oOo รุ้งฤดูร้อน oOo
...เมื่อความรักเป็นบ่อเกิดทุกๆ สิ่ง สร้างความแค้น ชิงชัง และการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ความรัก...ก็ควรเป็นบทยุติของทุกเรื่องราว...
...อาจจะเจ็บปวด อาจบอบช้ำ แต่สุดท้ายความรักจะโอบกอดทุกดวงใจให้สนิทแนบแน่น...
...อาจจะเจ็บปวด อาจบอบช้ำ แต่สุดท้ายความรักจะโอบกอดทุกดวงใจให้สนิทแนบแน่น...
Tags: รุ้งฤดูร้อน,ปลากัด,รักร้ายๆ
ตอน: oOo บทที่ 9 oOo
ขอบคุณทุกคอมเม้นท์จากหัวใจ ^________^
คิมหันต์ - จะดีเหรอคะ ยกปรานต์ให้ซุยุ แค่ยกพรรษให้พี่เมษน่าจะพอมั้ง 555+
Pat - ช่วยลุ้นและให้กำลังใจปลื้มที่สุดค่ะ 555+
anOO - เข้าใจผิดแน่ๆ ค่ะ แต่จะเข้าใจผิดเรื่องอะไรนั้น... ขอบคุณนะคะ ^^
roseolar - คำตอบคือ ใช่ค่ะ (อิอิ ง่ายไปไหม)
พี่ปัณณ์ - ขอบคุณพี่สาวสุดสวย กัดก็ like พี่ปัณณ์เหมือนกันนะคะ 555+
*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*
บทที่ 9
เนื่องจากวันนี้คุณปภาวีมีธุระสำคัญชนิดต้องใช้หุ่นยนต์คนสนิทอย่างทินกรเป็นคนทำและตัวคุณปภาวีเองก็ต้องไปเลี้ยงต้อนรับเพื่อนที่มาจากประเทศอังกฤษ ปรานต์จึงคลับคล้ายมีอิสระแม้มารดาจะย้ำแกมขู่กับเขาตั้งแต่เช้าว่าห้ามนอกลู่นอกทางก็ตาม ชายหนุ่มดีใจเสียยิ่งกว่าประมูลงานใหญ่ๆ ได้เสียอีก ทายาทคนเดียวของพสุธาเทพรีบยกโทรศัพท์โทรหาคนที่หัวใจเรียกร้องว่าคิดถึงทันที
“พรรษ เย็นนี้พี่ไปรับไปทานข้าวนะจ๊ะ” ปรานต์เข้าเรื่องอย่างใจร้อน เพลงพรรษอึ้งกับสิ่งที่ได้ฟัง
“เอ่อ พี่ปรานต์สะดวกหรือคะ”
“สวรรค์ไม่ใจร้ายกับเราตลอดไปหรอกนะเด็กดีของพี่...วันนี้คุณแม่กับนายหุ่นยนต์มีงานทั้งคู่ พี่เห็นว่าเราไม่ได้คุยกันเลยช่วงนี้ ก็เลยอยากคุย...พรรษคิดถึงพี่บ้างหรือเปล่า” เมื่อถามออกไปแล้วชายหนุ่มก็ยิ้มกว้างรอคำตอบ เขาค่อนข้างเชื่อมั่นว่าคำตอบของเพลงพรรษต้องเป็นที่ชื่นใจ
คนถูกถามเงียบ...ทั้งนึกอายทั้งรู้สึกแปลกกว่าทุกทีที่แม้จะอายขนาดไหนก็ต้องตอบไปตรงๆ คราวนี้ความรู้สึกเธอไม่เหมือนเดิม! หญิงสาวตกใจกับบางอย่างที่ค้นพบ
“เงียบนานขนาดนี้ แสดงว่าพรรษไม่คิดถึงพี่เลยใช่ไหม หรือเพราะ...” ชายหนุ่มกำลังจะเอ่ยถึงผู้ชายคนที่รับโทรศัพท์เพลงพรรษในวันนั้นแต่โดนอีกฝ่ายขัดมาเสียก่อนจึงไม่ได้พูดออกไป
“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะพี่ปรานต์ อย่าน้อยใจสิคะ พรรษ...คิดถึงค่ะ” หัวใจฟุบแฟบของปรานต์กลับมาฟูฟ่องอีกครั้ง เขายิ้มจนแก้มแทบปริกับโทรศัพท์ ลืมเรื่องคาใจเสียสิ้น
“ชื่นใจจัง งั้นเย็นนี้พี่ไปรับนะ พี่มีเรื่องอยากคุยกับพรรษเยอะแยะเลยจ้ะ”
“เอ่อ...ไม่ต้องมารับก็ได้ค่ะ พี่ปรานต์จะให้พรรษไปเจอที่ไหนเดี๋ยวพรรษไปเองดีกว่านะคะ พี่ปรานต์จะได้ไม่ต้องลำบาก” เหตุของการไม่ยอมให้ชายหนุ่มมารับนั้น เพียงเพราะเธอไม่อยากให้เขาย่างกรายมาบริษัทคู่แข่งให้รู้สึกเจ็บใจ อีกทั้งไม่อยากให้ใครในบริษัทนี้รู้ว่าเธอเป็นส่วนหนึ่งของพสุธาเทพ
“พี่รู้สึกว่าพรรษกำลังตีตัวออกห่างพี่ การที่พี่ไปรับพรรษไม่ใช่เรื่องลำบากเลย ถ้าปล่อยให้พรรษมาเอง พรรษนั่นล่ะจะลำบาก” น้ำเสียงตัดพ้อน้อยใจ ทำใจหญิงสาวแกว่งไหว ร่างบางระบายลมหายใจแผ่วเบา
“อย่าคิดมากสิคะพี่ปรานต์” แล้วเธอก็ตัดสินใจบอกความจริงแก่เขา “พรรษแค่ไม่อยากให้พี่ปรานต์มาบริษัทของคนที่แย่งงานประมูลพี่ปรานต์ไปเท่านั้นเองค่ะ”
“พรรษรู้เรื่องนี้ได้ยังไง” ปรานต์ไม่เคยบอกเพราะเขาไม่อยากให้หญิงสาวไม่สบายใจ เมื่อมองเห็นเค้ารางบางอย่างในดวงตาคุณปภาวี
“คุณท่านบอกค่ะ”
“ทำไมคุณแม่ต้องบอกพรรษ!” น้ำเสียงอ่อนโยนแปรเปลี่ยนเป็นกรุ่นโกรธ “แล้วคุณแม่พูดอะไรกับพรรษอีก พี่เชื่อสุดหัวใจเลยว่าคุณแม่ต้องไม่แค่บอกพรรษธรรมดาแน่ใช่ไหม” หัวใจปรานต์แทบลุกเป็นไง ทำไมมารดาเขาถึงชอบทำอะไรไม่คิดถึงใจคนอื่นเสมอเลย
“พี่ปรานต์อย่าเพิ่งโกรธคุณท่านนะคะ คุณท่านรักและเป็นห่วงพี่ปรานต์ถึงบอกพรรษ...เอาอย่างนี้ดีกว่าค่ะ พี่ปรานต์บอกสถานที่มาก่อน เดี๋ยวเย็นนี้พรรษจะเล่าให้ฟัง แต่พี่ปรานต์ต้องสัญญานะคะ ว่าจะไม่โกรธคุณท่าน” อีกฝ่ายไม่ตอบ เขานั่งขบกรามแน่น จะสัญญาได้อย่างไร ในเมื่อตอนนี้กำลังโกรธ “สัญญาสิคะพี่ปรานต์...นะคะ พรรษขอร้อง”
“พี่จะพยายามจ้ะ...พรรษมารอพี่ที่...แล้วพี่จะไปรับไปร้านอาหารแล้วกันนะจ๊ะ” เขาบอกผ่านๆ แล้วบอกจุดนัดพบก่อนตัดสัญญาณโดยไม่ได้เอ่ยล่ำลาอะไรมากมายเหมือนทุกที
มือเรียวลดโทรศัพท์ในมือลงมอง ดูท่าว่าทุกอย่างจะยิ่งยากขึ้นไปทุกที...เถอะ ถึงยากเพียงไหน เธอก็ต้องทำ ปรานต์มีบุญคุณเกื้อหนุนและใจดีกับเธอมาก เขาต่อสู้กับคุณปภาวีเพื่อเธอมามากมายเหลือเกิน ถึงคราเธอต้องช่วยเหลือเขาบ้าง...
