ดอกเบี้ยสิเน่หา
ดอกเบี้ยสิเน่หา By กันต์ระพี
ตีพิมพ์สำนักพิมพ์ Touch Publishing
ถ้ากามเทพไม่ได้บ้า เทวดาไม่ได้เล่นตลก
จุดเริ่มต้นจากหนี้สินบิดาก็คงไม่นำไปสู่เกมหัวใจ ที่ไม่รู้ว่าใครจะชนะ!! ...
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตัวอย่างเนื้อเรื่อง

ดอกเบี้ยสิเน่หา


ประพันธ์โดย..กันต์ระพี



ตัวอย่างเนื้อเรื่อง




‘ศิตา’ก้าวออกจากประตูผู้โดยสารขาเข้าด้วยใบหน้าหมองเศร้า นับตั้งแต่ได้ทราบข่าวเรื่องบิดาลาลับจากคุณนิวัตรทนายประจำตระกูล หญิงสาวก็ร่ำไห้จนน้ำตาแทบจะเป็นสายเลือด หากได้รับการแจ้งข่าวเร็วกว่านี้อีกสักนิด หล่อนก็คงจะละทิ้งความฝันในการเรียนต่อและเดินทางกลับเมืองไทยในทันที เพื่อจะได้พบหน้าบิดาอันเป็นที่รักอีกสักครั้ง ถึงแม้ว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้ายก็ตาม



ข้อความที่ระบุในจดหมายว่า ‘เสี่ยกมล’ กระทำอัตวินิบาตกรรม อันเนื่องมาจากมีหนี้สินล้นพ้นตัว เป็นสิ่งที่ศิตาไม่อยากเชื่อ เพราะครอบครัวของหล่อนค้าขายอัญมณีมานานหลายปี ธุรกิจที่สร้างเม็ดเงินมหาศาลนำมาซึ่งรายได้ จึงมีเงินทุนหมุนเวียนอยู่ในธนาคารหลายร้อยล้านบาท อีกทั้งสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ที่มีอยู่มากมาย ตลอดจนชีวิตความเป็นอยู่ที่สุขสบายของหญิงสาว ก็ล้วนแล้วแต่มาจากผลกำไรตรงส่วนนี้



ดวงตาคู่สวยที่เอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำตาแดงก่ำ ได้แต่นึกเสียใจและเฝ้าโทษตัวเองที่ตัดสินใจมาศึกษาต่อยังต่างประเทศ หากในช่วงเวลานั้นได้อยู่เคียงข้างบิดา เหตุการณ์น่าสลดใจก็คงจะไม่เกิดขึ้น เพราะคำปลอบโยนของหล่อนคงเป็นกำลังสำคัญฉุดรั้งให้ท่านลุกขึ้นสู้ยืนหยัดได้ใหม่อีกครั้ง และไม่คิดตัดช่องน้อยแต่พอตัวจนเกิดเรื่องดังกล่าวขึ้น



นอกจากศิตาจะสูญเสียบิดา หล่อนยังสูญสิ้นสถานภาพทางการเงิน จึงไม่ต่างจากคนสิ้นเนื้อประดาตัว บ้านราวคฤหาสน์ที่เคยอยู่ รถหรูหราที่เคยใช้ ทุกอย่างถูกยึดออกขายทอดตลาดจนหมดสิ้น เพื่อชดใช้หนี้สินของบุพการี แต่ก็นับว่าหญิงสาวยังโชคดีที่เหลือคอนโดฯ ที่บิดาซื้อและโอนกรรมสิทธิ์ให้ก่อนที่จะไปศึกษาต่อ จึงไม่เดือดร้อนเรื่องที่อยู่อาศัย มิเช่นนั้น...การเดินทางกลับมาเมืองไทยในครั้งนี้ หล่อนอาจต้องนอนตามศาลาวัดก็เป็นได้



ศิตาคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย จนกระทั่งรถแท็กซี่ที่นั่งมาจากท่าอากาศยานเคลื่อนตัวฝ่าการจราจรที่แออัดมาจอดเทียบหน้าตึกสูงระฟ้าใจกลางกรุงอันเป็นที่หมาย จึงลากกระเป๋าลงจากรถก้าวเข้าไปภายในอาคารเพื่อพบทนายสูงวัย



“มันหมายความว่ายังไงกันคะคุณนิวัตร ที่ฉันจะไม่เหลืออะไรเลยสักอย่าง”



