คานน้อย คอยรัก (จบแล้วค่ะ)
คานน้อย คอยรัก

ในลักษณ์นั้นว่าประหลาด…………….คนบนคานนั้นว่าน่าประหลาด
เป็นเชื้อชาตินักรบกลั่นกล้า…………...เป็นเชื้อชาตินักรักผู้หาญกล้า
เหตุไฉนย่อท้อรอรา…………………..เหตุไฉนย่อท้อรอเวลา
ฤาจะกล้าแต่เพียงวาที…………………ฤาไม่กล้าบอกรักใครสักที

เห็นแก้วแวววับที่ดับจิต…………………เห็นคานแก้วแวววับสดับจิต
ใยไม่คิดอาจเอื้อมให้ถึงที่……………...ใยไม่คิดปีนไปให้ถึงที่
เมื่อไม่เอื้อมจะได้อย่างไรมี……………อย่ามัวรอจงขึ้นมาเร็วรี่
อันมณีฤาจะโลดไปถึงมือ………………บนคานนี้มีรักให้ฝึกปรือ

อันของสูงแม้ปองต้องจิต………………..คานเราสูงไม่เป็นรองของใครอื่น
ถ้าไม่คิดปีนป่ายจะได้ฤา………………..อย่าได้ขืนลงไปให้เสียชื่อ
มิใช่ของตลาดที่อาจซื้อ………………….มิใช่ทองตามตลาดที่อาจซื้อ
ฤาแย่งยื้อถือได้โดยไม่ยอม……………..เพราะเราถือความพอใจจึงลงไป

ไม่คิดสอยมัวคอยดอกไม้ร่วง……………ไม่คิดสอยมัวคอยให้คานทับ
คงชวดดวงบุปผาชาติสะอาดหอม………..รอให้ดับคาคานหรืออย่างไร
ดูแต่ภุมรินเที่ยวบินตอม…………………..ฤาต้องคอยรักแท้จนแก่ใช่ไหม
จึงได้ออมอบกลิ่นสุมาลี…………………..เกาะคานน้อยคอยรักต่อไป
…………………..........จนกว่าจะเจอคนที่ใช่…ใช่ไหมคาน………………
(อ้างอิงกลอนจากบทละครเรื่องท้าวแสนปม)

มาดูเหตุผลของคนที่ยังไม่ลงจากคานกันค่ะ...
อาจจะมีเหตุผลมากมายที่ไม่อยากลงจากคาน
หรืออาจมีเพียงแค่หนึ่งเหตุผลง่ายๆก็คือ...

...ไม่ใช่คนที่ใช่ก็ไม่ใช่...

หรือว่า

...โดนข้อหาหลายใจ เพราะเคยมีแฟนหลายหน...

หรืออาจเป็นเพรา

...เขาบอกให้รอ เราก็รอ...

หรือจริงๆแล้ว

...ขออยู่รอคนสุดท้ายคนนั้นได้ไหม...

หรือลึกลงไป

...กำลังรอเจ้าชายในฝันอยู่อย่างอดทนได้ทุกอย่าง...

หรือกำลังปลอบใจตัวเองว่า

...ครึ่งหนึ่งของฉันยังมาไม่ถึง...ซึ่งสักวันเขาจะมาอยู่ข้างกัน...

หรือกำลังหลอกตัวเองด้วยการปกปิดว่า

...ไม่หวั่นไหว หัวใจไม่ปรารถนา...

ทั้งๆที่จริงๆแล้ว

...อยากรัก อยากฝัน แต่เพราะกลัว ก็เลยไม่กล้ารักใคร...

หรือว่าอาจจะเป็นเหตผลสุดท้ายที่ไม่ค่อยมีใครกล้ายอมรับดังๆว่า

...ไม่เคยมีใครมาจีบ ไม่มีใครสน เรามันคนธรรมดาๆ...

แต่ไม่ว่าจะเหตุผลใด...

เราก็ยังหวังและยังคงรอคอยปาฏิหาริย์ว่าจะได้เจอคนที่ใช่ในสักวัน...


Tags: ดราม่า หวานซึ้ง อบอุ่น หมอรัง สิ้นรัก วายุ ปองขวัญ

ตอน: ยกที่ 74 มงกุฏกุหลาบขาวกับสะพานดาว

ยกที่ 74 มงกุฏกุหลาบขาวกับสะพานดาว

สิ้นรักตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองอยู่ในห้องที่ไม่คุ้นตา
มันดูแคบกว่าห้องที่เธอเคยพักอาศัยมา แถมมันยังให้ความรู้สึกโคลงเคลงอีกด้วย

หญิงสาวลุกขึ้นก็พบกับตัวเองกำลังอยู่ในชุดสีขาว เมื่อมองดูอย่างพิจารณา
ดวงตาที่กำลังงัวเงียอยู่ก็ถึงกับเบิกกว้าง ชุดสีขาวดังกล่าวคือชุดเจ้าสาว
ที่เธอออกแบบและตัดเย็บเอาไว้สำหรับวันแต่งงานของตัวเอง…

สิ้นรักมองบรรยากาศรอบห้องก่อนจะเดินไปยังกระจกบานใหญ่
เห็นเงาหญิงสาวในชุดสีขาว ใบหน้าถูกแต่งแต้มด้วยสีสันสดใส
เสียงภายในกระซิบบอกเธอว่า หญิงสาวตรงหน้าสวย
เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะสวยอย่างที่เห็นในกระจก

…ใครกันที่ทำให้เธอเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้…

ไวเท่าความคิด หญิงสาวเดินไปยังหน้าต่างห้องก่อนจะเปิดมัน
ภาพเบื้องหน้าทำให้หัวใจของสิ้นรักกระตุก หมอกสีขาว พื้นน้ำสีคราม
ที่มีระลอกคลื่นกระเพื่อมสะท้อนแสงระยิบระยับ แม้ไม่มีใครบอกเธอก็รู้ดีว่าตัวเองอยู่ที่ไหน…

หญิงสาวจับกระโปรงแล้ววิ่งไปยังประตูเพื่อเปิดออกสู่ภายนอก
ภาพที่เห็นคือ ชายในชุดสีขาว กำลังยืนรอเธออยู่หน้าประตู ใบหน้าของเขาแต้มยิ้ม
แลดูอ่อนโยนราวกับสายหมอกในทะเล อบอุ่นดั่งแสงที่ตกกระทบบนผิวน้ำ
และถ้าเธอไม่ได้ตาฝาดเธอแน่ใจว่าตาของเธอมองเห็นรัศมีสีขาวเรืองรองรอบๆตัวเขา

เขาไม่ใช่เทพบุตร เขาไม่ใช่เจ้าชาย หากเขาคือมนุษย์ เขาคือชายที่เธอรัก

“พี่รัง…”สิ้นรักเรียกชื่อนั้นด้วยน้ำเสียงที่คิดว่าอ่อนหวานที่สุดเท่าที่จะทำได้
เขายิ้มกว้างกว่าเดิมจนเห็นฟันสีขาวเรียงสวย น่ามองยิ่งนัก

“ส่งมือมาสิครับ…”น้ำเสียงทุ้มนุ่มนั้นราวกับมีพลังอำนาจที่ทำให้หญิงสาวทำตาม
มือที่กุมมือเธอเอาไว้ มันให้ความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยอย่างที่เธอไม่เคยรู้สึกมาก่อน
เหมือนความรักของเขาส่งผ่านมาถึงเธอด้วยมือของเขา…

สิ้นรักเงยหน้าขึ้นมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของชายที่เธอรัก
ไม่ว่าเขาจะพาเธอไม่ยังทิศใด เธอหาสนใจไม่ ดวงหน้า แววตาปราศจากความกังวล
เพียงแค่เขาจะกุมมือเธอเอาไว้อย่างนี้ตลอดไปสิ่งใดเธอก็ไม่กลัว…

ทุกก้าวที่เธอเดินเคียงข้างเขา มันทำให้เธอมีความสุข
รู้สึกดีใจและยินดีที่มีเขาอยู่ข้างๆแบบนี้…จนอยากหยุดห้วงเวลานี้เอาไว้
เวลาที่ช่างเหมือนภาพฝัน…ใช่แล้ว…มันช่างเหมือนภาพฝันเหลือเกิน…

ทว่าเพียงแค่เสี้ยววินาทีที่หยุดคิด อยู่ๆภาพที่เธอเห็นก็พลันมลายหายไป…
แทนด้วยภาพเพดานห้องที่แสนคุ้นตาและภาพข้างฝาที่เธอเป็นคนวาด
กลิ่นทะเลกับเสียงคลื่น…สิ้นรักถอนใจยาวด้วยสีหน้าเสียดาย

“ฝันไป…เราแค่ฝันไปเท่านั้น…”เสียงพึมพำดังขึ้น

ใช่แล้ว ภาพที่เราเห็นเมื่อครู่ มันเป็นแค่เพียงภาพฝัน ทุกอย่างหยุดเอาไว้แค่ฝัน…
แล้วน้ำตาที่ไม่รู้ว่ามาได้ยังไง และทำไมต้องไหลในตอนนี้ก็ไหลหลั่งลงมาเป็นสาย
ทำไมต้องร้องไห้ด้วย ทำไมเราต้องอ่อนแอ มันก็แค่ความฝัน
ความฝันที่เป็นเหมือนจิตใต้สำนึกลึกๆที่เราต้องการให้เป็นไม่ใช่เหรอ

และดูเหมือนจะเป็นเพียงแค่ตอนที่หลับเท่านั้นใช่ไหมที่เธอกับเขา
มีวันเวลาที่ได้เดินเคียงข้างกันในฐานะคู่ชีวิต ที่ไม่ใช่แค่เพียงคู่รัก
ที่ได้แต่เฝ้ารอวันที่รอคอย ที่ไม่รู้ว่าจะมาถึงเมื่อไหร่…

และดูเหมือนว่ามันจะห่างไกลออกไปเรื่อยๆ เมื่อเขาไม่เอื้อนเอ่ยถึงวันนั้นอีกเลย
ยิ่งเหตุการณ์ล่าสุดที่เธอเจอยิ่งตอกย้ำว่ายิ่งเป็นไปได้ยาก
ที่เธอกับเขาจะเดินร่วมทางกันได้…เมื่อเธอเห็นเขากับอากิโกะเดินกลับเรือนมาด้วยกัน
โดยที่ในมือของอากิโกะนั้นมีดอกกุหลาบสีขาวนับสิบดอก…

ทั้งๆที่เขาบอกกับเธอเองว่า ดอกกุหลาบสีขาวนั้น
เป็นดอกกุหลาบที่เป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงรักแท้ รักบริสุทธิ์
แล้วที่เขาทำแบบนี้ เขาต้องการจะบอกอะไรกับเธอกันแน่…

นี่หรือคือคนที่บอกว่ารักเธอหนักหนา…ทำไมเขาถึงใจดำทำร้ายจิตใจเธอขนาดนี้…

ตอนที่เขากับอากิโกะเจอหน้าเธอ สีหน้าของเขาดูซีดลงนิดนึง
แต่ก็ปรับให้เป็นปกติได้เพียงไม่กี่วินาที
เขาคงไม่รู้ว่าเธอเห็นแววตาที่ดูตกใจสุดขีดตอนที่เจอเธอเข้าโดยบังเอิญนั้นของเขา

ตอนนั้นเธอทำได้แต่กัดปากและกักเก็บความรู้สึกแล้วเดินกลับเรือนไป…
ไม่มีการตามมาง้องอน ไม่มีการเคาะประตูห้องเพื่อเคลียร์ปัญหาในใจเธอ
หรือว่าเขาไม่แคร์เธออีกแล้ว…ยิ่งคิดน้ำตาของหญิงสาวก็ยิ่งไหล

ทว่า เสียงประตูห้องก็ปลุกให้หญิงสาวตื่นจากความคิดต่างๆ
ก่อนจะปาดน้ำตาจนแห้งสนิท แล้วลุกจากที่นอนเดินไปเปิดประตูห้อง

“มีอะไรเหรอปอง…”สิ้นรักถามเพราะเห็นเพื่อนยืนทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่หน้าประตูห้อง

“พี่รังหายไป คุณอากิก็หายไปด้วย…”คนฟังตกใจ ไม่คิดว่าสิ่งที่ได้ยินจะเป็นความจริง

“เป็นไปได้ไง เกิดอะไรขึ้นเหรอ…”เพื่อนของเธอเอาแต่ส่ายหน้า

“พี่ลมบอกว่าตื่นขึ้นมาก็ไม่พบทั้งสองแล้ว พ่อเจ้าแฝดก็เอาแต่นั่งก้มหน้า
ไม่พูดไม่จา ส่วนเจ้าแฝดก็เอาแต่ถามหาแม่จัง…”

สิ้นรักรู้สึกเหมือนกับกำลังยืนอยู่ในเรือที่กำลังโคลงเคลง จึงรึบใช้มือคว้าขอบประตูไว้แน่น
ไม่ให้ร่างของตัวเองล้มลงไปกองกับพื้น…

“บางทีเขาสองคนอาจมีธุระที่ไหนก็ได้นะไอ้สิ้น…”

ใช่…บางที…บางทีนะ

สิ้นรักพยายามปลอบใจตัวเองอย่างที่เพื่อนกำลังพยายามปลอบใจเธอด้วยเหตุผลนั้นอยู่…
แต่ตลอดระยะเวลาหลายวันหรืออาจจะเรียกได้ว่าร่วมเดือนเลยทีเดียว
ที่เขาดูจะสนิทสนมกับอากิโกะกว่าทุกครั้ง
ดูสนิทกันมากจนเธอไม่อาจปล่อยความคิดในทางลบออกไปจากหัวได้

“หาทั่วเกาะแล้วเหรอปอง…”เพื่อนของเธอพยักหน้า

“มีคนงานเห็นเขาสองคนออกเรือไปด้วยกัน…เสื้อผ้าก็เอาไปด้วย…”
ในที่สุดสิ่งที่เธอกลัวที่สุดก็มาเยือน

“แล้วนี่…”เพื่อนของเธอยื่นกระดาษที่พับอยู่ส่งให้ เธอจึงรับมันไว้
ก่อนจะพยายามตั้งสติ หายใจเข้าลึกๆแล้วเปิดมัน…

ข้อความในนั้น เขียนถึงความลับในใจของเขา

‘เราต่างก็เหน็ดเหนื่อยและเจ็บปวดกันมามากพอแล้วกับการซื้อเวลา…
พี่ขอโทษที่ทำให้เธอร้องไห้เสียใจ และทำให้ต้องเสียน้ำตาครั้งแล้วครั้งเล่า
พี่มันไม่ดีเองที่รักคนอื่นไม่เป็น พี่พยายามแล้ว
แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนใจให้รักเธอได้จริงๆ พี่เคยท้อแท้กับการรักคนมีเจ้าของ
และได้แต่เฝ้ารอว่าเมื่อไหร่รักที่รอคอยจะสมหวัง
หลายครั้งที่อากิพยายามผลักไสพี่ให้รักคนอื่น แต่พี่รักอากิหมดใจ
จนรักคนอื่นไม่เป็นอีกแล้ว…พี่ขอสารภาพว่าพี่มันเลวที่ทำแบบนี้…
แต่พี่ยอมเป็นคนเลว…ถ้ามันทำให้คนที่พี่รักรักพี่ได้…
และวันนี้พี่ก็ทำสำเร็จแล้ว…เราสองคนรักกัน…พี่พร้อมสูญเสียทุกอย่างที่มีในชีวิต
ขอแค่ได้มีวันเวลาที่ดีๆกับคนที่พี่รัก…พี่รักอากิ…’

มือที่กำลังจับกระดาษสั่นสะท้าน น้ำตาพรั่งพรูลงมาเป็นสาย
ปากบางก็สั่นระริก จนฟันกระทบกันเกิดเสียง คนที่พี่รักเหรอ…

เขากล้าประกาศคำว่าคนที่พี่รักให้เธออ่านได้ราวกับไม่สะทกสะท้าน
ราวกับว่าเรื่องระหว่างเขากับเธอไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นเลยสักนิดอย่างนี้ได้อย่างไร

…นี่เขาหลอกให้เธอรัก แล้วหักหลังกันอย่างนี้ได้ยังไง
หัวใจของเขาทำด้วยอะไรกัน ทำไมถึงได้ใจร้ายเหลือเกิน…

นี่หรือคือคนที่เคยบอกว่ารักเธอหนักหนา คำว่ารักของเขาที่มอบให้เธอ
ที่ผ่านมามันเป็นแค่คำลวงเท่านั้นใช่ไหม…

สิ้นรักเข่าอ่อนทรุดลงกับพื้น มีเพียงเสียงปลอบประโลมจากเพื่อนรัก
ที่เธอแทบไม่ได้ยินด้วยซ้ำ เพราะมีแต่เสียงทุ้มนุ่มของเขาที่เธอได้ยินกับรอยยิ้ม
และมือที่กุมมือเธอในความฝันก่อนที่จะตื่นขึ้นมาพบกับความจริงที่ว่าไม่มีเขาอีกต่อไป
แทรกอยู่ในหัวของเธอเท่านั้น

…เขาทำแบบนี้กับเธอได้ยังไง…ไม่รักกันก็ไม่น่าทำร้ายกันขนาดนี้…

ร่างของเธอจึงถูกเพื่อนประคองให้กลับไปยังเตียงนอนอีกครั้ง เธออยากจะหลับตา
หลับไปแล้วไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีกเลย
เธอไม่ต้องการน้ำตาอีกต่อไปแล้ว แต่ภาพรอยยิ้มของเขายังคงติดตาตรึงใจ
ถ้อยคำที่เคยบอกว่ารักเธอ กับคำที่ย้ำว่าเขาจะไม่มีวันรักใครอีกยังคงดังก้องกังวานไปมา
ก่อนจะพยายามหลับตาลง หลับทั้งๆที่หลั่งน้ำตา…หวังเพียงว่าตื่นขึ้นมา เธอจะลืมทุกอย่าง…

