มนตรากระดังงา
นางพริมา กีรติอนันต์ พัฒนภิรมย์ กับ นายภัทร์ พัฒนภิรมย์ คู่สามีภรรยาที่ครองรักกันมากว่า 6 ปี และมีพยานรักเป็นเด็กชายน่ารัก 2 คน ต้องจบชีวิตคู่ที่เริ่มจากรั้วมหาวิทยาลัยลงเพราะฝ่ายชายไปมีเมียน้อยซึ่งกำลังจะมีลูกสาวด้วยกัน หญิงสาวยอมหย่าให้และยอมเป็นแม่หม้ายในวัยเพียง 30 ปี ชีวิตคู่ที่พังทลายกลับสร้างพริมาคนใหม่ให้แกร่งกว่าเดิม เธอเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวขึ้น กระดังงาลนไฟดอกนี้จึงกลายเป็นที่หมายปองของชายหนุ่มทั้งหลาย รวมทั้งภัทร์ พัฒนภิรมย์ ที่เพิ่งสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของอดีตภรรยา จนทำให้ความรักที่เขาคิดว่าได้มอดเชื้อไปแล้วนั้นปะทุขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
รักครั้งใหม่กับคนเดิมจะสมหวังได้หรือไม่ เพราะฝ่ายชายก็มีครอบครัวใหม่แล้ว ส่วนฝ่ายหญิงก็มีชายหนุ่มมากมายมาเข้าแถวให้เลือก อานุภาพของความรักจะประสานรอยร้าวของหัวใจสองดวงให้กลับมาหลอมเป็นหนึ่งเดียวได้อีกครั้งหรือไม่ โปรดติดตาม......อาทิตา

Tags: รักร้าว มีเมียน้อย คืนดี

ตอน: ตอนที่ 11 มา 70% ก่อนนะคะ

เรียนนักอ่านทุกท่าน “ขอโทษ” ที่มาช้า ไม่มีคำแก้ตัว นอกจากคำอธิบาย (5555) ว่างานประจำเยอะมากค่ะ เปิดเทอมใหม่ ๆ จะยุ่งและวุ่นวายเช่นนี้ แถมยังมาเจอคอมฯเจ๊ง ตัวส่ง WIFI ก็เสียอีกต่างหากเนื่องจากไฟดับเพราะฝนตกหนัก พิมพ์กะแล็ปท็อปก็ไม่ค่อยถนัด เลยช้าเข้าไปอีก T___T (ยังไม่นับว่าต้องดูแลลูกสาว 2.4 ขวบอีกนะเนี่ย) วันนี้ลงให้ก่อนประมาณ 70% นะคะ มือปั่นได้เท่านี้ ไม่ทันใจและสมองเลยค่ะ
“ขอบคุณ” ที่ติดตามและเฝ้ารอนะคะ หวังว่าจะยังคงเป็นกำลังใจให้อาทิตาต่อไปนะคะ ขอบคุณเป็นพิเศษสำหรับท่านที่ติและชมและที่คอบตามทวง อมยิ้มทุกครั้งที่ได้อ่าน ขอบคุณค่ะ
ตอนที่ 11

พริมายังคงนั่งนิ่งอยู่ในห้องนอนซึ่งครั้งหนึ่งเคยใช้เป็นห้องหอในคืนส่งตัวของเธอกับภัทร์ หญิงสาวกลับเข้ามาในห้องนี้ หลังจากที่ได้พูดคุยรายละเอียดกับทั้งผู้รับเหมา สถาปนิกและมัณฑนากรเสร็จเรียบร้อยเมื่อครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา ภัทร์อยู่รับฟังความต้องการของเธอในการปรับปรุงคอนโดฯอย่างเงียบ ๆ เขาไม่ได้เสนอแนะหรือทักท้วงอะไร เพราะรู้ดีว่าเขาไม่ใช่คนที่จะได้มาร่วมชายคาแห่งนี้กับเธออีกต่อไป.....สายใยรักได้ขาดสะบั้นลงเสียแล้ว
