เพลิงร้ายพ่ายรัก
ความแค้นของเธอ...เป็นเหมือนเพลิงร้ายที่คอยเผาผลาญหัวใจให้ร้อนรุ่ม...ความรักของเขา...เป็นเหมือนสายน้ำที่พร้อมจะดับไฟแค้นในใจให้มอดลง...แต่จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าหัวใจเลือกไฟแค้น...
Tags: เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด ดราม่า น้ำตาไหลพราก
ตอน: ตอนที่ 1 ปลายสุดของจุดเริ่มต้น
คุยกันซักนิดนะคะ ^^
เรื่องนี้เขียนพล็อตจบแล้ว และลงมือเขียนอย่างเมามันได้สองตอน
ก่อนจะสะดุด เพราะมีงานเข้ามาจนไม่มีสมาธิเขียนต่อเลยค่ะ
ช่วงนี้งานลดลงแล้ว เลยเอานิยายทุกเรื่อง(ที่ดองไว้)มานั่งอ่านอีกรอบ
แล้วก้รู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่อยากเขียนต่อมากที่สุด แต่ก็คิดว่าน่าจะยากที่สุดเช่นกัน
เพราะมีซีนอารมณ์ ค่อนข้างเยอะ และตัวละครทุกตัวเป็นพวกเก็บกดหน่อยๆ มีปมกันทั้งนั้น
เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ท้าทายสำหรับศศิริษาพอสมควรค่ะ ว่าจะเขียนจบหรือเปล่า อิอิ
ขอให้มีความสุขในการอ่านนิยายนะคะ
จุ๊บๆ
ศศิริษา
++++++++++++++++++++++++++++++++++
เมื่อห้าปีที่แล้ว...
“พี่หนึ่งขา...สองอยู่นี่ค่า” หญิงสาวร่างเล็กท่าทางทะมัดทะแมงในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนสวมทับด้วยแจ็คเก็ตสีน้ำตาลเข้ม ตะโกนบอกชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่กำลังยืนโบกมืออยู่ข้างๆรถกระบะสีดำสภาพกลางเก่ากลางใหม่ด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มสดใส มือเรียวเล็กจับจูงมือของเพื่อนสาวผมยาวรูปร่างสูงโปร่งไว้แน่น ขณะเหลียวซ้ายแลขวาเพื่อหาจังหวะข้ามไปยังถนนฝั่งตรงข้ามของสถานีขนส่ง
“นี่รตา เพื่อนสนิทของสองเองค่ะพี่หนึ่ง” บุณยวีร์แนะนำคนที่กำลังยืนหอบแฮกๆให้พี่ชายรู้จักด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจเป็นที่สุด เพราะเพื่อนของเธอทั้งสวย ทั้งน่ารัก ไม่เย่อหยิ่งถือตัวว่าเป็นไฮโซเหมือนบรรดาลูกผู้มีอันจะกินอีกหลายคนในมหาวิทยาลัยชื่อดังที่เธอเรียนอยู่
“รตา...นี่พี่หนึ่ง พี่ชายสุดที่รักของเรา” ยิ้มทะเล้นให้พี่ชายพลางเหลือบตามองเข้าไปในรถแล้วก็ต้องทำหน้าไม่สบอารมณ์
“รตาคุยกับพี่หนึ่งไปก่อนนะ เดี๋ยวเราขอเคลียร์พื้นที่ก่อน รกเป็นรังหนูเชียว“ หญิงสาวหันไปบอกเพื่อนก่อนมุดเข้าไปในแคปหลังเพื่อนำบรรดาเครื่องมือการเกษตรของพี่ชายออกมากองที่ท้ายกระบะ
“สวัสดีค่ะพี่หนึ่ง...รตาได้ยินสองพูดถึงไร่แสงดาวกับพี่หนึ่งมาตั้งนานแล้วค่ะ ปิดเทอมนี้รตาก็เลยขอตามสองมาด้วย หวังว่ารตาคงไม่ได้มารบกวนพี่หนึ่งนะคะ...” พริมรตาพรยกมือไหว้อย่างอ้อนน้อมพร้อมด้วยรอยยิ้มสดใส
“ไม่รบกวนเลยครับ...ไร่แสงดาวยินดีต้อนรับน้องรตาเสมอครับ”
บุญฤทธิ์รับไหว้พลางจ้องมองดวงหน้าสวยหวานอย่างเผลอไผล ดวงตากลมโตเปล่งประกายระยับ ริมฝีปากอิ่มสีชมพูระเรื่อที่เหมือนมีรอยยิ้มแต่งแต้มอยู่ตลอดเวลา ทำให้เพื่อนสนิทของน้องสาวคนนี้ดูงดงามไม่ต่างจากเจ้าหญิงเลยทีเดียว นับว่าเป็นโชคดีของเขาและไร่แสงดาวเหลือเกินที่ได้มีโอกาสต้อนรับลูกสาวเศรษฐีอันดับต้นๆ ของเมืองไทยที่เลือกมาเยือนไร่เล็กๆ ที่เงียบสงบแทนที่จะไปทัวร์ยุโรปกับครอบครัวในช่วงปิดเทอมใหญ่เหมือนทุกปี
“ว่าแต่ยัยสองนินทาอะไรพี่ให้รตาฟังครับ” ชายหนุ่มลดเสียงลงก่อนยกมือขึ้นป้องปากถามแก้เขิน
“สองเค้าบอกว่า เค้ามีพี่ชายใจดี แล้วก็หล่อเหมือนดาราเกาหลีเลยค่ะ...”
พริมรตาพรพูดพลางกลั้นหัวเราะสุดชีวิต แต่เมื่อเห็นหน้าดำๆกลายเป็นสีเข้มขึ้น เธอก็อดหลุดหัวเราะไม่ได้ ผู้ชายคนนี้ดูซื่อๆไม่มีพิษมีภัยต่างจากบรรดาลูกชายเพื่อนที่คุณหญิงแม่พยายามยัดเยียดให้เธอคบหาดูใจ...แต่ละคนเขี้ยวลากดินทั้งนั้น...