“ก็อย่างที่เรียนให้ทราบนั่นแหละครับ ลำพังเงินเดือนผมก็ไม่ได้รับมาจะปีแล้ว ผมพูดแค่นี้คุณหนูคงจะเข้าใจนะครับ” ชายสูงวัยท่าทางภูมิฐานในชุดสูทเอ่ยเรียบ ๆ ก่อนจะหยิบเอกสารในแฟ้มยื่นให้หญิงสาว



“ที่ผมต้องเรียกคุณหนูกลับก็เพราะสิ่งนี้ละครับ เสี่ยกมลได้ทำสัญญาเงินกู้ไว้ก่อนตายอีกฉบับ อาทิตย์ก่อนเจ้าหนี้โทรฯ มาเร่งรัด ผมก็ได้แต่ทำเรื่องขอผ่อนผัน แต่ทางนู้นเขาไม่ยินยอม”



“สิบล้าน!! ทำไมมันถึงได้มากมายขนาดนี้”



ศิตาร้องถามหน้าตาตื่น เมื่อเห็นจำนวนตัวเลขที่ระบุในหนังสือสัญญาเงินกู้



“เท่าที่ทราบ...ก่อนที่คุณหนูจะไปเรียนต่อต่างประเทศ เสี่ยหันมาเข้าบ่อนเล่นการพนัน แรก ๆ ผมก็คิดว่าคงจะเล่นสนุก ๆ แต่หลัง ๆ เสี่ยหมกมุ่นเสียจนเงินทองเริ่มขาดมือ ตกหนักเข้าก็ต้องตากหน้าไปขอกู้ยืมเงินคนโน้นทีคนนี้ที ผมเห็นแล้วก็ได้แต่เศร้าใจ” คุณนิวัตรระบายลมหายใจอีกครั้ง ไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องดังกล่าวให้คนฟังต้องเจ็บปวดใจ



“ฉันเข้าใจดีค่ะ ไม่โกรธ และก็ไม่โทษคุณหรอกค่ะ” ศิตาหลุบสายตาลงต่ำมองมือตนเอง



“ผมคิดว่าที่เสี่ยฆ่าตัวตายก็คงเป็นเพราะสาเหตุนี้แหละครับ”



“คุณนิวัตรคะ คุณพ่อก็ตายไปแล้ว เขาจะมาเรียกร้องอะไรอีก”



“ครับ เสี่ยเสียชีวิต เรื่องหนี้สินก็น่าจะจบ แต่ที่มันไม่จบ ก็เพราะในสัญญาระบุอย่างชัดเจน ว่าคุณหนูยินยอมจะชดใช้หนี้สินดังกล่าว” ชายสูงวัยเอ่ยพลางจรดปลายปากกาไปตามข้อความที่ระบุในสัญญา



‘หากข้าพเจ้านายกมล อภิญญาสวัสดิ์ มีอันต้องเสียชีวิตไปก่อนที่สัญญาจะสิ้นสุด นางสาวศิตา อภิญญาสวัสดิ์ บุตรสาวของข้าพเจ้ายินยอมจะชดใช้หนี้สินดังกล่าวแทนจนครบจำนวนตามที่สัญญาระบุ’


สายตาหวาดหวั่นไล่ไปตามปลายปากกา จดจำลายมือหวัด ๆ และลายเซ็นคุ้นตาของบิดาได้เป็นอย่างดี แต่เมื่อเลื่อนสายตาลงต่ำจากลายเซ็นยุ่งเหยิงนั่น ศิตาก็หน้าขาวซีด รู้สึกวิงเวียนเหมือนจะเป็นลมเสียให้ได้ เมื่อเห็นลายเซ็นเป็นระเบียบของตนกำกับอยู่อย่างชัดเจน เพียงเท่านั้น...หญิงสาวก็รับรู้ชะตากรรมของตนเอง โดยไม่จำเป็นต้องให้คุณนิวัตรทนายประจำตระกูลมานั่งอธิบายอะไรอีก



ลายเซ็นของหล่อนอยู่ในสัญญาฉบับนี้ได้ยังไงกัน?


