ภูตคราม
ภูธรา ภูตป่าที่ดำรงเผ่าพันธุ์และยังชีพด้วยการสูบพลังวิญญาณของสิ่งมีชีวิต
มนุษย์ สรรพสัตว์ทั้งหลายหรือแม้แต่พืชพรรณไม้นานา
การปรากฏตัวของพิมมาดา หญิงสาวผู้มีดวงจิตอันบริสุทธิ์
รักแรกพบจึงเกิดขึ้น
ความรักของทั้งสองจะเป็นเช่นไรเมื่อฝ่ายหนึ่งเป็นสิ่งไร้ตัวตน
พวกเขาจะต้องทำอย่างไรจึงจะได้ครองคู่กัน
มนุษย์ สรรพสัตว์ทั้งหลายหรือแม้แต่พืชพรรณไม้นานา
การปรากฏตัวของพิมมาดา หญิงสาวผู้มีดวงจิตอันบริสุทธิ์
รักแรกพบจึงเกิดขึ้น
ความรักของทั้งสองจะเป็นเช่นไรเมื่อฝ่ายหนึ่งเป็นสิ่งไร้ตัวตน
พวกเขาจะต้องทำอย่างไรจึงจะได้ครองคู่กัน
Tags: ภูต
ตอน: บทที่ 6 กลิ่นดอกมณฑา
บทที่ 6 กลิ่นดอกมณฑา
เสียงเพลงจากโทรศัพท์มือถือทำให้พิมมาดาจำต้องผละจากความฝันอันแสนสุข เธอควานหาต้นเสียงและกดปุ่มปิดแต่ยังคงนอนหลับตานิ่งไม่ยอมขยับอยู่ชั่วครู่ แต่พอได้ยินเสียงไก่ขันดังแว่วมาแต่ไกลหญิงสาวจำต้องลืมตาตื่น เธอลุกขึ้นนั่งงัวเงียอีกพักใหญ่จากนั้นจึงลุกขึ้นคว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำ สายน้ำเย็นฉ่ำจากฝักบัวที่พร่างพรมลงบนตัวสร้างความสดชื่นให้กับ
พิมมาดาเป็นอย่างมาก ระหว่างที่ฟอกสบู่และไล้ฟองสีขาวละมุนไปทั่วร่างกายหญิงสาวก็ร้องเพลงคลอไปด้วยอย่างมีความสุข ช่วงที่เพลิดเพลินอยู่กับการล้างฟองออกจากตัวนั้นอยู่ ๆเธอก็รู้สึกเหมือนมีใครบางคนเฝ้ามองเธออยู่ หญิงสาวหันมองรอบตัวอย่างระแวงและถอนใจออกมาเมื่อไม่พบสิ่งผิดปรกติใด ๆ
“สงสัยเราจะคิดมากไป”
พิมมาดาพูดกับตัวเองและอาบน้ำต่อจนเสร็จ เมื่อแต่งตัวและรับประทานมื้อเช้าซึ่งมีเพียงกาแฟหนึ่งถ้วยกับขนมปังอีกสองสามแผ่นแล้วหญิงสาวจึงคว้ากระเป๋าก้าวออกจากบ้าน ขณะกำลังใส่กุญแจรั้วสายตาของเธอก็เหลือบไปยังต้นมณฑาโดยไม่ได้ตั้งใจ หัวใจกระตุกวาบเมื่อเห็นชายคนหนึ่งกำลังยืนมองเธออยู่เช่นเดียวกัน เหมือนอีกฝ่ายจะรู้ตัว ร่างสูงใหญ่เลื่อนหายวูบเข้าไปในต้นไม้ ภาพที่เห็นทำให้หญิงสาวขนลุกไปทั้งร่าง กุญแจที่ถืออยู่ร่วงหลุดจากมือ เธอรีบก้มลงเก็บและมองต้นมณฑาอีกครั้งแต่ก็คราวนี้กลับไม่พบกับสิ่งใด หญิงสาวจึงขยับถอยหลังออกไปสองสามก้าวพร้อมกับพึมพำ
“เราคงตาฝาด”
เธอปลอบใจตัวเองก่อนรีบเดินออกจากที่นั่น แม้จะเป็นเส้นทางที่ใช้มาตั้งแต่เล็กแต่เหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้หญิงสาวมองต้นไม้ทุกต้นอย่างหวาดระแวง เมื่อไปได้เพียงครึ่งทางเธอก็ได้ยินเสียงแตรรถจักรยานยนต์รับจ้างที่กดถามว่าต้องการใช้บริการหรือไม่ พิมมาดารีบผงกศีรษะรับ และโดยสารรถคันนั้นออกไปจนถึงปากซอยจากนั้นจึงนั่งรถประจำทางต่อไปจนถึงที่ทำงานของเธอ