เสียงเคาะประตูดังขึ้นสามครั้งเป็นสัญญาณขออนุญาต ปรานต์หลับตาระงับอารมณ์อันยากควบคุมให้เป็นปกติมากที่สุด ก่อนเอ่ยอนุญาตให้คนที่มาไม่ถูกเวลาเปิดประตูเข้ามา
พอเห็นว่าคนที่แทรกกายเข้ามาเป็นใครความรู้สึกปรานต์แบ่งเป็นสองฝ่ายอย่างชัดเจน ฝ่ายหนึ่งยิ่งทวีความโกรธมากขึ้นจนแทบดึงคิ้วขมวดออกจากกันไม่ได้ อีกฝ่ายกลับรู้สึกโล่งแปลกๆ เพราะเมื่อไหร่ที่อยู่ใกล้เธอคนนี้เขามักอารมณ์ดีขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“หือ? เพิ่งรู้ว่าเมืองไทยมีภูเขาไฟด้วย และสงสัยว่าเป็นภูเขาไฟจวนระเบิดเต็มทีเสียด้วย”
ร่างบางในชุดเสื้อแขนตุ๊กตากับกระโปรงสั้นทรงบอลลูนขยับกายเดินมาทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตรงหน้าปรานต์โดยไม่รอให้เจ้าของห้องเชื้อเชิญ ดวงตากลมโตสีน้ำตาลจ้องมองเขาแล้วทำท่าสงสัยอย่างมองออกว่าเสแสร้ง
“ยิ้มหน่อยสิ ฉันกลัวว่าถ้าเกิดภูเขาไฟระเบิดตอนนี้ฉันจะแหลกเหลวไม่เหลือชิ้นดี” เธอแกล้งยกมือกอดตัวเองแสดงอาการหวาดผวา ‘ภูเขาไฟ’ ที่จวนระเบิดอยู่เมื่อครู่ส่ายหน้าเบาๆ ดวงตาฉายแววเอ็นดูอย่างลืมตัว ท่าทางหญิงสาวตรงหน้าทะเล้นหากมีความน่ารักในทุกกิริยา
“คุณมาได้ยังไง แล้วมาทำไมครับ” ฝืนทำเสียงห้วนก่อนทิ้งคำลงท้ายให้สุภาพ
“ขับรถมา และมาเพราะเบื้องบนของคุณ ‘ขอ’ ให้มาชวนคุณไปกินข้าวด้วยกัน” ใบหน้าขาวแสดงออกราวกับว่าเซ็งเสียเต็มประดา วิธีการพูดเรียบเรื่อยคล้ายถูกบังคับ ทั้งที่แววตาฉายแววซุกซนกับการได้แกล้งเขา ซุยุรู้ว่าเขาไม่ชอบกับการไปกินข้าวกับเธอตามคำสั่งคุณปภาวี
นึกแล้วเชียวว่าอย่างมารดาเขาหรือจะยอมเชื่อใจเขาง่ายๆ ส่งทินกรมาไม่ได้ก็ต้องส่งใครอีกคนมาแทน หึ นึกเหรอว่าคนอย่างเขาจะยอมให้สาวลูกครึ่งอายุน้อยกว่าหลายปีควบคุมเป็นแมวเชื่อง
“ต้องแสดงความเสียใจด้วยครับ วันนี้ผมนัด ‘คนรัก’ ไว้ จะพาเธอไปทานอาหารและคุยเรื่องส่วนตัวกันครับ” ชายหนุ่มแกล้งพูดเรียบเรื่อยเหมือนเรื่องดินฟ้าอากาศกลับบ้าง ทั้งที่นี่คือการปฏิเสธจนคาดว่าฝ่ายหญิงต้องโกรธถึงขั้นหน้าร้อนเลยทีเดียว
“โอเค๊...ไม่เป็นไร วันนี้ฉันให้คิวตัวจริงไปก่อนแล้วกัน วันหลังค่อยเป็นคิวตัวปลอมอย่างฉัน แต่ว่าตอนนี้เพิ่งบ่าย ฉันไม่มีงานแล้ว ขอนั่งเล่นที่นี่ก่อนแล้วกันนะคะ” เธอลอยหน้าลอยตาตอบ เล่นเอาปรานต์อึ้งกิมกี่ไปเลย เขาไม่นึกเลยว่าสาวลูกครึ่งคนนี้จะไม่รู้สึกอะไรกับคำพูดเมื่อสักครู่ ถ้าเธอไม่บ้าก็คงมองโลกบวกจนเกินไป
ขณะปรานต์กำลังทึ่งกับคนตรงหน้าเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง เขาสะบัดศีรษะไล่ความงุนงงทิ้งแล้วเอ่ยอนุญาต
“คุณปรานต์คะลูกค้าที่นัดไว้เดินทางมาถึงแล้วค่ะ จะให้เชิญมาที่นี่หรือห้องประชุมดีคะ” เลขาฯ ประจำตัวเขาเอ่ยถาม
“ที่นี่...อ้อ ที่ห้องประชุมแล้วกัน” ปรานต์เปลี่ยนใจเมื่อ ‘แขก’ อีกคนยังปักหลักยิ้มแป้นแล้น ไม่มีทีท่าว่าจะกลับ เลขาฯ พยักหน้าแล้วถอยออกไปทำหน้าที่ตัวเอง
ร่างใหญ่ลุกยืนจัดเสื้อสูทให้เป็นระเบียบ ก้าวขาออกจากเก้าอี้ประจำตัว เกือบเดินผ่านร่างบางไปแล้ว เขาหันมายิ้มพลางโน้มตัวลงมาใช้มือข้างหนึ่งค้ำบนพนักเก้าอี้อีกข้างค้ำบนที่วางแขน คนโดนคร่อมด้วยลำแขนแข็งแรงเงยสบตาอย่างไม่หวั่นเกรง ซ้ำยังยิ้มตอบเป็นเชิงถาม
“ผมแค่จะบอกคุณว่าสำหรับผม ไม่มีตัวจริงไม่มีตัวปลอม...มีแค่คนรักของผมคนเดียวเท่านั้นนะครับคุณซุยุ”
ตบท้ายคำพูดด้วยรอยยิ้ม สาวลูกครึ่งย่นจมูกใส่เขาอย่างหมั่นไส้ ปรานต์มองแล้วทำในสิ่งที่เขาไม่เคยคิดทำกับใครแต่เหมือนมือมันเผลอไผลไปเอง นั่นคือยกมือมาบีบจมูกเชิดรั้นเบาๆ อย่างมันเขี้ยว แล้วเดินออกจากห้องไป
ทิ้งความรู้สึกสั่นๆ ไว้ในหัวใจดวงน้อยของซุยุ ซึ่งเธอเองไม่เคยคิดเหมือนกันว่ามันจะเกิดขึ้นได้กับผู้ชายคนนี้ ดวงตากลมโตกระพริบรัวถี่ สะบัดศีรษะหลายครั้งไล่ความสับสนออกจากหัว
เมื่อในห้องมีเพียงเธอ หญิงสาวกลับไม่รู้จะทำอะไร ร่างบางลุกจากเก้าอี้เดินสำรวจรอบๆ ห้องที่เพิ่งเข้ามาเป็นครั้ง ก่อนสายตาจะไล่ผ่านไปยังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ของปรานต์อีกครั้ง ตรงนั้นมีบางสิ่งน่าสนใจ ขาเรียวก้าวช้าๆ ไปหยุดอยู่หลังโต๊ะ ก้มหน้าลงไปใกล้คอมพิวเตอร์ ขยับมือจากลำตัวยื่นไปข้างหน้า แล้วเธอก็...
“เฮือก!” หญิงสาวสะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจเมื่อประตูเปิดผลัวะเข้ามาพร้อมร่างใหญ่ที่เพิ่งออกไปเมื่อครู่
“คุณกำลังจะทำอะไร” น้ำเสียงเขาห้วนดุ ซุยุกลืนน้ำลายลงคอยากเย็น ดวงตายามมองเขาเดินเข้ามาใกล้หวาดหวั่นอย่างไม่เคยเป็น “ผมถามว่าคุณกำลังทำอะไร”
“ฉะ...ฉัน...ฉันแค่จะเอาโทรศัพท์ออกไปให้คุณเท่านั้นเอง นี่ไงคุณลืมไว้” มือเรียวคว้าเครื่องมือสื่อสารที่วางอยู่ใกล้คอมพิวเตอร์ขึ้นโชว์ให้เขาดู “และมันกำลังสั่นเพราะมีคนโทรเข้ามาด้วย อ่ะ ดูสิ” ปรานต์ยื่นมือมารับไปดูเบอร์แล้วยังไม่กดรับ เขาเงยหน้าขึ้นหรี่ตามองสาวลูกครึ่งอย่างคาดคั้น
“ไม่ใช่ว่าคุณ...คุณกำลังจะแอบดูรูปคนรักของผมเพราะนึกหึงผมขึ้นมาหรอกนะ” คำแต่ละคำของเขาทำเอาซุยุลุ้นระทึก นึกกลัวว่าเขาจะปรักปรำเธอในเรื่องไม่ดีกว่าเรื่องนี้ พอเขาว่าอย่างนั้นเธอแทบพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ ยิ่งเห็นดวงตาพราวระยับยิ่งเจ็บใจ
“เฮอะ! คนอย่างฉันไม่สนผู้ชายขี้ตู่หรอก บอกไว้เลย” กิริยาประกอบคำพูดคือการย่นจมูก แล้วเธอก็รีบยกมือขึ้นปิดด้วยกลัวเขาจะบีบเหมือนก่อนออกจากห้องไปอีก
ปรานต์หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ด้วยความถูกใจ เขาไม่พูดอะไร เดินออกจากห้องไปพร้อมโทรศัพท์ เพราะเหตุผลที่เดินกลับมาก็คือโทรศัพท์เครื่องนี้นี่ล่ะ
ซุยุมองตามร่างใหญ่จนลับสายตา...รอยยิ้มกับเสียงหัวเราะที่ไม่เห็นบ่อยนักของปรานต์กำลังแทรกซึมเข้าสู่หัวใจโดยเธอไม่ได้เรียกร้องต้องการสักนิด
‘สวนอาหาร’ คือร้านอาหารกลางสวน ร่มครึ้มด้วยไม้ยืนต้นและหอมหวนด้วยกลิ่นดอกไม้นานาพันธุ์ เพียงก้าวมาบริเวณหน้าร้านเพลงพรรษก็หยุดการก้าวเท้า ใบหน้าสวยแหงนมองต้นไม้ใหญ่ที่ไหวเอนตามแรงลมยามใกล้ค่ำ ไล่สายตาระเรื่อยลงมายังดอกไม้ที่โอบล้อมลูกค้าทุกคนเมื่อก้าวย่างมาถึงร้านอาหารแห่งนี้ ดวงตาคู่สวยสะดุดหยุดอยู่กับต้นดอกแก้วใกล้ประตูทางเข้าร้าน เธอจ้องมองมันนิ่ง ทำไมเธอถึงรู้สึกผูกพันกับดอกไม้ชนิดนี้เป็นพิเศษ
“พี่นึกแล้วว่าพรรษต้องชอบร้านนี้...ไม่ใช่บรรยากาศดีอย่างเดียวนะจ๊ะ อาหารอร่อยมากด้วย” เสียงโฆษณาร้านอาหารอย่างรู้ใจผ่านเข้าหูหญิงสาว ทว่าเหมือนไม่ทะลุโสตประสาทการรับรู้ จนมือแข็งแรงต้องยื่นมาแตะข้อศอกเธอ “พรรษชอบดอกแก้วต้นนั้นหรือ”
“ค่ะ...เห็นแล้วทำให้นึกถึง...” สิ่งที่นึกถึงมาจ่อรออยู่ตรงริมฝีปาก หากไม่อาจเอื้อนเอ่ยออกมา
“นึกถึงอะไรจ๊ะ อย่าบอกนะว่าเป็นหนุ่มๆ ที่ไหน” ปรานต์ไม่ได้จริงจังในคำพูดนั้น เขาเพียงกระเซ้าเล่น หากอีกฝ่ายกลับจ้องตาเขานิ่ง เงียบชั่วอึดใจจึงระบายยิ้มสวยตอบ
“ไม่ใช่หรอกค่ะ...พรรษเพียงนึกถึงสุนัขผู้น่าสงสารตัวหนึ่งเท่านั้นเอง พรรษเคยเลี้ยงไว้ที่มหา’ลัยใกล้ต้นดอกแก้วน่ะค่ะ” เมื่อนึกถึงสัตว์สี่ขาผู้น่าสงสารตัวนั้นความรู้สึกหม่นเศร้าก็แล่นมาจับหัวใจ
ปรานต์เอื้อมมืออุ่นมาจับมือบางไว้แผ่วเบา หญิงสาวผู้นี้มีเพียงความเสียสละ เห็นอกเห็นใจผู้อื่นอย่างอ่อนโยนเสมอ
“แล้วมันไปไหนเสียแล้วล่ะ พรรษอยากเอามาเลี้ยงที่บ้านไหม อ้อ...เดี๋ยวเข้าไปเล่าให้พี่ฟังข้างในดีกว่านะ จะได้ทานอาหารไปด้วย” เพลงพรรษพยักหน้า เขาจึงจูงมือเธอเดินเข้าไปในร้านอาหารแห่งนั้นด้วยกัน
บทสนทนาที่เริ่มต้นด้วยเรื่องสุนัขตัวนั้นทำให้ปรานต์เกิดความเห็นอกเห็นใจเพลงพรรษกอปรกับความรู้สึกผิดที่ไม่ได้ใส่ใจไต่ถามเธอจนต้องเสียเพื่อนรักต่างสายพันธุ์ไป เขาจึงสรรหาเรื่องดีๆ เรื่องอื่นมาคุย ลืมความวุ่นวายใจเกี่ยวกับเรื่องเมื่อตอนบ่ายที่คุยกันทางโทรศัพท์เสียสนิท และเพลงพรรษเองก็โล่งใจ จนไม่อยากเอ่ยถึง หญิงสาวไม่ต้องการให้ปรานต์เกิดอคติกับมารดา ที่ผ่านมาเขาทะเลาะกับคุณปภาวีเพื่อเธอมามากแล้ว เธอควรให้เขาสบายใจบ้าง สำคัญหากโดนสอบสวนปรานต์ย่อมต้องรู้ว่าเธอไม่ได้ทำงานแผนกบัญชีอย่างที่บอกไว้ตอนแรก
ตอนออกจากร้านอาหารเพลงพรรษคิดว่าปรานต์จะพาเธอกลับบ้านเลย ด้วยเวลาล่วงผ่านเกือบสามทุ่มแล้ว พอรถจอดสนิทและเธอก้าวลงมาจากรถหญิงสาวจึงประจักษ์แก่สายตาว่าเขาพาเธอมาเดินเล่น...ใต้สะพานพระรามแปด!
