จลาจลรัก
เมื่อ "เศรษฐายุ" เจ้าชายจอมเผด็จการผู้รับคำสั่งจากผู้เป็นพ่อเพื่อตามหาและแย่งชิงตัวเจ้าหญิงพลัดถิ่นกลับมาให้ได้
"บุษราคัม"เจ้าหญิงที่แสนจะดื้อรั้นกับเศรษฐายุเพราะคิดว่าเขางี่เง่าไร้เหตุผลและเข้าใจผิดมาตลอดว่าเขาเป็นเพียงองครักษ์จอมเผด็จการ

ภึมายุกร เจ้าชายผู้ช่วยเจ้าของลักยิ้มทรงเสน่ห์ที่ไม่มีใครล่วงรู้อีกเหตุผลที่ชักนำเขามาสู่เรื่องวุ่นวายเหล่านี้
คิริมา นักศึกษาแพทย์สาวผู้มีปมหลังและสาเหตุบางอย่างที่ทำให้เหม็นขี้หน้าคนช่างตื้ออย่างภีมมากถึงมากที่สุด

เมื่อการชิงตัวเจ้าหญิงยังคงดำเนินต่อไปและปัญหามากมายยังรายล้อม แต่กลับถักทอร้อยเรียงก่อเกิดความรู้สึกหวามไหวในหัวใจทั้งสี่ดวง
ความรักจะดำเนินไปอย่างไร ในเมื่อความเป็นจริง
ไม่ว่าเศรษฐจะเป็นองครักษ์ที่ระหว่างเขากับบุษราคัมมีคำว่าชนชั้นเป็นตัวกั้นขวาง หรือจะเป็นเจ้าชายผู้มีศักดิ์เป็นถึงพระญาติสนิทที่มีสายพระโลหิตเป็นสายใยกั้นกลาง...



อ่านต่อ : http://writer.dek-d.com/dek-d/writer/view.php?id=519954#ixzz1IQSdWwgZ
Tags: รักโรแมนติก เจ้าหญิงพลัดถิ่น เจ้าชาย

ตอน: เค้าลางของความวุ่นวาย

ก๊อปจากเวฌบเดิมมาแปะให้แล้วนะจ๊ะ

-----------------------------------------------------
ก่อนอื่นต้องสวัสดีจี๋จ๋าคุณผู้อ่านก่อนเน้อ ^^
เจ้าชายน้อยกลับมารายงานตัวพร้อมกับ "จลาจลรัก" ฉบับกำลังปรับปรุง
สำหรับคนอ่านหน้าใหม่ก็ยินดีต้อนรับค่ะ
ส่วนคนที่เคยอ่านแล้วต้องบอกว่าเจ้าชายน้อยปรับเปลี่ยนค่อนข้างมากพอสมควรกับเรื่องนี้ แต่รับรองว่าคงอรรถรสและพยายามจะเพิ่มความสนุก(คิดว่านะ)ให้มากกว่าเดิม
หวังว่าจะชื่นชอบกันนะคะ

----------------------------------------------------


บทนำ

“สึกๆๆ สึกกันพอดี”

เหตุเพราะสุรเสียงยียวนที่บ่นพึมพำไม่เบานักจากด้านหลัง ทำให้หนึ่งพระองค์กับหนึ่งองครักษ์เบื้องหน้าชะลอฝีเท้าที่รวดเร็วปานลมพายุลง แต่ก็ถือว่ายังเร็วมากอยู่ดีในความรู้สึกของคนทัก

คนยศต่ำกว่าหันกลับไปมองด้านหลัง แล้วค้อมศีรษะทำความเคารพ ก่อนจะเปรยแกมหยอกด้วยความคุ้นเคย

“น้ำหนักพระองค์คงไม่ทำให้พื้นอุรัศยาสึกหรอกพะยะค่ะ แต่หากเปลี่ยนเป็นสารเคมีในห้องทดลองของพระองค์สักหยดสองหยดก็อาจเป็นได้”

“แหม...ห้องทดลองของผมไม่ได้อันตรายขนาดนั้นเสียหน่อย” สุรเสียงนุ่มเอ่ยกลั้วพระสรวล(หัวเราะ) พระเนตรเป็นประกายรื่นรมย์ยามตรัสถึงสิ่งที่พระองค์โปรด

“ไม่อันตรายน้อยล่ะสิ” คราวนี้ไม่ใช่องครักษ์คนเดิมที่ตอบ แต่เป็นพระวรกายสูงใหญ่ข้างกันที่ผินพระพักต์กลับมาเล็กน้อยขณะที่พระบาทยังคงสวบไปข้างหน้าด้วยความเร็วคงที่ พระเนตรคมดำสนิทดั่งเหยี่ยวโฉบมาสบพระเนตรน้ำตาลเข้มของพระอนุชา(น้องชาย)ต่างพระมารดาแวบเดียว ก่อนจะเปรยสุรเสียงราบเรียบราวกับว่ากำลังสนทนาวิสาสะเรื่องภูมิอากาศทั่วไป “...ติดตราผิดด้านน่ะภีม”

ภีมหรือเจ้าชายภีมายุกร เบิกพระเนตรกว้างทอดพระเนตรฉลองพระองค์(เสื้อผ้า)เรียบกริบของพระเชษฐา(พี่ชาย)แล้วมองของพระองค์เอง “...ขอบคุณมากพี่เศรษฐ ผมไม่ได้ใส่มาเกือบสองปีแล้ว ไม่รู้วันนี้มีเรื่องอะไร ทำไมอยู่ดีๆ ท่านพ่อเรียกประชุมเสียใหญ่โตเชียว”

