกเราพร้อมแล้ว เริ่มกันเลยนะคะ”

ปรียาเดินนำทุกคนมายังศาลาทรงไทยประยุกต์หน้าเรือนเจ้านาง นางบัวชุมมองไปยังเรือนเจ้านางอย่างหวาดๆ ทว่าในที่สุดแล้วก็ยิ้มออกมาได้ในที่สุด

จะให้ไม่กลัวได้อย่างไร ก็เรื่องเล่าที่เล่ากันตั้งแต่หัวตลาดยันท้ายตลาดนั้น คือกิตติศัพท์ความเฮี้ยนของวิญญาณบนเรือนหลังนี้ แม้จะไม่เคยเจอกับตัวเองก็เถอะ แต่อย่างไรแล้วเธอก็ยังกลัวอยู่ดี

แต่อย่างไรแล้ว เมื่อรับปากกับปรียา ทั้งเด็กๆ พวกนี้มาขอเธอให้เป็นครูฝึกสอนด้วยตัวเอง จะไม่ช่วยเหลือก็กระไรอยู่

สิ่งที่ทำได้ก็ได้แต่ภาวนาขออย่าให้วิญญาณมาหลอกมาหลอนเธอในช่วงที่สอนปรียาและตาลแก้วฝึกซ้อมรำสาวไหมก็พอแล้ว

“อ้าวหนูแป้ง ไหนว่าจะมีอีกคนอย่างไรล่ะ”

ทั้งสองเข้าไปยืนยังสนามหญ้าด้านหน้า นางบัวชุมซึ่งยืนมองทั้งสองตั้งท่าอยู่จึงหันไปมองอีกสองสาวซึ่งเข้าไปนั่งยังศาลาจึงอดจะถามปรียาไม่ได้

“อ้อ น้องสาวของแป้งเองค่ะแม่ครู รอสักครู่นะคะ เดี๋ยวแป้งไปตามให้”

เจ้าของสถานที่ยิ้ม ก่อนจะเดินจากไปในที่สุด...

นางบัวชุมมองหน้าเหล่าเพื่อนๆ ของปรียาอย่างค้นหา แต่ละคนไม่มีสีหน้าจะหวาดกลัวสถานที่แห่งนี้เลยสักคน ซ้ำยังพูดคุยกันอย่างปกติเสียด้วยซ้ำ

“นี่หนูตาล หนูไม่กลัวผีหรือ” บัวชุมขยับเข้ามาถามลูกศิษย์สาว ขณะตาลแก้วมองหน้าคุณครูผู้สอนพลางยิ้ม

“ผี...ผีที่ไหนล่ะคะ ไม่เห็นมีเลย”

“ก็ผีที่เค้าลือกันว่าอยู่ที่นี่ และเฮี้ยนอย่างไรล่ะ” พูดจบสายลมก็พัดวูบเข้ามา นางบัวชุมยกมือขึ้นลูบแขนทำท่าผวา

“นี่อย่างไรล่ะ พูดถึงก็มาเลย”

“แม่ครูก็ว่าไป แค่ลมหาว่าผี ไม่มีหรอกค่ะ” ตาลแก้วพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

“นี่หนูไม่เชื่อ...”

“ไม่ใช่ไม่เชื่อหรอกค่ะ ถึงมีก็เถอะเค้าอยู่ต่างภพต่างชาติกับเราแล้ว เค้าไม่ทำอะไรเราหรอกค่ะ และยิ่งเรามาที่นี่เพื่อมาฝึกซ้อมฟ้อนรำ เราไม่ได้มาขโมยของหรือทำไม่ดีกับเรือนหลังนี้สักหน่อยนี่คะ”

“อือ...ไอ้สิ่งที่หนูตาลพูดก็ถูก” นางบัวชุมพยักหน้าเห็นด้วย นางไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร ไม่รู้จะกลัวไปทำไม “เออๆ ไม่กลัวก็ไม่กลัว ไหนหนูตาลแอ่นมือให้แม่ครูดูหน่อยซิ”

พยายามจะไม่คิดถึงเรื่องที่น่ากลัว จึงหันมาสนใจกับงานของตนเองต่อ โดยให้ตาลแก้วแอ่นมือให้ดู ทั้งยังดูความพร้อมของการฟ้อนรำ ซึ่งเธอเชื่อว่าจะต้องเริ่มที่พื้นฐานกันใหม่ทั้งหมด

