ความทรงจำในผืนทราย(My Last Memory)
บทสวดแห่งความตายนำวิญญาณของฟาโรห์หนุ่มให้คืนชีพ
ทว่า แผ่นดินที่เขายืนอยู่หลังจากมีชีวิตอีกครั้ง กลับไม่ใช่อาณาจักรของตน
หากเป็นห้องพักของนักศึกษาสาวคนหนึ่ง
ความอลเวง วุ่นวายและภยันตราย
สร้างรักแท้ร้อยรัดมัดคุณหนูผู้เอาแต่ใจและฟาโรห์หนุ่มไว้ด้วยกัน
แต่เมื่อความทรงจำเริ่มเรียกหาบุรุษจากอดีตกาล
เธอจะทำเช่นไรเพื่อรักษาความรักนี้ไว้
ไม่ให้หายไปกับ....ผืนทราย
Tags: รัก,ฟาโรหื

ตอน: บทที่ 4 การเรียนรู้

บทที่ 4

การเรียนรู้

หลังจากผ่านการเรียนอันหนักหนาสาหัสมาตลอดทั้งวัน แป้งรีบเก็บตำราทุกเล่มกลับลงไปในกระเป๋าแทบจะทันทีที่ได้ยินเสียงกริ่งสัญญาณบอกเวลาเลิกเรียน หญิงสาวเร่งเท้าเดินออกจากห้องอย่างรวดเร็วเสียจนไม่ได้ยินเสียงแก้วและมนเพื่อนของเธอที่ร้องเรียกเพื่อชวนไปซื้อของด้วยกัน ขณะที่กำลังเดินผ่านประตูของมหาวิทยาลัยจมูกของแป้งก็ได้กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกประดู่ที่ปลูกเรียงรายอยู่ริมทางเดินของถนนที่อยู่ด้านนอกรั้วสถานศึกษาของเธอโชยมาตามลม ประกอบกับกระแสลมเย็นที่พัดมาจากด้านแม่น้ำอย่างบางเบายิ่งเพิ่มความรู้สึกสดชื่นให้กับผู้ที่ยืนอยู่ใต้ต้นในขณะที่อีกหลายคนเดินผ่านไปมาอย่างไม่ใส่ใจ แป้งสูดลมหายใจและหยุดยืนมองช่อดอกสีเหลืองที่บานสะพรั่งแลดูเหลืองอร่ามไปทั้งต้น ชั่วขณะหนึ่งที่หัวใจของหญิงสาวรู้สึกเศร้าขึ้นมาเมื่อคิดได้ว่าในวันรุ่งขึ้นดอกประดู่เหล่านี้ก็จะร่วงลงจากต้นพร้อมกันทั้งหมดดุจบทเพลงของกองทัพเรือบทหนึ่งที่กล่าวถึงการสละชีพของต้นว่าเปรียบประดุจการร่วงพรูของดอกประดู่ที่โรยราทั้งต้นในคราวเดียวกัน แป้งกอดหนังสือในแขนของตนเองแน่น

“สักวันหนึ่งเราก็ต้องกลายเป็นประวัติศาสตร์สำหรับคนรุ่นหลังเหมือนกัน”

เธอพูดพึมพำเบาๆก่อนเดินต่อไปยังท่าเรือที่อยู่ไม่ไกล ระหว่างทางหญิงสาวได้แวะเข้าไปในร้านหนังสือเก่าแก่ที่ตั้งอยู่แถวนั้น หลังจากเดินวนเวียนอยู่ครู่ใหญ่แป้งจึงตัดสินใจซื้อหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ยุโรปเพิ่มเติมอีกสองสามเล่ม ขณะที่รอชำระเงินอยู่นั้นสายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นชุดฝึกการพูดสำหรับเด็กก่อนวัยเรียน แป้งยิ้มให้ตัวเองเมื่อนึกถึงอาคันตุกะเจ้าปัญหาซึ่งตอนนี้คงนั่งเฝ้าโทรทัศน์อยู่ที่คอนโด

“เอาไปให้เขาหัดพูดดีกว่า จะได้คุยกันรู้เรื่อง”

เธอหยิบชุดการเรียนติดมือมาด้วยหนึ่งชุด หลังจากชำระเงินเป็นที่เรียบร้อยแล้วแป้งจึงรีบเดินไปขึ้นเรือข้ามฟากและเดินดูของกระจุกกระจิกจากร้านที่ตั้งบนทางเท้า หญิงสาวตัดสินใจซื้อข้าวมันไก่ ข้าวขาหมูและข้าวผัดกระเพรากุ้งติดไปด้วยเพราะไม่ใจว่าแขกของเธอจะกินอาหารแบบไหน