“หนูรัก หนูรัก…หนูรัก…”เสียงจากที่ไหนกันที่เรียกเธอ

ไม่ ไม่ เธอจะไม่ยอมตื่นหรอก จะไม่ยอมตื่นขึ้นอีกเด็ดขาด…
ความจริงมันน่ากลัวเหลือเกิน เธอจะขอหลับฝันต่อไปอย่างนี้
แม้ความจริงจะไม่มีพี่รังอีกต่อไปแล้ว แต่พี่รังก็ยังคงอยู่กับเธอในความฝัน
ไม่หนีไปไหนไกล…และก็ไม่หนีไปไหนกับใคร…

“หนูรัก…ตื่นเถอะ…ลืมตาเถิด…”ไม่ อย่ามาเรียกนะ
ยังไงก็จะไม่ยอมลืมตาเด็ดขาด…ในเมื่อชีวิตจริงไม่มีเขา
เธอจะตื่นไปเจอกับมันเพื่ออะไร…เธอแค่อยากให้พี่รังกับเธอ
ได้ยืนเคียงข้างกันและเดินร่วมทางไปด้วยกันตลอดไปอย่างที่หวังและตั้งใจไว้…
แต่มันก็ไม่มีทางเป็นจริงได้อีกแล้ว…

ที่เธอทำได้ก็แค่ฝัน…ขอให้เธอได้หลับฝันอยู่อย่างนี้จนชั่วชีวิตเถิด
อย่าให้เธอต้องตื่นไปพบเจอกับเรื่องจริงเรื่องใดอีกเลย…

ขอให้เธอได้กอดเขาเอาไว้ในความฝันอย่างนี้ต่อไปเถิด
ให้เธอได้อยู่ในความฝันตลอดไปได้ไหม…ในเมื่อชีวิตจริงเธอต้องสูญเสียเขาไป
ก็ขอแค่ให้เธอมีเขาอยู่ในความฝัน ขอแค่ฝันเท่านั้น…เท่านั้นจริงๆ

“ตื่นเถอะนะคะ…นมขอร้อง…ทุกคนกำลังรอหนูรักอยู่นะคะ…”
นม นี่มันเสียงนมนี่นา นมมาทำอะไรที่นี่

“ตื่นเถอะหนุ่ย…”

พ่อ เสียงของพ่อบันนี่!
พ่อบันมาทำอะไรที่ห้องของเธอ แล้วมือใครกันที่กำลังปัดป่ายที่ตรงใต้ขอบตาของเธออยู่

“เลิกร้องไห้แล้วลืมตาเถอะลูก…ตื่นขึ้นมามองพ่อ…”

น้ำเสียงอ้อนวอนของพ่อทำให้เธอใจอ่อนจนยอมละทิ้งภาพฝัน
แล้วค่อยๆเปิดเปลือกตามองดูภาพใบหน้าของบิดา
ก่อนจะหันไปทางนมที่ส่งเสียงมาไม่ขาดสายด้วยสีหน้าดีใจ
ก่อนจะตกใจกับสภาพของตัวเอง ชุดเจ้าสาวสีขาว
ชุดที่เธอออกแบบและตัดเย็บด้วยตัวเองกับผ้าคลุมสีเดียวกัน
ที่คลุมล้อมกรอบใบหน้าของเธอ…

นี่อย่าบอกนะว่าเธอหลับไปทั้งสภาพอย่างนี้
แล้วทำไมเธอถึงจำอะไรเกี่ยวกับชุดเจ้าสาวไม่ได้เลยล่ะ
เธอสวมชุดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมถึงนึกไม่ออก

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นคะพ่อ…”สิ้นรักถามบิดาด้วยแววตาประหลาดใจ
เธอยังฝันอยู่อีกรึเปล่า ชักงงแล้วสิ…

“อย่าเพิ่งถามเลย…เดี๋ยวช่างแต่งหน้าจะช่วยหนุ่ยตอบคำถามเอง…”

เพียงเท่านั้น เลอเลิศก็เผยโฉมพร้อมหีบสมบัติที่นำติดกายตลอด
ก่อนจะวางหีบสมบัตินั้นลงบนเบาะนุ่ม

"ไปล้างหน้าแปรงฟันก่อนนะน้องสิ้น.."แล้วสิ้นรักก็ถูกจูงไปยังห้องน้ำ
ก่อนจะออกมานั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งแล้วเลอเลิศก็เริ่มซับหน้าเธอ
หลังจากนั้นก็เริ่มทำการแต่งหน้าเธอโดยไม่ยอมพูดหรืออธิบายอะไร
นอกจากบอกให้เธอเงียบ…เพียงไม่นานทุกอย่างก็เป็นอันว่าเสร็จ
ท่่ามกลางความมึนงงของสิ้นรัก…นี่มันเกิดอะไรขึ้น
ทำไมเธอถึงยังมึนๆ จับหัวจนปลายไม่ได้ แถมยังทำอะไรไม่ถูกเลย…

“เจ้าสาวของเราพร้อมจะเดินทางแล้วล่ะค่ะ…”
เสียงนั้นเป็นเสียงของแมงมุมที่ไม่รู้ว่าอยู่ๆโผล่หัวมาจากไหน…
แต่ท้องโย้ๆของแม่คุณทำให้สิ้นรักอดยิ้มขำไม่ได้
เพราะมันดูไม่เหมือนแมงมุมผอมโซแต่ก่อนเลยสักนิดเดียว
แต่เมื่อกี้ แมงมุมพูดคำว่า เจ้าสาวใช่มั้ย…

“นี่มันอะไรกันคะ…”ทุกคนนิ่งไม่ยอมตอบเธอแม้แต่คนเดียว
พ่อบันของเธอส่งมือมารับเธอพร้อมรอยยิ้ม

“คงได้เวลาแล้วจริงๆ…ว่าแต่อีกฟากนึงเรียบร้อยรึยังมุม…”เสียงพ่อของเธอ
ดูสดใสกว่าทุกครั้ง

“เรียบร้อยแล้วค่ะอาบัน…”

“งั้นเราก็ไปกันเถอะ”คำว่าเรา ทำให้สิ้นรักหันไปมองรอบๆกาย
เห็นคำว่าเราที่รวมตัวกัน ซึ่งประกอบไปด้วยพ่อของเธอ แม่นมมูนะ
แมงมุม พี่เริศ…แล้วไอ้ปองล่ะ ไอ้ปองหายไปไหน

ว่าแต่พ่อบันจะจูงมือพาเธอไปไหนกัน

และเมื่อประตูห้องถูกเปิดออกเท่านั้น…สิ้นรักก็ถึงกับตกใจ ดวงตาเบิกกว้าง
เรือนไม้หลังงามที่ว่างามแล้วกลับงดงามยิ่งกว่าวันไหนๆ
งามยิ่งกว่าที่ใดในโลกที่เธอเคยพบเจอ…เมื่อมันถูกประดับประดาไปด้วย
ดอกกล้วยไม้สีเหลืองที่แขวนรอบๆระเบียงบ้าน
ทุกซอกมุมมีสีเหลืองของเจ้าเอื้องผึ้งห้อยระย้า มีครอบครัวของคุณลุงซึ่งประกอบไปด้วย
คุณลุง คุณป้า พี่ริวและพี่สะใภ้รวมทั้งหลานสาวตัวน้อยๆของเธอ
ที่คงเดินทางมาจากญี่ปุ่นมายืนยิ้มต้อนรับอยู่หน้าห้องพร้อมคำอวยพร
ซึ่งก็แสดงว่าครอบครัวของคุณลุงก็ต้องรับรู้ว่าวันนี้จะมีอะไรแปลกๆประหลาดแบบนี้เกิดขึ้นกับเธอน่ะสิ
ไม่อย่างนั้น จะมายืนอยู่ตรงหน้าเธอได้อย่างไร

แล้วเมื่อหันไปด้านข้างก็พบกับหญิงสาวในชุดสีขาว
ที่เดินมาหยุดยืนอยู่ข้างๆเธอไม่ห่างไกลด้วยสีหน้าตกใจไม่แพ้เธอเลย

เพื่อนรักของเธอกำลังอยู่ในชุดเจ้าสาวสีขาวที่เธอเป็นคนออกแบบและตัดเย็บให้
ใบหน้าถูกตกแต่งอย่างปราณีตงดงามราวกับเจ้าหญิง

แล้ววันนี้สองสาวกลับพบว่ามีสะพานที่เชื่อมระหว่างเรือนหลังงาม
ที่ทั้งสองพักอยู่กับเรือนหลังใหญ่ที่เคยตั้งใจให้เป็นเรือนหอรอรักของทั้งสองคู่ชูชื่น…

ยิ่งในยามค่ำคืนเช่นนี้ยิ่งทำให้รู้ว่าสะพานดังกล่าวมิใช่สะพานธรรมดาอย่างที่เคยเห็นมา
ถ้าจะเรียกมันว่าสะพานดาวก็คงไม่ผิดนัก เพราะว่าตลอดเส้นทางมีแสงระยิบระยับ
สวยงามจับตาราวกับดวงดาวบนท้องฟ้าส่องแสงกะพริบอยู่…
โดยที่ปลายทางที่่แท้จริงจะสิ้นสุดตรงไหนนั้น สองสาวไม่อาจรู้ได้
รู้แค่ว่า ณ ที่นั้น มีใครรอเธอทั้งสองอยู่

สิ้นรักกับปองขวัญจึงหันมามองหน้ากันแล้วยิ้มออกมาพร้อมน้ำตาที่เอ่อคลอด้วยความตื้นตัน
เมื่อรู้ว่าวันที่รอคอยมาเยือนทั้งสองโดยไม่ทันตั้งตัว
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง หรือว่านี่คือความฝัน

แต่ก็ช่างมันเถอะ จะจริงหรือฝัน เธอไม่สนใจหรอก…
ในเมื่อมือของพ่อที่กุมเธออยู่มันดูอบอุ่นเสียขนาดนี้ มันจะเป็นอะไรก็ช่างมัน…

“หนุ่ยคือแก้วตาดวงใจของพ่อ คือทุกสิ่งในชีวิตที่พ่อมี และไม่มีของมีค่าใด
ที่จะแทนค่าเทียมเท่าหนุ่ยได้…พระเจ้าสร้างหนุ่ย มอบหนุ่ยให้พ่อคุ้มครอง
จับมือพ่อ แล้วพ่อจะพาหนุ่ยเดินไปสู่ปลายทางที่ดี…”

สิ้นรักยิ้มพร้อมกับพยักหน้า แล้วกระชับมือบิดาเอาไว้แน่น
รับรู้ได้ถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ที่ผู้เป็นบิดามอบให้เธอมาทั้งชีวิต

ปองขวัญก็เช่นกัน ถึงแม้บิดาของเธอจะไม่ค่อยมีเวลาสนใจหรือเอาใจใส่ลูกสาวอย่างเธอ
แต่เวลานี้ ผู้เป็นบิดากลับทำให้เธอรู้ว่า ไม่มีอุ้งมือไหนจะยิ่งใหญ่เท่าอุ้งมือของผู้เป็นพ่อ
ยิ่งถ้อยคำที่พ่อของเธอพูดกับเจ้าบ่าวของเธอยามที่ส่งมือเธอให้กับเขา
เมื่อพาเธอเดินข้ามสะพานดาวนับพันดวงมาจนถึงปลายทางได้สำเร็จ
มันทำให้น้ำตาแห่งความตื้นตันและซาบซึ้งใจไหลออกมาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
เพราะปลายทางที่ว่าคือปลายทางที่เดินผ่านสะพานดาว
แล้วก้าวสู่เส้นทางที่มีคบเพลิงที่คอยให้แสงสว่างไปตลอดทาง

เมื่อสุดทางจึงพบสถานที่ที่แสนงดงาม
มีศาลาสีชมพูกลางสวนกุหลาบขาวปรากฏต่อสายตาของเธอและเพื่อนของเธอ…

สองสาวยืนมองภาพกุหลาบขาวนับพันดอกที่กำลังชูช่อบานสะพรั่ง
พร้อมกับแขกเหรื่อที่ยืนล้อมสวนกุหลาบราวกับจะมาร่วมเป็นสักขีพยาน
ในพิธีแต่งงานของทั้งสองคู่…

ซึ่งพิธีดังกล่าวจะเกิดขึ้นในศาลาที่อยู่ตรงใจกลางของสวนกุหลาบขาว
ในนั้นมีม่านสีขาวกั้นกลางเอาไว้ มีกลุ่มคนประมาณสิบคนล้อมวงอยู่อีกฟากฝั่งหนึ่งของม่าน…
บิดาของสิ้นรักและปองขวัญจึงจูงมือลูกสาวเข้าไปยังศาลาดังกล่าว
ยังอีกฟากฝั่งหนึ่งที่ไม่มีใคร หากมีที่นั่งอย่างดีไว้รอรับแล้ว…
ซึ่งก็พอดีกับที่โต๊ะอีหม่าม ผู้นำศาสนาเดินเข้ามาถามเจ้าสาวทั้งสองว่า

“หนูจะรับนายหัวรังสิมันต์ ยุรยวรวงศ์ ลูกชายของนายนาลันธ์ ยุรยวรวงศ์ผู้ล่วงลับ
กับนางแพรวา ยุรยวรวงศ์ เป็นสามีหรือไม่…”

สิ้นรักยิ้มสดใสก่อนจะพยักหน้ารับอย่างเต็มอกเต็มใจ

“รับค่ะ…”หลังจากนั้นโต๊ะอีหม่ามก็หันไปถาม ปองขวัญ

“หนูจะรับนายวายุ อาทิตยะ ลูกชายนายภูผา อาทิตยะ
กับศาสตราจารย์แพทย์หญิงนารา อาทิตยะ ผู้ล่วงลับไปแล้วหรือไม่…”
ปองขวัญยิ้มรับพร้อมกับพยักหน้า

“รับค่ะ…”เป็นอันว่าเสร็จพิธี เพราะก่อนหน้าที่โต๊ะอีหม่ามจะเข้ามาถามเจ้าสาวนั้น
ได้ถามทางฝ่ายเจ้าบ่าวทั้งสองแล้วว่าจะรับเจ้าสาวในนามดังกล่าวเป็นภรรยาหรือไม่…

ซึ่งทางเจ้าบ่าวต่างยอมรับเช่นกัน…

ดังนั้นทั้งทางเจ้าบ่าวและเจ้าสาวจึงลงลายมือชื่อเพื่อยืนยันเป็นหลักฐานในเอกสารทางศาสนา
ว่าทั้งสองได้ตกลงเป็นสามีภรรยากันแล้วพร้อมด้วยลายมือชื่อของบิดา
และพยานพร้อมด้วยโต๊ะอีหม่าม

หลังจากนั้นบิดาทั้งสองของสองเจ้าสาวจึงลุกขึ้นจับมือลูกสาว
แล้วพาเดินไปหาเจ้าบ่าว เมื่อทั้งสองเป็นสามีภรรยาที่ถูกอนุมัติแล้ว…

“ฉันรู้ว่าในสักวันนึงต้องมีวันนี้ วันที่จะมีใครสักคนรักลูกสาวของฉัน
ฉันไม่หวังอะไร มากไปกว่า ขอให้เขาคนนั้นเป็นคนดี ไม่ทำให้ลูกสาวที่ฉันรักเสียใจ
รักเธออย่างที่ฉันรัก…ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ จับมือเธอไว้ให้แน่น อย่าปล่อยเด็ดขาด…”

จบคำพูดนั้นเจ้าบ่าวของเธอก็พยักหน้าด้วยแววตาหนักแน่นมั่นคง
ก่อนจะรับมือของเธอที่พ่อของเธอส่งให้ไปกุมเอาไว้แน่น
แล้วส่งยิ้มที่ดูอบอุ่นและสวยงามที่สุดมาให้เธอ

“พี่จะไม่มีวันปล่อยมือเธอเด็ดขาด…”นั่นคือคำมั่นสัญญาจากปากของสายลมที่แสนดีของเธอ…
ก่อนจะหันไปทางเพื่อนสาวที่กำลังส่งยิ้มมาให้เธอ
สิ้นรักได้แต่นึกถึงถ้อยคำเมื่อครู่ของบิดาขณะที่กล่าวกับเจ้าบ่าวของเธอว่า

“หน้าที่ของฉันเหมือนจะสิ้นสุดลงหลังจากที่ส่งมือลูกสาวที่ฉันรักสุดดวงใจให้เธอปกป้องต่อ…
ฉันไว้ใจ เชื่อใจเธอ และจะไม่เข้าไปก้าวก่ายในกิจการปกครองครอบครัวของเธอ
ถ้าเธอยังคงจับมือลูกสาวของฉันเอาไว้อย่างมั่นคง…
พร้อมทั้งรักและดูแลครอบครัวของเธอได้เป็นอย่างดี…
ต่อจากนี้…รังของเธอจะมีรัก…รักษารักไว้ให้ดีนะ…”

เจ้าบ่าวของเธอพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม…
หลังจากนั้น เจ้าบ่าวของเธอก็พาเธอเดินออกจากศาลา
โดยอากิโกะยืนรออยู่หน้าศาลากับผู้เป็นสามี
พร้อมด้วยเจ้าแฝดและแขกคนอื่นๆที่มาร่วมงาน

หญิงสาวยื่นมงกุฏดอกกุหลาบขาวส่งให้รังสิมันต์
สิ้นรักมองภาพอากิโกะแล้วอดนึกไปถึงภาพฝันก่อนหน้านี้ไม่ได้
สรุปว่านี่เธอกำลังฝันหรือว่าความจริงกันแน่…