///////////

“แป๋ว ทำไมไม่ลงไปซ้อมกับพี่ ป่ะ แม่ครูบัวชุมก็มาแล้ว” เห็นน้องสาวนั่งอ่านนิตยสารอยู่ในห้องรับแขก ปรียาจึงเข้าไปบอก

หากปวรินกลับแค่แบะปาก แล้วก้มหน้ามองภาพถ่ายในหนังสือโดยไม่พูดอะไรอีก

“ถ้าไม่ฟ้อนรำก็ไม่เป็นไรนะ พี่ทำกับตาลสองคนก็ได้” สุดจะอดทนกับน้องสาว ปรียาจึงพูดในสิ่งที่เธออยากจะให้เป็นในที่สุด

เพราะเธอไม่อยากจะเป็นปัญหากับคุณกชกรหรอกนะ ถึงได้ยอมให้ปวรินเข้าร่วมงานแสดงชุดนี้ด้วย หากว่าจะทำให้เป็นอุปสรรคกันจริงๆ ทั้งยังไม่ยอมไปฝึกซ้อมร่วมกันแบบนี้ สู้อุตส่าห์ไม่ต้องทำทั้งหมดจะดีกว่า

“ใครว่าแป๋วจะไม่รำล่ะคะ แป๋วจะรำ แต่ที่แป๋วไม่ไปฝึกเพราะแป๋วมั่นใจว่าแป๋วทำได้” น้องสาวเอ่ยเสียงสะบัด ปรียามองหน้าน้องอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมากนัก ไม่ซ้อมแล้วจะทำได้อย่างไรกัน

“ทำได้..โดยไม่ฝึกนี่นะ”

“ใช่ แป๋วเชื่อว่าแป๋วทำได้ เพราะว่าแป๋วเก่งกว่าพี่แป้งอยู่แล้ว”

“ก่อนจะพูดอะไรเคยก้มลงมองตัวเองบ้างไหมแป๋ว” ปรียาเอ่ยเสียงเยาะ และนั่นก็ได้ผล ปวรินวางหนังสือลงและมองหน้าพี่สาวอย่างหาเรื่อง

“แป๋วก้มลงมองแล้วล่ะ และก็รู้ตัวว่าตัวเองทำได้ พี่แป้งต่างหาก เคยก้มลงมองเท้าตัวเองไหมคะ ว่าเป็นยังไง”

“ดูสิ พี่ดูตั้งนานแล้วล่ะ ถึงได้บอกให้แป๋วดูบ้างอย่างไรล่ะ”

“ชิ ทำเป็นพูดเก่ง”

“ที่แป๋วพูดว่าตัวเองเก่ง แล้วลองมาแข่งกันดูไหม ลงไปซ้อมกับพี่ ถ้าแป๋วทำได้ดีกว่าพี่ พี่ถึงจะมั่นใจว่าแป๋วเก่งจริงๆ”

“นี่พี่แป้งกำลังท้าแป๋วใช่ไหมคะ” เด็กสาวผุดตัวลุกขึ้น มองหน้าพี่สาวซึ่งลุกตามอย่างเหยียดหยัน

“ได้ แป๋วจะพิสูจน์ให้พี่แป้งดูว่าแป๋วเก่งกว่าพี่แป้งทุกอย่าง จำไว้”

พูดจบก็เดินออกจากบ้านไปและตรงไปยังตำแหน่งที่ปรียาได้บอกเอาไว้ก่อนหน้า ขณะผู้เป็นพี่มองตามร่างน้องสาวไปพลางส่ายหน้าไปมา เธออยากจะรู้นักว่าปวรินจะสร้างทิฐิกับเธอไปอีกนานแค่ไหน

///////

“ไหน จะให้ฟ้อนแบบไหนก็มาสอนสิ”

ปวรินเดินเข้ามายังที่แห่งนั้นพลางเอ็ดเสียงดังเอะอะมาแต่ไกล ทว่าสายตาก็ยังทอดมองไปโดยรอบอย่างหวาดๆ ไม่ได้

“คิดยังไงมาฝึกกันที่นี่ น่ากลัวชะมัด” บอกกับตัวเอง ก่อนจะทำเป็นเชิดหน้า ไปยืนอยู่ตรงหน้าหญิงกลางคนซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าของตาลแก้ว

“มาสิฉันมาแล้วจะสอนอะไรก็สอนมาสิยะ” เอ่ยถามเสียงสะบัด พร้อมกับมองหน้านางบัวชุมอย่างเหยียดหยัน แต่งตัวแบบนี้น่ะหรือที่จะให้มาเป็นครูสอนของเธอ