ศิตาย้อนนึกถึงวันก่อนจะเดินทางไปเรียนต่อ วันนั้นหล่อนยุ่งกับการจัดเตรียมข้าวของเครื่องใช้ภายในห้องพัก ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่บิดาได้นำเอกสารอะไรบางอย่างมายื่นให้ตรงหน้า พอรับมาได้ก็เซ็นชื่อลงไปแล้วส่งคืน โดยไม่ได้สนใจที่จะอ่านข้อความเสียด้วยซ้ำ เพราะคิดไปว่าเป็นเอกสารการประชุม ที่ผู้ถือหุ้นบริษัทสามสิบเปอร์เซ็นต์อย่างหล่อนต้องเซ็นเป็นประจำอยู่แล้ว



ศิตาไม่คิดเลยว่าการตรวจสอบเอกสารไม่ละเอียดถี่ถ้วนในครั้งนั้นจะนำความเดือดร้อนมาสู่ตัว แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีคำต่อว่าต่อขานใด ๆ หลุดจากเรียวปาก นอกจากหยาดน้ำตาที่รินไหลจากดวงตาคู่สวย ด้วยนึกน้อยใจในการกระทำของบิดา เสมือนหนึ่งยอมรับชะตากรรมที่ไม่ได้ก่อโดยดุษณี



“ฉันจะติดต่อเจ้าหนี้รายนี้ได้ยังไงคะ?”



น้ำเสียงแผ่วเบาเอ่ยถามทนายสูงวัยราวกับปลงแล้วในทุกสิ่ง



“นี่ครับ” คุณนิวัตรเปิดลิ้นชักหยิบนามบัตรก่อนจะยื่นให้หญิงสาว



“ทศพักตร์ อภิรักษ์บดินทร์ ประธานกรรมการบริษัท ที พี แอนด์ เอ จิวเวอรี่”








ศิตาร้อนใจเกินกว่าจะกลับคอนโดฯ ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วค่อยโทรนัดเจราจากับเจ้าหนี้รายนี้ จึงตัดสินใจลากกระเป๋าเดินทางมาพบทศพักตร์ที่บริษัทตามนามบัตรที่คุณนิวัตรให้ไว้ ด้วยต้องการจะอธิบายความจริงให้รับรู้ ว่าหล่อนไม่ได้ยินยอมพร้อมใจที่จะเซ็นสัญญาฉบับดังกล่าว แต่ถึงกระนั้นก็ยินดีที่จะชดใช้หนี้สินแทนบิดาอย่างไม่มีเงื่อน หากเขาจะกรุณายืดเวลาการชำระหนี้ให้คนที่เหลือแต่ตัวอย่างหล่อนบ้าง



“สวัสดีค่ะ ดิฉันมาขอพบคุณทศพักตร์ค่ะ”



“ไม่ทราบว่านัดไว้หรือเปล่าคะ?” เลขาหน้าห้องเอ่ยถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม



“เออ...ไม่ได้นัดหรอกค่ะ ต้องขอโทษจริง ๆ บังเอิญดิฉันมีธุระด่วน ก็เลยไม่ทันได้แจ้งล่วงหน้า” ศิตาเอ่ยตามตรงแบบไม่เต็มน้ำเสียงนัก เพราะทราบดีว่าเป็นการเสียมารยาทอย่างมาก ที่จู่ ๆ ก็มาขอพบบุคคลระดับผู้บริหารโดยไม่ได้โทรนัดหมายล่วงหน้า



“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะลองสอบถามคุณทศให้นะคะ ว่าจะอนุญาตให้เข้าพบหรือไม่ ขอโทษค่ะ ไม่ทราบว่าจะให้ดิฉันเรียนว่าใครมาขอพบคะ?” น้ำเสียงหวาน ๆ เอ่ยกลับมาอย่างมีน้ำใจ ทำให้หญิงสาวละลักละล่ำตอบกลับไป



“ศิตาค่ะ ศิตา อภิญญาสวัสดิ์”



“รอสักครู่นะคะ”



“คุณทศคะ คุณศิตา อภิญญาสวัสดิ์ มาขอพบค่ะ” คุณเลขาคนสวยยิ้มเยือนให้หญิงสาว พลางฉวยโทรศัพท์กดหมายเลขภายใน ก่อนจะกรอกเสียงหวานลงไป



“อะไรนะ? สี่ตาเหรอ ผมไม่รู้จัก บอกให้กลับไปก่อนก็แล้วกัน วันนี้ผมอารมณ์ไม่ค่อยดี ไว้วันหลังค่อยมาใหม่ คนบ้าอะไรวะ! ชื่อสี่ตา” เสียงดุ ๆ ที่โวยวายลั่นโทรศัพท์ก่อนจะสบถออกมาไม่เบานักในตอนท้าย ทำให้หญิงสาวใจคอไม่ดี แต่ก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะเข้าพบให้ได้ จึงเอ่ยขัดขึ้นมากลางลำก่อนที่ชายหนุ่มจะวางสาย