เจ้าชายเศรษฐายุ หรือเจ้าชายเก้าแห่งประเทศอุรัศยาส่ายพระพักตร์คล้ายเอือมระอา ก่อนที่องครักษ์ประจำพระองค์จะชิงตอบก่อน

“องค์ราชันเรียกประชุมบ่อยจะตายพะยะค่ะ นี่ฉลองพระองค์ของเจ้าชายเก้าก็เปลี่ยนมาได้หลายครั้งแล้ว มีแต่ของพระองค์นั่นแหละที่ยังใหม่เอี่ยมอ่อง”

คนถูกค่อนทรงพระสรวลขณะกำลังแก้เครื่องสูง(ตราประจำยศ)ให้ถูกด้านอย่างทุลักทุเล แม้จะจริงอย่างที่องครักษ์ของพระเชษฐาว่าไว้ แต่มีหรือพระองค์จะโดนต้อน

“ก็ไอ้ชุดพะรุงพะรังนี่สิ กว่าจะแต่งเสร็จคงประชุมกันเสร็จแล้ว ผมจะเข้าไปตอนจบมันก็พระเอกเกินไปจริงมั้ย” เขาตอบแล้วหลิ่วตามองสองบุรุษร่างสูง “ว่าแต่พี่สองคนนั่นแหละ...ระวังหน่อยนะครับ ตัวติดกัน 24 ชั่วโมง แถมยังออกรับแทนกันซะขนาดนี้ โดนพวกนางกำนัลเอาไปเม้าท์กัน อย่าหาว่าผมไม่เตือนนะ”

“ถ้ามีลิ้นแล้วมันสร้างปัญหามากนัก ก็ตัดทิ้งจะเป็นไรไป...จริงมั้ย?” สุรเสียงเรียบเย็นตรัสตอบพระอนุชา

องครักษ์หนุ่มหัวเราะดัง ก่อนจะปิดปากสนิทเมื่อเจ้านายปรายตามอง เป็นเชิงเตือนว่าถึงเขตพระราชฐานส่วนในที่ต้องการความเงียบชนิดเข็มตกยังได้ยินแล้ว

เจ้าชายภีมายุกรแย้มพระโอษฐ์(ยิ้ม)กว้าง ปรากฏลักยิ้มบุ๋มที่พระปราง(แก้ม)สองด้านชวนมองให้องครักษ์ของพระเชษฐา แม้จะหนาวๆ กับวาจาของพระเชษฐา แต่ทรงรู้ว่าเจ้าชายเศรษฐายุไม่ได้เลือดเย็นอย่างที่พูด โดยเฉพาะกับเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ แต่หากผู้ใดคิดร้ายต่อประเทศอุรัศยาแล้วล่ะก็ ต่อให้มากกว่านี้ว่านี้เจ้าชายเก้าก็ไม่ลังเลที่จะทำ!

เจ้าชายภีมายุกรทอดพระเนตรมองพระเชษฐาที่บัดนี้แย้มพระโอษฐ์เล็กน้อยให้เหล่าขุนนางข้าราชบริพารที่มารอรับกันอย่างหนาตาแล้วนึกขำในพระทัย

รอยยิ้มแบบที่พระองค์เคยทอดพระเนตรตอนพระเชษฐาจะลงมือปลิดลมหายใจศัตรูด้วยวิธีที่ไม่ธรรมดา แต่ก็นั่นแหละ...ไม่ใช่รอมยิ้มแบบนี้หรอกหรือที่สตรีทั่วอุรัศยาเฝ้าเพ้อละเมอถึงเจ้าชายเศรษฐายุ เจ้าชายหนุ่มที่ทรงมีพระสิริโฉมงดงามไม่แพ้บุรุษใดในอุรัศยา พระเนตรคมดุสีรัตติกาลรับกับพระขนงโก่งเข้ม ประกอบกับพระพักตร์ได้รูปและพระฉวี(ผิวกาย)คร้ามแดดเล็กน้อย พระวรกายสูงสง่า พระขนอง(หลัง)ตั้งตรงตลอดเวลา สาวใดจะทานทน!

ทรงโคลงพระเศียรกับพระดำริ(ความคิด)ของพระองค์เอง ก่อนจะแย้มพระโอษฐ์เผื่อแผ่ให้ผู้มารอรับบ้าง ทั้งที่ในพระทัยอยากถอนพระปัสสาสะดังๆ สักที ทำไมหนอใครๆ ก็ว่าทรงมีบุญที่ได้เกิดในสังคมชั้นสูง แต่สำหรับเจ้าชายภีมายุกรแล้ว นั่นมัน ‘กรรม’ ชัดๆ ที่เขาบังเอิญเกิดมาเพื่อเกลียดสิ่งนี้

...หวังว่าเรื่อง ‘ใหญ่’ ของท่านพ่อจะไม่กระเทือนถึงอิสรภาพอันน้อยนิดที่เขาหวงแหนหรอกนะ...