แต่เมื่อเจ้าบ่าวของเธอวางมงกุฏดอกกุหลาบขาวนั้นไว้บนศีรษะ
ที่มีผ้าคลุมสีขาวยาวระเรื่อยอยู่นั้น ทำเอาสิ้นรักถึงกับประหลาดใจปนดีใจ
หันไปทางอากิโกะ

…ดอกกุหลาบขาวที่เธอเห็นอากิโกะถืออยู่ในมือเมื่อวาน
กลายเป็นมงกุฏกุหลาบขาวนี่หรอกหรือ…

“ในที่สุด…ใบไม้สีเขียวก็ได้เจอและอยู่เคียงคู่กับดอกกุหลาบขาว
ที่รอคอยมานานสักทีนะคะคุณหมอ…ฉันดีใจด้วยจริงๆค่ะ…”

อากิโกะกล่าวกับเจ้าบ่าวก่อนจะหันไปยิ้มให้กับเจ้าสาวขณะกล่าวว่า

“ชุดเจ้าสาวสีขาวกับกุหลาบขาวบริสุทธิ์ สีของความมั่นคงในรักแท้…
คุณหมอเขาตั้งใจทำทุกอย่างเพื่อเจ้าสาวของเขา ไม่เว้นแม้กระทั่งมงกุฏกุหลาบขาว…
ศาลาแห่งนี้ หรือเรือนเอื้องผึ้งเมื่อครู่ เหยี่ยวก็แค่ช่วยออกแบบจัดงานให้เท่านั้นเองค่ะ
ส่วนสะพานดาว…คงต้องยกความดีความชอบให้พี่ลมเขาค่ะ…
เห็นบอกว่าอยากทำให้เจ้าสาว…ใช่มั้ยคะพี่ลม…”ปองขวัญที่ได้ยินดังนั้น
ถึงกับเงยหน้าขึ้นมองเจ้าบ่าวของตนที่กำลังกุมมือของเธออยู่ด้วยแววตาขอบคุณ

เขารู้ได้ไงว่าสะพานดาวคือความฝันของเธอ…ต้องเป็นไอ้สิ้นแน่ๆที่บอก…
ไวเท่าความคิด ปองขวัญหันไปทางเพื่อนรักทันที สิ้นรักได้แต่ส่ายหน้าไหวๆ

“ฉันไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ก็กำลังถูกเซอร์ไพร้เหมือนแกนี่แหล่ะ…”

“พี่สืบรู้มานานแล้วล่ะครับ…ก็เคยบอกไว้ว่าจะสร้างสะพานดาวเพื่อให่เราได้เดินไปมาหากันไง…”

และแล้วความทรงจำในวันวานก็ผุดขึ้นในมโนภาพของปองขวัญ…

“ขอบคุณนะคะพี่ลม ขอบคุณเหลือเกิน…”

“ยังไม่หมดเท่านี้หรอก…”วันนี้รอยยิ้มของเจ้าบ่าวของเธอทำไมถึงได้น่ามองขนาดนี้นะ
เธอว่าวันนี้เขาหล่อและเท่กว่าวันไหนๆเลยเชียวล่ะ

“นี่รักไม่ได้ฝันไปใช่มั้ยคะพี่รัง…”สิ้นรักหันไปถามรังสิมันต์ให้แน่ใจ

“แน่นอนที่สุดครับ…นี่คือความจริง…”พูดจบรังสิมันต์ก็ก้มลงหอมแก้มเจ้าสาวของตน
ที่ถูกอนุมัติสำหรับเขาแล้วทันที…สัมผัสดังกล่าวทำให้สิ้นรักถึงกับหน้าแดง เลือดสูบฉีดขึ้นหน้า
ยิ่งมีเสียงโห่ร้องจากกองเชียร์ตามมายิ่งทำให้หญิงสาวเขินอายมากขึ้นไปอีก

…มันคือความจริงจริงๆด้วย…
เธอไม่ได้ฝันไป…ไม่ได้ฝันไปใช่ไหมเนี่ย…

“หอมกลับเลยค่ะน้องสิ้นของเจ๊…”เสียงเจ๊เริศดังขึ้น…เสียงอื่นก็ร้องเชียร์ตามลั่น
สิ้นรักถึงกับทำอะไรไม่ถูก รังสิมันต์ที่สูงกว่าเจ้าสาวอยู่มากถึงกับยิ้ม
จะย่อตัวให้เจ้าสาวห้อมแก้มเดี๋ยวภาพถ่ายออกมาไม่สวยอีก
จึงถือโอกาสอุ้มเจ้าสาวขึ้นพร้อมกับพูดว่า

“ได้เวลาจุมพิตเจ้าชายแล้วนะครับเจ้าหญิงนิทราขี้แย…”นี่พี่รังรู้ได้ไง
ว่าเธอหลับทั้งๆที่ร้องไห้ก่อนหน้านี้ สงสัยมีมือดีขี่ม้าสามศอกไปฟ้องแน่ๆ

“เร็วๆสิครับ กล้องหลายตัวเตรียมพร้อมแล้วเห็นมั้ย…”สิ้นรักหน้าแดงไม่กล้ารับคำท้า

“งั้นพี่จูบโชว์นะ…”ได้ยินดังนั้นสิ้นรักก็รีบเอาจมูกปัดป่ายที่แก้มของรังสิมันต์
แบบรวดเร็วราวกับฟ้าแลบทันที กะไม่ให้ใครได้กดชัตเตอร์ทัน
โดยหารู้ไม่ว่า เพื่อนชายอย่างเต็มกมล ช่างภาพมืออาชีพไม่มีวัน
ให้ภาพดังกล่าวหลุดนิ้วชี้ไปได้ง่ายๆแน่

“นี่เขาเรียกว่าหอมแก้มเหรอครับคนสวย…หอมแก้มน่ะต้องอย่างนี้…”
พูดเสร็จก็สาธิตให้ดูอีกรอบ เรียกเสียงหัวเราะเฮฮาจากแขกในงานลั่น

“ปล่อยรักลงเถอะค่ะ…”

“ไม่ปล่อย นอกจากจะยอมหอมพี่ซะดีๆ…”

“ก็หอมไปแล้ว…”

“ไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย…”

“ก็ได้ๆ…”พูดจบสิ้นรักก็หอมแก้มรังสิมันต์อีกครั้ง
คราวนี้ตากล้องมือช้าก็ได้ภาพไปตามที่ต้องการ…

“แล้วพี่ลมล่ะ จะปล่อยให้อีกคู่แย่งซีนได้ยังไง…เร็วเร้ว…หอมแก้มเจ้าสาวโชว์หน่อย…”
เสียงของแมงมุมดังขึ้น…

“นั่นน่ะสิ…เสียหน้าแย่…”พสุธร้องรับต่อจากภรรยาท้องโย้
ผู้อุ้มลูกรักของเขาเอาไว้อย่างอดทนทันที…

“ว่าไงปองขวัญ เธอจะให้พี่หอมเธอก่อน หรือเธอจะหอมพี่ก่อน…ว่า”

พูดไม่ทันจบคำ ปองขวัญก็รีบหอมแก้มเจ้าบ่าวทันที ทำเอาคนพูดตกใจ
ตาเบิกโต เพราะไม่ทันตั้งตัว เสียงฮือฮาจึงดังลั่น…

“โอ้ย งานนี้ พี่ลมโดนปาดหน้า…”พสุธถือโอกาสแหย่พี่ชาย

“ใครว่าปาดหน้า ไอ้เมื่อกี้เขาเรียกว่าปาดแก้ม แล้วอันนี้น่ะเขาเรียกว่าปาดปาก…”
พูดจบก็จุ๊บที่ปากของเจ้าสาวหนึ่งที เรียกเสียงเฮฮาและเสียงปรบมือดังลั่นศาลา…

“นี่มงกุฏของราชินีแห่งสายลมครับ…”พูดจบ วายุก็รับมงกุฏรูปดาวที่ทำจาก
เพชรน้ำร้อยหลายเม็ดที่ถูกออกแบบมาอย่างดีวางลงบนศีรษะที่มีผ้าคลุมสีขาวอยู่ของปองขวัญ…

“รับรองว่าไม่มีวันเหี่ยวแน่ๆ…”ถ้อยคำนั้นเหมือนจะไปสะกิดใจใครบางคนเข้าพอดี
และเหมือนคนโดนสะกิดจะรู้ตัว เกิดอาการคันไม้คันมือ คันปากขึ้นมา

“ถึงจะเหี่ยว ฉันก็พร้อมจะทำอันใหม่ให้เจ้าหญิงของฉัน
เพราะกุหลาบขาวที่นี่ไม่มีวันตาย…”เสียงของรังสิมันต์แหวกสายลมกระทบหูวายุเต็มๆ
เรียกรอยยิ้มของเจ้าหญิงที่ลงมายืนบนพื้นเรียบร้อยแล้วอย่างสิ้นรัก

เพราะพี่รังช่างรู้ใจเธอนัก เขาจำได้ว่าจริงๆแล้วเธอชอบกุหลาบขาว…
ต่อให้ต้องเหี่ยว กุหลาบขาวก็ยังคงงดงามในใจเธอเสมอ…

“ใช่แล้วล่ะรัง…กุหลาบขาวที่นี่ไม่มีวันตาย…”เสียงยืนยันนั้นเป็นเสียงของแพรวา
ที่กำลังถือกล่องกำมะหยี่อยู่ในมือ…

“แม่มีความจริงบางอย่างที่ต้องบอกลูกกับหนูรัก…”
พูดเสร็จก็หันไปทางบันลือ อีกฝ่ายจึงยิ้มก่อนจะพยักหน้านิดนึง…

“กุหลาบขาวที่นี่ พ่อกับแม่ของสิ้นรักเป็นคนปลูกไว้เพื่อเป็นพยานรัก
เป็นสื่อรักของทั้งสองที่มีต่อกัน…เมื่อก่อนทั้งสองเคยมาพักอาศัยอยู่ที่นี่จนมีลูกด้วยกัน
ที่จริงแล้วสิ้นรักคลอดที่นี่ เกาะแห่งนี้เคยชื่อว่าเกาะรัก
เพราะกุหลาบขาวเหล่านี้เป็นสื่อแห่งความรัก เนื่องจากเมื่อก่อนที่นี่ไม่มีใคร
พ่อกับแม่ของสิ้นรักเข้ามาบุกเบิก…แต่หลังจากรติเสียชีวิต
บันลือก็หอบลูกไปอยู่ที่เกาะลันตาให้แม่ช่วยเลี้ยงดู…หลังจากนั้นก็ไม่กลับมาที่เกาะนี้อีกเลย…
เกาะแห่งนี้จึงถูกทิ้งร้างจนกระทั่งพ่อของลูกเสีย แล้วบันลือหอบลูกสาวหายไป…
แม่ก็กลับมาพลิกเกาะรักให้กลับมาเป็นเกาะสวรรค์ แล้วตั้งชื่อให้ใหม่ว่าเกาะรัง…
นี่คงเป็นเหตุผลที่พ่อบันของหนูอยากให้ที่นี่เป็นเรือนหอของลูกสาว…”

ประโยคหลังแพรวาหันไปพูดกับสิ้นรักพร้อมรอยยิ้มบาง

…เมื่อก่อนเธอช่างเห็นแก่ตัวนัก ขนาดชื่อเกาะยังเปลี่ยนมาตั้งตามชื่อลูกชายคนโตของตัวเอง…

แม้เกาะแห่งนี้จะเป็นกรรมสิทธิ์ของสามีของเธอก็จริง
แต่จริงๆแล้วคนที่ควรเป็นเจ้าของ มันควรจะเป็นลูกสาวของบันลือมากกว่า…

เพราะบันลือเป็นคนยกทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่ที่เขาร่วมสร้างกันมากับสามีของเธอ
ให้ตกเป็นของเธอโดยไม่ยอมเอาอะไรติดมือไปแม้แต่นิด…

“แม่แพรวขอโทษสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมานะหนูรัก…
อะไรที่ควรจะเป็นของหนู แม่แพรวจะยกมันคืนให้กับหนู…”
ถ้อยคำนั้นทำเอาสิ้นรักถึงกับน้ำตาคลอ…

“แล้วนี่ก็เป็นอีกอย่างที่พ่อของเจ้ารังตั้งใจไว้ก่อนตาย…”

พูดพลางแพรวาก็ยื่นกล่องกำมะหยี่ในมือให้ลูกชายพร้อมสั่งเสียงนุ่ม

“สวมให้น้องสิรัง…”รังสิมันต์เปิดกล่องกำมะหยี่นั้นออกก่อนจะยิ้มออกมา

“นี่ไม่ใช่แหวนบุษราคัม แต่เป็นแหวนเพชรสีเหลืองน้ำดีที่หายากมาก…”

แพรวาเฉลย ไม่ใช่เพราะเหตุผลว่าแหวนดังกล่าวเป็นแหวนเพชรน้ำดีที่หายากหรอก
ที่ทำให้เธอหวงมันหนักหนา
แต่เป็นเพราะเหตุผลทางใจและชื่อที่สลักอยู่ที่แหวนวงนั้นต่างหาก
ที่ทำให้เธอไม่อาจคืนให้กับลูกสาวเจ้าของพร้อมเงื่อนไขที่สามีวางไว้
คือต้องการให้เป็นแหวนหมั้นระหว่างลูกชายคนโตของตนกับสิ้นรัก…

ทว่า วันนี้ เธอยอมทุกอย่าง ปล่อยวางได้แล้ว…

“ขอบคุณค่ะ…”สิ้นรักกล่าวขอบคุณจากหัวใจ รังสิมันต์จึงจับมือบาง
แล้วค่อยๆบรรจงสอดแหวนวงงามของบิดาที่มารดาของเขาหวงแหนหนักหนา
ไว้ตรงนิ้วนางข้างซ้ายของสิ้นรักแล้วยกนิ้วนั้นขึ้นจุมพิตเบาๆ…

สิ้นรักมองแหวนวงงามด้วยความตื้นตันใจ
น้ำตาเอ่อคลอเมื่อยามที่หันไปทางแม่แพรวของเธอ…

แหวนเพชรสีเหลืองวงนี้ช่างงดงามเหลือเกิน
เธอไม่คิดไม่ฝันเลยว่าแหวนเพชรที่เขาพูดถึงกันจะงดงามถึงเพียงนี้…

พ่อลันธ์ช่างคิดเหลือเกิน…นี่ถ้าท่านยังมีชีวิตอยู่ เธอก็อยากจะกอดท่าน
อยากจะขอบคุณท่านที่ยกแหวนวงนี้ให้เป็นแหวนหมั้นระหว่างเธอกับพี่รัง…

เพราะตั้งแต่จำความได้ พ่อลันธ์รักและตามใจเธอมาตลอด

ความรัก ความทรงจำในอดีตระหว่างครอบครัวเธอกับครอบครัวพี่รังหวนกลับมาอีกครั้ง…
ภาพเก่าๆเมื่อยังเยาว์ยังคงตราตรึงในหัวใจเธอไม่เคยหายไปไหนเลยจริงๆ…
มันยังคงงดงามจนเธออยากกลับไปวันนั้นอีกครั้ง

…แม้เธอจะกำพร้าแม่ แต่เธอก็ได้แม่แพรวมาทดแทน ได้พ่อลันธ์มาต่อเติม
และจากนี้ไปเธอกำลังจะได้กลับมาใช้ชีวิตกับครอบครัวของพี่รัง
เราทั้งหมดจะกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้งหนึ่ง

แม้วันนี้จะขาดพ่อลันธ์ไป แต่แหวนวงนี้จะเป็นตัวแทนความรักความห่วงใยของท่านที่มีต่อเธอ

…สิ้นรักก้มมองแหวนที่นิ้วนางของซ้ายของตัวเองพร้อมน้ำตาแห่งความซาบซึ้งใจ
ที่ไหลหลั่งลงมา รังสิมันต์ช่วยซับน้ำตานั้นให้กับเธอพลางกล่าวว่า

“…พ่อพี่คงรักมันมาก…รักษาเอาไว้ให้ดีนะครับ…”

“ค่ะ…รักจะรักษาไว้ตลอดไป”สิ้นรักยิ้มพร้อมพยักหน้า…
ก่อนจะถอดสร้อยคอที่เธอห้อยตลอดเวลาออกมา
แล้วหยิบแหวนเงินธรรมดาที่เป็นจี้ของสร้อยคอขึ้นมา…
เหลือบตาไปทางบิดานิดนึงแล้วหันมายิ้มให้เจ้าบ่าวของตน

“พ่อบันบอกว่า…แหวนวงนี้พ่อบันใช้หมั้นแม่…แม้มันจะน้อยราคา
แต่มันมีค่ามากสำหรับรัก…เพราะมันคือตัวแทนความรักของพ่อกับแม่
รักรักมันยิ่งกว่าอัญมณีชิ้นไหนๆ…รักอยากมอบมันให้พี่รังไว้เป็นตัวแทนความรักของรักค่ะ…”

พูดจบสิ้นรักก็จับมือรังสิมันต์ขึ้นมาแล้วสวมแหวนวงนั้นไว้ในนิ้วก้อยข้างขวาของเขา
ซึ่งพอดิบพอดี พอเหมาะพอเจาะจนน่าแปลกใจ

รังสิมันต์เองก็อดประหลาดใจไม่ได้เช่นกัน…
อีกทั้งแหวนวงนี้เขาเคยเห็นยัยตัวเล็กของเขาสวมใส่เป็นจี้ห้อยคอมาตลอด
จึงอดดีใจไม่ได้ที่วันนี้เขาจะเป็นผู้ดูแลมันแทนเธอ…

