ภูตคราม
ภูธรา ภูตป่าที่ดำรงเผ่าพันธุ์และยังชีพด้วยการสูบพลังวิญญาณของสิ่งมีชีวิต
มนุษย์ สรรพสัตว์ทั้งหลายหรือแม้แต่พืชพรรณไม้นานา
การปรากฏตัวของพิมมาดา หญิงสาวผู้มีดวงจิตอันบริสุทธิ์
รักแรกพบจึงเกิดขึ้น
ความรักของทั้งสองจะเป็นเช่นไรเมื่อฝ่ายหนึ่งเป็นสิ่งไร้ตัวตน
พวกเขาจะต้องทำอย่างไรจึงจะได้ครองคู่กัน


Tags: ภูต

ตอน: บทที่ 7 การพบกันอีกครั้ง

บทที่ 7 การพบกันอีกครั้ง

เช้าวันใหม่พิมมาดาลุกขึ้นไปทำงานตามปรกติ ปัญหาเรื่องงบที่ไม่ลงตัวกับความวุ่นวายในการนัดลูกค้าให้มาฟังคำชี้แจงที่บริษัททำให้พิมมาดากับนิลเนตรแทบไม่มีโอกาสได้พูดคุยกัน กระทั่งเวลาเที่ยงผ่านไปเพียงเล็กน้อยนายองอาจจึงพาลูกค้าออกไปรับประทานอาหาร นิลเนตรรีบสรุปเรื่องที่ประชุมลงสมุดบันทึกและเก็บข้าวของลงลิ้นชักจากนั้นจึงหันไปทางห้องทำงานของพิมมาดาซึ่งก็พบว่าเพื่อนสาวของเธอออกไปก่อนแล้ว หญิงสาวยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูและขมวดคิ้วเมื่อพบว่ามันเป็นเวลาเกือบเที่ยงครึ่ง นิลเนตรจึงคว้ากระเป๋าก้าวออกจากบริษัทตรงไปยังอาคารพานิชย์ด้านหน้าอันเป็นแหล่งรวมร้านอาหารนานาชนิดของแถบนั้น

ความที่ออกไปล่าช้าร้านอาหารที่ตั้งอยู่หน้าบริษัทจึงเนืองแน่นไปด้วยผู้คน นิลเนตรยืนกวาดตามองไปรอบๆเหมือนต้องการหาใครบางคนมากกว่าจะสนใจเรื่องอาหารกลางวันแต่ท้องที่กำลังส่งเสียงร้องโครกครากทำให้หญิงสาวจำต้องละความตั้งใจ ตอนแรกเธอสนใจเย็นตาโฟรสเด็ดแต่พอเห็นคนนั่งกันเต็มหมดทุกโต๊ะจึงเปลี่ยนใจเดินต่อไปอีกสองสามร้านและมาหยุดตรงร้านขายอาหารที่ค่อนข้างหรูกว่าร้านอื่น ไม่รอช้าหญิงสาวเปิดประตูก้าวเข้าไปทันที

ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศทำให้นิลเนตรรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย แม้จะเป็นร้านขายอาหารตามสั่งเหมือนกันแต่การตกแต่งที่ดูสะอาดสะอ้านกับการบริการอย่างสุภาพของพนักงานรวมทั้งรสชาติของอาหารที่เอร็ดอร่อยกว่าร้านอื่นทำให้เธอกับพิมมาดาชอบและเลือกเข้ามานั่งรับประทานมื้อเที่ยงในร้านนี้ค่อนข้างบ่อย ราคาอาหารที่สูงกว่าทำให้จำนวนลูกค้าไม่หนาแน่นเหมือนร้านอื่นแต่ก็ไม่ถึงกับน้อยจนเกินไป เรียกได้ว่าเธอสามารถมองหาที่นั่งได้ไม่ยากนัก หลังจากเลือกโต๊ะได้แล้วนิลเนตรจึงเตรียมจะเดินไปนั่งแต่สายตากลับสะดุดเข้ากับพิมมาดาที่นั่งอยู่มุมด้านในสุดของร้าน หญิงสาวเดินยิ้มร่าเข้าไปหาพร้อมกับเอ่ยปากทักทาย