ในระหว่างที่พูดคุยกับผู้รับเหมานั้นพริมาทำราวกับว่าภัทร์ไม่มีตัวตน หญิงสาวไม่แนะนำผู้รับเหมาให้รู้จักกับเขา ไม่แม้แต่จะชายตามองมายังจุดที่เขานั่งอยู่เสียด้วยซ้ำ ภัทร์เองรู้สึกหัวเสียไม่น้อยที่ถูกลดทอนความสำคัญลงเพราะเขาอุตส่าห์ยอมเสียเวลา ไม่ยอมกลับไปทำงานเพื่อนั่งอยู่เป็นเพื่อนเธอ เนื่องจากรู้ดีว่าพวกผู้รับเหมา สถาปนิก และมัณฑนากรนั้นส่วนใหญ่มักเป็นผู้ชาย นอกจากพริมาจะไม่กล่าวขอบคุณเขาแล้ว หญิงสาวยังเดินเข้าห้องนอนไปในทันทีที่พวกผู้รับเหมากลับออกไป ทิ้งให้ภัทร์นั่งอยู่เงียบ ๆ คนเดียวโดยไม่ดูดำดูดีแม้แต่น้อย หากไม่มีโทรศัพท์จาก ‘วิภาวี’ ที่โทรมาให้เขาไปรับหล่อนจากศูนย์การค้าแห่งหนึ่ง เขาคงมีโอกาสได้พูดคุยกับพริมาอีกสักครั้ง ซึ่งเขาก็แอบหวังว่าจะเป็นโอกาสที่ได้ปรับความเข้าใจกันใหม่ แต่ผลสุดท้ายเขาก็เลือกที่จะให้พริมาได้อยู่เงียบ ๆ ตามลำพังเพื่อได้ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น เวลานี้อาจไม่เหมาะที่จะปรับความเข้าใจกันเพราะต่างคนต่างก็มีทิฐิด้วยกัน ชายหนุ่มจึงออกจากคอนโดฯไปโดยไม่กล่าวคำลาใด ๆ เช่นกัน น้ำตาของพริมาไหลลงมาอย่างพรั่งพรูในทันทีที่ได้ยินเสียงประตูที่ภัทร์ปิดลง......ความรักครั้งนี้ของเธอก็คงปิดฉากลงพร้อม ๆ กันแล้ว
คุณแม่ลูกสองนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นเสียงดัง เธอปลดปล่อยทุกอย่างออกมาโดยไม่ต้องอายใคร เพราะที่คอนโดฯแห่งนี้เธอไม่ต้องกลัวว่าลูกหรือคนในบ้านจะได้ยินเสียงร่ำไห้ หญิงสาวปล่อยโฮอย่างอดกลั้น เธอกักเก็บความรู้สึกนี้ไว้ตั้งแต่ที่ได้ระเบิดอารมณ์ใส่ภัทร์ แต่เพราะมีนัดกับพวกผู้รับเหมา เธอจึงต้องอดทนข่มอารมณ์เหล่านั้นไว้ข้างในแล้วจัดการธุระให้เรียบร้อยเสียก่อน อันที่จริงอารมณ์ขุ่นมัวและน้อยใจที่ก่อตัวขึ้นนั้นเกือบจะสลายไปหมดแล้วถ้าไม่มีตัวจุดชนวนมาเร่งปฏิกิริยาอีกครั้งหนึ่ง ชนวนระเบิดที่ว่าก็คือประโยคสนทนาที่เล็ดลอดเข้ามาให้เธอได้ยิน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความตั้งใจที่คนพูดต้องการให้เธอได้ยินหรือเป็นเพราะความบังเอิญกันแน่
‘ได้สิ เดี๋ยวผมไปรับคุณเอง รออยู่ที่ห้างนั้นนะ เดี๋ยวไปถึงแล้ว ผมจะโทรหาอีกที แค่นี้นะ’
ไม่ต้องมีภาพประกอบ ไม่ต้องได้ยินเสียงของคู่สนทนา พริมาก็เข้าใจทุกอย่างได้แจ่มแจ้ง น้ำตาที่ไหลรินไม่ขาดสายเป็นเครื่องยืนยันความรู้สึกของเธอได้เป็นอย่างดี ‘เจ็บแทบขาดใจ’