“ใจเย็นๆ สิแป๋ว เราต้องทำความรู้จักกับแม่ครูก่อน อีกอย่างจะฟ้อนรำกัน เราจะต้องไหว้ครูก่อน พี่สองคนไหว้แม่ครูแล้ว เธอมาใหม่ยังไม่ได้ไหว้ แป๋วจะต้องไหว้เดี๋ยวนี้ก่อนจะฝึกซ้อม”

ปรียาเดินมาถึงพร้อมกับเอ่ยบอก ทั้งกับมองหน้านางบัวชุมเป็นเชิงขอโทษกับการเสียมารยาทของปวริน

“ต้องไหว้ด้วยหรือ ฉันไม่เคยได้ยิน” ปวรินทำท่าไม่พอใจ

“ไหว้สิน้องแป๋ว คนเราถ้าจะทำอะไรก็ต้องมีครู เรามาขอวิชาจากท่านนะ จะต้องเคารพท่านด้วย”

“นี่เธอว่าฉันหรือตาลแก้ว” เริ่มขึ้นเสียงทั้งตวัดสายตามองตาลแก้วอย่างไม่พอใจ

“ใจเย็นๆ ก่อนแป๋ว นี่พี่พูดจริงๆ นะ พิธีนี้เป็นพิธีที่ศักดิ์สิทธิ์ พี่เตรียมดอกไม้มาให้เธอแล้วล่ะ อ่ะนี่เอาไปไหว้แม่ครู” ปรียายื่นกรวยดอกไม้ซึ่งทำขึ้นแบบง่ายๆ ก่อนหน้าให้น้องสาว ปวรินรับไปถือไว้พร้อมกับทำใบหน้าไม่พอใจ

“ไหว้ค่ะ” ยกกรวยดอกไม้ขึ้นไหว้นางบัวชุมอย่างขอให้ผ่านไปที ก่อนจะส่งกรวยให้กับหญิงตรงหน้า

“ไม่ได้ ทำแบบนี้ไม่ได้แป๋ว” ปรียายิ้ม ก่อนจะเข้าไปยึดกรวยดอกไม้มาจากน้องสาว แล้วบอก “ครู...เป็นสิ่งที่เราต้องเคารพ และระลึกทุกครั้งที่จะทำอะไร มาทำแบบนี้มันเหมือนไม่ให้เกียรติกัน เธอจะต้องกราบที่เท้าของแม่ครู”

“กราบ...” ปวรินขึ้นเสียงดัง ดวงตาคู่สวยเบิกขึ้นอย่างไม่พอใจ “นี่จะแกล้งกันหรือยังไงพี่แป้ง แป๋วเคยกราบแต่คุณพ่อกับคุณแม่ แป๋วจะไม่ยอมกราบใครทั้งนั้น”
แวววรรณและจักจั่นเดินมาสมทบ ตาลแก้วมองหน้าปวรินอย่างขบขัน เช่นเดียวกับผู้เป็นพี่สาวแววตาไหวระริกอย่างไม่พอใจ...เธอสัญญา จะทำให้ปวรินเป็นคนอ่อนน้อมให้ได้

“ใช่...แป๋วจะต้องกราบเท้าแม่ครู เพื่อทำความเคารพ อ้อ ถ้าไม่ทำก็ไม่ต้องเรียน แล้วพี่ก็จะถือว่าสิ่งที่แป๋วพูดเมื่อกี้มันจะไม่มีผลกับพี่ แล้วก็กรุณาอย่ามาพูดดูถูกพี่เหมือนเมื่อกี้อีก กลับไปได้เลย ทุกอย่างสำหรับแป๋วหมดสิ้นลงตรงนี้ละ”

ปวรินมองหน้าปรียาอย่างแค้นเคืองเป็นที่สุด ทำแบบนี้มันแกล้งกันชัดๆ ทั้งยังดูถูกเธออีก แบบนี้แล้วเธอก็ยอมไม่ได้เหมือนกัน

เด็กสาวกำมือแน่น บีบจนรับรู้ว่าเล็บตัวเองจิกบนเนื้อจนเจ็บ ประกายตาคู่สวยแดงก่ำ เธอคิด...หากว่าไม่ทำก็จะถูกนังปรียาดูถูกอีก สู้ทำให้มันเสร็จๆ ไปแล้วคอยหาโอกาสเอาคืนจะดีกว่า