“ไงยายพิมหนีมานั่งอยู่ที่นี่เองเหรอ”

พิมมาดาชะงักช้อนในมือและส่งยิ้มให้เพื่อน

“ฉันนั่งรอเธอจนเกือบถึงเที่ยงครึ่ง เห็นว่าประชุมไม่เสร็จสักทีเลยตัดสินใจลงมาก่อน”

นิลเนตรวางกระเป๋าไว้บนเก้าอี้ข้างตัวและหันไปทางพนักงานที่เตรียมจะยื่นรายการอาหารให้พร้อมกับสั่ง

“ขอแกงส้มชะอมทอดกับไข่เจียวกุ้งสับ อ้อข้าวเปล่าจานนึงด้วย น้ำขอเป็นมะนาวโซดา”

พนักงานรีบจดและเดินไปจัดการตามคำสั่งส่วนหญิงสาวหันกลับมาหาเพื่อน

“ตอนแรกฉันก็คิดว่าจะประชุมยืดเยื้อไปจนถึงบ่าย โชคดีที่คุณองอาจตัดสินใจยอมจ่ายยาทดแทนส่วนที่หายไปจนครบ พวกลูกค้าก็เลยพอใจ บางคนเซ็นเช็คชำระค่าสินค้างวดสุดท้ายให้เลย”

เธอหยุดพูดและหยิบแก้วน้ำมะนาวโซดาที่พนักงานนำมาวางขึ้นมาดื่มก่อนจะพูดต่อ

“แต่เธอก็นะใจดำเป็นบ้า ไม่เล่าอะไรให้ฉันฟังบ้างเลย”

คำพูดเชิงต่อว่าของเพื่อนทำให้พิมมาดาอมยิ้ม หญิงสาวตักแกงมัสมั่นราดข้าวในจานจนชุ่มก่อนใช้ช้อนตักส่งเข้าปากและแกล้งเคี้ยวอย่างอ้อยอิ่งเหมือนไม่รู้ร้อนรู้หนาวจนนิลเนตรร้องย้ำด้วยความหมั่นไส้

“คุณพิมมาดา”

คนถูกเรียกยกน้ำขึ้นดื่มและพูด

“ฉันเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังอะไร แต่คุณองอาจกำชับว่าอย่าเพิ่งบอกเรื่องนี้ให้ใครรู้จนกว่าจะแน่ใจว่ายาถูกขโมยไปจริง อีกอย่างเรื่องใหญ่แบบนี้เขาต้องเรียกลูกค้าเข้าประชุมเพื่อปรับความเข้าใจ ยังไงคุณองอาจก็ต้องบอกเลขาฯอย่างเธอให้รู้ก่อนอยู่แล้ว”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เธอน่าจะแง้มอะไรให้ฉันฟังบ้างสักหน่อย นิดนึงก็ยังดี” นิลเนตรพูดพลางหันไปขอบคุณพนักงานที่กำลังวางอาหารให้กับเธอจากนั้นจึงพูดกับเพื่อนสาวต่อ”มีลับลมคมในแบบนี้มันน่าจับมาลงโทษชะมัด ถ้าเป็นยายนงนภัสล่ะก็เจอฉันกรอกน้ำผ้าขี้ริ้วลงถ้วยกาแฟไปแล้ว”

พิมมาดาอ้าปากค้างทำตาโต

“เธอเคยทำแบบนั้นด้วยเหรอ”

“ก็สองสามครั้ง”นิลเนตรตอบพลางตักชะอมทอดชิ้นโตส่งเข้าปากและรีบพูดต่อเมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อน”ก็ยายนั่นอยากมาสั่งให้ฉันชงกาแฟให้ทำไม เลยทำสูตรพิเศษให้กินซะเลย”

ตบท้ายประโยคด้วยเสียงหัวเราะแบบสะใจ พิมมาดาถึงกับส่ายหน้าด้วยความระอา

“เธอนี่นะ”

หญิงสาวหยุดคำพูดไว้แค่นั้นและก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารต่อโดยไม่กล่าวอะไรอีก นิลเนตรเหลือบตามองเพื่อนอยู่ครู่หนึ่งจึงตัดสินใจถาม

“มีอะไรหรือเปล่า”

