คานน้อย คอยรัก (จบแล้วค่ะ)
คานน้อย คอยรัก
ในลักษณ์นั้นว่าประหลาด…………….คนบนคานนั้นว่าน่าประหลาด
เป็นเชื้อชาตินักรบกลั่นกล้า…………...เป็นเชื้อชาตินักรักผู้หาญกล้า
เหตุไฉนย่อท้อรอรา…………………..เหตุไฉนย่อท้อรอเวลา
ฤาจะกล้าแต่เพียงวาที…………………ฤาไม่กล้าบอกรักใครสักที
เห็นแก้วแวววับที่ดับจิต…………………เห็นคานแก้วแวววับสดับจิต
ใยไม่คิดอาจเอื้อมให้ถึงที่……………...ใยไม่คิดปีนไปให้ถึงที่
เมื่อไม่เอื้อมจะได้อย่างไรมี……………อย่ามัวรอจงขึ้นมาเร็วรี่
อันมณีฤาจะโลดไปถึงมือ………………บนคานนี้มีรักให้ฝึกปรือ
อันของสูงแม้ปองต้องจิต………………..คานเราสูงไม่เป็นรองของใครอื่น
ถ้าไม่คิดปีนป่ายจะได้ฤา………………..อย่าได้ขืนลงไปให้เสียชื่อ
มิใช่ของตลาดที่อาจซื้อ………………….มิใช่ทองตามตลาดที่อาจซื้อ
ฤาแย่งยื้อถือได้โดยไม่ยอม……………..เพราะเราถือความพอใจจึงลงไป
ไม่คิดสอยมัวคอยดอกไม้ร่วง……………ไม่คิดสอยมัวคอยให้คานทับ
คงชวดดวงบุปผาชาติสะอาดหอม………..รอให้ดับคาคานหรืออย่างไร
ดูแต่ภุมรินเที่ยวบินตอม…………………..ฤาต้องคอยรักแท้จนแก่ใช่ไหม
จึงได้ออมอบกลิ่นสุมาลี…………………..เกาะคานน้อยคอยรักต่อไป
…………………..........จนกว่าจะเจอคนที่ใช่…ใช่ไหมคาน………………
(อ้างอิงกลอนจากบทละครเรื่องท้าวแสนปม)
มาดูเหตุผลของคนที่ยังไม่ลงจากคานกันค่ะ...
อาจจะมีเหตุผลมากมายที่ไม่อยากลงจากคาน
หรืออาจมีเพียงแค่หนึ่งเหตุผลง่ายๆก็คือ...
...ไม่ใช่คนที่ใช่ก็ไม่ใช่...
หรือว่า
...โดนข้อหาหลายใจ เพราะเคยมีแฟนหลายหน...
หรืออาจเป็นเพรา
...เขาบอกให้รอ เราก็รอ...
หรือจริงๆแล้ว
...ขออยู่รอคนสุดท้ายคนนั้นได้ไหม...
หรือลึกลงไป
...กำลังรอเจ้าชายในฝันอยู่อย่างอดทนได้ทุกอย่าง...
หรือกำลังปลอบใจตัวเองว่า
...ครึ่งหนึ่งของฉันยังมาไม่ถึง...ซึ่งสักวันเขาจะมาอยู่ข้างกัน...
หรือกำลังหลอกตัวเองด้วยการปกปิดว่า
...ไม่หวั่นไหว หัวใจไม่ปรารถนา...
ทั้งๆที่จริงๆแล้ว
...อยากรัก อยากฝัน แต่เพราะกลัว ก็เลยไม่กล้ารักใคร...
หรือว่าอาจจะเป็นเหตผลสุดท้ายที่ไม่ค่อยมีใครกล้ายอมรับดังๆว่า
...ไม่เคยมีใครมาจีบ ไม่มีใครสน เรามันคนธรรมดาๆ...
แต่ไม่ว่าจะเหตุผลใด...
เราก็ยังหวังและยังคงรอคอยปาฏิหาริย์ว่าจะได้เจอคนที่ใช่ในสักวัน...
ในลักษณ์นั้นว่าประหลาด…………….คนบนคานนั้นว่าน่าประหลาด
เป็นเชื้อชาตินักรบกลั่นกล้า…………...เป็นเชื้อชาตินักรักผู้หาญกล้า
เหตุไฉนย่อท้อรอรา…………………..เหตุไฉนย่อท้อรอเวลา
ฤาจะกล้าแต่เพียงวาที…………………ฤาไม่กล้าบอกรักใครสักที
เห็นแก้วแวววับที่ดับจิต…………………เห็นคานแก้วแวววับสดับจิต
ใยไม่คิดอาจเอื้อมให้ถึงที่……………...ใยไม่คิดปีนไปให้ถึงที่
เมื่อไม่เอื้อมจะได้อย่างไรมี……………อย่ามัวรอจงขึ้นมาเร็วรี่
อันมณีฤาจะโลดไปถึงมือ………………บนคานนี้มีรักให้ฝึกปรือ
อันของสูงแม้ปองต้องจิต………………..คานเราสูงไม่เป็นรองของใครอื่น
ถ้าไม่คิดปีนป่ายจะได้ฤา………………..อย่าได้ขืนลงไปให้เสียชื่อ
มิใช่ของตลาดที่อาจซื้อ………………….มิใช่ทองตามตลาดที่อาจซื้อ
ฤาแย่งยื้อถือได้โดยไม่ยอม……………..เพราะเราถือความพอใจจึงลงไป
ไม่คิดสอยมัวคอยดอกไม้ร่วง……………ไม่คิดสอยมัวคอยให้คานทับ
คงชวดดวงบุปผาชาติสะอาดหอม………..รอให้ดับคาคานหรืออย่างไร
ดูแต่ภุมรินเที่ยวบินตอม…………………..ฤาต้องคอยรักแท้จนแก่ใช่ไหม
จึงได้ออมอบกลิ่นสุมาลี…………………..เกาะคานน้อยคอยรักต่อไป
…………………..........จนกว่าจะเจอคนที่ใช่…ใช่ไหมคาน………………
(อ้างอิงกลอนจากบทละครเรื่องท้าวแสนปม)
มาดูเหตุผลของคนที่ยังไม่ลงจากคานกันค่ะ...
อาจจะมีเหตุผลมากมายที่ไม่อยากลงจากคาน
หรืออาจมีเพียงแค่หนึ่งเหตุผลง่ายๆก็คือ...
...ไม่ใช่คนที่ใช่ก็ไม่ใช่...
หรือว่า
...โดนข้อหาหลายใจ เพราะเคยมีแฟนหลายหน...
หรืออาจเป็นเพรา
...เขาบอกให้รอ เราก็รอ...
หรือจริงๆแล้ว
...ขออยู่รอคนสุดท้ายคนนั้นได้ไหม...
หรือลึกลงไป
...กำลังรอเจ้าชายในฝันอยู่อย่างอดทนได้ทุกอย่าง...
หรือกำลังปลอบใจตัวเองว่า
...ครึ่งหนึ่งของฉันยังมาไม่ถึง...ซึ่งสักวันเขาจะมาอยู่ข้างกัน...
หรือกำลังหลอกตัวเองด้วยการปกปิดว่า
...ไม่หวั่นไหว หัวใจไม่ปรารถนา...
ทั้งๆที่จริงๆแล้ว
...อยากรัก อยากฝัน แต่เพราะกลัว ก็เลยไม่กล้ารักใคร...
หรือว่าอาจจะเป็นเหตผลสุดท้ายที่ไม่ค่อยมีใครกล้ายอมรับดังๆว่า
...ไม่เคยมีใครมาจีบ ไม่มีใครสน เรามันคนธรรมดาๆ...
แต่ไม่ว่าจะเหตุผลใด...
เราก็ยังหวังและยังคงรอคอยปาฏิหาริย์ว่าจะได้เจอคนที่ใช่ในสักวัน...
Tags: ดราม่า หวานซึ้ง อบอุ่น หมอรัง สิ้นรัก วายุ ปองขวัญ
ตอน: ยกที่ 74 มงกุฏกุหลาบขาวกับสะพานดาว
ยกที่ 74 มงกุฏกุหลาบขาวกับสะพานดาว
สิ้นรักตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองอยู่ในห้องที่ไม่คุ้นตา
มันดูแคบกว่าห้องที่เธอเคยพักอาศัยมา แถมมันยังให้ความรู้สึกโคลงเคลงอีกด้วย
หญิงสาวลุกขึ้นก็พบกับตัวเองกำลังอยู่ในชุดสีขาว เมื่อมองดูอย่างพิจารณา
ดวงตาที่กำลังงัวเงียอยู่ก็ถึงกับเบิกกว้าง ชุดสีขาวดังกล่าวคือชุดเจ้าสาว
ที่เธอออกแบบและตัดเย็บเอาไว้สำหรับวันแต่งงานของตัวเอง…
สิ้นรักมองบรรยากาศรอบห้องก่อนจะเดินไปยังกระจกบานใหญ่
เห็นเงาหญิงสาวในชุดสีขาว ใบหน้าถูกแต่งแต้มด้วยสีสันสดใส
เสียงภายในกระซิบบอกเธอว่า หญิงสาวตรงหน้าสวย
เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะสวยอย่างที่เห็นในกระจก
…ใครกันที่ทำให้เธอเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้…
ไวเท่าความคิด หญิงสาวเดินไปยังหน้าต่างห้องก่อนจะเปิดมัน
ภาพเบื้องหน้าทำให้หัวใจของสิ้นรักกระตุก หมอกสีขาว พื้นน้ำสีคราม
ที่มีระลอกคลื่นกระเพื่อมสะท้อนแสงระยิบระยับ แม้ไม่มีใครบอกเธอก็รู้ดีว่าตัวเองอยู่ที่ไหน…
หญิงสาวจับกระโปรงแล้ววิ่งไปยังประตูเพื่อเปิดออกสู่ภายนอก
ภาพที่เห็นคือ ชายในชุดสีขาว กำลังยืนรอเธออยู่หน้าประตู ใบหน้าของเขาแต้มยิ้ม
แลดูอ่อนโยนราวกับสายหมอกในทะเล อบอุ่นดั่งแสงที่ตกกระทบบนผิวน้ำ
และถ้าเธอไม่ได้ตาฝาดเธอแน่ใจว่าตาของเธอมองเห็นรัศมีสีขาวเรืองรองรอบๆตัวเขา
เขาไม่ใช่เทพบุตร เขาไม่ใช่เจ้าชาย หากเขาคือมนุษย์ เขาคือชายที่เธอรัก
“พี่รัง…”สิ้นรักเรียกชื่อนั้นด้วยน้ำเสียงที่คิดว่าอ่อนหวานที่สุดเท่าที่จะทำได้
เขายิ้มกว้างกว่าเดิมจนเห็นฟันสีขาวเรียงสวย น่ามองยิ่งนัก
“ส่งมือมาสิครับ…”น้ำเสียงทุ้มนุ่มนั้นราวกับมีพลังอำนาจที่ทำให้หญิงสาวทำตาม
มือที่กุมมือเธอเอาไว้ มันให้ความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยอย่างที่เธอไม่เคยรู้สึกมาก่อน
เหมือนความรักของเขาส่งผ่านมาถึงเธอด้วยมือของเขา…
สิ้นรักเงยหน้าขึ้นมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของชายที่เธอรัก
ไม่ว่าเขาจะพาเธอไม่ยังทิศใด เธอหาสนใจไม่ ดวงหน้า แววตาปราศจากความกังวล
เพียงแค่เขาจะกุมมือเธอเอาไว้อย่างนี้ตลอดไปสิ่งใดเธอก็ไม่กลัว…
ทุกก้าวที่เธอเดินเคียงข้างเขา มันทำให้เธอมีความสุข
รู้สึกดีใจและยินดีที่มีเขาอยู่ข้างๆแบบนี้…จนอยากหยุดห้วงเวลานี้เอาไว้
เวลาที่ช่างเหมือนภาพฝัน…ใช่แล้ว…มันช่างเหมือนภาพฝันเหลือเกิน…
ทว่าเพียงแค่เสี้ยววินาทีที่หยุดคิด อยู่ๆภาพที่เธอเห็นก็พลันมลายหายไป…
แทนด้วยภาพเพดานห้องที่แสนคุ้นตาและภาพข้างฝาที่เธอเป็นคนวาด
กลิ่นทะเลกับเสียงคลื่น…สิ้นรักถอนใจยาวด้วยสีหน้าเสียดาย
“ฝันไป…เราแค่ฝันไปเท่านั้น…”เสียงพึมพำดังขึ้น
ใช่แล้ว ภาพที่เราเห็นเมื่อครู่ มันเป็นแค่เพียงภาพฝัน ทุกอย่างหยุดเอาไว้แค่ฝัน…
แล้วน้ำตาที่ไม่รู้ว่ามาได้ยังไง และทำไมต้องไหลในตอนนี้ก็ไหลหลั่งลงมาเป็นสาย
ทำไมต้องร้องไห้ด้วย ทำไมเราต้องอ่อนแอ มันก็แค่ความฝัน
ความฝันที่เป็นเหมือนจิตใต้สำนึกลึกๆที่เราต้องการให้เป็นไม่ใช่เหรอ
และดูเหมือนจะเป็นเพียงแค่ตอนที่หลับเท่านั้นใช่ไหมที่เธอกับเขา
มีวันเวลาที่ได้เดินเคียงข้างกันในฐานะคู่ชีวิต ที่ไม่ใช่แค่เพียงคู่รัก
ที่ได้แต่เฝ้ารอวันที่รอคอย ที่ไม่รู้ว่าจะมาถึงเมื่อไหร่…
และดูเหมือนว่ามันจะห่างไกลออกไปเรื่อยๆ เมื่อเขาไม่เอื้อนเอ่ยถึงวันนั้นอีกเลย
ยิ่งเหตุการณ์ล่าสุดที่เธอเจอยิ่งตอกย้ำว่ายิ่งเป็นไปได้ยาก
ที่เธอกับเขาจะเดินร่วมทางกันได้…เมื่อเธอเห็นเขากับอากิโกะเดินกลับเรือนมาด้วยกัน
โดยที่ในมือของอากิโกะนั้นมีดอกกุหลาบสีขาวนับสิบดอก…
ทั้งๆที่เขาบอกกับเธอเองว่า ดอกกุหลาบสีขาวนั้น
เป็นดอกกุหลาบที่เป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงรักแท้ รักบริสุทธิ์
แล้วที่เขาทำแบบนี้ เขาต้องการจะบอกอะไรกับเธอกันแน่…
นี่หรือคือคนที่บอกว่ารักเธอหนักหนา…ทำไมเขาถึงใจดำทำร้ายจิตใจเธอขนาดนี้…
ตอนที่เขากับอากิโกะเจอหน้าเธอ สีหน้าของเขาดูซีดลงนิดนึง
แต่ก็ปรับให้เป็นปกติได้เพียงไม่กี่วินาที
เขาคงไม่รู้ว่าเธอเห็นแววตาที่ดูตกใจสุดขีดตอนที่เจอเธอเข้าโดยบังเอิญนั้นของเขา
ตอนนั้นเธอทำได้แต่กัดปากและกักเก็บความรู้สึกแล้วเดินกลับเรือนไป…
ไม่มีการตามมาง้องอน ไม่มีการเคาะประตูห้องเพื่อเคลียร์ปัญหาในใจเธอ
หรือว่าเขาไม่แคร์เธออีกแล้ว…ยิ่งคิดน้ำตาของหญิงสาวก็ยิ่งไหล
ทว่า เสียงประตูห้องก็ปลุกให้หญิงสาวตื่นจากความคิดต่างๆ
ก่อนจะปาดน้ำตาจนแห้งสนิท แล้วลุกจากที่นอนเดินไปเปิดประตูห้อง
“มีอะไรเหรอปอง…”สิ้นรักถามเพราะเห็นเพื่อนยืนทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่หน้าประตูห้อง
“พี่รังหายไป คุณอากิก็หายไปด้วย…”คนฟังตกใจ ไม่คิดว่าสิ่งที่ได้ยินจะเป็นความจริง
“เป็นไปได้ไง เกิดอะไรขึ้นเหรอ…”เพื่อนของเธอเอาแต่ส่ายหน้า
“พี่ลมบอกว่าตื่นขึ้นมาก็ไม่พบทั้งสองแล้ว พ่อเจ้าแฝดก็เอาแต่นั่งก้มหน้า
ไม่พูดไม่จา ส่วนเจ้าแฝดก็เอาแต่ถามหาแม่จัง…”
สิ้นรักรู้สึกเหมือนกับกำลังยืนอยู่ในเรือที่กำลังโคลงเคลง จึงรึบใช้มือคว้าขอบประตูไว้แน่น
ไม่ให้ร่างของตัวเองล้มลงไปกองกับพื้น…
“บางทีเขาสองคนอาจมีธุระที่ไหนก็ได้นะไอ้สิ้น…”
ใช่…บางที…บางทีนะ
สิ้นรักพยายามปลอบใจตัวเองอย่างที่เพื่อนกำลังพยายามปลอบใจเธอด้วยเหตุผลนั้นอยู่…
แต่ตลอดระยะเวลาหลายวันหรืออาจจะเรียกได้ว่าร่วมเดือนเลยทีเดียว
ที่เขาดูจะสนิทสนมกับอากิโกะกว่าทุกครั้ง
ดูสนิทกันมากจนเธอไม่อาจปล่อยความคิดในทางลบออกไปจากหัวได้
“หาทั่วเกาะแล้วเหรอปอง…”เพื่อนของเธอพยักหน้า
“มีคนงานเห็นเขาสองคนออกเรือไปด้วยกัน…เสื้อผ้าก็เอาไปด้วย…”
ในที่สุดสิ่งที่เธอกลัวที่สุดก็มาเยือน
“แล้วนี่…”เพื่อนของเธอยื่นกระดาษที่พับอยู่ส่งให้ เธอจึงรับมันไว้
ก่อนจะพยายามตั้งสติ หายใจเข้าลึกๆแล้วเปิดมัน…
ข้อความในนั้น เขียนถึงความลับในใจของเขา
‘เราต่างก็เหน็ดเหนื่อยและเจ็บปวดกันมามากพอแล้วกับการซื้อเวลา…
พี่ขอโทษที่ทำให้เธอร้องไห้เสียใจ และทำให้ต้องเสียน้ำตาครั้งแล้วครั้งเล่า
พี่มันไม่ดีเองที่รักคนอื่นไม่เป็น พี่พยายามแล้ว
แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนใจให้รักเธอได้จริงๆ พี่เคยท้อแท้กับการรักคนมีเจ้าของ
และได้แต่เฝ้ารอว่าเมื่อไหร่รักที่รอคอยจะสมหวัง
หลายครั้งที่อากิพยายามผลักไสพี่ให้รักคนอื่น แต่พี่รักอากิหมดใจ
จนรักคนอื่นไม่เป็นอีกแล้ว…พี่ขอสารภาพว่าพี่มันเลวที่ทำแบบนี้…
แต่พี่ยอมเป็นคนเลว…ถ้ามันทำให้คนที่พี่รักรักพี่ได้…
และวันนี้พี่ก็ทำสำเร็จแล้ว…เราสองคนรักกัน…พี่พร้อมสูญเสียทุกอย่างที่มีในชีวิต
ขอแค่ได้มีวันเวลาที่ดีๆกับคนที่พี่รัก…พี่รักอากิ…’
มือที่กำลังจับกระดาษสั่นสะท้าน น้ำตาพรั่งพรูลงมาเป็นสาย
ปากบางก็สั่นระริก จนฟันกระทบกันเกิดเสียง คนที่พี่รักเหรอ…
เขากล้าประกาศคำว่าคนที่พี่รักให้เธออ่านได้ราวกับไม่สะทกสะท้าน
ราวกับว่าเรื่องระหว่างเขากับเธอไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นเลยสักนิดอย่างนี้ได้อย่างไร
…นี่เขาหลอกให้เธอรัก แล้วหักหลังกันอย่างนี้ได้ยังไง
หัวใจของเขาทำด้วยอะไรกัน ทำไมถึงได้ใจร้ายเหลือเกิน…
นี่หรือคือคนที่เคยบอกว่ารักเธอหนักหนา คำว่ารักของเขาที่มอบให้เธอ
ที่ผ่านมามันเป็นแค่คำลวงเท่านั้นใช่ไหม…
สิ้นรักเข่าอ่อนทรุดลงกับพื้น มีเพียงเสียงปลอบประโลมจากเพื่อนรัก
ที่เธอแทบไม่ได้ยินด้วยซ้ำ เพราะมีแต่เสียงทุ้มนุ่มของเขาที่เธอได้ยินกับรอยยิ้ม
และมือที่กุมมือเธอในความฝันก่อนที่จะตื่นขึ้นมาพบกับความจริงที่ว่าไม่มีเขาอีกต่อไป
แทรกอยู่ในหัวของเธอเท่านั้น
…เขาทำแบบนี้กับเธอได้ยังไง…ไม่รักกันก็ไม่น่าทำร้ายกันขนาดนี้…
ร่างของเธอจึงถูกเพื่อนประคองให้กลับไปยังเตียงนอนอีกครั้ง เธออยากจะหลับตา
หลับไปแล้วไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีกเลย
เธอไม่ต้องการน้ำตาอีกต่อไปแล้ว แต่ภาพรอยยิ้มของเขายังคงติดตาตรึงใจ
ถ้อยคำที่เคยบอกว่ารักเธอ กับคำที่ย้ำว่าเขาจะไม่มีวันรักใครอีกยังคงดังก้องกังวานไปมา
ก่อนจะพยายามหลับตาลง หลับทั้งๆที่หลั่งน้ำตา…หวังเพียงว่าตื่นขึ้นมา เธอจะลืมทุกอย่าง…
“หนูรัก หนูรัก…หนูรัก…”เสียงจากที่ไหนกันที่เรียกเธอ
ไม่ ไม่ เธอจะไม่ยอมตื่นหรอก จะไม่ยอมตื่นขึ้นอีกเด็ดขาด…
ความจริงมันน่ากลัวเหลือเกิน เธอจะขอหลับฝันต่อไปอย่างนี้
แม้ความจริงจะไม่มีพี่รังอีกต่อไปแล้ว แต่พี่รังก็ยังคงอยู่กับเธอในความฝัน
ไม่หนีไปไหนไกล…และก็ไม่หนีไปไหนกับใคร…
“หนูรัก…ตื่นเถอะ…ลืมตาเถิด…”ไม่ อย่ามาเรียกนะ
ยังไงก็จะไม่ยอมลืมตาเด็ดขาด…ในเมื่อชีวิตจริงไม่มีเขา
เธอจะตื่นไปเจอกับมันเพื่ออะไร…เธอแค่อยากให้พี่รังกับเธอ
ได้ยืนเคียงข้างกันและเดินร่วมทางไปด้วยกันตลอดไปอย่างที่หวังและตั้งใจไว้…
แต่มันก็ไม่มีทางเป็นจริงได้อีกแล้ว…
ที่เธอทำได้ก็แค่ฝัน…ขอให้เธอได้หลับฝันอยู่อย่างนี้จนชั่วชีวิตเถิด
อย่าให้เธอต้องตื่นไปพบเจอกับเรื่องจริงเรื่องใดอีกเลย…
ขอให้เธอได้กอดเขาเอาไว้ในความฝันอย่างนี้ต่อไปเถิด
ให้เธอได้อยู่ในความฝันตลอดไปได้ไหม…ในเมื่อชีวิตจริงเธอต้องสูญเสียเขาไป
ก็ขอแค่ให้เธอมีเขาอยู่ในความฝัน ขอแค่ฝันเท่านั้น…เท่านั้นจริงๆ
“ตื่นเถอะนะคะ…นมขอร้อง…ทุกคนกำลังรอหนูรักอยู่นะคะ…”
นม นี่มันเสียงนมนี่นา นมมาทำอะไรที่นี่
“ตื่นเถอะหนุ่ย…”
พ่อ เสียงของพ่อบันนี่!