“อากาศที่นี่ดีนะจ๊ะพรรษ พี่รู้ว่าพรรษชอบทะเล แต่...พี่ไม่สามารถพาพรรษไปตอนนี้ได้ คิดว่าริมแม่น้ำอาจให้ความรู้สึกโปร่งโล่งเทียบเคียงกันได้ สักวันนะจ๊ะ สักวันพี่จะพาพรรษไปทุกที่ที่พรรษอยากไป”
ร่างสูงเอ่ยบอกเสียงนุ่มน่าฟัง เขาจับมือเธอไว้หลวมๆ ยามเมื่อเดินมายืนเคียง เพลงพรรษแหงนหน้ามองคนตัวสูงกว่า หยาดน้ำใสเอ่อรื้นรอบดวงตา เป็นความปลาบปลื้มตื้นตันระคนเศร้าหมอง
“ขอบคุณพี่ปรานต์มากนะคะที่ดีกับพรรษมาตลอด...ทั้งๆ ที่พรรษไม่มีค่าคู่ควรความดีของพี่ปรานต์เลย”
“ใครบอก...หัวใจของหญิงสาวแสนดีอย่างพรรษคู่ควรกับพี่ที่สุดจ้ะ อย่าพูดดูถูกตัวเองแบบนี้อีกนะ” เขายิ้มอ่อนโยนให้เธอ “ไปเถอะ ไปยืนริมน้ำกันดีกว่า เดี๋ยวมันจะดึกมากไป” บอกพลางรั้งมือบางให้ก้าวตาม
กระทั่งมายืนริมแม่น้ำแล้วมือใหญ่ก็ยังเกาะกุมมือเล็กไว้ไม่ยอมปล่อย ทั้งสองคนหันหน้าออกสู่แม่น้ำสายใหญ่ คืนนี้แสงจันทร์ทอนวลลงสะท้อนผิวน้ำเพราะเป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง ต่างจากคืนที่เธอมากับ...เพลงพรรษสกัดความคิดเรื่อยเปื่อยของตัวเองให้หยุดลงเพียงแค่นั้น
เธอไม่สมควรนึกถึง ‘คู่แข่ง’ ของปรานต์ ผู้ชายที่ดีกับเธอมากเหลือเกิน ความดีของปรานต์กระตุ้นให้หญิงสาวมีแรงผลักดันในการลงมือกระทำตามคำสั่งคุณปภาวีมากขึ้น หลังจากวันนี้เธอลังเล กระวนกระวายกับเรื่องนี้ทั้งวัน จนสุดท้ายยังตัดใจทำไม่ลงเสียที
“พรรษอยากเลี้ยงสุนัขไหม พี่จะหามาให้ อาจไม่ใช่ตัวนั้น แต่มันอาจช่วยคลายเหงาให้พรรษได้” จู่ๆ ปรานต์ก็หันมาถาม เพลงพรรษจ้องลึกลงไปในดวงตาเขา
...ทั้งชีวิตนี้เธอจะทดแทนความดีของปรานต์หมดไหมนะ ต่อให้แลกด้วยลมหายใจ อาจไม่เพียงพอด้วยซ้ำกับสิ่งที่เขาหยิบยื่นให้...
“ไม่ค่ะ...คุณท่านไม่ชอบให้เลี้ยงสัตว์ในบ้าน พรรษไม่อยากให้พี่ปรานต์ทะเลาะกับคุณท่าน อีกอย่างพรรษไม่เหงาเลยสักนิด มียาย มีดา เพื่อนร่วมงานพรรษน่ะค่ะ” หญิงสาวคลายความข้องใจที่ส่งผ่านมาทางสายตาคม ชายหนุ่มจึงยิ้มและพยักหน้ารับ
มือหนายกขึ้นลูบไรผมที่สะบัดปลิวตามแรงลมมาระใบหน้าสวยให้อย่างเบามือทั้งสองข้าง และไล่ลงมาประคองไหล่บางอย่างทะนุถนอม
“รู้ไหม ไม่ใช่พี่ฝ่ายเดียวที่ดีกับพรรษ...พรรษเองก็ดีกับพี่มาก แค่พรรษเอื้อเฟื้อความรัก ความห่วงใยให้พี่ นั่นคือสิ่งที่พี่ปรารถนาที่สุดแล้วคนดีของพี่” ดวงตายามสบมองล้นปรี่ด้วยความรักสุดห้วงดวงใจ ใบหน้าคมก้มเอียงลงหมายสูดกลิ่นหอมบนแก้มเนียน จวนถึงแก้มเพียงลมหายใจอุ่นรดรินกั้นกลาง ร่างบางขยับถอยหลังก้มหน้าหลบตาด้วยความละอายมากกว่าจะเป็นความอาย
แม้เหตุการณ์หน้าบ้านพสุธาเทพในวันนั้นจะมิได้เกิดจากความเต็มใจ ทว่าดวงใจหญิงสาวเต็มเปี่ยมด้วยความรู้สึกผิด เธอเป็นผู้หญิงไม่รักนวลสงวนตัว เผลอให้เมษรักษ์ขโมยหอมไปได้หน้าตาเฉย หากวันนี้ปรานต์จะประทับซ้ำเธอจะมิต่างจากหญิงสาวใจง่ายเกินไปหรอกหรือ
“กละ...กลับ...กลับบ้านเถอะค่ะพี่ปรานต์เดี๋ยวคุณท่านกลับมา จะไม่พอใจเอาได้” แวบเดียวที่สายตาเธอแลสบดวงตางุนงงของชายหนุ่ม ก่อนเบี่ยงตัวเดินหลุดไปจากมือเขา
มือที่ค้างกลางอากาศสร้างอุปาทานหรือไร ชายหนุ่มรู้สึกราวกับดวงใจที่เคยแนบวางบนมือเขาบัดนี้หลุดลอยไปอยู่ ณ ที่แสนไกลเกินเอื้อมคว้ามาครอบครอง
…ไม่หรอก ระหว่างเขากับเพลงพรรษจะไม่มีเหตุการณ์อย่างนั้นเกิดขึ้นเด็ดขาด...
อาการหวาดหวั่นว่าจะเจอคุณปภาวีมายืนดักรอเหมือนเมื่อคราวก่อนเป็นอันโล่ง เมื่อปรานต์จอดรถบริเวณหน้าตึกใหญ่แต่ทุกอย่างเงียบสงบ สองหนุ่มสาวมองหน้ากันด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุข
“วันนี้พี่มีความสุขมากจ้ะ พรรษล่ะ” ปรานต์ถามอ่อนโยนดวงตาฉายแววรักใคร่ เพลงพรรษสบตาเอียงอายแล้วพยักหน้ารับเบาๆ
“พรรษขอตัวก่อนนะคะ เดี๋ยวดึกมากไปแล้วยายจะเป็นห่วงค่ะ” เป็นฝ่ายชายหนุ่มพยักหน้ากลับบ้าง เขาก้าวเท้ามาหมายจะจับมือแต่อีกฝ่ายถอยหลังแล้วเดินกลับไปยังเรือนหลังเล็กของตัวเอง
อาการนั้นไม่ได้บ่งว่ารังเกียจ เป็นเพียงการระมัดระวังตัวยามเมื่ออยู่ในอาณาบริเวณของพสุธาเทพ ปรานต์จึงไม่ได้ขุ่นข้องหมองใจ เขาอมยิ้มกับความสุขท่วมท้นหัวใจ แหงนหน้ามองดาวพราวระยับฟ้า คืนนี้ช่างเงียบสงบ แว่วได้ยินเพียงเสียงเพลงรักอ่อนหวานกังวานในโสตประสาท
ร่างบางเดินก้มหน้ากอดกระเป๋ามาจนถึงหน้าเรือนหลังเล็ก ความใกล้ชิดสนิทสนม ความหวานอันเลอล้ำระหว่างเธอกับคนที่รัก ทำให้หญิงสาวเอาแต่อมยิ้มกับตัวเอง ทุกย่างก้าวเหมือนเหยียบลงบนพรมกุหลาบ สุขจนลืมสะกิดใจว่าทำไมนางเอื้องถึงไม่ล็อกประตูบ้านให้ต้องเรียกเหมือนทุกคราเวลาเธอกลับผิดเวลา
และคำตอบก็อยู่ตรงหน้าบนเก้าอี้โยกห้องกลางบ้าน พอเงยสบตาวาวโรจน์ของนางพญาแห่งพสุธาเทพ เพลงพรรษสะดุ้งสุดตัวกระเป๋าหลุดจากอ้อมแขนร่วงสู่พื้นกองอยู่แทบเท้า
เพียงเสี้ยววินาทีแห่งความตกใจ ไร้คำพูด ไร้การยับยั้ง ไร้การรอให้ตั้งสติใดๆ คนในชุดนอนสีแดงเพลิงลุกพรวดมาหยุดหน้าร่างบางวาดมือหนักๆ ลงบนแก้มเนียนจนสะบัดหัน
“ว้าย!...” นางเอื้องซึ่งนั่งกับพื้นห่างออกไปไม่ไกลนักหลุดปากร้องออกมาแล้วต้องรีบตะครุบปากตัวเองเมื่อสายตาดุดันหันมาจ้อง หยาดน้ำตาหลั่งรินอาบแก้มเหี่ยวย่นอย่างสุดกลั้น
“นี่คือค่าตอบแทนที่เธอระริกระรี้นักที่จะพลีกายถวายชีวิตให้ตาปรานต์” ริมฝีปากสีซีดเมื่อเปรียบกับยามระบายด้วยลิปสติกสั่นระริกด้วยความโกรธ ดวงตาคุณปภาวีราวกับกองเพลิงขนาดใหญ่ “ความจริงถ้าเธออยากรวยทางลัด ‘ไอ้หมอนั่น’ มันก็รวยไม่แพ้พสุธาเทพนี่ ถ้าเธอขโมยข้อมูลมันมาได้แล้วจะไปอยู่ไปกินกับมันฉันไม่ว่าหรอกนะ เพราะสำหรับฉัน เธอไม่ใช่พสุธาเทพ เป็นแค่คนใช้ที่ฉันชุบเลี้ยงและต้องตอบแทนบุญคุณเท่านั้น จำใส่สมองโง่ๆ ของเธอไว้เลยว่า ฉันเกลียด...เกลียดคนที่ขัดคำสั่งฉันที่สุด!”
นิ้วชี้เรียวยาวจิ้มลงกลางหน้าผากมนแล้วผลักไปด้านหลังแรงๆ จนใบหน้าสะบัดหงาย เพลงพรรษตัวสั่นงันงกทั้งกลัวทั้งตกใจ หวาดผวา สะอื้นฮักๆ ด้วยกลั้นอาการร้องไห้ไว้ไม่ไหว
“ดิฉัน...ดิฉันขอโทษค่ะ...ดิฉันไม่เคย...”
“เธอไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น เพราะฉันไม่มีวันเชื่อ จากนี้ไปตาปรานต์จะหมดอิสรภาพ หึ! โทษใครไม่ได้นะ เธอสองคนบังคับฉันเอง ให้เห็นกันบ้างไม่ชอบ ดี! ต่อไปนี้เห็นได้ แต่เห็นในแบบที่เขาเป็นของคนอื่นแล้วกัน!”