เช้าวันนั้นพิมมาดาวุ่นวายอยู่กับการรับโทรศัทพ์บอกเลิกการชำระเงินจากลูกค้าซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มาจากยาที่ไม่ได้ครบตามจำนวน เรื่องนี้สร้างความปวดหัวให้กับนายองอาจเป็นอย่างมากจนถึงขนาดเผลอตวาดนงนภัสอย่างลืมตัว ผลคือเธอเดินสะบัดออกจากบริษัทไปอย่างเง้างอน แต่ก็เป็นผลดีกับนายองอาจเพราะหลังจากที่เธอออกไปแล้วเขาจึงมีเวลาลงไปตรวจสินค้าด้วยตัวเอง โดยมีพิมมาดาและสิทธิศักดิ์คอยให้ข้อมูล ตกบ่ายหลังจากคำนวณตัวเลขการสูญเสีย ผลสรุปของมันทำให้เจ้าของบริษัทแทบเอามือกุมขมับด้วยความเจ็บใจ
“เกือบห้าแสนเชียวหรือ”
นายองอาจพูดพลางวางเอกสารรายละเอียดที่พิมมาดานำมาให้ลงบนโต๊ะ หญิงสาวนิ่งไปเล็กน้อยก่อนตอบ
“นี่แค่เฉพาะมูลค่าของยาที่หายไปเท่านั้น ยังไม่นับจำนวนเงินที่ลูกค้าปฏิเสธที่จะจ่ายให้เรา”
“เรื่องนั้นผมพอจะจัดการได้ แต่ผมกังวลเรื่องความน่าเชื่อถือของบริษัทมากกว่าว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะทำให้ลูกค้าขาดความเชื่อมั่นกับบริษัทของเรา”
นายองอาจพูดพลางใช้ความคิดเมื่อเหลือบเห็นพิมมาดามีสีหน้าเคร่งเครียดตามเขาจึงรีบบอก
“ไม่ต้องเครียดไปหรอกคุณพิม บริษัทที่ติดต่อกับเราส่วนใหญ่เป็นลูกค้าเก่าแก่ซื้อขายกันมานาน เขาคงไม่หมดใจไปกับเรื่องแค่นี้หรอก เอาเป็นว่าเรื่องลูกค้าปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมกับพนักงานการตลาด คุณกลับไปทำงานของคุณเถอะ”
“ค่ะ”
พิมมาดารับคำและกลับไปทำงานตามหน้าที่แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังลอบถอนใจออกมาด้วยความกังวลหลายครั้งจนนิลเนตรซึ่งคอยสังเกตเพื่อนอยู่ตลอดเวลาเดินมาถาม
“มีอะไรกันเหรอพิม”
หญิงสาวส่ายหน้าพร้อมกับเปิดสมุดบัญชีออก
“ไม่มีอะไรหรอก”
“ไม่มีได้ยังไง วันนี้คุณองอาจฟาดงวงฟาดงาขนาดตวาดยายนงนภัสจนวิ่งแจ้นออกจากบริษัทแทบไม่ทันแถมเธอยังมานั่งถอนใจเป็นคนแก่อยู่นี่” เจ้าหล่อนขยับเข้าไปใกล้และก้มลงกระซิบ “ตกลงมันเกิดอะไรขึ้น”
พิมมาดาระบายลมหายใจออกมาค่อนข้างยาว แม้จะรักและไว้ใจเพื่อนแต่ด้วยคำสั่งของเจ้านายทำให้เธอไม่อาจเปิดเผยข้อมูลที่มีอยู่ในตอนนี้ได้ หญิงสาวจึงแสร้งส่งยิ้มให้กับนิลเนตร
“ไม่มีอะไรหรอก คุณองอาจแค่หงุดหงิดลูกค้านิดหน่อย ฉันเลยพลอยโดนหางเลขไปด้วย”
คำอธิบายของเธอไม่ได้ทำให้นิลเนตรชื่อเลยสักนิด แต่ด้วยรู้นิสัยว่าอีกฝ่ายเป็นคนปากหนักทำให้เธอจำต้องส่ายหน้า
“เป็นเหตุผลที่น่าเชื่อถือมากยายพิม แต่ช่างเถอะ ไว้พร้อมเมื่อไหร่เธอค่อยบอกฉันก็แล้วกัน” นิลเนตรพูดและทำท่าจะเดินจากไปแต่เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้จึงชะงักและหันกลับมาถาม
“ที่บ้านเป็นยังไงบ้าง”