พ่อบันมาทำอะไรที่ห้องของเธอ แล้วมือใครกันที่กำลังปัดป่ายที่ตรงใต้ขอบตาของเธออยู่
“เลิกร้องไห้แล้วลืมตาเถอะลูก…ตื่นขึ้นมามองพ่อ…”
น้ำเสียงอ้อนวอนของพ่อทำให้เธอใจอ่อนจนยอมละทิ้งภาพฝัน
แล้วค่อยๆเปิดเปลือกตามองดูภาพใบหน้าของบิดา
ก่อนจะหันไปทางนมที่ส่งเสียงมาไม่ขาดสายด้วยสีหน้าดีใจ
ก่อนจะตกใจกับสภาพของตัวเอง ชุดเจ้าสาวสีขาว
ชุดที่เธอออกแบบและตัดเย็บด้วยตัวเองกับผ้าคลุมสีเดียวกัน
ที่คลุมล้อมกรอบใบหน้าของเธอ…
นี่อย่าบอกนะว่าเธอหลับไปทั้งสภาพอย่างนี้
แล้วทำไมเธอถึงจำอะไรเกี่ยวกับชุดเจ้าสาวไม่ได้เลยล่ะ
เธอสวมชุดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมถึงนึกไม่ออก
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นคะพ่อ…”สิ้นรักถามบิดาด้วยแววตาประหลาดใจ
เธอยังฝันอยู่อีกรึเปล่า ชักงงแล้วสิ…
“อย่าเพิ่งถามเลย…เดี๋ยวช่างแต่งหน้าจะช่วยหนุ่ยตอบคำถามเอง…”
เพียงเท่านั้น เลอเลิศก็เผยโฉมพร้อมหีบสมบัติที่นำติดกายตลอด
ก่อนจะวางหีบสมบัตินั้นลงบนเบาะนุ่ม
"ไปล้างหน้าแปรงฟันก่อนนะน้องสิ้น.."แล้วสิ้นรักก็ถูกจูงไปยังห้องน้ำ
ก่อนจะออกมานั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งแล้วเลอเลิศก็เริ่มซับหน้าเธอ
หลังจากนั้นก็เริ่มทำการแต่งหน้าเธอโดยไม่ยอมพูดหรืออธิบายอะไร
นอกจากบอกให้เธอเงียบ…เพียงไม่นานทุกอย่างก็เป็นอันว่าเสร็จ
ท่่ามกลางความมึนงงของสิ้นรัก…นี่มันเกิดอะไรขึ้น
ทำไมเธอถึงยังมึนๆ จับหัวจนปลายไม่ได้ แถมยังทำอะไรไม่ถูกเลย…
“เจ้าสาวของเราพร้อมจะเดินทางแล้วล่ะค่ะ…”
เสียงนั้นเป็นเสียงของแมงมุมที่ไม่รู้ว่าอยู่ๆโผล่หัวมาจากไหน…
แต่ท้องโย้ๆของแม่คุณทำให้สิ้นรักอดยิ้มขำไม่ได้
เพราะมันดูไม่เหมือนแมงมุมผอมโซแต่ก่อนเลยสักนิดเดียว
แต่เมื่อกี้ แมงมุมพูดคำว่า เจ้าสาวใช่มั้ย…
“นี่มันอะไรกันคะ…”ทุกคนนิ่งไม่ยอมตอบเธอแม้แต่คนเดียว
พ่อบันของเธอส่งมือมารับเธอพร้อมรอยยิ้ม
“คงได้เวลาแล้วจริงๆ…ว่าแต่อีกฟากนึงเรียบร้อยรึยังมุม…”เสียงพ่อของเธอ
ดูสดใสกว่าทุกครั้ง
“เรียบร้อยแล้วค่ะอาบัน…”
“งั้นเราก็ไปกันเถอะ”คำว่าเรา ทำให้สิ้นรักหันไปมองรอบๆกาย
เห็นคำว่าเราที่รวมตัวกัน ซึ่งประกอบไปด้วยพ่อของเธอ แม่นมมูนะ
แมงมุม พี่เริศ…แล้วไอ้ปองล่ะ ไอ้ปองหายไปไหน
ว่าแต่พ่อบันจะจูงมือพาเธอไปไหนกัน
และเมื่อประตูห้องถูกเปิดออกเท่านั้น…สิ้นรักก็ถึงกับตกใจ ดวงตาเบิกกว้าง
เรือนไม้หลังงามที่ว่างามแล้วกลับงดงามยิ่งกว่าวันไหนๆ
งามยิ่งกว่าที่ใดในโลกที่เธอเคยพบเจอ…เมื่อมันถูกประดับประดาไปด้วย
ดอกกล้วยไม้สีเหลืองที่แขวนรอบๆระเบียงบ้าน
ทุกซอกมุมมีสีเหลืองของเจ้าเอื้องผึ้งห้อยระย้า มีครอบครัวของคุณลุงซึ่งประกอบไปด้วย
คุณลุง คุณป้า พี่ริวและพี่สะใภ้รวมทั้งหลานสาวตัวน้อยๆของเธอ
ที่คงเดินทางมาจากญี่ปุ่นมายืนยิ้มต้อนรับอยู่หน้าห้องพร้อมคำอวยพร
ซึ่งก็แสดงว่าครอบครัวของคุณลุงก็ต้องรับรู้ว่าวันนี้จะมีอะไรแปลกๆประหลาดแบบนี้เกิดขึ้นกับเธอน่ะสิ
ไม่อย่างนั้น จะมายืนอยู่ตรงหน้าเธอได้อย่างไร
แล้วเมื่อหันไปด้านข้างก็พบกับหญิงสาวในชุดสีขาว
ที่เดินมาหยุดยืนอยู่ข้างๆเธอไม่ห่างไกลด้วยสีหน้าตกใจไม่แพ้เธอเลย
เพื่อนรักของเธอกำลังอยู่ในชุดเจ้าสาวสีขาวที่เธอเป็นคนออกแบบและตัดเย็บให้
ใบหน้าถูกตกแต่งอย่างปราณีตงดงามราวกับเจ้าหญิง
แล้ววันนี้สองสาวกลับพบว่ามีสะพานที่เชื่อมระหว่างเรือนหลังงาม
ที่ทั้งสองพักอยู่กับเรือนหลังใหญ่ที่เคยตั้งใจให้เป็นเรือนหอรอรักของทั้งสองคู่ชูชื่น…
ยิ่งในยามค่ำคืนเช่นนี้ยิ่งทำให้รู้ว่าสะพานดังกล่าวมิใช่สะพานธรรมดาอย่างที่เคยเห็นมา
ถ้าจะเรียกมันว่าสะพานดาวก็คงไม่ผิดนัก เพราะว่าตลอดเส้นทางมีแสงระยิบระยับ
สวยงามจับตาราวกับดวงดาวบนท้องฟ้าส่องแสงกะพริบอยู่…
โดยที่ปลายทางที่่แท้จริงจะสิ้นสุดตรงไหนนั้น สองสาวไม่อาจรู้ได้
รู้แค่ว่า ณ ที่นั้น มีใครรอเธอทั้งสองอยู่
สิ้นรักกับปองขวัญจึงหันมามองหน้ากันแล้วยิ้มออกมาพร้อมน้ำตาที่เอ่อคลอด้วยความตื้นตัน
เมื่อรู้ว่าวันที่รอคอยมาเยือนทั้งสองโดยไม่ทันตั้งตัว
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง หรือว่านี่คือความฝัน
แต่ก็ช่างมันเถอะ จะจริงหรือฝัน เธอไม่สนใจหรอก…
ในเมื่อมือของพ่อที่กุมเธออยู่มันดูอบอุ่นเสียขนาดนี้ มันจะเป็นอะไรก็ช่างมัน…
“หนุ่ยคือแก้วตาดวงใจของพ่อ คือทุกสิ่งในชีวิตที่พ่อมี และไม่มีของมีค่าใด
ที่จะแทนค่าเทียมเท่าหนุ่ยได้…พระเจ้าสร้างหนุ่ย มอบหนุ่ยให้พ่อคุ้มครอง
จับมือพ่อ แล้วพ่อจะพาหนุ่ยเดินไปสู่ปลายทางที่ดี…”
สิ้นรักยิ้มพร้อมกับพยักหน้า แล้วกระชับมือบิดาเอาไว้แน่น
รับรู้ได้ถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ที่ผู้เป็นบิดามอบให้เธอมาทั้งชีวิต
ปองขวัญก็เช่นกัน ถึงแม้บิดาของเธอจะไม่ค่อยมีเวลาสนใจหรือเอาใจใส่ลูกสาวอย่างเธอ
แต่เวลานี้ ผู้เป็นบิดากลับทำให้เธอรู้ว่า ไม่มีอุ้งมือไหนจะยิ่งใหญ่เท่าอุ้งมือของผู้เป็นพ่อ
ยิ่งถ้อยคำที่พ่อของเธอพูดกับเจ้าบ่าวของเธอยามที่ส่งมือเธอให้กับเขา
เมื่อพาเธอเดินข้ามสะพานดาวนับพันดวงมาจนถึงปลายทางได้สำเร็จ
มันทำให้น้ำตาแห่งความตื้นตันและซาบซึ้งใจไหลออกมาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
เพราะปลายทางที่ว่าคือปลายทางที่เดินผ่านสะพานดาว
แล้วก้าวสู่เส้นทางที่มีคบเพลิงที่คอยให้แสงสว่างไปตลอดทาง
เมื่อสุดทางจึงพบสถานที่ที่แสนงดงาม
มีศาลาสีชมพูกลางสวนกุหลาบขาวปรากฏต่อสายตาของเธอและเพื่อนของเธอ…
สองสาวยืนมองภาพกุหลาบขาวนับพันดอกที่กำลังชูช่อบานสะพรั่ง
พร้อมกับแขกเหรื่อที่ยืนล้อมสวนกุหลาบราวกับจะมาร่วมเป็นสักขีพยาน
ในพิธีแต่งงานของทั้งสองคู่…
ซึ่งพิธีดังกล่าวจะเกิดขึ้นในศาลาที่อยู่ตรงใจกลางของสวนกุหลาบขาว
ในนั้นมีม่านสีขาวกั้นกลางเอาไว้ มีกลุ่มคนประมาณสิบคนล้อมวงอยู่อีกฟากฝั่งหนึ่งของม่าน…
บิดาของสิ้นรักและปองขวัญจึงจูงมือลูกสาวเข้าไปยังศาลาดังกล่าว
ยังอีกฟากฝั่งหนึ่งที่ไม่มีใคร หากมีที่นั่งอย่างดีไว้รอรับแล้ว…
ซึ่งก็พอดีกับที่โต๊ะอีหม่าม ผู้นำศาสนาเดินเข้ามาถามเจ้าสาวทั้งสองว่า
“หนูจะรับนายหัวรังสิมันต์ ยุรยวรวงศ์ ลูกชายของนายนาลันธ์ ยุรยวรวงศ์ผู้ล่วงลับ
กับนางแพรวา ยุรยวรวงศ์ เป็นสามีหรือไม่…”
สิ้นรักยิ้มสดใสก่อนจะพยักหน้ารับอย่างเต็มอกเต็มใจ
“รับค่ะ…”หลังจากนั้นโต๊ะอีหม่ามก็หันไปถาม ปองขวัญ
“หนูจะรับนายวายุ อาทิตยะ ลูกชายนายภูผา อาทิตยะ
กับศาสตราจารย์แพทย์หญิงนารา อาทิตยะ ผู้ล่วงลับไปแล้วหรือไม่…”
ปองขวัญยิ้มรับพร้อมกับพยักหน้า
“รับค่ะ…”เป็นอันว่าเสร็จพิธี เพราะก่อนหน้าที่โต๊ะอีหม่ามจะเข้ามาถามเจ้าสาวนั้น
ได้ถามทางฝ่ายเจ้าบ่าวทั้งสองแล้วว่าจะรับเจ้าสาวในนามดังกล่าวเป็นภรรยาหรือไม่…
ซึ่งทางเจ้าบ่าวต่างยอมรับเช่นกัน…
ดังนั้นทั้งทางเจ้าบ่าวและเจ้าสาวจึงลงลายมือชื่อเพื่อยืนยันเป็นหลักฐานในเอกสารทางศาสนา
ว่าทั้งสองได้ตกลงเป็นสามีภรรยากันแล้วพร้อมด้วยลายมือชื่อของบิดา
และพยานพร้อมด้วยโต๊ะอีหม่าม
หลังจากนั้นบิดาทั้งสองของสองเจ้าสาวจึงลุกขึ้นจับมือลูกสาว
แล้วพาเดินไปหาเจ้าบ่าว เมื่อทั้งสองเป็นสามีภรรยาที่ถูกอนุมัติแล้ว…
“ฉันรู้ว่าในสักวันนึงต้องมีวันนี้ วันที่จะมีใครสักคนรักลูกสาวของฉัน
ฉันไม่หวังอะไร มากไปกว่า ขอให้เขาคนนั้นเป็นคนดี ไม่ทำให้ลูกสาวที่ฉันรักเสียใจ
รักเธออย่างที่ฉันรัก…ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ จับมือเธอไว้ให้แน่น อย่าปล่อยเด็ดขาด…”
จบคำพูดนั้นเจ้าบ่าวของเธอก็พยักหน้าด้วยแววตาหนักแน่นมั่นคง
ก่อนจะรับมือของเธอที่พ่อของเธอส่งให้ไปกุมเอาไว้แน่น
แล้วส่งยิ้มที่ดูอบอุ่นและสวยงามที่สุดมาให้เธอ
“พี่จะไม่มีวันปล่อยมือเธอเด็ดขาด…”นั่นคือคำมั่นสัญญาจากปากของสายลมที่แสนดีของเธอ…
ก่อนจะหันไปทางเพื่อนสาวที่กำลังส่งยิ้มมาให้เธอ
สิ้นรักได้แต่นึกถึงถ้อยคำเมื่อครู่ของบิดาขณะที่กล่าวกับเจ้าบ่าวของเธอว่า
“หน้าที่ของฉันเหมือนจะสิ้นสุดลงหลังจากที่ส่งมือลูกสาวที่ฉันรักสุดดวงใจให้เธอปกป้องต่อ…
ฉันไว้ใจ เชื่อใจเธอ และจะไม่เข้าไปก้าวก่ายในกิจการปกครองครอบครัวของเธอ
ถ้าเธอยังคงจับมือลูกสาวของฉันเอาไว้อย่างมั่นคง…
พร้อมทั้งรักและดูแลครอบครัวของเธอได้เป็นอย่างดี…
ต่อจากนี้…รังของเธอจะมีรัก…รักษารักไว้ให้ดีนะ…”
เจ้าบ่าวของเธอพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม…
หลังจากนั้น เจ้าบ่าวของเธอก็พาเธอเดินออกจากศาลา
โดยอากิโกะยืนรออยู่หน้าศาลากับผู้เป็นสามี
พร้อมด้วยเจ้าแฝดและแขกคนอื่นๆที่มาร่วมงาน
หญิงสาวยื่นมงกุฏดอกกุหลาบขาวส่งให้รังสิมันต์
สิ้นรักมองภาพอากิโกะแล้วอดนึกไปถึงภาพฝันก่อนหน้านี้ไม่ได้
สรุปว่านี่เธอกำลังฝันหรือว่าความจริงกันแน่…
แต่เมื่อเจ้าบ่าวของเธอวางมงกุฏดอกกุหลาบขาวนั้นไว้บนศีรษะ
ที่มีผ้าคลุมสีขาวยาวระเรื่อยอยู่นั้น ทำเอาสิ้นรักถึงกับประหลาดใจปนดีใจ
หันไปทางอากิโกะ
…ดอกกุหลาบขาวที่เธอเห็นอากิโกะถืออยู่ในมือเมื่อวาน
กลายเป็นมงกุฏกุหลาบขาวนี่หรอกหรือ…
“ในที่สุด…ใบไม้สีเขียวก็ได้เจอและอยู่เคียงคู่กับดอกกุหลาบขาว
ที่รอคอยมานานสักทีนะคะคุณหมอ…ฉันดีใจด้วยจริงๆค่ะ…”
อากิโกะกล่าวกับเจ้าบ่าวก่อนจะหันไปยิ้มให้กับเจ้าสาวขณะกล่าวว่า
“ชุดเจ้าสาวสีขาวกับกุหลาบขาวบริสุทธิ์ สีของความมั่นคงในรักแท้…
คุณหมอเขาตั้งใจทำทุกอย่างเพื่อเจ้าสาวของเขา ไม่เว้นแม้กระทั่งมงกุฏกุหลาบขาว…
ศาลาแห่งนี้ หรือเรือนเอื้องผึ้งเมื่อครู่ เหยี่ยวก็แค่ช่วยออกแบบจัดงานให้เท่านั้นเองค่ะ
ส่วนสะพานดาว…คงต้องยกความดีความชอบให้พี่ลมเขาค่ะ…
เห็นบอกว่าอยากทำให้เจ้าสาว…ใช่มั้ยคะพี่ลม…”ปองขวัญที่ได้ยินดังนั้น
ถึงกับเงยหน้าขึ้นมองเจ้าบ่าวของตนที่กำลังกุมมือของเธออยู่ด้วยแววตาขอบคุณ
เขารู้ได้ไงว่าสะพานดาวคือความฝันของเธอ…ต้องเป็นไอ้สิ้นแน่ๆที่บอก…
ไวเท่าความคิด ปองขวัญหันไปทางเพื่อนรักทันที สิ้นรักได้แต่ส่ายหน้าไหวๆ
“ฉันไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ก็กำลังถูกเซอร์ไพร้เหมือนแกนี่แหล่ะ…”
“พี่สืบรู้มานานแล้วล่ะครับ…ก็เคยบอกไว้ว่าจะสร้างสะพานดาวเพื่อให่เราได้เดินไปมาหากันไง…”
และแล้วความทรงจำในวันวานก็ผุดขึ้นในมโนภาพของปองขวัญ…
“ขอบคุณนะคะพี่ลม ขอบคุณเหลือเกิน…”
“ยังไม่หมดเท่านี้หรอก…”วันนี้รอยยิ้มของเจ้าบ่าวของเธอทำไมถึงได้น่ามองขนาดนี้นะ
เธอว่าวันนี้เขาหล่อและเท่กว่าวันไหนๆเลยเชียวล่ะ
“นี่รักไม่ได้ฝันไปใช่มั้ยคะพี่รัง…”สิ้นรักหันไปถามรังสิมันต์ให้แน่ใจ
“แน่นอนที่สุดครับ…นี่คือความจริง…”พูดจบรังสิมันต์ก็ก้มลงหอมแก้มเจ้าสาวของตน
ที่ถูกอนุมัติสำหรับเขาแล้วทันที…สัมผัสดังกล่าวทำให้สิ้นรักถึงกับหน้าแดง เลือดสูบฉีดขึ้นหน้า
ยิ่งมีเสียงโห่ร้องจากกองเชียร์ตามมายิ่งทำให้หญิงสาวเขินอายมากขึ้นไปอีก
…มันคือความจริงจริงๆด้วย…
เธอไม่ได้ฝันไป…ไม่ได้ฝันไปใช่ไหมเนี่ย…
“หอมกลับเลยค่ะน้องสิ้นของเจ๊…”เสียงเจ๊เริศดังขึ้น…เสียงอื่นก็ร้องเชียร์ตามลั่น
สิ้นรักถึงกับทำอะไรไม่ถูก รังสิมันต์ที่สูงกว่าเจ้าสาวอยู่มากถึงกับยิ้ม
จะย่อตัวให้เจ้าสาวห้อมแก้มเดี๋ยวภาพถ่ายออกมาไม่สวยอีก
จึงถือโอกาสอุ้มเจ้าสาวขึ้นพร้อมกับพูดว่า
“ได้เวลาจุมพิตเจ้าชายแล้วนะครับเจ้าหญิงนิทราขี้แย…”นี่พี่รังรู้ได้ไง
ว่าเธอหลับทั้งๆที่ร้องไห้ก่อนหน้านี้ สงสัยมีมือดีขี่ม้าสามศอกไปฟ้องแน่ๆ
“เร็วๆสิครับ กล้องหลายตัวเตรียมพร้อมแล้วเห็นมั้ย…”สิ้นรักหน้าแดงไม่กล้ารับคำท้า
“งั้นพี่จูบโชว์นะ…”ได้ยินดังนั้นสิ้นรักก็รีบเอาจมูกปัดป่ายที่แก้มของรังสิมันต์
แบบรวดเร็วราวกับฟ้าแลบทันที กะไม่ให้ใครได้กดชัตเตอร์ทัน
โดยหารู้ไม่ว่า เพื่อนชายอย่างเต็มกมล ช่างภาพมืออาชีพไม่มีวัน
ให้ภาพดังกล่าวหลุดนิ้วชี้ไปได้ง่ายๆแน่
“นี่เขาเรียกว่าหอมแก้มเหรอครับคนสวย…หอมแก้มน่ะต้องอย่างนี้…”
พูดเสร็จก็สาธิตให้ดูอีกรอบ เรียกเสียงหัวเราะเฮฮาจากแขกในงานลั่น
“ปล่อยรักลงเถอะค่ะ…”
“ไม่ปล่อย นอกจากจะยอมหอมพี่ซะดีๆ…”
“ก็หอมไปแล้ว…”
“ไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย…”
“ก็ได้ๆ…”พูดจบสิ้นรักก็หอมแก้มรังสิมันต์อีกครั้ง
คราวนี้ตากล้องมือช้าก็ได้ภาพไปตามที่ต้องการ…
“แล้วพี่ลมล่ะ จะปล่อยให้อีกคู่แย่งซีนได้ยังไง…เร็วเร้ว…หอมแก้มเจ้าสาวโชว์หน่อย…”
เสียงของแมงมุมดังขึ้น…
“นั่นน่ะสิ…เสียหน้าแย่…”พสุธร้องรับต่อจากภรรยาท้องโย้
ผู้อุ้มลูกรักของเขาเอาไว้อย่างอดทนทันที…
“ว่าไงปองขวัญ เธอจะให้พี่หอมเธอก่อน หรือเธอจะหอมพี่ก่อน…ว่า”
พูดไม่ทันจบคำ ปองขวัญก็รีบหอมแก้มเจ้าบ่าวทันที ทำเอาคนพูดตกใจ
ตาเบิกโต เพราะไม่ทันตั้งตัว เสียงฮือฮาจึงดังลั่น…
“โอ้ย งานนี้ พี่ลมโดนปาดหน้า…”พสุธถือโอกาสแหย่พี่ชาย
“ใครว่าปาดหน้า ไอ้เมื่อกี้เขาเรียกว่าปาดแก้ม แล้วอันนี้น่ะเขาเรียกว่าปาดปาก…”
พูดจบก็จุ๊บที่ปากของเจ้าสาวหนึ่งที เรียกเสียงเฮฮาและเสียงปรบมือดังลั่นศาลา…
“นี่มงกุฏของราชินีแห่งสายลมครับ…”พูดจบ วายุก็รับมงกุฏรูปดาวที่ทำจาก
เพชรน้ำร้อยหลายเม็ดที่ถูกออกแบบมาอย่างดีวางลงบนศีรษะที่มีผ้าคลุมสีขาวอยู่ของปองขวัญ…
“รับรองว่าไม่มีวันเหี่ยวแน่ๆ…”ถ้อยคำนั้นเหมือนจะไปสะกิดใจใครบางคนเข้าพอดี
และเหมือนคนโดนสะกิดจะรู้ตัว เกิดอาการคันไม้คันมือ คันปากขึ้นมา
“ถึงจะเหี่ยว ฉันก็พร้อมจะทำอันใหม่ให้เจ้าหญิงของฉัน
เพราะกุหลาบขาวที่นี่ไม่มีวันตาย…”เสียงของรังสิมันต์แหวกสายลมกระทบหูวายุเต็มๆ
เรียกรอยยิ้มของเจ้าหญิงที่ลงมายืนบนพื้นเรียบร้อยแล้วอย่างสิ้นรัก
เพราะพี่รังช่างรู้ใจเธอนัก เขาจำได้ว่าจริงๆแล้วเธอชอบกุหลาบขาว…
ต่อให้ต้องเหี่ยว กุหลาบขาวก็ยังคงงดงามในใจเธอเสมอ…
“ใช่แล้วล่ะรัง…กุหลาบขาวที่นี่ไม่มีวันตาย…”เสียงยืนยันนั้นเป็นเสียงของแพรวา
ที่กำลังถือกล่องกำมะหยี่อยู่ในมือ…
“แม่มีความจริงบางอย่างที่ต้องบอกลูกกับหนูรัก…”
พูดเสร็จก็หันไปทางบันลือ อีกฝ่ายจึงยิ้มก่อนจะพยักหน้านิดนึง…
“กุหลาบขาวที่นี่ พ่อกับแม่ของสิ้นรักเป็นคนปลูกไว้เพื่อเป็นพยานรัก
เป็นสื่อรักของทั้งสองที่มีต่อกัน…เมื่อก่อนทั้งสองเคยมาพักอาศัยอยู่ที่นี่จนมีลูกด้วยกัน
ที่จริงแล้วสิ้นรักคลอดที่นี่ เกาะแห่งนี้เคยชื่อว่าเกาะรัก
เพราะกุหลาบขาวเหล่านี้เป็นสื่อแห่งความรัก เนื่องจากเมื่อก่อนที่นี่ไม่มีใคร
พ่อกับแม่ของสิ้นรักเข้ามาบุกเบิก…แต่หลังจากรติเสียชีวิต
บันลือก็หอบลูกไปอยู่ที่เกาะลันตาให้แม่ช่วยเลี้ยงดู…หลังจากนั้นก็ไม่กลับมาที่เกาะนี้อีกเลย…
เกาะแห่งนี้จึงถูกทิ้งร้างจนกระทั่งพ่อของลูกเสีย แล้วบันลือหอบลูกสาวหายไป…
แม่ก็กลับมาพลิกเกาะรักให้กลับมาเป็นเกาะสวรรค์ แล้วตั้งชื่อให้ใหม่ว่าเกาะรัง…
นี่คงเป็นเหตุผลที่พ่อบันของหนูอยากให้ที่นี่เป็นเรือนหอของลูกสาว…”
ประโยคหลังแพรวาหันไปพูดกับสิ้นรักพร้อมรอยยิ้มบาง
…เมื่อก่อนเธอช่างเห็นแก่ตัวนัก ขนาดชื่อเกาะยังเปลี่ยนมาตั้งตามชื่อลูกชายคนโตของตัวเอง…
แม้เกาะแห่งนี้จะเป็นกรรมสิทธิ์ของสามีของเธอก็จริง
แต่จริงๆแล้วคนที่ควรเป็นเจ้าของ มันควรจะเป็นลูกสาวของบันลือมากกว่า…
เพราะบันลือเป็นคนยกทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่ที่เขาร่วมสร้างกันมากับสามีของเธอ
ให้ตกเป็นของเธอโดยไม่ยอมเอาอะไรติดมือไปแม้แต่นิด…
“แม่แพรวขอโทษสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมานะหนูรัก…
อะไรที่ควรจะเป็นของหนู แม่แพรวจะยกมันคืนให้กับหนู…”