พริมาหวนคิดไปถึงวันที่ผู้หญิงคนนั้น ‘วิภาวี คุณานนท์’ ได้เดินเข้ามาทำลายชีวิตครอบครัวของเธอให้พังทลายลงอย่างยับเยิน หญิงสาวที่ได้ชื่อว่าเป็นเมียน้อยของสามีเธอนั้น คือ ผู้ช่วยหัวหน้าฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ของธนาคาร เธอเพิ่งเข้ามาทำงานได้เพียง 2 ปีกว่าเท่านั้น แต่ไต่เต้าได้เร็วเหลือเกิน เพียง 2 ปีกว่าก็ได้ขึ้นแท่นเป็นภรรยาอีกคนของเจ้าของธนาคารได้แล้ว หญิงสาวในวัยเพียง 25 ปีมีผิวพรรณขาวสะอาดตาเพราะด้วยความที่เป็นคนเหนือโดยกำเนิด เธอมีบุคลิกคล่องแคล่ว บวกกับหน้าตาที่ดูเก๋ไก๋ไม่ถึงกับสวยจัดแต่ก็ชวนมองอยู่ไม่น้อย จึงไม่น่าแปลกที่เธอจะเป็นที่สนใจและหมายปองของเพื่อนร่วมงานและคนรอบข้างได้อย่างง่ายดาย ข้อมูลเหล่านี้พริมาเพิ่งได้รับมาไม่นานจากภัทราที่สั่งให้ ‘คนใน’ ช่วยเป็นสายสืบหาประวัติพร้อมรูปถ่ายของ ‘วิภาวี คุณานนท์’ มาให้ เพื่อนสนิทที่ควบตำแหน่งน้องสาวของสามีส่งรายละเอียดทั้งหมดของ ‘ศัตรู’ มาให้เธอทางอีเมล พร้อมเขียนกำกับมาว่า
‘แม่นั่นคงเป็นแค่ของเล่นชั่วคราวของพี่โป๊ป แต่บังเอิญว่าเหลี่ยมจัดเลยมัดมือชกด้วยการตั้งท้อง ไอ้คนของเรารึ! ก็ดันซื่อบื้อ ไม่รู้จักป้องกัน เสียชื่อคาสโนว่าหมด แต่ปริมแกอย่าเพิ่งหย่าจากพี่โป๊ปนะ รอดูสถานการณ์ก่อน เด็กในท้องอาจไม่ใช่ลูกของพี่โป๊ปก็ได้เพราะแม่นั่นเคยมีแฟนและอยู่ด้วยกันมาก่อน ชีเพิ่งเลิกกับแฟนได้ปีนิด ๆ เอง พอเลิกกับแฟนปุ๊บก็มาจับพี่โป๊ปต่อเลย อย่าเพิ่งทำอะไรหรือตัดสินใจอะไรนะ รอฉันกลับไปก่อน’
แต่พริมาก็ไม่รอ...ไม่รอทั้งสถานการณ์และไม่รอให้ภัทรากลับมา เธอขอหย่าและเริ่มปรับปรุงคอนโดฯ เพื่อที่จะตั้งต้นชีวิตใหม่ เขามีคนอื่นมาร่วมปี จะให้เธอทนรออะไรได้อีก ชีวิตเป็นของเธอ จะสุขหรือเศร้าก็ขอให้มาจากน้ำมือเธอเอง ไม่ใช่จากฝีมือของคนอื่น
เหตุการณ์ในวันนั้นยังคงฝังแน่นและตามหลอกหลอนเธออยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เหตุการณ์ที่เธอเคยภาวนาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายให้มันกลายเป็นเพียงภาพฝัน....ฝันร้าย แต่คำภาวนาของเธอก็ไม่สมหวัง
‘คุณปริมคะ คุณท่านให้มาเรียนเชิญไปพบที่ตึกใหญ่ค่ะ’ แม่บ้านจากตึกใหญ่แจ้งกับเธอในขณะที่เธอกำลังเล่นกับลูก ๆ ในช่วงสายของวันที่ได้กลายเป็นวันมหาวิปโยคสำหรับชีวิตเธอ