“ก็ได้ แป๋วจะทำ ไม่ใช่เพราะเชื่อพี่แป้งหรอกนะ แต่แป๋วต้องการความรู้และเอาชนะพี่แป้งให้ได้”

รับกรวยดอกไม้มาจากพี่สาวอีกครั้ง ก่อนจะก้มลงแทบเท้าของนางบัวชุมและก้มลงกราบในที่สุด ทว่าหญิงกลางคนกลับขยับเท้าหนีก่อนจะพูด

“ไม่ได้ ฉันไม่รับเด็กที่มีนิสัยก้าวร้าวเป็นศิษย์เด็ดขาด คนไม่เคารพครูบาอาจารย์จะไม่มีวันเจริญ”

โดนว่าแบบนั้น ปวรินจึงเงยหน้าขึ้นมองนางบัวชุมในทันที แต่ก่อนจะทันได้พูดอะไร ปรียาจึงเข้ามานั่งพับเพียบเคียงข้างน้องสาว ยกมือขึ้นไหว้นางบัวชุมหวังขอร้อง

“ขอเถอะนะคะแม่ครู น้องของแป้งยังเด็ก ก็เลยไม่รู้กาลเทศะ”

แวววรรณมองหน้าปวรินอย่างสะใจ นึกสมน้ำหน้าอยู่ในที แต่เธอก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมเพื่อนสาวถึงยอมเข้าไปช่วยเหลือน้องสาวได้

ที่ผ่านมาปวรินแกล้งปรียามาตลอด โดนว่าแบบนี้น่าจะสะใจแทนที่จะมาช่วยเหลือกัน

“แม่ครูรับคนที่ไม่เคารพกันมาเป็นศิษย์ไม่ได้หรอกหนูแป้ง” นางบัวชุมบอกพลางหันหน้าไปทางอื่นเสีย

“ไม่สอนก็ไม่ต้องสอน ฉันไม่เรียนก็ได้” ปวรินจะลุกขึ้น หากแต่กลับถูกปรียารั้งหัวไหล่เอาไว้เสียก่อ

“นั่งลงก่อนแป๋ว”

“พี่แป้งจะกดไหล่ของแป๋วทำไม ปล่อยนะ แป๋วเจ็บ” สะบัดจนหลุดแล้วกันมามองหน้าพี่สาวเขม็ง “อยากจะแกล้งฉันล่ะสิ เลยให้มากราบผู้หญิงคนนี้น่ะ”

เปลี่ยนกิริยาเป็นก้าวร้าวในทันที ปวรินลุกขึ้นมองหน้าทุกคนในที่นั้นสลับกันอย่างไม่พอใจ

“เกิดอะไรขึ้นน่ะแป้ง แป๋ว...” คุณปรีชาเดินเข้ามายังที่แห่งนั้น มองหน้าทุกคนก่อนจะไปหยุดยังปรียา

“คุณพ่อคะ พี่แป้งจะแกล้งแป๋วค่ะ” สบโอกาสปวรินจึงรีบถลาเข้าไปหาบิดาแล้วฟ้องในทันที

“มีอะไรหรือเปล่าแป้ง แกล้งอะไรน้อง”

“แป้งไม่ได้แกล้งน้องนะคะ แป้งแค่กำลังจะให้น้องแป๋วกราบแม่ครู เพื่อไหว้ครูก่อนเริ่มเรียนรำเท่านั้นค่ะ” หญิงสาวบอกตามความจริง ก่อนจะขยับเข้าไปหาบิดาอีกคน

“แต่น้องแป๋วไม่ยอมทำตามที่แป้งบอกค่ะ ทั้งยังสร้างความไม่พอใจให้แม่ครูบัวชุมอีก”

“จริงหรือเปล่าแป๋ว” คุณปรีชาก้มลงมองร่างบางซึ่งกอดเขาอยู่ทั้งคำถามและแววตา

“ก็แป๋วทำแล้วนี่คะ ให้แป๋วกราบแป๋วก็กราบแล้ว จะให้ทำอะไรอีก”

“แต่คนไม่เคารพครูบาอาจารย์อย่างหนูแป๋ว ฉันไม่รับเป็นศิษย์หรอก” นางบัวชุมขยับมาบอกคุณปรีชาอีกคน “ท่านก็รู้ว่าคนอย่างบัวชุมจะรับคนที่มีกิริยาอ้อมน้อมถ่อมตนอย่างหนูแป้งลูกสาวของท่านเป็นลูกศิษย์เท่านั้น”