ถ้อยคำนั้นทำเอาสิ้นรักถึงกับน้ำตาคลอ…
“แล้วนี่ก็เป็นอีกอย่างที่พ่อของเจ้ารังตั้งใจไว้ก่อนตาย…”
พูดพลางแพรวาก็ยื่นกล่องกำมะหยี่ในมือให้ลูกชายพร้อมสั่งเสียงนุ่ม
“สวมให้น้องสิรัง…”รังสิมันต์เปิดกล่องกำมะหยี่นั้นออกก่อนจะยิ้มออกมา
“นี่ไม่ใช่แหวนบุษราคัม แต่เป็นแหวนเพชรสีเหลืองน้ำดีที่หายากมาก…”
แพรวาเฉลย ไม่ใช่เพราะเหตุผลว่าแหวนดังกล่าวเป็นแหวนเพชรน้ำดีที่หายากหรอก
ที่ทำให้เธอหวงมันหนักหนา
แต่เป็นเพราะเหตุผลทางใจและชื่อที่สลักอยู่ที่แหวนวงนั้นต่างหาก
ที่ทำให้เธอไม่อาจคืนให้กับลูกสาวเจ้าของพร้อมเงื่อนไขที่สามีวางไว้
คือต้องการให้เป็นแหวนหมั้นระหว่างลูกชายคนโตของตนกับสิ้นรัก…
ทว่า วันนี้ เธอยอมทุกอย่าง ปล่อยวางได้แล้ว…
“ขอบคุณค่ะ…”สิ้นรักกล่าวขอบคุณจากหัวใจ รังสิมันต์จึงจับมือบาง
แล้วค่อยๆบรรจงสอดแหวนวงงามของบิดาที่มารดาของเขาหวงแหนหนักหนา
ไว้ตรงนิ้วนางข้างซ้ายของสิ้นรักแล้วยกนิ้วนั้นขึ้นจุมพิตเบาๆ…
สิ้นรักมองแหวนวงงามด้วยความตื้นตันใจ
น้ำตาเอ่อคลอเมื่อยามที่หันไปทางแม่แพรวของเธอ…
แหวนเพชรสีเหลืองวงนี้ช่างงดงามเหลือเกิน
เธอไม่คิดไม่ฝันเลยว่าแหวนเพชรที่เขาพูดถึงกันจะงดงามถึงเพียงนี้…
พ่อลันธ์ช่างคิดเหลือเกิน…นี่ถ้าท่านยังมีชีวิตอยู่ เธอก็อยากจะกอดท่าน
อยากจะขอบคุณท่านที่ยกแหวนวงนี้ให้เป็นแหวนหมั้นระหว่างเธอกับพี่รัง…
เพราะตั้งแต่จำความได้ พ่อลันธ์รักและตามใจเธอมาตลอด
ความรัก ความทรงจำในอดีตระหว่างครอบครัวเธอกับครอบครัวพี่รังหวนกลับมาอีกครั้ง…
ภาพเก่าๆเมื่อยังเยาว์ยังคงตราตรึงในหัวใจเธอไม่เคยหายไปไหนเลยจริงๆ…
มันยังคงงดงามจนเธออยากกลับไปวันนั้นอีกครั้ง
…แม้เธอจะกำพร้าแม่ แต่เธอก็ได้แม่แพรวมาทดแทน ได้พ่อลันธ์มาต่อเติม
และจากนี้ไปเธอกำลังจะได้กลับมาใช้ชีวิตกับครอบครัวของพี่รัง
เราทั้งหมดจะกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้งหนึ่ง
แม้วันนี้จะขาดพ่อลันธ์ไป แต่แหวนวงนี้จะเป็นตัวแทนความรักความห่วงใยของท่านที่มีต่อเธอ
…สิ้นรักก้มมองแหวนที่นิ้วนางของซ้ายของตัวเองพร้อมน้ำตาแห่งความซาบซึ้งใจ
ที่ไหลหลั่งลงมา รังสิมันต์ช่วยซับน้ำตานั้นให้กับเธอพลางกล่าวว่า
“…พ่อพี่คงรักมันมาก…รักษาเอาไว้ให้ดีนะครับ…”
“ค่ะ…รักจะรักษาไว้ตลอดไป”สิ้นรักยิ้มพร้อมพยักหน้า…
ก่อนจะถอดสร้อยคอที่เธอห้อยตลอดเวลาออกมา
แล้วหยิบแหวนเงินธรรมดาที่เป็นจี้ของสร้อยคอขึ้นมา…
เหลือบตาไปทางบิดานิดนึงแล้วหันมายิ้มให้เจ้าบ่าวของตน
“พ่อบันบอกว่า…แหวนวงนี้พ่อบันใช้หมั้นแม่…แม้มันจะน้อยราคา
แต่มันมีค่ามากสำหรับรัก…เพราะมันคือตัวแทนความรักของพ่อกับแม่
รักรักมันยิ่งกว่าอัญมณีชิ้นไหนๆ…รักอยากมอบมันให้พี่รังไว้เป็นตัวแทนความรักของรักค่ะ…”
พูดจบสิ้นรักก็จับมือรังสิมันต์ขึ้นมาแล้วสวมแหวนวงนั้นไว้ในนิ้วก้อยข้างขวาของเขา
ซึ่งพอดิบพอดี พอเหมาะพอเจาะจนน่าแปลกใจ
รังสิมันต์เองก็อดประหลาดใจไม่ได้เช่นกัน…
อีกทั้งแหวนวงนี้เขาเคยเห็นยัยตัวเล็กของเขาสวมใส่เป็นจี้ห้อยคอมาตลอด
จึงอดดีใจไม่ได้ที่วันนี้เขาจะเป็นผู้ดูแลมันแทนเธอ…
“พี่จะดูแลมันอย่างดี…”สิ้นรักยกมือหนาขึ้นแนบแก้มพร้อมรอยยิ้มหวาน
ก่อนจะค่อยๆปล่อยมือนั้นลง
รังสิมันต์จึงหยิบสร้อยคอกับสร้อยข้อมือและต่างหูเข้าชุดที่มารดาของเขา
คงสั่งทำพิเศษให้เข้ากับแหวนเพชรสีเหลืองของบิดาของเขาให้กับสิ้นรัก
“แม่สั่งทำพิเศษเพื่อสะใภ้ใหญ่ที่แม่รอคอยมานานจ๊ะ…”
แพรวากล่าวเมื่อเห็นว่าสะใภ้ใหญ่ของตนเหมาะสมกับชุดเครื่องเพชรดังกล่าวมาก
แสดงว่าสามีของเธอตาถึง จึงรู้ว่าสะใภ้ใหญ่ของตนเหมาะกับอัญมณีชิ้นไหน…
“ขอบคุณค่ะแม่แพรว ขอบคุณค่ะพ่อบัน”แพรวาและบันลือหันมายิ้มให้กัน
ร่องรอยบาดหมางในอดีตจืดจางลงด้วยความรักและเข้าใจ…
“ขอบคุณนะคะพี่รังที่ทำให้รักมีวันนี้…ขอบคุณค่ะ”
รังสิมันต์ยิ้มพร้อมกับดึงร่างเล็กเข้ามากอด เสียงปรบมือดังก้อง…
ก่อนจะเงียบลงอีกครั้งเมื่อตามตะวันลากรถเข็นของตะวันแหวกเข้ามาข้างๆคู่ของวายุ
“ยุ่งกับการวางแผนวางยาสลบเจ้าสาวกับสร้างสะพานดาวจนลืมอะไรไปรึเปล่่าไอ้น้องชาย…”
ตะวันกล่าวพร้อมกับยื่นกล่องกำมะหยี่ในมือส่งให้น้องชาย
วายุจึงรับไว้แล้วเปิดดู เห็นเครื่องเพชรชุดใหญ่ของตระกูลก็ตกใจ
“พี่เอามาให้ผมทำไม…นี่มันเครื่องเพชรชุดใหญ่ที่แม่ตั้งใจไว้หมั้นหมายสะใภ้ใหญ่นี่พี่เพลิง…”
ตะวันยิ้มที่มุมปาก
“เครื่องเพชรชุดนี้เหมาะกับเจ้าสาวของแกมากกว่านายลม…
ว่าที่เจ้าสาวของพี่เขามีอัญมณีที่เหมาะกับเขาแล้ว…
ถ้าแม่ยังอยู่แม่ก็คงคิดไม่ต่างไปจากพี่หรอก…เพราะปองขวัญเหมาะกับเครื่องเพชรชุดนี้ที่สุด…”
เครื่องเพชรที่ครั้งหนึ่งปองขวัญเคยได้สวมโดยที่วายุเป็นคนนำไปสวมให้กับเธอ
ตอนนี้กลับเป็นเขาอีกครั้งที่นำมันมาสวมให้กับเธอในฐานะใหม่
ซึ่งไม่ใช่ในฐานะน้องชายของเจ้าบ่าวของเธอเหมือนในวันวาน
แต่เป็นในฐานะเจ้าบ่าวของเธอเอง แถมวันนั้นยังไม่มีแหวนเพชรเช่นวันนี้…
“ขอบคุณครับพี่เพลิง…”ตะวันส่ายหน้า
“แกทำเพื่อฉันมามาก แค่นี้มันยังน้อยไป…”วายุซาบซึ้งในน้ำใจของพี่ชาย
ก่อนจะหันไปยิ้มกับตามตะวัน ว่าที่พี่สะใภ้ใหญ่ของบ้านที่ดูจะมีความสุข
ที่น้องสาวแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝา เป็นพี่สาวที่ไหนก็ย่อมมีความสุขกันทั้งนั้น
“พี่ดีใจด้วยนะปอง…”ตามตะวันจับมือน้องสาวเอาไว้แน่น
“ขอบคุณค่ะพี่ตาม…”ปองขวัญกล่าวจบก็สวมกอดพี่สาวเอาไว้
“คราวนี้เกาะรังที่เคยชื่อว่าเกาะรัก ก็จะกลายเป็นเกาะรังรัก…
เมื่อรังกับรักได้มาอยู่ด้วยกันสักทีนะครับ…”
เสียงนั้นดังมาจากฑยาวีย์…ซึ่งเป็นน้องชายของรังสิมันต์ (พระเอกในเรื่องรังรักของเราไง)…
เรียกทุกสายตาให้หันไปทางเขา…ก่อนจะเห็นด้วยกับถ้อยคำนั้น
“ใช่แล้วค่ะ…เกาะรังรัก…เกาะนี้น่าจะชื่อว่าเกาะรังรักนะคะ…”
อากิโกะเสริมต่อจากสามี…เพราะบ้านของเธอเองก็ชื่อว่าบ้านรังรัก
เนื่องจากเธอชื่อเหยี่ยว บ้านของเธอ จึงชื่อว่าบ้านรังรัก
ส่วนบ้านของหงส์ น้องสาวฝาแฝดผู้ล่วงลับของเธอ ได้ชื่อว่า วิมานรัก
เพราะหงส์ควรอยู่บนวิมาน ส่วนรังก็ควรคู่กับรัก…
“แม่ก็ว่าดีนะ…เห็นด้วยทุกประการ…”แพรวาเห็นด้วยกับความคิดของลูกชายคนเล็ก
…มติเป็นเอกฉันท์ว่าเกาะรัง ได้ถูกตั้งชื่อให้ใหม่ว่าเกาะรังรัก…
“เดี๋ยวครับ…เรื่องยังไม่จบ…”เสียงห้าวดังแทรกขึ้น
ทุกคนจึงหันไปยังทิศทางเดียวกันของที่มาของเสียง
เห็นภาพบุรุษหน้าตาคมเข้มในชุดสีขาวแลดูสุภาพ
ในมือถือกระถางต้นกุหลาบที่มีดอกสีสันแปลกตา…
ฉุดรอยยิ้มดีใจจากหญิงสาวหนึ่งในกลุ่มแขกเหรื่อของงานแต่งทันที…
“ฉันก็ว่าสิ ว่าทำไมนายถึงยังมาไม่ถึง…กังวลใจอยู่เหมือนกัน…
เพราะหมอกานต์กับน้ำร้อยและคนอื่นๆมาถึงตั้งแต่เมื่อวานแล้ว…”
รังสิมันต์กล่าวขึ้นเมื่อเห็นว่าเป็นใคร
“ไม่มาไม่ได้หรอกครับ…ผมกับระริน เราเคยทดลองเพาะพันธุ์กุหลาบด้วยกัน
จนได้สายพันธุ์ใหม่ เจ็ดต้นเจ็ดสีครับ…เราสองคนตั้งใจทำ
เพื่อมอบให้กับลูกสาวสุดที่รักของคุณป๋าของพวกเราในวันแต่งงานครับ…
นี่ครับคุณหนู กุหลาบสายรุ้ง…”ประโยคหลังเวนไตยหันไปยิ้มให้สิ้นรัก
“ขอบใจมากเลยครูครุฑ…ระรินด้วย…”เวนไตยหน้าซึมนิดนึงเมื่อนึกถึงระริน…
“จะให้ผมนำมันไปวางไว้ที่ไหนดีครับ…”คำถามนั้นทำให้สิ้นรักถึงกับคิดหนัก…
รังสิมันต์จึงช่วยออกความคิดให้
“ที่เรือนหอสิ…นำไปไว้ที่เรือนหอได้เลยนะเวนไตย…
แล้วฉันกับคุณหนูของนายจะช่วยกันนำไปลงดินด้วยกัน…ขอบใจจริงๆ…”
“งั้นตามนี้นะครับคุณหนู…”เวนไตยหันไปถามสิ้นรักย้ำให้แน่ใจ
“จ๊ะ…แต่คงต้องหาผู้ช่วยแล้วล่ะ ตั้งเจ็ดกระถางแหน่ะ…
ว่าแต่ยกมาได้ยังไงเนี่ย…”เวนไตยจึงชี้ไปยังคำตอบ ซึ่งก็คือรถลาก…
“เดี๋ยวซาเนียอาสาช่วยเองค่ะ…”เสียงใสดังแทรกผ่านผู้คน
เรียกสายตาของเวนไตยให้หันไปทางเจ้าของเสียงทันทีด้วยแววตาฉายแสง
“งั้นพี่ปุ๊ขอแจมด้วยคนนะครับน้องซาเนีย…”เสียงของเต็มกมลดังตามมาติดๆ…
เวนไตยเห็นหนุ่มหน้าตาดี ดูสะอาดสะอ้าน หน้าใสกิ๊ง
ผู้มีกล้องถ่ายรูปคล้องคอที่ขึ้นมายืนอยู่ใกล้ๆกับซาเนียแล้วให้หงุดหงิด…
“แล้วไม่คิดจะถ่ายรูปน้องแล้วรึไงพี่ปุ๊…”ปองขวัญสะกัดดาวรุ่งที่กำลังพุ่งแรงทันที…
ทำเอาคนเป็นพี่ชายฝาแฝดหันมาแยกเขี้ยวใส่
“ปล่อยฉันไปเถอะไอ้ปอง…แกลงไปแล้วก็อย่ามาหาเรื่อง
ขัดแข้งขัดขาคนอื่นเค้า…ให้เค้ามีโอกาสได้ลงบ้างอะไรบ้าง…”
ถ้อยคำ น้ำเสียงและสีหน้าของคนพูดทำเอาคนฟังอีกหลายๆคน
ถึงกับหัวเราะเฮฮา เว้นแต่เวนไตยเท่่านั้นที่ขำไม่ออก…
“งั้นปองก็ขอให้พี่ปุ๊ปลูกต้นรักให้เป็นดอกให้ได้ก็แล้วกันนะ…
เพราะปองเห็นพี่ปลูกต้นอะไรก็ไม่ขึ้นสักต้นนอกจากต้นแห้ว…งิงิงิ…”
ปองขวัญได้ทีหาเรื่องพี่ชายฝาแฝดด้วยความเคยชิน
“ว่าแต่ฉัน แกก็เพิ่งเลิกเป็นเจ้าของไร่แห้วก็วันนี้แหล่ะน่าไอ้ปอง…
นี่ถ้าพี่ลมไม่มาขอ แกก็คงนอนกอดกระป๋องแห้วรออยู่บนคานน้อยต่อไป…ฮ่าๆๆ”
เสียงหัวเราะของเต็มกมลไม่ได้น้อยหน้าปองขวัญก่อนหน้านี้เลย…
ทว่าบทสนทนากัดจิกของสองพี่น้องต้องจบลง
เมื่อวายุฉวยข้อมือเจ้าสาวให้เดินเลี่ยงออกมาเมื่อเห็นเงาบางอย่าง
กำลังคุๆอยู่แถวๆกระถางกุหลาบสายรุ้ง
“พี่ว่าเราไปที่งานเลี้ยงกันเถอะ…ปล่อยให้คนบนคานเขาเคลียร์กันเองดีกว่า
เรามันคนใต้คาน ยุ่งมากเดี๋ยวคานจะทับเอานา”
วายุกระซิบบอกเจ้าสาวเบาๆทว่าปองขวัญไม่ขำเพราะกำลังตกใจกับคำว่างานเลี้ยง
ก่อนจะหันไปทางสิ้นรักที่หันมาทำหน้างงเช่นกัน
“ก็พี่บอกแล้วว่่า เรื่องมันยังไม่จบแค่นี้…ไปกันเถอะ…”
และแล้วเหล่าแขกเหรื่อในงานก็เดินตามสองคู่บ่าวสาวไปยังงานเลี้ยง
ที่ถูกจัดขึ้นริมชายหาด ทำเอาเจ้าสาวทั้งสองที่กับอ้าปากอีกครั้ง
กับภาพสถานที่ มันดูน่่ารักตามที่เคยจินตนาการเอาไว้เลย…
“สวยจังเลยค่ะพี่รัง…”สิ้นรักเอ่ยออกมาด้วยสีหน้ามีความสุข
“สวยมาก สวยอย่างที่วาดภาพไว้เลยค่ะพี่ลม…”ปองขวัญชื่นชม
ภาพสถานที่จัดงานแล้วหันไปยิ้มขอบคุณเจ้าบ่าวของตน
“อากิเค้าเป็นคนจัดให้…งานไหนงานนั้น ไม่มีผิดหวัง…”
วายุออกปากชมน้องสาวของตน…
“ว่าแต่เราไปช่วยกันทำช็อกโกแล็ตแจกแขกในงานกันเถอะ…”
“อะไรนะคะ…”ปองขวัญถามด้วยแววตาตกใจ
“ก็ที่เราตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ไงครับ…ไปครับ ไปเปลี่ยนชุดกัน…”
แล้ววายุก็ช่วนเจ้าสาวของตนไปเปลี่ยนชุดกุ๊กและผู้ช่วยกุ๊ก
ที่สิ้นรักออกแบบไว้ให้ก่อนหน้านี้ทันที ทิ้งคู่ของรังสิมันต์มองตาม
“เราก็ต้องเปลี่ยนชุดเหมือนกันนะครับ…เพราะเดี๋ยวพี่มีโชว์
ทำเค้กแจกแขกในงาน…และเราต้องช่วยพี่ทำด้วย…”สิ้นรักถึงกับยิ้มกว้าง
นึกว่่าพี่รังของเธอจะลืมความฝันของเธอไปเสียแล้ว
“พี่รังน่ารักจังเลยค่ะ จัดแจงทุกอย่างให้หมดเลย รักแทบไม่ต้องทำอะไรสักอย่าง…”
รังสิมันต์จับมือเจ้าสาวแล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มบางว่า
“สำหรับความสุขของเธอ พี่ยินดีทำให้…ขอให้บอกพี่…แล้วพี่จะจัดหาให้
ต่อให้ต้องเหน็ดเหนื่อยและลำบากสักแค่ไหนก็ตาม…”
สิ้นรักยิ้มน้ำตาคลอเบ้า
“นี่รักไม่ได้ฝันไปใช่ไหมคะ…ไม่ได้ฝันไป…”สิ้นรักถาม เพราะไม่แน่ใจ
ว่าเธอกำลังฝันไปรึเปล่า…เพราะฝันก่อนหน้านี้ มันทั้งทำให้เธอมีความสุข
สมหวังแต่กลับจบด้วยน้ำตา…แล้วตอนนี้ล่ะ
ตอนนี้เธอกำลังฝันหรือกำลังตื่นกันแน่…
“งั้นมองหน้าพี่ แล้วบอกกับพี่ ว่าพี่ที่อยู่ตรงหน้าเธอ…คือความจริงหรือความฝัน…”
สิ้นรักทำตามที่รังสิมันต์บอก คำตอบที่เธอได้รับ
คือรอยยิ้มและแววตาจริงใจจากเขา…
“พี่รังตรงหน้าคือความจริง…และถ้านี่คือความฝัน รักก็จะขอไม่ตื่นขึ้นจากฝันอีกเลย…”
“งั้นเราไปสานฝันด้วยกันนะครับ…”พูดจบรังสิมันต์ก็จูงมือสิ้นรัก
เพื่อไปเปลี่ยนชุดกุ๊กกับผู้ช่วยกุ๊กที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ด้วยกัน…
ทางด้านเวนไตยที่กำลังยกกระถางต้นกุหลาบไปยังเรือนหอของรังสิมันต์
โดยมีซาเนียและเต็มกมลเดินตามหลังมาติดๆนั้นชักเริ่มหงุดหงิดงุ่นงานในใจ
ทว่าเก็บอาการเอาไว้ได้ดีภายใต้ใบหน้าราบเรียบกับดวงตานิ่งสนิท…
“โรแมนติกจังเลยนะครับ ช่วยกันทดลองปลูกกุหลาบพันธุ์ใหม่ด้วยกันแบบนี้
คุณกับคุณระรินคงรักกันมาก…”เวนไตยที่กำลังก้มๆเงยๆ
จัดวางกระถางกุหลาบที่รับจากมือของซาเนียถึงกับชะงักมือนิดนึง
ก่อนจะตอบออกไปสั้นๆว่า
“ครับ…”
“ผมเสียใจด้วยนะครับสำหรับเรื่องคุณระริน…”เต็มกมลได้ข่าว
จากน้องสาวฝาแฝดมาก่อนหน้านี้ จึงกล่าวออกไปด้วยสีหน้าจริงใจ
“ระรินเป็นคนดี ที่ที่เธอกำลังอยู่ในตอนนี้ต้องเป็นที่ที่ดีกว่าที่นี่แน่นอนครับ…”
น้ำเสียงของคนพูดราบเรียบพอๆกับใบหน้า
“เสร็จแล้วเราไปที่งานเลี้ยงกันดีกว่าครับ…ไปครับน้องซาเนีย…”
เต็มกมลออกปากชวนเวนไตยเมื่องานตรงหน้าเสร็จแล้ว
ก่อนจะหันไปชวนหญิงสาวหนึ่งเดียวที่ดูจะเงียบและซึมลง
“เอ่อ…พี่ปุ๊ไปก่อนก็ได้ค่ะ…ซาเนียจะขอตัวกลับที่พักแป๊บนึง
พอดีว่ามีของขวัญจะมอบให้คู่บ่าวสาวด้วยน่ะค่ะ…”
“ให้พี่ไปด้วยนะครับ แล้วเราค่อยไปที่งานเลี้ยงด้วยกัน…”
ซาเนียหันไปทางเวนไตยก่อนจะเหลือบตาขึ้นมองเขานิดนึง
เมื่อไม่เห็นเขาจะพูดหรือแสดงสีหน้าอะไรออกมา
ซาเนียจึงลอบกลืนน้ำลายแล้วพยักหน้า
“ก็ได้ค่ะ…”
“งั้นผมกับซาเนียขอตัวก่อนนะครับ…”เต็มกมลหันไปยิ้มให้เวนไตย
แล้วเดินเคียงซาเนียออกไป ทิ้งให้เวนไตยมองภาพบาดตาบาดใจอยู่เบื้องหลัง…
“นี่ครับน้องซาเนีย…”เต็มกมลยื่นเค้กในมือส่งให้ซาเนียที่ยืนพิงต้นมะพร้าว
มองคู่บ่าวสาวด้วยรอยยิ้มบาง…
“ขอบคุณค่ะ…”หญิงสาวกล่าวขอบคุณขณะรับเค้กมา
“ลองชิมดูสิครับ พี่รังทำเค้กได้อร่อยจริงๆ…”เต็มกมลคะยั้นคะยอ
เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังยืนนิ่งอยู่ แถมแววตายังดูเลื่อนลอยไปที่ใดสักที่
“ค่ะ…”ซาเนียยิ้มให้ชายหนุ่มก่อนจะก้มลงตักเค้กใส่ปาก
เมื่อเค้กแตะลิ้น รอยยิ้มสดใสก็ผุดขึ้น
“อร่อยจริงๆด้วยค่ะ…ฝีมือไม่มีตก…แถมยังอร่อยกว่าครั้งไหนๆซะด้วย”
หญิงสาวชมออกมาจากใจจริง ก่อนจะมองภาพคู่บ่าวสาวที่กำลังสนุก
กับการช่วยกันทำเค้กและเดินแจกแขกในงาน…
อีกคู่นึงก็ช่วยกันทำช็อกโกแลต ดูเป็นงานแต่งที่อบอุ่นและน่ารัก
อบอวลไปด้วยบรรยากาศสดใส ปลอดโปร่ง ฟ้าฝนเป็นใจ อากาศก็ดี…
เธอเองเคยฝันอยากมีงานแต่งแบบนี้บ้าง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสหรือเปล่า
“เฮ้อ…เห็นยัยปองแต่งงานแล้วรู้สึกโหวงเหวงยังไงก็ไม่รู้สิครับ…
คิดไปคิดมาก็ให้รู้สึกใจหายเหมือนกัน…”เต็มกมลเปรยออกมา
พร้อมรอยยิ้มแห้งๆ ทำให้ซาเนียต้องหันกลับมามองคู่สนทนาที่ยืนอยู่ข้างๆ
“พี่ปุ๊ไม่ดีใจหรอกเหรอคะ…”
“ดีใจมันก็ดีใจอยู่นะ…แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องใจหาย
อาจจะเป็นเพราะ ต่อไป อะไรๆก็คงจะไม่เหมือนเดิมก็ได้…
บอกตามตรงนะน้องซาเนีย ถ้าไม่ใช่พี่ลม พี่ไม่มีวันยอมให้ยัยปองแต่งงานด้วยแน่ๆ…”
“ทำไมล่ะคะ…”
“หวงมันน่ะ…อยู่ด้วยกันมานาน ไม่ค่อยอยากให้มันแต่งงานหรอก
แต่เพราะเห็นว่าพี่ลมเค้าเป็นคนดี และรักมันจริง ก็เลยยอมให้สักคน…”
ซาเนียแอบอมยิ้มให้กับแววตาที่ดูจะตรงกับคำพูดของคนตรงหน้า
“น่าอิจฉาพี่ปองจังที่มีพี่ชายที่คอยรักคอยหวงอย่างนี้…ดูอบอุ่นจังค่ะ…”
“พี่เองก็ยินดีที่จะเป็นพี่ชายให้น้องซาเนียนะครับ…แต่ถ้าน้องซาเนียไม่รังเกียจ
ยอมให้เป็นได้มากกว่านั้น พี่ก็ไม่ว่าอะไรนะครับ
พร้อมแอ่นอกรับด้วยความเต็มใจครับผม…”ซาเนียถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ
เมื่อได้ฟังถ้อยคำที่ทั้งตรงและผ่ากลางอกเธอเต็มๆแบบนั้น
“พี่ปุ๊กำลังล้อซาเนียเล่นใช่มั้ยคะเนี่ย…”เต็มกมลส่ายหน้า ยิ้มให้หญิงสาว
ขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า