หากแม้นเจ้าชายภีมายุกรจะล่วงรู้อนาคตได้เพียงนิด คงต้องรีบลาป่วยกะทันหันหรือไม่ก็คงต้องวางยาถ่ายตัวเองเป็นการส่วนพระองค์เพื่อหาทางจรลีกลับพระตำหนักอย่างเร็วที่สุด

...เพราะเค้าลางแห่งความวุ่นวายปานจลาจลกำลังจะบังเกิดในอุรัศยาและเพื่อนบ้านอย่างประเทศไทย

มิใช่จลาจลธรรมดา หากแต่เป็น “จลาจลรัก” ...ที่พร้อมจะถักทอและพันธนาการสี่หัวใจจนยากเกินกว่าจะถอนตัว



-----------------------------------------------------------------


ตอนที่ 1

พระทวารสีทองอร่ามค่อยๆ ปิดลง ความงดงามของมันถูกจ้องมองด้วยเหล่าขุนนางที่ไม่มีโอกาสได้เข้าไปหลังทวารนี้ ลวดลายที่สลักเป็นพุ่มกุหลาบอ่อนช้อยเกี่ยวกระหวัดรัดรึงจากด้านหนึ่งไปยังอีกด้านให้ความรู้สึกถึงความผูกพันที่อ่อนหวานแต่เจือไปด้วยยาพิษที่มีตัวแทนเป็นหนามแหลมตามมุมพระทวาร

ข้าราชบริพารน้อยใหญ่ต่างทอดถอนหายใจและภาวนา...ขอให้เบื้องหลังพระทวารแห่งนี้มีแต่ความอ่อนโยนเฉกเช่นกุหลาบอุรัศยาที่ผลิดอกสะพรั่งมานานนับสิบปี อย่าให้ถึงกาลที่หนามแหลมคมของกุหลาบงามต้องทิ่มแทงผู้คนจนโลหิตหลั่งรินทั่วผืนแผ่นดินอุรัศยาอย่างที่เคยเป็นเลย

เบื้องหลังพระทวารโอ่อ่า ปรากฏร่างของเจ้าชายทั้งสิบเจ็ดพระองค์แบ่งซ้ายขวาตามลำดับพระชนมายุ ฉลองพระองค์คล้ายคลึงมีเพียงสีประจำพระองค์ที่แตกต่างกันไป บัดนี้ทุกพระองค์ประทับนิ่ง เบื้องหน้าเป็นบัลลังก์กษัตริย์สูงส่งทำด้วยทองคำเนื้อดีบริสุทธิ์ แกะสลักประณีตอ่อนช้อยไม่ต่างจากพระทวาร ฐานบัลลังก์มีมังกรทองประดับด้วยเพชรนิลจินดาสลักวนโอบล้อมรอบอารักขา แล้วเลื้อยไล่ไปตามบัลลังก์ จนหัวมังกรทองชูตระหง่านบนยอดแสดงถึงความยิ่งใหญ่เหนือผู้ใดในอุรัศยาของผู้ครอบครองบัลลังก์สูงลิบนี้

“มากันครบแล้วหรือ” สุรเสียงแหบแต่ยังคงกังวาลดังขึ้นจากผู้ที่ประทับบนบัลลังก์ทอง องค์ราชันทอดพระเนตรมองพระโอรสทั้งสิบเจ็ดพระองค์ด้วยความหนักพระทัย

“...พวกเจ้ารู้ข่าวจากหัวเมืองทางใต้แล้วหรือยัง”

เจ้าชายหลายพระองค์ขมวดพระขนง มีเพียงเจ้าชายเศรษฐายุและเจ้าชายผู้ที่ประทับหน้าสุดผู้มีศักดิ์เป็นพระเชษฐาพระองค์โตเท่านั้นที่สบพระเนตรกันเป็นเชิงเข้าพระทัยกันดี

“หรือว่าเกิดกบฏที่ทางใต้อีกแล้วหรือพระเจ้าค่ะ” บางพระองค์ตรัสถาม

องค์ราชันส่ายพระพักตร์ช้าๆ “มันอาจหนักหนากว่านั้นเสียอีก เพราะมันคือบาปที่กัดกินใจพ่อมานาน”

“ท่านพ่อเล่าให้พวกเราฟังเถิดพระเจ้าค่ะ...ต่อให้ต้องตาย พวกหม่อมฉันก็ทำได้หากจะทำให้ทรงสบายพระทัย” เจ้าชายภรัญติ พระเชษฐาพระองค์โต ผู้มีพระยศเป็นถึงหนึ่งในคณะปกครองในระบอบราชาธิปไตย ตรัสขึ้น

“ไม่...จะไม่มีใครต้องตายเพราะพ่ออีกแล้วภรัญติ”

“เหตุใดท่านพ่อตรัสเช่นนั้น ไม่เคยมีใครต้องตายเพราะพระองค์เลย” เจ้าชายเศรษฐายุตรัส “...เหล่าทหารหาญพลีชีพเพื่ออุรัศยาที่พวกเขารักและกษัตริย์ที่เขาเคารพยิ่ง”

“ก็เพราะมันไม่ใช่ทหารที่ตายเพื่อพ่อ แต่...” สุรเสียงกังวานเงียบไปอึดใจ คล้ายกำลังรวบรวมความกล้าที่จะเอื้อนเอ่ยออกมา “...แต่พ่อฆ่าพี่แท้ๆ ของตัวเอง พวกเจ้าได้ยินมั้ย!”

“ท่านพ่อ!”