“หือ”พิมมาดามองหน้านิลเนตรแล้วขมวดคิ้ว”ทำไมถึงถามแบบนั้นล่ะ”

“สองสามวันมานี่ฉันเห็นเธอเงียบผิดปรกติ ไม่สบายใจเรื่องอะไรพอจะบอกได้หรือเปล่า”

น้ำเสียงห่วงใยทำให้พิมมาดาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสั่นศีรษะ

“ไม่มีอะไรหรอก”

“เธออาจจะโกหกคนอื่นได้แต่ไม่ใช่กับฉัน”นิลเนตรพูดเสียงเข้มและวางช้อนส้อมในมือลง
”มีเรื่องอะไรในใจอยู่ใช่ไหม”

คำถามคาดคั้นทำให้พิมมาดานิ่งคิด เธอเบนสายตามองผ่านผนังกระจกออกไปด้านนอกและนั่งในท่านั้นอยู่ชั่วอึดใจจึงหันหน้ากลับมามองเพื่อน

“ก็ไม่เชิงกลุ้มใจแต่มันรู้สึกกังวลจนบอกไม่ถูก”หญิงสาวถอนใจออกมาด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม”ไปนอนเป็นเพื่อนฉันสักสองสามวันจะได้ไหม”

คิ้วที่ถูกวาดไว้อย่างสวยขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย

“เป็นอะไรไป เธอไม่เคยชวนฉันกะทันหันแบบนี้เลยนี่นา” นิลเนตรหยุดพูดเมื่อหวนนึกถึงบุคคลลึกลับที่เธอพบ หญิงสาวหรี่ตาลงเล็กน้อยและยื่นหน้าเข้าไปกระซิบถาม”หรือว่าเธอเห็นอะไรประหลาดในบ้าน”

คำพูดของเพื่อนทำให้พิมมาดาต้องนิ่วหน้า

“ฉันอยู่ที่บ้านหลังนี้มาตั้งแต่เล็กจนโต ไม่เคยเจอผีหรือวิญญาณอะไรเลยสักครั้ง”

“แล้วทำไมอยู่ๆถึงชวนฉันล่ะ”

นิลเนตรถามสวนขึ้นมาทันควัน พิมมาดานิ่งไปเล็กน้อย

“ช่วงนี้ที่ทำงานมีเรื่องยุ่งแถมงานก็เครียดฉันเลยอยากชวนเธอไปนั่งคุยกันให้สบายใจเท่านั้นไม่มีอะไรหรอก”

ดูเหมือนนิลเนตรจะไม่เชื่อคำอธิบายของเพื่อนเท่าใดนัก เธอเอนตัวพิงพนักและถามเสียงเรียบ

“เธอเห็นเขาใช่ไหม”

พิมมาดามองอีกฝ่ายพร้อมกับหลุดปากถาม

“เธอก็เห็นอย่างนั้นเหรอ”เมื่อเห็นนิลเนตรผงกศีรษะหญิงสาวจึงถามต่อ”เมื่อไหร่”

“คืนวันที่เรากลับจากเขาใหญ่ ฉันเห็นเขากำลังยืนมองเธออยู่ในห้องแต่ก็แว่บเดียวเท่านั้น ตอนแรกก็คิดจะเล่าให้ฟังเหมือนกันแต่พอมานึกอีกทีว่าฉันอาจจะตาฝาดเลยคิดว่าเงียบเอาไว้จะดีกว่า อีกอย่างไม่อยากให้เธอกลัวด้วย”

“พอจะจำได้ไหมว่าหน้าตาเขาเป็นยังไง” พิมมาดาถามระรัว นิลเนตรทำท่านึก

“ถึงจะแค่เดี๋ยวเดียวแต่ฉันก็จำได้ว่าเขาหล่อมาก ไม่ใช่หล่อโหลๆแบบดาราหรือนายแบบนะ จะว่ายังไงดีล่ะ เขาหล่อแบบคมเข้มแนวดุแถมท่อนบนยังเปลือยอีกด้วย แค่เห็นแผ่นหลังฉันก็แทบจะละลาย มานั่งคิดอีกทีถ้าเจอกันอีกครั้งฉันอาจจะเป็นฝ่ายโดดเข้าใส่ก็ได้ ผีก็ผีเถอะหล่อขนาดนี้เป็นใครก็ทนไม่ไหวเหมือนกัน”