‘ได้จ้ะ ไปน้องป๊อปน้องปิ๊ปไปหาคุณปู่คุณย่ากันครับ’ พริมาที่คิดว่าปู่และย่าคงคิดถึงหลาน ๆ และอยากพบหน้า เธอจึงเรียกลูก ๆ ทั้งสองให้ไปพบปู่กับย่าเหมือนเช่นที่เคยปฏิบัติอยู่เป็นประจำ
‘เอ่อ คุณท่านสั่งว่าไม่ต้องพาคุณหนู ๆ ไปค่ะ ท่านขอคุยธุระกับคุณปริมตามลำพังค่ะ’ น้ำเสียงและสีหน้าของแม่บ้านคนเก่าคนแก่ของตระกูลทำให้พริมาเริ่มสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ
‘อ้าว อย่างงั้นเหรอจ๊ะ’ พริมาเลยหันไปบอกพี่เลี้ยงให้ดูแลเด็ก ๆ แทน แล้วรีบเดินตามแม่บ้านไปยังตึกใหญ่ แม่บ้านคนดังกล่าวเดินนำเธอไปยังห้องรับแขกขนาดใหญ่ของบ้าน ห้องที่ได้รับการตกแต่งให้ดูโอ่โถงและสมฐานะเจ้าของบ้านด้วยเครื่องเรือนและของตกแต่งราคาแพงจากต่างประเทศ ซึ่งในห้องดังกล่าว พริมาได้พบว่านอกจากประมุขทั้งสองของบ้านแล้ว ก็มีสามีของเธอและหญิงสาวอีกหนึ่งคน หญิงสาวคนนั้นนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างสามีเธอ ที่สะดุดตาและสะกิดใจพริมาเป็นพิเศษ คือ เธอคนนั้นใส่ชุดคลุมท้องสีหวาน เห็นเพียงแค่นั้นหัวใจของพริมาก็แทบจะหยุดเต้น ในหัวสมองมีทั้งคำถามและสมมุติฐานต่าง ๆ นานาเกิดขึ้นมาพร้อม ๆ กัน โดยปกติแล้วพริมาไม่ใช่คนมองโลกในแง่ร้าย เธอเติบโตมากับครอบครัวที่อบอุ่นและค่อนข้างมีหน้าตามีตาในสังคมข้าราชการ และถึงแม้ชีวิตจะไม่ได้เพียบพร้อมสมบูรณ์สุขอย่างลูกมหาเศรษฐีเช่นภัทราเพื่อนสนิท แต่ก็ไม่ขาดเหลือหรือต้องลำบากแต่อย่างใด แต่ ณ เวลานั้นความคิดและจิตใต้สำนึกของเธอกลับเอนเอียงไปแต่ในด้านลบ ถึงแม้เธอจะพยายามมองหาความเป็นไปได้มาหักลบกับสิ่งที่ตาเห็นแต่ก็ไม่สำเร็จ
‘ถ้ามีสามี สามีเธอก็ต้องมาด้วยสิ เอ๊ะ! หรือว่าสามีเธอลุกไปเข้าห้องน้ำอยู่นะ... ไม่หรอก พี่โป๊ปต้องไม่ทำอย่างนั้นหรอก อย่าคิดมากสิปริม แต่ถ้าใช่ละ เราจะทำยังไง เราจะต้องไม่ร้องไห้ต่อหน้าคนอื่นอย่างเด็ดขาดนะ คุณพระคุณเจ้าช่วยคุ้มครองลูกด้วยเถิด อย่าให้เป็นอย่างที่ลูกคิดเลย ขอให้ลูกคิดมากไปทีเถอะ.....แต่ถ้าใช่ล่ะ เราจะทำยังไงดี แล้วลูก ๆ อีกจะเป็นไงบ้าง เฮ้อ! ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายช่วยให้มันไม่ใช่เรื่องจริงด้วยเถิด สาธุๆๆๆ’