“เออ...คุณคะ ช่วยเรียนคุณทศพักตร์ด้วยค่ะ ว่าดิฉันมีธุระด่วนจริง ๆ ยังไงก็จะรอค่ะ”



“ค่ะ...ได้ค่ะ” แม้สีหน้าคุณเลขาจะไม่สู้ดีนัก แต่ก็พยายามกรอกเสียงหวาน ๆ บอกความต้องการของหญิงสาวผ่านกระบอกหูโทรศัพท์



“เออ...คุณทศคะ คุณศิตาเธอบอกว่ายังไงก็จะรอค่ะ”



“โธ่โว้ย! ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไง เอาเถอะ...ถ้ายัยสี่ตาอะไรนั่นอยากรอก็ปล่อยให้รอไป ผู้หญิงบ้าอะไร ตื้อชะมัด ชื่อประหลาดอย่างเดียวไม่พอ นิสัยยังประหลาดอีก” เจ้าของน้ำเสียงดุ ๆ โวยวายหนักกว่าเก่า แล้วกระแทกหูโทรศัพท์ลงกับแป้นวาง



“เออ...คุณทศ ให้เรียนว่า...” คุณเลขาทำหน้าไม่ถูก พูดไม่ออก เมื่อเหลือบตาขึ้นมองแล้วพบว่าหญิงสาวที่มาขอพบเจ้านายยังยื่นอยู่ตรงหน้า



“ดิฉันทราบแล้วค่ะ”



ศิตาเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าราบเรียบเสมือนหนึ่งไร้ความรู้สึก ก่อนจะเดินเก็บอาการไปนั่งคอยที่โซฟาแล้วหยิบนิตยสารมาอ่านฆ่าเวลา หญิงสาวทำราวกับว่าไม่ใส่ใจในคำว่ากล่าวของชายหนุ่ม ทั้งที่ภายในใจนึกก่นด่าเจ้าของน้ำเสียงดุ ๆ นั่น



ผู้ชายอะไร มารยาททรามชะมัด!



ความมุ่งมั่นที่จะเจรจาเรื่องหนี้สินยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ถึงแม้ว่าจะหวั่นใจอยู่บ้าง ว่าการเจรจาต่อรองขอผ่อนผันหนี้สินจะไม่ประสบความสำเร็จ เพราะเจ้าหนี้รายนี้ท่าทางเอาเรื่องอยู่ไม่ใช่น้อย แต่ศิตาก็ยังหวังลึก ๆ ในใจ ว่าหากได้เข้าพบเรื่องทุกอย่างจะจบลงด้วยดี


เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง จนแก้วกาแฟและน้ำเปล่าที่คุณเลขานำมาเสิร์ฟกองเกลื่อนกลาดอยู่เต็มโต๊ะ ก็ยังไม่มีวี่แววว่าเจ้าของเสียงดุ ๆ จะออกมาจากห้องทำงาน แม้จะรู้สึกท้อใจอยู่บ้าง แต่ศิตาก็ไม่ท้อถอย หล่อนยังคงนั่งอ่านนิตยสารรอคอยโดยไม่ปริปาก และทำราวกับสนใจในเนื้อหาเหล่านั้นเสียเต็มประดา แต่แท้ที่จริงแล้วนั้น...กลับไม่ได้จดจำเนื้อความใด เพราะสมองกำลังทำงานอย่างหนัก ในการลำดับคำพูดที่จะใช้เจรจาต่อรองกับเจ้าหนี้รายนี้



จะพูดยังไงให้เขารับฟัง


จะพูดแบบไหนให้เขาโอนอ่อนผ่อนตาม


ศิตายิ่งคิดก็ยิ่งเครียด หล่อนกลัวไปหมดเสียทุกอย่าง กลัวว่าชายหนุ่มจะไม่รับฟัง กลัวว่าเขาจะไม่เชื่อในคำอธิบายเชิงขอร้อง และที่เหนือกว่าอื่นใด กลัวว่าเขาจะไม่ยินยอมให้หล่อนผ่อนผันหนี้สิน



อีกห้านาทีจะได้เวลาเลิกงาน พนักงานในบริษัทต่างพากันเก็บเอกสารเตรียมตัวกลับบ้าน ขณะที่คุณเลขาหน้าห้องเหลือบมองนาฬิกาบนผนัง ก่อนจะปรายตามองมาที่หญิงสาวแล้วเดินมาเอ่ยปากเชื้อเชิญให้กลับอย่างสุภาพ