“เป็นแฟนกับพี่นะครับน้องซาเนีย…”ซาเนีียถึงกับตกใจอ้าปากค้าง
อึ้งจนพูดไม่ออกไปหลายนาที
“เอ่อ…คือ…”หญิงสาวกระอักกระอ่วน พูดไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไร
ยิ่งเห็นแววตาจริงใจของคนพูดก็ยิ่งทำให้หนักใจ พูดไม่ออก
“นายหัวให้มาตาม…”อยู่ๆก็เหมือนมีเสียงระฆังดังช่วยชีวิตเธอขึ้น
แม้น้ำเสียงของคนพูดจะฟังดูห้วนๆ แต่เธอก็อยากจะขอบคุณเจ้าของน้ำเสียงนั้นเหลือเกิน
ที่ทำให้เธอพ้นจากสถานการณ์เช่นนี้ได้
แต่ว่า…น้ำเสียงแบบนี้นี่มัน…
“นาย…”ซาเนียหันไปทางด้านหลังก็พบเวนไตยยืนทำหน้าเคร่งขรึม
แววตาดุดันอยู่ หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะหันไปทางเต็มกมล
“เอ่อ…ซาเนียคงต้องขอตัวก่อนนะคะพี่ปุ๊…”พูดจบซาเนียก็รีบเลี่ยงออกมา
จากสถานการณ์ที่ชวนให้อีดอัดนั่นทันที…หัวใจของเธอยังเต้นแรงอยู่เลย
“เดี๋ยว…”แล้วอยู่ๆเสียงห้วนๆนั้นก็ตามมาหลอกหลอนเธออีกระลอก
“มีอะไร ทำไมต้องใช้น้ำเสียงแบบนี้กับฉันด้วย…”
ซาเนียหันไปถามด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“ฮึ…ตั้งแต่ได้ฟังน้ำเสียงหวานๆจากปากหนุ่มหน้ามนคนนั้นไม่นาน
ก็ถึงกับไม่ชินหูกับน้ำเสียงของฉันแล้วรึไง…ไอ้เรามันคนป่าคนเถื่อน
หวานไม่เป็น คงจะพูดหวานๆแบบที่ไอ้หนุ่มคนนั้นพูดกับเธอไม่ได้อ่ะนะ…”
ซาเนียเริ่มชักสีหน้าเมื่อเห็นแววตาและสีหน้าท่าทางของคนพูด
“รู้ตัวก็ดีแล้วนี่…เสร็จธุระของนายแล้วใช่มั้ย…”
ซาเนียกัดปากก่อนจะสบัดหน้าหันหนีเพื่อจะเดินเลี่ยงไปอีกทาง
ทว่ากลับโดนเวนไตยเดินมาขวางทางไว้
“ออกไปนะ ฉันจะไปหาพี่รัง…”
“เดี๋ยวสิ เรายังคุยกันไม่จบเลย…หรือว่าที่ผ่านมา เธอไม่ได้คิดถึงฉันเลย”
ซาเนียถึงกับหน้าแดง พูดไม่ถูก
“ใคร…ใครเขาจะคิดถึงนาย…”
“ก็ไหนเคยบอกว่าคงคิดถึงฉันแย่ไงล่ะ…”หญิงสาวมือไม้อยู่ไม่สุข
เมื่อเจอกับถ้อยและแววตาของคนพูด
“ฉันก็พูดของฉันไปอย่างนั้นแหล่ะ แต่ตอนนี้ฉันขอยืนยัน
ว่าฉันไม่ได้คิดถึงนายเลยสักนิดเดียว…”
หญิงสาวกล่าวขณะพยายามซ่อนแววตาที่ไม่ตรงกับใจให้พ้นจากแววตาเหยี่ยว
ที่จ้องมองมา
“ฉันไม่เชื่อหรอก…ว่าเธอจะลืมอะไรๆได้ง่ายๆ…”
“ก็ไม่เห็นจะยากเย็นอะไรกับการลืมคนอย่างนาย…
ไม่เหมือนนายหรอกที่ยังรักฝังใจอยู่กับคนในอดีต…”
เวนไตยกัดปากจ้องหน้าเจ้าของน้ำคำที่กำลังบาดใจเขานิ่ง
“อยู่กับอดีตของนายต่อไปเถอะ…”พูดจบซาเนียก็หันหลัง
จะเดินไปหารังสิมันต์ที่อยู่ตรงที่สว่างกลางงานเลี้ยง
“แล้วทำไมไม่ตอบตกลงเป็นแฟนกับไอ้หนุ่มหน้ามนคนนั้นไปล่ะ…”
ฝีเท้าที่กำลังเดินหยุดชะงัก พร้อมกับลำแขนที่ถูกกระชากจากทางด้านหลัง
ให้เดินไปอีกทางที่เงียบและปราศจากผู้คน…
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ…”ซาเนียสั่งให้เวนไตยหยุดลากเธอพร้อมกับพยายามรั้งแขนกลับ
ชายหนุ่มจึงจับหญิงสาวตรึงกับต้นสนก่อนจะก้มลงแล้วพูดลอดไรฟันว่า
“เพิ่งรู้ว่านอกจากเธอจะลืมง่ายแล้ว เธอยังใจง่ายด้วย…”
ซาเนียถึงกับน้ำตาคลอเมื่อได้ฟังคำด่าจากปากของคนตรงหน้า
ถ้าเธอไม่รักไม่แคร์เขา เธอก็คงไม่เจ็บปวดกับถ้อยคำเหล่านี้นักหรอก…
แต่นี่…เขากำลังดูถูกเธอชัดๆ…แถมยังตรึงแขนของเธอให้ไร้อิสระ
เพราะถ้ามันเป็นอิสระ ปากของเขาก็คงไม่มีทางได้ต่อว่าเธอซ้ำอย่างนี้อีกเป็นแน่…
“รักง่ายหน่ายเร็ว…คงสนุกนักใช่มั้ยที่ได้ยั่วให้ผู้ชายหลงรักหัวปักหัวปำ
แล้วทิ้งไปง่ายๆแบบนี้…”
ซาเนียกัดปากตัวเองก่อนจะพูดด้วยแววตาเจ็บปวดและสุดทานทนว่า
“ใช่…ฉันมันใจง่าย รักใครง่ายไปจริงๆอย่างนายว่า
ทั้งๆที่รู้ว่าเขาไม่ชอบก็ยังไปมอบหัวใจให้เขาง่ายๆ แค่เขาทำดีกับเราก็รักเขาง่ายดาย
คิดไปเองว่าเขาคงชอบเรา คิดเองเออเองทั้งนั้น…
แต่ต่อไป ผู้หญิงใจง่าย ขี้หวั่นไหว ใจอ่อนคนนี้จะไม่ยอมอ่อนแอ
ให้นายข่มเหงหัวใจแบบนี้ได้อีกแล้ว…”
หญิงสาวกล่าวออกมาพร้อมกับน้ำตาอาบแก้ม เจ็บกายที่เขากำลังใช้อุ้งมือ
บีบลำแขนทั้งสองข้างของเธอเสียแน่นไม่เท่าเจ็บใจที่โดนเขาด่าว่าใจง่าย…
“สรุปว่าเธอรักใครกันแน่ซาเนีย…บอกฉันได้มั้ยว่าเธอจะรักใคร…”
เวนไตยรู้สึกแปลกใจตัวเองทุกครั้งที่จ้องตาผู้หญิงคนนี้ทีไรแล้ว
ไม่อาจควบคุมหัวใจของตัวเองไม่ให้สั่นและหวั่นไหวได้ ราวกับเธอมีบางสิ่ง
ที่ทำให้เขาหวั่นไหว ร้อนรนเหมือนจับไข้และไม่แน่ใจ ไม่มั่นใจตัวเองเลย
“ปล่อยนะ ฉันเจ็บ…”หญิงสาวน้ำตาเล็ดด้วยความเจ็บ เวนไตยเริ่มรู้ตัวจึงคลายแรงลง
ทว่ายังคงยืนกรานที่จะให้ได้คำตอบจากปากของหญิงสาว
หากซาเนียที่วันนี้โดนบีบคั้นจากผู้ชายสองคนถึงกับจุกอกด้วยความอีดอัด
คับแน่นในหัวใจจนอยากไปให้พ้นจากสถานการณ์เช่นนี้ที่สุด
“นายจะเดือดร้อนทำไมว่าฉันจะรักใคร…ในเมื่อฉันจะรักใครมันก็เรื่องของฉัน
ทีฉันยังไม่เคยอยากรู้เลยว่านายจะรักใคร…
เพราะนายจะรักใครมันก็เรื่องของนาย ไม่เกี่ยวกับฉันอีกแล้ว…
ได้ยินมั้ยว่าไม่เกี่ยวกับฉันสักนิด…”
สิ้นคำเท่านั้น ริมฝีปากบางของหญิงสาวก็ถูกครอบครองด้วยริมฝีปากหนา
ระเรื่อยไปยังพวงแก้ม ซอกคอด้วยแรงอารมณ์ต่างๆที่ผสมปนเปกันของชายหนุ่ม
จนทำให้ซาเนียถึงกับร้องไห้น้ำตาไหลพรากด้วยความเจ็บปวดที่หัวใจ…
และเพราะท่าทางที่ไร้การตอบสนอง ไร้การดิ้นรนผลักใสในตอนท้ายของหญิงสาว
ทำให้คนที่กำลังโดนอารมณ์โกรธเข้าครอบงำ
หยุดการกระทำลงแล้วก้มมองสีหน้าของหญิงสาวตรงหน้าแล้วให้รู้สึกผิด…
“ฉัน…ฉัน…ขอ”เวนไตยกลืนน้ำลายลงคอเมื่อรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวด
ที่สื่อผ่านแววตาคู่นั้นของหญิงสาวตรงหน้าเขา
“ไม่ต้องขอโทษฉันหรอก...นายไม่ผิด…ฉันผิดเอง…ฉันทำตัวไร้ค่าเอง
ที่ผ่านมาฉันง่ายเอง…ก็สมแล้วที่จะโดนแบบนี้…”หญิงสาวปาดน้ำตา
หลังจากที่ลำแขนทั้งสองข้างได้รับอิสรภาพแล้ว
“ขอบคุณที่สอนให้ฉันรู้ ว่าต่อไปนี้ ฉันควรทำตัวยังไง…”
พูดจบหญิงสาวก็วิ่งไปยังเรือนหลังเล็กที่เธอพักอาศัยอยู่ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่ตรงนี้นัก
เพราะคงไม่อาจกลับไปยังงานเลี้ยงในสภาพเช่นนี้ได้อีก
“ซาเนีย…”เวนไตยเรียกหญิงสาวพลางวิ่งตามไป แต่ไม่ทันแล้ว
เมื่อเธอหายเข้าไปในตัวบ้านเรียบร้อยแล้ว…
ชายหนุ่มยกมือทั้งสองขึ้นลูบหน้า ก่อนจะมองไปยังห้องที่ซาเนียพักอาศัย
ด้วยแววตาเสียใจ…แล้วรัวหมัดไปที่ต้นสนด้วยความรู้สึกเจ็บใจตัวเอง
เขาไม่น่าปล่อยให้อารมณ์ใฝ่ต่ำทำลายความรู้สึกของซาเนียเลย…
เวนไตยก้มมองพื้นทรายก่อนจะทรุดเข่าลง หลังพิงต้นสน
รสชาติของลิปสติกยังติดอยู่ตรงปลายลิ้นของเขาอยู่เลย…
ความเงียบเข้าครอบคลุม ชายหนุ่มจึงเริ่มเคลียร์กับตัวเองให้กระจ่าง
เกี่ยวกับทุกอย่างระหว่างเขากับซาเนีย…
เขาเริ่มรู้ตัวว่าของขึ้นทุกครั้งเวลาเห็นซาเนียเดินไปกับไอ้หนุ่มหน้ามน
ยิ่งเห็นยืนพูดคุยสนิทสนม แล้วยิ้มให้กัน ยิ่งของขึ้นยกกำลังสอง
เมื่อก่อนอาจจะเป็นห่วงเธอ แต่เดี๋ยวนี้มันมีคำว่าหวงเข้ามาเพิ่ม
เลยทนไม่ได้ที่จะเห็นเธอไปเป็นของใคร…
อย่างไรเขาก็ทนไม่ได้แน่ๆที่จะเสียเธอไป…แต่จะทำอย่างไรดี
ในเมื่อเขาทำลายความรู้สึกของเธอไปแล้วแบบนั้น…ไม่น่าเลยจริงๆ…
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เขาจะครองสติให้มากกว่านี้…แต่ให้ตายเถอะ
เขาอยากจะเตะตัวเองที่สุด…ทำไมเขาถึงได้โง่ขนาดนี้นะ…
เธอทั้งพูดและแสดงออกขนาดนั้นแล้ว ทำไมเขายังต้องคาดคั้นเธออีกว่าเธอรักใคร
…นี่เขาไม่แน่ใจในตัวเธอหรือจริงๆแล้วเขาไม่แน่ใจตัวเองกันแน่…
ถ้าซาเนียรักไอ้หนุ่มหน้ามนคนนั้นจริง เธอคงตอบรับไอ้หมอนั่นไปแล้ว…
คงไม่เลี่ยงเมื่อได้โอกาสแบบนั้นหรอก
…นี่แหล่ะพิษของลมหึง ที่พัดทำลายทุกสิ่งเพียงชั่วครู่เสร็จ
ก็เหลือทิ้งซากแห่งความเสียใจเอาไว้เบื้องหลัง…ทำลายได้แม้กระทั่งคนที่เรารักสุดหัวใจ…
ทางด้านงานเลี้ยงที่ทุกคนกำลังสนุกสนาน
“ซาเนียไปไหน ใครเห็นซาเนียบ้างรึเปล่า…”รังสิมันต์ออกอาการแปลกใจ
ที่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของซาเนีย ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้
เขาเห็นเธอเดินวนเวียนช่วยงานเลี้ยงอย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย
“นั่นน่ะสิคะ…เมื่อกี้ยังเห็นยืนคุยอยู่กับนายปุ๊อยู่เลย…”สิ้นรักตั้งข้อสังเกต
“คงจะอยู่ตรงมุมไหนสักมุมในงานนี่แหล่ะค่ะพี่รัง…เพราะพี่ปุ๊ก็หายไปเหมือนกัน…”
ปองขวัญให้ความเห็นก่อนจะหันไปยิ้มให้กับเจ้าบ่าวของตนที่ยืนอยู่ข้างๆ
ทว่าสิ้นรักกลับไม่คิดเช่นนั้น
“ครูครุฑก็หายไปด้วยนะไอ้ปอง…”คำพูดของสิ้นรักทำให้รังสิมันต์กับวายุ
หันมาจ้องหน้ากันทันทีโดยมิได้นัดหมาย สัญชาตญาณลูกผู้ชาย
ทำให้ทั้งสองพอจะดูอะไรบางอย่างออก…
“โน่นไงคะ…พี่ปุ๊เดินมาโน่นแล้ว…”ปองขวัญยิ้มกว้างเมื่อเห็นพี่ชายฝาแฝด
เดินมาทางตนพอดี แต่ดูจากสีหน้าแล้วของพี่ชายแล้ว รอยยิ้มที่พลันหุบลง
“มีอะไรเหรอคะพี่ปุ๊…”เต็มกมลส่ายหน้า
“ไม่มีอะไรหรอก…”
“ว่าแต่นายเห็นซาเนียบ้างรีเปล่าปุ๊…”รังสิมันต์มิวายถามขึ้นทันที
ที่สพโอกาส
“กลับเรือนไปแล้วครับ…เห็นบอกว่าเพลียๆ ก็เลยขอตัวกลับไปพักผ่อนที่เรือน…
พี่รังไม่ต้องห่วงหรอกครับ…น้องซาเนีย
เค้ามีบอดีการ์ดคอยปกป้องดูแลอยู่แล้วทั้งคน…”
ถ้อยคำกับน้ำเสียงเหงาๆของคนพูดทำให้คนฟังถึงกับพูดอะไรไม่ออก
โดยเฉพาะปองขวัญที่ปกติมักจะหยอกเย้าพี่ชายเป็นธรรมดายังไม่กล้า
พูดอะไรออกไปในตอนนี้ นอกจากยิ้มเท่านั้น…
ปองขวัญได้แต่มองสีหน้าพี่ชายฝาแฝดแล้วพอจะเข้าใจอะไรบางอย่าง
อยากจะปลอบแต่คงไม่ใช่ตอนนี้
วายุกระชับและกำมือของปองขวัญเอาไว้แน่นก่อนจะหันมายิ้มให้
“พี่ชายเธอไม่เป็นไรหรอก…เชื่อพี่…”วายุกล่าวกับปองขวัญเมื่อเต็มกมล
ปลีกตัวไปทางอื่นแล้ว…
“แต่ปองไม่เคยเห็นพี่ปุ๊เป็นแบบนี้มาก่อนเลย…มันดูแปลกๆค่ะพี่ลม…”
“คิดมากไปรึเปล่า…ไป ไปช่วยพี่ส่งแขกกันดีกว่า…”
วายุได้ทีจึงลากเจ้าสาวของตัวเองก่อนจะหันไปพยักพเยิดกับรังสิมันต์และสิ้นรัก…
บ่าวสาวสองคู่จึงนำของชำร่วยซึ่งทำเป็นรูปเค้กแต่งงานจำลองอันเล็ก
สลักชื่อของรังสิมันต์กับสิ้นรัก พร้อมด้วยของชำร่วย
ที่ทำเป็นรูปช็อกโกแลตหัวใจสองดวงจำลองอันเล็กจิ๋วซึ่งสลักชื่อวายุกับปองขวัญ
ให้กับแขกที่มาร่วมงาน…
“งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา…”สิ้นรักกล่าวขึ้นเมื่อทั้งเธอและรังสิมันต์
มีโอกาสได้อยู่กันตามลำพังตรงระเบียงห้องหอมองดูดวงดาวและเกลียวคลื่นด้วยกัน
…วันนี้เธอมีความสุขเหลือคณา คนข้างกายทำให้เธอประหลาดใจจนตั้งตัวตั้งใจไม่ทัน
เขามอมยาสลบเธอกับปองขวัญแล้วช่วยกันจัดงานแต่งงาน
ที่เธอกับปองขวัญเคยวาดฝันกันเอาไว้ก่อนหน้านี้
แม้ที่ผ่านมาจะพบกับความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แต่เมื่ออดทนมาถึงวันนี้ เธออดยอมรับไม่ได้ว่่า
ผลลัพธ์ที่ได้จากการอดทนรอคอย มันช่างงดงามล้ำค่าและน่าจดจำ
ไปจนชีวิตจะหาไม่…เธอจะจดจำค่ำคืนนี้ตลอดไป…
เพราะรู้ว่าชีวิตหลังจากคืนนี้ คือจุดเริ่มต้นของสิ่งใหม่ที่ไม่คุ้นเคยอีกมากมาย
ให้เธอต้องเผชิญไปพร้อมๆกับคนข้างกายของเธอ…
เมื่อการรอคอยบางอย่างสิ้นสุดลง การเริ่มต้นของบางอย่างต่อจากนี้
ก็มาถึงและปรากฏขึ้น…ในเมื่อการเดินทางของหัวใจยังคงดำเนินต่อไป
“แต่รักเราจะไม่มีวันเลิกรา…”รังสิมันต์ต่อให้…สิ้นรักจึงเลิกสนใจดวงดาว
หันมาจ้องแววตาแวววับจับตาของคนข้างๆที่กำลังโอบกอดเธอเอาไว้แทน
“ขอบคุณนะคะพี่รัง…ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง…ขอบคุณค่ะ
ที่ทำให้ฝันของรักเป็นจริง…”รังสิมันต์ยิ้มกว้างก่อนจะก้มลงจุมพิต
ตรงหน้าผากมนนั่นอย่างรักใคร่เอ็นดู
“พี่ยอมรับนะว่าเมื่อก่อนเธออาจไม่ใช่คนที่พี่เคยใฝ่ฝัน
ไม่ไช่นางเอกที่พี่หวังไว้ในใจ…ไม่ได้ดีมากไปกว่าใคร…”
สิ้นรักที่ฟังมาถึงตรงนี้ก็ถึงกับหน้ามุ่ยทันที ใช่สิ เธอมันทั้งตัวเล็ก
รูปร่างไม่ได้ปราดเปรียวเรียวสวยเหมือนนางเอกในโทรทัศน์
ไม่ได้สวยสง่าเหมือนนางแบบบนแคทวอล์คนี่ แค่ยืนกับพี่เขา
เธอยังรู้สึกถึงความไม่เหมาะสมกันเลยด้วยซ้ำ ก็พี่เขาทั้งสูง หล่อ
บุคลิกดีเหมือนเทพบุตร เป็นพระเอกได้สบายๆ…
“อย่าเพิ่งทำหน้าแบบนี้สิ พี่ยังพูดไม่จบเลยนะ…”รังสิมันต์ที่จ้องหน้า
สิ้นรักอยู่ถึงกับอมยิ้มกับสีหน้าท่าทางของคนตรงหน้า…
ไม่รู้สิ เขาชอบดูเธอเวลาที่เธอทำหน้ามึนงง ตกใจแบบนี้มากที่สุด
ก็เลยชอบหาเรื่องล้อเธอเล่น…
“ถึงแม้เธอจะไม่ได้เป็นนางเอกที่พี่เคยวาดไว้ในใจ แต่สิ่งดีๆ
เล็กๆน้อยๆของเธอมันกลับเติมเต็มภาพวาดที่ขาดหายไปของพี่ให้สมบูรณ์ได้…
ไม่ว่าใครจะมองอย่างไร แต่สำหรับพี่ เธอคือของขวัญล้ำค่าจากพระเจ้า…
เธอคือคนที่พี่รอคอยมานาน…
วันนี้พี่พูดได้เต็มปากว่าพี่แน่ใจว่ารักเธอ…เพราะไม่ว่าจะค้นใจสักกี่ครั้ง
คำตอบที่ได้ก็คือพี่รักเธอ ถ้าไม่ใช่เธอก็ไม่มีวันจะรักใครอีกแล้ว…”
สิ้นรักถึงกับซาบซึ้ง มิใช่เพราะถ้อยคำที่เขากล่่าว
แต่เป็นเพราะแววตาคู่นั้นต่างหากที่กำลังบอกว่ารักเธออย่างจริงใจแค่ไหน
“รักเองอาจจะเจ็บกับความรักมาไม่รู้กี่ครั้งแล้วก็จริงนะคะ…แต่วันนี้วินาทีนี้
รักเองก็แน่ใจแล้วเหมือนกันว่ารักเลือกรักคนไม่ผิด…รักเลือกแล้ว
รักเลือกพี่รังที่หัวใจ ไม่ว่าจะเกิดอะไรก็จะรักแค่พี่รังคนเดียว…
ไม่เผื่อให้ใครคนไหนอีกแล้วค่ะ…รักไม่กลัวอีกแล้วไม่ว่าจะเจอกับอะไร
และพร้อมจะเผชิญเสมอขอแค่มีพี่รัง จะเจ็บอีกสักกี่ครั้งรักก็ยอมรับได้ค่ะ…
ต่อให้วันหนึ่งพี่รังจะทิ้งรักไป…รักก็ไม่กลัวที่จะเจ็บ
เพราะรักรักพี่…ต่อให้เจ็บสักกี่ครั้งก็ไม่เป็นไรค่ะ…หรือต่อให้ต้องเป็นตัวแทนใคร
เป็นเงาของใคร รักก็ไม่ไหวหวั่น…จะดื้อรักพี่อย่างนี้ตลอดไปค่ะ…”
สิ้นรักถ่ายทอดความรู้สึกต่างๆผ่านถ้อยคำและแววตาที่ซื่อตรงจริงใจ
ดวงตาแวววาวเพราะน้ำตาเอ่อคลออยู่นั้นส่งให้
รังสิมันต์ถึงกับจ้องมองอย่างหลงใหล จึงค่อยๆก้มลงชิดใบหน้างาม
ที่อยู่ในครอบผ้าคลุมศีรษะตามแบบฉบับสาวมุสลิม
หญิงสาวที่ได้กลายเป็นภรรยาของเขาโดยอนุมัติของพระเจ้าแล้ว
ไม่มีสิ่งใดที่จะปิดกั้นเขากับเธอได้อีกต่อไป…
และเขาพร้อมที่จะมอบความรักที่เขามีให้กับเธออย่างเต็มภาคภูมิ
โดยมิต้องหวาดกลัวกับความผิดบาปใดๆอีกแล้ว
รังสิมันต์จึงอุ้มเจ้าสาวของเขาเข้าห้องก่อนจะวางเธอลงบนเตียงนุ่ม
อย่างเบามือที่สุด…
“อย่าเพิ่งสิคะพี่รัง…”สิ้นรักปรามเสียงอ้อยอิ่ง
“ทำไมล่ะครับ…”ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ยังไม่ได้อาบน้ำแปรงฟันเลย…อีกอย่าง ชุดนี้มันไม่ใช่ชุดนอนสักหน่อย
พี่รังจะให้รักนอนทั้งชุดนี้เลยเหรอคะ…”หน้าตาออดอ้อนของคนพูด
ยามแย้มปากทำเอาคนมองชักหมั่นเขี้ยวขึ้นมา
“ก็พี่กำลังจะเปลี่ยนชุดให้อยู่นี่ไงครับ…เอาเป็นชุดนอนที่ใส่ในวันเกิดดีมั้ยครับ…
พี่อยากเห็น…ว่าเวลาเราใส่มันจะสวยขนาดไหน…”
ไม่พูดเปล่า เจ้าบ่าวของเราค่อยๆทำการเปลี่ยนชุดเจ้าสาวให้อย่างขมีขมัน…
“ไม่เอาค่ะ…รักเปลี่ยนใจแล่้ว…ใส่ชุดนี่้นอนทั้งคืนก็ได้…สวยดี
เวลาฝันจะได้ฝันดี ฝันเห็นตัวเองสวยๆ…”และที่สำคัญชุดนี้มันมิดชิดดี
แขนก็ยาว ตัวกะโปรงก็ย้าวยาว แถมคอเสื้อก็ปิดมิดชิด
แค่คิดจะถอดชุด เจ้าบ่าวอย่างพี่รังก็คงเหงื่อตกแล้วล่ะ…ฮ่าๆๆ
สิ้นรักคิดและหัวเราะอยู่ในใจ โดยหารู้ไม่ว่า อีกฝ่ายกำลังมองเธอด้วยแววตาเช่นไร…
“แล้วจะไม่อาบน้ำสักหน่อยเหรอครับ…ุถ้าเกิดคันหลังขึ้นมาตอนดีกๆดื่นๆจะแย่เอานา…”
สิ้นรักตาโต ใช่สิ มือเธอสั้น คันหลังทีไรก็เกาไม่ทั่วถึง
ที่สำคัญ เธอไม่ได้เอาที่เกาหลังติดมือมาด้วย…
ชุดเจ้าสาวที่ทั้งหนาและมิดชิดขนาดนี้ คงทำให้เธอทรมานยามไม่ได้เกาตรงที่คันแน่ๆเชียว…
ยิ่งน้ำไม่อาบยิ่งต้องคันอย่างมิต้องสงสัย