“พี่จะดูแลมันอย่างดี…”สิ้นรักยกมือหนาขึ้นแนบแก้มพร้อมรอยยิ้มหวาน
ก่อนจะค่อยๆปล่อยมือนั้นลง

รังสิมันต์จึงหยิบสร้อยคอกับสร้อยข้อมือและต่างหูเข้าชุดที่มารดาของเขา
คงสั่งทำพิเศษให้เข้ากับแหวนเพชรสีเหลืองของบิดาของเขาให้กับสิ้นรัก

“แม่สั่งทำพิเศษเพื่อสะใภ้ใหญ่ที่แม่รอคอยมานานจ๊ะ…”
แพรวากล่าวเมื่อเห็นว่าสะใภ้ใหญ่ของตนเหมาะสมกับชุดเครื่องเพชรดังกล่าวมาก
แสดงว่าสามีของเธอตาถึง จึงรู้ว่าสะใภ้ใหญ่ของตนเหมาะกับอัญมณีชิ้นไหน…

“ขอบคุณค่ะแม่แพรว ขอบคุณค่ะพ่อบัน”แพรวาและบันลือหันมายิ้มให้กัน
ร่องรอยบาดหมางในอดีตจืดจางลงด้วยความรักและเข้าใจ…

“ขอบคุณนะคะพี่รังที่ทำให้รักมีวันนี้…ขอบคุณค่ะ”
รังสิมันต์ยิ้มพร้อมกับดึงร่างเล็กเข้ามากอด เสียงปรบมือดังก้อง…
ก่อนจะเงียบลงอีกครั้งเมื่อตามตะวันลากรถเข็นของตะวันแหวกเข้ามาข้างๆคู่ของวายุ

“ยุ่งกับการวางแผนวางยาสลบเจ้าสาวกับสร้างสะพานดาวจนลืมอะไรไปรึเปล่่าไอ้น้องชาย…”

ตะวันกล่าวพร้อมกับยื่นกล่องกำมะหยี่ในมือส่งให้น้องชาย
วายุจึงรับไว้แล้วเปิดดู เห็นเครื่องเพชรชุดใหญ่ของตระกูลก็ตกใจ

“พี่เอามาให้ผมทำไม…นี่มันเครื่องเพชรชุดใหญ่ที่แม่ตั้งใจไว้หมั้นหมายสะใภ้ใหญ่นี่พี่เพลิง…”
ตะวันยิ้มที่มุมปาก

“เครื่องเพชรชุดนี้เหมาะกับเจ้าสาวของแกมากกว่านายลม…
ว่าที่เจ้าสาวของพี่เขามีอัญมณีที่เหมาะกับเขาแล้ว…
ถ้าแม่ยังอยู่แม่ก็คงคิดไม่ต่างไปจากพี่หรอก…เพราะปองขวัญเหมาะกับเครื่องเพชรชุดนี้ที่สุด…”

เครื่องเพชรที่ครั้งหนึ่งปองขวัญเคยได้สวมโดยที่วายุเป็นคนนำไปสวมให้กับเธอ
ตอนนี้กลับเป็นเขาอีกครั้งที่นำมันมาสวมให้กับเธอในฐานะใหม่
ซึ่งไม่ใช่ในฐานะน้องชายของเจ้าบ่าวของเธอเหมือนในวันวาน

แต่เป็นในฐานะเจ้าบ่าวของเธอเอง แถมวันนั้นยังไม่มีแหวนเพชรเช่นวันนี้…

“ขอบคุณครับพี่เพลิง…”ตะวันส่ายหน้า

“แกทำเพื่อฉันมามาก แค่นี้มันยังน้อยไป…”วายุซาบซึ้งในน้ำใจของพี่ชาย
ก่อนจะหันไปยิ้มกับตามตะวัน ว่าที่พี่สะใภ้ใหญ่ของบ้านที่ดูจะมีความสุข
ที่น้องสาวแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝา เป็นพี่สาวที่ไหนก็ย่อมมีความสุขกันทั้งนั้น

“พี่ดีใจด้วยนะปอง…”ตามตะวันจับมือน้องสาวเอาไว้แน่น

“ขอบคุณค่ะพี่ตาม…”ปองขวัญกล่าวจบก็สวมกอดพี่สาวเอาไว้

“คราวนี้เกาะรังที่เคยชื่อว่าเกาะรัก ก็จะกลายเป็นเกาะรังรัก…
เมื่อรังกับรักได้มาอยู่ด้วยกันสักทีนะครับ…”

เสียงนั้นดังมาจากฑยาวีย์…ซึ่งเป็นน้องชายของรังสิมันต์ (พระเอกในเรื่องรังรักของเราไง)…
เรียกทุกสายตาให้หันไปทางเขา…ก่อนจะเห็นด้วยกับถ้อยคำนั้น

“ใช่แล้วค่ะ…เกาะรังรัก…เกาะนี้น่าจะชื่อว่าเกาะรังรักนะคะ…”

อากิโกะเสริมต่อจากสามี…เพราะบ้านของเธอเองก็ชื่อว่าบ้านรังรัก
เนื่องจากเธอชื่อเหยี่ยว บ้านของเธอ จึงชื่อว่าบ้านรังรัก

ส่วนบ้านของหงส์ น้องสาวฝาแฝดผู้ล่วงลับของเธอ ได้ชื่อว่า วิมานรัก
เพราะหงส์ควรอยู่บนวิมาน ส่วนรังก็ควรคู่กับรัก…

“แม่ก็ว่าดีนะ…เห็นด้วยทุกประการ…”แพรวาเห็นด้วยกับความคิดของลูกชายคนเล็ก

…มติเป็นเอกฉันท์ว่าเกาะรัง ได้ถูกตั้งชื่อให้ใหม่ว่าเกาะรังรัก…

“เดี๋ยวครับ…เรื่องยังไม่จบ…”เสียงห้าวดังแทรกขึ้น
ทุกคนจึงหันไปยังทิศทางเดียวกันของที่มาของเสียง
เห็นภาพบุรุษหน้าตาคมเข้มในชุดสีขาวแลดูสุภาพ
ในมือถือกระถางต้นกุหลาบที่มีดอกสีสันแปลกตา…
ฉุดรอยยิ้มดีใจจากหญิงสาวหนึ่งในกลุ่มแขกเหรื่อของงานแต่งทันที…

“ฉันก็ว่าสิ ว่าทำไมนายถึงยังมาไม่ถึง…กังวลใจอยู่เหมือนกัน…
เพราะหมอกานต์กับน้ำร้อยและคนอื่นๆมาถึงตั้งแต่เมื่อวานแล้ว…”
รังสิมันต์กล่าวขึ้นเมื่อเห็นว่าเป็นใคร

“ไม่มาไม่ได้หรอกครับ…ผมกับระริน เราเคยทดลองเพาะพันธุ์กุหลาบด้วยกัน
จนได้สายพันธุ์ใหม่ เจ็ดต้นเจ็ดสีครับ…เราสองคนตั้งใจทำ
เพื่อมอบให้กับลูกสาวสุดที่รักของคุณป๋าของพวกเราในวันแต่งงานครับ…
นี่ครับคุณหนู กุหลาบสายรุ้ง…”ประโยคหลังเวนไตยหันไปยิ้มให้สิ้นรัก

“ขอบใจมากเลยครูครุฑ…ระรินด้วย…”เวนไตยหน้าซึมนิดนึงเมื่อนึกถึงระริน…

“จะให้ผมนำมันไปวางไว้ที่ไหนดีครับ…”คำถามนั้นทำให้สิ้นรักถึงกับคิดหนัก…
รังสิมันต์จึงช่วยออกความคิดให้

“ที่เรือนหอสิ…นำไปไว้ที่เรือนหอได้เลยนะเวนไตย…
แล้วฉันกับคุณหนูของนายจะช่วยกันนำไปลงดินด้วยกัน…ขอบใจจริงๆ…”

“งั้นตามนี้นะครับคุณหนู…”เวนไตยหันไปถามสิ้นรักย้ำให้แน่ใจ

“จ๊ะ…แต่คงต้องหาผู้ช่วยแล้วล่ะ ตั้งเจ็ดกระถางแหน่ะ…
ว่าแต่ยกมาได้ยังไงเนี่ย…”เวนไตยจึงชี้ไปยังคำตอบ ซึ่งก็คือรถลาก…

“เดี๋ยวซาเนียอาสาช่วยเองค่ะ…”เสียงใสดังแทรกผ่านผู้คน
เรียกสายตาของเวนไตยให้หันไปทางเจ้าของเสียงทันทีด้วยแววตาฉายแสง

“งั้นพี่ปุ๊ขอแจมด้วยคนนะครับน้องซาเนีย…”เสียงของเต็มกมลดังตามมาติดๆ…

เวนไตยเห็นหนุ่มหน้าตาดี ดูสะอาดสะอ้าน หน้าใสกิ๊ง
ผู้มีกล้องถ่ายรูปคล้องคอที่ขึ้นมายืนอยู่ใกล้ๆกับซาเนียแล้วให้หงุดหงิด…

“แล้วไม่คิดจะถ่ายรูปน้องแล้วรึไงพี่ปุ๊…”ปองขวัญสะกัดดาวรุ่งที่กำลังพุ่งแรงทันที…
ทำเอาคนเป็นพี่ชายฝาแฝดหันมาแยกเขี้ยวใส่

“ปล่อยฉันไปเถอะไอ้ปอง…แกลงไปแล้วก็อย่ามาหาเรื่อง
ขัดแข้งขัดขาคนอื่นเค้า…ให้เค้ามีโอกาสได้ลงบ้างอะไรบ้าง…”

ถ้อยคำ น้ำเสียงและสีหน้าของคนพูดทำเอาคนฟังอีกหลายๆคน
ถึงกับหัวเราะเฮฮา เว้นแต่เวนไตยเท่่านั้นที่ขำไม่ออก…

“งั้นปองก็ขอให้พี่ปุ๊ปลูกต้นรักให้เป็นดอกให้ได้ก็แล้วกันนะ…
เพราะปองเห็นพี่ปลูกต้นอะไรก็ไม่ขึ้นสักต้นนอกจากต้นแห้ว…งิงิงิ…”

ปองขวัญได้ทีหาเรื่องพี่ชายฝาแฝดด้วยความเคยชิน

“ว่าแต่ฉัน แกก็เพิ่งเลิกเป็นเจ้าของไร่แห้วก็วันนี้แหล่ะน่าไอ้ปอง…
นี่ถ้าพี่ลมไม่มาขอ แกก็คงนอนกอดกระป๋องแห้วรออยู่บนคานน้อยต่อไป…ฮ่าๆๆ”

เสียงหัวเราะของเต็มกมลไม่ได้น้อยหน้าปองขวัญก่อนหน้านี้เลย…
ทว่าบทสนทนากัดจิกของสองพี่น้องต้องจบลง
เมื่อวายุฉวยข้อมือเจ้าสาวให้เดินเลี่ยงออกมาเมื่อเห็นเงาบางอย่าง
กำลังคุๆอยู่แถวๆกระถางกุหลาบสายรุ้ง

“พี่ว่าเราไปที่งานเลี้ยงกันเถอะ…ปล่อยให้คนบนคานเขาเคลียร์กันเองดีกว่า
เรามันคนใต้คาน ยุ่งมากเดี๋ยวคานจะทับเอานา”

วายุกระซิบบอกเจ้าสาวเบาๆทว่าปองขวัญไม่ขำเพราะกำลังตกใจกับคำว่างานเลี้ยง
ก่อนจะหันไปทางสิ้นรักที่หันมาทำหน้างงเช่นกัน

“ก็พี่บอกแล้วว่่า เรื่องมันยังไม่จบแค่นี้…ไปกันเถอะ…”

และแล้วเหล่าแขกเหรื่อในงานก็เดินตามสองคู่บ่าวสาวไปยังงานเลี้ยง
ที่ถูกจัดขึ้นริมชายหาด ทำเอาเจ้าสาวทั้งสองที่กับอ้าปากอีกครั้ง
กับภาพสถานที่ มันดูน่่ารักตามที่เคยจินตนาการเอาไว้เลย…

“สวยจังเลยค่ะพี่รัง…”สิ้นรักเอ่ยออกมาด้วยสีหน้ามีความสุข

“สวยมาก สวยอย่างที่วาดภาพไว้เลยค่ะพี่ลม…”ปองขวัญชื่นชม
ภาพสถานที่จัดงานแล้วหันไปยิ้มขอบคุณเจ้าบ่าวของตน

“อากิเค้าเป็นคนจัดให้…งานไหนงานนั้น ไม่มีผิดหวัง…”
วายุออกปากชมน้องสาวของตน…

“ว่าแต่เราไปช่วยกันทำช็อกโกแล็ตแจกแขกในงานกันเถอะ…”

“อะไรนะคะ…”ปองขวัญถามด้วยแววตาตกใจ

“ก็ที่เราตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ไงครับ…ไปครับ ไปเปลี่ยนชุดกัน…”
แล้ววายุก็ช่วนเจ้าสาวของตนไปเปลี่ยนชุดกุ๊กและผู้ช่วยกุ๊ก
ที่สิ้นรักออกแบบไว้ให้ก่อนหน้านี้ทันที ทิ้งคู่ของรังสิมันต์มองตาม

“เราก็ต้องเปลี่ยนชุดเหมือนกันนะครับ…เพราะเดี๋ยวพี่มีโชว์
ทำเค้กแจกแขกในงาน…และเราต้องช่วยพี่ทำด้วย…”สิ้นรักถึงกับยิ้มกว้าง
นึกว่่าพี่รังของเธอจะลืมความฝันของเธอไปเสียแล้ว

“พี่รังน่ารักจังเลยค่ะ จัดแจงทุกอย่างให้หมดเลย รักแทบไม่ต้องทำอะไรสักอย่าง…”
รังสิมันต์จับมือเจ้าสาวแล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มบางว่า

“สำหรับความสุขของเธอ พี่ยินดีทำให้…ขอให้บอกพี่…แล้วพี่จะจัดหาให้
ต่อให้ต้องเหน็ดเหนื่อยและลำบากสักแค่ไหนก็ตาม…”
สิ้นรักยิ้มน้ำตาคลอเบ้า

“นี่รักไม่ได้ฝันไปใช่ไหมคะ…ไม่ได้ฝันไป…”สิ้นรักถาม เพราะไม่แน่ใจ
ว่าเธอกำลังฝันไปรึเปล่า…เพราะฝันก่อนหน้านี้ มันทั้งทำให้เธอมีความสุข
สมหวังแต่กลับจบด้วยน้ำตา…แล้วตอนนี้ล่ะ
ตอนนี้เธอกำลังฝันหรือกำลังตื่นกันแน่…

“งั้นมองหน้าพี่ แล้วบอกกับพี่ ว่าพี่ที่อยู่ตรงหน้าเธอ…คือความจริงหรือความฝัน…”
สิ้นรักทำตามที่รังสิมันต์บอก คำตอบที่เธอได้รับ
คือรอยยิ้มและแววตาจริงใจจากเขา…

“พี่รังตรงหน้าคือความจริง…และถ้านี่คือความฝัน รักก็จะขอไม่ตื่นขึ้นจากฝันอีกเลย…”

“งั้นเราไปสานฝันด้วยกันนะครับ…”พูดจบรังสิมันต์ก็จูงมือสิ้นรัก
เพื่อไปเปลี่ยนชุดกุ๊กกับผู้ช่วยกุ๊กที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ด้วยกัน…





ทางด้านเวนไตยที่กำลังยกกระถางต้นกุหลาบไปยังเรือนหอของรังสิมันต์
โดยมีซาเนียและเต็มกมลเดินตามหลังมาติดๆนั้นชักเริ่มหงุดหงิดงุ่นงานในใจ
ทว่าเก็บอาการเอาไว้ได้ดีภายใต้ใบหน้าราบเรียบกับดวงตานิ่งสนิท…

“โรแมนติกจังเลยนะครับ ช่วยกันทดลองปลูกกุหลาบพันธุ์ใหม่ด้วยกันแบบนี้
คุณกับคุณระรินคงรักกันมาก…”เวนไตยที่กำลังก้มๆเงยๆ
จัดวางกระถางกุหลาบที่รับจากมือของซาเนียถึงกับชะงักมือนิดนึง
ก่อนจะตอบออกไปสั้นๆว่า

“ครับ…”

“ผมเสียใจด้วยนะครับสำหรับเรื่องคุณระริน…”เต็มกมลได้ข่าว
จากน้องสาวฝาแฝดมาก่อนหน้านี้ จึงกล่าวออกไปด้วยสีหน้าจริงใจ

“ระรินเป็นคนดี ที่ที่เธอกำลังอยู่ในตอนนี้ต้องเป็นที่ที่ดีกว่าที่นี่แน่นอนครับ…”
น้ำเสียงของคนพูดราบเรียบพอๆกับใบหน้า

“เสร็จแล้วเราไปที่งานเลี้ยงกันดีกว่าครับ…ไปครับน้องซาเนีย…”

เต็มกมลออกปากชวนเวนไตยเมื่องานตรงหน้าเสร็จแล้ว
ก่อนจะหันไปชวนหญิงสาวหนึ่งเดียวที่ดูจะเงียบและซึมลง

“เอ่อ…พี่ปุ๊ไปก่อนก็ได้ค่ะ…ซาเนียจะขอตัวกลับที่พักแป๊บนึง
พอดีว่ามีของขวัญจะมอบให้คู่บ่าวสาวด้วยน่ะค่ะ…”

“ให้พี่ไปด้วยนะครับ แล้วเราค่อยไปที่งานเลี้ยงด้วยกัน…”
ซาเนียหันไปทางเวนไตยก่อนจะเหลือบตาขึ้นมองเขานิดนึง
เมื่อไม่เห็นเขาจะพูดหรือแสดงสีหน้าอะไรออกมา
ซาเนียจึงลอบกลืนน้ำลายแล้วพยักหน้า