“ยัยสองไปโม้ไว้แบบนั้น พอน้องรตามาเห็นความจริงแบบนี้พี่ก็เขินแย่สิครับ...” บุญฤทธิ์บอกเสียงอ่อยๆก่อนจะยกมือขึ้นเกาท้ายทอยด้วยความเขินจัด
เสียงหัวเราะคิกคักของเพื่อนทำให้คนที่กำลังจัดสัมภาระที่กองสุมๆอยู่ด้านหลังคนขับต้องโผล่หน้าออกมาดู ภาพของพี่ชายที่กำลังยิ้มหน้าบานโดยมีเพื่อนสนิทของเธอกำลังหัวเราะคิกคักอยู่ข้างๆทำให้บุณยวีร์ต้องยิ้มออกมา นานแล้วที่พี่ชายของเธอไม่ได้มีสีหน้าเบิกบานแบบนี้ ตั้งแต่พ่อแม่เสียชีวิตไปเมื่อหกปีที่แล้ว พี่หนึ่งก็ต้องลาออกจากมหาวิทยาลัยเพื่อมาดูแลไร่และรีสอร์ทเล็กๆที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้ โดยมีคนงานเก่าแก่อีกไม่กี่คนคอยช่วยงาน ถึงแม้ไร่แสงดาวจะมีพื้นที่ไม่มากแต่เนื่องจากอยู่ในทำเลที่ดี คือด้านหลังติดเชิงเขาด้านหน้าติดแม่น้ำสายหลักทำให้มีคนติดต่อขอซื้อเพื่อไปทำรีสอร์ทระดับห้าดาว แต่พี่หนึ่งของเธอก็พอใจที่จะให้ให้รีสอร์ทแสงดาวเป็นรีสอร์ทเล็กๆที่เป็นส่วนหนึ่งของไร่ และใกล้ชิดธรรมชาติ เหมือนที่พ่อกับแม่ตั้งใจมาตลอดมากกว่า
“อย่ามัวแต่เขินเลยค่ะพี่หนึ่ง รีบไปกันดีกว่าจะได้ถึงไร่เร็วๆ ตอนนี้สองหิวจนกินช้างได้ทั้งตัวแล้วค่ะ...“
“วันนี้ป้านวลทำแกงฮังเล น้ำพริกหนุ่มผักต้ม แล้วก็เห็ดหอมสดผัดน้ำมันหอย ของโปรดสองทั้งนั้นเลยแหล่ะ” บุญฤทธิ์พูดยั่วน้ำย่อยคนกำลังหิว ด้วยรู้นิสัยของน้องสาวดี
“โอ๊ย...ยิ่งพูดก็ยิ่งหิว รีบขึ้นรถเร็วรตา ป่านนี้ป้านวลคงจะบ่นแล้วล่ะ พี่หนึ่งนั่นแหล่ะขับรถช้ายังกะเต่า รู้อย่างนี้ให้ลุงเม่นขับมายังจะเร็วกว่า“ บุณยวีย์บ่นกระปอดกระแปดก่อนจะเรียกเพื่อนขึ้นรถ
พริมรตาพรหลุดหัวเราะออกมาเมื่อเห็นคนเป็นพี่ยกมือขึ้นแจกมะเหงกน้องสาวขี้บ่นที่หลบได้ทันอย่างหวุดหวิด รอยยิ้มอ่อนโยนระบายบนดวงหน้าหวานขณะฟังสองพี่น้องคุยกันกระหนุงกระหนิงไปตลอดทาง ความผูกพันฉันท์พี่น้องเป็นสิ่งที่เธอไม่เคยมีและโหยมันมาตลอด ถึงแม้เธอจะมีพี่ชายต่างมารดาอีกหนึ่งคนชื่อดิษฐากร แต่ลึกๆแล้วเธอก็ไม่สามารถเรียกพี่ดิษฐ์ว่าพี่ได้อย่างเต็มปาก นั่นเป็นเพราะเธอไม่เคยมั่นใจว่าพี่ดิษฐ์จะยอมรับลูกของผู้หญิงที่แย่งความสุขไปจากชีวิตของเขาเป็นน้องสาว หญิงสาวลอบผ่อนลมหายใจยาวลึกเมื่อคิดถึงวันที่จะต้องกลับไปเผชิญหน้ากับมารดาซึ่งป่านนี้คงจะปรี๊ดแตกกับการหายตัวไปจากพิธีดูตัวอย่างไร้ร่องรอยของเธอจนบ้านแทบพังแล้วแน่ๆ
สายลมอ่อนเอื่อยพัดพาละอองเย็นฉ่ำจากแม่น้ำกกที่ไหลรินหล่อเลี้ยงผู้คนริมสองฝั่งมาชั่วนาตาปี เช่นเดียวกับไร่แสงดาวที่ได้อาศัยความอุดมสมบูรณ์ของแม่น้ำสายนี้ เป็นแหล่งน้ำเพื่อทำนุบำรุงผลิตผลทางการเกษตรไม่ว่าจะเป็นสวนผลไม้และไร่ข้าวบาเล่ย์ให้เจริญงอกงามมาโดยตลอด ที่เรือนริมน้ำของแสงดาวรีสอร์ท หิ่งห้อยตัวน้อยซึ่งกำลังส่องแสงวิบวับในยามค่ำคืนสร้างความเพลิดเพลินเจริญใจให้กับหญิงสาวจากเมืองกรุงได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
“เฮ้อ...รตาอิจฉาสองจังเลย...” จู่ๆคนที่กำลังนอนเอกเขนกอยู่บนเสื่อก็พูดโพล่งขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“หือ...พูดอะไรน่ะรตา เด็กกำพร้าจนๆอย่างสองเนี่ยนะจะมีอะไรให้รตาอิจฉา” บุญยวีร์ถามด้วยสีหน้างุนงง
“ก็สองเรียนเก่ง นิสัยก็ดี เพื่อนๆทุกคนรักสองกันทั้งนั้น ไม่เหมือนรตา เรียนก็ไม่เก่ง เพื่อนก็ไม่มีใครคบ อย่าว่าแต่เพื่อนเลย ขนาดคุณพ่อคุณแม่ยังไม่รัก ไม่ห่วงรตาเลย...” พริมรตาพรพูดพลางถอนใจยาว
“รตาอย่าคิดแบบนั้นสิ ไม่มีพ่อแม่คนไหนที่ไม่รักลูกหรอกจ้ะ คุณพ่อคุณแม่คงจะยุ่งเรื่องงานอยู่ก็ได้ ก็เลยไม่ค่อยมีเวลาให้รตา...” บุณยวีร์ตบไหล่เพื่อนเบาๆอย่างปลอบใจ
“หึ...ใช่สิ เพราะเวลาส่วนใหญ่ของคุณพ่อคือการพาบรรดาอีหนูไปช้อปปิ้ง ส่วนเวลาของคุณแม่ก็หมดไปในวงไพ่กับงานแสดงเครื่องเพชร...สองไม่รู้หรอกว่ารตาต้องกินข้าวคนเดียวมาตั้งแต่เด็กจนโต รตาถึงบอกว่าอิจฉาสองไง อิจฉาที่สองมีพี่ชายคอยห่วงใยอย่างพี่หนึ่ง” พริมรตาพรเล่าด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูก
“แล้วอีกอย่างนะที่รตาอิจฉาสองที่สุด ก็ที่สองมีแฟนน่ารักแล้วก็แสนดีอย่างธีร์ไง...”
ดวงตาที่เคยพราวระยับหม่นแสงลง ขณะกล่าวถึงชายหนุ่มที่เป็นเพื่อนสนิทของตัวเอง บุณยวีร์รีบปฏิเสธเสียงหลง
“ฮื้อ...จะบ้าเหรอรตา...สองไม่ได้เป็นแฟนธีร์ซะหน่อย”
“อ้าว...ก็เห็นนายธีร์ตามสองต้อยๆ รตาก็เลยคิดว่าสองคงจะตกลงปลงใจยอมเป็นแฟนนายธีร์แล้วน่ะสิ...” พริมรตาพรแย้งพลางทำหน้าไม่ค่อยเชื่อ
“ยังหรอก...ธีร์ยังเป็นแฟนสองไม่ได้ เพราะธีร์ยังไม่ผ่านการพิจารณาของพี่หนึ่งน่ะ”
“สองเคยพาธีร์มาที่ไร่แสงดาวแล้วเหรอ ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมรตาไม่เคยรู้มาก่อน สองใจร้ายจังเลยแอบพาธีร์มาเที่ยวแล้วไม่ยอมชวนรตา...”