คำถามแบบจู่โจมทำให้พิมมาดามองหน้าเพื่อนก่อนจะตอบแบบงง ๆ
“ก็ดี ทำไมเหรอ”
“เปล่าแค่ถามดู เห็นช่วงนี้อากาศร้อนจัดบ้านฉันแทบจะกลายสภาพเป็นเตาอบ เลยอยากจะรู้ว่าบ้านสวนของเธอจะเป็นอย่างนั้นด้วยหรือเปล่า”
อีกฝ่ายพูดติดตลก พิมมาดาหัวเราะออกมาเบา ๆ
“ถ้ามันร้อนมากมานอนเล่นที่บ้านฉันก็ได้”
ใบหน้านิลเนตรฉายความลังเลออกมาเพียงแค่ชั่วประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นเธอก็รีบสร้างรอยยิ้มพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง
“ช่วงนี้ชมพู่มะเหมี่ยวยังไม่ออก รอให้ลูกเต็มต้นก่อนแล้วฉันจะไป”
“พวกเห็นแก่กิน”
พิมมาดากระเซ้าเพื่อน อีกฝ่ายหัวเราะพร้อมกับเดินกลับไปนั่งทำงานที่โต๊ะตามเดิม ตลอดทั้งวันนอกจากเวลาเที่ยงแล้วทั้งนิลเนตรและพิมมาดาแทบไม่มีเวลาพูดคุยอะไรกันนัก เพราะนอกจากบัญชีที่ยังปิดไม่ลงแล้ว ยังต้องวิ่งวุ่นกับการนัดหมายลูกค้าเพื่อสร้างความมั่นใจ ตกเย็นหลังเลิกงานทุกคนจึงแยกย้ายกันกลับบ้านซึ่งวันนี้ดูเหมือนการเดินทางจะเป็นไปอย่างราบรื่นจนเมื่อพิมมาดามาหยุดยืนอยู่บริเวณรั้วหน้าบ้าน ภาพของชายหนุ่มที่เธอเห็นเมื่อเช้าก็ย้อนกลับเข้ามาในห้วงความคิด หญิงสาวสะบัดศีรษะเพื่อไล่มันออกไป เธอพูดกับตัวเอง
“เราแค่ตาฝาดไปเท่านั้น”
พูดพลางไขกุญแจเข้าบ้าน เธอวางกระเป๋าไว้บนโต๊ะในห้องรับแขกและเดินหิ้วถุงกับข้าวเข้าไปในครัวเพื่อจัดลงจาน ระหว่างที่กำลังเทอาหารหญิงสาวก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อเห็นเงาดำทาบบนตู้เย็นและเคลื่อนออกไปทางประตูหน้าอย่างรวดเร็ว ถุงกับข้าวหลุดจากมือกระจายเต็มพื้นห้อง เมื่อตั้งสติได้เธอจึงรีบวิ่งเข้าห้องพระและรีบจุดธูปมือไม้สั่นปากก็ขอให้คุณพระรวมทั้งวิญญาณคุณตาคุณยายมาช่วยคุ้มครอง เมื่อปักธูปลงในกระถางแล้วเธอยังคงนั่งอยู่ในท่านั้นอีกสักพัก เมื่อตั้งสติได้อาการหวาดกลัวเริ่มคลายลง หญิงสาวจึงตั้งคำถามกับตัวเอง
“นั่นมันเงาอะไร”พิมมาดาคิดเพราะอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้มาตั้งแต่เด็กเธอยังไม่เคยเห็นผีหรือวิญญาณอะไรเลยสักครั้ง อย่าว่าแต่สิ่งเหล่านั้นเลย กระทั่งพระภูมิเจ้าที่ซึ่งตากับยายมักจะพร่ำบอกเสมอว่ามีจริงเธอก็ยังไม่เคยเจอ การพบเงาประหลาดถึงสองครั้งในวันเดียวนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องปรกติอย่างแน่นอน ด้วยความคิดที่ว่าผีไม่มีจริงในโลกทำให้หญิงสาวเฝ้าถามกับตัวเองว่าสิ่งที่เห็นคืออะไร
ภูตคราม
ชื่อของภูตลึกลับที่ได้ฟังจากพรานเฒ่าวิ่งเข้ามาในหัว พิมมาดารีบสะบัดหน้าเพื่อขับไล่ความคิดนั้นพร้อมกับพูด