“ฉันต้องขอโทษแม่บัวชุมด้วยนะกับความก้าวร้าวของลูกแป๋วของฉัน”

รู้จักกันมาพอสมควร และคุณปรีชาก็รู้นิสัยของนางบัวชุมดีว่าเป็นคนอย่างไร จึงเข้าใจในสิ่งที่หญิงตรงหน้าพูด

“ฉันไม่ถือโทษโกรธหนูแป๋วหรอกท่าน แต่ถ้าจะให้รับเป็นลูกศิษย์ลูกหา ก็คงจะรับไม่ได้”

“ไม่รับก็ไม่ต้องรับสิ” ปวรินแบะปากทำท่าหมั่นไส้

“แป๋ว...หัดมีมารยาทด้วย”

“ใช่สิคะ แป๋วไม่ได้แสนดีอย่างพี่แป้งนี่คะ”

“ขอโทษแม่ครูเดี๋ยวนี้” คุณปรีชาเค้นเสียงบอกบุตรสาว หากปวรินกลับสะบัดหน้าหนี ทว่าบิดากลับบังคับให้บุตรหันกลับมาได้สำเร็จ ทั้งยังสำทับอีกครั้ง “ขอโทษแม่ครูซะ”

“คุณพ่อ...” ประกายตาคู่สวยฉายแววไม่พอใจ ทั้งมองบิดาอย่างตัดพ้อ

“ก็ได้ค่ะ แป๋วจะทำ และที่ทำก็เพราะไม่ใช่เพราะใครนะคะ แป๋วทำเพื่อตัวเองต่างหาก”

พูดจบเด็กสาวก็ทรุดตัวลงนั่งกับพื้น พร้อมกับก้มลงกราบนางบัวชุมอีกครั้ง
ท่ามกลางอาการอึ้งของเหล่าเพื่อนๆ ของปรียาซึ่งมองมายังร่างบางซึ่งกราบลงกับพื้นอย่างไม่เชื่อว่าจะทำได้

ปกติปวรินเป็นคนทิฐิแรงกล้าอยู่แล้ว พวกเธอไม่คิดเสียด้วยซ้ำว่าน้องสาวของปรียาจะกราบใครทั้งๆ ที่ไม่พอใจได้

ปวรินเงยหน้าขึ้นมองนางบัวชุม พร้อมกับเม้มเรียวปาก ทั้งน้ำตาที่ค่อยๆ ไหลออกมา

“แป๋วขอโทษค่ะ แม่ครู” เค้นเสียงอย่างเจ็บแค้นในหัวใจ พลางคิดว่าหากโอกาสเอาคืนมีเมื่อไรเธอจะต้องทำทันที

โดยเฉพาะนังแป้ง นังพี่สาวที่ใครๆ ต่างเข้าข้างมัน

“ลูกสาวของฉันขอโทษแล้ว แม่บัวชุมรับหนูแป๋วเป็นศิษย์เถอะนะ” คุณปรีชาขอร้องอีกแรง

นางบัวชุมเม้มเรียวปากแน่นสนิท มองร่างซึ่งนั่งอยู่ตรงหน้าสลับกับแววตาขอความเห็นใจของคุณปรีชาและปรียาลูกศิษย์สาว

เวลาเหมือนหยุดนิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนนางบัวชุมจะทนต่อสายตาขอความเห็นใจของทั้งสองพ่อลูกไม่ได้

“ก็ได้ แม่ครูจะรับหนูแป๋วเป็นลูกศิษย์ก็ได้ แต่หนูแป๋วจะต้องสัญญากับแม่ครูก่อนว่าจะตั้งใจเรียน” ก้มลงมองเป้าหมายซึ่งค่อยๆ หยัดกายลุกขึ้น และมองมายังนางด้วยสายตาไม่พอใจ ปวรินเค้นเสียงตอบ

“ค่ะ...หนูสัญญา”

////////

เวลาผ่านไป คุณปรีชาแยกกลับบ้านไปเพื่อปล่อยให้เด็กๆ ได้เรียนตามอัธยาศัย แม่ครูบัวชุมสั่งให้บรรดาลูกศิษย์ไปยืนเรียงแถวกันยังสนามด้านหน้า และเธอได้เดินเข้าไปสำรวจมองรูปร่างของทั้งสามสาวทีละคน ก่อนจะให้แอ่นมือให้นางดู