พูดพลางประสานมือไว้ตรงหน้าด้วยท่าเพ้อฝัน เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเพื่อนกำลังอยู่ในความเครียดนิลเนตรจึงรีบลดมือลงพร้อมกับถาม

“แล้วเธอเห็นเหมือนฉันหรือเปล่า”

พิมมาดาพยักหน้ารับ

“ฉันเห็นเขาครั้งแรกตรงต้นมะตูมหน้าบ้าน แต่ก็แค่แว่บเดียวเท่านั้นเลยคิดว่าอาจจะตาฝาดไป”เธอเล่าด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม”ตกเย็นตอนกลับบ้านระหว่างที่อยู่บนรถฉันเกือบถูกล้วงกระเป๋าแต่มีเสียงร้องเตือนเลยรอด มันไม่ใช่เสียงพูดหรือตะโกนแต่เป็นการได้ยินในหัวซึ่งแจ่มชัดมาก ตอนนั่งรถมอเตอร์ไซด์เข้าบ้านฉันเห็นเงาวิ่งตามมาตลอดทาง พอจ้องก็หายไป ที่น่ากลัวก็คือตอนอยู่ในครัวฉันเห็นเงานั่นอีกครั้งตรงตู้เย็น คราวนี้ชัดเจนแบบเต็มตาเลยล่ะ”

หญิงสาวกุมศีรษะ

“ไม่ใช่แค่นั้นนะ ตอนนี้ไม่ว่าจะทำอะไรฉันรู้สึกเหมือนมีดวงตาของใครไม่รู้คอยจ้องมองอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน บนรถหรือที่ทำงาน ถึงในตอนนี้ก็เถอะ”

คำพูดของพิมมาดาทำให้นิลเนตรชำเลืองตามองไปรอบตัวอย่างนึกหวาด

“คิดไปเองหรือเปล่า”

“ฉันพยายามถามตัวเองแบบนั้นเหมือนกันแต่มันไม่ใช่”หญิงสาวตอบและมองหน้าเพื่อน
”วันนี้เธอไปค้างบ้านฉันนะนิล”

ถึงจะทำเป็นปากดีแต่พอเอาเข้าจริงๆนิลเนตรกลับไม่กล้าที่จะไปเผชิญหน้ากับผีหน้าหล่ออีกครั้ง แต่ความเป็นห่วงเพื่อนทำให้เธอยังไม่รีบตอบปฏิเสธ หญิงสาวแสร้งทำเป็นหยิบช้อนขึ้นมาตักไข่เจียววางใส่จานและแบ่งมันออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยโดยไม่ยอมกิน อาการนิ่งเงียบของเธอทำให้พิมมาดาเข้าใจได้ในทันที

“ถ้ากลัวก็ไม่เป็นไร” เสียงระบายลมหายใจดังตามมา “จะว่าไปฉันก็เจอเขาแค่หนเดียวเท่านั้นแถมบางทีเงาที่เห็นอาจจะเป็นคุณตาคุณยายก็ได้”

พูดจบหญิงสาวก็ลงมือรับประทานอาหารต่อ นิลเนตรมองเพื่อนอย่างสำนึกผิด

“ขอโทษนะพิม แต่ฉันไม่กล้าไปจริงๆ”

“ฉันเข้าใจ เป็นใครก็กลัวเหมือนกัน” พิมมาดายิ้มให้กับเพื่อน”ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก ถ้ากลัวจนทนไม่ไหวฉันจะหอบหมอนหนีไปนอนในห้องพระรับรองว่าผีไม่กล้าตามเข้าไปกวนแน่”