ทุกสุรเสียงรวมเป็นหนึ่งดังก้องทั่วท้องพระโรง หาใช่เพราะสิ่งที่ทรงตรัสออกมา แต่เพราะทรงกำลังกุมพระหัตถ์แน่นที่กลางพระอุระ พระพักตร์ทรมาน พระเสโทผุดขึ้นจนน่ากลัว คล้ายว่าอาการประชวรด้วยโรคหัวใจกำลังกำเริบขึ้นมา

เจ้าชายภีมายุกรรีบรุดขึ้นไปพยุงพระบิดาให้ประทับนิ่งๆ แล้วร้องบอกเบื้องล่าง “ขอยาอมใต้ลิ้นด่วนครับ ให้ใครไปเอาที่ห้องทดลองของผมก็ได้...ใกล้ดี”

เจ้าชายเศรษฐายุหยิบเครื่องมือสื่อสารขนาดพกพาขึ้นมาพระองค์แรกก่อนจะกดหมายเลข ไม่ถึงอึดใจเมื่อคนสนิทปลายทางรับ จึงทรงมีรับสั่งว่า

“ยาอมใต้ลิ้น ห้องทดลองภีม เดี๋ยวนี้!”





เศรษฐายุทอดพระเนตรภาพตรงหน้าแล้วช่างสะท้อนพระทัย พระวรกายของพระบิดาบนพระแท่นบรรทมดูหมดเรี่ยวแรง พระเนตรที่เริ่มมีริ้วรอยยังคงหลับใหล โดยมีนางพระกำนัลคอยปรนนิบัติพัดวีไม่ขาดตกบกพร่อง

เนื่องด้วยพระพลานามัยที่ค่อนไปทางไม่สู้ดีนักขององค์ราชัน ทำให้เจ้าชายหนึ่งหรือเจ้าชายภรัญติต้องรับหน้าที่ในการบริหารบ้านเมืองแทน แม้จะอยู่ภายใต้การบัญชาการและการเห็นชอบขององค์ราชันส่วนหนึ่ง แต่นั่นก็ถือว่าอำนาจในการบริหารเกือบทั้งหมดกำลังจะถูกถ่ายโอนไป แต่โชคดีที่มันเลือกอยู่ถูกคนในความคิดของพระองค์

“เรื่องมันก็นานมาแล้ว ทำไมท่านพ่อยังไม่ทรงลืมมันไปซะบ้าง อีกอย่างท่านลุงบริหารประเทศไม่ดีเอง ประชาชนสนับสนุนท่านพ่อมากกว่าก็ไม่แปลกอะไร” สุรเสียงจากเจ้าชายบางพระองค์เอ่ยขึ้น

“แต่ความรู้สึกผิดมันคงอยู่ในใจ ก็ทรงเป็นพระเชษฐาพระอนุชากันนี่นะ”

“มันเป็นอุบัติเหตุไม่ใช่หรือ”

“เรื่องที่ผาอิงฟ้าเมื่อ 20 ปีก่อนน่ะหรือ เห็นเล่ากันว่าท่านพ่อพูดอะไรสักอย่างแล้วท่านลุงก็กระโดดลงไป”

“แล้วพระนางบุหงารตีกับลูกล่ะ”

“เห็นว่าหนีไปได้ แต่สุดท้ายเป็นตายร้ายดีไม่รู้”

“...ท่านพ่อพูดเรื่องนี้ขึ้นมาทำไมกัน”

“ไม่ใช่ว่ามีคนแอบอ้างเป็นลูกของท่านลุงแล้วจะมาเรียกร้องอะไรหรอกนะ”

เมื่อมีสักพระองค์ตั้งสมมติฐานขึ้นมาอย่างนั้น จึงอดไม่ได้ที่จะต้องขยายความต่อ “ถ้าเป็นอย่างนั้นไม่แย่เลยหรือ อยู่ดีๆ จะกลับมาทวงบัลลังก์หน้าตาเฉย...”

“พวกเจ้าเงียบเสียที!” เจ้าชายเศรษฐายุทรงเอ็ดด้วยสุรเสียงที่เบาแต่ทว่าน่ากลัวนักในความรู้สึกผู้ฟัง เมื่อพระเนตรดำสนิทจ้องมาอย่างไม่พอพระทัย “...ท่านพ่อกำลังประชวร ถ้ายังจะพูดจาไร้สาระแบบนั้นก็ออกไปคุยกันข้างนอก”

ไม่มีใครขยับเขยื้อนพระวรกาย บรรดาพระอนุชาต่างเงียบสุรเสียงลง ก้มพระพักตร์มองพื้นไม่กล้าสบพระเนตรดุคู่นั้น ความเงียบเข้าครอบคลุม ก่อนที่เจ้าชายภรัญติพี่ใหญ่จะตรัสเบาๆ “ท่านพ่อ...ฟื้นแล้วหรือพระเจ้าค่ะ”

“ช่วยหน่อยเศรษฐ” องค์ราชันตรัสเรียก พระวรกายสูงใหญ่ค่อยๆ ช่วยประคองผู้เป็นพ่อคนละข้างกับพระเชษฐาภรัญติ

แม้ว่าเขาจะถูกเรียกใช้เพราะอยู่ใกล้สุด แต่นั่นคงไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้ทุกคนเข้าใจ นอกเหนือไปจากว่าเขาเป็น ‘ลูกรัก’ พระองค์เบื่อกับคำเรียกขานนี้ ด้วยรู้อยู่แก่ใจว่าทุกอย่างที่ทำไปไม่ได้หวังลาภยศเงินทองใดๆ แต่เป็นสิ่งที่คนที่ขึ้นชื่อว่าเป็น ‘ลูก’ ควรทำให้บุพการียามแก่เฒ่าทั้งสิ้น

แต่จะมีสักกี่คนที่คิดได้อย่างเขาก็สุดที่จะรู้...