“ก็ได้ค่ะ…”

“งั้นผมกับซาเนียขอตัวก่อนนะครับ…”เต็มกมลหันไปยิ้มให้เวนไตย
แล้วเดินเคียงซาเนียออกไป ทิ้งให้เวนไตยมองภาพบาดตาบาดใจอยู่เบื้องหลัง…






“นี่ครับน้องซาเนีย…”เต็มกมลยื่นเค้กในมือส่งให้ซาเนียที่ยืนพิงต้นมะพร้าว
มองคู่บ่าวสาวด้วยรอยยิ้มบาง…

“ขอบคุณค่ะ…”หญิงสาวกล่าวขอบคุณขณะรับเค้กมา

“ลองชิมดูสิครับ พี่รังทำเค้กได้อร่อยจริงๆ…”เต็มกมลคะยั้นคะยอ
เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังยืนนิ่งอยู่ แถมแววตายังดูเลื่อนลอยไปที่ใดสักที่

“ค่ะ…”ซาเนียยิ้มให้ชายหนุ่มก่อนจะก้มลงตักเค้กใส่ปาก
เมื่อเค้กแตะลิ้น รอยยิ้มสดใสก็ผุดขึ้น

“อร่อยจริงๆด้วยค่ะ…ฝีมือไม่มีตก…แถมยังอร่อยกว่าครั้งไหนๆซะด้วย”

หญิงสาวชมออกมาจากใจจริง ก่อนจะมองภาพคู่บ่าวสาวที่กำลังสนุก
กับการช่วยกันทำเค้กและเดินแจกแขกในงาน…

อีกคู่นึงก็ช่วยกันทำช็อกโกแลต ดูเป็นงานแต่งที่อบอุ่นและน่ารัก
อบอวลไปด้วยบรรยากาศสดใส ปลอดโปร่ง ฟ้าฝนเป็นใจ อากาศก็ดี…
เธอเองเคยฝันอยากมีงานแต่งแบบนี้บ้าง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสหรือเปล่า

“เฮ้อ…เห็นยัยปองแต่งงานแล้วรู้สึกโหวงเหวงยังไงก็ไม่รู้สิครับ…
คิดไปคิดมาก็ให้รู้สึกใจหายเหมือนกัน…”เต็มกมลเปรยออกมา
พร้อมรอยยิ้มแห้งๆ ทำให้ซาเนียต้องหันกลับมามองคู่สนทนาที่ยืนอยู่ข้างๆ

“พี่ปุ๊ไม่ดีใจหรอกเหรอคะ…”

“ดีใจมันก็ดีใจอยู่นะ…แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องใจหาย
อาจจะเป็นเพราะ ต่อไป อะไรๆก็คงจะไม่เหมือนเดิมก็ได้…
บอกตามตรงนะน้องซาเนีย ถ้าไม่ใช่พี่ลม พี่ไม่มีวันยอมให้ยัยปองแต่งงานด้วยแน่ๆ…”

“ทำไมล่ะคะ…”

“หวงมันน่ะ…อยู่ด้วยกันมานาน ไม่ค่อยอยากให้มันแต่งงานหรอก
แต่เพราะเห็นว่าพี่ลมเค้าเป็นคนดี และรักมันจริง ก็เลยยอมให้สักคน…”
ซาเนียแอบอมยิ้มให้กับแววตาที่ดูจะตรงกับคำพูดของคนตรงหน้า

“น่าอิจฉาพี่ปองจังที่มีพี่ชายที่คอยรักคอยหวงอย่างนี้…ดูอบอุ่นจังค่ะ…”

“พี่เองก็ยินดีที่จะเป็นพี่ชายให้น้องซาเนียนะครับ…แต่ถ้าน้องซาเนียไม่รังเกียจ
ยอมให้เป็นได้มากกว่านั้น พี่ก็ไม่ว่าอะไรนะครับ
พร้อมแอ่นอกรับด้วยความเต็มใจครับผม…”ซาเนียถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ
เมื่อได้ฟังถ้อยคำที่ทั้งตรงและผ่ากลางอกเธอเต็มๆแบบนั้น

“พี่ปุ๊กำลังล้อซาเนียเล่นใช่มั้ยคะเนี่ย…”เต็มกมลส่ายหน้า ยิ้มให้หญิงสาว
ขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า

“เป็นแฟนกับพี่นะครับน้องซาเนีย…”ซาเนีียถึงกับตกใจอ้าปากค้าง
อึ้งจนพูดไม่ออกไปหลายนาที

“เอ่อ…คือ…”หญิงสาวกระอักกระอ่วน พูดไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไร
ยิ่งเห็นแววตาจริงใจของคนพูดก็ยิ่งทำให้หนักใจ พูดไม่ออก

“นายหัวให้มาตาม…”อยู่ๆก็เหมือนมีเสียงระฆังดังช่วยชีวิตเธอขึ้น
แม้น้ำเสียงของคนพูดจะฟังดูห้วนๆ แต่เธอก็อยากจะขอบคุณเจ้าของน้ำเสียงนั้นเหลือเกิน
ที่ทำให้เธอพ้นจากสถานการณ์เช่นนี้ได้

แต่ว่า…น้ำเสียงแบบนี้นี่มัน…

“นาย…”ซาเนียหันไปทางด้านหลังก็พบเวนไตยยืนทำหน้าเคร่งขรึม
แววตาดุดันอยู่ หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะหันไปทางเต็มกมล

“เอ่อ…ซาเนียคงต้องขอตัวก่อนนะคะพี่ปุ๊…”พูดจบซาเนียก็รีบเลี่ยงออกมา
จากสถานการณ์ที่ชวนให้อีดอัดนั่นทันที…หัวใจของเธอยังเต้นแรงอยู่เลย

“เดี๋ยว…”แล้วอยู่ๆเสียงห้วนๆนั้นก็ตามมาหลอกหลอนเธออีกระลอก

“มีอะไร ทำไมต้องใช้น้ำเสียงแบบนี้กับฉันด้วย…”
ซาเนียหันไปถามด้วยสีหน้าไม่พอใจ

“ฮึ…ตั้งแต่ได้ฟังน้ำเสียงหวานๆจากปากหนุ่มหน้ามนคนนั้นไม่นาน
ก็ถึงกับไม่ชินหูกับน้ำเสียงของฉันแล้วรึไง…ไอ้เรามันคนป่าคนเถื่อน
หวานไม่เป็น คงจะพูดหวานๆแบบที่ไอ้หนุ่มคนนั้นพูดกับเธอไม่ได้อ่ะนะ…”

ซาเนียเริ่มชักสีหน้าเมื่อเห็นแววตาและสีหน้าท่าทางของคนพูด

“รู้ตัวก็ดีแล้วนี่…เสร็จธุระของนายแล้วใช่มั้ย…”
ซาเนียกัดปากก่อนจะสบัดหน้าหันหนีเพื่อจะเดินเลี่ยงไปอีกทาง
ทว่ากลับโดนเวนไตยเดินมาขวางทางไว้

“ออกไปนะ ฉันจะไปหาพี่รัง…”

“เดี๋ยวสิ เรายังคุยกันไม่จบเลย…หรือว่าที่ผ่านมา เธอไม่ได้คิดถึงฉันเลย”
ซาเนียถึงกับหน้าแดง พูดไม่ถูก

“ใคร…ใครเขาจะคิดถึงนาย…”

“ก็ไหนเคยบอกว่าคงคิดถึงฉันแย่ไงล่ะ…”หญิงสาวมือไม้อยู่ไม่สุข
เมื่อเจอกับถ้อยและแววตาของคนพูด

“ฉันก็พูดของฉันไปอย่างนั้นแหล่ะ แต่ตอนนี้ฉันขอยืนยัน
ว่าฉันไม่ได้คิดถึงนายเลยสักนิดเดียว…”

หญิงสาวกล่าวขณะพยายามซ่อนแววตาที่ไม่ตรงกับใจให้พ้นจากแววตาเหยี่ยว
ที่จ้องมองมา

“ฉันไม่เชื่อหรอก…ว่าเธอจะลืมอะไรๆได้ง่ายๆ…”

“ก็ไม่เห็นจะยากเย็นอะไรกับการลืมคนอย่างนาย…
ไม่เหมือนนายหรอกที่ยังรักฝังใจอยู่กับคนในอดีต…”
เวนไตยกัดปากจ้องหน้าเจ้าของน้ำคำที่กำลังบาดใจเขานิ่ง

“อยู่กับอดีตของนายต่อไปเถอะ…”พูดจบซาเนียก็หันหลัง
จะเดินไปหารังสิมันต์ที่อยู่ตรงที่สว่างกลางงานเลี้ยง

“แล้วทำไมไม่ตอบตกลงเป็นแฟนกับไอ้หนุ่มหน้ามนคนนั้นไปล่ะ…”

ฝีเท้าที่กำลังเดินหยุดชะงัก พร้อมกับลำแขนที่ถูกกระชากจากทางด้านหลัง
ให้เดินไปอีกทางที่เงียบและปราศจากผู้คน…

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ…”ซาเนียสั่งให้เวนไตยหยุดลากเธอพร้อมกับพยายามรั้งแขนกลับ
ชายหนุ่มจึงจับหญิงสาวตรึงกับต้นสนก่อนจะก้มลงแล้วพูดลอดไรฟันว่า

“เพิ่งรู้ว่านอกจากเธอจะลืมง่ายแล้ว เธอยังใจง่ายด้วย…”
ซาเนียถึงกับน้ำตาคลอเมื่อได้ฟังคำด่าจากปากของคนตรงหน้า

ถ้าเธอไม่รักไม่แคร์เขา เธอก็คงไม่เจ็บปวดกับถ้อยคำเหล่านี้นักหรอก…

แต่นี่…เขากำลังดูถูกเธอชัดๆ…แถมยังตรึงแขนของเธอให้ไร้อิสระ
เพราะถ้ามันเป็นอิสระ ปากของเขาก็คงไม่มีทางได้ต่อว่าเธอซ้ำอย่างนี้อีกเป็นแน่…

“รักง่ายหน่ายเร็ว…คงสนุกนักใช่มั้ยที่ได้ยั่วให้ผู้ชายหลงรักหัวปักหัวปำ
แล้วทิ้งไปง่ายๆแบบนี้…”
ซาเนียกัดปากตัวเองก่อนจะพูดด้วยแววตาเจ็บปวดและสุดทานทนว่า

“ใช่…ฉันมันใจง่าย รักใครง่ายไปจริงๆอย่างนายว่า
ทั้งๆที่รู้ว่าเขาไม่ชอบก็ยังไปมอบหัวใจให้เขาง่ายๆ แค่เขาทำดีกับเราก็รักเขาง่ายดาย
คิดไปเองว่าเขาคงชอบเรา คิดเองเออเองทั้งนั้น…

แต่ต่อไป ผู้หญิงใจง่าย ขี้หวั่นไหว ใจอ่อนคนนี้จะไม่ยอมอ่อนแอ
ให้นายข่มเหงหัวใจแบบนี้ได้อีกแล้ว…”

หญิงสาวกล่าวออกมาพร้อมกับน้ำตาอาบแก้ม เจ็บกายที่เขากำลังใช้อุ้งมือ
บีบลำแขนทั้งสองข้างของเธอเสียแน่นไม่เท่าเจ็บใจที่โดนเขาด่าว่าใจง่าย…

“สรุปว่าเธอรักใครกันแน่ซาเนีย…บอกฉันได้มั้ยว่าเธอจะรักใคร…”

เวนไตยรู้สึกแปลกใจตัวเองทุกครั้งที่จ้องตาผู้หญิงคนนี้ทีไรแล้ว
ไม่อาจควบคุมหัวใจของตัวเองไม่ให้สั่นและหวั่นไหวได้ ราวกับเธอมีบางสิ่ง
ที่ทำให้เขาหวั่นไหว ร้อนรนเหมือนจับไข้และไม่แน่ใจ ไม่มั่นใจตัวเองเลย

“ปล่อยนะ ฉันเจ็บ…”หญิงสาวน้ำตาเล็ดด้วยความเจ็บ เวนไตยเริ่มรู้ตัวจึงคลายแรงลง
ทว่ายังคงยืนกรานที่จะให้ได้คำตอบจากปากของหญิงสาว

หากซาเนียที่วันนี้โดนบีบคั้นจากผู้ชายสองคนถึงกับจุกอกด้วยความอีดอัด
คับแน่นในหัวใจจนอยากไปให้พ้นจากสถานการณ์เช่นนี้ที่สุด

“นายจะเดือดร้อนทำไมว่าฉันจะรักใคร…ในเมื่อฉันจะรักใครมันก็เรื่องของฉัน
ทีฉันยังไม่เคยอยากรู้เลยว่านายจะรักใคร…
เพราะนายจะรักใครมันก็เรื่องของนาย ไม่เกี่ยวกับฉันอีกแล้ว…
ได้ยินมั้ยว่าไม่เกี่ยวกับฉันสักนิด…”

สิ้นคำเท่านั้น ริมฝีปากบางของหญิงสาวก็ถูกครอบครองด้วยริมฝีปากหนา
ระเรื่อยไปยังพวงแก้ม ซอกคอด้วยแรงอารมณ์ต่างๆที่ผสมปนเปกันของชายหนุ่ม

จนทำให้ซาเนียถึงกับร้องไห้น้ำตาไหลพรากด้วยความเจ็บปวดที่หัวใจ…
และเพราะท่าทางที่ไร้การตอบสนอง ไร้การดิ้นรนผลักใสในตอนท้ายของหญิงสาว
ทำให้คนที่กำลังโดนอารมณ์โกรธเข้าครอบงำ
หยุดการกระทำลงแล้วก้มมองสีหน้าของหญิงสาวตรงหน้าแล้วให้รู้สึกผิด…

“ฉัน…ฉัน…ขอ”เวนไตยกลืนน้ำลายลงคอเมื่อรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวด
ที่สื่อผ่านแววตาคู่นั้นของหญิงสาวตรงหน้าเขา

“ไม่ต้องขอโทษฉันหรอก...นายไม่ผิด…ฉันผิดเอง…ฉันทำตัวไร้ค่าเอง
ที่ผ่านมาฉันง่ายเอง…ก็สมแล้วที่จะโดนแบบนี้…”หญิงสาวปาดน้ำตา
หลังจากที่ลำแขนทั้งสองข้างได้รับอิสรภาพแล้ว

“ขอบคุณที่สอนให้ฉันรู้ ว่าต่อไปนี้ ฉันควรทำตัวยังไง…”

พูดจบหญิงสาวก็วิ่งไปยังเรือนหลังเล็กที่เธอพักอาศัยอยู่ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่ตรงนี้นัก
เพราะคงไม่อาจกลับไปยังงานเลี้ยงในสภาพเช่นนี้ได้อีก

“ซาเนีย…”เวนไตยเรียกหญิงสาวพลางวิ่งตามไป แต่ไม่ทันแล้ว
เมื่อเธอหายเข้าไปในตัวบ้านเรียบร้อยแล้ว…

ชายหนุ่มยกมือทั้งสองขึ้นลูบหน้า ก่อนจะมองไปยังห้องที่ซาเนียพักอาศัย
ด้วยแววตาเสียใจ…แล้วรัวหมัดไปที่ต้นสนด้วยความรู้สึกเจ็บใจตัวเอง

เขาไม่น่าปล่อยให้อารมณ์ใฝ่ต่ำทำลายความรู้สึกของซาเนียเลย…

เวนไตยก้มมองพื้นทรายก่อนจะทรุดเข่าลง หลังพิงต้นสน
รสชาติของลิปสติกยังติดอยู่ตรงปลายลิ้นของเขาอยู่เลย…

ความเงียบเข้าครอบคลุม ชายหนุ่มจึงเริ่มเคลียร์กับตัวเองให้กระจ่าง
เกี่ยวกับทุกอย่างระหว่างเขากับซาเนีย…

เขาเริ่มรู้ตัวว่าของขึ้นทุกครั้งเวลาเห็นซาเนียเดินไปกับไอ้หนุ่มหน้ามน
ยิ่งเห็นยืนพูดคุยสนิทสนม แล้วยิ้มให้กัน ยิ่งของขึ้นยกกำลังสอง

เมื่อก่อนอาจจะเป็นห่วงเธอ แต่เดี๋ยวนี้มันมีคำว่าหวงเข้ามาเพิ่ม
เลยทนไม่ได้ที่จะเห็นเธอไปเป็นของใคร…

อย่างไรเขาก็ทนไม่ได้แน่ๆที่จะเสียเธอไป…แต่จะทำอย่างไรดี
ในเมื่อเขาทำลายความรู้สึกของเธอไปแล้วแบบนั้น…ไม่น่าเลยจริงๆ…
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เขาจะครองสติให้มากกว่านี้…แต่ให้ตายเถอะ
เขาอยากจะเตะตัวเองที่สุด…ทำไมเขาถึงได้โง่ขนาดนี้นะ…

เธอทั้งพูดและแสดงออกขนาดนั้นแล้ว ทำไมเขายังต้องคาดคั้นเธออีกว่าเธอรักใคร

…นี่เขาไม่แน่ใจในตัวเธอหรือจริงๆแล้วเขาไม่แน่ใจตัวเองกันแน่…

ถ้าซาเนียรักไอ้หนุ่มหน้ามนคนนั้นจริง เธอคงตอบรับไอ้หมอนั่นไปแล้ว…
คงไม่เลี่ยงเมื่อได้โอกาสแบบนั้นหรอก