พิมรตาพรพูดเสียงเครือจัด แม้จะโล่งใจที่ได้ยินว่าบุณยวีร์ยังไม่ได้เป็นแฟนกับธีรุฒน์ แต่ก็รู้สึกเจ็บแปลบในหัวใจอย่างบอกไม่ถูกเมื่อคิดถึงภาพที่ทั้งสองคนกำลังกินข้าวด้วยกัน หรืออาจจะนอนคุยกันเหมือนเธอในเวลานี้
“ไม่ใช่แบบนั้นจ้ะรตา...สองยังไม่เคยพาธีร์มาที่นี่หรอก รตาเป็นเพื่อนคนแรกนะที่ได้มาเที่ยวไร่ของสอง แต่ที่สองบอกว่าธีร์ยังไม่ผ่านการพิจารณา เพราะว่าพี่หนึ่งไปหาสองที่กรุงเทพฯแล้วก็เจอธีร์โดยบังเอิญน่ะ...” บุณยวีร์รีบอธิบายก่อนที่เพื่อนจะเข้าเธอผิดมากกว่านี้
ความหม่นหมองบนใบหน้าสวยเริ่มลางเลือนไปก่อนจะแทนที่ด้วยรอยยิ้มหวานเพื่อกลบเกลือนความรู้สึกบางอย่างที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นมาในหัวใจจนยากจะสลัดออกไปได้ พริมรตาพรลุกขึ้นนั่งชันเข่าก่อนจะเหม่อมมองสายน้ำที่ไหลเอื่อยพลางครุ่นคิด... ชีวิตที่ดูเหมือนเพียบพร้อมไปด้วยเกียรติยศและเงินทอง แต่ความจริงแล้วมันไม่ต่างอะไรกับเศษขยะที่ลอยคว้างอยู่กลางแม่น้ำ สุดแล้วแต่สายน้ำจะพัดพาไปทางใด ไร้จุดหมาย ไร้ที่ยึดเกาะ และไร้ที่พักพิงใจ...ดวงตากลมโตเปล่งประกายร้าวรานในความรางสลัว ทำไมเธอถึงสู้ผู้หญิงธรรมดาอย่างบุณยวีร์ไม่ได้ และทำไมคนที่ธีรุฒน์รักถึงไม่ใช่เธอ...
“ดึกแล้วล่ะ เราไปนอนกันดีกว่านะรตา พรุ่งนี้จะได้ตื่นแต่เช้ามาดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน”
บุณยวีร์เอ่ยปากชวนคนที่นั่งเงียบไปครู่ใหญ่ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ร่างบางรีบลุกขึ้นก่อนจะยื่นมือให้เพื่อนจับ ความหม่นเศร้าที่ฉายชัดอยู่ในดวงตาคู่สวยทำให้เธอรู้สึกสงสารคนที่อยู่เหนือเธอทุกอย่าง แม้ว่าพริมรตาพรจะไว้ใจเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ในครอบครัวให้เธอฟัง แต่เธอก็ไม่เคยเชื่อว่าเพื่อนจะคิดอิจฉาเธออย่างที่พูดเมื่อสักครู่
“อย่าเศร้าไปเลยนะรตา จำไว้นะว่ารตายังมีสองอยู่ตรงนี้อีกคน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเราสองจะเป็นเพื่อนที่ดีของกันและกันตลอดไป...”
“ขอบใจมากนะสอง ขอบใจที่ดีกับรตามาตลอด...” พริมรตาพรส่งมือให้เพื่อนก่อนบีบกระชับแรงๆราวกับจะให้สัญญา
“รตาก็สัญญานะว่าเราจะเป็นเพื่อนรักกันตลอดไป รตาจะไม่มีวันทำให้สองต้องเสียใจ...รตาสัญญา...”
++++++++++++++++++++
“เพิ่งจะหกโมงเช้าเอง ทำไมรีบตื่นจังเลยครับ...”
เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นชิดใบหูพร้อมท่อนแขนกำยำที่สอดรัดรอบเอวพร้อมกับดึงร่างเล็กเข้ามารับไออุ่นจากอกกว้าง ดิษฐากรสูดดมความหอมจากเรือนผมนุ่มสลวยของผู้หญิงที่เขากล้าที่จะใช้คำว่าภรรยาได้อย่างเต็มปาก กลิ่นอายของความสุขยังหอมหวานและอบอวลอยู่ในห้อง
ร่างบางที่กำลังยืนพิงหน้าต่างสะดุ้งน้อยๆ หลังจากปล่อยให้ความคิดล่องลอยกลับไปยังอดีตเมื่อห้าปีก่อน หญิงสาวยิ้มตอบขณะเอียงหน้าหลบปลายจมูกโด่งที่แอบหากำไรจากแก้มอิ่มของเธอมาแล้วทั้งคืน
“สองตื่นเช้าจนชินแล้วค่ะคุณดิษฐ์...”
“แต่สองคงจะยังไม่ค่อยชินที่มีคนนอนด้วยใช่มั้ยครับ เมื่อคืนผมเห็นสองนอนกระสับกระส่ายเหมือนกำลังฝันร้าย บอกผมได้มั้ยครับว่าสองฝันว่าอะไร...”
“เปล่านี่คะ...มีคุณดิษฐ์นอนกอดทั้งคืน สองไม่มีวันฝันร้ายหรอกค่ะ มีแต่จะฝันดีจนไม่อยากตื่นมากกว่า” หญิงสาวรีบส่ายหน้าปฏิเสธพร้อมกับหยอดคำหวานที่ทำให้คนฟังต้องยิ้มกว้างพลางทำสายตากรุ้มกริ่ม
“ปากหวานแต่เช้าเลยนะครับ...แบบนี้ต้องมีรางวัลให้ซะแล้ว”
“อย่าค่ะคุณดิษฐ์ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้าจะเอาไปพูดเสียๆหายๆ อย่าลืมสิคะ ว่าเรายังไม่ได้แต่งงานกัน...”
หญิงสาวยกมือขึ้นดันใบหน้าคมที่กำลังโน้มต่ำลงมาใกล้ นึกตำหนิตัวเองอยู่ในใจที่ออกมายืนเหม่ออยู่ริมหน้าต่างห้องนอนของชายหนุ่มอยู่นานจนลืมคิดไปว่าคนงานในไร่อาจจะมาเห็นเข้าและคงจะเอาเรื่องนี้ไปบอกพี่ชายของเธอเรียบร้อยแล้ว
“สองไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นนะครับ...วันนี้ผมจะโทรไปบอกคุณพ่อให้ขึ้นมาสู่ขอสองกับพี่หนึ่ง แล้วถ้าพี่หนึ่งไม่มีอะไรขัดข้องเราจะจัดงานแต่งงานกันอาทิตย์หน้าเลยนะครับ...”
“คุณดิษฐ์ไม่ต้องรบกวนคุณพ่อให้ขึ้นมาเชียงรายหรอกค่ะ สองอยากให้คุณดิษฐ์ไปคุยกับพี่หนึ่งให้เข้าใจมากกว่า ส่วนเรื่องงานแต่งงานสองก็ไม่ต้องการค่ะ ขอแค่งานเลี้ยงเล็กๆในครอบครัวก็พอแล้ว...สองขอแค่นี้ คุณดิษฐ์ให้สองได้มั้ยคะ...”
คนในอ้อมแขนกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเช่นเดียวกับแววตาที่ฉายแววจริงจังจนชายหนุ่มต้องพยักหน้ายอมจำนน
“ไม่มีอะไรที่สองขอแล้วผมให้ไม่ได้หรอกครับ แต่ผมก็มีเรื่องที่อยากจะขอสองเหมือนกัน…”
“คุณดิษฐ์จะให้สองทำอะไรเหรอคะ ถ้าสองทำให้ได้ สองก็จะไม่รีรอเหมือนกันค่ะ”
“วันนี้เราไปจดทะเบียนสมรสกันนะครับ...”