“เป็นไปไม่ได้” เธอชะงักไปเล็กน้อยเมื่อนึกถึงประสบการณ์น่ากลัวที่เจอมาตอนไปเที่ยวเขาใหญ่ หญิงสาวเม้มปากแน่นพร้อมกับให้เหตุผลกับตัวเอง
“ถ้าสิ่งนั้นมีจริงคงไม่มีทางที่จะมาอยู่ที่นี่ได้หรอก เขาใหญ่กับนนทบุรีอยู่ห่างกันตั้งไกล”
คิดพลางมองธูปที่ไหม้ไปได้ครึ่งดอก หญิงสาวจึงลุกขึ้นเปิดประตูและกวาดตามองโดยรอบอย่างระวัง เมื่อไม่เห็นอะไรผิดแผกแปลกตาเธอจึงตัดสินใจก้าวออกจากห้องพระเดินกลับลงไปยังชั้นล่างอีกครั้ง แสงไฟที่เปิดทิ้งไว้ตั้งแต่หัวค่ำทำให้เธอมองเห็นทุกอย่างกระจ่างชัด เมื่อสำรวจจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีเงาอะไรหญิงสาวจึงเดินไปเปิดเพลงเพื่ออาศัยเสียงดนตรีเป็นเพื่อนจากนั้นจึงเข้าไปในครัวและเก็บกวาดทำความสะอาดเศษอาหารที่ทำตกไว้
มื้อค่ำวันนี้เป็นไปอย่างฝืดฝืนเพราะความหวาดระแวงทำให้กับข้าวที่เคยถูกปากกลับกลายเป็นไร้รสชาติเสียจนเธอแทบไม่อยากจะกิน เมื่อจัดการกับอาหารเสร็จพิมมาดาก็รีบอาบน้ำ หลังจากสำรวจประตูหน้าต่างเรียบร้อยดีหมดแล้วหญิงสาวจึงขึ้นนอนโดยไม่ลืมที่จะเข้าไปสวดมนต์ในห้องพระอีกครั้งเพื่อความอุ่นใจ
ความเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานมาทั้งวันทำให้หญิงสาวอยากจะนอนให้หลับโดยเร็วแต่ความกลัวที่ยังคงฝังอยู่ภายในใจทำให้ไม่อาจข่มตาหลับลงได้ เธอพลิกตัวไปมาอย่างกระสับกระส่ายอยู่นานกระทั่งกลิ่นหอมเย็นของดอกมณฑาฟุ้งกระจายเข้ามาในห้อง สมองที่หนักอึ้งก็บรรเทาเบาบางลง ความกังวลที่มีอยู่เมื่อครู่พลันมลายหายไป ดวงตาที่แข็งจนไม่อาจปิดได้เมื่อครู่หรี่ปรือลง และเมื่อสายลมเย็นพัดผ่านเข้ามาในห้อง หญิงสาวจึงเข้าสู่ภวังค์นิทรา
เมื่อแน่ใจว่าพิมมาดาหลับสนิทแล้วภูธราจึงปรากฏกายขึ้น เขามองหญิงสาวด้วยดวงตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักก่อนจะวางดอกมณฑาลงข้างหมอน แม้จะไม่สามารถสัมผัสตัวได้โดยตรงแต่ภูตหนุ่มก็อาศัยสายลมเป็นสิ่งนำพา สัมผัสแสนอ่อนโยนที่ไล้ไปบนใบหน้าของ
พิมมาดาสร้างความสุขใจให้กับภูธราอย่างเปี่ยมล้น เขายิ้มอย่างมีความสุขและเปิดปากเรียกชื่อของเธอเป็นครั้งแรก
“พิมมาดา”
สายลมยามดึกพัดเข้ามาอีกครั้ง ครานี้มันหมุนวนรอบตัวของหญิงสาวหนึ่งรอบจากนั้นจึงพัดออกจากห้องพร้อมกับภูตครามหนุ่มภูธรา
*/*/*/*/*
ตอนแรกว่าจะลงบทที่ 6 ตอนกลางวันแต่นั่งทำงานเพลินจนลืม พอนึกขึ้นได้ก็รีบเข้ามาโพสต์ทันทีเลยค่ะ กลัวคนอ่านจะลืม
คุยกันค่า ^0^/
คุณหนอนฮับ แหมเล่นเข้าไปอ่านในเด็กดีก่อนเลยเหรอคะ แต่ดีใจจังที่มีคนชอบนิยายเรื่องนี้
คุณดารานิล คงต้องรอกันอีกนานค่ะกว่าพระเอกของเราจะแตะเนื้อต้องตัวนางเอกได้
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามนิยายของมูนนี่นะคะ