เท่านั้นประมุขของพสุธาเทพก็เดินลงจากเรือนไปเหลืองทิ้งไว้แต่ร่างไร้เรี่ยวแรงทรุดลงนั่งกับพื้น นางเอื้องถลาเข้ามากอดหลานสาวไว้แนบอก ลูบหลังลูบไหล่ปลอบขวัญทั้งที่ตัวเองก็ร่ำไห้กับชะตากรรมของหลานสาวเช่นกัน
“พรรษเอ้ย เกิดมามีกรรมก็ยอมรับมันไปเถอะลูก ยิ่งฝืนเราจะยิ่งเจ็บปวดทั้งกายและใจ ถึงยังไงคุณท่านก็มีบุญคุณกับเรามากนะลูก” คำปลอบดีๆ คำใดคงไม่เหมาะสมเท่าคำปลอบจากความเป็นจริงอีกแล้ว ดื้อรั้นไปรังแต่จะทำให้ปวดร้าวกันทั้งสองฝ่าย อนาคตข้างหน้าอย่างไรเสีย เส้นทางของหนุ่มสาวไม่มีวันบรรจบกันได้แน่แท้
“จ้ะยาย...ฮึก! พรรษจะตัดใจจากคุณปรานต์” แขนเรียวกอดร่างคนเป็นยายแน่น ดวงตาบอบช้ำ ฉ่ำชื้นด้วยหยดน้ำตาหยดแล้วหยดเล่า จะวันนี้หรือวันหน้าหัวใจของเธอก็ต้องแหลกเหลวอยู่ดี สู้ยอมเสียตั้งแต่วันนี้ บางทีปรานต์เองอาจไม่เจ็บปวดเกินไปนัก
หลังอาบน้ำแต่งตัวเสร็จไม่ถึงห้านาทีเสียงเคาะประตูห้องนอนของปรานต์ก็ดังขึ้น คิ้วหนาขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย ร้อยวันพันปีเวลาช่วงดึกอย่างนี้ไม่เคยมีใครมาเคาะ นอกจากมีเหตุฉุกเฉินจริงๆ ร่างใหญ่เดินไปเอื้อมเปิดประตูแล้วคิ้วก็ต้องขมวดเพิ่มเข้าไปอีกเมื่อพบว่าร่างสัดทันของทินกรยืนจังก้าอยู่หน้าประตู
“คุณมีอะไร” ถึงน้ำเสียงไม่ห้วนแต่คำพูดก็ห้วนกว่าการพูดปกติของปรานต์ เขาไม่เคยถูกชะตากับหมอนี่ ไม่เคยอย่างเป็นมิตร เพราะเมื่อไหร่ที่ทินกรก้าวล้ำมาในชีวิตเขา มักนำพาความวุ่นวายมาด้วยเสมอ
“ผมไม่มี แต่คุณท่านมี เชิญคุณที่ห้องคุณท่าน...ตอนนี้เลยครับ” วิธีการบอกเหมือนให้เกียรติ เหมือนสุภาพ ทว่าหากบอกแล้วไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ปรานต์นิยามมันว่านั่นคือการ...บังคับ!
“คุณแม่มีธุระอะไรดึกดื่นขนาดนี้ รอเป็นพรุ่งนี้ไม่ได้เชียวหรือ” เขาถามคล้ายประชด แต่คนฟังยืนนิ่งไม่รู้สึกสะทกสะท้านใดๆ เขาถูกฝึกมาให้เฉยชากับทุกสถานการณ์ บางครั้งปรานต์เคยสงสัยว่าหมอนี่มีหัวใจ มีความรักบ้างไหม เคยเจ็บปวดกับการสูญเสีย หรือลุ่มหลงในตัวสตรีคนไหนบ้าง ทำไมถึงทำตัวได้แข็งเป็นหุ่นเชิดของมารดาอย่างนี้
“ผมไม่ทราบครับ อันนั้นไม่ใช่หน้าที่ของผม หน้าที่ของผมคือมาเชิญคุณไปหาคุณท่านเท่านั้น...เชิญครับ” ว่าแล้วร่างบึกบึนนั้นก็เบี่ยงตัวหลบไปด้านข้าง สายตายังปักหลักกับดวงตาขุ่นเขียวของปรานต์
ถึงอยากปิดประตูใส่หน้าทินกรแล้วกระโดดขึ้นไปนอนบนเตียงให้สบายใจ เพื่อขัดใจมารดาเสียบ้างแค่ไหน แต่ปรานต์ก็มิอาจทำอย่างนั้นได้ คนอย่างคุณปภาวี เคยหรืออยากได้อะไรแล้วไม่ได้ ทางเลือกสำหรับปรานต์ตอนนี้มีสองทาง ถ้าไม่เดินไปเอง ทินกรก็จะลากไปถึงที่นั่นล่ะ
ความรู้สึกรังเกียจเสียเต็มประดาถ้าหุ่นยนต์ตัวนั้นต้องมาถูกเนื้อต้องตัวทำให้ปรานต์ทำเพียงเสียงฮึดฮัดในลำคอแล้วเดินลงเท้าหนักๆ ไปยังห้องของมารดา
ไม่ต้องเคาะประตูให้เสียเวลาเมื่อมันเปิดอ้ารอพร้อมให้ก้าวผ่านไปด้านใน ปรานต์กวาดตามองห้องนอนกว้างแสนกว้างของมารดา นานเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่ได้มาห้องนี้ ไม่สิ ต้องถามว่าเขาเคยมาห้องนี้กี่ครั้ง คงนับครั้งได้ และครั้งสุดท้ายเคยเข้ามาเมื่อไหร่
เมื่อตอนเขาอายุ 10 ขวบ อา...นานขนาดนั้นเลยเชียวหรือ ความทรงจำเกี่ยวกับห้องนอนของมารดาแทบไม่มีเลย คุณปภาวีไม่เคยพาเขามานอนกอดให้ไออุ่นรักในห้องนี้ ในค่ำคืนอันเงียบเหงาและน่าหวาดกลัวสำหรับเด็กชายตัวน้อย จำต้องนอนในห้องตัวเองโดยไม่มีพี่เลี้ยง หากวันไหนทนไม่ไหวจริงๆ กลางดึกเขาจะย่องไปหามีนรักษ์ สาวใช้ผู้อ่อนโยนรักใคร่ในตัวเขา โอบกอดปลอบประโลมในค่ำคืนแห่งความหวาดกลัวครอบงำจิตใจ
...บางทีมีนรักษ์อาจเป็นต้นกำเนิดสายใยระหว่างเขากับเพลงพรรษก็เป็นได้ เพราะหญิงสาวผู้นั้นรักเพลงพรรษประหนึ่งลูกสาวของตัวเอง...น่าเสียดายเหลือเกินที่เธอด่วนจากโลกนี้ไป
“จะยืนค้ำหัวฉันอีกนานไหม ห้องฉันน่ะมันไม่น่าสนใจเท่าห้องสาวๆ กระมัง” เก้าอี้ตัวใหญ่ขนาดเท่ากับเก้าอี้ประมุขด้านล่างห้องรับแขกวางอยู่มุมในสุดของห้องซึ่งแบ่งเป็นพื้นสำหรับการนั่งพักผ่อนดูทีวี และตรงนั้นคุณปภาวีนั่งในท่าสง่างามมองมาทางเขาด้วยสายตาว่างเปล่า
ร่างใหญ่เดินไปทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามโดยไม่ต้องรอคำเชิญ ทินกรไม่ได้เข้ามา เขายืนเป็นหุ่นไร้วิญญาณอยู่หน้าประตูเท่านั้น
“คุณแม่มีธุระอะไรสำคัญหรือครับถึงเรียกผมมากลางดึก”
“การที่แม่จะพบลูกเนี่ย ต้องมี ‘ธุระ’ และต้อง ‘สำคัญ’ งั้นสิ?” น้ำเสียงบ่งบอกถึงความประชดประชันทว่าไร้แววตัดพ้อน้อยใจ
อยากตอบออกไปเหลือเกินว่า ถ้าเป็นแม่ลูกคู่อื่นการพบกันระหว่างแม่ลูกอาจปกติ แต่สำหรับเขากับคุณปภาวีไม่มีทางเจอกันเพื่อแสดงความรัก ความอบอุ่นอะไรเทือกนั้นแน่ ปรานต์มั่นใจ
“ก็สำหรับคุณแม่ไม่เคยมีอะไรไร้สาระ”
คุณปภาวีทำเสียง หึ! ในลำคอ ริมฝีปากแย้มยิ้มอย่างมีเลศนัยบางอย่าง โดยปรานต์ไม่นึกอยากใส่ใจ
“คบกับซุยุเป็นไงบ้าง”
“ก็ดีครับ” ตอบสั้นห้วน คล้ายให้จบๆ ไป
“ดูท่าซุยุเขาจะปลื้มแกไม่น้อยนะ วันนี้ฉันโทรหาเขาตอนหัวค่ำ เขาบอกว่าแกดูแลเทคแคร์เขาเป็นอย่างดี” ปฏิกิริยาเงยขวับขึ้นมองหลังจบคำของคนเป็นแม่ทำให้คุณปภาวียิ้มน้อยๆ นัยน์ตาฉายแววบางอย่างพาดผ่าน อาจเป็นแววยินดีสำหรับท่าน แต่ดูท่าจะเป็นแววน่าสะพรึงกลัวสำหรับปรานต์ “เมื่อทุกอย่างราบรื่นขนาดนี้ เขาถูกใจ แกไม่ขัด อะไรๆ มันก็น่าจะง่ายดีนะ หรือแกว่าไง”
คุณปภาวีหยั่งเชิง เคยห้ามปรานต์เรื่องเพลงพรรษมาหลายครั้ง เมื่อเขาดื้อดึงไม่ยอมทำตาม ก็ต้องลองดูกันสักตั้ง ว่าระหว่างคนอาบน้ำร้อนมาก่อนกับ ‘คนอ่อนหัด’ อย่างเขาใครจะเหนือชั้นกว่ากัน
“ผมยังไม่พร้อม”
“มีอะไรที่แกไม่พร้อม” ท่าทางสบายๆ ไม่วีนไม่โวยวายเหมือนทุกทีของมารดาทำให้ปรานต์มีลางสังหรณ์แปลกๆ
ชายหนุ่มขบกรามแน่น คุณปภาวีตั้งใจต้อนเขาให้จนมุม คิดเหรอว่าเขาจะยอมง่ายๆ เรื่องซุยุ
“หัวใจ!” คำตอบสั้น หนักแน่นชัดเจน คาดว่าคนเป็นแม่คงพออึ้งได้บ้าง เขาอยากรู้เหมือนกันว่าท่านจะทำอย่างไรให้ใจเขาพร้อม
ประมุขแห่งพสุธาเทพหัวเราะออกมาราวกับมีเรื่องถูกใจนักหนา ปรานต์คิ้วยุ่งอย่างไม่เข้าใจ
“แค่นี้เองเหรอที่แกไม่พร้อม ฉันก็นึกว่าจะมีอะไรมากมาย” คนฟังเบิกตาโต ถ้าหัวใจของคนเป็นลูกไม่ใช่เรื่องใหญ่แล้วอะไรเล่าที่ยิ่งใหญ่สำหรับคนเป็นแม่ “ถ้าตอนนี้ใจแกไม่พร้อมไม่เป็นไร อยู่กันไปเดี๋ยวก็พร้อม หรือ...ถ้าหัวใจแกไม่มีวันพร้อมสำหรับซุยุ หลังแต่งงานแกก็หาผู้หญิงใหม่มาบำเรอสักคนสองคน ก็ทำได้...ไม่เห็นแปลก เพราะสิ่งที่ฉันต้องการคือ...ครอบครัวของซุยุจะเกื้อหนุนให้พสุธาเทพเติบโตกว่านี้ได้เท่านั้นเอง”
เมื่อครั้งมนุษย์เล่าขานถึงมนุษย์ต่างดาวปรานต์เคยคิดว่าช่างเป็นเรื่องประหลาดจนน่าเหลือเชื่อ วันนี้ความคิดที่หลุดจากปากมารดาทำให้เขาแปลกใจกว่าเป็นแสนเท่าล้านเท่า...ไม่เคยเลย คุณปภาวีไม่เคยแคร์อะไรจริงๆ
โปรดติดตามตอนต่อไป
น้อมรับทุกคำติ-ชมค่ะ ^^
คิมหันต์ - จะดีเหรอคะ ยกปรานต์ให้ซุยุ แค่ยกพรรษให้พี่เมษน่าจะพอมั้ง 555+
Pat - ช่วยลุ้นและให้กำลังใจปลื้มที่สุดค่ะ 555+
anOO - เข้าใจผิดแน่ๆ ค่ะ แต่จะเข้าใจผิดเรื่องอะไรนั้น... ขอบคุณนะคะ ^^
roseolar - คำตอบคือ ใช่ค่ะ (อิอิ ง่ายไปไหม)
พี่ปัณณ์ - ขอบคุณพี่สาวสุดสวย กัดก็ like พี่ปัณณ์เหมือนกันนะคะ 555+
*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*
บทที่ 9
เนื่องจากวันนี้คุณปภาวีมีธุระสำคัญชนิดต้องใช้หุ่นยนต์คนสนิทอย่างทินกรเป็นคนทำและตัวคุณปภาวีเองก็ต้องไปเลี้ยงต้อนรับเพื่อนที่มาจากประเทศอังกฤษ ปรานต์จึงคลับคล้ายมีอิสระแม้มารดาจะย้ำแกมขู่กับเขาตั้งแต่เช้าว่าห้ามนอกลู่นอกทางก็ตาม ชายหนุ่มดีใจเสียยิ่งกว่าประมูลงานใหญ่ๆ ได้เสียอีก ทายาทคนเดียวของพสุธาเทพรีบยกโทรศัพท์โทรหาคนที่หัวใจเรียกร้องว่าคิดถึงทันที