งั้นเราคงต้องหาลู่ทางไปห้องน้ำดีกว่า…ว่าแต่มันอยู่ทางไหนนา
สายตากลมโตวาดไปรอบๆรัศมีที่ดวงตาส่งไปถึงโดยไม่รู้เล้ย
ว่าคนตัวโตที่กึ่งนั่งกึ่งนอนคล่อมร่างเธออยู่กำลังอมยิ้มด้วยแววตาเจ้าเล่ห์
“ห้องน้ำอยู่ทางโน้นครับ…จะให้พี่ช่วยถูหลังให้ก็ได้นะครับ
วินาทีนี้บริการฟรี ไม่คิดตังค์…”สิ้นรักกลอกตาไปมาราวกับกำลังคิดหนัก
บอกตามตรงว่าวินาทีนี้เธอยังไม่พร้อมจะรับบริการฟรีที่คงมาพร้อมกับ
โปรโมชั่นพิเศษเผลอๆอาจได้โบนัสเพิ่มโดยไม่ทันตั้งตัวก็ได้…
“เอ่อ…งั้นพี่รังช่วยเคลียร์ทางให้รักไปห้องน้ำหน่อยสิคะ…
แหม…คล่อมไว้ทั้งตัวอย่างนี้ รักก็ไปไม่ได้กันพอดีสิ…”
รังสิมันต์ยิ้มพร้อมกับทำตามที่เจ้าสาวของเขาต้องการ
สิ้นรักยิ้มกว้างแบบใจดีสู้เสือพร้อมกับทำตาปริบๆเมื่อต้องกล่าว
ขณะที่ลุกขึ้นยืนได้สำเร็จเรียบร้อยแล้วว่า
“อีกอย่างรักคงลืมเตือนพี่รังไปว่า…รักเป็นคนบ้าจี้ค่ะ…ใครแตะตัวนะ
เป็นต้องโดนรักไม่เตะก็ศอก หรือหนักหน่อยก็ถึบเลยล่ะค่ะพี่รัง…
รักเกรงว่าอาจทำให้พี่รังบาดเจ็บโดยไม่ได้ตั้งใจ…
ก็เลยคงต้องงดใช้บริการของพี่รังไปก่อนนะคะ…เอาไว้เลิกบ้าจี้เมื่อไหร่
ค่อยพิจารณาอีกทีค่ะ…แบบว่่ารักถือตามสุภาษิตของญี่ปุ่นที่ว่่า
ทาดะโยริ โมโนกะนาอิ…ไม่มีอะไรแพงกว่าของฟรีค่ะ…
อุ๋ยปวดฉี่แล้ว ขอตัวไปห้องน้ำก่อนนะคะพี่รังขา…”
พูดจบก็รีบชิ่งหนี…รังสิมันต์ที่นอนเอามือข้างขวายันศีรษะมองสิ้นรักอยู่
ถึงกับอมยิ้มกับมุกของเจ้าหล่อน
ก่อนจะตะโกนตามหลังเจ้าสาวที่รีบโกยชายกะโปรงเผ่นเข้าห้องน้ำไปว่า
“ให้พี่ช่วยถอดชุดให้เถอะน่า…ถอดคนเดียวมันยากและก็ช้านา…
เดี๋ยวฉี่รดชุดเจ้าสาวสวยๆขึ้นมามันไม่ดีนะครับ พี่เสียดาย…”
แล้วก็มีเสียงตอบกลับมาว่า
“ไม่เป็นไรค่ะ รักดีไซน์มาเองกับมือ ถึงไม่ได้ใส่เองแต่ถอดเองได้
สบายหายห่วงค่ะพี่รัง…พี่รังนอนหลับล่วงหน้าไปก่อนได้เลยนะคะ
ไม่ต้องรอรักก็ได้…เพราะรักคงอาบน้ำนานค่ะ…”
กะจะอาบจนเช้าเลยด้วยซ้ำค่ะพี่รังขา…สิ้นรักแอบต่อในใจ
เพราะคืนนี้อย่างไรหัวใจของเธอก็ไม่พร้อมจะรับศึกแน่ๆ
มันยังห่วงและหวงความสดที่เพิ่งถูกความโสดสลัดทิ้งไปในศาลาสีชมพูมาหมาดๆนี่นา
…คิดดูสิ ไม่กี่วินาทีที่ตกปากรับเขาเป็นสามี ชีวิตเธอก็เปลี่ยนไปเลย
จากที่โสดและสดมานานอยู่ๆก็มีคำว่า ‘ไม่’ มายืนนำหน้าคำว่า ‘โสด’ ไปเสียแล้ว
ยังดีที่ตอนนี้ยังพอเหลือความสด (แม้จะสดแบบเลยเลขสามสิบมาแล้ว) ให้ภาคภูมิใจอยู่
ต่อให้ใครไม่ภูมิใจแต่เธอภูมิใจของเธอนี่
คิดดู จะมีสักกี่คนที่จะประคับประคองความสด
มาจนสามสิบบวกได้อย่างเธอบ้าง (น้อยนะขอบอก)
มันจึงเป็นความพยายามที่สร้างความภูมิใจให้หญิงไทยอย่างเธอ…
ที่ไม่ยอมเสียเอกราชให้กับชายชาติชาตรีใดก่อนวัยอันควร
ขนาดวันอันควรอย่างวันนี้เธอยังไม่อยากสูญเสียมันไปเลยด้วยซ้ำ…
แม้ความโสดจะจากลาเธอไปแล้ว แต่เธอก็ยังอยากประคองความสด
ไว้เป็นเพื่อนปลอบใจอีกสักสองสามคืน…
และจากที่ในห้องเคยมีเธอเป็นใหญ่แค่คนเดียว แต่จากที่ดูเมื่อกี้
เห็นได้ชัดว่าเขาดูใหญ่โตคับห้องจนเธอรู้สึกเหมือนตัวเองเล็กลงไปถนัดตา
แล้วจากที่เตียงนอนเคยมีหมอนแค่ใบเดียววางอยู่ตรงกลาง
แต่เมื่อกี้เธอแอบเห็นนะว่ามีคนแอบเอาหมอนอีกใบมาวางเพิ่ม
ชนิดที่ไม่มีหมอนข้างวางไว้อย่างแต่ก่อน รู้เลยว่านักออกแบบ
ที่วางแผนตกแต่งภายในห้องหอคือผู้ใด…
แถมไอ้พี่รังยังแอบนอนจองที่ทางเอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วย…
แล้วที่สำคัญ…ความเป็นส่วนตัวที่เคยเป็นมิตรกันมานานแสนนาน
ดูจะเริ่มกระซิบกระซาบบอกเธอเบาๆราวกับกลัวเธอจะโกรธว่า
มันกำลังจะทิ้งเธอไปทีละนิดทีละหน่อยในไม่ช้านี้อยู่ด้วย…
โอ้…ชีวิตโสด…เจ้าช่างน่าพิสมัย ฉันไม่น่าทิ้งเจ้าไป
แล้วนำใครคนนั้นเข้ามาแทนที่เลย…
เมื่อหมกมุ่นครุ่นคิดเพียงลำพังด้วยความหวงและห่วงความสด
ที่ผ่านร้อนหนาวมายาวนานด้วยกันอยู่ในห้องน้ำนานจนไม่รู้ว่าจะขัดอะไรอีกต่อไป
เพราะนอกจากเจ้าสาวของเราจะขัดเนื้อขัดตัว สระผม แช่เท้า
แล้วจบด้วยการนั่งตีเท้าในน้ำที่เต็มอ่างเล่นแล้ว เจ้าหล่อนยังใช้เวลาที่แสนเหลือเฟือ
ไปกับการขัดห้องน้ำที่สะอาดจนไม่รู้ว่าจะสะอาดอย่างไรแล้วนั้น
เจ้าหล่อนก็นึกขึ้นได้ว่า ป่านนี้เจ้าบ่าวของเจ้าหล่อนคงนอนหลับไปแล้วแน่นอน
แล้วเรื่องอะไรที่เจ้าหล่อนจะต้องมานั่งขัดตาหลับขับตานอนด้วยการขัดห้องน้ำด้วย
สู้ย่องออกไปนอนบนเตียงนุ่มๆไม่ดีกว่าหรือ…
คิดได้ดังนั้น สิ้นรักก็หยิบผ้าขนหนูขึ้นมานุ่งพันกาย
เพราะด้วยความรีบร้อนก่อนหน้านี้จึงทำให้ลืมหยิบชุดนอนติดมือมาด้วย
เสียงประตูห้องน้ำดังเพียงนิดพร้อมด้วยฝืเท้าที่เหมือนตีนแมว
แววตาที่สอดส่องไปรอบๆห้องราวกับหนูระวังงู
เมื่อไม่เห็นงูนอนอยู่บนเตียง เจ้าหนูตีนแมวก็ย้ิมกว้างปนประหลาดใจ
...งูไปไหนหว่า…
แต่เพราะสัญชาตญาณของผู้ถูกล่าทำให้เจ้าหล่อนพยายามสอดส่ายสายตา
มองไปรอบๆกายอีกครั้ง สำรวจห้องนอนอย่างถี่ถ้วน ก็ไม่พบแม้แต่เงาของงู
แม้จะสงสัยว่างูไปไหน แต่หนูก็อดโล่งใจไม่ได้
ที่อย่างน้อยๆคืนนี้เธอคงรอดไปได้สักคืนก่อน
คืนต่อไปค่อยวางแผนใหม่ เพราะแผนขัดห้องน้ำคงนำมาใช้ซ้ำไม่ได้แน่
ใครจะหาว่าเธอไม่กล้านอนกับเจ้าบ่่าวแต่ริอาจแต่งงานก็ช่างสิ
ก็มันยังไม่พร้อมนี่นา ให้ทำไง
…ก็แค่อยากขอจองพี่รังเป็นสามีไว้ก่อน เรื่องหลับนอนไม่ได้คิดนี่…
สิ้นรักพ่นลมหายใจออกก่อนจะเดินไปยังโต๊ะเครื่องแป้ง
คลี่ผมที่เปียกหมาดๆออกจากผ้าขนหนูที่ขมวดเป็นปมไว้บนศีรษะออก
แล้วเป่าด้วยที่เป่าผมจนแห้งภายในไม่กี่นาที
หลังจากนั้นก็ค่อยๆสางผม เมื่อเห็นว่าผมแห้งและเป็นอิสระจากพันธนาการต่างๆแล้ว
หญิงสาวจึงวางหวีลงแล้วเดินไปยังตู้เสื้อผ้า กะจะหยิบชุดนอนออกมา
ทว่ากลับไปพบชุดนอนหรือชุดใดๆในตู้เสื้อผ้าแม้แต่ชุดเดียว!
ดวงตากลมโตเบิกกว้างอย่างประหลาดใจ
ก่อนจะค้นดูทุกซอกทุกมุมของห้องก็ไม่พบชุดอะไรที่พอจะสวมใส่ได้
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย…หรือว่า…”ไวเท่าความคิด สิ้นรักเดินไปรอบๆห้อง
มองหาเจ้าของห้องอีกคนก็ไม่พบ
“พี่รังต้องหาเรื่องแกล้งเราแน่ๆ…”สิ้นรักบ่นพึมพำ…
“ทำไงดีเนี่ย…”เมื่อทำอะไรไม่ได้ สิ้นรักจึงเดินหน้ามุ่ยไปยังโต๊ะเครื่องแป้ง
หยิบแป้งเด็กขึ้นมาทาหน้าและลำคอ
ในเมื่อไม่มีชุดนอน ก็นอนมันทั้งชุดนี้แหล่ะ…
คิดได้อย่างนั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปลงได้อย่างที่คิด
เพราะชีวิตไม่เคยนอนหลับโดยปราศจากกางเกงในแบบนี้
…นี่ขนาดกางเกงในของเธอเขาก็ยังเอามันไปซ่อน น่าเคืองที่สุด!
สิ้นรักเลยยืนมองตัวเองในกระจก เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันที่เจ้าบ่าวของเธอแกล้งเธอ
ให้นอนในสภาพเช่นนี้ แถมไม่รู้ว่ามุดหัวไปอยู่ที่ไหนอีก
…จะให้เธอออกไปหาเขาข้างนอกเพื่อทวงถามชุดนอนพร้อมกางเกงใน
ด้วยสภาพที่มีแต่ผ้าขนหนูผืนเดียวติดตัวแค่นี้ เธอคงทำไม่ได้แน่…
“พี่รังนะพี่รัง…ฮึ่มๆ…”
“เรียกพี่ทำไมครับ…”
เสียงนั้นทำเอาคนที่กำลังเอาแต่ก้มหน้าประทุษร้ายโต๊ะเครื่องแป้งด้วยหวีอยู่
ถึงกับสะดุ้งโหยงสุดตัว…
ยิ่งลมหายใจร้อนๆที่กำลังเป่ารดต้นคอของเธออยู่ทำเอาลมหายใจของเธอสะดุด
หัวใจเต้นแรง มือของเขาที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน ตอนนี้มันได้ตวัดโอบรอบเอวเธอ
จากทางด้านหลังไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว…
สิ้นรักเงยหน้ามองกระจกก็พบกับแววตาหวานซึ้งปนขี้เล่นของรังสิมันต์
ที่กำลังจ้องหน้าเธออยู่พอดี
ยิ้มของเขาพุ่งชนหัวใจเธอจนทำให้ใจสั่นแปลกๆ เขาเดินเข้ามาจากทางไหน
ทำไมเธอไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของเขาเลยสักนิดเดียวล่ะ…
“พี่รังแกล้งรัก…”เสียงนั้นพยายามเปล่งออกมาให้มั่นคงที่สุดหากก็ยังสั่นอยู่ดี
“ไหนขอพี่พิสูจน์หน่อยซิว่่าคุ้มค่ากับเวลาที่เสียไปรึเปล่า…
เห็นขัดอยู่ตั้งนาน…นึกว่าจะขัดถึงเช้าซะแล้วนะเนี่ย
ก็เลยตั้งใจว่าจะงัดประตูเข้าไปช่วยขัดให้อยู่พอดีเชียว”
พูดพลางจมูกโด่งและปากหยักสวยก็ไต่ไปตามบ่าและซอกคอของสิ้นรัก
ทำเอาหญิงสาวถึงกับขนลุกซู่ เสียวซ่าน สั่นสะท้านไปทั้งใจ
“หอมจัง…”คำชมยิ่งทำเอาผิวหน้าของสิ้นรักแดงราวกับลูกตำลึงสุก
“ขอ…ชุดนอนค่ะ…”สิ้นรักพยายามหาสติด้วยการทวงชุดนอนของเธอ
“ไม่เห็นจำเป็นต้องใส่เลย ใส่ไปเดี๋ยวก็ต้องถอดอยู่ดี…”
รังสิมันต์กล่าวขณะที่สูดดมกลิ่นหอมจากกลุ่มผมแล้วปัดป่าย
มายังใบหน้าหวานซึ้งสีน้ำผึ้ง
“ได้โปรดค่ะ…พี่รัง…”เสียงนั้นขาดเป็นห้วงๆเมื่อรังสิมันต์เล่นจุมพิตไปตาม
ซอกคอระเรื่อยไปยังแผ่นหลังของเธอ
“ได้ครับ…”พูดจบรังสิมันต์ก็ใช้สองมือขึ้นหมายจะแกะปมผ้าขนหนู
ทว่าสิ้นรักคว้ามันเอาไว้ได้ทัน ก่อนจะอุทานออกมาด้วยความตกใจ
“อุ้ย…”รังสิมันต์ใช้คางเกยบนบ่าของสื้นรักโดยใช้สายตาจ้องมองเธอผ่านกระจกข้างหน้า
ก่อนจะฉีกยิ้มกระชากใจพร้อมกระชับวงแขนที่โอบรอบเอวเล็กเอาไว้แน่นกว่าเดิม
“ก็เธออยากได้ชุดนอน…พี่ก็กำลังจะจัดชุดนอนให้อยู่นี่ไง…”
“พี่รังบ้า…”สิ้นรักก้มหน้างุดไม่กล้าสบตาเขา เพราะมันดูร้อนเร่า
จนทำให้หัวใจเธอสั่นสะท้านแทบหลอมละลายราวเทียนโดนไฟเผา…
“ก็ใครหาเรื่องแกล้งพีี่ก่อน…”รังสิมันต์เอ่ยด้วยน้ำเสียงหวานนุ่ม
“ไม่รักพี่เหรอครับ…”
“รัก…ค่ะ…แต่…”สิ้นรักยังคงก้มหน้าตอบ รังสิมันต์จึงรวบผมนุ่มลื่นของเธอ
มาไว้ข้างหลังแล้วจับบ่าทั้งสองให้หันมาทางเขา…สิ้นรักตกใจ
เมื่อเห็นว่าเขาอยู่ในชุดนอนเรียบร้อยแล้วแถมเนื้อกายของเขายังได้กลิ่นสบู่อ่อนๆด้วย
…นี่ก็แสดงว่าพี่รังอาบน้ำแล้ว…
แล้วเขาหนีไปอาบน้ำที่ไหนมา
“แต่อะไรครับ…”รังสิมันต์ก้มหน้าแล้วเชยคางคนตัวเล็กขึ้นมาขณะถาม
“คือว่า…รัก…รักยังไม่พร้อ…”แล้วถ้อยคำสุดท้ายก็หายไปพร้อมกับ
ริมฝีปากหยักที่ประกบริมฝีปากบางสวยได้รูป ก่อนจะค่อยๆมอบสัมผัสรัก
ด้วยการจุมพิตอันแสนดูดดื่มให้กับเจ้าหล่อน
มีหรือที่เขาจะยอมปล่อยให้เธอปฏิเสธ ในเมื่อเขารอวันนี้มานาน
ไม่มีวันที่เขาจะปล่อยให้คืนส่งตัวผ่านไปโดยที่เขาไม่ได้ตักตวงความหอมหวาน
จากเกสรดอกไม้ดอกนี้เป็นแน่…เขาทั้งอดทนและรอคอยให้ดอกไม้ดอกนี้
เป็นกรรมสิทธิ์ของเขาอย่างถูกต้องมานาน
เขาไม่ได้ต้องการเป็นแค่หนอนผีเสื้อที่ได้แต่มองดูดอกไม้ที่แสนหอมและเย้ายวน
ชวนให้หลงใหลด้วยความชื่นชมอย่างเดียว หากเขาอยากเป็นผีเสื้อ
อยากเป็นเจ้าของดอกไม้ดอกนี้แต่เพียงผู้เดียว…
“ดอกกุหลาบขาวของพี่…”รังสิมันต์รำพันออกมา
เมื่อผละออกจากริมฝีปากหอมหวานตรงหน้านั้น
…สิ้นรักที่ได้สติลืมตาขึ้นก็เห็นแววตาดำสนิทตรงหน้าที่ตรึงใจเธอ
มิให้หันไปทิศทางใดได้อีกในยามนี้
“อย่าเพิ่งปฏิเสธพี่เลยนะครับคนดีของพี่…”เสียงหวานนุ่มนั้นทำเอา
คนฟังถึงกับฝันเคลิ้มจนลืมสิ้นทุกอย่าง แม้แต่อาการบ้าจี้
ที่ได้เตือนเจ้าบ่าวของเธอไปก่อนหน้านี้
สุดแล้วแต่เขาจะนำพาเธอไปยังที่ใด
รังสิมันต์เห็นทีท่านิ่งนั้นก็ยิ้มกว้างหลังจากนั้นจึงอุ้มร่างเล็กไปวางไว้บนเตียง
ก่อนจะค่อยๆก้มลงจุมพิตหน้าผากมนระเรื่อยลงมาตามสันจมูกโค้งงอนสวย
แล้วจึงลิ้มรสริมฝีปากนั้นอย่างสุขสำราญอีกครั้ง
แต่ยังไม่ทันไร เสียงระฆังก็ดังขึ้นเสียก่อน
“ก็อกๆๆ”ทั้งสองหลุดจากภวังค์รักด้วยแววตาตกใจ รังสิมันต์ตั้งสติ
ถามออกไปว่า
“มีอะไร…”
“โกดังของเราระเบิดครับนายหัว ตอนนี้ไฟลามไปถึงบ้านพักคนงานแล้วครับ…”
เสียงนั้นดังมาจากหน้าประตูห้องหอ
รังสิมันต์ตกใจก่อนจะก้มลงมองคนตัวเล็กที่แววตาตระหนกตกใจไม่น้อยไปกว่าเขาเลย
ชายหนุ่มจึงก้มลงจุมพิตหนักๆที่ริมฝีปากนั้น
แล้วผละออกมาด้วยความอาลัยอาวรณ์
“พี่ขอโทษนะครับ…”พูดพลางก็รีบลุกขึ้นสวมเสื้อที่เพิ่งถอดออกไปเมื่อครู่
ก่อนจะหันมาสั่งกำชับกับสิ้นรักที่ลุกขึ้นนั่งบนเตียงแล้วว่า
“เสื้อผ้าของเธอกับของพี่เก็บอยู่ในห้องทำงานของพี่ แล้วอยู่ในนี้
อย่าออกไปไหนเด็ดขาดนะครับคนดีของพี่ แล้วพี่จะกลับมา…”
ก่อนไปรังสิมันต์หันมาหอมแก้มทั้งสองข้างของเธอก่อนจะจุมพิตที่หน้าผากมน
แล้วจบที่ริมฝีปากอย่างรักใคร่อีกครั้ง…
“ระวังตัวด้วยนะคะ…”น้ำเสียงและแววตาห่วงใยนั้นทำให้รังสิมันต์ยิ้มกว้าง
“ครับ…พี่จะระวังและจะกลับมาหาเธอแน่นอน…แม่ดอกกุหลาบขาวของพี่”
......โปรดติดตามตอนต่อไป....
รู้นะคะว่านักอ่านกำลังลุ้นจนไส้พุงมากองรวมกัน..อิอิ...
แต่แล้วก็ต้องหลุดลอย...ฮ่่าๆๆๆ
น่าเห็นใจพี่รังจริงๆ อุตส่าห์จัดการทุกอย่างเอาไว้อย่างดี...
กะจะลวงหนูให้ลงรูได้สำเร็จแล้วเชียว...แล้วดูๆไปแล้ว หนูของเรา
เขาจะยอมให้งูรัดด้วยความเต้มใจซะด้วย แต่โชคดันไม่ช่วย...
ฮ่าๆๆๆ
โยเอาตอนที่คิดว่านักอ่านหลายท่านกำลังรอมานาน มาให้อ่านแล้วนะคะ
แต่ขอย้ำ ย้ำค่ะว่า...
...เรื่องนี้ยังไม่จบลงง่ายๆแค่ฉากงานแต่งแน่ๆค่ะ...อิอิอิ...
...มันยังอีกยาววววววววววววค่ะ....
ขอคุยกับนักอ่านเมื่อสองยกก่อนหน้าค่ะ...
1.คุณkonhin...ขอบคุณค่ะสำหรับแรงใจที่ส่งมาเชียร์คู่ของเวนไตย...อิอิ
จุ๊บๆค่ะ...ปล.และแล้วก็ถูกจับยัดเข้าห้องหอสำเร็จเสร็จสิ้นพิธีการที่รอกันมา
อย่างยาวนานค่ะ...อิอิอิ...
ต่อไปก็คงต้องมาลุ้นวิธีเคี้ยวหญ้าไม่ค่อยอ่อนของหมอรังกันค่ะ...อิอิอิ
2.คุณบัวขาว...ได้ข่าวมาว่าเจ้าเหมียวเริ่มกินข้าวได้แล้วค่ะ...
ไม่ง้องแง้งแล้ว...เพราะมันเคยรอดตายมาได้สองครั้งแล้วค่ะ...
รถชนแล้วมดลูกมีเลือดออกด้วย...ตอนนั้นมันไม่กินอะไรเป็นสัปดาห์ๆเลยค่ะ
แม้แต่น้ำก็ไม่กิน นึกว่าจะตายแล้ว แต่ก็รอดมาได้ค่ะ...หวังว่ารอบนี้คงรอดจริงๆนะคะ
ปล.โยเอาตอนที่คิดว่านักอ่านน่าจะรอกันมานานให้อ่านกันแล้วนะคะ...
ขอบคุณนะคะที่มาส่งกำลังใจให้เต่าโยบ่อยๆ...จุ๊บๆค่ะ
ปล.อีกที...ตอนที่แล้วสั้นจริงๆค่ะ...เพราะใจความของตอนนั้นมันแค่นั้น
แต่ตอนนี้ใจความสุดยอดแห่งความยาววววววค่ะ...อิอิอิ...
ใช่แล้วค่ะ...อีกอึดใจก็จะได้กลับไปบ้านเรา...รักรออยู่...สู่อ้อมใจของบ้านเก่า
สู่ลำเนาแต่ก่อนมา...รักษาสุขภาพเช่นกันนะคะ...
3.คุณsai...ที่บอกว่ามองอะไรได้กว้างๆๆๆๆๆนั้น...หมายความว่าเห็นอะไรบนคานน้อย
มากขึ้นแล้วใช่มั้ยคะ...อิอิอิ...
4.คุณsupayalak...ดีนะคะที่เรื่องราวยาวเหยียดเฉียดแค่เมืองตรัง
เพราะจริงๆแล้วโยว่ามันยาวไปถึงสถานีรถไฟบัตเตอร์เวร์ธเลยนะคะ...อิอิอิ...
แถมไม่ใช่รถด่วนพิเศษอะไรซะด้วยสิ...ฮ่าๆๆๆ...
5.คุณviolette...ขอบคุณค่ะสำหรับกำลังใจและการติดตาม....
ที่น่าสงสารที่สุดใช่เจ้าลูกแก้วรึเปล่าคะ...แต่ยกนี้โยเอามาให้ชื่นฉ่ำหัวใจกันแล้วนะคะ
ปล.ขอให้งานออกไวๆนะคะ โยเองก็คาดว่างานจะออกก่อนสิ้นปี...
ตอนนี้ไร้เรี่ยวแรงค่ะ...กะจะกลับบ้านไปเอากำลังใจมาสักเข่งสองเข่งเลยค่ะ...อิอิอิ...
6.คุณAprilSK...โยเองก็เครียดถึงจุดเดือดเช่นกันค่ะ...แต่งานมันก็คืองานค่ะ
ทำแล้วได้อะไรหลายๆอย่างที่มากกว่าการได้เงินน่ะค่ะ...อิอิ
ปล.คุณAprilSK...เดาถูกเลยทีเดียวค่ะ เรื่องที่สองหนุ่มนั่นกะจะเซอร์ไพร้สาวๆ...อิอิ
7.คุณgoldensun...เห็นได้ชัดว่าหมอรังไม่ยอมง้อแต่ขอทำเซอร์ไพร้แทน...
งานนี้นางเอกเราคิดมากจนเก็บเอาไปฝันเป็นตุเป็นตะเลยทีเดียว...
แถมยังฝันซ้อนฝันอีก...สงสัยคงคิดมากว่าจะไม่ได้ลงจากคานจนถึงขั้นหมกมุ่น...อิอิอิ
ปล.โยเห็นด้วยค่ะว่า งานเยอะดีกว่าไม่มีงาน เพราะส่วนตัวแล้ว ไม่ว่างานจะยุ่งแค่ไหน
โยสู้ไหวนะคะ ขออย่างเดียว อย่าวุ่นวายด้วยเป็นพอค่ะ...เพราะงานยุ่ง กับวุ่นวายนี้
มันคนละอย่างกันเลยค่ะ...อิอิ...เนื่องจากพอมีคนมาวุ่นวายด้วยแล้ว
งานที่ยุ่งอยู่แล้วก็จะยิ่งยุ่งวุ่นวายไปหมดเลยน่ะค่ะ...สรุปคือ..สู้ต่อไป ทาเคชิ!!!