สีหน้าลังเลใจของคนในอ้อมแขนทำให้ชายหนุ่มต้องรีบอธิบาย
“ผมรู้นะครับว่ามันเหมือนเป็นการเห็นแก่ตัวที่ใช้ทะเบียนสมรสผูกมัดสองไว้ แต่ผมกลัวเหลือเกินว่าวันข้างหน้ามันจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากวันนี้ ผมคงทนไม่ได้ถ้าสองจะเปลี่ยนใจไปรักคนอื่น...”
“คุณดิษฐ์คะ...สองขอบคุณมากที่คุณรักและให้เกียรติสองขนาดนี้ แต่เรื่องทะเบียนสมรส คุณควรจะคิดให้ดีนะคะ เพราะครอบครัวคุณอาจจะไม่พอใจก็ได้”
“ไม่พอใจ?...ผมไม่เห็นว่ามันจะมีเหตุผลอะไรที่คุณพ่อจะไม่พอใจ ส่วนคุณน้ากับยัยรตา ผมไม่สนใจอยู่แล้วว่าสองคนนี้จะคิดยังไง ”
“คุณดิษฐ์ไม่คิด แต่สองคิดนี่คะ ฐานะทางสังคมของเราต่างกันมากเหลือเกิน สองไม่อยากให้คนในครอบครัวคุณคิดว่าสองตั้งใจจับคุณเพราะคุณเป็นเจ้าของไร่แสงดาว แล้วก็เป็นเศรษฐ์บดินทร์...”
บุณยวีร์แย้งเบาๆ นั่นเป็นเพราะเธอรู้กิตติศัพท์ในเรื่องรังเกียจคนจนของคุณศจีพรแม่เลี้ยงของเขาดี ส่วนพริมรตาพรผู้เป็นลูกสาวนั้นไม่ต้องพูดถึง เธอรู้ซึ้งก้นบึ้งไปจนถึงจิตวิญญาณของผู้หญิงคนนี้เลยทีเดียว
“ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองวิเศษวิโสกว่าคนอื่นเพราะใช้นามสกุลเศรษฐ์บดินทร์ ผมเป็นแค่ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่อยากจะยืนด้วยลำแข้งตัวเอง เงินที่ผมเอามาซื้อไร่แสงดาวเป็นเงินที่คุณแม่ทิ้งไว้ให้ก่อนตาย บวกกับเงินเก็บที่ผมทำงานตอนเรียนที่อังกฤษอีกนิดหน่อยไม่ใช่เงินของเศรษฐ์บดินทร์แม้แต่บาทเดียว...เพราะฉะนั้น ใครจะพอใจหรือไม่พอใจยังไง ผมไม่แคร์!...”
สีหน้าบึ้งตึงและน้ำเสียงฉุนเฉียวไม่พอใจทำให้หญิงสาวต้องรีบเอาน้ำเย็นเข้าลูบ
“อย่าทำเสียงดุซิคะ สองแค่อยากบอกให้คุณดิษฐ์รู้ว่าสองรักคุณจริงๆ ไม่ได้รักที่เงินทองหรือว่านามสกุลของคุณ”
ใบหน้าคมคลายความบึ้งตึงเมื่อฝ่ามือเรียวเล็กลูบอกกว้างเบาๆ สัมผัสที่อ่อนโยนและน้ำเสียงเย็นใสของบุณยวีร์เป็นเหมือนสายลมที่ปัดเป่าความรุ่มร้อนออกจากหัวใจของเขาได้ทุกครั้ง ดิษฐากรกระชับร่างบางแน่นขึ้นก่อนก้มลงกระซิบถามด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์
“งั้นก็พิสูจน์ให้ผมดูหน่อยสิครับว่าสองรักผมแค่ไหน...”
“จนป่านนี้แล้วยังไม่เชื่อว่าสองรักคุณมากอีกเหรอคะ...” ถามเสียงเบาหวิวเมื่อลมหายใจร้อนผ่าวเป่ารดข้างแก้มที่กำลังกลายเป็นสีแดงจัด
“ยังไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ครับ ต้องพิสูจน์อีกที แล้วก็ต้องเป็นตอนนี้เลยนะครับ...ที่รัก”
ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะตอบตกลง คนเจ้าเล่ห์ก็ช้อนร่างบางขึ้นก่อนจะก้าวยาวๆไปที่เตียงนุ่ม ริมปากนุ่มชื้นประทับลงมาอย่างรวดเร็วและเรียกร้อง อารมณ์เสน่หาที่ถูกปลุกเร้าจนเกือบถึงขีดสุดสะดุดลงกลางครัน เมื่อมีเสียงเคาะประตูแรงๆ บุณยวีร์เบิกตาโตก่อนจะรีบหยิบเสื้อผ้ามาสวมอย่างลนลานผิดกับดิษฐากรที่ยังนิ่งอึ้งทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ
“คุณดิษฐ์ครับ...เปิดประตูหน่อยครับ ผมมีเรื่องสำคัญจะคุยด้วยครับ”
หญิงสาวมีสีหน้าตื่นตระหนก เมื่อจำได้ว่าเสียงห้าวที่ดังขึ้นหน้าประตูนั้นคือเสียงของ บุญฤทธิ์...พี่ชายของเธอเอง!!!
++++++++++++++++++++++++
เรื่องนี้เขียนพล็อตจบแล้ว และลงมือเขียนอย่างเมามันได้สองตอน
ก่อนจะสะดุด เพราะมีงานเข้ามาจนไม่มีสมาธิเขียนต่อเลยค่ะ
ช่วงนี้งานลดลงแล้ว เลยเอานิยายทุกเรื่อง(ที่ดองไว้)มานั่งอ่านอีกรอบ
แล้วก้รู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่อยากเขียนต่อมากที่สุด แต่ก็คิดว่าน่าจะยากที่สุดเช่นกัน
เพราะมีซีนอารมณ์ ค่อนข้างเยอะ และตัวละครทุกตัวเป็นพวกเก็บกดหน่อยๆ มีปมกันทั้งนั้น
เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ท้าทายสำหรับศศิริษาพอสมควรค่ะ ว่าจะเขียนจบหรือเปล่า อิอิ
ขอให้มีความสุขในการอ่านนิยายนะคะ
จุ๊บๆ
ศศิริษา
++++++++++++++++++++++++++++++++++
เมื่อห้าปีที่แล้ว...