“แล้วถ้าเกิดเขาชอบส้มตำปลาร้าขึ้นมาล่ะ”

แป้งคิดกับตัวเองแล้วหัวเราะออกมาอย่างนึกขำก่อนจะโบกรถแท็กซี่และบอกให้ไปส่งที่คอนโดของเธอ

ทันทีที่ก้าวลงจากรถ นายผัน ยามรักษาความปลอดภัยของคนโดก็รีบลุกขึ้นและเดินไปกดลิฟท์ให้กับแป้ง หญิงสาวกล่าวขอบคุณเขาและทำท่าจะก้าวเข้าไปในลิฟท์ นายผันนิ่วหน้าเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจพูดขึ้น

“เอ่อ...คุณปานตาครับ”

“คะ”แป้งหันมาทางเขา “มีอะไรหรือคะลุงผัน”

“คือวันนี้มีคนมาหาคุณปานตาน่ะครับ” สีหน้าของนายผันเต็มไปด้วยความลำบากใจ “เป็นผู้ชายที่เคยจะตามคุณขึ้นไปบนห้องเมื่อเดือนก่อน”

“นายภาคภูมิ” แป้งเอ่ยชื่อขึ้นมา ยามรักษาความปลอดภัยพยักหน้ารับ

“ครับ คนนั้นนั่นแหละ เขาขอให้ผมเปิดประตูเพื่อที่จะเข้ามารอพบคุณข้างใน แต่ผมปฏิเสธเพราะผิดกฏ แล้วอีกอย่างผมคิดว่าคุณปานตาคงไม่ชอบใจแน่ถ้าเจอเขา”

“ดีแล้วล่ะค่ะขอบคุณลุงผันมากๆ” แป้งถอนหายใจขณะนึกถึงชายหนุ่มหน้าตาจัดว่าค่อนข้างดีแต่มีนิสัยตรงกันข้ามกับใบหน้าของตนเองอย่างสิ้นเชิง “ขืนหลุดเข้ามาในนี้ได้คงสร้างปัญหาใหญ่โตขึ้นแน่ๆ”

ประโยคหลังเธอบ่นกับตัวเองด้วยความรู้สึกอ่อนใจเพราะหลังจากที่ได้พบกับนายภาคภูมิที่ผับแห่งหนึ่งเมื่อสองเดือนก่อน เขาก็พยายามทำตัวเป็นเจ้าของเธอและคอยตามไประรานเพื่อนๆจนหลายคนเริ่มเอือมระอา ยิ่งได้รู้ว่านายภาคภูมิเป็นลูกชายเจ้าของผับและบ่อนชื่อดังซึ่งมีพฤติกรรมก้าวร้าวอย่างสุดขั้วแล้ว แป้งแทบไม่อยากเห็นหน้าเขาอีกเลย

“ผมไม่กล้าก้าวก่ายเรื่องของคุณปานตา แต่ด้วยความเป็นห่วง นายภาคภูมิคนนี้ดูไม่น่าไว้ใจเลยสักนิด อยากจะให้คุณระวังตัวไว้ด้วยนะครับ”

นายผันพูดขึ้นด้วยความรู้สึกเป็นห่วงในความปลอดภัยของหญิงสาวที่เขารู้สึกนับถือในน้ำใจ แป้งส่งยิ้มให้กับเขาก่อนจะก้าวเข้าไปในลิฟท์

“ขอบคุณลุงผันมากค่ะที่เป็นห่วง”

ประตูลิฟท์เลื่อนปิด แป้งหยิบกุญแจมาไขเปิดช่องใส่รหัสและกดชั้นที่พักของเธอ ในใจของหญิงสาวนึกกังวลถึงชายหนุ่มที่รออยู่ในห้องมากกว่าการมาของนายภาคภูมิเสียอีก คิ้วของแป้งขมวดเข้าหากันเมื่อคิดได้ว่าป่านนี้ห้องของเธอคงพินาศป่นปี้ด้วยฝีมือของฟาโรห์หนุ่มผู้มาจากอดีตกาลไปเรียบร้อยแล้ว