ศิตาไม่มีทีท่าว่าจะอิดออด หล่อนลุกขึ้นทำตามแต่โดยดี แต่ก็ใช่ว่าจะล้มเลิกความตั้งใจที่จะเข้าพบเจ้าหนี้รายนี้ หากแต่ยอมทำตามก็เพราะต้องการให้คุณเลขาวางใจและกลับบ้านไปเสียที หล่อนจะได้มีโอกาสบุกเข้าไปเจรจากับเจ้าของน้ำเสียงดุ ๆ นั่น



“เออ...ขอโทษค่ะ ไม่ทราบว่าห้องน้ำไปทางไหนคะ”



ศิตาคว้ากระเป๋าเดินทาง ทำทีก้าวเดินไปสองสามก้าวก็หันมาสอบถามเลขาสาว ด้วยหมายใจว่าจะเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในห้องน้ำ เพื่อรอเวลาให้ทุกคนกลับออกไปจากบริษัทฯ



“เดินตรงไป อยู่ทางด้านซ้ายมือค่ะ”



ผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ชี้บอกทางให้ โดยหารู้ไม่ว่าทั้งหมดเป็นแผนการของหญิงสาว



“ขอบคุณค่ะ”



ศิตากดยิ้มมุมปาก ก่อนจะเดินตรงไปในทิศทางนั้นอย่างไม่รีบร้อน หล่อนเลือกห้องน้ำห้องริมสุด เพื่อซ่อนตัวและรอคอยให้พนักงานทั้งหมดกลับออกไปจากบริษัทฯ



ท่ามกลางเสียงพูดคุยจอกแจกจอแจของพนักงานสาว ที่ยืนเสริมสวยอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ก่อนจะกลับบ้าน ร่างระหงทรุดตัวลงนั่งบนกระเป๋าเดินทางอิงตัวพิงกับผนังอยู่ภายในห้องน้ำแคบ ๆ ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางผนวกกับความอ่อนเพลียจากการร้องไห้มานานนับชั่วโมง ทำให้หญิงสาวผล็อยหลับไปอย่างไม่รู้ตัว



แสงไฟที่เคยสว่างดับลงทีละดวงจนกระทั่งมืดสนิท ก่อนที่ประตูบริษัทฯ จะปิดลงเพราะหมดเวลาทำการ ห้องทั้งห้องเริ่มร้อนอบอ้าวขึ้นตามลำดับ เพราะเครื่องปรับอากาศหยุดการทำงานมาได้สักพักใหญ่ คนที่นั่งหลับอย่างไม่เป็นสุขเริ่มจะขยับหยุกหยิก ก่อนที่จะเปิดเปลือกตาขึ้นมองไปโดยรอบ



นี่หล่อนหลับไปนานแค่ไหน?


คำถามแรกผุดเข้ามาในความคิด เมื่อลืมตาขึ้นแล้วพบแต่ความมืดมิด จึงรีบยกข้อมือขึ้นมองเวลาบนหน้าปัดนาฬิกา พลางนึกตำหนิตัวเองที่เผลอหลับ ซ้ำยังคิดแผนอุตริมาซ่อนตัวในห้องน้ำ



สองทุ่ม!



ป่านนี้เจ้าหนี้ปากร้ายนั่นคงจะกลับบ้านไปนอนตีพุงสบายแฮ


แล้วหล่อนล่ะ จะทำยังไง? ถ้าต้องติดอยู่ที่นี่!


สิ้นสุดความคิด ศิตาก็ตาสว่างผลุนผลันลุกขึ้นก่อนจะก้าวพรวด ๆ ออกจากห้องน้ำ ใจไม่สู้ดีนัก เพราะทั้งบริษัทฯ ตกอยู่ในความมืด แต่ถึงกระนั้นก็พยายามคลำหาทางไปยังประตูด้านหน้าบริษัทฯ ด้วยหมายจะกลับออกไป แต่ไม่ว่าจะออกแรงดันหรือผลักสักเท่าใด ก็ไม่สามารถเปิดประตูได้เพราะติดล็อก



“โธ่เอ๊ย! ทำไมฉันต้องมาติดอยู่ในนี้ด้วย”