“พี่หนึ่งขา...สองอยู่นี่ค่า” หญิงสาวร่างเล็กท่าทางทะมัดทะแมงในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนสวมทับด้วยแจ็คเก็ตสีน้ำตาลเข้ม ตะโกนบอกชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่กำลังยืนโบกมืออยู่ข้างๆรถกระบะสีดำสภาพกลางเก่ากลางใหม่ด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มสดใส มือเรียวเล็กจับจูงมือของเพื่อนสาวผมยาวรูปร่างสูงโปร่งไว้แน่น ขณะเหลียวซ้ายแลขวาเพื่อหาจังหวะข้ามไปยังถนนฝั่งตรงข้ามของสถานีขนส่ง
“นี่รตา เพื่อนสนิทของสองเองค่ะพี่หนึ่ง” บุณยวีร์แนะนำคนที่กำลังยืนหอบแฮกๆให้พี่ชายรู้จักด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจเป็นที่สุด เพราะเพื่อนของเธอทั้งสวย ทั้งน่ารัก ไม่เย่อหยิ่งถือตัวว่าเป็นไฮโซเหมือนบรรดาลูกผู้มีอันจะกินอีกหลายคนในมหาวิทยาลัยชื่อดังที่เธอเรียนอยู่
“รตา...นี่พี่หนึ่ง พี่ชายสุดที่รักของเรา” ยิ้มทะเล้นให้พี่ชายพลางเหลือบตามองเข้าไปในรถแล้วก็ต้องทำหน้าไม่สบอารมณ์
“รตาคุยกับพี่หนึ่งไปก่อนนะ เดี๋ยวเราขอเคลียร์พื้นที่ก่อน รกเป็นรังหนูเชียว“ หญิงสาวหันไปบอกเพื่อนก่อนมุดเข้าไปในแคปหลังเพื่อนำบรรดาเครื่องมือการเกษตรของพี่ชายออกมากองที่ท้ายกระบะ
“สวัสดีค่ะพี่หนึ่ง...รตาได้ยินสองพูดถึงไร่แสงดาวกับพี่หนึ่งมาตั้งนานแล้วค่ะ ปิดเทอมนี้รตาก็เลยขอตามสองมาด้วย หวังว่ารตาคงไม่ได้มารบกวนพี่หนึ่งนะคะ...” พริมรตาพรยกมือไหว้อย่างอ้อนน้อมพร้อมด้วยรอยยิ้มสดใส
“ไม่รบกวนเลยครับ...ไร่แสงดาวยินดีต้อนรับน้องรตาเสมอครับ”
บุญฤทธิ์รับไหว้พลางจ้องมองดวงหน้าสวยหวานอย่างเผลอไผล ดวงตากลมโตเปล่งประกายระยับ ริมฝีปากอิ่มสีชมพูระเรื่อที่เหมือนมีรอยยิ้มแต่งแต้มอยู่ตลอดเวลา ทำให้เพื่อนสนิทของน้องสาวคนนี้ดูงดงามไม่ต่างจากเจ้าหญิงเลยทีเดียว นับว่าเป็นโชคดีของเขาและไร่แสงดาวเหลือเกินที่ได้มีโอกาสต้อนรับลูกสาวเศรษฐีอันดับต้นๆ ของเมืองไทยที่เลือกมาเยือนไร่เล็กๆ ที่เงียบสงบแทนที่จะไปทัวร์ยุโรปกับครอบครัวในช่วงปิดเทอมใหญ่เหมือนทุกปี
“ว่าแต่ยัยสองนินทาอะไรพี่ให้รตาฟังครับ” ชายหนุ่มลดเสียงลงก่อนยกมือขึ้นป้องปากถามแก้เขิน
“สองเค้าบอกว่า เค้ามีพี่ชายใจดี แล้วก็หล่อเหมือนดาราเกาหลีเลยค่ะ...”
พริมรตาพรพูดพลางกลั้นหัวเราะสุดชีวิต แต่เมื่อเห็นหน้าดำๆกลายเป็นสีเข้มขึ้น เธอก็อดหลุดหัวเราะไม่ได้ ผู้ชายคนนี้ดูซื่อๆไม่มีพิษมีภัยต่างจากบรรดาลูกชายเพื่อนที่คุณหญิงแม่พยายามยัดเยียดให้เธอคบหาดูใจ...แต่ละคนเขี้ยวลากดินทั้งนั้น...
“ยัยสองไปโม้ไว้แบบนั้น พอน้องรตามาเห็นความจริงแบบนี้พี่ก็เขินแย่สิครับ...” บุญฤทธิ์บอกเสียงอ่อยๆก่อนจะยกมือขึ้นเกาท้ายทอยด้วยความเขินจัด
เสียงหัวเราะคิกคักของเพื่อนทำให้คนที่กำลังจัดสัมภาระที่กองสุมๆอยู่ด้านหลังคนขับต้องโผล่หน้าออกมาดู ภาพของพี่ชายที่กำลังยิ้มหน้าบานโดยมีเพื่อนสนิทของเธอกำลังหัวเราะคิกคักอยู่ข้างๆทำให้บุณยวีร์ต้องยิ้มออกมา นานแล้วที่พี่ชายของเธอไม่ได้มีสีหน้าเบิกบานแบบนี้ ตั้งแต่พ่อแม่เสียชีวิตไปเมื่อหกปีที่แล้ว พี่หนึ่งก็ต้องลาออกจากมหาวิทยาลัยเพื่อมาดูแลไร่และรีสอร์ทเล็กๆที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้ โดยมีคนงานเก่าแก่อีกไม่กี่คนคอยช่วยงาน ถึงแม้ไร่แสงดาวจะมีพื้นที่ไม่มากแต่เนื่องจากอยู่ในทำเลที่ดี คือด้านหลังติดเชิงเขาด้านหน้าติดแม่น้ำสายหลักทำให้มีคนติดต่อขอซื้อเพื่อไปทำรีสอร์ทระดับห้าดาว แต่พี่หนึ่งของเธอก็พอใจที่จะให้ให้รีสอร์ทแสงดาวเป็นรีสอร์ทเล็กๆที่เป็นส่วนหนึ่งของไร่ และใกล้ชิดธรรมชาติ เหมือนที่พ่อกับแม่ตั้งใจมาตลอดมากกว่า
“อย่ามัวแต่เขินเลยค่ะพี่หนึ่ง รีบไปกันดีกว่าจะได้ถึงไร่เร็วๆ ตอนนี้สองหิวจนกินช้างได้ทั้งตัวแล้วค่ะ...“
“วันนี้ป้านวลทำแกงฮังเล น้ำพริกหนุ่มผักต้ม แล้วก็เห็ดหอมสดผัดน้ำมันหอย ของโปรดสองทั้งนั้นเลยแหล่ะ” บุญฤทธิ์พูดยั่วน้ำย่อยคนกำลังหิว ด้วยรู้นิสัยของน้องสาวดี
“โอ๊ย...ยิ่งพูดก็ยิ่งหิว รีบขึ้นรถเร็วรตา ป่านนี้ป้านวลคงจะบ่นแล้วล่ะ พี่หนึ่งนั่นแหล่ะขับรถช้ายังกะเต่า รู้อย่างนี้ให้ลุงเม่นขับมายังจะเร็วกว่า“ บุณยวีย์บ่นกระปอดกระแปดก่อนจะเรียกเพื่อนขึ้นรถ
พริมรตาพรหลุดหัวเราะออกมาเมื่อเห็นคนเป็นพี่ยกมือขึ้นแจกมะเหงกน้องสาวขี้บ่นที่หลบได้ทันอย่างหวุดหวิด รอยยิ้มอ่อนโยนระบายบนดวงหน้าหวานขณะฟังสองพี่น้องคุยกันกระหนุงกระหนิงไปตลอดทาง ความผูกพันฉันท์พี่น้องเป็นสิ่งที่เธอไม่เคยมีและโหยมันมาตลอด ถึงแม้เธอจะมีพี่ชายต่างมารดาอีกหนึ่งคนชื่อดิษฐากร แต่ลึกๆแล้วเธอก็ไม่สามารถเรียกพี่ดิษฐ์ว่าพี่ได้อย่างเต็มปาก นั่นเป็นเพราะเธอไม่เคยมั่นใจว่าพี่ดิษฐ์จะยอมรับลูกของผู้หญิงที่แย่งความสุขไปจากชีวิตของเขาเป็นน้องสาว หญิงสาวลอบผ่อนลมหายใจยาวลึกเมื่อคิดถึงวันที่จะต้องกลับไปเผชิญหน้ากับมารดาซึ่งป่านนี้คงจะปรี๊ดแตกกับการหายตัวไปจากพิธีดูตัวอย่างไร้ร่องรอยของเธอจนบ้านแทบพังแล้วแน่ๆ