แป้งก้าวออกจากลิฟท์และหยุดยืนอยู่หน้าห้องของตัวเอง หลังจากยืนทำใจที่จะต้องเข้าไปพบกับสภาพห้องและแขกหนุ่มที่พูดไม่รู้เรื่องอยู่พักใหญ่หญิงสาวจึงตัดสินใจเปิดประตูห้องและก้าวเข้าไป แป้งกระพริบตาติดต่อกันหลายครั้งคล้ายกับไม่เชื่อในสิ่งที่เห็นเมื่อพบว่าห้องของตนยังอยู่ในสภาพที่เป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนกับที่เธอออกไปเมื่อตอนเช้า หญิงสาววางข้าวของที่หอบมาลงบนโต๊ะและหันไปทางเก้าอี้ยาวในห้องนั่งเล่น เธอขมวดคิ้วเมื่อไม่พบอาคันตุกะหนุ่มที่นั่น สายตาจึงเริ่มกวาดมองไปจนทั่วและสะดุดที่สวนหย่อมซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่ง เธอรีบเดินไปที่นั่นโดยอดที่จะหันไปมองห้องสมุดย่อยๆของตัวเองไม่ได้ ภาพหนังสือที่กระจัดกระจายเกลื่อนเต็มพื้นทำให้แป้งรู้สึกโกรธขึ้นมาทันที เธอหันขวับไปจ้องคาเฟรที่นั่งนิ่งอยู่ใกล้น้ำตกจำลองและพูดเสียงดัง

“บอกแล้วไงว่าห้ามรื้อค้นข้าวของในห้อง” เธอชี้นิ้วไปที่กองหนังสือ “จะดูก็ได้แต่ทำไมไม่เก็บให้เรียบร้อย”

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาว แต่ไม่ได้เอ่ยอะไรตอบออกมาสักคำ แป้งนึกโมโหกับท่าทางนิ่งเฉยของเขาจึงเผลอตัวเรียกชื่อเขาด้วยเสียงอันดัง

“คาเฟร!”

ฟาโรห์หนุ่มจ้องหญิงสาวเขม็ง ดวงตาสีทองแดงทอประกายวาวด้วยความโกรธแต่เขายังคงนั่งนิ่ง มีเพียงกรามสองข้างเท่านั้นที่ถูกบดจนแลเห็นเป็นสันนูนออกมา หัวใจของแป้งกระตุกวาบขึ้นมาเมื่อคิดได้ว่าหากอยู่ในยุคสมัยของเขา เธอคงไม่มีโอกาสมายืนค้ำหัวตวาดใส่ได้แบบนี้แน่ ความคิดที่กำลังวิ่งวุ่นอยู่ในหัวหยุดลงเมื่อได้ยินเสียงระบายลมหายใจที่ค่อนข้างหนักหน่วงดังขึ้นมาพร้อมกับคำพูดแผ่ว

“ปวด”

คิ้วของแป้งขมวดเข้าหากันทันที เธอย่อตัวนั่งลงและย้อนถามเสียงที่ฟังดูดีกว่าครั้งแรก

“นายว่าอะไรนะ”

คาเฟรมองหญิงสาวด้วยสายตาที่แสดงความไม่พอใจก่อนจะกล่าวย้ำ

“ปวด”

“นายพูดภาษาไทยได้แล้วหรือ” น้ำเสียงของแป้งเต็มไปด้วยความตื่นเต้น “ไปจำคำนี้มาจากไหนน่ะ” เธอนิ่งไปเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย “ว่าแต่นายปวดอะไร เจ็บตรงไหนอย่างนั้นหรือ”

บุรุษหนุ่มสั่นหน้าอย่างเร็วก่อนจะเลื่อนมือไปกดแถวท้องน้อย แป้งมองกิริยาของเขาและขมวดคิ้ว

“ปวดท้องเหรอ...” หญิงสาวชะงักคำและนึกขึ้นมาได้ “จริงสิ ฉันลืมบอกเธอไปว่าถ้าปวดท้องแล้วต้องไปทำธุระที่ห้องไหน”

แป้งคว้าข้อมือของคาเฟรและดึงเขาให้ลุกขึ้น

“มานี่ ฉันจะสอนวิธีใช้ห้องน้ำให้”