เสียงเพลงจากโทรศัพท์มือถือทำให้พิมมาดาจำต้องผละจากความฝันอันแสนสุข เธอควานหาต้นเสียงและกดปุ่มปิดแต่ยังคงนอนหลับตานิ่งไม่ยอมขยับอยู่ชั่วครู่ แต่พอได้ยินเสียงไก่ขันดังแว่วมาแต่ไกลหญิงสาวจำต้องลืมตาตื่น เธอลุกขึ้นนั่งงัวเงียอีกพักใหญ่จากนั้นจึงลุกขึ้นคว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำ สายน้ำเย็นฉ่ำจากฝักบัวที่พร่างพรมลงบนตัวสร้างความสดชื่นให้กับ
พิมมาดาเป็นอย่างมาก ระหว่างที่ฟอกสบู่และไล้ฟองสีขาวละมุนไปทั่วร่างกายหญิงสาวก็ร้องเพลงคลอไปด้วยอย่างมีความสุข ช่วงที่เพลิดเพลินอยู่กับการล้างฟองออกจากตัวนั้นอยู่ ๆเธอก็รู้สึกเหมือนมีใครบางคนเฝ้ามองเธออยู่ หญิงสาวหันมองรอบตัวอย่างระแวงและถอนใจออกมาเมื่อไม่พบสิ่งผิดปรกติใด ๆ
“สงสัยเราจะคิดมากไป”
พิมมาดาพูดกับตัวเองและอาบน้ำต่อจนเสร็จ เมื่อแต่งตัวและรับประทานมื้อเช้าซึ่งมีเพียงกาแฟหนึ่งถ้วยกับขนมปังอีกสองสามแผ่นแล้วหญิงสาวจึงคว้ากระเป๋าก้าวออกจากบ้าน ขณะกำลังใส่กุญแจรั้วสายตาของเธอก็เหลือบไปยังต้นมณฑาโดยไม่ได้ตั้งใจ หัวใจกระตุกวาบเมื่อเห็นชายคนหนึ่งกำลังยืนมองเธออยู่เช่นเดียวกัน เหมือนอีกฝ่ายจะรู้ตัว ร่างสูงใหญ่เลื่อนหายวูบเข้าไปในต้นไม้ ภาพที่เห็นทำให้หญิงสาวขนลุกไปทั้งร่าง กุญแจที่ถืออยู่ร่วงหลุดจากมือ เธอรีบก้มลงเก็บและมองต้นมณฑาอีกครั้งแต่ก็คราวนี้กลับไม่พบกับสิ่งใด หญิงสาวจึงขยับถอยหลังออกไปสองสามก้าวพร้อมกับพึมพำ
“เราคงตาฝาด”
เธอปลอบใจตัวเองก่อนรีบเดินออกจากที่นั่น แม้จะเป็นเส้นทางที่ใช้มาตั้งแต่เล็กแต่เหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้หญิงสาวมองต้นไม้ทุกต้นอย่างหวาดระแวง เมื่อไปได้เพียงครึ่งทางเธอก็ได้ยินเสียงแตรรถจักรยานยนต์รับจ้างที่กดถามว่าต้องการใช้บริการหรือไม่ พิมมาดารีบผงกศีรษะรับ และโดยสารรถคันนั้นออกไปจนถึงปากซอยจากนั้นจึงนั่งรถประจำทางต่อไปจนถึงที่ทำงานของเธอ
เช้าวันนั้นพิมมาดาวุ่นวายอยู่กับการรับโทรศัทพ์บอกเลิกการชำระเงินจากลูกค้าซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มาจากยาที่ไม่ได้ครบตามจำนวน เรื่องนี้สร้างความปวดหัวให้กับนายองอาจเป็นอย่างมากจนถึงขนาดเผลอตวาดนงนภัสอย่างลืมตัว ผลคือเธอเดินสะบัดออกจากบริษัทไปอย่างเง้างอน แต่ก็เป็นผลดีกับนายองอาจเพราะหลังจากที่เธอออกไปแล้วเขาจึงมีเวลาลงไปตรวจสินค้าด้วยตัวเอง โดยมีพิมมาดาและสิทธิศักดิ์คอยให้ข้อมูล ตกบ่ายหลังจากคำนวณตัวเลขการสูญเสีย ผลสรุปของมันทำให้เจ้าของบริษัทแทบเอามือกุมขมับด้วยความเจ็บใจ
“เกือบห้าแสนเชียวหรือ”
นายองอาจพูดพลางวางเอกสารรายละเอียดที่พิมมาดานำมาให้ลงบนโต๊ะ หญิงสาวนิ่งไปเล็กน้อยก่อนตอบ