สายลมอ่อนเอื่อยพัดพาละอองเย็นฉ่ำจากแม่น้ำกกที่ไหลรินหล่อเลี้ยงผู้คนริมสองฝั่งมาชั่วนาตาปี เช่นเดียวกับไร่แสงดาวที่ได้อาศัยความอุดมสมบูรณ์ของแม่น้ำสายนี้ เป็นแหล่งน้ำเพื่อทำนุบำรุงผลิตผลทางการเกษตรไม่ว่าจะเป็นสวนผลไม้และไร่ข้าวบาเล่ย์ให้เจริญงอกงามมาโดยตลอด ที่เรือนริมน้ำของแสงดาวรีสอร์ท หิ่งห้อยตัวน้อยซึ่งกำลังส่องแสงวิบวับในยามค่ำคืนสร้างความเพลิดเพลินเจริญใจให้กับหญิงสาวจากเมืองกรุงได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
“เฮ้อ...รตาอิจฉาสองจังเลย...” จู่ๆคนที่กำลังนอนเอกเขนกอยู่บนเสื่อก็พูดโพล่งขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“หือ...พูดอะไรน่ะรตา เด็กกำพร้าจนๆอย่างสองเนี่ยนะจะมีอะไรให้รตาอิจฉา” บุญยวีร์ถามด้วยสีหน้างุนงง
“ก็สองเรียนเก่ง นิสัยก็ดี เพื่อนๆทุกคนรักสองกันทั้งนั้น ไม่เหมือนรตา เรียนก็ไม่เก่ง เพื่อนก็ไม่มีใครคบ อย่าว่าแต่เพื่อนเลย ขนาดคุณพ่อคุณแม่ยังไม่รัก ไม่ห่วงรตาเลย...” พริมรตาพรพูดพลางถอนใจยาว
“รตาอย่าคิดแบบนั้นสิ ไม่มีพ่อแม่คนไหนที่ไม่รักลูกหรอกจ้ะ คุณพ่อคุณแม่คงจะยุ่งเรื่องงานอยู่ก็ได้ ก็เลยไม่ค่อยมีเวลาให้รตา...” บุณยวีร์ตบไหล่เพื่อนเบาๆอย่างปลอบใจ
“หึ...ใช่สิ เพราะเวลาส่วนใหญ่ของคุณพ่อคือการพาบรรดาอีหนูไปช้อปปิ้ง ส่วนเวลาของคุณแม่ก็หมดไปในวงไพ่กับงานแสดงเครื่องเพชร...สองไม่รู้หรอกว่ารตาต้องกินข้าวคนเดียวมาตั้งแต่เด็กจนโต รตาถึงบอกว่าอิจฉาสองไง อิจฉาที่สองมีพี่ชายคอยห่วงใยอย่างพี่หนึ่ง” พริมรตาพรเล่าด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูก
“แล้วอีกอย่างนะที่รตาอิจฉาสองที่สุด ก็ที่สองมีแฟนน่ารักแล้วก็แสนดีอย่างธีร์ไง...”
ดวงตาที่เคยพราวระยับหม่นแสงลง ขณะกล่าวถึงชายหนุ่มที่เป็นเพื่อนสนิทของตัวเอง บุณยวีร์รีบปฏิเสธเสียงหลง
“ฮื้อ...จะบ้าเหรอรตา...สองไม่ได้เป็นแฟนธีร์ซะหน่อย”
“อ้าว...ก็เห็นนายธีร์ตามสองต้อยๆ รตาก็เลยคิดว่าสองคงจะตกลงปลงใจยอมเป็นแฟนนายธีร์แล้วน่ะสิ...” พริมรตาพรแย้งพลางทำหน้าไม่ค่อยเชื่อ
“ยังหรอก...ธีร์ยังเป็นแฟนสองไม่ได้ เพราะธีร์ยังไม่ผ่านการพิจารณาของพี่หนึ่งน่ะ”
“สองเคยพาธีร์มาที่ไร่แสงดาวแล้วเหรอ ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมรตาไม่เคยรู้มาก่อน สองใจร้ายจังเลยแอบพาธีร์มาเที่ยวแล้วไม่ยอมชวนรตา...”
พิมรตาพรพูดเสียงเครือจัด แม้จะโล่งใจที่ได้ยินว่าบุณยวีร์ยังไม่ได้เป็นแฟนกับธีรุฒน์ แต่ก็รู้สึกเจ็บแปลบในหัวใจอย่างบอกไม่ถูกเมื่อคิดถึงภาพที่ทั้งสองคนกำลังกินข้าวด้วยกัน หรืออาจจะนอนคุยกันเหมือนเธอในเวลานี้
“ไม่ใช่แบบนั้นจ้ะรตา...สองยังไม่เคยพาธีร์มาที่นี่หรอก รตาเป็นเพื่อนคนแรกนะที่ได้มาเที่ยวไร่ของสอง แต่ที่สองบอกว่าธีร์ยังไม่ผ่านการพิจารณา เพราะว่าพี่หนึ่งไปหาสองที่กรุงเทพฯแล้วก็เจอธีร์โดยบังเอิญน่ะ...” บุณยวีร์รีบอธิบายก่อนที่เพื่อนจะเข้าเธอผิดมากกว่านี้
ความหม่นหมองบนใบหน้าสวยเริ่มลางเลือนไปก่อนจะแทนที่ด้วยรอยยิ้มหวานเพื่อกลบเกลือนความรู้สึกบางอย่างที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นมาในหัวใจจนยากจะสลัดออกไปได้ พริมรตาพรลุกขึ้นนั่งชันเข่าก่อนจะเหม่อมมองสายน้ำที่ไหลเอื่อยพลางครุ่นคิด... ชีวิตที่ดูเหมือนเพียบพร้อมไปด้วยเกียรติยศและเงินทอง แต่ความจริงแล้วมันไม่ต่างอะไรกับเศษขยะที่ลอยคว้างอยู่กลางแม่น้ำ สุดแล้วแต่สายน้ำจะพัดพาไปทางใด ไร้จุดหมาย ไร้ที่ยึดเกาะ และไร้ที่พักพิงใจ...ดวงตากลมโตเปล่งประกายร้าวรานในความรางสลัว ทำไมเธอถึงสู้ผู้หญิงธรรมดาอย่างบุณยวีร์ไม่ได้ และทำไมคนที่ธีรุฒน์รักถึงไม่ใช่เธอ...
“ดึกแล้วล่ะ เราไปนอนกันดีกว่านะรตา พรุ่งนี้จะได้ตื่นแต่เช้ามาดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน”
บุณยวีร์เอ่ยปากชวนคนที่นั่งเงียบไปครู่ใหญ่ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ร่างบางรีบลุกขึ้นก่อนจะยื่นมือให้เพื่อนจับ ความหม่นเศร้าที่ฉายชัดอยู่ในดวงตาคู่สวยทำให้เธอรู้สึกสงสารคนที่อยู่เหนือเธอทุกอย่าง แม้ว่าพริมรตาพรจะไว้ใจเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ในครอบครัวให้เธอฟัง แต่เธอก็ไม่เคยเชื่อว่าเพื่อนจะคิดอิจฉาเธออย่างที่พูดเมื่อสักครู่
“อย่าเศร้าไปเลยนะรตา จำไว้นะว่ารตายังมีสองอยู่ตรงนี้อีกคน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเราสองจะเป็นเพื่อนที่ดีของกันและกันตลอดไป...”