หลังจากปล่อยให้คาเฟรเข้าไปทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำเรียบร้อยแล้วแป้งจึงเดินกลับไปแกะถุงอาหารที่ซื้อกลับมาและจัดแจงเทใส่จานพร้อมกับวางช้อนส้อมไว้อย่างเรียบร้อย เธอเดินไปดูโทรทัศน์ที่กำลังฉายรายการเด็กอยู่ หญิงสาวยิ้มเมื่อนึกภาพชายหนุ่มตัวโตนั่งจ้องหุ่นมือที่สอนการพูดแบบเด็กๆ

“คงจำมาจากรายการพวกนี้แน่ๆ” เธอพูดพึมพำพลางหยิบรีโมตมากดปุ่มเปลี่ยนช่องไปดูสารคดีและหันไปเปิดตู้เย็นหยิบกล่องน้ำผลไม้ขึ้นมาดื่มจากนั้นจึงเดินไปนั่งเหยียดขาอย่างสบายอารมณ์ที่เก้าอี้นวมยาว แป้งอ้าปากหาวและมองหน้าปัดนาฬิกา

“ทำอะไรของเขานักหนานะตั้งครึ่งชั่วโมง”

หญิงสาวบ่นอย่างหงุดหงิดเพราะอยากจะอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวเต็มที เธอหันไปมองห้องสมุดที่มีหนังสือกระจายเกลื่อนแล้วถอนหายใจ

“จะรื้อหาอะไรกันนะ อ่านไม่ออกแท้ๆ คอยดูเถอะ เดี๋ยวจะสั่งให้เก็บ......”

แป้งหยุดคำพูดของตนและลุกพรวดขึ้นด้วยความตกใจเมื่อได้ยินเสียงร้องตะโกนเอะอะโวยวายดังลั่นมาจากห้องน้ำ เธอรีบวิ่งไปดูด้วยความเป็นห่วงผู้ที่อยู่ข้างในเป็นจังหวะเดียวกันกับที่คาเฟรเปิดประตูและก้าวพรวดออกมา ทันทีที่เห็นหญิงสาวฟาโรห์หนุ่มก็ชี้นิ้วกลับเข้าไปในห้องน้ำและพูดเสียงดัง

“ร้อน!”

แป้งมองกลุ่มควันสีขาวที่พวยพุ่งออกมาจากห้องน้ำและเข้าใจได้ในทันทีว่ากษัตริย์อียิปต์หนุ่มจากอดีตผู้นี้คงไปกดปุ่มเครื่องทำน้ำร้อนเล่นแน่ หญิงสาวหันไปมองคาเฟรและทำท่าจะดุเขาแต่ต้องเปลี่ยนเป็นอุทานด้วยความตกใจเมื่อพบว่าอีกฝ่ายกำลังอยู่ในสภาพเปลือยเปล่าทั้งตัว แป้งรีบเบือนหน้าหนีไปอีกด้านพร้อมกับตวาดเสียงลั่นห้อง

“ไปใส่เสื้อผ้าเดี๋ยวนี้เลย คาเฟร!”

หญิงสาวรีบเข้าไปปิดเครื่องทำน้ำร้อนและก้าวออกมามองคาเฟรที่กำลังใส่เสื้อผ้าอย่างทุลักทุเลเพราะดูเหมือนเขาจะไม่คุ้นกับกางเกงในยุคสมัยของปัจจุบัน แป้งค้อนใส่เขาวงโตพร้อมกับบ่นเสียงดัง

“เจอไข่อียิปต์ลวกแบบนี้ คงกินอะไรไม่ลงไปหลายวันแน่”


คาเฟรนั่งนิ่งอยู่ที่โต๊ะทานข้าวและมองจานอาหารสามอย่างที่แป้งเลื่อนส่งมาให้ เขานิ่วหน้าและใช้มือจิ้มลงไปในจานข้าวมันไก่ก่อนจะก้มหน้าลงไปดม

“นั่นน่ะคือข้าวมันไก่” แป้งอธิบายและชี้ไปที่อีกจาน “ส่วนนี่เป็นข้าวขาหมู แล้วนั่นก็ข้าวผัดกระเพรากุ้ง นายจะกินจานไหนก็เลือกเอา”

สีหน้าของชายหนุ่มแสดงความไม่ชอบใจออกมาแต่ไม่กล้าพูดอะไร เขาเอื้อมมือไปหยิบจานข้าวมันไก่และคว้าช้อนที่วางไว้ด้านข้างขึ้นมาจ้อง

“ที่นี่เราใช้ช้อนตักข้าวกิน” แป้งเลื่อนจานผัดกระเพรามาไว้ตรงหน้าและหยิบช้อนตักข้าวส่งเข้าปากเคี้ยว “ลองทำดูสิ”

คาเฟรทำตามหญิงสาวด้วยท่าทางเก้ๆกังๆ เขาเบ้หน้าทันทีที่ตักข้าวมันไก่เข้าปากและทำท่าจะคายออกมา แป้งพูดห้ามเสียงเข้ม

“อย่าเชียวนะ!” เธอจ้องหน้าชายหนุ่มเขม็ง “กินเข้าไปให้หมด ห้ามบ่น ห้ามพูด ห้ามกินเหลือด้วย เข้าใจไหม!”