แม้พริมาไม่อยากให้สิ่งที่คาดเดาเป็นความจริงแต่ก็แอบหวั่นใจอยู่ไม่น้อย เพราะเคยได้ยินได้เห็นมาบ้างว่า ‘รักกับคนเจ้าชู้นั้น ต้องเผื่อหัวใจและสำรองน้ำตาเอาไว้อยู่เสมอ’ พริมายอมรับว่าเธอเองเคยคิดแบบนั้นก่อนที่จะตกลงแต่งงานกับภัทร์ แต่หลังจากนั้นความไว้ใจที่มีให้กับคู่ชีวิตก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นจนเต็มปรี่เพราะการกระทำที่เสมอต้นเสมอปลายของภัทร์ที่พิสูจน์ให้เธอได้เห็นว่า ‘ความรักสามารถเปลี่ยนแปลงคนเราได้’ พริมาได้แต่แอบหวังว่าภัทร์จะไม่ทำให้เธอผิดหวัง แต่เมื่อได้พิจารณาสีหน้าของทุกคนที่อยู่ในห้องรับแขกนั้นแล้ว พริมาก็ยิ่งต้องทำใจให้เข้มแข็งไว้ เธอจะต้องพร้อมรับกับทุกสถานการณ์....ตั้งแต่ได้เป็นแม่คนทำให้เธอเริ่มมองทุกอย่างตามวัฏจักรของมันมากยิ่งขึ้น แต่ก็ต้องยอมรับว่าตัวเธอเองยังคงมีกิเลส มีรัก โลภ โกรธ หลงอยู่อย่างปุถุชนคนอื่น ๆ เธอยังกลัวและเจ็บเป็น ยิ่งเมื่อหันมาเห็นสีหน้าของภัทร์ที่หันมามองและสบตากับเธอ สีหน้าที่กำลังฉายความรู้สึกผ่านดวงตาคมคู่นั้นมายังเธอ ‘ผมขอโทษ’ ความรู้สึกที่ทำให้พริมาถึงกับใจหายวาบ เธอเปรียบตัวเองในขณะนั้นเป็นญาติของคนไข้ที่อาการสาหัส และรอให้คุณหมอที่กำลังเดินออกมาจากห้องผ่าตัดบอกว่าปาฏิหาริย์มีจริงเหมือน พริมาสูดลมหายใจเฮือกใหญ่เข้าปอดก่อนที่จะนั่งลงและพร้อมที่จะเผชิญกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น สิ่งที่จะทำให้ชีวิตเธอและลูก ๆ เปลี่ยนไปนับจากวันนี้
‘หนูปริม ทำใจให้เข้มแข็งไว้นะ แม่มีเรื่องจะบอก’ คุณแม่ของสามีเริ่มบทสนทนากับเธอ เพียงแค่นี้ พริมาก็สามารถคาดเดาเรื่องราวทั้งหมดได้แล้ว หญิงสาวพยายามบังคับอารมณ์ตัวเองอย่างยากเย็น เธอยังแอบหวังอยู่ลึก ๆ แม้ความหวังนั้นจะริบหรี่มากขึ้นทุกทีแล้วก็ตาม
‘หนูปริม นี่ วิภาวี เขาบอกว่าเขาท้องกับตาภัทร์’ ยิ่งกว่าสายฟ้าฟาดลงกลางใจ พริมาชาวาบไปทั้งตัว แปลกที่ไม่มีน้ำตาไหลรินออกมา.....มันคงไหลย้อนลงไปอยู่ข้างใน และถึงแม้คำพูดของคุณหญิงปานวาด พัฒนภิรมย์ จะดูเหมือนดูถูกดูแคลนและไม่เชื่อว่าผู้หญิงคนนั้น ‘วิภาวี’ พูดความจริงอยู่ก็ตาม แต่มันก็มีน้ำหนักเพียงพอที่จะทำให้คนฟังอย่างพริมาเจ็บปวดรวดร้าวที่ถูกผู้ชายที่ได้ชื่อว่าคู่ชีวิตทรยศ พริมาที่นั่งประสานมืออยู่บนหน้าตักจึงจิกเล็บลงไปบนมือของตัวเองจนเจ็บเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้ฝันร้ายอยู่ ก่อนที่จะหันหน้าอย่างช้า ๆ ไปสบตากับภัทร์ที่จ้องมองเธออยู่ก่อนแล้ว พริมาตั้งคำถามผ่านสายตาที่บ่งบอกถึงความปวดร้าวไปว่า ‘จริงหรือคะ’ แต่ก็เป็นคำถามที่เกิดขึ้นในใจ มันจึงไม่มีคำตอบหรือคำแก้ตัวใด ๆ ออกมาจากปากของ ‘จำเลย’ ให้ได้ยิน