“พรรษ เย็นนี้พี่ไปรับไปทานข้าวนะจ๊ะ” ปรานต์เข้าเรื่องอย่างใจร้อน เพลงพรรษอึ้งกับสิ่งที่ได้ฟัง
“เอ่อ พี่ปรานต์สะดวกหรือคะ”
“สวรรค์ไม่ใจร้ายกับเราตลอดไปหรอกนะเด็กดีของพี่...วันนี้คุณแม่กับนายหุ่นยนต์มีงานทั้งคู่ พี่เห็นว่าเราไม่ได้คุยกันเลยช่วงนี้ ก็เลยอยากคุย...พรรษคิดถึงพี่บ้างหรือเปล่า” เมื่อถามออกไปแล้วชายหนุ่มก็ยิ้มกว้างรอคำตอบ เขาค่อนข้างเชื่อมั่นว่าคำตอบของเพลงพรรษต้องเป็นที่ชื่นใจ
คนถูกถามเงียบ...ทั้งนึกอายทั้งรู้สึกแปลกกว่าทุกทีที่แม้จะอายขนาดไหนก็ต้องตอบไปตรงๆ คราวนี้ความรู้สึกเธอไม่เหมือนเดิม! หญิงสาวตกใจกับบางอย่างที่ค้นพบ
“เงียบนานขนาดนี้ แสดงว่าพรรษไม่คิดถึงพี่เลยใช่ไหม หรือเพราะ...” ชายหนุ่มกำลังจะเอ่ยถึงผู้ชายคนที่รับโทรศัพท์เพลงพรรษในวันนั้นแต่โดนอีกฝ่ายขัดมาเสียก่อนจึงไม่ได้พูดออกไป
“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะพี่ปรานต์ อย่าน้อยใจสิคะ พรรษ...คิดถึงค่ะ” หัวใจฟุบแฟบของปรานต์กลับมาฟูฟ่องอีกครั้ง เขายิ้มจนแก้มแทบปริกับโทรศัพท์ ลืมเรื่องคาใจเสียสิ้น
“ชื่นใจจัง งั้นเย็นนี้พี่ไปรับนะ พี่มีเรื่องอยากคุยกับพรรษเยอะแยะเลยจ้ะ”
“เอ่อ...ไม่ต้องมารับก็ได้ค่ะ พี่ปรานต์จะให้พรรษไปเจอที่ไหนเดี๋ยวพรรษไปเองดีกว่านะคะ พี่ปรานต์จะได้ไม่ต้องลำบาก” เหตุของการไม่ยอมให้ชายหนุ่มมารับนั้น เพียงเพราะเธอไม่อยากให้เขาย่างกรายมาบริษัทคู่แข่งให้รู้สึกเจ็บใจ อีกทั้งไม่อยากให้ใครในบริษัทนี้รู้ว่าเธอเป็นส่วนหนึ่งของพสุธาเทพ
“พี่รู้สึกว่าพรรษกำลังตีตัวออกห่างพี่ การที่พี่ไปรับพรรษไม่ใช่เรื่องลำบากเลย ถ้าปล่อยให้พรรษมาเอง พรรษนั่นล่ะจะลำบาก” น้ำเสียงตัดพ้อน้อยใจ ทำใจหญิงสาวแกว่งไหว ร่างบางระบายลมหายใจแผ่วเบา
“อย่าคิดมากสิคะพี่ปรานต์” แล้วเธอก็ตัดสินใจบอกความจริงแก่เขา “พรรษแค่ไม่อยากให้พี่ปรานต์มาบริษัทของคนที่แย่งงานประมูลพี่ปรานต์ไปเท่านั้นเองค่ะ”
“พรรษรู้เรื่องนี้ได้ยังไง” ปรานต์ไม่เคยบอกเพราะเขาไม่อยากให้หญิงสาวไม่สบายใจ เมื่อมองเห็นเค้ารางบางอย่างในดวงตาคุณปภาวี
“คุณท่านบอกค่ะ”
“ทำไมคุณแม่ต้องบอกพรรษ!” น้ำเสียงอ่อนโยนแปรเปลี่ยนเป็นกรุ่นโกรธ “แล้วคุณแม่พูดอะไรกับพรรษอีก พี่เชื่อสุดหัวใจเลยว่าคุณแม่ต้องไม่แค่บอกพรรษธรรมดาแน่ใช่ไหม” หัวใจปรานต์แทบลุกเป็นไง ทำไมมารดาเขาถึงชอบทำอะไรไม่คิดถึงใจคนอื่นเสมอเลย
“พี่ปรานต์อย่าเพิ่งโกรธคุณท่านนะคะ คุณท่านรักและเป็นห่วงพี่ปรานต์ถึงบอกพรรษ...เอาอย่างนี้ดีกว่าค่ะ พี่ปรานต์บอกสถานที่มาก่อน เดี๋ยวเย็นนี้พรรษจะเล่าให้ฟัง แต่พี่ปรานต์ต้องสัญญานะคะ ว่าจะไม่โกรธคุณท่าน” อีกฝ่ายไม่ตอบ เขานั่งขบกรามแน่น จะสัญญาได้อย่างไร ในเมื่อตอนนี้กำลังโกรธ “สัญญาสิคะพี่ปรานต์...นะคะ พรรษขอร้อง”
“พี่จะพยายามจ้ะ...พรรษมารอพี่ที่...แล้วพี่จะไปรับไปร้านอาหารแล้วกันนะจ๊ะ” เขาบอกผ่านๆ แล้วบอกจุดนัดพบก่อนตัดสัญญาณโดยไม่ได้เอ่ยล่ำลาอะไรมากมายเหมือนทุกที
มือเรียวลดโทรศัพท์ในมือลงมอง ดูท่าว่าทุกอย่างจะยิ่งยากขึ้นไปทุกที...เถอะ ถึงยากเพียงไหน เธอก็ต้องทำ ปรานต์มีบุญคุณเกื้อหนุนและใจดีกับเธอมาก เขาต่อสู้กับคุณปภาวีเพื่อเธอมามากมายเหลือเกิน ถึงคราเธอต้องช่วยเหลือเขาบ้าง...
เสียงเคาะประตูดังขึ้นสามครั้งเป็นสัญญาณขออนุญาต ปรานต์หลับตาระงับอารมณ์อันยากควบคุมให้เป็นปกติมากที่สุด ก่อนเอ่ยอนุญาตให้คนที่มาไม่ถูกเวลาเปิดประตูเข้ามา
พอเห็นว่าคนที่แทรกกายเข้ามาเป็นใครความรู้สึกปรานต์แบ่งเป็นสองฝ่ายอย่างชัดเจน ฝ่ายหนึ่งยิ่งทวีความโกรธมากขึ้นจนแทบดึงคิ้วขมวดออกจากกันไม่ได้ อีกฝ่ายกลับรู้สึกโล่งแปลกๆ เพราะเมื่อไหร่ที่อยู่ใกล้เธอคนนี้เขามักอารมณ์ดีขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“หือ? เพิ่งรู้ว่าเมืองไทยมีภูเขาไฟด้วย และสงสัยว่าเป็นภูเขาไฟจวนระเบิดเต็มทีเสียด้วย”
ร่างบางในชุดเสื้อแขนตุ๊กตากับกระโปรงสั้นทรงบอลลูนขยับกายเดินมาทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตรงหน้าปรานต์โดยไม่รอให้เจ้าของห้องเชื้อเชิญ ดวงตากลมโตสีน้ำตาลจ้องมองเขาแล้วทำท่าสงสัยอย่างมองออกว่าเสแสร้ง
“ยิ้มหน่อยสิ ฉันกลัวว่าถ้าเกิดภูเขาไฟระเบิดตอนนี้ฉันจะแหลกเหลวไม่เหลือชิ้นดี” เธอแกล้งยกมือกอดตัวเองแสดงอาการหวาดผวา ‘ภูเขาไฟ’ ที่จวนระเบิดอยู่เมื่อครู่ส่ายหน้าเบาๆ ดวงตาฉายแววเอ็นดูอย่างลืมตัว ท่าทางหญิงสาวตรงหน้าทะเล้นหากมีความน่ารักในทุกกิริยา
“คุณมาได้ยังไง แล้วมาทำไมครับ” ฝืนทำเสียงห้วนก่อนทิ้งคำลงท้ายให้สุภาพ
“ขับรถมา และมาเพราะเบื้องบนของคุณ ‘ขอ’ ให้มาชวนคุณไปกินข้าวด้วยกัน” ใบหน้าขาวแสดงออกราวกับว่าเซ็งเสียเต็มประดา วิธีการพูดเรียบเรื่อยคล้ายถูกบังคับ ทั้งที่แววตาฉายแววซุกซนกับการได้แกล้งเขา ซุยุรู้ว่าเขาไม่ชอบกับการไปกินข้าวกับเธอตามคำสั่งคุณปภาวี
นึกแล้วเชียวว่าอย่างมารดาเขาหรือจะยอมเชื่อใจเขาง่ายๆ ส่งทินกรมาไม่ได้ก็ต้องส่งใครอีกคนมาแทน หึ นึกเหรอว่าคนอย่างเขาจะยอมให้สาวลูกครึ่งอายุน้อยกว่าหลายปีควบคุมเป็นแมวเชื่อง
“ต้องแสดงความเสียใจด้วยครับ วันนี้ผมนัด ‘คนรัก’ ไว้ จะพาเธอไปทานอาหารและคุยเรื่องส่วนตัวกันครับ” ชายหนุ่มแกล้งพูดเรียบเรื่อยเหมือนเรื่องดินฟ้าอากาศกลับบ้าง ทั้งที่นี่คือการปฏิเสธจนคาดว่าฝ่ายหญิงต้องโกรธถึงขั้นหน้าร้อนเลยทีเดียว
“โอเค๊...ไม่เป็นไร วันนี้ฉันให้คิวตัวจริงไปก่อนแล้วกัน วันหลังค่อยเป็นคิวตัวปลอมอย่างฉัน แต่ว่าตอนนี้เพิ่งบ่าย ฉันไม่มีงานแล้ว ขอนั่งเล่นที่นี่ก่อนแล้วกันนะคะ” เธอลอยหน้าลอยตาตอบ เล่นเอาปรานต์อึ้งกิมกี่ไปเลย เขาไม่นึกเลยว่าสาวลูกครึ่งคนนี้จะไม่รู้สึกอะไรกับคำพูดเมื่อสักครู่ ถ้าเธอไม่บ้าก็คงมองโลกบวกจนเกินไป
ขณะปรานต์กำลังทึ่งกับคนตรงหน้าเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง เขาสะบัดศีรษะไล่ความงุนงงทิ้งแล้วเอ่ยอนุญาต
“คุณปรานต์คะลูกค้าที่นัดไว้เดินทางมาถึงแล้วค่ะ จะให้เชิญมาที่นี่หรือห้องประชุมดีคะ” เลขาฯ ประจำตัวเขาเอ่ยถาม
“ที่นี่...อ้อ ที่ห้องประชุมแล้วกัน” ปรานต์เปลี่ยนใจเมื่อ ‘แขก’ อีกคนยังปักหลักยิ้มแป้นแล้น ไม่มีทีท่าว่าจะกลับ เลขาฯ พยักหน้าแล้วถอยออกไปทำหน้าที่ตัวเอง
ร่างใหญ่ลุกยืนจัดเสื้อสูทให้เป็นระเบียบ ก้าวขาออกจากเก้าอี้ประจำตัว เกือบเดินผ่านร่างบางไปแล้ว เขาหันมายิ้มพลางโน้มตัวลงมาใช้มือข้างหนึ่งค้ำบนพนักเก้าอี้อีกข้างค้ำบนที่วางแขน คนโดนคร่อมด้วยลำแขนแข็งแรงเงยสบตาอย่างไม่หวั่นเกรง ซ้ำยังยิ้มตอบเป็นเชิงถาม
“ผมแค่จะบอกคุณว่าสำหรับผม ไม่มีตัวจริงไม่มีตัวปลอม...มีแค่คนรักของผมคนเดียวเท่านั้นนะครับคุณซุยุ”
ตบท้ายคำพูดด้วยรอยยิ้ม สาวลูกครึ่งย่นจมูกใส่เขาอย่างหมั่นไส้ ปรานต์มองแล้วทำในสิ่งที่เขาไม่เคยคิดทำกับใครแต่เหมือนมือมันเผลอไผลไปเอง นั่นคือยกมือมาบีบจมูกเชิดรั้นเบาๆ อย่างมันเขี้ยว แล้วเดินออกจากห้องไป
ทิ้งความรู้สึกสั่นๆ ไว้ในหัวใจดวงน้อยของซุยุ ซึ่งเธอเองไม่เคยคิดเหมือนกันว่ามันจะเกิดขึ้นได้กับผู้ชายคนนี้ ดวงตากลมโตกระพริบรัวถี่ สะบัดศีรษะหลายครั้งไล่ความสับสนออกจากหัว
เมื่อในห้องมีเพียงเธอ หญิงสาวกลับไม่รู้จะทำอะไร ร่างบางลุกจากเก้าอี้เดินสำรวจรอบๆ ห้องที่เพิ่งเข้ามาเป็นครั้ง ก่อนสายตาจะไล่ผ่านไปยังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ของปรานต์อีกครั้ง ตรงนั้นมีบางสิ่งน่าสนใจ ขาเรียวก้าวช้าๆ ไปหยุดอยู่หลังโต๊ะ ก้มหน้าลงไปใกล้คอมพิวเตอร์ ขยับมือจากลำตัวยื่นไปข้างหน้า แล้วเธอก็...