“มือแข็งกันจริงๆ คงต้องดัดกันหน่อยแล้วล่ะ ไหนลองแอ่นและดัดให้แม่ครูกันทีละคนสิ” ปรียาและตาลแก้วทำอย่างไม่อิดเอื้อน ทว่าคนที่มีปัญหากลับไม่พ้นปวริน

“จะดัดไปทำไมนักหนาเนี้ย เจ็บก็เจ็บ” เด็กสาวบ่นอุบอิบ พยายามดัดมือจนเจ็บก็ยังไม่ได้อย่างปรียาและตาลแก้วสักที

พอตรวจของตาลแล้วและปรียาแล้วนางบัวชุมก็ให้ความเห็นว่าทุกเช้าให้ทั้งสองดัดนิ้ว กับข้าวสาร ทำแบบนี้ทุกวันนิ้วก็จะอ่อนและกลับมางอนงามเวลาฟ้อนได้
นางเดินมาหยุดยังตรงหน้าปวรินซึ่งยืนทำหน้าหงิกอยู่ก็พลางยิ้มขัน

“ทำไม่ได้ก็กลับไปเสีย จะได้ไม่ลำบากคนอื่น”

“ใครว่าฉันทำไม่ได้ เพราะฉันไม่เคยทำอย่างพี่แป้งมาก่อนก็เลยทำไม่ได้แบบนั้น และถ้าฉันได้ฝึกทุกวันก็ต้องได้ดีกว่าทั้งสองคนนี้แน่”

“ขอให้มันได้อย่างที่พูดเถอะหนูแป๋ว” บัวชุมเอ่ยเสียงเยาะ “ไหนเอามือมาซิ แม่ครูจะดูให้”

ปวรินยืนมือให้กับหญิงตรงหน้า ก่อนจะจับนิ้วซึ่งเหยียดตรงแล้วแอ่นดัดเรียวนิ้วสวยของปวรินจนเด็กสาวร้องลั่น

“โอ้ย...นี่จะหักนิ้วกันหรือยังไง” มิวายบ่นและสะบัดมือเร้าๆ

“แม่ครูไม่ได้จะหักนิ้วหนูแป๋วนะ แม่แค่จะช่วยหนูดัดนิ้วเท่านั้น” นางบัวชุมแก้ต่าง

“แค่ดัด ชิ แต่ฉันว่าจะหักนิ้วกันมากกว่า”

“ทำแค่นี้กลับทำไม่ได้ อย่างนี้จะฟ้อนได้งามได้ยังไง” บัวชุมมองเด็กสาวอย่างขบขัน ขณะปวรินแววตาวาวโรจน์

“แต่ฉันต้องทำได้”

“ทำได้ แค่แอ่นมือฟ้อนก็ทำได้ไม่งามแล้ว จะทำอย่างไรล่ะมันถึงจะฟ้อนได้งามหึ หนูแป๋ว”

เจอคำถามแบบนั้น ปวรินก็เถียงไม่ขึ้น จึงได้แต่กำหมัดแน่น และมองไปยังนางบัวชุมอย่างไม่ค่อยจะพอใจสักเท่าไรนัก

“ก็ได้...ฉันจะต้องทำยังไงบ้างล่ะ”

ยอมความในที่สุด ขณะนางบัวชุมยิ้มรับอย่างขบขัน ก่อนจะเข้าไปช่วยดูและสอนวิธีการดัดนิ้วให้กับเด็กสาวอย่างใกล้ชิดในที่สุด

สิ่งที่สอนและบอก ไม่ใช่เพราะอยากจะเอาชนะหรือแกล้งปวริน หากนางบัวชุมกลับอยากจะให้เด็กสาวเป็นอีกคนหนึ่งที่สามารถทำงานฟ้อนได้สวยงามอย่างพี่สาวและตาลแก้วที่ทำได้ มันเป็นการดูแลตามสัญชาติญาณของคนที่รักและห่วงใยลูกศิษย์จากหัวใจของครู

หากแม่ครูบัวชุมกลับไม่มีวันรู้ ยิ่งนานปวรินกลับเพิ่มพอกทวีความแค้นในหัวใจมากทุกขณะเช่นกัน...




พายุ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 ส.ค. 2555, 19:46:00 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 ส.ค. 2555, 19:46:00 น.

จำนวนการเข้าชม : 1367





<< ตอนที่ ๖   
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account