สะใภ้ตามกฎหมายของตระกูล พัฒนภิรมย์ ยังครองสติได้เป็นอย่างดีแม้ว่าจะตกใจอยู่ไม่น้อยกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน ซึ่งอาจจะเป็นเพราะบารมีของท่านเจ้าของบ้านทั้งสองที่นั่งเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้กับเธอ ท่านทั้งสองรักและเอ็นดูเธอราวกับเป็นลูกสาวแท้ ๆ คนหนึ่งของพวกท่าน แววตาของคุณหญิงปานวาดที่มองมาที่เธอมาอย่างอ่อนโยนนั้นเต็มไปด้วยความสงสารและให้กำลังใจ พริมาเองก็แปลกใจตัวเองอยู่ไม่น้อยที่เธอสามารถตั้งรับกับเหตุการณ์ตรงหน้าได้อย่างมีศักดิ์ศรี เธอไม่ได้ร้องไห้คร่ำครวญ หรือตีโพยตีพายอย่างบรรดาเมียหลวงในละคร เธอคิดว่าอาจเป็นเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ ไม่ใช่เรื่อง ‘ที่สุดของชีวิต’ สำหรับตัวเธอเองก็เป็นได้ เพราะนับตั้งแต่เด็กชายตัวน้อย ๆ ทั้งสองได้ลืมตาขึ้นดูโลก ลูกชายทั้งสองคนก็กลายเป็น ‘ที่สุดของชีวิต’ ของเธอแทนทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ไปแล้ว.....เจ็บเพราะสามีตายจากกันทั้งเป็น อย่างไรก็ไม่ทุกข์ทนเท่าต้องเห็นร่างไร้วิญญาณของเลือดในอก
‘ว่าไงล่ะโป๊ป จะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ’ เสียงประมุขใหญ่ของบ้านดังกังวานขึ้นทำลายความเงียบ
‘ผูกขึ้นมาเอง ก็ต้องรู้จักแก้สิ’ นายพัฒนสำทับลูกชายตัวดีผู้ก่อเรื่องอีกครั้ง
พริมาที่ยังคงจ้องหน้าสามีเพราะแอบหวังว่าจะได้ยินคำปฏิเสธออกมาจากปากของภัทร์ เสไปเหลือบมองหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ผู้หญิงคนนั้นก้มหน้านิ่ง มือข้างหนึ่งวางอยู่แนบท้องที่นูนออกมาอย่างเห็นได้ชัด พริมาแอบเดาว่าคงไม่น้อยกว่า 5 เดือน ว่าที่คุณแม่ใช้นิ้วหัวแม่มือลูบท้องขึ้นลงเหมือนจะส่งผ่านความรู้สึกไปยังชีวิตน้อย ๆ ที่ได้ก่อกำเนิดขึ้นมา พริมาถอนหายใจช้า ๆ และรู้สึกสมเพชตัวเองที่ยังไปนึกสงสารเด็กในท้องทั้ง ๆ ที่ในเวลานั้นตัวเธอเองยังแทบเอาตัวไม่รอด เธอสงสารลูกของคนที่มาทำลายชีวิตครอบครัวของเธอเอง! พริมาคิดในใจว่าอย่างน้อยในความทุกข์ใหญ่หลวงครั้งนี้ เธอก็ยังโชคดีที่ลูก ๆ ของเธอไม่ต้องมาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ลูก ๆ ของเธอไม่ต้องเกิดมาพร้อมกับฉายาว่า ‘ลูกเมียน้อย’ เหมือนกับเด็กในท้องคนนั้น เด็กที่ใครต่อใครเปรียบว่าเป็นดั่งผ้าขาวบริสุทธิ์ กลับต้องมาแปดเปื้อนตั้งแต่ยังไม่ได้ลืมตาดูโลกเพราะความขาดสำนึกของพ่อและแม่!