“เฮือก!” หญิงสาวสะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจเมื่อประตูเปิดผลัวะเข้ามาพร้อมร่างใหญ่ที่เพิ่งออกไปเมื่อครู่
“คุณกำลังจะทำอะไร” น้ำเสียงเขาห้วนดุ ซุยุกลืนน้ำลายลงคอยากเย็น ดวงตายามมองเขาเดินเข้ามาใกล้หวาดหวั่นอย่างไม่เคยเป็น “ผมถามว่าคุณกำลังทำอะไร”
“ฉะ...ฉัน...ฉันแค่จะเอาโทรศัพท์ออกไปให้คุณเท่านั้นเอง นี่ไงคุณลืมไว้” มือเรียวคว้าเครื่องมือสื่อสารที่วางอยู่ใกล้คอมพิวเตอร์ขึ้นโชว์ให้เขาดู “และมันกำลังสั่นเพราะมีคนโทรเข้ามาด้วย อ่ะ ดูสิ” ปรานต์ยื่นมือมารับไปดูเบอร์แล้วยังไม่กดรับ เขาเงยหน้าขึ้นหรี่ตามองสาวลูกครึ่งอย่างคาดคั้น
“ไม่ใช่ว่าคุณ...คุณกำลังจะแอบดูรูปคนรักของผมเพราะนึกหึงผมขึ้นมาหรอกนะ” คำแต่ละคำของเขาทำเอาซุยุลุ้นระทึก นึกกลัวว่าเขาจะปรักปรำเธอในเรื่องไม่ดีกว่าเรื่องนี้ พอเขาว่าอย่างนั้นเธอแทบพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ ยิ่งเห็นดวงตาพราวระยับยิ่งเจ็บใจ
“เฮอะ! คนอย่างฉันไม่สนผู้ชายขี้ตู่หรอก บอกไว้เลย” กิริยาประกอบคำพูดคือการย่นจมูก แล้วเธอก็รีบยกมือขึ้นปิดด้วยกลัวเขาจะบีบเหมือนก่อนออกจากห้องไปอีก
ปรานต์หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ด้วยความถูกใจ เขาไม่พูดอะไร เดินออกจากห้องไปพร้อมโทรศัพท์ เพราะเหตุผลที่เดินกลับมาก็คือโทรศัพท์เครื่องนี้นี่ล่ะ
ซุยุมองตามร่างใหญ่จนลับสายตา...รอยยิ้มกับเสียงหัวเราะที่ไม่เห็นบ่อยนักของปรานต์กำลังแทรกซึมเข้าสู่หัวใจโดยเธอไม่ได้เรียกร้องต้องการสักนิด
‘สวนอาหาร’ คือร้านอาหารกลางสวน ร่มครึ้มด้วยไม้ยืนต้นและหอมหวนด้วยกลิ่นดอกไม้นานาพันธุ์ เพียงก้าวมาบริเวณหน้าร้านเพลงพรรษก็หยุดการก้าวเท้า ใบหน้าสวยแหงนมองต้นไม้ใหญ่ที่ไหวเอนตามแรงลมยามใกล้ค่ำ ไล่สายตาระเรื่อยลงมายังดอกไม้ที่โอบล้อมลูกค้าทุกคนเมื่อก้าวย่างมาถึงร้านอาหารแห่งนี้ ดวงตาคู่สวยสะดุดหยุดอยู่กับต้นดอกแก้วใกล้ประตูทางเข้าร้าน เธอจ้องมองมันนิ่ง ทำไมเธอถึงรู้สึกผูกพันกับดอกไม้ชนิดนี้เป็นพิเศษ
“พี่นึกแล้วว่าพรรษต้องชอบร้านนี้...ไม่ใช่บรรยากาศดีอย่างเดียวนะจ๊ะ อาหารอร่อยมากด้วย” เสียงโฆษณาร้านอาหารอย่างรู้ใจผ่านเข้าหูหญิงสาว ทว่าเหมือนไม่ทะลุโสตประสาทการรับรู้ จนมือแข็งแรงต้องยื่นมาแตะข้อศอกเธอ “พรรษชอบดอกแก้วต้นนั้นหรือ”
“ค่ะ...เห็นแล้วทำให้นึกถึง...” สิ่งที่นึกถึงมาจ่อรออยู่ตรงริมฝีปาก หากไม่อาจเอื้อนเอ่ยออกมา
“นึกถึงอะไรจ๊ะ อย่าบอกนะว่าเป็นหนุ่มๆ ที่ไหน” ปรานต์ไม่ได้จริงจังในคำพูดนั้น เขาเพียงกระเซ้าเล่น หากอีกฝ่ายกลับจ้องตาเขานิ่ง เงียบชั่วอึดใจจึงระบายยิ้มสวยตอบ
“ไม่ใช่หรอกค่ะ...พรรษเพียงนึกถึงสุนัขผู้น่าสงสารตัวหนึ่งเท่านั้นเอง พรรษเคยเลี้ยงไว้ที่มหา’ลัยใกล้ต้นดอกแก้วน่ะค่ะ” เมื่อนึกถึงสัตว์สี่ขาผู้น่าสงสารตัวนั้นความรู้สึกหม่นเศร้าก็แล่นมาจับหัวใจ
ปรานต์เอื้อมมืออุ่นมาจับมือบางไว้แผ่วเบา หญิงสาวผู้นี้มีเพียงความเสียสละ เห็นอกเห็นใจผู้อื่นอย่างอ่อนโยนเสมอ
“แล้วมันไปไหนเสียแล้วล่ะ พรรษอยากเอามาเลี้ยงที่บ้านไหม อ้อ...เดี๋ยวเข้าไปเล่าให้พี่ฟังข้างในดีกว่านะ จะได้ทานอาหารไปด้วย” เพลงพรรษพยักหน้า เขาจึงจูงมือเธอเดินเข้าไปในร้านอาหารแห่งนั้นด้วยกัน
บทสนทนาที่เริ่มต้นด้วยเรื่องสุนัขตัวนั้นทำให้ปรานต์เกิดความเห็นอกเห็นใจเพลงพรรษกอปรกับความรู้สึกผิดที่ไม่ได้ใส่ใจไต่ถามเธอจนต้องเสียเพื่อนรักต่างสายพันธุ์ไป เขาจึงสรรหาเรื่องดีๆ เรื่องอื่นมาคุย ลืมความวุ่นวายใจเกี่ยวกับเรื่องเมื่อตอนบ่ายที่คุยกันทางโทรศัพท์เสียสนิท และเพลงพรรษเองก็โล่งใจ จนไม่อยากเอ่ยถึง หญิงสาวไม่ต้องการให้ปรานต์เกิดอคติกับมารดา ที่ผ่านมาเขาทะเลาะกับคุณปภาวีเพื่อเธอมามากแล้ว เธอควรให้เขาสบายใจบ้าง สำคัญหากโดนสอบสวนปรานต์ย่อมต้องรู้ว่าเธอไม่ได้ทำงานแผนกบัญชีอย่างที่บอกไว้ตอนแรก
ตอนออกจากร้านอาหารเพลงพรรษคิดว่าปรานต์จะพาเธอกลับบ้านเลย ด้วยเวลาล่วงผ่านเกือบสามทุ่มแล้ว พอรถจอดสนิทและเธอก้าวลงมาจากรถหญิงสาวจึงประจักษ์แก่สายตาว่าเขาพาเธอมาเดินเล่น...ใต้สะพานพระรามแปด!
“อากาศที่นี่ดีนะจ๊ะพรรษ พี่รู้ว่าพรรษชอบทะเล แต่...พี่ไม่สามารถพาพรรษไปตอนนี้ได้ คิดว่าริมแม่น้ำอาจให้ความรู้สึกโปร่งโล่งเทียบเคียงกันได้ สักวันนะจ๊ะ สักวันพี่จะพาพรรษไปทุกที่ที่พรรษอยากไป”
ร่างสูงเอ่ยบอกเสียงนุ่มน่าฟัง เขาจับมือเธอไว้หลวมๆ ยามเมื่อเดินมายืนเคียง เพลงพรรษแหงนหน้ามองคนตัวสูงกว่า หยาดน้ำใสเอ่อรื้นรอบดวงตา เป็นความปลาบปลื้มตื้นตันระคนเศร้าหมอง
“ขอบคุณพี่ปรานต์มากนะคะที่ดีกับพรรษมาตลอด...ทั้งๆ ที่พรรษไม่มีค่าคู่ควรความดีของพี่ปรานต์เลย”
“ใครบอก...หัวใจของหญิงสาวแสนดีอย่างพรรษคู่ควรกับพี่ที่สุดจ้ะ อย่าพูดดูถูกตัวเองแบบนี้อีกนะ” เขายิ้มอ่อนโยนให้เธอ “ไปเถอะ ไปยืนริมน้ำกันดีกว่า เดี๋ยวมันจะดึกมากไป” บอกพลางรั้งมือบางให้ก้าวตาม
กระทั่งมายืนริมแม่น้ำแล้วมือใหญ่ก็ยังเกาะกุมมือเล็กไว้ไม่ยอมปล่อย ทั้งสองคนหันหน้าออกสู่แม่น้ำสายใหญ่ คืนนี้แสงจันทร์ทอนวลลงสะท้อนผิวน้ำเพราะเป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง ต่างจากคืนที่เธอมากับ...เพลงพรรษสกัดความคิดเรื่อยเปื่อยของตัวเองให้หยุดลงเพียงแค่นั้น
เธอไม่สมควรนึกถึง ‘คู่แข่ง’ ของปรานต์ ผู้ชายที่ดีกับเธอมากเหลือเกิน ความดีของปรานต์กระตุ้นให้หญิงสาวมีแรงผลักดันในการลงมือกระทำตามคำสั่งคุณปภาวีมากขึ้น หลังจากวันนี้เธอลังเล กระวนกระวายกับเรื่องนี้ทั้งวัน จนสุดท้ายยังตัดใจทำไม่ลงเสียที
“พรรษอยากเลี้ยงสุนัขไหม พี่จะหามาให้ อาจไม่ใช่ตัวนั้น แต่มันอาจช่วยคลายเหงาให้พรรษได้” จู่ๆ ปรานต์ก็หันมาถาม เพลงพรรษจ้องลึกลงไปในดวงตาเขา
...ทั้งชีวิตนี้เธอจะทดแทนความดีของปรานต์หมดไหมนะ ต่อให้แลกด้วยลมหายใจ อาจไม่เพียงพอด้วยซ้ำกับสิ่งที่เขาหยิบยื่นให้...