แม้จะไม่เข้าใจในคำพูดแต่ชายหนุ่มก็รู้ดีว่าควรกล้ำกลืนฝืนใจกินอาหารที่อยู่ตรงหน้าให้หมดไม่เช่นนั้นแล้วหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้าคงไม่หาอะไรมาให้เขากินอีก คาเฟรกลั้นใจกินข้าวมันไก่จนหมดและยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม แป้งมองกิริยาของเขาแล้วอมยิ้มอย่างพอใจโดยไม่รู้ตัวเลยว่าแท้จริงแล้วในใจของฟาโรห์หนุ่มนั้นเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองและคอยหาจังหวะตอบโต้เธออยู่ตลอดเวลา

*/*/*/*/*

“นี่คืออะไร” เสียงทุ้มเอ่ยถามพร้อมกับยกเครื่องเล่นเพลงขนาดเล็กขึ้นพลิกไปมา เขาสาวสายฟังและออกแรงดึงด้วยความรู้สึกสงสัยในขณะที่แป้งร้องห้ามเสียงหลง

“อย่าทำแบบนั้น” เธอรีบดึงเครื่องเล่นกลับมาพร้อมกับอธิบาย “นี่เป็นเครื่องเล่นเพลงส่วนนี่คือสายฟัง”

“เครื่องเล่นเพลง สายฟัง” คาเฟรทวนคำและจ้องอุปกรณ์ขนาดเล็กในมือของแป้ง “คืออะไร”

“จะอธิบายยังไงดี” หญิงสาวกดปุ่มบนเครื่องเล่นและเสียบลำโพงที่ส่วนปลายสายทั้งสองข้างเข้ากับหูของชายหนุ่ม เขาสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงดนตรีดังกระหึ่มอยู่ในหู คาเฟรกระชากมันออกทันที

“ทำอะไรแบบนั้นน่ะ” แป้งอุทาน “ไม่อยากฟังก็ดึงมันออกเบาๆ กระชากแบบนั้นของพังกันพอดี” เธอบ่นพึมพำขณะม้วนสายลำโพงเก็บ

“มันร้องเพลงได้” คาเฟรชี้ไปที่เครื่องเล่นขนาดจิ๋ว “ทำไม”

“เพราะฉันบันทึกข้อมูลลงไปน่ะสิ” หญิงสาวตอบและถอนใจเมื่อเห็นสีหน้างงงันของอีกฝ่าย “ยุคของนายจะฟังเพลงก็ต้องมีคนร้อง มีเครื่องดนตรี และต้องทำในห้องที่มีขนาดใหญ่โต แต่ในยุคของฉันพวกนักร้องจะอัดเพลงพวกนี้ใส่แผ่น” แป้งชูแผ่นซีดีขึ้นมา “จากนั้นฉันก็จะนำมันมาแปลงใส่เครื่องเล่นนี่อีกครั้ง ทีนี้ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนก็สามารถฟังเพลงได้โดยไม่ต้องพานักร้องหรือคนจำนวนมากๆไปด้วย”

เธอมองชายหนุ่ม

“เข้าใจที่ฉันพูดไหม”

“ไม่” คาเฟรตอบ “แต่ก็พอจะรู้เรื่องบ้าง” เขาหยิบสมุดภาพที่วางอยู่ในบริเวณนั้นออกมากาง

“นี่เรียกว่าอะไร” เขาชี้นิ้วไปที่รูปของเครื่องบิน แป้งมองและตอบ

“เครื่องบิน มันจะพาเราจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งได้โดยบินไปบนท้องฟ้า”

“บิน” คาเฟรทวนคำ “ท้องฟ้า”

“เหมือนนกไง” แป้งอธิบายและทำท่าประกอบ “นกที่บินบนท้องฟ้า”