‘เด็กในท้องเป็นลูกของคุณภัทร์จริง ๆ นะคะ วิกล้าท้าให้ตรวจดีเอ็นเอได้ค่ะ’ เสียงของวิภาวีดังขึ้นแทนที่จะเป็นเสียงของชายหนุ่มผู้ถูกตั้งคำถาม ซึ่งก็เรียกความสนใจจากทุกคนได้เป็นอย่างดี
‘ใครถามหล่อนฮะ!’ คุณหญิงปานวาดถามขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
‘เป็นแค่เมียน้อย เมียลับ จะลูกจริงลูกปลอมก็แค่นั้นแหละ ยังไงก็เรียกว่าลูกนอกสมรส กรรมของเด็กเพราะแม่ไม่รู้จักรักดี’
‘ของแบบนี้ตบมือข้างเดียวได้ที่ไหนละคุณวาด ทำไมไม่โทษพ่อลูกชายตัวดีของคุณบ้าง’ เสียงทรงอำนาจของเจ้าของบ้านทะลุกลางป้องขึ้นมาบ้าง คุณหญิงปานวาดที่ถูกตำหนิจึงต้องหาที่ลง
‘ก็นี่ไงคะ ดิฉันถึงได้ให้ตาโป๊ปเข้ามาคุยกันที่บ้านให้รู้เรื่องรู้ราว’ คุณหญิงรีบออกตัวแล้วพูดต่อว่า
‘ว่าไงล่ะโป๊ป บอกพ่อเขาไปสิว่าเรื่องนี้น่ะเกิดขึ้นได้เพราะอะไร คราวนี้พ่อกับแม่คงถูกท่านผู้ว่ากับคุณนายถอนหงอกแน่ ๆ’
‘นี่ถ้าแม่แกไม่ไปบังเอิญเจอที่โรงพยาบาล แกก็คงยังปิดบังพวกเราอยู่สินะ’ นายพัฒนดุลูกชาย
‘ผม...ผมไม่ได้....’ ภัทร์พูดไม่ออก ยิ่งได้เห็นสายตาที่ปวดร้าวของภรรยาที่แต่งงานและรู้จักกันมากว่า 10 ปีแล้ว
‘วิเป็นคนผิดเองล่ะค่ะ วิรู้ทั้งรู้ว่าคุณภัทร์มีครอบครัวแล้ว แต่วิก็ยัง.....’
‘ยอมง่าย ๆ ใช่ไหมจ๊ะ’ คุณหญิงปานวาดจบประโยคให้ด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่ดูหมิ่นดูแคลน
‘คุณวาด! พอเถอะนะ คนเขาพลาดมาแล้ว จะซ้ำเติมอะไรนักหนา เวลานี้ต้องมาช่วยกันคิดสิว่าจะเอายังไงกัน จะทำยังไงกันต่อไปดี’ อดีตนายธนาคารใหญ่เตือนสติภรรยาคู่ทุกข์คู่ยาก
‘หนูปริมละ มีอะไรจะพูดไหม’ นายพัฒนหันไปถามลูกสะใภ้ที่ยังคงนิ่งงัน
‘หนูปริมไม่ต้อง แม่จัดการเอง ถ้าคุณพี่ถามดิฉัน ๆ ก็มีคำตอบอยู่แล้ว จะฟังไหมละคะ’
‘ไหนคุณลองว่ามาสิ’
‘ที่เราคิดกันไม่ตกก็เพราะมีเด็กในท้องเข้ามาเกี่ยว ใช่ไหมคะ’ คุณหญิงปานวาดหยุดพูดเพื่อให้สามีพยักหน้าเห็นพ้องด้วย แล้วจึงกล่าวต่อว่า
‘ถ้าไม่มีเด็ก ก็คงให้จบ ๆ กันไป เพราะตาโป๊ปก็มีเมียมีลูกอยู่แล้ว แต่ในเมื่อใช้เด็กมาต่อรองกันแบบนี้’ คุณหญิงหยุดพูดอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนกำลังตั้งใจฟังทุกถ้อยคำที่เธอกำลังจะกล่าว
‘เมื่ออยากให้เด็กใช้นามสกลุเรานัก เราก็จะเอาเฉพาะเด็กไว้ ส่วนเธอก็ไปตามทางของเธอ แต่ถ้าตรวจเลือดตรวจดีเอ็นเอแล้วพบว่าไม่ใช่เลือดของตระกูลพัฒนภิรมย์แล้วละก็ เธอก็มารับลูกกลับไปได้เลย’ คุณหญิงกล่าวอย่างเฉียบขาด
‘ไม่ได้นะคะ วิไม่ยอมยกลูกให้ใครหรอกค่ะ’ วิภาวีกล่าวพร้อมทั้งน้ำตาที่เริ่มไหลริน