“นี่แค่เฉพาะมูลค่าของยาที่หายไปเท่านั้น ยังไม่นับจำนวนเงินที่ลูกค้าปฏิเสธที่จะจ่ายให้เรา”
“เรื่องนั้นผมพอจะจัดการได้ แต่ผมกังวลเรื่องความน่าเชื่อถือของบริษัทมากกว่าว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะทำให้ลูกค้าขาดความเชื่อมั่นกับบริษัทของเรา”
นายองอาจพูดพลางใช้ความคิดเมื่อเหลือบเห็นพิมมาดามีสีหน้าเคร่งเครียดตามเขาจึงรีบบอก
“ไม่ต้องเครียดไปหรอกคุณพิม บริษัทที่ติดต่อกับเราส่วนใหญ่เป็นลูกค้าเก่าแก่ซื้อขายกันมานาน เขาคงไม่หมดใจไปกับเรื่องแค่นี้หรอก เอาเป็นว่าเรื่องลูกค้าปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมกับพนักงานการตลาด คุณกลับไปทำงานของคุณเถอะ”
“ค่ะ”
พิมมาดารับคำและกลับไปทำงานตามหน้าที่แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังลอบถอนใจออกมาด้วยความกังวลหลายครั้งจนนิลเนตรซึ่งคอยสังเกตเพื่อนอยู่ตลอดเวลาเดินมาถาม
“มีอะไรกันเหรอพิม”
หญิงสาวส่ายหน้าพร้อมกับเปิดสมุดบัญชีออก
“ไม่มีอะไรหรอก”
“ไม่มีได้ยังไง วันนี้คุณองอาจฟาดงวงฟาดงาขนาดตวาดยายนงนภัสจนวิ่งแจ้นออกจากบริษัทแทบไม่ทันแถมเธอยังมานั่งถอนใจเป็นคนแก่อยู่นี่” เจ้าหล่อนขยับเข้าไปใกล้และก้มลงกระซิบ “ตกลงมันเกิดอะไรขึ้น”
พิมมาดาระบายลมหายใจออกมาค่อนข้างยาว แม้จะรักและไว้ใจเพื่อนแต่ด้วยคำสั่งของเจ้านายทำให้เธอไม่อาจเปิดเผยข้อมูลที่มีอยู่ในตอนนี้ได้ หญิงสาวจึงแสร้งส่งยิ้มให้กับนิลเนตร
“ไม่มีอะไรหรอก คุณองอาจแค่หงุดหงิดลูกค้านิดหน่อย ฉันเลยพลอยโดนหางเลขไปด้วย”
คำอธิบายของเธอไม่ได้ทำให้นิลเนตรชื่อเลยสักนิด แต่ด้วยรู้นิสัยว่าอีกฝ่ายเป็นคนปากหนักทำให้เธอจำต้องส่ายหน้า
“เป็นเหตุผลที่น่าเชื่อถือมากยายพิม แต่ช่างเถอะ ไว้พร้อมเมื่อไหร่เธอค่อยบอกฉันก็แล้วกัน” นิลเนตรพูดและทำท่าจะเดินจากไปแต่เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้จึงชะงักและหันกลับมาถาม
“ที่บ้านเป็นยังไงบ้าง”
คำถามแบบจู่โจมทำให้พิมมาดามองหน้าเพื่อนก่อนจะตอบแบบงง ๆ
“ก็ดี ทำไมเหรอ”
“เปล่าแค่ถามดู เห็นช่วงนี้อากาศร้อนจัดบ้านฉันแทบจะกลายสภาพเป็นเตาอบ เลยอยากจะรู้ว่าบ้านสวนของเธอจะเป็นอย่างนั้นด้วยหรือเปล่า”
อีกฝ่ายพูดติดตลก พิมมาดาหัวเราะออกมาเบา ๆ
“ถ้ามันร้อนมากมานอนเล่นที่บ้านฉันก็ได้”
ใบหน้านิลเนตรฉายความลังเลออกมาเพียงแค่ชั่วประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นเธอก็รีบสร้างรอยยิ้มพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง
“ช่วงนี้ชมพู่มะเหมี่ยวยังไม่ออก รอให้ลูกเต็มต้นก่อนแล้วฉันจะไป”
“พวกเห็นแก่กิน”