อิอิอิ...
8.คุณใบบัวน่ารัก...ใช่แล้วค่ะ...คนเราไม่ว่าจะดีจะชั่ว
ล้วนแล้วแต่มีสาเหตุและที่มาของมันค่ะ...ที่สำคัญเลยก็คือ พื้นฐานความคิดน่ะค่ะ
ระหว่างคิดบวกกับคิดลบด้วย...บางคนเผชิญหน้ากับเรื่องเดียวกัน สถานการณ์เดียวกัน
แต่กลับคิดได้แตกต่างกัน พอคิดต่างกัน ผลของการกระทำก็ย่อมต่างกัน...เป็นธรรมดาค่ะ...
ปล.ตอนก่อนหน้านี้ดูเหมือนซาเนียจะดูงี่เง่าไปบ้าง ตามประสาอาการของคนกำลัง
ตกอยู่ในห้วงรักและกำลังสับสนน่ะค่ะ...อารมณ์เลยแกว่งไปแกว่งมา...ไม่เสถียร...เฮะๆ
9.คุณหมีสีชมพู...หมอกานต์ใช่รึเปล่าคะ...อิอิอิ...หมอกานต์บทไม่เยอะค่ะ...
แค่เป็นหนึ่งในผู้ช่วยพ่อบันของนางเอกเราเท่านั้นเองค่ะ...อิอิ...
และแล้วงานรอบที่สามก็ถูกจัดขึ้นโดยไม่บอกให้เจ้าสาวรู้เนื้อรู้ตัว
หรือให้ได้ตั้งตัวกันก่อนเลย...ตุณหมีสีชมพูคงยิ้มได้แล้วใช่มั้ยคะ
เพราะนางเอกเราย่างขาลงจากคานน้อยแล้ว...ฮ่า่ๆๆๆๆ
10.คุณnasa...ขอบคุณค่ะสำหรับคำแซว...อิอิ
แต่เต่าโยขอยืนยันที่จะใช้ชื่อเดิมนะคะ...ฮ่าๆๆ
ไม่ใช่เพราะอะไรหรอกค่ะ...เพราะชื่อเรื่องมันบอกอยู่แล้วว่า "คานน้อย คอยรัก"
วันใดที่นักอ่านอ่านเรื่องนี้จบ ก็จะเข้าใจว่าทำไมเรื่องนี้ต้องชื่ออย่างนี้...
เพราะนางเอกเรา ชื่อ"รัก"ค่ะ...อิอิอิ...และคานที่ว่าก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่อลังการณ์เลย
แค่ "คานน้อย" ซึ่งพร้อมจะหักได้ทุกเมื่อ อิอิอิ...ไม่แปลกเลยค่ะที่แต่ละคนที่อยู่บนคานน้อย
ถึงอยากลงมาจากบนนั้นกัน...เพียงแค่ได้ยินเสียงรถด่วนขบวนสุดท้ายดังเท่านั้นค่ะ...
คานน้อยที่ว่าก็สั่นสะท้านแล้ว...เฮะๆ...ว่ามั้ยคะ...ส่วนคู่เอกอย่างคู่หมอรัง
โยเก็บเอาไว้คู่หลังสุด เพราะเป็นคู่เอกนี่แหล่ะค่ะ...มันมีจุดสำคัญที่สุดของเรื่องที่
โยอยากเขียน และคู่หมอรังจะเป็นผู้ถ่ายทอดมันน่ะค่ะ....
11.คุณPampam...โยว่าหนูสิ้นของคุณPampam ก็ออกอาการงอนไปแล้วนะคะ
แต่หมอรังเขาไม่ได้ง้อเท่านั้นเอง...แต่จัดงานแต่งให้โดยไม่บอกไม่กล่าว
ให้เจ้าสาวรู้ล่วงหน้าเท่านั้นเอง...เลยได้แต่งสมใจเลยคราวนี้...อิอิอิ
12.คุณตุ๊งแช่...ดีใจจังเลยค่ะที่ได้เห็นคุณตุ๊งแช่ส่งเสียงมาให้กำลังใจเต่าโย...
ดีใจที่รู้ว่ามีนักอ่านติดตามอ่านมาหลายปี ยอมรับเลยค่ะว่าโยเขียนเรื่องนี้หลายปีจริงๆ
เพราะกะจะทิ้งทวนให้เรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้าย เนื่องจาก ณ ตอนนั้นกะจะไม่เขียน
นิยายต่อจากเรื่องนี้แล้ว แต่สุดท้้ายก็ยังติดใจ เลยมีเรื่องอื่นๆตามมาอีก
ส่วนเรื่องนี้เลยยาวเพราะพล็อตที่ได้วางเอาไว้มันยาวน่ะค่ะ...ตัดให้สั้นไม่ได้แล้วค่ะ...
ถึงคนเขียนจะหอบแฺฮกๆกับเรื่องนี้สักแค่ไหน ก็ยังจะเขียนต่อไปจนจบค่ะ...
เพราะตั้งใจไว้แล้ว....ผูกเรื่องเอาไว้มาตั้งแต่เดิม จะให้ตัดให้สั้น
มันลำบากสำหรับปัจจุบันมากเลยทีเดียวค่ะ...
ทางเดียวก็คือ เขียนให้จบ แม้จะยาวววววววววววไปจนสุดสายปลายทางสถานีบัตเตอร์เวร์ธ
ซึ่งอยู่อีกประเทศหนึ่งก็ตามค่ะ...ฮ่าๆๆๆ...หวังว่านักอ่านจะรออ่านจนจบ
เหมือนคนเขียนก็พยายามจะเขียนจนจบนะคะ...จุ๊บๆค่ะ...
ปล.อาจไม่ใช่แค่ข้ามปีนี้ก็ได้นะคะ...อิอิอิ...
อ่ะๆๆๆ โยล้อเล่นนะคะ ถ้าไม่มีอะไรติดขัด ชีวิตปกติสุขดี
ต้นปีหน้าก็คงจะจบค่ะ...สำหรับเรื่องนี้...อิอิอิ...
13.คุณLittlewitch...เหมือนจะรู้นะคะว่าโยจะเอาฉากงานแต่งมาให้ในยกนี้
แสดงว่าตัดชุดมาร่วมงานแต่งเรียบร้อยแล้วใช่มั้ยคะนั่น...อิอิอิ...
ปล.เวนไตยเขาพญาครุฑค่ะ ส่วนซาเนียก็พญานาค คนละสปีชีส์กัน
คนนึงก็พยายามเจาะถ้ำอยู่ ส่วนอักคนก็ลอยล่องเวหา...
ก็เลยพูดกันคนละภาษาน่ะค่ะ...ฮ่าๆๆๆ...ขอบคุณนะคะที่แวะมาส่งกำลังใจ
ให้เต่าโย หลังจากที่ปล่อยให้เต่าโยมองหาชื่อนี้อยู่หลายยก...เฮะๆ
สุดท้ายไม่ท้ายสุด...
ขอบคุณทุกไลค์ ทุกกำลังใจ และทุกๆคนที่เข้ามาอ่านมาแวะทักทายเยี่ยมเยือนกันนะคะ...
...แล้วเจอกันยกหน้าค่ะ...
...รักษาสุขภาพกันทุกคนด้วยนะคะ...
"เต่าโย"
สิ้นรักตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองอยู่ในห้องที่ไม่คุ้นตา
มันดูแคบกว่าห้องที่เธอเคยพักอาศัยมา แถมมันยังให้ความรู้สึกโคลงเคลงอีกด้วย
หญิงสาวลุกขึ้นก็พบกับตัวเองกำลังอยู่ในชุดสีขาว เมื่อมองดูอย่างพิจารณา
ดวงตาที่กำลังงัวเงียอยู่ก็ถึงกับเบิกกว้าง ชุดสีขาวดังกล่าวคือชุดเจ้าสาว
ที่เธอออกแบบและตัดเย็บเอาไว้สำหรับวันแต่งงานของตัวเอง…
สิ้นรักมองบรรยากาศรอบห้องก่อนจะเดินไปยังกระจกบานใหญ่
เห็นเงาหญิงสาวในชุดสีขาว ใบหน้าถูกแต่งแต้มด้วยสีสันสดใส
เสียงภายในกระซิบบอกเธอว่า หญิงสาวตรงหน้าสวย
เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะสวยอย่างที่เห็นในกระจก
…ใครกันที่ทำให้เธอเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้…
ไวเท่าความคิด หญิงสาวเดินไปยังหน้าต่างห้องก่อนจะเปิดมัน
ภาพเบื้องหน้าทำให้หัวใจของสิ้นรักกระตุก หมอกสีขาว พื้นน้ำสีคราม
ที่มีระลอกคลื่นกระเพื่อมสะท้อนแสงระยิบระยับ แม้ไม่มีใครบอกเธอก็รู้ดีว่าตัวเองอยู่ที่ไหน…
หญิงสาวจับกระโปรงแล้ววิ่งไปยังประตูเพื่อเปิดออกสู่ภายนอก
ภาพที่เห็นคือ ชายในชุดสีขาว กำลังยืนรอเธออยู่หน้าประตู ใบหน้าของเขาแต้มยิ้ม
แลดูอ่อนโยนราวกับสายหมอกในทะเล อบอุ่นดั่งแสงที่ตกกระทบบนผิวน้ำ
และถ้าเธอไม่ได้ตาฝาดเธอแน่ใจว่าตาของเธอมองเห็นรัศมีสีขาวเรืองรองรอบๆตัวเขา
เขาไม่ใช่เทพบุตร เขาไม่ใช่เจ้าชาย หากเขาคือมนุษย์ เขาคือชายที่เธอรัก
“พี่รัง…”สิ้นรักเรียกชื่อนั้นด้วยน้ำเสียงที่คิดว่าอ่อนหวานที่สุดเท่าที่จะทำได้
เขายิ้มกว้างกว่าเดิมจนเห็นฟันสีขาวเรียงสวย น่ามองยิ่งนัก
“ส่งมือมาสิครับ…”น้ำเสียงทุ้มนุ่มนั้นราวกับมีพลังอำนาจที่ทำให้หญิงสาวทำตาม
มือที่กุมมือเธอเอาไว้ มันให้ความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยอย่างที่เธอไม่เคยรู้สึกมาก่อน
เหมือนความรักของเขาส่งผ่านมาถึงเธอด้วยมือของเขา…
สิ้นรักเงยหน้าขึ้นมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของชายที่เธอรัก
ไม่ว่าเขาจะพาเธอไม่ยังทิศใด เธอหาสนใจไม่ ดวงหน้า แววตาปราศจากความกังวล
เพียงแค่เขาจะกุมมือเธอเอาไว้อย่างนี้ตลอดไปสิ่งใดเธอก็ไม่กลัว…
ทุกก้าวที่เธอเดินเคียงข้างเขา มันทำให้เธอมีความสุข
รู้สึกดีใจและยินดีที่มีเขาอยู่ข้างๆแบบนี้…จนอยากหยุดห้วงเวลานี้เอาไว้
เวลาที่ช่างเหมือนภาพฝัน…ใช่แล้ว…มันช่างเหมือนภาพฝันเหลือเกิน…
ทว่าเพียงแค่เสี้ยววินาทีที่หยุดคิด อยู่ๆภาพที่เธอเห็นก็พลันมลายหายไป…
แทนด้วยภาพเพดานห้องที่แสนคุ้นตาและภาพข้างฝาที่เธอเป็นคนวาด
กลิ่นทะเลกับเสียงคลื่น…สิ้นรักถอนใจยาวด้วยสีหน้าเสียดาย
“ฝันไป…เราแค่ฝันไปเท่านั้น…”เสียงพึมพำดังขึ้น
ใช่แล้ว ภาพที่เราเห็นเมื่อครู่ มันเป็นแค่เพียงภาพฝัน ทุกอย่างหยุดเอาไว้แค่ฝัน…
แล้วน้ำตาที่ไม่รู้ว่ามาได้ยังไง และทำไมต้องไหลในตอนนี้ก็ไหลหลั่งลงมาเป็นสาย
ทำไมต้องร้องไห้ด้วย ทำไมเราต้องอ่อนแอ มันก็แค่ความฝัน
ความฝันที่เป็นเหมือนจิตใต้สำนึกลึกๆที่เราต้องการให้เป็นไม่ใช่เหรอ
และดูเหมือนจะเป็นเพียงแค่ตอนที่หลับเท่านั้นใช่ไหมที่เธอกับเขา
มีวันเวลาที่ได้เดินเคียงข้างกันในฐานะคู่ชีวิต ที่ไม่ใช่แค่เพียงคู่รัก
ที่ได้แต่เฝ้ารอวันที่รอคอย ที่ไม่รู้ว่าจะมาถึงเมื่อไหร่…
และดูเหมือนว่ามันจะห่างไกลออกไปเรื่อยๆ เมื่อเขาไม่เอื้อนเอ่ยถึงวันนั้นอีกเลย
ยิ่งเหตุการณ์ล่าสุดที่เธอเจอยิ่งตอกย้ำว่ายิ่งเป็นไปได้ยาก
ที่เธอกับเขาจะเดินร่วมทางกันได้…เมื่อเธอเห็นเขากับอากิโกะเดินกลับเรือนมาด้วยกัน
โดยที่ในมือของอากิโกะนั้นมีดอกกุหลาบสีขาวนับสิบดอก…
ทั้งๆที่เขาบอกกับเธอเองว่า ดอกกุหลาบสีขาวนั้น
เป็นดอกกุหลาบที่เป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงรักแท้ รักบริสุทธิ์
แล้วที่เขาทำแบบนี้ เขาต้องการจะบอกอะไรกับเธอกันแน่…
นี่หรือคือคนที่บอกว่ารักเธอหนักหนา…ทำไมเขาถึงใจดำทำร้ายจิตใจเธอขนาดนี้…
ตอนที่เขากับอากิโกะเจอหน้าเธอ สีหน้าของเขาดูซีดลงนิดนึง
แต่ก็ปรับให้เป็นปกติได้เพียงไม่กี่วินาที
เขาคงไม่รู้ว่าเธอเห็นแววตาที่ดูตกใจสุดขีดตอนที่เจอเธอเข้าโดยบังเอิญนั้นของเขา
ตอนนั้นเธอทำได้แต่กัดปากและกักเก็บความรู้สึกแล้วเดินกลับเรือนไป…
ไม่มีการตามมาง้องอน ไม่มีการเคาะประตูห้องเพื่อเคลียร์ปัญหาในใจเธอ
หรือว่าเขาไม่แคร์เธออีกแล้ว…ยิ่งคิดน้ำตาของหญิงสาวก็ยิ่งไหล
ทว่า เสียงประตูห้องก็ปลุกให้หญิงสาวตื่นจากความคิดต่างๆ
ก่อนจะปาดน้ำตาจนแห้งสนิท แล้วลุกจากที่นอนเดินไปเปิดประตูห้อง
“มีอะไรเหรอปอง…”สิ้นรักถามเพราะเห็นเพื่อนยืนทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่หน้าประตูห้อง
“พี่รังหายไป คุณอากิก็หายไปด้วย…”คนฟังตกใจ ไม่คิดว่าสิ่งที่ได้ยินจะเป็นความจริง
“เป็นไปได้ไง เกิดอะไรขึ้นเหรอ…”เพื่อนของเธอเอาแต่ส่ายหน้า
“พี่ลมบอกว่าตื่นขึ้นมาก็ไม่พบทั้งสองแล้ว พ่อเจ้าแฝดก็เอาแต่นั่งก้มหน้า
ไม่พูดไม่จา ส่วนเจ้าแฝดก็เอาแต่ถามหาแม่จัง…”
สิ้นรักรู้สึกเหมือนกับกำลังยืนอยู่ในเรือที่กำลังโคลงเคลง จึงรึบใช้มือคว้าขอบประตูไว้แน่น
ไม่ให้ร่างของตัวเองล้มลงไปกองกับพื้น…
“บางทีเขาสองคนอาจมีธุระที่ไหนก็ได้นะไอ้สิ้น…”
ใช่…บางที…บางทีนะ
สิ้นรักพยายามปลอบใจตัวเองอย่างที่เพื่อนกำลังพยายามปลอบใจเธอด้วยเหตุผลนั้นอยู่…
แต่ตลอดระยะเวลาหลายวันหรืออาจจะเรียกได้ว่าร่วมเดือนเลยทีเดียว
ที่เขาดูจะสนิทสนมกับอากิโกะกว่าทุกครั้ง
ดูสนิทกันมากจนเธอไม่อาจปล่อยความคิดในทางลบออกไปจากหัวได้
“หาทั่วเกาะแล้วเหรอปอง…”เพื่อนของเธอพยักหน้า
“มีคนงานเห็นเขาสองคนออกเรือไปด้วยกัน…เสื้อผ้าก็เอาไปด้วย…”
ในที่สุดสิ่งที่เธอกลัวที่สุดก็มาเยือน
“แล้วนี่…”เพื่อนของเธอยื่นกระดาษที่พับอยู่ส่งให้ เธอจึงรับมันไว้
ก่อนจะพยายามตั้งสติ หายใจเข้าลึกๆแล้วเปิดมัน…
ข้อความในนั้น เขียนถึงความลับในใจของเขา
‘เราต่างก็เหน็ดเหนื่อยและเจ็บปวดกันมามากพอแล้วกับการซื้อเวลา…
พี่ขอโทษที่ทำให้เธอร้องไห้เสียใจ และทำให้ต้องเสียน้ำตาครั้งแล้วครั้งเล่า
พี่มันไม่ดีเองที่รักคนอื่นไม่เป็น พี่พยายามแล้ว
แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนใจให้รักเธอได้จริงๆ พี่เคยท้อแท้กับการรักคนมีเจ้าของ
และได้แต่เฝ้ารอว่าเมื่อไหร่รักที่รอคอยจะสมหวัง
หลายครั้งที่อากิพยายามผลักไสพี่ให้รักคนอื่น แต่พี่รักอากิหมดใจ
จนรักคนอื่นไม่เป็นอีกแล้ว…พี่ขอสารภาพว่าพี่มันเลวที่ทำแบบนี้…
แต่พี่ยอมเป็นคนเลว…ถ้ามันทำให้คนที่พี่รักรักพี่ได้…
และวันนี้พี่ก็ทำสำเร็จแล้ว…เราสองคนรักกัน…พี่พร้อมสูญเสียทุกอย่างที่มีในชีวิต
ขอแค่ได้มีวันเวลาที่ดีๆกับคนที่พี่รัก…พี่รักอากิ…’
มือที่กำลังจับกระดาษสั่นสะท้าน น้ำตาพรั่งพรูลงมาเป็นสาย
ปากบางก็สั่นระริก จนฟันกระทบกันเกิดเสียง คนที่พี่รักเหรอ…
เขากล้าประกาศคำว่าคนที่พี่รักให้เธออ่านได้ราวกับไม่สะทกสะท้าน
ราวกับว่าเรื่องระหว่างเขากับเธอไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นเลยสักนิดอย่างนี้ได้อย่างไร
…นี่เขาหลอกให้เธอรัก แล้วหักหลังกันอย่างนี้ได้ยังไง
หัวใจของเขาทำด้วยอะไรกัน ทำไมถึงได้ใจร้ายเหลือเกิน…
นี่หรือคือคนที่เคยบอกว่ารักเธอหนักหนา คำว่ารักของเขาที่มอบให้เธอ
ที่ผ่านมามันเป็นแค่คำลวงเท่านั้นใช่ไหม…
สิ้นรักเข่าอ่อนทรุดลงกับพื้น มีเพียงเสียงปลอบประโลมจากเพื่อนรัก
ที่เธอแทบไม่ได้ยินด้วยซ้ำ เพราะมีแต่เสียงทุ้มนุ่มของเขาที่เธอได้ยินกับรอยยิ้ม
และมือที่กุมมือเธอในความฝันก่อนที่จะตื่นขึ้นมาพบกับความจริงที่ว่าไม่มีเขาอีกต่อไป
แทรกอยู่ในหัวของเธอเท่านั้น
…เขาทำแบบนี้กับเธอได้ยังไง…ไม่รักกันก็ไม่น่าทำร้ายกันขนาดนี้…
ร่างของเธอจึงถูกเพื่อนประคองให้กลับไปยังเตียงนอนอีกครั้ง เธออยากจะหลับตา
หลับไปแล้วไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีกเลย
เธอไม่ต้องการน้ำตาอีกต่อไปแล้ว แต่ภาพรอยยิ้มของเขายังคงติดตาตรึงใจ
ถ้อยคำที่เคยบอกว่ารักเธอ กับคำที่ย้ำว่าเขาจะไม่มีวันรักใครอีกยังคงดังก้องกังวานไปมา
ก่อนจะพยายามหลับตาลง หลับทั้งๆที่หลั่งน้ำตา…หวังเพียงว่าตื่นขึ้นมา เธอจะลืมทุกอย่าง…
“หนูรัก หนูรัก…หนูรัก…”เสียงจากที่ไหนกันที่เรียกเธอ
ไม่ ไม่ เธอจะไม่ยอมตื่นหรอก จะไม่ยอมตื่นขึ้นอีกเด็ดขาด…
ความจริงมันน่ากลัวเหลือเกิน เธอจะขอหลับฝันต่อไปอย่างนี้
แม้ความจริงจะไม่มีพี่รังอีกต่อไปแล้ว แต่พี่รังก็ยังคงอยู่กับเธอในความฝัน
ไม่หนีไปไหนไกล…และก็ไม่หนีไปไหนกับใคร…
“หนูรัก…ตื่นเถอะ…ลืมตาเถิด…”ไม่ อย่ามาเรียกนะ
ยังไงก็จะไม่ยอมลืมตาเด็ดขาด…ในเมื่อชีวิตจริงไม่มีเขา
เธอจะตื่นไปเจอกับมันเพื่ออะไร…เธอแค่อยากให้พี่รังกับเธอ
ได้ยืนเคียงข้างกันและเดินร่วมทางไปด้วยกันตลอดไปอย่างที่หวังและตั้งใจไว้…
แต่มันก็ไม่มีทางเป็นจริงได้อีกแล้ว…
ที่เธอทำได้ก็แค่ฝัน…ขอให้เธอได้หลับฝันอยู่อย่างนี้จนชั่วชีวิตเถิด
อย่าให้เธอต้องตื่นไปพบเจอกับเรื่องจริงเรื่องใดอีกเลย…
ขอให้เธอได้กอดเขาเอาไว้ในความฝันอย่างนี้ต่อไปเถิด
ให้เธอได้อยู่ในความฝันตลอดไปได้ไหม…ในเมื่อชีวิตจริงเธอต้องสูญเสียเขาไป
ก็ขอแค่ให้เธอมีเขาอยู่ในความฝัน ขอแค่ฝันเท่านั้น…เท่านั้นจริงๆ
“ตื่นเถอะนะคะ…นมขอร้อง…ทุกคนกำลังรอหนูรักอยู่นะคะ…”
นม นี่มันเสียงนมนี่นา นมมาทำอะไรที่นี่
“ตื่นเถอะหนุ่ย…”
พ่อ เสียงของพ่อบันนี่!