พระเนตรคมของเจ้าชายเศรษฐายุตวัดไปทางมุมห้องเมื่อรู้สึกว่ากำลังถูกจับจ้องอยู่ แล้วก็เป็นจริงเมื่อเจ้าชายชาร์คีผู้มีศักดิ์เป็นพระเชษฐาที่พระชนมายุต่างกันไม่ถึงหนึ่งพระชันษากำลังสบพระเนตรกับพระองค์ด้วยความเกลียดชังอย่างไม่คิดจะปิดบัง ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่แปลกอะไรสำหรับพระองค์ตั้งแต่จำความได้อยู่แล้ว

“ท่านพ่อดีขึ้นแล้วนะพระเจ้าค่ะ ยังทรงมีอาการใดๆ อยู่อีกหรือไม่” สุรเสียงอ่อนโยนของเจ้าชายภีมายุกรดึงพระองค์ออกจากความคิด

“พักแล้วก็ดีขึ้นมากแล้วล่ะ ขอบใจเจ้ามากภีมายุกร”

“เป็นหน้าที่ของหม่อมฉันอยู่แล้วพระเจ้าค่ะ”

องค์ราชันไม่ตรัสต่อ แต่กลับทอดพระเนตรไปทั่วห้องบรรทม พระโอรสทั้งสิบเจ็ดพระองค์ต่างมองมาที่พระองค์ พระเนตรเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้

“พวกเจ้าคงสงสัย ว่าเหตุใดพ่อถึงเรียกพวกเจ้าทั้งหมดมาในวันนี้ จริงอยู่ที่เรื่องมันผ่านมานานมากแล้ว พ่ออาจทำเป็นไม่รู้อะไรอีกต่อไปได้ ถ้าจะไม่มีข่าวจากทางใต้ว่ามีคนพบศพของบุหงารตี...”

“ท่านพ่ออยากให้พวกหม่อมฉันไปรับพระศพท่านป้ากลับมาทำพิธีใช่ไหมพระเจ้าค่ะ”

“นั่นก็ส่วนหนึ่ง แต่สำคัญกว่านั้นพ่ออยากชดใช้ความผิดให้ทั้งสองคน แม้ว่ามันอาจจะทดแทนไม่ได้มากเท่าไรนัก...พ่อจำได้ว่าบุหงารตีมีลูก”

“แล้วตอนนี้อยู่ไหนพระเจ้าค่ะ หรือว่า...” บางพระองค์ตรัสถาม

“พ่อก็ไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นอยู่ที่ใด” เมื่อสิ้นคำตอบขององค์ราชัน คล้ายกับว่าหลายพระองค์จะคลายความกังวลพระทัยไปได้กึ่งหนึ่ง สังเกตจากพระพักตร์ที่เริ่มมีความหวังเรืองรอง

องค์ราชันทอดพระเนตรดังนั้นจึงทรงถอนพระปัสสาสะ หากแม้พระองค์จะไม่ได้ตื่นจากบรรทมมานานพอทันฟังบทสนทนาของพระโอรสทั้งหลายเมื่อครู่ และหากจะไม่ทันทอดพระเนตรท่าทีไม่เห็นด้วยเหล่านั้น

คำตรัสเชิงไว้วานที่เตรียมไว้จึงมลายหายไปแปรเปลี่ยนพระดำริไปอย่างสิ้นเชิง เหลือเพียงพระบรมราชโองการที่ว่า...

“ด้วยอำนาจแห่งข้าองค์ราชันแห่งอุรัศยา!” เจ้าชายทั้งสิบเจ็ดพระองค์ทรุดพระวรกายน้อมรับพระบรมราชโองการ

“ถ่ายทอดคำสั่งลงไป หากพระโอรสในข้าพระองค์ใดตามหาพระธิดาของพระนางบุหงารตีกลับมาได้ ข้าจะจัดงานอภิเษกสมรสและยกบัลลังก์ให้ผู้นั้นขึ้นครองเป็นองค์ราชันของอุรัศยาองค์ต่อไป!”

“ท่านพ่อ!”

“ถ่ายทอดคำสั่งลงไป อย่าให้ผิดพลาดแม้แต่คำเดียว”

“รับด้วยเกล้าพระเจ้าค่ะ” สุรเสียงทั้งสิบเจ็ดน้อมรับพระบรมราชโองการพร้อมกัน แม้ในพระทัยของหลายพระองค์จะยากแท้หยั่งถึงก็ตาม





ราตรีกาลที่ไร้แสงจันทร์สาดส่อง พระวรกายสูงใหญ่ของเจ้าชายเศรษฐายุประทับอยู่หน้าห้องบรรทมของพระบิดา พระหัตถ์ที่กำลังจะยกขึ้นเคาะชะงักค้างไว้ด้วยความลังเลพระทัยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

พระองค์ครุ่นคิดถึงเรื่องเมื่อบ่ายอย่างยากจะห้ามใจ ไม่ว่าใครต่างก็รู้ว่าพระนางบุหงารตีคือพระราชินีในองค์ราชันพระองค์ก่อน แต่จะมีเจ้าชายพระองค์ใดอีกเล่านอกจากพระองค์ที่ล่วงรู้ถึงความสำคัญของพระนางบุหงารตีต่อพระบิดาของเขาว่ามีมากกว่าพระยศพระเชษฐนี หากยังทรงเป็น ‘นางในพระทัย’ ขององค์ราชันองค์ปัจจุบันซึ่งก็คือพระบิดาของเขาตลอดมา!