พิมมาดากระเซ้าเพื่อน อีกฝ่ายหัวเราะพร้อมกับเดินกลับไปนั่งทำงานที่โต๊ะตามเดิม ตลอดทั้งวันนอกจากเวลาเที่ยงแล้วทั้งนิลเนตรและพิมมาดาแทบไม่มีเวลาพูดคุยอะไรกันนัก เพราะนอกจากบัญชีที่ยังปิดไม่ลงแล้ว ยังต้องวิ่งวุ่นกับการนัดหมายลูกค้าเพื่อสร้างความมั่นใจ ตกเย็นหลังเลิกงานทุกคนจึงแยกย้ายกันกลับบ้านซึ่งวันนี้ดูเหมือนการเดินทางจะเป็นไปอย่างราบรื่นจนเมื่อพิมมาดามาหยุดยืนอยู่บริเวณรั้วหน้าบ้าน ภาพของชายหนุ่มที่เธอเห็นเมื่อเช้าก็ย้อนกลับเข้ามาในห้วงความคิด หญิงสาวสะบัดศีรษะเพื่อไล่มันออกไป เธอพูดกับตัวเอง
“เราแค่ตาฝาดไปเท่านั้น”
พูดพลางไขกุญแจเข้าบ้าน เธอวางกระเป๋าไว้บนโต๊ะในห้องรับแขกและเดินหิ้วถุงกับข้าวเข้าไปในครัวเพื่อจัดลงจาน ระหว่างที่กำลังเทอาหารหญิงสาวก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อเห็นเงาดำทาบบนตู้เย็นและเคลื่อนออกไปทางประตูหน้าอย่างรวดเร็ว ถุงกับข้าวหลุดจากมือกระจายเต็มพื้นห้อง เมื่อตั้งสติได้เธอจึงรีบวิ่งเข้าห้องพระและรีบจุดธูปมือไม้สั่นปากก็ขอให้คุณพระรวมทั้งวิญญาณคุณตาคุณยายมาช่วยคุ้มครอง เมื่อปักธูปลงในกระถางแล้วเธอยังคงนั่งอยู่ในท่านั้นอีกสักพัก เมื่อตั้งสติได้อาการหวาดกลัวเริ่มคลายลง หญิงสาวจึงตั้งคำถามกับตัวเอง
“นั่นมันเงาอะไร”พิมมาดาคิดเพราะอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้มาตั้งแต่เด็กเธอยังไม่เคยเห็นผีหรือวิญญาณอะไรเลยสักครั้ง อย่าว่าแต่สิ่งเหล่านั้นเลย กระทั่งพระภูมิเจ้าที่ซึ่งตากับยายมักจะพร่ำบอกเสมอว่ามีจริงเธอก็ยังไม่เคยเจอ การพบเงาประหลาดถึงสองครั้งในวันเดียวนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องปรกติอย่างแน่นอน ด้วยความคิดที่ว่าผีไม่มีจริงในโลกทำให้หญิงสาวเฝ้าถามกับตัวเองว่าสิ่งที่เห็นคืออะไร
ภูตคราม
ชื่อของภูตลึกลับที่ได้ฟังจากพรานเฒ่าวิ่งเข้ามาในหัว พิมมาดารีบสะบัดหน้าเพื่อขับไล่ความคิดนั้นพร้อมกับพูด
“เป็นไปไม่ได้” เธอชะงักไปเล็กน้อยเมื่อนึกถึงประสบการณ์น่ากลัวที่เจอมาตอนไปเที่ยวเขาใหญ่ หญิงสาวเม้มปากแน่นพร้อมกับให้เหตุผลกับตัวเอง
“ถ้าสิ่งนั้นมีจริงคงไม่มีทางที่จะมาอยู่ที่นี่ได้หรอก เขาใหญ่กับนนทบุรีอยู่ห่างกันตั้งไกล”
คิดพลางมองธูปที่ไหม้ไปได้ครึ่งดอก หญิงสาวจึงลุกขึ้นเปิดประตูและกวาดตามองโดยรอบอย่างระวัง เมื่อไม่เห็นอะไรผิดแผกแปลกตาเธอจึงตัดสินใจก้าวออกจากห้องพระเดินกลับลงไปยังชั้นล่างอีกครั้ง แสงไฟที่เปิดทิ้งไว้ตั้งแต่หัวค่ำทำให้เธอมองเห็นทุกอย่างกระจ่างชัด เมื่อสำรวจจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีเงาอะไรหญิงสาวจึงเดินไปเปิดเพลงเพื่ออาศัยเสียงดนตรีเป็นเพื่อนจากนั้นจึงเข้าไปในครัวและเก็บกวาดทำความสะอาดเศษอาหารที่ทำตกไว้