…นี่แหล่ะพิษของลมหึง ที่พัดทำลายทุกสิ่งเพียงชั่วครู่เสร็จ
ก็เหลือทิ้งซากแห่งความเสียใจเอาไว้เบื้องหลัง…ทำลายได้แม้กระทั่งคนที่เรารักสุดหัวใจ…






ทางด้านงานเลี้ยงที่ทุกคนกำลังสนุกสนาน

“ซาเนียไปไหน ใครเห็นซาเนียบ้างรึเปล่า…”รังสิมันต์ออกอาการแปลกใจ
ที่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของซาเนีย ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้
เขาเห็นเธอเดินวนเวียนช่วยงานเลี้ยงอย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย

“นั่นน่ะสิคะ…เมื่อกี้ยังเห็นยืนคุยอยู่กับนายปุ๊อยู่เลย…”สิ้นรักตั้งข้อสังเกต

“คงจะอยู่ตรงมุมไหนสักมุมในงานนี่แหล่ะค่ะพี่รัง…เพราะพี่ปุ๊ก็หายไปเหมือนกัน…”
ปองขวัญให้ความเห็นก่อนจะหันไปยิ้มให้กับเจ้าบ่าวของตนที่ยืนอยู่ข้างๆ
ทว่าสิ้นรักกลับไม่คิดเช่นนั้น

“ครูครุฑก็หายไปด้วยนะไอ้ปอง…”คำพูดของสิ้นรักทำให้รังสิมันต์กับวายุ
หันมาจ้องหน้ากันทันทีโดยมิได้นัดหมาย สัญชาตญาณลูกผู้ชาย
ทำให้ทั้งสองพอจะดูอะไรบางอย่างออก…

“โน่นไงคะ…พี่ปุ๊เดินมาโน่นแล้ว…”ปองขวัญยิ้มกว้างเมื่อเห็นพี่ชายฝาแฝด
เดินมาทางตนพอดี แต่ดูจากสีหน้าแล้วของพี่ชายแล้ว รอยยิ้มที่พลันหุบลง

“มีอะไรเหรอคะพี่ปุ๊…”เต็มกมลส่ายหน้า

“ไม่มีอะไรหรอก…”

“ว่าแต่นายเห็นซาเนียบ้างรีเปล่าปุ๊…”รังสิมันต์มิวายถามขึ้นทันที
ที่สพโอกาส

“กลับเรือนไปแล้วครับ…เห็นบอกว่าเพลียๆ ก็เลยขอตัวกลับไปพักผ่อนที่เรือน…
พี่รังไม่ต้องห่วงหรอกครับ…น้องซาเนีย
เค้ามีบอดีการ์ดคอยปกป้องดูแลอยู่แล้วทั้งคน…”

ถ้อยคำกับน้ำเสียงเหงาๆของคนพูดทำให้คนฟังถึงกับพูดอะไรไม่ออก
โดยเฉพาะปองขวัญที่ปกติมักจะหยอกเย้าพี่ชายเป็นธรรมดายังไม่กล้า
พูดอะไรออกไปในตอนนี้ นอกจากยิ้มเท่านั้น…

ปองขวัญได้แต่มองสีหน้าพี่ชายฝาแฝดแล้วพอจะเข้าใจอะไรบางอย่าง
อยากจะปลอบแต่คงไม่ใช่ตอนนี้

วายุกระชับและกำมือของปองขวัญเอาไว้แน่นก่อนจะหันมายิ้มให้

“พี่ชายเธอไม่เป็นไรหรอก…เชื่อพี่…”วายุกล่าวกับปองขวัญเมื่อเต็มกมล
ปลีกตัวไปทางอื่นแล้ว…

“แต่ปองไม่เคยเห็นพี่ปุ๊เป็นแบบนี้มาก่อนเลย…มันดูแปลกๆค่ะพี่ลม…”

“คิดมากไปรึเปล่า…ไป ไปช่วยพี่ส่งแขกกันดีกว่า…”
วายุได้ทีจึงลากเจ้าสาวของตัวเองก่อนจะหันไปพยักพเยิดกับรังสิมันต์และสิ้นรัก…

บ่าวสาวสองคู่จึงนำของชำร่วยซึ่งทำเป็นรูปเค้กแต่งงานจำลองอันเล็ก
สลักชื่อของรังสิมันต์กับสิ้นรัก พร้อมด้วยของชำร่วย
ที่ทำเป็นรูปช็อกโกแลตหัวใจสองดวงจำลองอันเล็กจิ๋วซึ่งสลักชื่อวายุกับปองขวัญ
ให้กับแขกที่มาร่วมงาน…



“งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา…”สิ้นรักกล่าวขึ้นเมื่อทั้งเธอและรังสิมันต์
มีโอกาสได้อยู่กันตามลำพังตรงระเบียงห้องหอมองดูดวงดาวและเกลียวคลื่นด้วยกัน

…วันนี้เธอมีความสุขเหลือคณา คนข้างกายทำให้เธอประหลาดใจจนตั้งตัวตั้งใจไม่ทัน

เขามอมยาสลบเธอกับปองขวัญแล้วช่วยกันจัดงานแต่งงาน
ที่เธอกับปองขวัญเคยวาดฝันกันเอาไว้ก่อนหน้านี้

แม้ที่ผ่านมาจะพบกับความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แต่เมื่ออดทนมาถึงวันนี้ เธออดยอมรับไม่ได้ว่่า
ผลลัพธ์ที่ได้จากการอดทนรอคอย มันช่างงดงามล้ำค่าและน่าจดจำ
ไปจนชีวิตจะหาไม่…เธอจะจดจำค่ำคืนนี้ตลอดไป…

เพราะรู้ว่าชีวิตหลังจากคืนนี้ คือจุดเริ่มต้นของสิ่งใหม่ที่ไม่คุ้นเคยอีกมากมาย
ให้เธอต้องเผชิญไปพร้อมๆกับคนข้างกายของเธอ…

เมื่อการรอคอยบางอย่างสิ้นสุดลง การเริ่มต้นของบางอย่างต่อจากนี้
ก็มาถึงและปรากฏขึ้น…ในเมื่อการเดินทางของหัวใจยังคงดำเนินต่อไป

“แต่รักเราจะไม่มีวันเลิกรา…”รังสิมันต์ต่อให้…สิ้นรักจึงเลิกสนใจดวงดาว
หันมาจ้องแววตาแวววับจับตาของคนข้างๆที่กำลังโอบกอดเธอเอาไว้แทน

“ขอบคุณนะคะพี่รัง…ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง…ขอบคุณค่ะ
ที่ทำให้ฝันของรักเป็นจริง…”รังสิมันต์ยิ้มกว้างก่อนจะก้มลงจุมพิต
ตรงหน้าผากมนนั่นอย่างรักใคร่เอ็นดู

“พี่ยอมรับนะว่าเมื่อก่อนเธออาจไม่ใช่คนที่พี่เคยใฝ่ฝัน
ไม่ไช่นางเอกที่พี่หวังไว้ในใจ…ไม่ได้ดีมากไปกว่าใคร…”

สิ้นรักที่ฟังมาถึงตรงนี้ก็ถึงกับหน้ามุ่ยทันที ใช่สิ เธอมันทั้งตัวเล็ก
รูปร่างไม่ได้ปราดเปรียวเรียวสวยเหมือนนางเอกในโทรทัศน์
ไม่ได้สวยสง่าเหมือนนางแบบบนแคทวอล์คนี่ แค่ยืนกับพี่เขา
เธอยังรู้สึกถึงความไม่เหมาะสมกันเลยด้วยซ้ำ ก็พี่เขาทั้งสูง หล่อ
บุคลิกดีเหมือนเทพบุตร เป็นพระเอกได้สบายๆ…

“อย่าเพิ่งทำหน้าแบบนี้สิ พี่ยังพูดไม่จบเลยนะ…”รังสิมันต์ที่จ้องหน้า
สิ้นรักอยู่ถึงกับอมยิ้มกับสีหน้าท่าทางของคนตรงหน้า…

ไม่รู้สิ เขาชอบดูเธอเวลาที่เธอทำหน้ามึนงง ตกใจแบบนี้มากที่สุด
ก็เลยชอบหาเรื่องล้อเธอเล่น…

“ถึงแม้เธอจะไม่ได้เป็นนางเอกที่พี่เคยวาดไว้ในใจ แต่สิ่งดีๆ
เล็กๆน้อยๆของเธอมันกลับเติมเต็มภาพวาดที่ขาดหายไปของพี่ให้สมบูรณ์ได้…
ไม่ว่าใครจะมองอย่างไร แต่สำหรับพี่ เธอคือของขวัญล้ำค่าจากพระเจ้า…
เธอคือคนที่พี่รอคอยมานาน…
วันนี้พี่พูดได้เต็มปากว่าพี่แน่ใจว่ารักเธอ…เพราะไม่ว่าจะค้นใจสักกี่ครั้ง
คำตอบที่ได้ก็คือพี่รักเธอ ถ้าไม่ใช่เธอก็ไม่มีวันจะรักใครอีกแล้ว…”

สิ้นรักถึงกับซาบซึ้ง มิใช่เพราะถ้อยคำที่เขากล่่าว
แต่เป็นเพราะแววตาคู่นั้นต่างหากที่กำลังบอกว่ารักเธออย่างจริงใจแค่ไหน

“รักเองอาจจะเจ็บกับความรักมาไม่รู้กี่ครั้งแล้วก็จริงนะคะ…แต่วันนี้วินาทีนี้
รักเองก็แน่ใจแล้วเหมือนกันว่ารักเลือกรักคนไม่ผิด…รักเลือกแล้ว
รักเลือกพี่รังที่หัวใจ ไม่ว่าจะเกิดอะไรก็จะรักแค่พี่รังคนเดียว…
ไม่เผื่อให้ใครคนไหนอีกแล้วค่ะ…รักไม่กลัวอีกแล้วไม่ว่าจะเจอกับอะไร
และพร้อมจะเผชิญเสมอขอแค่มีพี่รัง จะเจ็บอีกสักกี่ครั้งรักก็ยอมรับได้ค่ะ…

ต่อให้วันหนึ่งพี่รังจะทิ้งรักไป…รักก็ไม่กลัวที่จะเจ็บ
เพราะรักรักพี่…ต่อให้เจ็บสักกี่ครั้งก็ไม่เป็นไรค่ะ…หรือต่อให้ต้องเป็นตัวแทนใคร
เป็นเงาของใคร รักก็ไม่ไหวหวั่น…จะดื้อรักพี่อย่างนี้ตลอดไปค่ะ…”
สิ้นรักถ่ายทอดความรู้สึกต่างๆผ่านถ้อยคำและแววตาที่ซื่อตรงจริงใจ
ดวงตาแวววาวเพราะน้ำตาเอ่อคลออยู่นั้นส่งให้

รังสิมันต์ถึงกับจ้องมองอย่างหลงใหล จึงค่อยๆก้มลงชิดใบหน้างาม
ที่อยู่ในครอบผ้าคลุมศีรษะตามแบบฉบับสาวมุสลิม
หญิงสาวที่ได้กลายเป็นภรรยาของเขาโดยอนุมัติของพระเจ้าแล้ว

ไม่มีสิ่งใดที่จะปิดกั้นเขากับเธอได้อีกต่อไป…
และเขาพร้อมที่จะมอบความรักที่เขามีให้กับเธออย่างเต็มภาคภูมิ
โดยมิต้องหวาดกลัวกับความผิดบาปใดๆอีกแล้ว

รังสิมันต์จึงอุ้มเจ้าสาวของเขาเข้าห้องก่อนจะวางเธอลงบนเตียงนุ่ม
อย่างเบามือที่สุด…

“อย่าเพิ่งสิคะพี่รัง…”สิ้นรักปรามเสียงอ้อยอิ่ง

“ทำไมล่ะครับ…”ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“ยังไม่ได้อาบน้ำแปรงฟันเลย…อีกอย่าง ชุดนี้มันไม่ใช่ชุดนอนสักหน่อย
พี่รังจะให้รักนอนทั้งชุดนี้เลยเหรอคะ…”หน้าตาออดอ้อนของคนพูด
ยามแย้มปากทำเอาคนมองชักหมั่นเขี้ยวขึ้นมา

“ก็พี่กำลังจะเปลี่ยนชุดให้อยู่นี่ไงครับ…เอาเป็นชุดนอนที่ใส่ในวันเกิดดีมั้ยครับ…
พี่อยากเห็น…ว่าเวลาเราใส่มันจะสวยขนาดไหน…”

ไม่พูดเปล่า เจ้าบ่าวของเราค่อยๆทำการเปลี่ยนชุดเจ้าสาวให้อย่างขมีขมัน…

“ไม่เอาค่ะ…รักเปลี่ยนใจแล่้ว…ใส่ชุดนี่้นอนทั้งคืนก็ได้…สวยดี
เวลาฝันจะได้ฝันดี ฝันเห็นตัวเองสวยๆ…”และที่สำคัญชุดนี้มันมิดชิดดี
แขนก็ยาว ตัวกะโปรงก็ย้าวยาว แถมคอเสื้อก็ปิดมิดชิด

แค่คิดจะถอดชุด เจ้าบ่าวอย่างพี่รังก็คงเหงื่อตกแล้วล่ะ…ฮ่าๆๆ

สิ้นรักคิดและหัวเราะอยู่ในใจ โดยหารู้ไม่ว่า อีกฝ่ายกำลังมองเธอด้วยแววตาเช่นไร…

“แล้วจะไม่อาบน้ำสักหน่อยเหรอครับ…ุถ้าเกิดคันหลังขึ้นมาตอนดีกๆดื่นๆจะแย่เอานา…”

สิ้นรักตาโต ใช่สิ มือเธอสั้น คันหลังทีไรก็เกาไม่ทั่วถึง
ที่สำคัญ เธอไม่ได้เอาที่เกาหลังติดมือมาด้วย…

ชุดเจ้าสาวที่ทั้งหนาและมิดชิดขนาดนี้ คงทำให้เธอทรมานยามไม่ได้เกาตรงที่คันแน่ๆเชียว…
ยิ่งน้ำไม่อาบยิ่งต้องคันอย่างมิต้องสงสัย

งั้นเราคงต้องหาลู่ทางไปห้องน้ำดีกว่า…ว่าแต่มันอยู่ทางไหนนา

สายตากลมโตวาดไปรอบๆรัศมีที่ดวงตาส่งไปถึงโดยไม่รู้เล้ย
ว่าคนตัวโตที่กึ่งนั่งกึ่งนอนคล่อมร่างเธออยู่กำลังอมยิ้มด้วยแววตาเจ้าเล่ห์

“ห้องน้ำอยู่ทางโน้นครับ…จะให้พี่ช่วยถูหลังให้ก็ได้นะครับ
วินาทีนี้บริการฟรี ไม่คิดตังค์…”สิ้นรักกลอกตาไปมาราวกับกำลังคิดหนัก

บอกตามตรงว่าวินาทีนี้เธอยังไม่พร้อมจะรับบริการฟรีที่คงมาพร้อมกับ
โปรโมชั่นพิเศษเผลอๆอาจได้โบนัสเพิ่มโดยไม่ทันตั้งตัวก็ได้…

“เอ่อ…งั้นพี่รังช่วยเคลียร์ทางให้รักไปห้องน้ำหน่อยสิคะ…
แหม…คล่อมไว้ทั้งตัวอย่างนี้ รักก็ไปไม่ได้กันพอดีสิ…”

รังสิมันต์ยิ้มพร้อมกับทำตามที่เจ้าสาวของเขาต้องการ

สิ้นรักยิ้มกว้างแบบใจดีสู้เสือพร้อมกับทำตาปริบๆเมื่อต้องกล่าว
ขณะที่ลุกขึ้นยืนได้สำเร็จเรียบร้อยแล้วว่า

“อีกอย่างรักคงลืมเตือนพี่รังไปว่า…รักเป็นคนบ้าจี้ค่ะ…ใครแตะตัวนะ
เป็นต้องโดนรักไม่เตะก็ศอก หรือหนักหน่อยก็ถึบเลยล่ะค่ะพี่รัง…
รักเกรงว่าอาจทำให้พี่รังบาดเจ็บโดยไม่ได้ตั้งใจ…
ก็เลยคงต้องงดใช้บริการของพี่รังไปก่อนนะคะ…เอาไว้เลิกบ้าจี้เมื่อไหร่
ค่อยพิจารณาอีกทีค่ะ…แบบว่่ารักถือตามสุภาษิตของญี่ปุ่นที่ว่่า
ทาดะโยริ โมโนกะนาอิ…ไม่มีอะไรแพงกว่าของฟรีค่ะ…

อุ๋ยปวดฉี่แล้ว ขอตัวไปห้องน้ำก่อนนะคะพี่รังขา…”

พูดจบก็รีบชิ่งหนี…รังสิมันต์ที่นอนเอามือข้างขวายันศีรษะมองสิ้นรักอยู่
ถึงกับอมยิ้มกับมุกของเจ้าหล่อน
ก่อนจะตะโกนตามหลังเจ้าสาวที่รีบโกยชายกะโปรงเผ่นเข้าห้องน้ำไปว่า

“ให้พี่ช่วยถอดชุดให้เถอะน่า…ถอดคนเดียวมันยากและก็ช้านา…
เดี๋ยวฉี่รดชุดเจ้าสาวสวยๆขึ้นมามันไม่ดีนะครับ พี่เสียดาย…”
แล้วก็มีเสียงตอบกลับมาว่า

“ไม่เป็นไรค่ะ รักดีไซน์มาเองกับมือ ถึงไม่ได้ใส่เองแต่ถอดเองได้
สบายหายห่วงค่ะพี่รัง…พี่รังนอนหลับล่วงหน้าไปก่อนได้เลยนะคะ
ไม่ต้องรอรักก็ได้…เพราะรักคงอาบน้ำนานค่ะ…”