“ฉันไม่เชื่อ” ชายหนุ่มสั่นหน้าพร้อมกับจ้องภาพในสมุดนิ่ง “คนไม่มีทางบินได้”

“ในสมัยของนายอาจจะใช่ แต่ในยุคของฉัน ทุกอย่างเป็นไปได้”

แป้งมองคาเฟรที่ยังคงนั่งนิ่ง หญิงสาวรู้ดีว่าแม้จะไม่รู้เรื่องในทุกคำแต่ชายหนุ่มก็พยายามที่จะทำความเข้าใจกับทุกอย่างที่เธออธิบายอย่างตั้งอกตั้งใจ แป้งสังเกตว่าตลอดระยะเวลาหลายวันที่ผ่านมาคาเฟรสามารถเรียนรู้การพูดรวมไปถึงเข้าใจความหมายของคำต่างๆได้อย่างรวดเร็ว ทั้งจากการสอนของเธอ การฟังข่าวสารต่างๆไปจนตลอดถึงการดูละครและสารคดี ชายหนุ่มจะจดจำคำที่เขาได้ยินและนำมาถามเธอหากไม่เข้าใจ แม้จะยังคงมีความหวาดระแวงในท่าทางที่ดูเงียบขรึมจนไม่น่าไว้ใจในบางครั้งแต่แป้งก็อดที่จะชื่นชมในไหวพริบและความเฉลียวฉลาดของ
คาเฟรไม่ได้ จนบางครั้งเธอกลับรู้สึกสนุกไปกับการตั้งคำถามของเขาเสียด้วยซ้ำ

หลังจากที่ได้มาอาศัยอยู่กับแป้งได้เกือบสองอาทิตย์ คาเฟรก็สามารถพูดหรือโต้ตอบแป้งด้วยประโยคยาวๆได้ จนถึงขนาดกล้าโต้เถียงกับเธอเมื่อเวลาที่หญิงสาวสั่งให้ทำความสะอาดหรือเก็บข้าวของที่เขารื้อออกมา แต่ถึงกระนั้นแป้งก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่า เขาเป็นฟาโรห์ในยุคสมัยใดซึ่งดูเหมือนคาเฟรเองก็แทบจะจำอดีตของตัวเองไม่ได้เช่นเดียวกัน หลายครั้งที่เขามักจะนั่งเงียบๆขณะทอดสายตาที่ฉายแววโดดเดี่ยวมองแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งกำลังไหลอยู่เบื้องล่างและถอนหายใจ มีอยู่สองสามครั้งที่คาเฟรเผลอตัวแสดงอารมณ์กราดเกรี้ยวออกมาเมื่อถูกแป้งซักถามถึงเรื่องราวในอดีตครั้งที่เขาเป็นฟาโรห์ ตอนแรกหญิงสาวคิดว่าเขาจะลงมือทำร้ายตนแต่ชายหนุ่มกลับทำเพียงลุกขึ้นและเดินหนีไปนั่งที่มุมห้องเท่านั้น และนี่ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่แป้งเริ่มลดความระแวงในตัวของเขาลง

“ทำไมนายถึงจำเรื่องก่อนหน้านั้นไม่ได้”

แป้งเอ่ยถามคาเฟรขณะที่นั่งดูสารคดีด้วยกันในเย็นวันหนึ่ง ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากกองหนังสือที่เขารื้อออกมาแล้วขมวดคิ้ว

“อะไร”

“ฉันถามว่า ทำไมนายถึงจำเรื่องราวตอนเป็นฟาโรห์ไม่ได้” หญิงสาวถามย้ำและนิ่งเมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่วหน้า

“ก็มีบ้างแต่ไม่ทั้งหมด” คาเฟรทำท่าคิด “บางครั้งก็คิดออกแต่มันเหมือนมีอะไรมาบังไว้”

“หมายความว่ายังไง อะไรมาบังไว้น่ะ” แป้งถามด้วยความสงสัยขณะกวาดตามองหารีโมตโทรทัศน์เพื่อนำมาลดเสียงให้เบาลง ชายหนุ่มนิ่งไปเล็กน้อยราวกำลังหาคำ

“จะพูดยังไงดี พอเริ่มจะคิดออก มันเหมือนมีควันลอยมาเต็มไปหมด” คาเฟรอธิบาย “ฉันเลยไม่อยากคิดอะไร” เขาเลื่อนสายตามองขึ้นไปบนชั้นวางของและชี้นิ้ว “อยู่บนนั้น”