‘อ้าว แล้วที่ปล่อยให้ท้องนี่ จะเลี้ยงเองเหรอ เลี้ยงไหวเหรอคนเดียวน่ะ’ คุณหญิงปานวาดถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย น้ำตาของวิภาวีทำอะไรเธอไม่ได้
‘ลูกของวิ วิก็ต้องเลี้ยงเองสิคะ’ วิภาวีตอบกลับในทันทีเช่นกัน
‘คุณแม่ครับ ผมถามหน่อย ถ้าคุณแม่จะเอาเด็กไว้ คุณแม่จะให้ใครเลี้ยง’ ภัทร์ถามขึ้น เพราะไม่อยากให้เรื่องราวบานปลายไปกว่านี้
‘ก็จ้างคนเลี้ยงสิ หรือแกจะให้หนูปริมเลี้ยงให้แกฮะ ฝันไปเถอะยะ ถึงเป็นเด็กผู้หญิงก็เถอะ ฉันคนหนึ่งล่ะไม่ยอม หนูปริมว่าไงลูก’ คุณหญิงหันมาถามลูกสะใภ้คนโปรดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
‘เอ่อ...ไม่ใช่ลูกปริม ปริมคงเลี้ยงไม่ได้’ พริมาตอบตรง ๆ ด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ยากจะคาดเดาว่าเธอพูดจริงหรือประชด แต่คนที่รู้จักเธอดีอย่างภัทร์รู้ดีว่าพริมาตอบออกมาจากใจ
‘ลูกใครก็คนนั้นเลี้ยงสิ ไม่เห็นจะต้องมาถามกันเลย’ เจ้าของบ้านฝ่ายชายปิดประเด็น
‘ที่ถามและยังไม่มีใครตอบสักคน คือ จะเอายังไงกันต่อ ว่าไงล่ะโป๊ป’
‘ผมขอรับผิดชอบเรื่องลูก’ ณ วินาทีนั้น พริมาที่คิดไว้ตอนแรกว่าจะนั่งฟังเงียบ ๆ ก็ต้องโพล่งออกไป
‘ปริมขอหย่าค่ะ’



อาทิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 ก.ย. 2555, 09:37:00 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 ก.ย. 2555, 09:37:00 น.

จำนวนการเข้าชม : 1807





<< ตอนที่ 10 ครบ 100% มาแล้วค่า   ตอนที่ 11.....100% ค่ะ >>
pretty 3 ก.ย. 2555, 14:06:29 น.
สงสารปริมที่สุดอ่ะ


violette 3 ก.ย. 2555, 18:49:38 น.
เฮ้อ อ่านแล้วก็สงสารปริมค่ะ พ่อแม่สามีเข้าข้างเต็มที่ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เท่าสามี
เหตุผลของนายโป๊ปที่อ่านมา ก็อย่างที่บอกล่ะค่ะ
เหตุผลของคน เห็นแก่ตัว ของผู้ชายที่ไม่ได้รักลูกเลย
ถ้ารักลูกจริงการที่เมียใส่ใจลูกมาก ทำไมตัวเองไม่เอาเวลาที่เมียใส่ใจลูกไม่ใส่ใจตัวเองมาอยู่กับเมียและลูกล่ะ แค่นี้ก็ไม่ต้องเห้นไปหาใครที่อ้างว่าเอาใจมากกว่า มาทดแทนเลยนี่
นายโป๊ปคือผู้ชายที่รักตัวเองเท่านั้นแหละ ไม่ได้รักคนอื่นเลยแม่แต่น้อย
อยากให้ปริมได้เจอผู้ชายดีๆคนใหม่มากกว่าค่ะ จะไปรักอะไรกับผู้ชายที่เห็นแก่ตัวไม่รู้จักแก้ไขนิสัยตัวเองแบบนี้


กาซะลองพลัดถิ่น 4 ก.ย. 2555, 00:25:17 น.
ผู้ชายแบบนายโป๊บหาได้ในโลกแห่งความเป็นจริง และผู้หญิงอย่างยัยวิภาวีเดินชนกันให้ว่อนในโลกแห่งความเป็นจริงท้องเพื่อที่จะจับเท่านั้น ....แต่ผู้หญิงอย่างปริมก็มีเพียบ ในเมื่อไม่รักกันแล้วจะอยู่มองหากันอีกไปใย...สงสารปริม


pumkin 5 ก.ย. 2555, 00:12:43 น.
^__^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account