ความรักที่ต้องเก็บซ่อน ความรัก...ที่ทำให้องค์ราชันไม่คิดจะรักใครได้อีก แม้กระทั่งแม่ของเขาที่มีตำแหน่งเป็นถึงพระราชินีในพระองค์!

“เข้ามาเถอะเศรษฐ”

สุรเสียงเอ็นดูที่ได้ยินมาตลอดตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ของพระบิดาเร่งเร้าให้เจ้าชายเก้าแห่งอุรัศยาตัดพระดำรินั้นทิ้งไปเสีย ก่อนจะผลักพระทวารหนักแล้วสาวพระบาทเข้าไปอย่างมั่นคง ทรงบอกกับพระองค์เองว่าเรื่องในอดีตเหล่านั้นไม่มีความสำคัญต่อพระองค์เลยและไม่มีประโยชน์ที่จะเก็บมาคิดให้หนักพระทัย

แสงไฟสีเหลืองนวลจากโคมไฟระย้า ณ ห้องบรรทมขององค์ราชันแห่งอุรัศยาสาดส่องร่างที่เริ่มชราภาพไปตามกาลเวลาที่ประทับกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนพระแท่นบรรทม สายพระเนตรที่ถึงแม้จะเริ่มฝ้าฟาง หากแต่ยังมองคนไม่เคยพลาดบัดนี้กำลังพินิจพิจารณาพระวรกายสูงใหญ่อย่างชายชาตินักรบของพระโอรสลำดับที่เก้าในพระองค์ที่กำลังสาวพระบาทช้าๆ ด้วยท่วงท่าสง่างามผ่านพระทวารมาหาพระองค์

“พันกรว่าท่านพ่อมีรับสั่งให้เรียกหากระหม่อม” เจ้าชายเศรษฐายุทูลเสียงเรียบไม่เชิงเป็นคำถาม แต่คล้ายคำกล่าวนำเสียมากกว่า “ทรงมีพระประสงค์สิ่งใด หม่อมฉันจะรีบนำมาถวาย”

“แม้แต่ลมหายใจของเจ้าน่ะหรือเจ้าชายเก้า?” องค์ราชันปรายพระเนตรมาทางเจ้าคนยโส อยากรู้นักว่าเจ้าลูกคนนี้จะตอบว่าอย่างไร แต่ในพระทัยลึกๆ ทรงรู้คำตอบดี

“หากนั่นเป็นพระประสงค์ หม่อมฉันก็ยินดี”

เมื่อได้ฟังคำตอบอันน่าพึงพอใจแล้วก็ต้องทรงพระสรวลอย่างอดไม่ได้ เพราะเป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าท่าทางยิ่งยโสโอหังของเจ้าชายเศรษฐายุนั้นได้มาจากผู้ใดถ้าไม่ใช่จากพระองค์

แม้ไม่ได้เป็นพระโอรสพระองค์โต แต่เจ้าชายเศรษฐายุก็เป็นถึงหนึ่งในสองพระโอรสในพระองค์กับสตรีผู้ดำรงพระยศเป็นถึงพระราชินี และด้วยความฉลาดเท่าทันคนตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ทำให้พระองค์ถูกพระทัยพระโอรสพระองค์นี้ยิ่งนัก และมักจะทรงถ่ายทอดวิชาความรู้และศิลปะการต่อสู้ให้เมื่อมีเวลา

ใช่ว่าพระองค์จะไม่รู้...เศรษฐายุถูกใครหลายคนค่อนขอดและดูถูกความสามารถอยู่บ่อยครั้ง และที่พระองค์ทราบก็ไม่ใช่เพราะเจ้าตัวรายงาน แต่เพราะแผลที่ไม่มีทางปิดมิดของพระโอรสยามได้รับสารท้านั่นต่างหาก ทำให้ทรงต้องสอนสิ่งที่เรียกว่า ‘ความอดทนและความเหน็บหนาว’ ให้เศรษฐายุ

“พ่อไม่อยากได้ลมหายใจของเจ้าหรอกนะ เศรษฐ...แต่อยากได้เพียงความจงรักภักดีต่อผืนแผ่นดินที่เราอยู่เพียงเท่านั้น”

พระพักตร์คมคายของเจ้าชายเก้าฉายแววว่าเข้าใจอะไรบางอย่าง สมองไพล่นึกถึงเรื่องที่ทำให้องค์ราชันต้องเรียกให้พระโอรสทุกพระองค์เข้าเฝ้าเป็นการด่วน หากก็ไม่ทรงแน่พระทัย แต่สุรเสียงทุ้มมีพลังตรัสให้ถ้อยคำสัตย์ปฏิญาณต่อหน้าเจ้าแผ่นดินและเจ้าชีวิตของเขาอย่างไม่ต้องไตร่ตรองอะไรให้เสียเวลาอีกแม้เพียงนิด

“กระหม่อมถวายให้ได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นยามหลับหรือยามตื่น หรือหากแม้เลือดขัตติยะของหม่อมฉันจะต้องหลั่งรินก็ขอให้มันไหลอาบทั่วผืนแผ่นดินแห่งอุรัศยา”