คำพูดติดตลกเรียกรอยยิ้มของนิลเนตรออกมาได้บ้างแม้จะไม่มากนักแต่ก็ทำให้ทั้งคู่รู้สึกผ่อนคลายขึ้น เมื่อสบายใจแล้วทั้งสองจึงเริ่มสนทนากันถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในบริษัทหลังจากหยิบประเด็นบกพร่องต่างๆที่อาจเกิดขึ้นมาพิจารณาดูแล้วทั้งสองจึงเห็นพ้องต้องกันเรื่องการติดกล้องวงจรปิดเพิ่มในบางจุดซึ่งการติดตั้งต้องเป็นความลับโดยนิลเนตรจะลองเสนอความคิดนี้ให้คุณองอาจพิจารณาอีกครั้ง เมื่อรับประทานอาหารมื้อเที่ยงเสร็จเรียบร้อยแล้วหญิงสาวทั้งสองจึงเดินกลับเข้าบริษัทและแยกย้ายกันไปทำงานตามหน้าที่ จำนวนงานที่กองสูงท่วมตัวทำให้ทั้งนิลเนตรและพิมมาดาไม่ได้พูดคุยกันอีกเลยจนกระทั่งถึงเวลาเลิกงาน

อากาศยามบ่ายร้อนราวกับเตาอบ ดีที่มีสายลมอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนักเพราะแทนที่จะสร้างความเย็นกลับกลายเป็นนำไอร้อนมากระทบตัวมากกว่า พิมมาดาใช้มือโบกไล่ความร้อนให้กับตัวเองแทนพัดขณะชะเง้อมองรถประจำทางสายที่นั่งประจำและถอนใจเมื่อเห็นมันวิ่งเข้ามาจอดป้ายพร้อมผู้โดยสารที่ล้นทะลักออกมาจนถึงขั้นบันได

“วันนี้มันอะไรกันนักหนานะ”หญิงสาวบ่นด้วยความโมโหเมื่อเห็นสภาพรถในลักษณะเดียวกันอีกสองสามคัน หลังจากยืนรอราวหนึ่งชั่วโมงพิมมาดาจึงตัดสินใจเรียกแท็กซี่ซึ่งเมื่อเข้าไปนั่งแล้วเธอก็แทบจะเปิดประตูวิ่งออกจากรถเพราะเหม็นกลิ่นบุหรี่อย่างรุนแรง ดูเหมือนคนขับจะเข้าใจเพราะเขารีบพูด

“ต้องขอโทษด้วยนะครับ พอดีลูกค้าคนก่อนสูบบุหรี่ในรถ พอผมห้ามเขาก็โวยวายไม่หยุดเลยต้องปล่อยตามเลย ถ้าเหม็นจนทนไม่ไหวจริงๆไม่ไปก็ได้นะครับ”

น้ำเสียงและกิริยาที่พูดด้วยความสุภาพกับอายุที่น่าจะเลยห้าสิบของเขาทำให้พิมมาดาเกิดใจอ่อนขึ้นมา เธอส่งยิ้มให้เขาพร้อมกับพูด

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แค่แง้มกระจกนิดเดียวก็พอ”

“จะเปิดเลยก็ได้นะครับ” คนขับรีบพูดเอาใจแต่หญิงสาวส่ายหน้า

“แบบนั้นกลิ่นท่อไอเสียได้เข้ามาเต็มรถแน่ เอาแค่พอให้กลิ่นบุหรี่หายไปเท่านั้นก็พอแล้วค่ะ”

พูดพลางกดปุ่มเลื่อนกระจกลงมาเล็กน้อย อากาศจากภายนอกที่ไหลเข้ามาแม้จะมีกลิ่นท่อไอเสียเจือปนอยู่บ้างแต่ยังดีกว่ากลิ่นบุหรี่ภายในรถ หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าอย่างระวังและหยุดชะงักเมื่อจู่ๆก็มีลมเย็นไหลพรั่งพรูเข้ามา ทุกอณูอากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมละมุนของดอกมณฑา เพียงชั่วประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นกลิ่นบุหรี่ในรถก็ถูกขับออกไปจนหมด เหลือไว้แต่ความสดชื่นราวกับกลิ่นชื้นของป่าท่ามกลางสายหมอก ความเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันสร้างความประหลาดใจต่อคนขับแท็กซี่เป็นอย่างมากจนถึงกับหลุดปากเปรยออกมา

“หอมกลิ่นดอกอะไรเนี่ย”