พ่อบันมาทำอะไรที่ห้องของเธอ แล้วมือใครกันที่กำลังปัดป่ายที่ตรงใต้ขอบตาของเธออยู่
“เลิกร้องไห้แล้วลืมตาเถอะลูก…ตื่นขึ้นมามองพ่อ…”
น้ำเสียงอ้อนวอนของพ่อทำให้เธอใจอ่อนจนยอมละทิ้งภาพฝัน
แล้วค่อยๆเปิดเปลือกตามองดูภาพใบหน้าของบิดา
ก่อนจะหันไปทางนมที่ส่งเสียงมาไม่ขาดสายด้วยสีหน้าดีใจ
ก่อนจะตกใจกับสภาพของตัวเอง ชุดเจ้าสาวสีขาว
ชุดที่เธอออกแบบและตัดเย็บด้วยตัวเองกับผ้าคลุมสีเดียวกัน
ที่คลุมล้อมกรอบใบหน้าของเธอ…
นี่อย่าบอกนะว่าเธอหลับไปทั้งสภาพอย่างนี้
แล้วทำไมเธอถึงจำอะไรเกี่ยวกับชุดเจ้าสาวไม่ได้เลยล่ะ
เธอสวมชุดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมถึงนึกไม่ออก
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นคะพ่อ…”สิ้นรักถามบิดาด้วยแววตาประหลาดใจ
เธอยังฝันอยู่อีกรึเปล่า ชักงงแล้วสิ…
“อย่าเพิ่งถามเลย…เดี๋ยวช่างแต่งหน้าจะช่วยหนุ่ยตอบคำถามเอง…”
เพียงเท่านั้น เลอเลิศก็เผยโฉมพร้อมหีบสมบัติที่นำติดกายตลอด
ก่อนจะวางหีบสมบัตินั้นลงบนเบาะนุ่ม
"ไปล้างหน้าแปรงฟันก่อนนะน้องสิ้น.."แล้วสิ้นรักก็ถูกจูงไปยังห้องน้ำ
ก่อนจะออกมานั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งแล้วเลอเลิศก็เริ่มซับหน้าเธอ
หลังจากนั้นก็เริ่มทำการแต่งหน้าเธอโดยไม่ยอมพูดหรืออธิบายอะไร
นอกจากบอกให้เธอเงียบ…เพียงไม่นานทุกอย่างก็เป็นอันว่าเสร็จ
ท่่ามกลางความมึนงงของสิ้นรัก…นี่มันเกิดอะไรขึ้น
ทำไมเธอถึงยังมึนๆ จับหัวจนปลายไม่ได้ แถมยังทำอะไรไม่ถูกเลย…
“เจ้าสาวของเราพร้อมจะเดินทางแล้วล่ะค่ะ…”
เสียงนั้นเป็นเสียงของแมงมุมที่ไม่รู้ว่าอยู่ๆโผล่หัวมาจากไหน…
แต่ท้องโย้ๆของแม่คุณทำให้สิ้นรักอดยิ้มขำไม่ได้
เพราะมันดูไม่เหมือนแมงมุมผอมโซแต่ก่อนเลยสักนิดเดียว
แต่เมื่อกี้ แมงมุมพูดคำว่า เจ้าสาวใช่มั้ย…
“นี่มันอะไรกันคะ…”ทุกคนนิ่งไม่ยอมตอบเธอแม้แต่คนเดียว
พ่อบันของเธอส่งมือมารับเธอพร้อมรอยยิ้ม
“คงได้เวลาแล้วจริงๆ…ว่าแต่อีกฟากนึงเรียบร้อยรึยังมุม…”เสียงพ่อของเธอ
ดูสดใสกว่าทุกครั้ง
“เรียบร้อยแล้วค่ะอาบัน…”
“งั้นเราก็ไปกันเถอะ”คำว่าเรา ทำให้สิ้นรักหันไปมองรอบๆกาย
เห็นคำว่าเราที่รวมตัวกัน ซึ่งประกอบไปด้วยพ่อของเธอ แม่นมมูนะ
แมงมุม พี่เริศ…แล้วไอ้ปองล่ะ ไอ้ปองหายไปไหน
ว่าแต่พ่อบันจะจูงมือพาเธอไปไหนกัน
และเมื่อประตูห้องถูกเปิดออกเท่านั้น…สิ้นรักก็ถึงกับตกใจ ดวงตาเบิกกว้าง
เรือนไม้หลังงามที่ว่างามแล้วกลับงดงามยิ่งกว่าวันไหนๆ
งามยิ่งกว่าที่ใดในโลกที่เธอเคยพบเจอ…เมื่อมันถูกประดับประดาไปด้วย
ดอกกล้วยไม้สีเหลืองที่แขวนรอบๆระเบียงบ้าน
ทุกซอกมุมมีสีเหลืองของเจ้าเอื้องผึ้งห้อยระย้า มีครอบครัวของคุณลุงซึ่งประกอบไปด้วย
คุณลุง คุณป้า พี่ริวและพี่สะใภ้รวมทั้งหลานสาวตัวน้อยๆของเธอ
ที่คงเดินทางมาจากญี่ปุ่นมายืนยิ้มต้อนรับอยู่หน้าห้องพร้อมคำอวยพร
ซึ่งก็แสดงว่าครอบครัวของคุณลุงก็ต้องรับรู้ว่าวันนี้จะมีอะไรแปลกๆประหลาดแบบนี้เกิดขึ้นกับเธอน่ะสิ
ไม่อย่างนั้น จะมายืนอยู่ตรงหน้าเธอได้อย่างไร
แล้วเมื่อหันไปด้านข้างก็พบกับหญิงสาวในชุดสีขาว
ที่เดินมาหยุดยืนอยู่ข้างๆเธอไม่ห่างไกลด้วยสีหน้าตกใจไม่แพ้เธอเลย
เพื่อนรักของเธอกำลังอยู่ในชุดเจ้าสาวสีขาวที่เธอเป็นคนออกแบบและตัดเย็บให้
ใบหน้าถูกตกแต่งอย่างปราณีตงดงามราวกับเจ้าหญิง
แล้ววันนี้สองสาวกลับพบว่ามีสะพานที่เชื่อมระหว่างเรือนหลังงาม
ที่ทั้งสองพักอยู่กับเรือนหลังใหญ่ที่เคยตั้งใจให้เป็นเรือนหอรอรักของทั้งสองคู่ชูชื่น…
ยิ่งในยามค่ำคืนเช่นนี้ยิ่งทำให้รู้ว่าสะพานดังกล่าวมิใช่สะพานธรรมดาอย่างที่เคยเห็นมา
ถ้าจะเรียกมันว่าสะพานดาวก็คงไม่ผิดนัก เพราะว่าตลอดเส้นทางมีแสงระยิบระยับ
สวยงามจับตาราวกับดวงดาวบนท้องฟ้าส่องแสงกะพริบอยู่…
โดยที่ปลายทางที่่แท้จริงจะสิ้นสุดตรงไหนนั้น สองสาวไม่อาจรู้ได้
รู้แค่ว่า ณ ที่นั้น มีใครรอเธอทั้งสองอยู่
สิ้นรักกับปองขวัญจึงหันมามองหน้ากันแล้วยิ้มออกมาพร้อมน้ำตาที่เอ่อคลอด้วยความตื้นตัน
เมื่อรู้ว่าวันที่รอคอยมาเยือนทั้งสองโดยไม่ทันตั้งตัว
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง หรือว่านี่คือความฝัน
แต่ก็ช่างมันเถอะ จะจริงหรือฝัน เธอไม่สนใจหรอก…
ในเมื่อมือของพ่อที่กุมเธออยู่มันดูอบอุ่นเสียขนาดนี้ มันจะเป็นอะไรก็ช่างมัน…
“หนุ่ยคือแก้วตาดวงใจของพ่อ คือทุกสิ่งในชีวิตที่พ่อมี และไม่มีของมีค่าใด
ที่จะแทนค่าเทียมเท่าหนุ่ยได้…พระเจ้าสร้างหนุ่ย มอบหนุ่ยให้พ่อคุ้มครอง
จับมือพ่อ แล้วพ่อจะพาหนุ่ยเดินไปสู่ปลายทางที่ดี…”
สิ้นรักยิ้มพร้อมกับพยักหน้า แล้วกระชับมือบิดาเอาไว้แน่น
รับรู้ได้ถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ที่ผู้เป็นบิดามอบให้เธอมาทั้งชีวิต
ปองขวัญก็เช่นกัน ถึงแม้บิดาของเธอจะไม่ค่อยมีเวลาสนใจหรือเอาใจใส่ลูกสาวอย่างเธอ
แต่เวลานี้ ผู้เป็นบิดากลับทำให้เธอรู้ว่า ไม่มีอุ้งมือไหนจะยิ่งใหญ่เท่าอุ้งมือของผู้เป็นพ่อ
ยิ่งถ้อยคำที่พ่อของเธอพูดกับเจ้าบ่าวของเธอยามที่ส่งมือเธอให้กับเขา
เมื่อพาเธอเดินข้ามสะพานดาวนับพันดวงมาจนถึงปลายทางได้สำเร็จ
มันทำให้น้ำตาแห่งความตื้นตันและซาบซึ้งใจไหลออกมาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
เพราะปลายทางที่ว่าคือปลายทางที่เดินผ่านสะพานดาว
แล้วก้าวสู่เส้นทางที่มีคบเพลิงที่คอยให้แสงสว่างไปตลอดทาง
เมื่อสุดทางจึงพบสถานที่ที่แสนงดงาม
มีศาลาสีชมพูกลางสวนกุหลาบขาวปรากฏต่อสายตาของเธอและเพื่อนของเธอ…
สองสาวยืนมองภาพกุหลาบขาวนับพันดอกที่กำลังชูช่อบานสะพรั่ง
พร้อมกับแขกเหรื่อที่ยืนล้อมสวนกุหลาบราวกับจะมาร่วมเป็นสักขีพยาน
ในพิธีแต่งงานของทั้งสองคู่…
ซึ่งพิธีดังกล่าวจะเกิดขึ้นในศาลาที่อยู่ตรงใจกลางของสวนกุหลาบขาว
ในนั้นมีม่านสีขาวกั้นกลางเอาไว้ มีกลุ่มคนประมาณสิบคนล้อมวงอยู่อีกฟากฝั่งหนึ่งของม่าน…
บิดาของสิ้นรักและปองขวัญจึงจูงมือลูกสาวเข้าไปยังศาลาดังกล่าว
ยังอีกฟากฝั่งหนึ่งที่ไม่มีใคร หากมีที่นั่งอย่างดีไว้รอรับแล้ว…
ซึ่งก็พอดีกับที่โต๊ะอีหม่าม ผู้นำศาสนาเดินเข้ามาถามเจ้าสาวทั้งสองว่า
“หนูจะรับนายหัวรังสิมันต์ ยุรยวรวงศ์ ลูกชายของนายนาลันธ์ ยุรยวรวงศ์ผู้ล่วงลับ
กับนางแพรวา ยุรยวรวงศ์ เป็นสามีหรือไม่…”
สิ้นรักยิ้มสดใสก่อนจะพยักหน้ารับอย่างเต็มอกเต็มใจ
“รับค่ะ…”หลังจากนั้นโต๊ะอีหม่ามก็หันไปถาม ปองขวัญ
“หนูจะรับนายวายุ อาทิตยะ ลูกชายนายภูผา อาทิตยะ
กับศาสตราจารย์แพทย์หญิงนารา อาทิตยะ ผู้ล่วงลับไปแล้วหรือไม่…”
ปองขวัญยิ้มรับพร้อมกับพยักหน้า
“รับค่ะ…”เป็นอันว่าเสร็จพิธี เพราะก่อนหน้าที่โต๊ะอีหม่ามจะเข้ามาถามเจ้าสาวนั้น
ได้ถามทางฝ่ายเจ้าบ่าวทั้งสองแล้วว่าจะรับเจ้าสาวในนามดังกล่าวเป็นภรรยาหรือไม่…
ซึ่งทางเจ้าบ่าวต่างยอมรับเช่นกัน…
ดังนั้นทั้งทางเจ้าบ่าวและเจ้าสาวจึงลงลายมือชื่อเพื่อยืนยันเป็นหลักฐานในเอกสารทางศาสนา
ว่าทั้งสองได้ตกลงเป็นสามีภรรยากันแล้วพร้อมด้วยลายมือชื่อของบิดา
และพยานพร้อมด้วยโต๊ะอีหม่าม
หลังจากนั้นบิดาทั้งสองของสองเจ้าสาวจึงลุกขึ้นจับมือลูกสาว
แล้วพาเดินไปหาเจ้าบ่าว เมื่อทั้งสองเป็นสามีภรรยาที่ถูกอนุมัติแล้ว…
“ฉันรู้ว่าในสักวันนึงต้องมีวันนี้ วันที่จะมีใครสักคนรักลูกสาวของฉัน
ฉันไม่หวังอะไร มากไปกว่า ขอให้เขาคนนั้นเป็นคนดี ไม่ทำให้ลูกสาวที่ฉันรักเสียใจ
รักเธออย่างที่ฉันรัก…ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ จับมือเธอไว้ให้แน่น อย่าปล่อยเด็ดขาด…”
จบคำพูดนั้นเจ้าบ่าวของเธอก็พยักหน้าด้วยแววตาหนักแน่นมั่นคง
ก่อนจะรับมือของเธอที่พ่อของเธอส่งให้ไปกุมเอาไว้แน่น
แล้วส่งยิ้มที่ดูอบอุ่นและสวยงามที่สุดมาให้เธอ
“พี่จะไม่มีวันปล่อยมือเธอเด็ดขาด…”นั่นคือคำมั่นสัญญาจากปากของสายลมที่แสนดีของเธอ…
ก่อนจะหันไปทางเพื่อนสาวที่กำลังส่งยิ้มมาให้เธอ
สิ้นรักได้แต่นึกถึงถ้อยคำเมื่อครู่ของบิดาขณะที่กล่าวกับเจ้าบ่าวของเธอว่า
“หน้าที่ของฉันเหมือนจะสิ้นสุดลงหลังจากที่ส่งมือลูกสาวที่ฉันรักสุดดวงใจให้เธอปกป้องต่อ…
ฉันไว้ใจ เชื่อใจเธอ และจะไม่เข้าไปก้าวก่ายในกิจการปกครองครอบครัวของเธอ
ถ้าเธอยังคงจับมือลูกสาวของฉันเอาไว้อย่างมั่นคง…
พร้อมทั้งรักและดูแลครอบครัวของเธอได้เป็นอย่างดี…
ต่อจากนี้…รังของเธอจะมีรัก…รักษารักไว้ให้ดีนะ…”
เจ้าบ่าวของเธอพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม…
หลังจากนั้น เจ้าบ่าวของเธอก็พาเธอเดินออกจากศาลา
โดยอากิโกะยืนรออยู่หน้าศาลากับผู้เป็นสามี
พร้อมด้วยเจ้าแฝดและแขกคนอื่นๆที่มาร่วมงาน
หญิงสาวยื่นมงกุฏดอกกุหลาบขาวส่งให้รังสิมันต์
สิ้นรักมองภาพอากิโกะแล้วอดนึกไปถึงภาพฝันก่อนหน้านี้ไม่ได้
สรุปว่านี่เธอกำลังฝันหรือว่าความจริงกันแน่…
แต่เมื่อเจ้าบ่าวของเธอวางมงกุฏดอกกุหลาบขาวนั้นไว้บนศีรษะ
ที่มีผ้าคลุมสีขาวยาวระเรื่อยอยู่นั้น ทำเอาสิ้นรักถึงกับประหลาดใจปนดีใจ
หันไปทางอากิโกะ
…ดอกกุหลาบขาวที่เธอเห็นอากิโกะถืออยู่ในมือเมื่อวาน
กลายเป็นมงกุฏกุหลาบขาวนี่หรอกหรือ…
“ในที่สุด…ใบไม้สีเขียวก็ได้เจอและอยู่เคียงคู่กับดอกกุหลาบขาว
ที่รอคอยมานานสักทีนะคะคุณหมอ…ฉันดีใจด้วยจริงๆค่ะ…”
อากิโกะกล่าวกับเจ้าบ่าวก่อนจะหันไปยิ้มให้กับเจ้าสาวขณะกล่าวว่า
“ชุดเจ้าสาวสีขาวกับกุหลาบขาวบริสุทธิ์ สีของความมั่นคงในรักแท้…
คุณหมอเขาตั้งใจทำทุกอย่างเพื่อเจ้าสาวของเขา ไม่เว้นแม้กระทั่งมงกุฏกุหลาบขาว…
ศาลาแห่งนี้ หรือเรือนเอื้องผึ้งเมื่อครู่ เหยี่ยวก็แค่ช่วยออกแบบจัดงานให้เท่านั้นเองค่ะ
ส่วนสะพานดาว…คงต้องยกความดีความชอบให้พี่ลมเขาค่ะ…
เห็นบอกว่าอยากทำให้เจ้าสาว…ใช่มั้ยคะพี่ลม…”ปองขวัญที่ได้ยินดังนั้น
ถึงกับเงยหน้าขึ้นมองเจ้าบ่าวของตนที่กำลังกุมมือของเธออยู่ด้วยแววตาขอบคุณ
เขารู้ได้ไงว่าสะพานดาวคือความฝันของเธอ…ต้องเป็นไอ้สิ้นแน่ๆที่บอก…
ไวเท่าความคิด ปองขวัญหันไปทางเพื่อนรักทันที สิ้นรักได้แต่ส่ายหน้าไหวๆ
“ฉันไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ก็กำลังถูกเซอร์ไพร้เหมือนแกนี่แหล่ะ…”
“พี่สืบรู้มานานแล้วล่ะครับ…ก็เคยบอกไว้ว่าจะสร้างสะพานดาวเพื่อให่เราได้เดินไปมาหากันไง…”
และแล้วความทรงจำในวันวานก็ผุดขึ้นในมโนภาพของปองขวัญ…
“ขอบคุณนะคะพี่ลม ขอบคุณเหลือเกิน…”
“ยังไม่หมดเท่านี้หรอก…”วันนี้รอยยิ้มของเจ้าบ่าวของเธอทำไมถึงได้น่ามองขนาดนี้นะ
เธอว่าวันนี้เขาหล่อและเท่กว่าวันไหนๆเลยเชียวล่ะ
“นี่รักไม่ได้ฝันไปใช่มั้ยคะพี่รัง…”สิ้นรักหันไปถามรังสิมันต์ให้แน่ใจ
“แน่นอนที่สุดครับ…นี่คือความจริง…”พูดจบรังสิมันต์ก็ก้มลงหอมแก้มเจ้าสาวของตน
ที่ถูกอนุมัติสำหรับเขาแล้วทันที…สัมผัสดังกล่าวทำให้สิ้นรักถึงกับหน้าแดง เลือดสูบฉีดขึ้นหน้า
ยิ่งมีเสียงโห่ร้องจากกองเชียร์ตามมายิ่งทำให้หญิงสาวเขินอายมากขึ้นไปอีก
…มันคือความจริงจริงๆด้วย…
เธอไม่ได้ฝันไป…ไม่ได้ฝันไปใช่ไหมเนี่ย…
“หอมกลับเลยค่ะน้องสิ้นของเจ๊…”เสียงเจ๊เริศดังขึ้น…เสียงอื่นก็ร้องเชียร์ตามลั่น
สิ้นรักถึงกับทำอะไรไม่ถูก รังสิมันต์ที่สูงกว่าเจ้าสาวอยู่มากถึงกับยิ้ม
จะย่อตัวให้เจ้าสาวห้อมแก้มเดี๋ยวภาพถ่ายออกมาไม่สวยอีก
จึงถือโอกาสอุ้มเจ้าสาวขึ้นพร้อมกับพูดว่า
“ได้เวลาจุมพิตเจ้าชายแล้วนะครับเจ้าหญิงนิทราขี้แย…”นี่พี่รังรู้ได้ไง
ว่าเธอหลับทั้งๆที่ร้องไห้ก่อนหน้านี้ สงสัยมีมือดีขี่ม้าสามศอกไปฟ้องแน่ๆ
“เร็วๆสิครับ กล้องหลายตัวเตรียมพร้อมแล้วเห็นมั้ย…”สิ้นรักหน้าแดงไม่กล้ารับคำท้า
“งั้นพี่จูบโชว์นะ…”ได้ยินดังนั้นสิ้นรักก็รีบเอาจมูกปัดป่ายที่แก้มของรังสิมันต์
แบบรวดเร็วราวกับฟ้าแลบทันที กะไม่ให้ใครได้กดชัตเตอร์ทัน
โดยหารู้ไม่ว่า เพื่อนชายอย่างเต็มกมล ช่างภาพมืออาชีพไม่มีวัน
ให้ภาพดังกล่าวหลุดนิ้วชี้ไปได้ง่ายๆแน่
“นี่เขาเรียกว่าหอมแก้มเหรอครับคนสวย…หอมแก้มน่ะต้องอย่างนี้…”
พูดเสร็จก็สาธิตให้ดูอีกรอบ เรียกเสียงหัวเราะเฮฮาจากแขกในงานลั่น
“ปล่อยรักลงเถอะค่ะ…”
“ไม่ปล่อย นอกจากจะยอมหอมพี่ซะดีๆ…”
“ก็หอมไปแล้ว…”
“ไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย…”
“ก็ได้ๆ…”พูดจบสิ้นรักก็หอมแก้มรังสิมันต์อีกครั้ง
คราวนี้ตากล้องมือช้าก็ได้ภาพไปตามที่ต้องการ…
“แล้วพี่ลมล่ะ จะปล่อยให้อีกคู่แย่งซีนได้ยังไง…เร็วเร้ว…หอมแก้มเจ้าสาวโชว์หน่อย…”
เสียงของแมงมุมดังขึ้น…
“นั่นน่ะสิ…เสียหน้าแย่…”พสุธร้องรับต่อจากภรรยาท้องโย้
ผู้อุ้มลูกรักของเขาเอาไว้อย่างอดทนทันที…
“ว่าไงปองขวัญ เธอจะให้พี่หอมเธอก่อน หรือเธอจะหอมพี่ก่อน…ว่า”
พูดไม่ทันจบคำ ปองขวัญก็รีบหอมแก้มเจ้าบ่าวทันที ทำเอาคนพูดตกใจ
ตาเบิกโต เพราะไม่ทันตั้งตัว เสียงฮือฮาจึงดังลั่น…
“โอ้ย งานนี้ พี่ลมโดนปาดหน้า…”พสุธถือโอกาสแหย่พี่ชาย
“ใครว่าปาดหน้า ไอ้เมื่อกี้เขาเรียกว่าปาดแก้ม แล้วอันนี้น่ะเขาเรียกว่าปาดปาก…”
พูดจบก็จุ๊บที่ปากของเจ้าสาวหนึ่งที เรียกเสียงเฮฮาและเสียงปรบมือดังลั่นศาลา…
“นี่มงกุฏของราชินีแห่งสายลมครับ…”พูดจบ วายุก็รับมงกุฏรูปดาวที่ทำจาก
เพชรน้ำร้อยหลายเม็ดที่ถูกออกแบบมาอย่างดีวางลงบนศีรษะที่มีผ้าคลุมสีขาวอยู่ของปองขวัญ…
“รับรองว่าไม่มีวันเหี่ยวแน่ๆ…”ถ้อยคำนั้นเหมือนจะไปสะกิดใจใครบางคนเข้าพอดี
และเหมือนคนโดนสะกิดจะรู้ตัว เกิดอาการคันไม้คันมือ คันปากขึ้นมา
“ถึงจะเหี่ยว ฉันก็พร้อมจะทำอันใหม่ให้เจ้าหญิงของฉัน
เพราะกุหลาบขาวที่นี่ไม่มีวันตาย…”เสียงของรังสิมันต์แหวกสายลมกระทบหูวายุเต็มๆ
เรียกรอยยิ้มของเจ้าหญิงที่ลงมายืนบนพื้นเรียบร้อยแล้วอย่างสิ้นรัก
เพราะพี่รังช่างรู้ใจเธอนัก เขาจำได้ว่าจริงๆแล้วเธอชอบกุหลาบขาว…
ต่อให้ต้องเหี่ยว กุหลาบขาวก็ยังคงงดงามในใจเธอเสมอ…
“ใช่แล้วล่ะรัง…กุหลาบขาวที่นี่ไม่มีวันตาย…”เสียงยืนยันนั้นเป็นเสียงของแพรวา
ที่กำลังถือกล่องกำมะหยี่อยู่ในมือ…
“แม่มีความจริงบางอย่างที่ต้องบอกลูกกับหนูรัก…”
พูดเสร็จก็หันไปทางบันลือ อีกฝ่ายจึงยิ้มก่อนจะพยักหน้านิดนึง…
“กุหลาบขาวที่นี่ พ่อกับแม่ของสิ้นรักเป็นคนปลูกไว้เพื่อเป็นพยานรัก
เป็นสื่อรักของทั้งสองที่มีต่อกัน…เมื่อก่อนทั้งสองเคยมาพักอาศัยอยู่ที่นี่จนมีลูกด้วยกัน
ที่จริงแล้วสิ้นรักคลอดที่นี่ เกาะแห่งนี้เคยชื่อว่าเกาะรัก
เพราะกุหลาบขาวเหล่านี้เป็นสื่อแห่งความรัก เนื่องจากเมื่อก่อนที่นี่ไม่มีใคร
พ่อกับแม่ของสิ้นรักเข้ามาบุกเบิก…แต่หลังจากรติเสียชีวิต
บันลือก็หอบลูกไปอยู่ที่เกาะลันตาให้แม่ช่วยเลี้ยงดู…หลังจากนั้นก็ไม่กลับมาที่เกาะนี้อีกเลย…
เกาะแห่งนี้จึงถูกทิ้งร้างจนกระทั่งพ่อของลูกเสีย แล้วบันลือหอบลูกสาวหายไป…
แม่ก็กลับมาพลิกเกาะรักให้กลับมาเป็นเกาะสวรรค์ แล้วตั้งชื่อให้ใหม่ว่าเกาะรัง…
นี่คงเป็นเหตุผลที่พ่อบันของหนูอยากให้ที่นี่เป็นเรือนหอของลูกสาว…”
ประโยคหลังแพรวาหันไปพูดกับสิ้นรักพร้อมรอยยิ้มบาง
…เมื่อก่อนเธอช่างเห็นแก่ตัวนัก ขนาดชื่อเกาะยังเปลี่ยนมาตั้งตามชื่อลูกชายคนโตของตัวเอง…
แม้เกาะแห่งนี้จะเป็นกรรมสิทธิ์ของสามีของเธอก็จริง
แต่จริงๆแล้วคนที่ควรเป็นเจ้าของ มันควรจะเป็นลูกสาวของบันลือมากกว่า…
เพราะบันลือเป็นคนยกทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่ที่เขาร่วมสร้างกันมากับสามีของเธอ
ให้ตกเป็นของเธอโดยไม่ยอมเอาอะไรติดมือไปแม้แต่นิด…
“แม่แพรวขอโทษสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมานะหนูรัก…
อะไรที่ควรจะเป็นของหนู แม่แพรวจะยกมันคืนให้กับหนู…”
ถ้อยคำนั้นทำเอาสิ้นรักถึงกับน้ำตาคลอ…
“แล้วนี่ก็เป็นอีกอย่างที่พ่อของเจ้ารังตั้งใจไว้ก่อนตาย…”
พูดพลางแพรวาก็ยื่นกล่องกำมะหยี่ในมือให้ลูกชายพร้อมสั่งเสียงนุ่ม
“สวมให้น้องสิรัง…”รังสิมันต์เปิดกล่องกำมะหยี่นั้นออกก่อนจะยิ้มออกมา
“นี่ไม่ใช่แหวนบุษราคัม แต่เป็นแหวนเพชรสีเหลืองน้ำดีที่หายากมาก…”
แพรวาเฉลย ไม่ใช่เพราะเหตุผลว่าแหวนดังกล่าวเป็นแหวนเพชรน้ำดีที่หายากหรอก
ที่ทำให้เธอหวงมันหนักหนา
แต่เป็นเพราะเหตุผลทางใจและชื่อที่สลักอยู่ที่แหวนวงนั้นต่างหาก
ที่ทำให้เธอไม่อาจคืนให้กับลูกสาวเจ้าของพร้อมเงื่อนไขที่สามีวางไว้