“ดี...ดีมาก” ผู้เป็นพ่อของแผ่นดินเอ่ยขึ้น พระพักตร์ปลาบปลื้ม ทรงเลือกคนไม่ผิดแน่ๆ

“ช่วยพ่อหน่อยเถิดเศรษฐ...คุ้มครองนางที”





“ท่านป้าจะให้หลานไปคุ้มครองพี่เศรษฐ และให้หลานเป็นคนพาตัวเจ้าหญิงพลัดถิ่นกลับมา?” สุรเสียงร่าเริงของเจ้าชายภีมายุกรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดเมื่อได้ฟังคำไว้วานนั่น

เบื้องหน้าพระองค์คือพระราชินีแห่งอุรัศยาผู้มีศักดิ์เป็นพระมาตุจฉาที่คงพระพักตร์นิ่งเรียบราวกับไม่ได้ตรัสอะไรพิลึกพิลั่นนั้นออกมา แม้จะอยากสงบปากสงบคำแต่ทำได้ยากเต็มที จึงทรงถามโพล่งออกมาอย่างไม่ค่อยเห็นด้วยสักเท่าไร

“...เพื่อให้พี่ถิรธัญธรเป็นคนนำตัวนางไปถวาย?” แล้วหยาดเหงื่อของพี่เศรษฐก็จะเสียเปล่าเนี่ยนะ...ทรงดำริในพระทัยแต่ไม่ได้ตรัสออกไป

“และอยากให้หลานช่วยคุ้มครองเศรษฐด้วย” นางย้ำ เพราะสายข่าวรายงานว่าพระโอรสองค์เล็กของพระนางตกลงรับคำสั่งจากผู้เป็นพ่อให้พาตัวพระธิดาของผู้ที่เป็นมารหัวใจของพระนางกลับมา

“หลานไม่เข้าใจ” ใช่! พระองค์ไม่ทรงเข้าพระทัยจริงๆ นั่นแหละ เพราะไม่อยากจะเชื่อว่าข่าวลือที่ว่าพระราชินีทรงโปรดพระโอรสองค์โตมากกว่าองค์เล็กจะมีมูลความจริง!

‘เศรษฐายุลูกพ่อ ส่วนถิรธัญธรลูกแม่’ เป็นความจริงหรอกหรือนี่?

คำพูดของพระมารดาที่มีศักดิ์เป็นน้องสาวแท้ๆ ของสตรีเบื้องหน้า แวบเข้ามาในสมอง...

‘จำไว้นะภีม...ไม่มีพ่อแม่คนใดหรอกที่ไม่รักลูก การกระทำที่แตกต่างไม่ใช่ตัวชี้วัดความรักความห่วงใย แต่เป็นเหตุผลของผู้กระทำและมุมมองของผู้รับต่างหากล่ะ’

ดูเหมือนผู้เป็นป้าจะเข้าพระทัยพระเนตรสงสัยของพระภาคิไนย และรู้ด้วยว่าอีกฝ่ายคงไปได้ยินข่าวอะไรมาอีกตามประสาคนเพื่อนเยอะ แต่นางก็ไม่ได้ถือสาหาความ

“ป้ารู้ว่าทำแบบนี้มันดูเหมือนไม่ยุติธรรมสำหรับเศรษฐ’ เสียงถอนพระปัสสาสะดังขึ้น สุรเสียงมีแววห่วงใยอย่างไม่ปิดบัง ท่าทางหยิ่งทะนง ถือดี และสูงศักดิ์เพราะต้องใส่หัวโขนของพระราชินีนั้นหายไป ตอนนี้คนตรงหน้าพระองค์เป็นเพียง ‘แม่’ ที่รักและห่วงลูกชายสุดหัวใจเท่านั้น

“...แต่เพราะป้ารู้ว่าลูกคนนี้ของป้าเป็นอย่างไร” ทรงรู้ดีเลยทีเดียวว่าเศรษฐไม่เคยต้องการบัลลังก์กษัตริย์ ที่รับหน้าที่นี้ก็คงเป็นเพราะความจงรักภักดีและกตัญญูรู้คุณ และก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่เศรษฐต้องการนั้นเป็นสิ่งที่ครั้งหนึ่งพระนางเคยละเลย...อ้อมกอดอุ่นๆ จากแม่คือสิ่งที่เจ้าชายน้อยต้องการในวัยเยาว์ แต่พระนางกลับไม่เคยสนใจ เพราะมัวแต่ห่วงพระโอรสองค์โตที่ดูจะไม่เป็นโล้เป็นพายไม่เหมือนน้อง ที่สำคัญถิรธัญธรก็ไม่ใช่ ‘คนโปรดขององค์ราชัน’ เฉกเช่นเศรษฐายุเสียด้วย

มาถึงตอนนี้ วันเวลาที่ล่วงเลยไปเจ้าชายน้อยเติบโตขึ้นกลายเป็นเจ้าชายหนุ่มรูปงาม เปี่ยมไปด้วยความสามารถจนเป็นที่ยอมรับจากคนในราชสำนักและประชาชนชาวอุรัศยา เศรษฐายุก้าวไปไกลกว่าเจ้าชายหลายพระองค์เพราะการเรียนและฝึกฝนหนักกว่าผู้อื่นจากการเคี่ยวเข็ญของคนเป็นพ่อ ทำให้พระนางได้แต่แอบยิ้มด้วยความภาคภูมิใจอยู่ห่างๆ เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่ทำให้พระโอรสมีวันนี้ไม่ใช่ด้วยสองมือของนางอย่างที่คนเป็นแม่ควรจะทำ และยิ่งไม่มีหน้าจะเข้าไปแสดงความยินดีกับพระโอรสองค์เล็กสักนิด