“ไม่ค่ะ...คุณท่านไม่ชอบให้เลี้ยงสัตว์ในบ้าน พรรษไม่อยากให้พี่ปรานต์ทะเลาะกับคุณท่าน อีกอย่างพรรษไม่เหงาเลยสักนิด มียาย มีดา เพื่อนร่วมงานพรรษน่ะค่ะ” หญิงสาวคลายความข้องใจที่ส่งผ่านมาทางสายตาคม ชายหนุ่มจึงยิ้มและพยักหน้ารับ
มือหนายกขึ้นลูบไรผมที่สะบัดปลิวตามแรงลมมาระใบหน้าสวยให้อย่างเบามือทั้งสองข้าง และไล่ลงมาประคองไหล่บางอย่างทะนุถนอม
“รู้ไหม ไม่ใช่พี่ฝ่ายเดียวที่ดีกับพรรษ...พรรษเองก็ดีกับพี่มาก แค่พรรษเอื้อเฟื้อความรัก ความห่วงใยให้พี่ นั่นคือสิ่งที่พี่ปรารถนาที่สุดแล้วคนดีของพี่” ดวงตายามสบมองล้นปรี่ด้วยความรักสุดห้วงดวงใจ ใบหน้าคมก้มเอียงลงหมายสูดกลิ่นหอมบนแก้มเนียน จวนถึงแก้มเพียงลมหายใจอุ่นรดรินกั้นกลาง ร่างบางขยับถอยหลังก้มหน้าหลบตาด้วยความละอายมากกว่าจะเป็นความอาย
แม้เหตุการณ์หน้าบ้านพสุธาเทพในวันนั้นจะมิได้เกิดจากความเต็มใจ ทว่าดวงใจหญิงสาวเต็มเปี่ยมด้วยความรู้สึกผิด เธอเป็นผู้หญิงไม่รักนวลสงวนตัว เผลอให้เมษรักษ์ขโมยหอมไปได้หน้าตาเฉย หากวันนี้ปรานต์จะประทับซ้ำเธอจะมิต่างจากหญิงสาวใจง่ายเกินไปหรอกหรือ
“กละ...กลับ...กลับบ้านเถอะค่ะพี่ปรานต์เดี๋ยวคุณท่านกลับมา จะไม่พอใจเอาได้” แวบเดียวที่สายตาเธอแลสบดวงตางุนงงของชายหนุ่ม ก่อนเบี่ยงตัวเดินหลุดไปจากมือเขา
มือที่ค้างกลางอากาศสร้างอุปาทานหรือไร ชายหนุ่มรู้สึกราวกับดวงใจที่เคยแนบวางบนมือเขาบัดนี้หลุดลอยไปอยู่ ณ ที่แสนไกลเกินเอื้อมคว้ามาครอบครอง
…ไม่หรอก ระหว่างเขากับเพลงพรรษจะไม่มีเหตุการณ์อย่างนั้นเกิดขึ้นเด็ดขาด...
อาการหวาดหวั่นว่าจะเจอคุณปภาวีมายืนดักรอเหมือนเมื่อคราวก่อนเป็นอันโล่ง เมื่อปรานต์จอดรถบริเวณหน้าตึกใหญ่แต่ทุกอย่างเงียบสงบ สองหนุ่มสาวมองหน้ากันด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุข
“วันนี้พี่มีความสุขมากจ้ะ พรรษล่ะ” ปรานต์ถามอ่อนโยนดวงตาฉายแววรักใคร่ เพลงพรรษสบตาเอียงอายแล้วพยักหน้ารับเบาๆ
“พรรษขอตัวก่อนนะคะ เดี๋ยวดึกมากไปแล้วยายจะเป็นห่วงค่ะ” เป็นฝ่ายชายหนุ่มพยักหน้ากลับบ้าง เขาก้าวเท้ามาหมายจะจับมือแต่อีกฝ่ายถอยหลังแล้วเดินกลับไปยังเรือนหลังเล็กของตัวเอง
อาการนั้นไม่ได้บ่งว่ารังเกียจ เป็นเพียงการระมัดระวังตัวยามเมื่ออยู่ในอาณาบริเวณของพสุธาเทพ ปรานต์จึงไม่ได้ขุ่นข้องหมองใจ เขาอมยิ้มกับความสุขท่วมท้นหัวใจ แหงนหน้ามองดาวพราวระยับฟ้า คืนนี้ช่างเงียบสงบ แว่วได้ยินเพียงเสียงเพลงรักอ่อนหวานกังวานในโสตประสาท
ร่างบางเดินก้มหน้ากอดกระเป๋ามาจนถึงหน้าเรือนหลังเล็ก ความใกล้ชิดสนิทสนม ความหวานอันเลอล้ำระหว่างเธอกับคนที่รัก ทำให้หญิงสาวเอาแต่อมยิ้มกับตัวเอง ทุกย่างก้าวเหมือนเหยียบลงบนพรมกุหลาบ สุขจนลืมสะกิดใจว่าทำไมนางเอื้องถึงไม่ล็อกประตูบ้านให้ต้องเรียกเหมือนทุกคราเวลาเธอกลับผิดเวลา
และคำตอบก็อยู่ตรงหน้าบนเก้าอี้โยกห้องกลางบ้าน พอเงยสบตาวาวโรจน์ของนางพญาแห่งพสุธาเทพ เพลงพรรษสะดุ้งสุดตัวกระเป๋าหลุดจากอ้อมแขนร่วงสู่พื้นกองอยู่แทบเท้า
เพียงเสี้ยววินาทีแห่งความตกใจ ไร้คำพูด ไร้การยับยั้ง ไร้การรอให้ตั้งสติใดๆ คนในชุดนอนสีแดงเพลิงลุกพรวดมาหยุดหน้าร่างบางวาดมือหนักๆ ลงบนแก้มเนียนจนสะบัดหัน
“ว้าย!...” นางเอื้องซึ่งนั่งกับพื้นห่างออกไปไม่ไกลนักหลุดปากร้องออกมาแล้วต้องรีบตะครุบปากตัวเองเมื่อสายตาดุดันหันมาจ้อง หยาดน้ำตาหลั่งรินอาบแก้มเหี่ยวย่นอย่างสุดกลั้น
“นี่คือค่าตอบแทนที่เธอระริกระรี้นักที่จะพลีกายถวายชีวิตให้ตาปรานต์” ริมฝีปากสีซีดเมื่อเปรียบกับยามระบายด้วยลิปสติกสั่นระริกด้วยความโกรธ ดวงตาคุณปภาวีราวกับกองเพลิงขนาดใหญ่ “ความจริงถ้าเธออยากรวยทางลัด ‘ไอ้หมอนั่น’ มันก็รวยไม่แพ้พสุธาเทพนี่ ถ้าเธอขโมยข้อมูลมันมาได้แล้วจะไปอยู่ไปกินกับมันฉันไม่ว่าหรอกนะ เพราะสำหรับฉัน เธอไม่ใช่พสุธาเทพ เป็นแค่คนใช้ที่ฉันชุบเลี้ยงและต้องตอบแทนบุญคุณเท่านั้น จำใส่สมองโง่ๆ ของเธอไว้เลยว่า ฉันเกลียด...เกลียดคนที่ขัดคำสั่งฉันที่สุด!”
นิ้วชี้เรียวยาวจิ้มลงกลางหน้าผากมนแล้วผลักไปด้านหลังแรงๆ จนใบหน้าสะบัดหงาย เพลงพรรษตัวสั่นงันงกทั้งกลัวทั้งตกใจ หวาดผวา สะอื้นฮักๆ ด้วยกลั้นอาการร้องไห้ไว้ไม่ไหว
“ดิฉัน...ดิฉันขอโทษค่ะ...ดิฉันไม่เคย...”
“เธอไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น เพราะฉันไม่มีวันเชื่อ จากนี้ไปตาปรานต์จะหมดอิสรภาพ หึ! โทษใครไม่ได้นะ เธอสองคนบังคับฉันเอง ให้เห็นกันบ้างไม่ชอบ ดี! ต่อไปนี้เห็นได้ แต่เห็นในแบบที่เขาเป็นของคนอื่นแล้วกัน!”
เท่านั้นประมุขของพสุธาเทพก็เดินลงจากเรือนไปเหลืองทิ้งไว้แต่ร่างไร้เรี่ยวแรงทรุดลงนั่งกับพื้น นางเอื้องถลาเข้ามากอดหลานสาวไว้แนบอก ลูบหลังลูบไหล่ปลอบขวัญทั้งที่ตัวเองก็ร่ำไห้กับชะตากรรมของหลานสาวเช่นกัน
“พรรษเอ้ย เกิดมามีกรรมก็ยอมรับมันไปเถอะลูก ยิ่งฝืนเราจะยิ่งเจ็บปวดทั้งกายและใจ ถึงยังไงคุณท่านก็มีบุญคุณกับเรามากนะลูก” คำปลอบดีๆ คำใดคงไม่เหมาะสมเท่าคำปลอบจากความเป็นจริงอีกแล้ว ดื้อรั้นไปรังแต่จะทำให้ปวดร้าวกันทั้งสองฝ่าย อนาคตข้างหน้าอย่างไรเสีย เส้นทางของหนุ่มสาวไม่มีวันบรรจบกันได้แน่แท้
“จ้ะยาย...ฮึก! พรรษจะตัดใจจากคุณปรานต์” แขนเรียวกอดร่างคนเป็นยายแน่น ดวงตาบอบช้ำ ฉ่ำชื้นด้วยหยดน้ำตาหยดแล้วหยดเล่า จะวันนี้หรือวันหน้าหัวใจของเธอก็ต้องแหลกเหลวอยู่ดี สู้ยอมเสียตั้งแต่วันนี้ บางทีปรานต์เองอาจไม่เจ็บปวดเกินไปนัก
หลังอาบน้ำแต่งตัวเสร็จไม่ถึงห้านาทีเสียงเคาะประตูห้องนอนของปรานต์ก็ดังขึ้น คิ้วหนาขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย ร้อยวันพันปีเวลาช่วงดึกอย่างนี้ไม่เคยมีใครมาเคาะ นอกจากมีเหตุฉุกเฉินจริงๆ ร่างใหญ่เดินไปเอื้อมเปิดประตูแล้วคิ้วก็ต้องขมวดเพิ่มเข้าไปอีกเมื่อพบว่าร่างสัดทันของทินกรยืนจังก้าอยู่หน้าประตู
“คุณมีอะไร” ถึงน้ำเสียงไม่ห้วนแต่คำพูดก็ห้วนกว่าการพูดปกติของปรานต์ เขาไม่เคยถูกชะตากับหมอนี่ ไม่เคยอย่างเป็นมิตร เพราะเมื่อไหร่ที่ทินกรก้าวล้ำมาในชีวิตเขา มักนำพาความวุ่นวายมาด้วยเสมอ
“ผมไม่มี แต่คุณท่านมี เชิญคุณที่ห้องคุณท่าน...ตอนนี้เลยครับ” วิธีการบอกเหมือนให้เกียรติ เหมือนสุภาพ ทว่าหากบอกแล้วไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ปรานต์นิยามมันว่านั่นคือการ...บังคับ!