กะจะอาบจนเช้าเลยด้วยซ้ำค่ะพี่รังขา…สิ้นรักแอบต่อในใจ
เพราะคืนนี้อย่างไรหัวใจของเธอก็ไม่พร้อมจะรับศึกแน่ๆ
มันยังห่วงและหวงความสดที่เพิ่งถูกความโสดสลัดทิ้งไปในศาลาสีชมพูมาหมาดๆนี่นา

…คิดดูสิ ไม่กี่วินาทีที่ตกปากรับเขาเป็นสามี ชีวิตเธอก็เปลี่ยนไปเลย
จากที่โสดและสดมานานอยู่ๆก็มีคำว่า ‘ไม่’ มายืนนำหน้าคำว่า ‘โสด’ ไปเสียแล้ว

ยังดีที่ตอนนี้ยังพอเหลือความสด (แม้จะสดแบบเลยเลขสามสิบมาแล้ว) ให้ภาคภูมิใจอยู่
ต่อให้ใครไม่ภูมิใจแต่เธอภูมิใจของเธอนี่

คิดดู จะมีสักกี่คนที่จะประคับประคองความสด
มาจนสามสิบบวกได้อย่างเธอบ้าง (น้อยนะขอบอก)

มันจึงเป็นความพยายามที่สร้างความภูมิใจให้หญิงไทยอย่างเธอ…
ที่ไม่ยอมเสียเอกราชให้กับชายชาติชาตรีใดก่อนวัยอันควร

ขนาดวันอันควรอย่างวันนี้เธอยังไม่อยากสูญเสียมันไปเลยด้วยซ้ำ…
แม้ความโสดจะจากลาเธอไปแล้ว แต่เธอก็ยังอยากประคองความสด
ไว้เป็นเพื่อนปลอบใจอีกสักสองสามคืน…

และจากที่ในห้องเคยมีเธอเป็นใหญ่แค่คนเดียว แต่จากที่ดูเมื่อกี้
เห็นได้ชัดว่าเขาดูใหญ่โตคับห้องจนเธอรู้สึกเหมือนตัวเองเล็กลงไปถนัดตา

แล้วจากที่เตียงนอนเคยมีหมอนแค่ใบเดียววางอยู่ตรงกลาง
แต่เมื่อกี้เธอแอบเห็นนะว่ามีคนแอบเอาหมอนอีกใบมาวางเพิ่ม
ชนิดที่ไม่มีหมอนข้างวางไว้อย่างแต่ก่อน รู้เลยว่านักออกแบบ
ที่วางแผนตกแต่งภายในห้องหอคือผู้ใด…

แถมไอ้พี่รังยังแอบนอนจองที่ทางเอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วย…

แล้วที่สำคัญ…ความเป็นส่วนตัวที่เคยเป็นมิตรกันมานานแสนนาน
ดูจะเริ่มกระซิบกระซาบบอกเธอเบาๆราวกับกลัวเธอจะโกรธว่า

มันกำลังจะทิ้งเธอไปทีละนิดทีละหน่อยในไม่ช้านี้อยู่ด้วย…

โอ้…ชีวิตโสด…เจ้าช่างน่าพิสมัย ฉันไม่น่าทิ้งเจ้าไป
แล้วนำใครคนนั้นเข้ามาแทนที่เลย…

เมื่อหมกมุ่นครุ่นคิดเพียงลำพังด้วยความหวงและห่วงความสด
ที่ผ่านร้อนหนาวมายาวนานด้วยกันอยู่ในห้องน้ำนานจนไม่รู้ว่าจะขัดอะไรอีกต่อไป
เพราะนอกจากเจ้าสาวของเราจะขัดเนื้อขัดตัว สระผม แช่เท้า
แล้วจบด้วยการนั่งตีเท้าในน้ำที่เต็มอ่างเล่นแล้ว เจ้าหล่อนยังใช้เวลาที่แสนเหลือเฟือ
ไปกับการขัดห้องน้ำที่สะอาดจนไม่รู้ว่าจะสะอาดอย่างไรแล้วนั้น

เจ้าหล่อนก็นึกขึ้นได้ว่า ป่านนี้เจ้าบ่าวของเจ้าหล่อนคงนอนหลับไปแล้วแน่นอน
แล้วเรื่องอะไรที่เจ้าหล่อนจะต้องมานั่งขัดตาหลับขับตานอนด้วยการขัดห้องน้ำด้วย
สู้ย่องออกไปนอนบนเตียงนุ่มๆไม่ดีกว่าหรือ…

คิดได้ดังนั้น สิ้นรักก็หยิบผ้าขนหนูขึ้นมานุ่งพันกาย
เพราะด้วยความรีบร้อนก่อนหน้านี้จึงทำให้ลืมหยิบชุดนอนติดมือมาด้วย

เสียงประตูห้องน้ำดังเพียงนิดพร้อมด้วยฝืเท้าที่เหมือนตีนแมว
แววตาที่สอดส่องไปรอบๆห้องราวกับหนูระวังงู

เมื่อไม่เห็นงูนอนอยู่บนเตียง เจ้าหนูตีนแมวก็ย้ิมกว้างปนประหลาดใจ

...งูไปไหนหว่า…

แต่เพราะสัญชาตญาณของผู้ถูกล่าทำให้เจ้าหล่อนพยายามสอดส่ายสายตา
มองไปรอบๆกายอีกครั้ง สำรวจห้องนอนอย่างถี่ถ้วน ก็ไม่พบแม้แต่เงาของงู

แม้จะสงสัยว่างูไปไหน แต่หนูก็อดโล่งใจไม่ได้
ที่อย่างน้อยๆคืนนี้เธอคงรอดไปได้สักคืนก่อน

คืนต่อไปค่อยวางแผนใหม่ เพราะแผนขัดห้องน้ำคงนำมาใช้ซ้ำไม่ได้แน่

ใครจะหาว่าเธอไม่กล้านอนกับเจ้าบ่่าวแต่ริอาจแต่งงานก็ช่างสิ
ก็มันยังไม่พร้อมนี่นา ให้ทำไง

…ก็แค่อยากขอจองพี่รังเป็นสามีไว้ก่อน เรื่องหลับนอนไม่ได้คิดนี่…

สิ้นรักพ่นลมหายใจออกก่อนจะเดินไปยังโต๊ะเครื่องแป้ง
คลี่ผมที่เปียกหมาดๆออกจากผ้าขนหนูที่ขมวดเป็นปมไว้บนศีรษะออก
แล้วเป่าด้วยที่เป่าผมจนแห้งภายในไม่กี่นาที

หลังจากนั้นก็ค่อยๆสางผม เมื่อเห็นว่าผมแห้งและเป็นอิสระจากพันธนาการต่างๆแล้ว
หญิงสาวจึงวางหวีลงแล้วเดินไปยังตู้เสื้อผ้า กะจะหยิบชุดนอนออกมา
ทว่ากลับไปพบชุดนอนหรือชุดใดๆในตู้เสื้อผ้าแม้แต่ชุดเดียว!

ดวงตากลมโตเบิกกว้างอย่างประหลาดใจ
ก่อนจะค้นดูทุกซอกทุกมุมของห้องก็ไม่พบชุดอะไรที่พอจะสวมใส่ได้

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย…หรือว่า…”ไวเท่าความคิด สิ้นรักเดินไปรอบๆห้อง
มองหาเจ้าของห้องอีกคนก็ไม่พบ

“พี่รังต้องหาเรื่องแกล้งเราแน่ๆ…”สิ้นรักบ่นพึมพำ…

“ทำไงดีเนี่ย…”เมื่อทำอะไรไม่ได้ สิ้นรักจึงเดินหน้ามุ่ยไปยังโต๊ะเครื่องแป้ง
หยิบแป้งเด็กขึ้นมาทาหน้าและลำคอ

ในเมื่อไม่มีชุดนอน ก็นอนมันทั้งชุดนี้แหล่ะ…

คิดได้อย่างนั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปลงได้อย่างที่คิด
เพราะชีวิตไม่เคยนอนหลับโดยปราศจากกางเกงในแบบนี้

…นี่ขนาดกางเกงในของเธอเขาก็ยังเอามันไปซ่อน น่าเคืองที่สุด!

สิ้นรักเลยยืนมองตัวเองในกระจก เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันที่เจ้าบ่าวของเธอแกล้งเธอ
ให้นอนในสภาพเช่นนี้ แถมไม่รู้ว่ามุดหัวไปอยู่ที่ไหนอีก

…จะให้เธอออกไปหาเขาข้างนอกเพื่อทวงถามชุดนอนพร้อมกางเกงใน
ด้วยสภาพที่มีแต่ผ้าขนหนูผืนเดียวติดตัวแค่นี้ เธอคงทำไม่ได้แน่…

“พี่รังนะพี่รัง…ฮึ่มๆ…”

“เรียกพี่ทำไมครับ…”
เสียงนั้นทำเอาคนที่กำลังเอาแต่ก้มหน้าประทุษร้ายโต๊ะเครื่องแป้งด้วยหวีอยู่
ถึงกับสะดุ้งโหยงสุดตัว…

ยิ่งลมหายใจร้อนๆที่กำลังเป่ารดต้นคอของเธออยู่ทำเอาลมหายใจของเธอสะดุด
หัวใจเต้นแรง มือของเขาที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน ตอนนี้มันได้ตวัดโอบรอบเอวเธอ
จากทางด้านหลังไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว…

สิ้นรักเงยหน้ามองกระจกก็พบกับแววตาหวานซึ้งปนขี้เล่นของรังสิมันต์
ที่กำลังจ้องหน้าเธออยู่พอดี

ยิ้มของเขาพุ่งชนหัวใจเธอจนทำให้ใจสั่นแปลกๆ เขาเดินเข้ามาจากทางไหน
ทำไมเธอไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของเขาเลยสักนิดเดียวล่ะ…

“พี่รังแกล้งรัก…”เสียงนั้นพยายามเปล่งออกมาให้มั่นคงที่สุดหากก็ยังสั่นอยู่ดี

“ไหนขอพี่พิสูจน์หน่อยซิว่่าคุ้มค่ากับเวลาที่เสียไปรึเปล่า…
เห็นขัดอยู่ตั้งนาน…นึกว่าจะขัดถึงเช้าซะแล้วนะเนี่ย
ก็เลยตั้งใจว่าจะงัดประตูเข้าไปช่วยขัดให้อยู่พอดีเชียว”

พูดพลางจมูกโด่งและปากหยักสวยก็ไต่ไปตามบ่าและซอกคอของสิ้นรัก
ทำเอาหญิงสาวถึงกับขนลุกซู่ เสียวซ่าน สั่นสะท้านไปทั้งใจ

“หอมจัง…”คำชมยิ่งทำเอาผิวหน้าของสิ้นรักแดงราวกับลูกตำลึงสุก

“ขอ…ชุดนอนค่ะ…”สิ้นรักพยายามหาสติด้วยการทวงชุดนอนของเธอ

“ไม่เห็นจำเป็นต้องใส่เลย ใส่ไปเดี๋ยวก็ต้องถอดอยู่ดี…”

รังสิมันต์กล่าวขณะที่สูดดมกลิ่นหอมจากกลุ่มผมแล้วปัดป่าย
มายังใบหน้าหวานซึ้งสีน้ำผึ้ง

“ได้โปรดค่ะ…พี่รัง…”เสียงนั้นขาดเป็นห้วงๆเมื่อรังสิมันต์เล่นจุมพิตไปตาม
ซอกคอระเรื่อยไปยังแผ่นหลังของเธอ

“ได้ครับ…”พูดจบรังสิมันต์ก็ใช้สองมือขึ้นหมายจะแกะปมผ้าขนหนู
ทว่าสิ้นรักคว้ามันเอาไว้ได้ทัน ก่อนจะอุทานออกมาด้วยความตกใจ

“อุ้ย…”รังสิมันต์ใช้คางเกยบนบ่าของสื้นรักโดยใช้สายตาจ้องมองเธอผ่านกระจกข้างหน้า
ก่อนจะฉีกยิ้มกระชากใจพร้อมกระชับวงแขนที่โอบรอบเอวเล็กเอาไว้แน่นกว่าเดิม

“ก็เธออยากได้ชุดนอน…พี่ก็กำลังจะจัดชุดนอนให้อยู่นี่ไง…”

“พี่รังบ้า…”สิ้นรักก้มหน้างุดไม่กล้าสบตาเขา เพราะมันดูร้อนเร่า
จนทำให้หัวใจเธอสั่นสะท้านแทบหลอมละลายราวเทียนโดนไฟเผา…

“ก็ใครหาเรื่องแกล้งพีี่ก่อน…”รังสิมันต์เอ่ยด้วยน้ำเสียงหวานนุ่ม

“ไม่รักพี่เหรอครับ…”

“รัก…ค่ะ…แต่…”สิ้นรักยังคงก้มหน้าตอบ รังสิมันต์จึงรวบผมนุ่มลื่นของเธอ
มาไว้ข้างหลังแล้วจับบ่าทั้งสองให้หันมาทางเขา…สิ้นรักตกใจ
เมื่อเห็นว่าเขาอยู่ในชุดนอนเรียบร้อยแล้วแถมเนื้อกายของเขายังได้กลิ่นสบู่อ่อนๆด้วย

…นี่ก็แสดงว่าพี่รังอาบน้ำแล้ว…
แล้วเขาหนีไปอาบน้ำที่ไหนมา

“แต่อะไรครับ…”รังสิมันต์ก้มหน้าแล้วเชยคางคนตัวเล็กขึ้นมาขณะถาม

“คือว่า…รัก…รักยังไม่พร้อ…”แล้วถ้อยคำสุดท้ายก็หายไปพร้อมกับ
ริมฝีปากหยักที่ประกบริมฝีปากบางสวยได้รูป ก่อนจะค่อยๆมอบสัมผัสรัก
ด้วยการจุมพิตอันแสนดูดดื่มให้กับเจ้าหล่อน

มีหรือที่เขาจะยอมปล่อยให้เธอปฏิเสธ ในเมื่อเขารอวันนี้มานาน
ไม่มีวันที่เขาจะปล่อยให้คืนส่งตัวผ่านไปโดยที่เขาไม่ได้ตักตวงความหอมหวาน
จากเกสรดอกไม้ดอกนี้เป็นแน่…เขาทั้งอดทนและรอคอยให้ดอกไม้ดอกนี้
เป็นกรรมสิทธิ์ของเขาอย่างถูกต้องมานาน

เขาไม่ได้ต้องการเป็นแค่หนอนผีเสื้อที่ได้แต่มองดูดอกไม้ที่แสนหอมและเย้ายวน
ชวนให้หลงใหลด้วยความชื่นชมอย่างเดียว หากเขาอยากเป็นผีเสื้อ
อยากเป็นเจ้าของดอกไม้ดอกนี้แต่เพียงผู้เดียว…

“ดอกกุหลาบขาวของพี่…”รังสิมันต์รำพันออกมา
เมื่อผละออกจากริมฝีปากหอมหวานตรงหน้านั้น

…สิ้นรักที่ได้สติลืมตาขึ้นก็เห็นแววตาดำสนิทตรงหน้าที่ตรึงใจเธอ
มิให้หันไปทิศทางใดได้อีกในยามนี้

“อย่าเพิ่งปฏิเสธพี่เลยนะครับคนดีของพี่…”เสียงหวานนุ่มนั้นทำเอา
คนฟังถึงกับฝันเคลิ้มจนลืมสิ้นทุกอย่าง แม้แต่อาการบ้าจี้
ที่ได้เตือนเจ้าบ่าวของเธอไปก่อนหน้านี้

สุดแล้วแต่เขาจะนำพาเธอไปยังที่ใด

รังสิมันต์เห็นทีท่านิ่งนั้นก็ยิ้มกว้างหลังจากนั้นจึงอุ้มร่างเล็กไปวางไว้บนเตียง
ก่อนจะค่อยๆก้มลงจุมพิตหน้าผากมนระเรื่อยลงมาตามสันจมูกโค้งงอนสวย
แล้วจึงลิ้มรสริมฝีปากนั้นอย่างสุขสำราญอีกครั้ง

แต่ยังไม่ทันไร เสียงระฆังก็ดังขึ้นเสียก่อน

“ก็อกๆๆ”ทั้งสองหลุดจากภวังค์รักด้วยแววตาตกใจ รังสิมันต์ตั้งสติ
ถามออกไปว่า

“มีอะไร…”

“โกดังของเราระเบิดครับนายหัว ตอนนี้ไฟลามไปถึงบ้านพักคนงานแล้วครับ…”

เสียงนั้นดังมาจากหน้าประตูห้องหอ

รังสิมันต์ตกใจก่อนจะก้มลงมองคนตัวเล็กที่แววตาตระหนกตกใจไม่น้อยไปกว่าเขาเลย
ชายหนุ่มจึงก้มลงจุมพิตหนักๆที่ริมฝีปากนั้น
แล้วผละออกมาด้วยความอาลัยอาวรณ์

“พี่ขอโทษนะครับ…”พูดพลางก็รีบลุกขึ้นสวมเสื้อที่เพิ่งถอดออกไปเมื่อครู่
ก่อนจะหันมาสั่งกำชับกับสิ้นรักที่ลุกขึ้นนั่งบนเตียงแล้วว่า

“เสื้อผ้าของเธอกับของพี่เก็บอยู่ในห้องทำงานของพี่ แล้วอยู่ในนี้
อย่าออกไปไหนเด็ดขาดนะครับคนดีของพี่ แล้วพี่จะกลับมา…”

ก่อนไปรังสิมันต์หันมาหอมแก้มทั้งสองข้างของเธอก่อนจะจุมพิตที่หน้าผากมน
แล้วจบที่ริมฝีปากอย่างรักใคร่อีกครั้ง…

“ระวังตัวด้วยนะคะ…”น้ำเสียงและแววตาห่วงใยนั้นทำให้รังสิมันต์ยิ้มกว้าง

“ครับ…พี่จะระวังและจะกลับมาหาเธอแน่นอน…แม่ดอกกุหลาบขาวของพี่”



......โปรดติดตามตอนต่อไป....