“เชื่อป้าเถอะ ไม่มีแม่คนใดที่ไม่รักลูกหรอกนะภีม”

“ท่านป้า” พระองค์คราง เมื่อพระเนตรของหญิงสูงวัยเอ่อคลอไปด้วยพระอัสสุชล แต่มันกลับเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ

“ป้าภูมิใจในตัวเขามากรู้มั้ย ป้า...” ซับพระพักตร์ถูกยื่นมาให้ผู้เป็นป้าที่รับไว้ “แต่ป้าก็ห่วงถิรธัญธรมากเหลือเกิน ถ้าวันหนึ่งเขาไม่มีป้า เขาจะอยู่ได้อย่างไร”

เจ้าชายภีมายุกรนึกภาพในใจ ทำไมถิรธัญธรจะอยู่ไม่ได้ ขอแค่มีสุราและนารี ต่อให้อยู่กลางทะเลทรายที่ร้อนระอุ พระเชษฐาก็คงไม่รู้สึกรู้สมอะไรสักนิดแน่ๆ

“ภีม...ถือว่าป้าขอร้องได้ไหม ช่วยป้าหน่อยแต่อย่าบอกเศรษฐ ลูกหัวแข็งคนนี้ไม่ยอมแน่และคงจะทำให้เขาไม่เปิดใจรับภีมให้คอยดูแล ป้าห่วงความปลอดภัยของเขาจริงๆ งานนี้เจ้าชายหลายพระองค์ก็ไปไม่ใช่หรือ? ที่ป้าพอจะวางใจได้ก็เห็นจะมีภีมเท่านั้น จริงอยู่ที่เศรษฐอาจจะมีฝีมือไม่เป็นรองใคร แต่เรื่องหยูกยาเอย ไหวพริบเอยก็คงสู้ภีมไม่ได้”

เจ้าชายภีมายุกรลอบถอนพระปัสสาสะ "ไม่ขนาดนั้นหรอกพระเจ้าค่ะ แต่หากเป็นพระประสงค์หลานก็จะพยายาม ขอเพียงแต่พี่เศรษฐต้องการอย่างนั้นจริงๆ”

“ขอบใจมากภีม ขอบใจจริงๆ เศรษฐไม่มีวันต้องการอำนาจที่เขาแสนเกลียดแน่ๆ ป้าเชื่ออย่างนั้น”

“แต่หลานก็ยังสงสัย”

“ว่ามาสิ”

“แม้จะทรงแน่พระทัยว่าพี่เศรษฐไม่ปรารถนาในบัลลังก์ แต่หม่อมฉันก็ยังไม่เห็นหนทางที่พี่ถิรธัญธรจะได้ครองราชย์ ในเมื่อยังมีพี่ภรัญติที่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวงอยู่ทั้งคน”

“เชื่อป้าเถอะ ขอเพียงภีมทำตามที่ตกลงไว้ก็พอ เรื่องอื่นป้าจัดการเอง”

เจ้าชายภีมายุกรเม้มพระโอษฐ์แน่น แต่ไม่ทรงอยู่ในฐานะที่จะคาดคั้นพระมาตุจฉาได้ จึงทรงพยักพระพักตร์แกนๆ แล้วขอประทานอนุญาตเสด็จกลับพระตำหนัก

“อย่าลืมนะภีม ทั้งหมดเป็นความลับระหว่างเจ้ากับป้า อย่าให้ผู้ใดล่วงรู้ โดยเฉพาะเศรษฐ”

พระพักตร์ของพระภาคิไนยผินกลับมาเล็กน้อย สุรเสียงนุ่มตรัสมั่นคง ไร้วี่แววล้อเล่นเฉกเช่นเคย

“หากพี่เศรษฐยืนกรานว่าไม่ต้องการบัลลังก์เท่านั้นกระหม่อม”

พระวรกายสูงของพระภาคิไนยจากไปแล้ว มีเพียงพระราชินีองค์ปัจจุบันแห่งอุรัศยาที่ยังคงประทับที่เดิมนิ่งไม่ไหวติง พระเนตรฉายแววมั่นพระทัยเป็นล้นพ้น

“เศรษฐไม่มีวันต้องการบัลลังก์ที่เหน็บหนาว เช่นเดียวกับที่ภรัญติไม่มีวันที่จะได้ครองบัลลังก์แม้จะปรารถนามันมากเพียงใดก็ตาม”

ไร้สุรเสียงใดๆ ตอบรับความมั่นพระทัยนั้น มีเพียงสายลมที่พัดโชยมาแตะแต้มพระพักตร์งดงาม พระโอษฐ์ขยับคล้ายกำลังกระซิบอะไรบางอย่างไปกับสายลมเอื่อย แต่หารู้ไม่ว่านอกจากพระองค์และผู้ที่เพิ่งจากไปนั้น ยังมีใครบางคนบังเอิญล่วงรู้ถึงความลับนั่นด้วย!




เจ้าชายน้อย
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 เม.ย. 2554, 10:18:34 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 เม.ย. 2554, 10:25:27 น.

จำนวนการเข้าชม : 1600





   เจ้าหญิงเลนีอาร์ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account