บริษัท ที พี แอนด์ เอ จิวเวอรี่ ดำเนินกิจการด้วยความมั่นคงมากว่าห้าปี ภายใต้การบริหารงานของทศพักตร์ อภิรักษ์บดินทร์ ประธานกรรมการบริษัทฯหนุ่มไฟแรง เมื่อเริ่มก่อตั้งเป็นเพียงบริษัทฯ เล็ก ๆ ที่รับออกแบบตกแต่งอัญมณี ปัจจุบันขยายสาขาไปในต่างแดนหลายประเทศ ด้วยแบบร่างเครื่องประดับที่นำเสนอมีลักษณะแปลกแตกต่างจากบริษัทฯ อื่น ทำให้ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี



ท่ามกลางบรรยากาศเย็นสบายภายในห้องทำงานของประธานบริษัทฯ ทศพักตร์นั่งหน้าเครียดอยู่บนเก้าอี้หนังสีดำสนิท สีหน้าเบื่อหน่ายมีสาเหตุมาจากคุณหญิงรัตนาผู้เป็นมารดาเกิดอยากจะอุ้มหลาน จึงเร่งรัดเรื่องการแต่งงานและพยายามหาหญิงสาวมาให้เขาเลือกสรร แรก ๆ ก็ยังพอทำเนา แต่หลังจากที่ได้พบกับจารุวรรณ บุตรสาวคุณพิมลเพื่อนสนิทของมารดา ท่านก็เริ่มจ้ำจี้จ้ำไช ตามจิกเขาไม่เว้นวันจนไม่เป็นอันทำงาน เพราะเกิดถูกใจและอยากจะได้เจ้าหล่อนเป็นศรีสะใภ้จนเนื้อเต้น



ทศพักตร์หงุดหงิด เขารำคาญและไม่ชอบผู้หญิงนุ่มนิ่มไม่มีสมองอย่างจารุวรรณ ที่ค่อยแต่จะทำตามคำสั่งของคุณพิมลผู้เป็นมารดา โดยไม่กล้าตัดสินใจอะไรด้วยตัวเอง จึงแกล้งฉีกหน้าหล่อนให้ได้อายต่อหน้าผู้คน ด้วยหมายจะให้หญิงสาวเลิกยุ่งเกี่ยวกับตน ซึ่งมันก็ได้ผล แต่พอเรื่องหลุดถึงหูมารดาของเขาก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟจนถึงขั้นมีปากเสียง ด้วยความเป็นคนขี้รำคาญและไม่ชอบการทะเลาะเบาะแว้ง จึงตัดปัญหาด้วยการอัปเปหิตัวเองจากนิวาสสถานมาค้างอ้างแรมอยู่ที่ทำงาน



“แม่ครับ ผมโตแล้วนะครับ ไอ้เรื่องหาผู้หญิงมาทำเมียเนี่ย ผมหาเองได้”



“ก็ขอให้จริงอย่างปากว่าเถอะ ถ้าสิ้นเดือนนี้ฉันยังไม่เห็นหน้าผู้หญิงที่จะมาเป็นเมียแกละก็ เตรียมตัวตัดชุดเจ้าบ่าวได้เลย เพราะฉันจะจับแกแต่งกับหนูวรรณ”



ประกาศิตของมารดาทำให้ทศพักตร์เปลี่ยนไป จากเจ้านายใจดีมีเหตุผลกับลูกน้องกลายเป็นบอสขาวีนจอมโวยประจำบริษัทฯ เสียงเอะอะเอ็ดตะโรอย่างไร้เหตุผลจึงมีให้ได้ยินแทบจะทุกวัน ชนิดที่เรียกว่าใครพูดอะไรไม่เข้าหูถูกด่าเปิง พนักงานทุกคนต่างหวาดผวาเกรงว่าจะถูกไล่ออก ด้วยไม่รู้ว่าวันดีคืนดีชายหนุ่มจะผีเข้าขึ้นมาเมื่อไหร่



ทศพักตร์ที่เคยหล่อเนี๊ยบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า บัดนี้หน้าตาสะอาดสะอ้านเกลี้ยงเกลากลับเต็มไปด้วยหนวดเคราเขียวครึ้ม เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ยับย่นยู่ยี่ราวทะเลาะกับเตารีดก็ไม่ปาน จากที่เคยออกไปสังสรรค์กับบรรดาเพื่อนฝูงสัปดาห์ละครั้งสองครั้งกลับเก็บตัวเงียบ นับตั้งแต่ถูกยื่นคำขาดเรื่องแต่งงาน