หญิงสาวเกือบจะหลุดปากตอบไปแล้วว่าดอกมณฑา แต่ความกลัวเรื่องคำถามที่จะตามมาอีกเป็นชุดทำให้เธอจำต้องนั่งนิ่ง มือเลื่อนไปกดปุ่มปิดกระจก สังหรณ์บางอย่างบอกกับเธอว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากการกระทำของผีที่เธอเจอตรงต้นมะตูมแต่ที่ไม่แน่ใจก็คือเขาต้องการสิ่งใดกันแน่ บุญกุศลหรือที่สิงสถิตย์ของวิญญาณ

รถที่เธอนั่งเลี้ยวเข้าไปในซอยและวิ่งลัดเลาะไปตามเส้นทางที่ลึกเข้าไปในสวนจนกระทั่งถึงที่หมาย เมื่อชำระเงินเรียบร้อยแล้วคนขับจึงวิ่งจากไป ส่วนพิมมาดานั้นยืนรีรอที่หน้าประตูรั้วอยู่ครู่หนึ่งจึงตัดสินใจไขกุญแจก้าวเข้าไปด้านใน แสงสุดท้ายของตะวันชิงพลบแปรสภาพสวนรกครึ้มร่มรื่นให้กลายเป็นเงาหลอนของปิศาจที่โยกตัวไปมาหลอกหลอนผู้คน หญิงสาวรีบเดินไปเปิดประตูและเตรียมจะก้าวเข้าไปด้านในแต่ยังไม่วายที่จะเหลียวหลังกลับไปมองต้นมณฑาที่สูงตระหง่านอยู่ข้างบ้านไม่ได้ ยอดสูงชะลูดที่กำลังไหวเอนไปมาตามแรงลมสร้างเสียงซู่ซ่าคล้ายสายฝน พิมมาดาจ้องต้นไม้อันได้ชื่อว่าเป็นมงคลอยู่นานจนแน่ใจว่าไม่มีวิญญาณตนใดปรากฏกายให้เห็นจึงเดินเข้าบ้าน หลังจากอุ่นกับข้าวเพื่อเตรียมรับประทานแล้วเธอจึงอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและเดินไปเปิดโทรทัศน์เพื่อชมข่าวประจำวัน ในตอนที่กำลังเดินเข้าครัวเพื่อหยิบจานนั่นเองสายตาของพิมมาดาก็เหลือบไปมองเก้าอี้นวมหน้าโทรทัศน์และทันเห็นร่างของผู้ชายคนหนึ่งกำลังเลือนหายไป

จานที่ถืออยู่หลุดร่วงหล่นจากมือ หญิงสาวรีบวิ่งขึ้นไปยังห้องพระและนั่งลงสวดมนต์เสียงสั่นเพราะสิ่งที่เห็นในครั้งนี้ชัดเจนมากกว่าคราวก่อน ถึงจะหายไปอย่างรวดเร็วแต่เธอก็เห็นชัดเต็มตาว่าวิญญาณตนนั้นคือผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ที่มีร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่า แต่สิ่งที่สร้างความหวาดกลัวให้กับพิมมาดามากที่สุดก็คือใบหน้าเคร่งขรึมกับดวงตาสีน้ำตาลคมปลาบดุดัน ตอนที่เขาจ้องตรงมาที่เธอนั้นช่างน่าหวาดผวาจนสติแทบแตกกระเจิง

“ผี ต้องเป็นผีแน่ๆ”

พิมมาดาพร่ำพูดและสูดลมหายใจเข้าเพื่อระงับความกลัว เมื่อตั้งสติได้เธอจึงหันไปมองขวดพลาสติกใบเล็กที่วางคู่กับกระปุกไม้แกะสลักหน้าหิ้งพระ

“จะเป็นผีอะไรก็ช่าง ฉันไม่ยอมให้เข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้แน่”

คิดดังนั้นหญิงสาวจึงคว้าขวดน้ำมนต์กับกระปุกข้าวสารเสกแล้ววิ่งกลับลงมายังชั้นล่าง ดวงตากวาดมองไปรอบห้องพร้อมกับตะโกน

“ออกมาเดี๋ยวนี้นะ”

บรรยากาศรอบตัวเงียบสงัด มีเพียงเสียงผู้สื่อข่าวพูดเจื้อยแจ้วออกมาจากโทรทัศน์ พิมมาดากระชับขวดน้ำมนต์ในมือและพูดอีกครั้ง