มื้อค่ำวันนี้เป็นไปอย่างฝืดฝืนเพราะความหวาดระแวงทำให้กับข้าวที่เคยถูกปากกลับกลายเป็นไร้รสชาติเสียจนเธอแทบไม่อยากจะกิน เมื่อจัดการกับอาหารเสร็จพิมมาดาก็รีบอาบน้ำ หลังจากสำรวจประตูหน้าต่างเรียบร้อยดีหมดแล้วหญิงสาวจึงขึ้นนอนโดยไม่ลืมที่จะเข้าไปสวดมนต์ในห้องพระอีกครั้งเพื่อความอุ่นใจ
ความเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานมาทั้งวันทำให้หญิงสาวอยากจะนอนให้หลับโดยเร็วแต่ความกลัวที่ยังคงฝังอยู่ภายในใจทำให้ไม่อาจข่มตาหลับลงได้ เธอพลิกตัวไปมาอย่างกระสับกระส่ายอยู่นานกระทั่งกลิ่นหอมเย็นของดอกมณฑาฟุ้งกระจายเข้ามาในห้อง สมองที่หนักอึ้งก็บรรเทาเบาบางลง ความกังวลที่มีอยู่เมื่อครู่พลันมลายหายไป ดวงตาที่แข็งจนไม่อาจปิดได้เมื่อครู่หรี่ปรือลง และเมื่อสายลมเย็นพัดผ่านเข้ามาในห้อง หญิงสาวจึงเข้าสู่ภวังค์นิทรา
เมื่อแน่ใจว่าพิมมาดาหลับสนิทแล้วภูธราจึงปรากฏกายขึ้น เขามองหญิงสาวด้วยดวงตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักก่อนจะวางดอกมณฑาลงข้างหมอน แม้จะไม่สามารถสัมผัสตัวได้โดยตรงแต่ภูตหนุ่มก็อาศัยสายลมเป็นสิ่งนำพา สัมผัสแสนอ่อนโยนที่ไล้ไปบนใบหน้าของ
พิมมาดาสร้างความสุขใจให้กับภูธราอย่างเปี่ยมล้น เขายิ้มอย่างมีความสุขและเปิดปากเรียกชื่อของเธอเป็นครั้งแรก
“พิมมาดา”
สายลมยามดึกพัดเข้ามาอีกครั้ง ครานี้มันหมุนวนรอบตัวของหญิงสาวหนึ่งรอบจากนั้นจึงพัดออกจากห้องพร้อมกับภูตครามหนุ่มภูธรา
*/*/*/*/*
ตอนแรกว่าจะลงบทที่ 6 ตอนกลางวันแต่นั่งทำงานเพลินจนลืม พอนึกขึ้นได้ก็รีบเข้ามาโพสต์ทันทีเลยค่ะ กลัวคนอ่านจะลืม
คุยกันค่า ^0^/
คุณหนอนฮับ แหมเล่นเข้าไปอ่านในเด็กดีก่อนเลยเหรอคะ แต่ดีใจจังที่มีคนชอบนิยายเรื่องนี้
คุณดารานิล คงต้องรอกันอีกนานค่ะกว่าพระเอกของเราจะแตะเนื้อต้องตัวนางเอกได้
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามนิยายของมูนนี่นะคะ
มุนีรัตน์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 ก.ย. 2555, 22:47:41 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 ก.ย. 2555, 22:47:41 น.
จำนวนการเข้าชม : 1323
<< บทที่ 5 การตรวจสอบ | บทที่ 7 การพบกันอีกครั้ง >> |
pulala 11 ก.ย. 2555, 23:24:45 น.
หวานจังเลย
หวานจังเลย
ดารานิล 12 ก.ย. 2555, 18:10:46 น.
โห...ได้แค่มองหน้ากันตอนหลับ อย่างนี้อัดอั้นใจตายเลยค่ะพี่มูนนี่ 555
โห...ได้แค่มองหน้ากันตอนหลับ อย่างนี้อัดอั้นใจตายเลยค่ะพี่มูนนี่ 555
Pat 14 ก.ย. 2555, 09:07:46 น.
ความรักที่ไม่อาจจับต้องได้. แล้วมันจะเป็นยังไงน้อ
ความรักที่ไม่อาจจับต้องได้. แล้วมันจะเป็นยังไงน้อ