สามวันมาแล้วที่ชายหนุ่มไม่กลับบ้าน เพราะไม่อยากฟังคำพร่ำบ่นของมารดา ด้วยเห็นว่าเรื่องมีคู่ยังเป็นอะไรที่ยาวไกลในความคิด เขาเพิ่งจะอายุสามสิบไว้รออีกสักสองสามปีแล้วค่อยกลับมาคิดเรื่องนี้ก็ยังทัน ทุกวันนี้เขามุ่งมั่นทำงานหามรุ่งหามค่ำสร้างฐานะตนเองโดยไม่เคยแลตามองสาวคนไหน ก็เพราะไม่ต้องการอาศัยใบบุญเงินถุงเงินถังของมารดา



ทศพักตร์ระบายลมหายใจอย่างเบื่อหน่าย ลุกเดินไปห้องด้านข้างที่แบ่งพื้นที่หนึ่งในสามของห้องทำงานที่กว้างขวาง จัดทำเป็นห้องนอนห้องน้ำได้อย่างลงตัวไว้เพื่ออำนวยความสะดวก เมื่อก่อนเขามักจะคิดเสมอว่ามันเป็นการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ เพราะนาน ๆ ถึงจะมีโอกาสได้ใช้มันสักครั้ง แต่ ณ เวลานี้ เขากลับนึกขอบคุณตัวเองที่ทำให้มีที่ซุกหัวนอนอย่างสุขสบาย โดยไม่ต้องกลับไปทนฟังคำสรรเสริญในเชิงด่าของมารดาที่คฤหาสน์



เสื้อเชิ้ตลำลองแขนสั้นเนื้อเบาสบายถูกหยิบออกจากตู้เสื้อผ้าแบบติดผนัง ก่อนที่ชายหนุ่มจะเปลี่ยนมันแล้วฉวยกุญแจรถก้าวออกจากห้องทำงาน ตั้งใจว่าจะออกไปหาอะไรเย็น ๆ ดื่มสักแก้วสองแก้ว เพื่อดับอารมณ์หงุดหงิดที่คุกรุ่นอยู่ภายในใจ



หลังจากปิดสวิทซ์ไฟเรียบร้อย ชายหนุ่มก็เดินฝ่าความมืดออกจากห้องตามความเคยชิน แต่ทว่าเสียงกุกกักอะไรบางอย่างกลับทำให้ทศพักตร์ชะงักปลายเท้า หันมองไปโดยรอบพร้อมทั้งเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ ก่อนจะย่องเงียบกริบไปยังที่มาของเสียงพร้อมทั้งสอดส่ายสายตามองหา แสงจันทร์รำไรที่สาดส่องเข้ามาทำให้เห็นเงาตะคุ่ม ๆ กำลังก้ม ๆ เงย ๆ เหมือนกำลังรื้อค้นอะไรบางอย่าง



ขโมย!



นั่นคือสิ่งแรกที่เขาคิด และตามติดด้วยความคิดต่อมา


บังอาจมาล้วงคองูเขียว เดี๋ยวพ่อจะอัดให้น่วม!



สิ้นสุดความคิด ทศพักตร์กดสวิทซ์เปิดไฟนีออนสว่างจ้า พร้อมทั้งกระโดดเข้าตะครุบตัวผู้บุกรุก



“ว้าย!”



ศิตากรีดร้องเสียงหลงด้วยอารามตกใจ ที่จู่ ๆ ก็ถูกผู้ชายแปลกหน้ารูปร่างสูงใหญ่หนวดเคราขึ้นเขียวครึ้มเต็มใบหน้ากอดรัดฟัดเหวี่ยงราวกับจะปลุกปล้ำ ในขณะที่กำลังหาของกินประทังความหิวอยู่ในห้องพักพนักงาน



“เฮ้ย! ผู้หญิงนี่หว่า” ทศพักตร์เองก็ตกใจไม่แพ้กัน รีบคลายวงแขนออกจากร่างนุ่มนิ่มเปลี่ยนมาฉวยข้อมือเรียวไว้พร้อมทั้งตวาดลั่น



“เข้ามาทำอะไรที่นี่!”



“อ...เอ่อ...ฉ...ฉัน...”