“ฉันรู้ว่าแกอยากอยู่ที่นี่ แต่บ้านหลังนี้เป็นของฉันดังนั้นขอให้แกออกไปซะ ไม่อย่างนั้นได้เจอข้าวสารเสกกับน้ำมนต์นี่แน่”

พูดพลางชูขวดน้ำมนต์และกระปุกข้าวสารเสกขึ้นขู่ แต่นอกจากเสียงจุ๊ จุ๊ของจิ้งจกกับผู้อ่านจากโทรทัศน์แล้วก็ไม่มีสิ่งใดผิดปรกติ หลังจากกวัดแกว่งขวดน้ำมนต์จนเมื่อยหญิงสาวจึงลดมือทั้งสองข้างลงและบ่นพึมพำ

“หรือว่าเราจะคิดมากไป”

เสียงสวบสาบดังมาจากอีกด้านหนึ่งของประตูทำให้พิมมาดารีบก้าวไปปลดล็อคและเปิดพรวดออกไป แมวดำที่กำลังเดินทอดน่องอยู่ใต้กอดาหลาหันมามองด้วยความตระหนก มันส่งเสียงร้องง้าวเหมือนตำหนิหญิงสาวที่ทำให้มันตกใจก่อนจะกระโดดแผล็วหายไป

“แมวหรอกเหรอ”

เธอพูดพร้อมกับระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกและหมุนตัวเพื่อเข้าบ้าน ในตอนนั้นเองที่หญิงสาวเห็นเงาอะไรบางอย่างตรงหางตา โดยไม่มีการลังเล เธอหันไปสาดข้าวสารเสกใส่ทันทีและอ้าปากตัวแข็งค้างนิ่งเมื่อเห็นร่างของผีตนนั้นยังคงยืนนิ่งเฉยเหมือนไม่รู้สึกอะไร

“ของแบบนั้นทำอะไรข้าไม่ได้หรอก”

ภูธราพูดเสียงเย็นพลางลดสายตาลงมองข้าวสารที่ตกเกลื่อนพื้น
“เอาไปหุงกินน่าจะได้ประโยขน์มากกว่า”


พิมมาดาไม่ได้สนใจฟังสิ่งที่ภูตหนุ่มพูดแม้แต่น้อย เธอเปิดขวดน้ำมนต์มือไม้สั่นและสาดเข้าใส่เขาพร้อมกับร้องไล่

“ไปให้พ้น”

น้ำมนต์ทั้งหมดทะลุผ่านร่างของภูธราไปกระทบโคนต้นมณฑาที่อยู่ด้านหลัง หญิงสาวเบิกตากว้างด้วยความตระหนกในขณะที่ภูตหนุ่มส่ายหน้าอย่างเอือมระอา

“น้ำมีไว้ดื่มกิน ไม่ใช่เอามาสาดเล่นกันเช่นนี้ ทำอะไรเป็นเด็กไปได้นะพิมมาดา”

หญิงสาวยืนตัวแข็ง ขาทั้งสองข้างเหมือนถูกตอกตรึงด้วยหมุดหินจนไม่อาจขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้ ยิ่งเมื่อได้ยินอีกฝ่ายเรียกชื่อของตนได้ถูกต้อง เธออยากจะส่งเสียงกรีดร้องออกมาด้วยความหวาดกลัวแต่เหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างมาจุกอยู่ที่ลำคอทำให้ไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้ ดวงตาที่เบิกกว้างจ้องภูตหนุ่มที่กำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้ จนเมื่อเขาหยุดอยู่ในระยะห่างเพียงหนึ่งช่วงแขนเรี่ยวแรงของพิมมาดาก็กลับมาอีกครั้ง เธอรีบวิ่งหนีเข้าไปในบ้านและปิดประตูลงกลอนอย่างแน่นหนา เมื่อแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่สามรถพังเข้ามาได้แล้วเธอจึงกำมือแน่นและพูดอย่างตระหนก

“เป็นไปได้ยังไงกัน เจ้าผีนั่นไม่กลัวทั้งน้ำมนต์และข้าวสารเสก แล้วทีนี้ฉันจะทำยังไงดี” พูดพลางเงยหน้าขึ้นไปยังชั้นบน “ต้องขึ้นไปอยู่ในห้องพระ”