“ขอบใจมากนะสอง ขอบใจที่ดีกับรตามาตลอด...” พริมรตาพรส่งมือให้เพื่อนก่อนบีบกระชับแรงๆราวกับจะให้สัญญา
“รตาก็สัญญานะว่าเราจะเป็นเพื่อนรักกันตลอดไป รตาจะไม่มีวันทำให้สองต้องเสียใจ...รตาสัญญา...”
++++++++++++++++++++
“เพิ่งจะหกโมงเช้าเอง ทำไมรีบตื่นจังเลยครับ...”
เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นชิดใบหูพร้อมท่อนแขนกำยำที่สอดรัดรอบเอวพร้อมกับดึงร่างเล็กเข้ามารับไออุ่นจากอกกว้าง ดิษฐากรสูดดมความหอมจากเรือนผมนุ่มสลวยของผู้หญิงที่เขากล้าที่จะใช้คำว่าภรรยาได้อย่างเต็มปาก กลิ่นอายของความสุขยังหอมหวานและอบอวลอยู่ในห้อง
ร่างบางที่กำลังยืนพิงหน้าต่างสะดุ้งน้อยๆ หลังจากปล่อยให้ความคิดล่องลอยกลับไปยังอดีตเมื่อห้าปีก่อน หญิงสาวยิ้มตอบขณะเอียงหน้าหลบปลายจมูกโด่งที่แอบหากำไรจากแก้มอิ่มของเธอมาแล้วทั้งคืน
“สองตื่นเช้าจนชินแล้วค่ะคุณดิษฐ์...”
“แต่สองคงจะยังไม่ค่อยชินที่มีคนนอนด้วยใช่มั้ยครับ เมื่อคืนผมเห็นสองนอนกระสับกระส่ายเหมือนกำลังฝันร้าย บอกผมได้มั้ยครับว่าสองฝันว่าอะไร...”
“เปล่านี่คะ...มีคุณดิษฐ์นอนกอดทั้งคืน สองไม่มีวันฝันร้ายหรอกค่ะ มีแต่จะฝันดีจนไม่อยากตื่นมากกว่า” หญิงสาวรีบส่ายหน้าปฏิเสธพร้อมกับหยอดคำหวานที่ทำให้คนฟังต้องยิ้มกว้างพลางทำสายตากรุ้มกริ่ม
“ปากหวานแต่เช้าเลยนะครับ...แบบนี้ต้องมีรางวัลให้ซะแล้ว”
“อย่าค่ะคุณดิษฐ์ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้าจะเอาไปพูดเสียๆหายๆ อย่าลืมสิคะ ว่าเรายังไม่ได้แต่งงานกัน...”
หญิงสาวยกมือขึ้นดันใบหน้าคมที่กำลังโน้มต่ำลงมาใกล้ นึกตำหนิตัวเองอยู่ในใจที่ออกมายืนเหม่ออยู่ริมหน้าต่างห้องนอนของชายหนุ่มอยู่นานจนลืมคิดไปว่าคนงานในไร่อาจจะมาเห็นเข้าและคงจะเอาเรื่องนี้ไปบอกพี่ชายของเธอเรียบร้อยแล้ว
“สองไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นนะครับ...วันนี้ผมจะโทรไปบอกคุณพ่อให้ขึ้นมาสู่ขอสองกับพี่หนึ่ง แล้วถ้าพี่หนึ่งไม่มีอะไรขัดข้องเราจะจัดงานแต่งงานกันอาทิตย์หน้าเลยนะครับ...”
“คุณดิษฐ์ไม่ต้องรบกวนคุณพ่อให้ขึ้นมาเชียงรายหรอกค่ะ สองอยากให้คุณดิษฐ์ไปคุยกับพี่หนึ่งให้เข้าใจมากกว่า ส่วนเรื่องงานแต่งงานสองก็ไม่ต้องการค่ะ ขอแค่งานเลี้ยงเล็กๆในครอบครัวก็พอแล้ว...สองขอแค่นี้ คุณดิษฐ์ให้สองได้มั้ยคะ...”
คนในอ้อมแขนกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเช่นเดียวกับแววตาที่ฉายแววจริงจังจนชายหนุ่มต้องพยักหน้ายอมจำนน
“ไม่มีอะไรที่สองขอแล้วผมให้ไม่ได้หรอกครับ แต่ผมก็มีเรื่องที่อยากจะขอสองเหมือนกัน…”
“คุณดิษฐ์จะให้สองทำอะไรเหรอคะ ถ้าสองทำให้ได้ สองก็จะไม่รีรอเหมือนกันค่ะ”
“วันนี้เราไปจดทะเบียนสมรสกันนะครับ...”
สีหน้าลังเลใจของคนในอ้อมแขนทำให้ชายหนุ่มต้องรีบอธิบาย
“ผมรู้นะครับว่ามันเหมือนเป็นการเห็นแก่ตัวที่ใช้ทะเบียนสมรสผูกมัดสองไว้ แต่ผมกลัวเหลือเกินว่าวันข้างหน้ามันจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากวันนี้ ผมคงทนไม่ได้ถ้าสองจะเปลี่ยนใจไปรักคนอื่น...”
“คุณดิษฐ์คะ...สองขอบคุณมากที่คุณรักและให้เกียรติสองขนาดนี้ แต่เรื่องทะเบียนสมรส คุณควรจะคิดให้ดีนะคะ เพราะครอบครัวคุณอาจจะไม่พอใจก็ได้”
“ไม่พอใจ?...ผมไม่เห็นว่ามันจะมีเหตุผลอะไรที่คุณพ่อจะไม่พอใจ ส่วนคุณน้ากับยัยรตา ผมไม่สนใจอยู่แล้วว่าสองคนนี้จะคิดยังไง ”
“คุณดิษฐ์ไม่คิด แต่สองคิดนี่คะ ฐานะทางสังคมของเราต่างกันมากเหลือเกิน สองไม่อยากให้คนในครอบครัวคุณคิดว่าสองตั้งใจจับคุณเพราะคุณเป็นเจ้าของไร่แสงดาว แล้วก็เป็นเศรษฐ์บดินทร์...”
บุณยวีร์แย้งเบาๆ นั่นเป็นเพราะเธอรู้กิตติศัพท์ในเรื่องรังเกียจคนจนของคุณศจีพรแม่เลี้ยงของเขาดี ส่วนพริมรตาพรผู้เป็นลูกสาวนั้นไม่ต้องพูดถึง เธอรู้ซึ้งก้นบึ้งไปจนถึงจิตวิญญาณของผู้หญิงคนนี้เลยทีเดียว
“ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองวิเศษวิโสกว่าคนอื่นเพราะใช้นามสกุลเศรษฐ์บดินทร์ ผมเป็นแค่ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่อยากจะยืนด้วยลำแข้งตัวเอง เงินที่ผมเอามาซื้อไร่แสงดาวเป็นเงินที่คุณแม่ทิ้งไว้ให้ก่อนตาย บวกกับเงินเก็บที่ผมทำงานตอนเรียนที่อังกฤษอีกนิดหน่อยไม่ใช่เงินของเศรษฐ์บดินทร์แม้แต่บาทเดียว...เพราะฉะนั้น ใครจะพอใจหรือไม่พอใจยังไง ผมไม่แคร์!...”