รู้นะคะว่านักอ่านกำลังลุ้นจนไส้พุงมากองรวมกัน..อิอิ...
แต่แล้วก็ต้องหลุดลอย...ฮ่่าๆๆๆ

น่าเห็นใจพี่รังจริงๆ อุตส่าห์จัดการทุกอย่างเอาไว้อย่างดี...
กะจะลวงหนูให้ลงรูได้สำเร็จแล้วเชียว...แล้วดูๆไปแล้ว หนูของเรา
เขาจะยอมให้งูรัดด้วยความเต้มใจซะด้วย แต่โชคดันไม่ช่วย...
ฮ่าๆๆๆ

โยเอาตอนที่คิดว่านักอ่านหลายท่านกำลังรอมานาน มาให้อ่านแล้วนะคะ
แต่ขอย้ำ ย้ำค่ะว่า...

...เรื่องนี้ยังไม่จบลงง่ายๆแค่ฉากงานแต่งแน่ๆค่ะ...อิอิอิ...
...มันยังอีกยาววววววววววววค่ะ....


ขอคุยกับนักอ่านเมื่อสองยกก่อนหน้าค่ะ...

1.คุณkonhin...ขอบคุณค่ะสำหรับแรงใจที่ส่งมาเชียร์คู่ของเวนไตย...อิอิ
จุ๊บๆค่ะ...ปล.และแล้วก็ถูกจับยัดเข้าห้องหอสำเร็จเสร็จสิ้นพิธีการที่รอกันมา
อย่างยาวนานค่ะ...อิอิอิ...
ต่อไปก็คงต้องมาลุ้นวิธีเคี้ยวหญ้าไม่ค่อยอ่อนของหมอรังกันค่ะ...อิอิอิ

2.คุณบัวขาว...ได้ข่าวมาว่าเจ้าเหมียวเริ่มกินข้าวได้แล้วค่ะ...
ไม่ง้องแง้งแล้ว...เพราะมันเคยรอดตายมาได้สองครั้งแล้วค่ะ...
รถชนแล้วมดลูกมีเลือดออกด้วย...ตอนนั้นมันไม่กินอะไรเป็นสัปดาห์ๆเลยค่ะ
แม้แต่น้ำก็ไม่กิน นึกว่าจะตายแล้ว แต่ก็รอดมาได้ค่ะ...หวังว่ารอบนี้คงรอดจริงๆนะคะ
ปล.โยเอาตอนที่คิดว่านักอ่านน่าจะรอกันมานานให้อ่านกันแล้วนะคะ...
ขอบคุณนะคะที่มาส่งกำลังใจให้เต่าโยบ่อยๆ...จุ๊บๆค่ะ
ปล.อีกที...ตอนที่แล้วสั้นจริงๆค่ะ...เพราะใจความของตอนนั้นมันแค่นั้น
แต่ตอนนี้ใจความสุดยอดแห่งความยาววววววค่ะ...อิอิอิ...
ใช่แล้วค่ะ...อีกอึดใจก็จะได้กลับไปบ้านเรา...รักรออยู่...สู่อ้อมใจของบ้านเก่า
สู่ลำเนาแต่ก่อนมา...รักษาสุขภาพเช่นกันนะคะ...

3.คุณsai...ที่บอกว่ามองอะไรได้กว้างๆๆๆๆๆนั้น...หมายความว่าเห็นอะไรบนคานน้อย
มากขึ้นแล้วใช่มั้ยคะ...อิอิอิ...

4.คุณsupayalak...ดีนะคะที่เรื่องราวยาวเหยียดเฉียดแค่เมืองตรัง
เพราะจริงๆแล้วโยว่ามันยาวไปถึงสถานีรถไฟบัตเตอร์เวร์ธเลยนะคะ...อิอิอิ...
แถมไม่ใช่รถด่วนพิเศษอะไรซะด้วยสิ...ฮ่าๆๆๆ...

5.คุณviolette...ขอบคุณค่ะสำหรับกำลังใจและการติดตาม....
ที่น่าสงสารที่สุดใช่เจ้าลูกแก้วรึเปล่าคะ...แต่ยกนี้โยเอามาให้ชื่นฉ่ำหัวใจกันแล้วนะคะ
ปล.ขอให้งานออกไวๆนะคะ โยเองก็คาดว่างานจะออกก่อนสิ้นปี...
ตอนนี้ไร้เรี่ยวแรงค่ะ...กะจะกลับบ้านไปเอากำลังใจมาสักเข่งสองเข่งเลยค่ะ...อิอิอิ...

6.คุณAprilSK...โยเองก็เครียดถึงจุดเดือดเช่นกันค่ะ...แต่งานมันก็คืองานค่ะ
ทำแล้วได้อะไรหลายๆอย่างที่มากกว่าการได้เงินน่ะค่ะ...อิอิ
ปล.คุณAprilSK...เดาถูกเลยทีเดียวค่ะ เรื่องที่สองหนุ่มนั่นกะจะเซอร์ไพร้สาวๆ...อิอิ

7.คุณgoldensun...เห็นได้ชัดว่าหมอรังไม่ยอมง้อแต่ขอทำเซอร์ไพร้แทน...
งานนี้นางเอกเราคิดมากจนเก็บเอาไปฝันเป็นตุเป็นตะเลยทีเดียว...
แถมยังฝันซ้อนฝันอีก...สงสัยคงคิดมากว่าจะไม่ได้ลงจากคานจนถึงขั้นหมกมุ่น...อิอิอิ
ปล.โยเห็นด้วยค่ะว่า งานเยอะดีกว่าไม่มีงาน เพราะส่วนตัวแล้ว ไม่ว่างานจะยุ่งแค่ไหน
โยสู้ไหวนะคะ ขออย่างเดียว อย่าวุ่นวายด้วยเป็นพอค่ะ...เพราะงานยุ่ง กับวุ่นวายนี้
มันคนละอย่างกันเลยค่ะ...อิอิ...เนื่องจากพอมีคนมาวุ่นวายด้วยแล้ว
งานที่ยุ่งอยู่แล้วก็จะยิ่งยุ่งวุ่นวายไปหมดเลยน่ะค่ะ...สรุปคือ..สู้ต่อไป ทาเคชิ!!!
อิอิอิ...

8.คุณใบบัวน่ารัก...ใช่แล้วค่ะ...คนเราไม่ว่าจะดีจะชั่ว
ล้วนแล้วแต่มีสาเหตุและที่มาของมันค่ะ...ที่สำคัญเลยก็คือ พื้นฐานความคิดน่ะค่ะ
ระหว่างคิดบวกกับคิดลบด้วย...บางคนเผชิญหน้ากับเรื่องเดียวกัน สถานการณ์เดียวกัน
แต่กลับคิดได้แตกต่างกัน พอคิดต่างกัน ผลของการกระทำก็ย่อมต่างกัน...เป็นธรรมดาค่ะ...
ปล.ตอนก่อนหน้านี้ดูเหมือนซาเนียจะดูงี่เง่าไปบ้าง ตามประสาอาการของคนกำลัง
ตกอยู่ในห้วงรักและกำลังสับสนน่ะค่ะ...อารมณ์เลยแกว่งไปแกว่งมา...ไม่เสถียร...เฮะๆ

9.คุณหมีสีชมพู...หมอกานต์ใช่รึเปล่าคะ...อิอิอิ...หมอกานต์บทไม่เยอะค่ะ...
แค่เป็นหนึ่งในผู้ช่วยพ่อบันของนางเอกเราเท่านั้นเองค่ะ...อิอิ...
และแล้วงานรอบที่สามก็ถูกจัดขึ้นโดยไม่บอกให้เจ้าสาวรู้เนื้อรู้ตัว
หรือให้ได้ตั้งตัวกันก่อนเลย...ตุณหมีสีชมพูคงยิ้มได้แล้วใช่มั้ยคะ
เพราะนางเอกเราย่างขาลงจากคานน้อยแล้ว...ฮ่า่ๆๆๆๆ

10.คุณnasa...ขอบคุณค่ะสำหรับคำแซว...อิอิ
แต่เต่าโยขอยืนยันที่จะใช้ชื่อเดิมนะคะ...ฮ่าๆๆ
ไม่ใช่เพราะอะไรหรอกค่ะ...เพราะชื่อเรื่องมันบอกอยู่แล้วว่า "คานน้อย คอยรัก"
วันใดที่นักอ่านอ่านเรื่องนี้จบ ก็จะเข้าใจว่าทำไมเรื่องนี้ต้องชื่ออย่างนี้...
เพราะนางเอกเรา ชื่อ"รัก"ค่ะ...อิอิอิ...และคานที่ว่าก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่อลังการณ์เลย
แค่ "คานน้อย" ซึ่งพร้อมจะหักได้ทุกเมื่อ อิอิอิ...ไม่แปลกเลยค่ะที่แต่ละคนที่อยู่บนคานน้อย
ถึงอยากลงมาจากบนนั้นกัน...เพียงแค่ได้ยินเสียงรถด่วนขบวนสุดท้ายดังเท่านั้นค่ะ...
คานน้อยที่ว่าก็สั่นสะท้านแล้ว...เฮะๆ...ว่ามั้ยคะ...ส่วนคู่เอกอย่างคู่หมอรัง
โยเก็บเอาไว้คู่หลังสุด เพราะเป็นคู่เอกนี่แหล่ะค่ะ...มันมีจุดสำคัญที่สุดของเรื่องที่
โยอยากเขียน และคู่หมอรังจะเป็นผู้ถ่ายทอดมันน่ะค่ะ....

11.คุณPampam...โยว่าหนูสิ้นของคุณPampam ก็ออกอาการงอนไปแล้วนะคะ
แต่หมอรังเขาไม่ได้ง้อเท่านั้นเอง...แต่จัดงานแต่งให้โดยไม่บอกไม่กล่าว
ให้เจ้าสาวรู้ล่วงหน้าเท่านั้นเอง...เลยได้แต่งสมใจเลยคราวนี้...อิอิอิ

12.คุณตุ๊งแช่...ดีใจจังเลยค่ะที่ได้เห็นคุณตุ๊งแช่ส่งเสียงมาให้กำลังใจเต่าโย...
ดีใจที่รู้ว่ามีนักอ่านติดตามอ่านมาหลายปี ยอมรับเลยค่ะว่าโยเขียนเรื่องนี้หลายปีจริงๆ
เพราะกะจะทิ้งทวนให้เรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้าย เนื่องจาก ณ ตอนนั้นกะจะไม่เขียน
นิยายต่อจากเรื่องนี้แล้ว แต่สุดท้้ายก็ยังติดใจ เลยมีเรื่องอื่นๆตามมาอีก
ส่วนเรื่องนี้เลยยาวเพราะพล็อตที่ได้วางเอาไว้มันยาวน่ะค่ะ...ตัดให้สั้นไม่ได้แล้วค่ะ...
ถึงคนเขียนจะหอบแฺฮกๆกับเรื่องนี้สักแค่ไหน ก็ยังจะเขียนต่อไปจนจบค่ะ...
เพราะตั้งใจไว้แล้ว....ผูกเรื่องเอาไว้มาตั้งแต่เดิม จะให้ตัดให้สั้น
มันลำบากสำหรับปัจจุบันมากเลยทีเดียวค่ะ...
ทางเดียวก็คือ เขียนให้จบ แม้จะยาวววววววววววไปจนสุดสายปลายทางสถานีบัตเตอร์เวร์ธ
ซึ่งอยู่อีกประเทศหนึ่งก็ตามค่ะ...ฮ่าๆๆๆ...หวังว่านักอ่านจะรออ่านจนจบ
เหมือนคนเขียนก็พยายามจะเขียนจนจบนะคะ...จุ๊บๆค่ะ...
ปล.อาจไม่ใช่แค่ข้ามปีนี้ก็ได้นะคะ...อิอิอิ...

อ่ะๆๆๆ โยล้อเล่นนะคะ ถ้าไม่มีอะไรติดขัด ชีวิตปกติสุขดี
ต้นปีหน้าก็คงจะจบค่ะ...สำหรับเรื่องนี้...อิอิอิ...

13.คุณLittlewitch...เหมือนจะรู้นะคะว่าโยจะเอาฉากงานแต่งมาให้ในยกนี้
แสดงว่าตัดชุดมาร่วมงานแต่งเรียบร้อยแล้วใช่มั้ยคะนั่น...อิอิอิ...
ปล.เวนไตยเขาพญาครุฑค่ะ ส่วนซาเนียก็พญานาค คนละสปีชีส์กัน
คนนึงก็พยายามเจาะถ้ำอยู่ ส่วนอักคนก็ลอยล่องเวหา...
ก็เลยพูดกันคนละภาษาน่ะค่ะ...ฮ่าๆๆๆ...ขอบคุณนะคะที่แวะมาส่งกำลังใจ
ให้เต่าโย หลังจากที่ปล่อยให้เต่าโยมองหาชื่อนี้อยู่หลายยก...เฮะๆ


สุดท้ายไม่ท้ายสุด...

ขอบคุณทุกไลค์ ทุกกำลังใจ และทุกๆคนที่เข้ามาอ่านมาแวะทักทายเยี่ยมเยือนกันนะคะ...

...แล้วเจอกันยกหน้าค่ะ...


...รักษาสุขภาพกันทุกคนด้วยนะคะ...

"เต่าโย"










yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 ธ.ค. 2555, 22:57:15 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 ธ.ค. 2555, 23:03:08 น.

จำนวนการเข้าชม : 2513





<< ยกที่ 73 My all   ยกที่ 75 รักคือการ(ไม่)ให้ >>
หมีสีชมพู 20 ธ.ค. 2555, 23:33:55 น.
ไม่รู้จะสงสารหรือสมน้ำหน้าพี่รังดี


konhin 20 ธ.ค. 2555, 23:37:05 น.
หึๆๆ ในที่สุดก็ได้แต่ง แต่อดเข้าหอซะงั้น หมอรังผู้น่าสงสาร เฮ้อ


violette 20 ธ.ค. 2555, 23:59:42 น.
กรี๊ดดดดด หมอรังค้างงงงง ฮ่าๆๆๆๆ ระทึกมากค่ะ
พ่อพญาครุฑทำหนูซาเนียเราเสียใจ


sai 21 ธ.ค. 2555, 00:37:34 น.
ตอนนี้อยู่บนคานน้อยอยู่ค่ะ เลยเห็นอะไรกว้างขึ้นเพราะมองจากมุมสูง

ปล.พี่รังไม่ได้เข้าหอ น่าสงสารจังเลย


pattisa 21 ธ.ค. 2555, 08:06:17 น.
อ๊ายยยยยย ยังอุส่ามีอุปสรรคอีก 5555


ใบบัวน่ารัก 21 ธ.ค. 2555, 10:02:37 น.
ทำตัวดีๆหน่อยซาเนียเดียวโดนดีแน่
นี่ก็อีก อะไรกัน จะเข้าห้องหอดีๆไม่ได้ใช่ไหม



Pampam 21 ธ.ค. 2555, 11:25:44 น.
ได้แต่งแล้วนู๋สิ้นกับนู๋ปอง ดีใจด้วยเจงๆ


ตุ๊งแช่ 21 ธ.ค. 2555, 14:43:07 น.
เอ่อ เม้น์เราซะยาวเลย แบบว่าถ้าไม่คุ้นจะไม่ค่อยเม้นท์คะ เข้าใจ คนเขียนอยากอ่านคอมเม้นท์แต่ บางที อาจเม้นท์ไม่ถูกใจเลย ไม่เม้นท์ดีกว่า นอกจาก รู้จักกันค่ะ

จริงเนื้อเรื่องชวนติดตามค่ะ แต่ แอบข้ามบ้าง ช่วงที่เคยอ่านแล้ว ปมเยอะซะจนบางทีคนอ่านจำไม่ได้ว่าใครเป็นชนวนของเรื่องหรือใครพัวพันกับใคร แต่ก็ลุ้นๆให้ลงเอย ถึงไม่ลงเอย ก็อย่าตายอีกเลย ไม่รู้คนเขียนจะเพิ่มอีกกี่ศพ เดาใจ ไม่ถูกเพราะแนวเรื่อง เหมือนต้องมีการสูญเสีย

แต่ชอบสุดคู่ ลมกับปอง และอย่างอ่านลูกๆของคู่ตามกับตะวัน 55 เผื่อคนเขียนจะจใจอ่อนให้คู่นี้แต่งซะที แก่แล้วเดี๋ยวมีลูกไม่ทันใช้

ส่วนคู่รัก นี่ ชีวิตถ้าจะยังไม่พ้นมรสุม

เอ่อ ข้ามปีแน่ใช่ไหมค่ะ งั้น จบก่อนสงกรานต์ไหวไหมค่ะ



goldensun 21 ธ.ค. 2555, 21:44:30 น.
เปิดตอนมาซะสิ้นรักน่าสงสารเชียว ที่แท้ก็คิดมากจนฝันฟุ้งไปเอง
หมอรังกับพี่ลมทำเซอไพรส์ได้ทันใจจัง ทำฝันของเจ้าสาวทั้งสองให้เป็นจริง
เวนไตยสิ หึงจนปากเสีย ทำซาเนียถอดใจเลย
พี่น้องจอมปลวกกระชากหมอรังตกวิมานซะแล้วป


supayalak 22 ธ.ค. 2555, 20:52:01 น.
บอกได้คำเดียว เสียดายยยยยยยยยยยยยยยยยยย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account