“จะเข้ามาขโมยของใช่ไหม! บอกมาเดี๋ยวนี้! มากันกี่คน แล้วได้อะไรไปบ้าง” น้ำเสียงแข็ง ๆ ตะคอกขึ้นอีกครั้งพร้อมทั้งบีบข้อมือเรียวแน่น ส่งผลให้หญิงสาวมีสีหน้าเหยเกสะบัดมือไม้เป็นพัลวัน



“โอ๊ย! ฉันเจ็บนะ ปล่อยก่อนได้ไหม ฉันไม่ใช่ขโมย”



“ไม่ใช่ขโมย แล้วเข้ามาทำอะไรในนี้” ทศพักตร์สอดส่ายสายตามองไปโดยรอบอย่างระแวดระวัง เพื่อตรวจดูให้แน่ใจ ว่านอกจากหญิงสาวจะมีผู้อื่นร่วมทีมด้วย



“ฉันไม่ได้เพิ่งจะเข้ามา แต่ฉันอยู่ที่นี่ตั้งแต่ประตูมันยังไม่ปิดต่างหากล่ะ”



“แล้วมัวแต่ทำอะไรอยู่ ทำไมถึงยังไม่กลับออกไป”



“ฉัน...ฉันหลับอยู่ในห้องน้ำน่ะ” น้ำเสียงแผ่วเบาตอบออกไปอย่างอาย ๆ



“โกหก! นึกว่าผมโง่หรือไง ที่อับชื้นแบบนั้น ใครมันจะหลับเข้าไปลง จะเข้ามาเอาอะไรรีบบอกมา อย่าให้ต้องโทรแจ้งตำรวจ”



“ก็แล้วแต่จะคิดสิ ถ้าอยากแจ้งตำรวจนัก ก็โทรแจ้งเลย แค่คนเผลอหลับอยู่ในห้องน้ำมันผิดมากนักหรือไง” ศิตาเสียงแข็ง เริ่มหมดความอดทนกับคนตรงหน้า



“ก็ได้...ผมจะเชื่อคุณ” ทศพักตร์หรี่ตามองท่าทางขึงขังนั่นราวกับจะประเมิน คลายข้อมือเรียวแต่ยังไม่ปล่อยเสียทีเดียว ก่อนจะเริ่มตะล่อมด้วยคำพูด ด้วยต้องการทราบจุดประสงค์ที่แท้จริงของหญิงสาว



“ว่าแต่คุณมาทำอะไรที่นี่”



“ฉันมาพบคุณทศพักตร์”



“รู้จักคุณทศพักตร์ด้วยเหรอ” ชายหนุ่มเลิกคิ้วถาม ด้วยมั่นใจว่าไม่เคยรู้จักผู้หญิงคนนี้มาก่อน



“แน่นอน...ฉันรู้จักเขาดีเลยล่ะ ระวังตัวให้ดีเถอะ ขืนมาทำมารยาททราม ๆ กับฉันละก็...ว้ายย! จะทำอะไรน่ะ” ศิตาแสร้งคุยโว มองคู่สนทนาด้วยสายตาเหยียด ๆ เพราะคิดว่าเขาเป็นเพียงแค่รปภ. จึงตั้งใจจะข่มขู่ให้ยำเกรง แต่ยังพูดไม่ทันจะจบประโยคเสียด้วยซ้ำ ก็ถูกอีกฝ่ายกระชากจนเซถลาไปปะทะแผงอกกว้าง



“โกหก! ผมไม่เคยรู้จักคุณ บอกมาเดี๋ยวนี้! ว่าจะเข้ามาเอาอะไร”



ทศพักตร์ตวาดลั่นมองหญิงสาวอย่างคาดคั้น ทำให้คนที่อยู่ชิดติดแผงอกหน้าตาตื่น เอะใจขึ้นมาทันทีว่าชายตรงหน้าอาจจะเป็นเจ้าหนี้จอมโวยวายนั่นก็เป็นได้



“หรือว่า...ค...คุณคือ...”



“ใช่!"


*********
หมายเหตุ..
ดอกเบี้ยสิเน่หาตีพิมพ์สนพ. Touch Publishing วางจำหน่ายตั้งแต่ ตุลาคมปี 2553
หาซื้อได้ที่ซีเอ็ดและร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป หรือสั่งซื้อได้ที่...
http://www.welovenovel.com/PD351840-สินค้า-ดอกเบี้ยสิเน่หา.html

หรือหาอ่านได้ในรูปแบบ e-book
http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&book_id=1627







กันต์ระพี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 ก.ย. 2555, 22:08:26 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 ก.ย. 2555, 22:08:26 น.

จำนวนการเข้าชม : 1330





เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account