สีหน้าบึ้งตึงและน้ำเสียงฉุนเฉียวไม่พอใจทำให้หญิงสาวต้องรีบเอาน้ำเย็นเข้าลูบ
“อย่าทำเสียงดุซิคะ สองแค่อยากบอกให้คุณดิษฐ์รู้ว่าสองรักคุณจริงๆ ไม่ได้รักที่เงินทองหรือว่านามสกุลของคุณ”
ใบหน้าคมคลายความบึ้งตึงเมื่อฝ่ามือเรียวเล็กลูบอกกว้างเบาๆ สัมผัสที่อ่อนโยนและน้ำเสียงเย็นใสของบุณยวีร์เป็นเหมือนสายลมที่ปัดเป่าความรุ่มร้อนออกจากหัวใจของเขาได้ทุกครั้ง ดิษฐากรกระชับร่างบางแน่นขึ้นก่อนก้มลงกระซิบถามด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์
“งั้นก็พิสูจน์ให้ผมดูหน่อยสิครับว่าสองรักผมแค่ไหน...”
“จนป่านนี้แล้วยังไม่เชื่อว่าสองรักคุณมากอีกเหรอคะ...” ถามเสียงเบาหวิวเมื่อลมหายใจร้อนผ่าวเป่ารดข้างแก้มที่กำลังกลายเป็นสีแดงจัด
“ยังไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ครับ ต้องพิสูจน์อีกที แล้วก็ต้องเป็นตอนนี้เลยนะครับ...ที่รัก”
ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะตอบตกลง คนเจ้าเล่ห์ก็ช้อนร่างบางขึ้นก่อนจะก้าวยาวๆไปที่เตียงนุ่ม ริมปากนุ่มชื้นประทับลงมาอย่างรวดเร็วและเรียกร้อง อารมณ์เสน่หาที่ถูกปลุกเร้าจนเกือบถึงขีดสุดสะดุดลงกลางครัน เมื่อมีเสียงเคาะประตูแรงๆ บุณยวีร์เบิกตาโตก่อนจะรีบหยิบเสื้อผ้ามาสวมอย่างลนลานผิดกับดิษฐากรที่ยังนิ่งอึ้งทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ
“คุณดิษฐ์ครับ...เปิดประตูหน่อยครับ ผมมีเรื่องสำคัญจะคุยด้วยครับ”
หญิงสาวมีสีหน้าตื่นตระหนก เมื่อจำได้ว่าเสียงห้าวที่ดังขึ้นหน้าประตูนั้นคือเสียงของ บุญฤทธิ์...พี่ชายของเธอเอง!!!
++++++++++++++++++++++++

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 พ.ค. 2554, 11:37:37 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 พ.ค. 2554, 11:37:37 น.
จำนวนการเข้าชม : 2026
<< บทนำ | ตอนที่ 2 วันนี้ที่ไม่เหมือนเดิม >> |

ศศิริษา 14 พ.ค. 2554, 11:48:32 น.
lovemuay @@@ เศร้าแน่ๆ ค่ะ แต่จะเศร้าแบบไหน เศร้ายังไง ต้องติดตามอ่านไปเรื่อยๆนะคะ ^^
ปูสีน้ำเงิน @@@ พี่ก็พยายามจะไม่เศร้าแล้วนะน้องปูแต่ทำไมอยากจะเขียนแต่แนวนี้ก็ไม่รู้ ^^
ปิลันธน์ @@@ จบแน่ๆจ้าคุณนาย แต่ว่าต้องค่อยเป็นค่อยไปนะ เพราะต้องแบ่งเวลาไปเขียนวิทยานิพนธ์ด้วย ^^
lovemuay @@@ เศร้าแน่ๆ ค่ะ แต่จะเศร้าแบบไหน เศร้ายังไง ต้องติดตามอ่านไปเรื่อยๆนะคะ ^^
ปูสีน้ำเงิน @@@ พี่ก็พยายามจะไม่เศร้าแล้วนะน้องปูแต่ทำไมอยากจะเขียนแต่แนวนี้ก็ไม่รู้ ^^
ปิลันธน์ @@@ จบแน่ๆจ้าคุณนาย แต่ว่าต้องค่อยเป็นค่อยไปนะ เพราะต้องแบ่งเวลาไปเขียนวิทยานิพนธ์ด้วย ^^

ปูสีน้ำเงิน 14 พ.ค. 2554, 15:00:59 น.
เคยลงเรื่องนี้ที่ไหนหรือเปล่าพี่เจี๊ยบ
เคยลงเรื่องนี้ที่ไหนหรือเปล่าพี่เจี๊ยบ

ศศิริษา 14 พ.ค. 2554, 18:03:45 น.
เคยลงที่เด็กดีจ้าน้องปู แต่เอามารีไรต์ใหม่อีกรอบ และตั้งใจจะเขียนให้จบ อิอิ
เคยลงที่เด็กดีจ้าน้องปู แต่เอามารีไรต์ใหม่อีกรอบ และตั้งใจจะเขียนให้จบ อิอิ

lovemuay 14 พ.ค. 2554, 19:06:12 น.
อยากรู้จังเลยค่ะว่าอดีตมีอะไรกันแน่ มาต่อเร็วนะคะ >W<
อยากรู้จังเลยค่ะว่าอดีตมีอะไรกันแน่ มาต่อเร็วนะคะ >W<

ไอรายา 16 พ.ค. 2554, 07:14:43 น.
เรื่องนี้ศศิริษาน่าจะใช้เวลาสักห้าปี ^^
เรื่องนี้ศศิริษาน่าจะใช้เวลาสักห้าปี ^^

ดารานิล 17 พ.ค. 2554, 13:52:12 น.
แวะเข้ามามุงค่ะ
ปล.ตรงแท็กด้านบนพี่เจี๊ยบพิมพ์ผิดอ่ะ
"เพื่อนรักหักเหลี่ยนโหด" อิอิ
แวะเข้ามามุงค่ะ
ปล.ตรงแท็กด้านบนพี่เจี๊ยบพิมพ์ผิดอ่ะ
"เพื่อนรักหักเหลี่ยนโหด" อิอิ

ปิลันธน์ 17 พ.ค. 2554, 15:06:35 น.
มาอีดิทกันถึงนี่เลย..55
มาอีดิทกันถึงนี่เลย..55

ida 18 พ.ค. 2554, 14:11:58 น.
มาปูเสื่อรออ่านตอนต่อๆๆไปจ้า
มาปูเสื่อรออ่านตอนต่อๆๆไปจ้า

cherryfirm 28 พ.ค. 2554, 15:25:47 น.
ลองอ่านอีกทีก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ ว่าเรื่องนี่อาจเป็นภาคต่อมาจากเรื่องไหนรึเปล่าคะ เหมือนมันมีเงื่อนงำยังไงก็ไม่รู้....
ลองอ่านอีกทีก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ ว่าเรื่องนี่อาจเป็นภาคต่อมาจากเรื่องไหนรึเปล่าคะ เหมือนมันมีเงื่อนงำยังไงก็ไม่รู้....

อมลลดาOWOอมรรัตน์ 6 มิ.ย. 2554, 22:59:32 น.
หนุกดีค่ะ เริ่มติดใจอีกแล่ะ :)
หนุกดีค่ะ เริ่มติดใจอีกแล่ะ :)