หญิงสาวขยับเตรียมจะวิ่งแต่ต้องหยุดชะงักเมื่อภูธราปรากฏตัวขึ้นตรงบันได พิมมาดารีบขยับตัวเข้าไปในห้องนั่งเล่น ความกลัวแปรเปลี่ยนเป็นความกล้า เธอคว้าของทุกอย่างที่อยู่ใกล้มือเหวี่ยงเข้าใส่ภูตหนุ่มอย่างลืมตัว

“ออกไปให้พ้นนะเจ้าผีร้าย”

ภูธรายืนมองอย่างใจเย็น เขาปล่อยให้สิ่งของทุกอย่างวิ่งทะลุผ่านร่างไปโดยไม่มีการขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อยจนเมื่อพิมมาดาคว้าตุ๊กตาตัวหนึ่งขว้างใส่เขาจึงยกมือรับพร้อมกับถาม

“นี่เป็นสิ่งที่เจ้ารักมากที่สุดไม่ใช่หรือ”

คำพูดของเขาทำให้หญิงสาวหยุดชะงัก เธอมองสิ่งที่อยู่ในมือภูตหนุ่มและใจหายวาบเมื่อพบว่ามันคือตุ๊กตาแกะสลักที่คุณตาทำให้เมื่อตอนเป็นเด็ก

“แกรู้ได้ยังไง”

“ข้าเห็นเจ้าหยิบมันขึ้นมาดูอย่างทะนุถนอมทุกวัน” ภูธราตอบพลางโยนตุ๊กตาตัวนั้นกลับไปให้หญิงสาว เธอรับมันเอาไว้และกอดแนบอก

“พูดเหมือนคอยแอบดูฉันอยู่ตลอดเวลา แกมาอยู่ที่บ้านหลังนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เจ้าผีโรคจิต”

“สักพักใหญ่แล้ว”ภูตหนุ่มตอบพร้อมกับยกมือขึ้นกอดอก “และข้าก็ไม่ใช่ผีแต่เป็นภูต”

“เป็นภูต”พิมมาดาทวนคำด้วยความตระหนก คำบอกเล่าของเจ้าหน้าที่อุทยานวิ่งกลับเข้ามาความทรงจำ เธอขยับถอยหลังพร้อมกับพูด”หรือว่า”

ฝ่ายภูตมองเธอด้วยดวงตาสีน้ำตาลวาววับและเอ่ยแนะนำตัวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ข้าชื่อภูธรา เป็นภูตคราม”

*/*/*/*/*/*

คุณ pulala – หวานแต่แอบสโตรกเกอร์หน่อยๆนะคะ
คุณดารานิล – นั่นสิคะ แต่ภูธราเขาเป็นภูต คงมีความอดทนสูงมั้ง (แต่ถ้าเราเป็นนางเอกล่ะก้ภูตก็ภูตเถอะ หล่อแบบนี้ไม่ปล่อยให้รอดไปหรอก)
คุณ pat – นั่นสิคะ แตะต้องตัวกันไม่ได้แบบนี้จะบอกรักกันยังไง












มุนีรัตน์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 ก.ย. 2555, 15:11:43 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 ก.ย. 2555, 15:11:43 น.

จำนวนการเข้าชม : 1242





<< บทที่ 6 กลิ่นดอกมณฑา   ภูตคราม บทที่ 8 ผู้เฝ้ามอง >>
Pat 15 ก.ย. 2555, 23:12:44 น.
ยอมปรากฎตัวแถมแนะนำตัวเองเสร็จสรรพ ต้องการอะไรก็บอกเค้าไปเลยล่ะ ภูธรา


pulala 16 ก.ย. 2555, 11:49:33 น.
ภูธราสู้ๆ


ใบบัวน่ารัก 17 ก.ย. 2555, 20:23:03 น.
น่ากลัวไหมน่ะ


อสิตา 19 ก.ย. 2555, 00:56:19 น.
ก๊าก ชอบตอนข้าวสารเสกค่ะ รู้คุณค่าของข้าวด้วยแน่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account