“คุณแม่มีธุระอะไรดึกดื่นขนาดนี้ รอเป็นพรุ่งนี้ไม่ได้เชียวหรือ” เขาถามคล้ายประชด แต่คนฟังยืนนิ่งไม่รู้สึกสะทกสะท้านใดๆ เขาถูกฝึกมาให้เฉยชากับทุกสถานการณ์ บางครั้งปรานต์เคยสงสัยว่าหมอนี่มีหัวใจ มีความรักบ้างไหม เคยเจ็บปวดกับการสูญเสีย หรือลุ่มหลงในตัวสตรีคนไหนบ้าง ทำไมถึงทำตัวได้แข็งเป็นหุ่นเชิดของมารดาอย่างนี้
“ผมไม่ทราบครับ อันนั้นไม่ใช่หน้าที่ของผม หน้าที่ของผมคือมาเชิญคุณไปหาคุณท่านเท่านั้น...เชิญครับ” ว่าแล้วร่างบึกบึนนั้นก็เบี่ยงตัวหลบไปด้านข้าง สายตายังปักหลักกับดวงตาขุ่นเขียวของปรานต์
ถึงอยากปิดประตูใส่หน้าทินกรแล้วกระโดดขึ้นไปนอนบนเตียงให้สบายใจ เพื่อขัดใจมารดาเสียบ้างแค่ไหน แต่ปรานต์ก็มิอาจทำอย่างนั้นได้ คนอย่างคุณปภาวี เคยหรืออยากได้อะไรแล้วไม่ได้ ทางเลือกสำหรับปรานต์ตอนนี้มีสองทาง ถ้าไม่เดินไปเอง ทินกรก็จะลากไปถึงที่นั่นล่ะ
ความรู้สึกรังเกียจเสียเต็มประดาถ้าหุ่นยนต์ตัวนั้นต้องมาถูกเนื้อต้องตัวทำให้ปรานต์ทำเพียงเสียงฮึดฮัดในลำคอแล้วเดินลงเท้าหนักๆ ไปยังห้องของมารดา
ไม่ต้องเคาะประตูให้เสียเวลาเมื่อมันเปิดอ้ารอพร้อมให้ก้าวผ่านไปด้านใน ปรานต์กวาดตามองห้องนอนกว้างแสนกว้างของมารดา นานเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่ได้มาห้องนี้ ไม่สิ ต้องถามว่าเขาเคยมาห้องนี้กี่ครั้ง คงนับครั้งได้ และครั้งสุดท้ายเคยเข้ามาเมื่อไหร่
เมื่อตอนเขาอายุ 10 ขวบ อา...นานขนาดนั้นเลยเชียวหรือ ความทรงจำเกี่ยวกับห้องนอนของมารดาแทบไม่มีเลย คุณปภาวีไม่เคยพาเขามานอนกอดให้ไออุ่นรักในห้องนี้ ในค่ำคืนอันเงียบเหงาและน่าหวาดกลัวสำหรับเด็กชายตัวน้อย จำต้องนอนในห้องตัวเองโดยไม่มีพี่เลี้ยง หากวันไหนทนไม่ไหวจริงๆ กลางดึกเขาจะย่องไปหามีนรักษ์ สาวใช้ผู้อ่อนโยนรักใคร่ในตัวเขา โอบกอดปลอบประโลมในค่ำคืนแห่งความหวาดกลัวครอบงำจิตใจ
...บางทีมีนรักษ์อาจเป็นต้นกำเนิดสายใยระหว่างเขากับเพลงพรรษก็เป็นได้ เพราะหญิงสาวผู้นั้นรักเพลงพรรษประหนึ่งลูกสาวของตัวเอง...น่าเสียดายเหลือเกินที่เธอด่วนจากโลกนี้ไป
“จะยืนค้ำหัวฉันอีกนานไหม ห้องฉันน่ะมันไม่น่าสนใจเท่าห้องสาวๆ กระมัง” เก้าอี้ตัวใหญ่ขนาดเท่ากับเก้าอี้ประมุขด้านล่างห้องรับแขกวางอยู่มุมในสุดของห้องซึ่งแบ่งเป็นพื้นสำหรับการนั่งพักผ่อนดูทีวี และตรงนั้นคุณปภาวีนั่งในท่าสง่างามมองมาทางเขาด้วยสายตาว่างเปล่า
ร่างใหญ่เดินไปทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามโดยไม่ต้องรอคำเชิญ ทินกรไม่ได้เข้ามา เขายืนเป็นหุ่นไร้วิญญาณอยู่หน้าประตูเท่านั้น
“คุณแม่มีธุระอะไรสำคัญหรือครับถึงเรียกผมมากลางดึก”
“การที่แม่จะพบลูกเนี่ย ต้องมี ‘ธุระ’ และต้อง ‘สำคัญ’ งั้นสิ?” น้ำเสียงบ่งบอกถึงความประชดประชันทว่าไร้แววตัดพ้อน้อยใจ
อยากตอบออกไปเหลือเกินว่า ถ้าเป็นแม่ลูกคู่อื่นการพบกันระหว่างแม่ลูกอาจปกติ แต่สำหรับเขากับคุณปภาวีไม่มีทางเจอกันเพื่อแสดงความรัก ความอบอุ่นอะไรเทือกนั้นแน่ ปรานต์มั่นใจ
“ก็สำหรับคุณแม่ไม่เคยมีอะไรไร้สาระ”
คุณปภาวีทำเสียง หึ! ในลำคอ ริมฝีปากแย้มยิ้มอย่างมีเลศนัยบางอย่าง โดยปรานต์ไม่นึกอยากใส่ใจ
“คบกับซุยุเป็นไงบ้าง”
“ก็ดีครับ” ตอบสั้นห้วน คล้ายให้จบๆ ไป
“ดูท่าซุยุเขาจะปลื้มแกไม่น้อยนะ วันนี้ฉันโทรหาเขาตอนหัวค่ำ เขาบอกว่าแกดูแลเทคแคร์เขาเป็นอย่างดี” ปฏิกิริยาเงยขวับขึ้นมองหลังจบคำของคนเป็นแม่ทำให้คุณปภาวียิ้มน้อยๆ นัยน์ตาฉายแววบางอย่างพาดผ่าน อาจเป็นแววยินดีสำหรับท่าน แต่ดูท่าจะเป็นแววน่าสะพรึงกลัวสำหรับปรานต์ “เมื่อทุกอย่างราบรื่นขนาดนี้ เขาถูกใจ แกไม่ขัด อะไรๆ มันก็น่าจะง่ายดีนะ หรือแกว่าไง”
คุณปภาวีหยั่งเชิง เคยห้ามปรานต์เรื่องเพลงพรรษมาหลายครั้ง เมื่อเขาดื้อดึงไม่ยอมทำตาม ก็ต้องลองดูกันสักตั้ง ว่าระหว่างคนอาบน้ำร้อนมาก่อนกับ ‘คนอ่อนหัด’ อย่างเขาใครจะเหนือชั้นกว่ากัน
“ผมยังไม่พร้อม”
“มีอะไรที่แกไม่พร้อม” ท่าทางสบายๆ ไม่วีนไม่โวยวายเหมือนทุกทีของมารดาทำให้ปรานต์มีลางสังหรณ์แปลกๆ
ชายหนุ่มขบกรามแน่น คุณปภาวีตั้งใจต้อนเขาให้จนมุม คิดเหรอว่าเขาจะยอมง่ายๆ เรื่องซุยุ
“หัวใจ!” คำตอบสั้น หนักแน่นชัดเจน คาดว่าคนเป็นแม่คงพออึ้งได้บ้าง เขาอยากรู้เหมือนกันว่าท่านจะทำอย่างไรให้ใจเขาพร้อม
ประมุขแห่งพสุธาเทพหัวเราะออกมาราวกับมีเรื่องถูกใจนักหนา ปรานต์คิ้วยุ่งอย่างไม่เข้าใจ
“แค่นี้เองเหรอที่แกไม่พร้อม ฉันก็นึกว่าจะมีอะไรมากมาย” คนฟังเบิกตาโต ถ้าหัวใจของคนเป็นลูกไม่ใช่เรื่องใหญ่แล้วอะไรเล่าที่ยิ่งใหญ่สำหรับคนเป็นแม่ “ถ้าตอนนี้ใจแกไม่พร้อมไม่เป็นไร อยู่กันไปเดี๋ยวก็พร้อม หรือ...ถ้าหัวใจแกไม่มีวันพร้อมสำหรับซุยุ หลังแต่งงานแกก็หาผู้หญิงใหม่มาบำเรอสักคนสองคน ก็ทำได้...ไม่เห็นแปลก เพราะสิ่งที่ฉันต้องการคือ...ครอบครัวของซุยุจะเกื้อหนุนให้พสุธาเทพเติบโตกว่านี้ได้เท่านั้นเอง”
เมื่อครั้งมนุษย์เล่าขานถึงมนุษย์ต่างดาวปรานต์เคยคิดว่าช่างเป็นเรื่องประหลาดจนน่าเหลือเชื่อ วันนี้ความคิดที่หลุดจากปากมารดาทำให้เขาแปลกใจกว่าเป็นแสนเท่าล้านเท่า...ไม่เคยเลย คุณปภาวีไม่เคยแคร์อะไรจริงๆ
โปรดติดตามตอนต่อไป
น้อมรับทุกคำติ-ชมค่ะ ^^
ปลากัด
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 พ.ค. 2554, 12:20:08 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 พ.ค. 2554, 12:20:08 น.
จำนวนการเข้าชม : 1818
<< oOo รุ้งฤดูร้อน บทที่ 8 oOo | oOo รุ้งฤดูร้อน บทที่ 10 oOo >> |
คิมหันตุ์ 12 พ.ค. 2554, 14:45:10 น.
เห้อ..............ช่างน่าสงสารจริง...คุณ ปราณต์
ซุยุ สู้ๆ ห้าห้า เชียร์ จริงๆนะคะ >____<
เห้อ..............ช่างน่าสงสารจริง...คุณ ปราณต์
ซุยุ สู้ๆ ห้าห้า เชียร์ จริงๆนะคะ >____<
จิรารัตน์ 12 พ.ค. 2554, 19:21:42 น.
ดีจ้า ปลากัด ขอไปอ่านตั้งแต่ตอนแรกก่อนนะคะ
ดีจ้า ปลากัด ขอไปอ่านตั้งแต่ตอนแรกก่อนนะคะ
roseolar 12 พ.ค. 2554, 19:23:31 น.
ซุยุน่ารัก ^ ^
ซุยุน่ารัก ^ ^
Pat 13 พ.ค. 2554, 00:39:02 น.
สองคู่เนอะไรเตอร์ ซุยุน่ารักและน่่าจะดีพอสำหรับปรานต์ ท่าทางเข้ากันได้ด้วย (แหะ แหะ สงสารปรานต์น่ะนะ) สำหรับพรรษคงไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะคุณท่านแค้นใจขนาดนี้ เนี่ยแอบคิดนะว่าเป็นพี่น้องคนละแม่หรือเปล่า ถึงใจร้ายกับพรรษได้ขนาดนี้
สองคู่เนอะไรเตอร์ ซุยุน่ารักและน่่าจะดีพอสำหรับปรานต์ ท่าทางเข้ากันได้ด้วย (แหะ แหะ สงสารปรานต์น่ะนะ) สำหรับพรรษคงไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะคุณท่านแค้นใจขนาดนี้ เนี่ยแอบคิดนะว่าเป็นพี่น้องคนละแม่หรือเปล่า ถึงใจร้ายกับพรรษได้ขนาดนี้