“ทำไมเอาไปวางไว้เสียสูงเลย” แป้งบ่นขณะมองรีโมตที่ถูกวางไว้บนชั้นเหนือโทรทัศน์พลางลุกขึ้น “ทำไมต้องเป็นควันด้วย”

“ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน” ชายหนุ่มตอบ “มันสว่างไปหมด”

“สว่าง” หญิงสาวทวนคำและหันหน้ามามองเขา “ยังไง”

เธอถามขณะที่เอื้อมมือออกไปเพื่อจะหยิบรีโมตที่ถูกวางเอาไว้จนสูง คิ้วสวยขมวดเข้าหากันเมื่อพบว่ามันอยู่สุดที่เธอจะยื่นมือไปถึง แป้งจึงหันกลับไปแหงนหน้ามองและยิ้มเมื่อเห็นชายผ้าที่สำหรับปูรองของโผล่ออกมา หญิงสาวดึงมันเพื่อที่จะเลื่อนรีโมตให้ขยับมาใกล้มือ

“แสง” คาเฟรตอบขณะมองแป้งที่พยายามเขย่งยืดตัวหยิบที่เปลี่ยนช่องโทรทัศน์ “รอบตัวฉันไม่มีอะไรเลยนอกจาก.......” เขาชะงักคำและเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อพบว่ามีโถ
คาโนปิคตั้งอยู่บนผ้าปูรองที่แป้งกำลังดึง มันเริ่มขยับโอนเอนและร่วงลงมาจากชั้นเมื่อผ้าปูถูกลากให้เคลื่อนที่

“ระวัง!”

คาเฟรลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เขารีบดึงแขนของแป้งและใช้ตัวบังเธอเอาไว้โดยแขนข้างหนึ่งยกขึ้นปัดโถหินที่กำลังตกลงมาจนกระเด็นไปอีกด้าน เสียงของแข็งกระทบพื้นดังสนั่นห้อง ใบหน้าที่ซีดเผือดของหญิงสาวมองโถศิลาสีขาวกลิ้งไปกระแทกผนังอีกด้าน มันแปรเปลี่ยนเป็นเข้มขึ้นเมื่อพบว่าตนเองกำลังอยู่ในอ้อมแขนของคาเฟร หญิงสาวเบี่ยงตัวออกจากเขาทันที

“นาย” เธอมองแขนที่เขียวคล้ำของเขาด้วยความตกใจ “ช่วยฉัน”

“ก็แค่ปัดโถนั่นออกไป” อีกฝ่ายขบกรามแน่นขณะตอบ คาเฟรมองแขนของตนและอุทานเบาๆเมื่อโดนแป้งลากไปยังเก้าอี้และผลักเขาให้นั่งลง

“ทำอะไร”

“นายต้องทายา” หญิงสาวเปิดตู้และหยิบกล่องปฐมพยาบาลออกมา “ไม่อย่างนั้นแขนนายบวมแน่”

“ไม่ต้อง” คาเฟรเบี่ยงตัวหลบแต่แป้งกลับคว้ากลับมาและพูดเสียงดุ

“อย่าดื้อได้ไหม” เธอบีบยาลงบนแขนของชายหนุ่มและนวดอย่างแผ่วเบา คาเฟรมองหญิงสาวนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเบือนหน้าหนีไปอีกด้าน

“แผลแค่นี้” เขาพูดพึมพำแต่ก็ยอมให้แป้งทายาแต่โดยดี ชายหนุ่มนิ่วหน้าเมื่ออีกฝ่ายกดน้ำหนักมือลงไปบนรอยช้ำค่อนข้างแรง

“ขอโทษ” หญิงสาวพูดเสียงแผ่ว “และขอบใจมาก”

คาเฟรหันหน้ากลับไปมองหญิงสาวเขาระบายลมหายใจและส่งยิ้มให้กับเธอ

“ไม่เป็นไร” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความอ่อนโยน “การปกป้องผู้หญิงเป็นหน้าที่ของผู้ชาย ฉันเต็มใจช่วยเธอ”

*/*/*/*/*
















มุนีรัตน์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 ก.ย. 2555, 08:39:16 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 ก.ย. 2555, 08:39:16 น.

จำนวนการเข้าชม : 1279





<< บทที่ 3 คาเฟร   บทที่ 5 มัจฉาแห่งเจ้าพระยา >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account