คือต้องการให้เป็นแหวนหมั้นระหว่างลูกชายคนโตของตนกับสิ้นรัก…
ทว่า วันนี้ เธอยอมทุกอย่าง ปล่อยวางได้แล้ว…
“ขอบคุณค่ะ…”สิ้นรักกล่าวขอบคุณจากหัวใจ รังสิมันต์จึงจับมือบาง
แล้วค่อยๆบรรจงสอดแหวนวงงามของบิดาที่มารดาของเขาหวงแหนหนักหนา
ไว้ตรงนิ้วนางข้างซ้ายของสิ้นรักแล้วยกนิ้วนั้นขึ้นจุมพิตเบาๆ…
สิ้นรักมองแหวนวงงามด้วยความตื้นตันใจ
น้ำตาเอ่อคลอเมื่อยามที่หันไปทางแม่แพรวของเธอ…
แหวนเพชรสีเหลืองวงนี้ช่างงดงามเหลือเกิน
เธอไม่คิดไม่ฝันเลยว่าแหวนเพชรที่เขาพูดถึงกันจะงดงามถึงเพียงนี้…
พ่อลันธ์ช่างคิดเหลือเกิน…นี่ถ้าท่านยังมีชีวิตอยู่ เธอก็อยากจะกอดท่าน
อยากจะขอบคุณท่านที่ยกแหวนวงนี้ให้เป็นแหวนหมั้นระหว่างเธอกับพี่รัง…
เพราะตั้งแต่จำความได้ พ่อลันธ์รักและตามใจเธอมาตลอด
ความรัก ความทรงจำในอดีตระหว่างครอบครัวเธอกับครอบครัวพี่รังหวนกลับมาอีกครั้ง…
ภาพเก่าๆเมื่อยังเยาว์ยังคงตราตรึงในหัวใจเธอไม่เคยหายไปไหนเลยจริงๆ…
มันยังคงงดงามจนเธออยากกลับไปวันนั้นอีกครั้ง
…แม้เธอจะกำพร้าแม่ แต่เธอก็ได้แม่แพรวมาทดแทน ได้พ่อลันธ์มาต่อเติม
และจากนี้ไปเธอกำลังจะได้กลับมาใช้ชีวิตกับครอบครัวของพี่รัง
เราทั้งหมดจะกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้งหนึ่ง
แม้วันนี้จะขาดพ่อลันธ์ไป แต่แหวนวงนี้จะเป็นตัวแทนความรักความห่วงใยของท่านที่มีต่อเธอ
…สิ้นรักก้มมองแหวนที่นิ้วนางของซ้ายของตัวเองพร้อมน้ำตาแห่งความซาบซึ้งใจ
ที่ไหลหลั่งลงมา รังสิมันต์ช่วยซับน้ำตานั้นให้กับเธอพลางกล่าวว่า
“…พ่อพี่คงรักมันมาก…รักษาเอาไว้ให้ดีนะครับ…”
“ค่ะ…รักจะรักษาไว้ตลอดไป”สิ้นรักยิ้มพร้อมพยักหน้า…
ก่อนจะถอดสร้อยคอที่เธอห้อยตลอดเวลาออกมา
แล้วหยิบแหวนเงินธรรมดาที่เป็นจี้ของสร้อยคอขึ้นมา…
เหลือบตาไปทางบิดานิดนึงแล้วหันมายิ้มให้เจ้าบ่าวของตน
“พ่อบันบอกว่า…แหวนวงนี้พ่อบันใช้หมั้นแม่…แม้มันจะน้อยราคา
แต่มันมีค่ามากสำหรับรัก…เพราะมันคือตัวแทนความรักของพ่อกับแม่
รักรักมันยิ่งกว่าอัญมณีชิ้นไหนๆ…รักอยากมอบมันให้พี่รังไว้เป็นตัวแทนความรักของรักค่ะ…”
พูดจบสิ้นรักก็จับมือรังสิมันต์ขึ้นมาแล้วสวมแหวนวงนั้นไว้ในนิ้วก้อยข้างขวาของเขา
ซึ่งพอดิบพอดี พอเหมาะพอเจาะจนน่าแปลกใจ
รังสิมันต์เองก็อดประหลาดใจไม่ได้เช่นกัน…
อีกทั้งแหวนวงนี้เขาเคยเห็นยัยตัวเล็กของเขาสวมใส่เป็นจี้ห้อยคอมาตลอด
จึงอดดีใจไม่ได้ที่วันนี้เขาจะเป็นผู้ดูแลมันแทนเธอ…
“พี่จะดูแลมันอย่างดี…”สิ้นรักยกมือหนาขึ้นแนบแก้มพร้อมรอยยิ้มหวาน
ก่อนจะค่อยๆปล่อยมือนั้นลง
รังสิมันต์จึงหยิบสร้อยคอกับสร้อยข้อมือและต่างหูเข้าชุดที่มารดาของเขา
คงสั่งทำพิเศษให้เข้ากับแหวนเพชรสีเหลืองของบิดาของเขาให้กับสิ้นรัก
“แม่สั่งทำพิเศษเพื่อสะใภ้ใหญ่ที่แม่รอคอยมานานจ๊ะ…”
แพรวากล่าวเมื่อเห็นว่าสะใภ้ใหญ่ของตนเหมาะสมกับชุดเครื่องเพชรดังกล่าวมาก
แสดงว่าสามีของเธอตาถึง จึงรู้ว่าสะใภ้ใหญ่ของตนเหมาะกับอัญมณีชิ้นไหน…
“ขอบคุณค่ะแม่แพรว ขอบคุณค่ะพ่อบัน”แพรวาและบันลือหันมายิ้มให้กัน
ร่องรอยบาดหมางในอดีตจืดจางลงด้วยความรักและเข้าใจ…
“ขอบคุณนะคะพี่รังที่ทำให้รักมีวันนี้…ขอบคุณค่ะ”
รังสิมันต์ยิ้มพร้อมกับดึงร่างเล็กเข้ามากอด เสียงปรบมือดังก้อง…
ก่อนจะเงียบลงอีกครั้งเมื่อตามตะวันลากรถเข็นของตะวันแหวกเข้ามาข้างๆคู่ของวายุ
“ยุ่งกับการวางแผนวางยาสลบเจ้าสาวกับสร้างสะพานดาวจนลืมอะไรไปรึเปล่่าไอ้น้องชาย…”
ตะวันกล่าวพร้อมกับยื่นกล่องกำมะหยี่ในมือส่งให้น้องชาย
วายุจึงรับไว้แล้วเปิดดู เห็นเครื่องเพชรชุดใหญ่ของตระกูลก็ตกใจ
“พี่เอามาให้ผมทำไม…นี่มันเครื่องเพชรชุดใหญ่ที่แม่ตั้งใจไว้หมั้นหมายสะใภ้ใหญ่นี่พี่เพลิง…”
ตะวันยิ้มที่มุมปาก
“เครื่องเพชรชุดนี้เหมาะกับเจ้าสาวของแกมากกว่านายลม…
ว่าที่เจ้าสาวของพี่เขามีอัญมณีที่เหมาะกับเขาแล้ว…
ถ้าแม่ยังอยู่แม่ก็คงคิดไม่ต่างไปจากพี่หรอก…เพราะปองขวัญเหมาะกับเครื่องเพชรชุดนี้ที่สุด…”
เครื่องเพชรที่ครั้งหนึ่งปองขวัญเคยได้สวมโดยที่วายุเป็นคนนำไปสวมให้กับเธอ
ตอนนี้กลับเป็นเขาอีกครั้งที่นำมันมาสวมให้กับเธอในฐานะใหม่
ซึ่งไม่ใช่ในฐานะน้องชายของเจ้าบ่าวของเธอเหมือนในวันวาน
แต่เป็นในฐานะเจ้าบ่าวของเธอเอง แถมวันนั้นยังไม่มีแหวนเพชรเช่นวันนี้…
“ขอบคุณครับพี่เพลิง…”ตะวันส่ายหน้า
“แกทำเพื่อฉันมามาก แค่นี้มันยังน้อยไป…”วายุซาบซึ้งในน้ำใจของพี่ชาย
ก่อนจะหันไปยิ้มกับตามตะวัน ว่าที่พี่สะใภ้ใหญ่ของบ้านที่ดูจะมีความสุข
ที่น้องสาวแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝา เป็นพี่สาวที่ไหนก็ย่อมมีความสุขกันทั้งนั้น
“พี่ดีใจด้วยนะปอง…”ตามตะวันจับมือน้องสาวเอาไว้แน่น
“ขอบคุณค่ะพี่ตาม…”ปองขวัญกล่าวจบก็สวมกอดพี่สาวเอาไว้
“คราวนี้เกาะรังที่เคยชื่อว่าเกาะรัก ก็จะกลายเป็นเกาะรังรัก…
เมื่อรังกับรักได้มาอยู่ด้วยกันสักทีนะครับ…”
เสียงนั้นดังมาจากฑยาวีย์…ซึ่งเป็นน้องชายของรังสิมันต์ (พระเอกในเรื่องรังรักของเราไง)…
เรียกทุกสายตาให้หันไปทางเขา…ก่อนจะเห็นด้วยกับถ้อยคำนั้น
“ใช่แล้วค่ะ…เกาะรังรัก…เกาะนี้น่าจะชื่อว่าเกาะรังรักนะคะ…”
อากิโกะเสริมต่อจากสามี…เพราะบ้านของเธอเองก็ชื่อว่าบ้านรังรัก
เนื่องจากเธอชื่อเหยี่ยว บ้านของเธอ จึงชื่อว่าบ้านรังรัก
ส่วนบ้านของหงส์ น้องสาวฝาแฝดผู้ล่วงลับของเธอ ได้ชื่อว่า วิมานรัก
เพราะหงส์ควรอยู่บนวิมาน ส่วนรังก็ควรคู่กับรัก…
“แม่ก็ว่าดีนะ…เห็นด้วยทุกประการ…”แพรวาเห็นด้วยกับความคิดของลูกชายคนเล็ก
…มติเป็นเอกฉันท์ว่าเกาะรัง ได้ถูกตั้งชื่อให้ใหม่ว่าเกาะรังรัก…
“เดี๋ยวครับ…เรื่องยังไม่จบ…”เสียงห้าวดังแทรกขึ้น
ทุกคนจึงหันไปยังทิศทางเดียวกันของที่มาของเสียง
เห็นภาพบุรุษหน้าตาคมเข้มในชุดสีขาวแลดูสุภาพ
ในมือถือกระถางต้นกุหลาบที่มีดอกสีสันแปลกตา…
ฉุดรอยยิ้มดีใจจากหญิงสาวหนึ่งในกลุ่มแขกเหรื่อของงานแต่งทันที…
“ฉันก็ว่าสิ ว่าทำไมนายถึงยังมาไม่ถึง…กังวลใจอยู่เหมือนกัน…
เพราะหมอกานต์กับน้ำร้อยและคนอื่นๆมาถึงตั้งแต่เมื่อวานแล้ว…”
รังสิมันต์กล่าวขึ้นเมื่อเห็นว่าเป็นใคร
“ไม่มาไม่ได้หรอกครับ…ผมกับระริน เราเคยทดลองเพาะพันธุ์กุหลาบด้วยกัน
จนได้สายพันธุ์ใหม่ เจ็ดต้นเจ็ดสีครับ…เราสองคนตั้งใจทำ
เพื่อมอบให้กับลูกสาวสุดที่รักของคุณป๋าของพวกเราในวันแต่งงานครับ…
นี่ครับคุณหนู กุหลาบสายรุ้ง…”ประโยคหลังเวนไตยหันไปยิ้มให้สิ้นรัก
“ขอบใจมากเลยครูครุฑ…ระรินด้วย…”เวนไตยหน้าซึมนิดนึงเมื่อนึกถึงระริน…
“จะให้ผมนำมันไปวางไว้ที่ไหนดีครับ…”คำถามนั้นทำให้สิ้นรักถึงกับคิดหนัก…
รังสิมันต์จึงช่วยออกความคิดให้
“ที่เรือนหอสิ…นำไปไว้ที่เรือนหอได้เลยนะเวนไตย…
แล้วฉันกับคุณหนูของนายจะช่วยกันนำไปลงดินด้วยกัน…ขอบใจจริงๆ…”
“งั้นตามนี้นะครับคุณหนู…”เวนไตยหันไปถามสิ้นรักย้ำให้แน่ใจ
“จ๊ะ…แต่คงต้องหาผู้ช่วยแล้วล่ะ ตั้งเจ็ดกระถางแหน่ะ…
ว่าแต่ยกมาได้ยังไงเนี่ย…”เวนไตยจึงชี้ไปยังคำตอบ ซึ่งก็คือรถลาก…
“เดี๋ยวซาเนียอาสาช่วยเองค่ะ…”เสียงใสดังแทรกผ่านผู้คน
เรียกสายตาของเวนไตยให้หันไปทางเจ้าของเสียงทันทีด้วยแววตาฉายแสง
“งั้นพี่ปุ๊ขอแจมด้วยคนนะครับน้องซาเนีย…”เสียงของเต็มกมลดังตามมาติดๆ…
เวนไตยเห็นหนุ่มหน้าตาดี ดูสะอาดสะอ้าน หน้าใสกิ๊ง
ผู้มีกล้องถ่ายรูปคล้องคอที่ขึ้นมายืนอยู่ใกล้ๆกับซาเนียแล้วให้หงุดหงิด…
“แล้วไม่คิดจะถ่ายรูปน้องแล้วรึไงพี่ปุ๊…”ปองขวัญสะกัดดาวรุ่งที่กำลังพุ่งแรงทันที…
ทำเอาคนเป็นพี่ชายฝาแฝดหันมาแยกเขี้ยวใส่
“ปล่อยฉันไปเถอะไอ้ปอง…แกลงไปแล้วก็อย่ามาหาเรื่อง
ขัดแข้งขัดขาคนอื่นเค้า…ให้เค้ามีโอกาสได้ลงบ้างอะไรบ้าง…”
ถ้อยคำ น้ำเสียงและสีหน้าของคนพูดทำเอาคนฟังอีกหลายๆคน
ถึงกับหัวเราะเฮฮา เว้นแต่เวนไตยเท่่านั้นที่ขำไม่ออก…
“งั้นปองก็ขอให้พี่ปุ๊ปลูกต้นรักให้เป็นดอกให้ได้ก็แล้วกันนะ…
เพราะปองเห็นพี่ปลูกต้นอะไรก็ไม่ขึ้นสักต้นนอกจากต้นแห้ว…งิงิงิ…”
ปองขวัญได้ทีหาเรื่องพี่ชายฝาแฝดด้วยความเคยชิน
“ว่าแต่ฉัน แกก็เพิ่งเลิกเป็นเจ้าของไร่แห้วก็วันนี้แหล่ะน่าไอ้ปอง…
นี่ถ้าพี่ลมไม่มาขอ แกก็คงนอนกอดกระป๋องแห้วรออยู่บนคานน้อยต่อไป…ฮ่าๆๆ”
เสียงหัวเราะของเต็มกมลไม่ได้น้อยหน้าปองขวัญก่อนหน้านี้เลย…
ทว่าบทสนทนากัดจิกของสองพี่น้องต้องจบลง
เมื่อวายุฉวยข้อมือเจ้าสาวให้เดินเลี่ยงออกมาเมื่อเห็นเงาบางอย่าง
กำลังคุๆอยู่แถวๆกระถางกุหลาบสายรุ้ง
“พี่ว่าเราไปที่งานเลี้ยงกันเถอะ…ปล่อยให้คนบนคานเขาเคลียร์กันเองดีกว่า
เรามันคนใต้คาน ยุ่งมากเดี๋ยวคานจะทับเอานา”
วายุกระซิบบอกเจ้าสาวเบาๆทว่าปองขวัญไม่ขำเพราะกำลังตกใจกับคำว่างานเลี้ยง
ก่อนจะหันไปทางสิ้นรักที่หันมาทำหน้างงเช่นกัน
“ก็พี่บอกแล้วว่่า เรื่องมันยังไม่จบแค่นี้…ไปกันเถอะ…”
และแล้วเหล่าแขกเหรื่อในงานก็เดินตามสองคู่บ่าวสาวไปยังงานเลี้ยง
ที่ถูกจัดขึ้นริมชายหาด ทำเอาเจ้าสาวทั้งสองที่กับอ้าปากอีกครั้ง
กับภาพสถานที่ มันดูน่่ารักตามที่เคยจินตนาการเอาไว้เลย…
“สวยจังเลยค่ะพี่รัง…”สิ้นรักเอ่ยออกมาด้วยสีหน้ามีความสุข
“สวยมาก สวยอย่างที่วาดภาพไว้เลยค่ะพี่ลม…”ปองขวัญชื่นชม
ภาพสถานที่จัดงานแล้วหันไปยิ้มขอบคุณเจ้าบ่าวของตน
“อากิเค้าเป็นคนจัดให้…งานไหนงานนั้น ไม่มีผิดหวัง…”
วายุออกปากชมน้องสาวของตน…
“ว่าแต่เราไปช่วยกันทำช็อกโกแล็ตแจกแขกในงานกันเถอะ…”
“อะไรนะคะ…”ปองขวัญถามด้วยแววตาตกใจ
“ก็ที่เราตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ไงครับ…ไปครับ ไปเปลี่ยนชุดกัน…”
แล้ววายุก็ช่วนเจ้าสาวของตนไปเปลี่ยนชุดกุ๊กและผู้ช่วยกุ๊ก
ที่สิ้นรักออกแบบไว้ให้ก่อนหน้านี้ทันที ทิ้งคู่ของรังสิมันต์มองตาม
“เราก็ต้องเปลี่ยนชุดเหมือนกันนะครับ…เพราะเดี๋ยวพี่มีโชว์
ทำเค้กแจกแขกในงาน…และเราต้องช่วยพี่ทำด้วย…”สิ้นรักถึงกับยิ้มกว้าง
นึกว่่าพี่รังของเธอจะลืมความฝันของเธอไปเสียแล้ว
“พี่รังน่ารักจังเลยค่ะ จัดแจงทุกอย่างให้หมดเลย รักแทบไม่ต้องทำอะไรสักอย่าง…”
รังสิมันต์จับมือเจ้าสาวแล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มบางว่า
“สำหรับความสุขของเธอ พี่ยินดีทำให้…ขอให้บอกพี่…แล้วพี่จะจัดหาให้
ต่อให้ต้องเหน็ดเหนื่อยและลำบากสักแค่ไหนก็ตาม…”
สิ้นรักยิ้มน้ำตาคลอเบ้า
“นี่รักไม่ได้ฝันไปใช่ไหมคะ…ไม่ได้ฝันไป…”สิ้นรักถาม เพราะไม่แน่ใจ
ว่าเธอกำลังฝันไปรึเปล่า…เพราะฝันก่อนหน้านี้ มันทั้งทำให้เธอมีความสุข
สมหวังแต่กลับจบด้วยน้ำตา…แล้วตอนนี้ล่ะ
ตอนนี้เธอกำลังฝันหรือกำลังตื่นกันแน่…
“งั้นมองหน้าพี่ แล้วบอกกับพี่ ว่าพี่ที่อยู่ตรงหน้าเธอ…คือความจริงหรือความฝัน…”
สิ้นรักทำตามที่รังสิมันต์บอก คำตอบที่เธอได้รับ
คือรอยยิ้มและแววตาจริงใจจากเขา…
“พี่รังตรงหน้าคือความจริง…และถ้านี่คือความฝัน รักก็จะขอไม่ตื่นขึ้นจากฝันอีกเลย…”
“งั้นเราไปสานฝันด้วยกันนะครับ…”พูดจบรังสิมันต์ก็จูงมือสิ้นรัก
เพื่อไปเปลี่ยนชุดกุ๊กกับผู้ช่วยกุ๊กที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ด้วยกัน…
ทางด้านเวนไตยที่กำลังยกกระถางต้นกุหลาบไปยังเรือนหอของรังสิมันต์
โดยมีซาเนียและเต็มกมลเดินตามหลังมาติดๆนั้นชักเริ่มหงุดหงิดงุ่นงานในใจ
ทว่าเก็บอาการเอาไว้ได้ดีภายใต้ใบหน้าราบเรียบกับดวงตานิ่งสนิท…
“โรแมนติกจังเลยนะครับ ช่วยกันทดลองปลูกกุหลาบพันธุ์ใหม่ด้วยกันแบบนี้
คุณกับคุณระรินคงรักกันมาก…”เวนไตยที่กำลังก้มๆเงยๆ
จัดวางกระถางกุหลาบที่รับจากมือของซาเนียถึงกับชะงักมือนิดนึง
ก่อนจะตอบออกไปสั้นๆว่า
“ครับ…”
“ผมเสียใจด้วยนะครับสำหรับเรื่องคุณระริน…”เต็มกมลได้ข่าว
จากน้องสาวฝาแฝดมาก่อนหน้านี้ จึงกล่าวออกไปด้วยสีหน้าจริงใจ
“ระรินเป็นคนดี ที่ที่เธอกำลังอยู่ในตอนนี้ต้องเป็นที่ที่ดีกว่าที่นี่แน่นอนครับ…”
น้ำเสียงของคนพูดราบเรียบพอๆกับใบหน้า
“เสร็จแล้วเราไปที่งานเลี้ยงกันดีกว่าครับ…ไปครับน้องซาเนีย…”
เต็มกมลออกปากชวนเวนไตยเมื่องานตรงหน้าเสร็จแล้ว
ก่อนจะหันไปชวนหญิงสาวหนึ่งเดียวที่ดูจะเงียบและซึมลง
“เอ่อ…พี่ปุ๊ไปก่อนก็ได้ค่ะ…ซาเนียจะขอตัวกลับที่พักแป๊บนึง
พอดีว่ามีของขวัญจะมอบให้คู่บ่าวสาวด้วยน่ะค่ะ…”
“ให้พี่ไปด้วยนะครับ แล้วเราค่อยไปที่งานเลี้ยงด้วยกัน…”
ซาเนียหันไปทางเวนไตยก่อนจะเหลือบตาขึ้นมองเขานิดนึง
เมื่อไม่เห็นเขาจะพูดหรือแสดงสีหน้าอะไรออกมา
ซาเนียจึงลอบกลืนน้ำลายแล้วพยักหน้า
“ก็ได้ค่ะ…”
“งั้นผมกับซาเนียขอตัวก่อนนะครับ…”เต็มกมลหันไปยิ้มให้เวนไตย
แล้วเดินเคียงซาเนียออกไป ทิ้งให้เวนไตยมองภาพบาดตาบาดใจอยู่เบื้องหลัง…
“นี่ครับน้องซาเนีย…”เต็มกมลยื่นเค้กในมือส่งให้ซาเนียที่ยืนพิงต้นมะพร้าว
มองคู่บ่าวสาวด้วยรอยยิ้มบาง…
“ขอบคุณค่ะ…”หญิงสาวกล่าวขอบคุณขณะรับเค้กมา
“ลองชิมดูสิครับ พี่รังทำเค้กได้อร่อยจริงๆ…”เต็มกมลคะยั้นคะยอ
เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังยืนนิ่งอยู่ แถมแววตายังดูเลื่อนลอยไปที่ใดสักที่
“ค่ะ…”ซาเนียยิ้มให้ชายหนุ่มก่อนจะก้มลงตักเค้กใส่ปาก
เมื่อเค้กแตะลิ้น รอยยิ้มสดใสก็ผุดขึ้น
“อร่อยจริงๆด้วยค่ะ…ฝีมือไม่มีตก…แถมยังอร่อยกว่าครั้งไหนๆซะด้วย”
หญิงสาวชมออกมาจากใจจริง ก่อนจะมองภาพคู่บ่าวสาวที่กำลังสนุก
กับการช่วยกันทำเค้กและเดินแจกแขกในงาน…
อีกคู่นึงก็ช่วยกันทำช็อกโกแลต ดูเป็นงานแต่งที่อบอุ่นและน่ารัก
อบอวลไปด้วยบรรยากาศสดใส ปลอดโปร่ง ฟ้าฝนเป็นใจ อากาศก็ดี…
เธอเองเคยฝันอยากมีงานแต่งแบบนี้บ้าง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสหรือเปล่า
“เฮ้อ…เห็นยัยปองแต่งงานแล้วรู้สึกโหวงเหวงยังไงก็ไม่รู้สิครับ…
คิดไปคิดมาก็ให้รู้สึกใจหายเหมือนกัน…”เต็มกมลเปรยออกมา
พร้อมรอยยิ้มแห้งๆ ทำให้ซาเนียต้องหันกลับมามองคู่สนทนาที่ยืนอยู่ข้างๆ
“พี่ปุ๊ไม่ดีใจหรอกเหรอคะ…”
“ดีใจมันก็ดีใจอยู่นะ…แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องใจหาย
อาจจะเป็นเพราะ ต่อไป อะไรๆก็คงจะไม่เหมือนเดิมก็ได้…
บอกตามตรงนะน้องซาเนีย ถ้าไม่ใช่พี่ลม พี่ไม่มีวันยอมให้ยัยปองแต่งงานด้วยแน่ๆ…”
“ทำไมล่ะคะ…”
“หวงมันน่ะ…อยู่ด้วยกันมานาน ไม่ค่อยอยากให้มันแต่งงานหรอก
แต่เพราะเห็นว่าพี่ลมเค้าเป็นคนดี และรักมันจริง ก็เลยยอมให้สักคน…”
ซาเนียแอบอมยิ้มให้กับแววตาที่ดูจะตรงกับคำพูดของคนตรงหน้า
“น่าอิจฉาพี่ปองจังที่มีพี่ชายที่คอยรักคอยหวงอย่างนี้…ดูอบอุ่นจังค่ะ…”
“พี่เองก็ยินดีที่จะเป็นพี่ชายให้น้องซาเนียนะครับ…แต่ถ้าน้องซาเนียไม่รังเกียจ
ยอมให้เป็นได้มากกว่านั้น พี่ก็ไม่ว่าอะไรนะครับ
พร้อมแอ่นอกรับด้วยความเต็มใจครับผม…”ซาเนียถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ
เมื่อได้ฟังถ้อยคำที่ทั้งตรงและผ่ากลางอกเธอเต็มๆแบบนั้น
“พี่ปุ๊กำลังล้อซาเนียเล่นใช่มั้ยคะเนี่ย…”เต็มกมลส่ายหน้า ยิ้มให้หญิงสาว
ขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า
“เป็นแฟนกับพี่นะครับน้องซาเนีย…”ซาเนีียถึงกับตกใจอ้าปากค้าง
อึ้งจนพูดไม่ออกไปหลายนาที
“เอ่อ…คือ…”หญิงสาวกระอักกระอ่วน พูดไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไร
ยิ่งเห็นแววตาจริงใจของคนพูดก็ยิ่งทำให้หนักใจ พูดไม่ออก
“นายหัวให้มาตาม…”อยู่ๆก็เหมือนมีเสียงระฆังดังช่วยชีวิตเธอขึ้น
แม้น้ำเสียงของคนพูดจะฟังดูห้วนๆ แต่เธอก็อยากจะขอบคุณเจ้าของน้ำเสียงนั้นเหลือเกิน
ที่ทำให้เธอพ้นจากสถานการณ์เช่นนี้ได้
แต่ว่า…น้ำเสียงแบบนี้นี่มัน…
“นาย…”ซาเนียหันไปทางด้านหลังก็พบเวนไตยยืนทำหน้าเคร่งขรึม
แววตาดุดันอยู่ หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะหันไปทางเต็มกมล
“เอ่อ…ซาเนียคงต้องขอตัวก่อนนะคะพี่ปุ๊…”พูดจบซาเนียก็รีบเลี่ยงออกมา
จากสถานการณ์ที่ชวนให้อีดอัดนั่นทันที…หัวใจของเธอยังเต้นแรงอยู่เลย
“เดี๋ยว…”แล้วอยู่ๆเสียงห้วนๆนั้นก็ตามมาหลอกหลอนเธออีกระลอก
“มีอะไร ทำไมต้องใช้น้ำเสียงแบบนี้กับฉันด้วย…”
ซาเนียหันไปถามด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“ฮึ…ตั้งแต่ได้ฟังน้ำเสียงหวานๆจากปากหนุ่มหน้ามนคนนั้นไม่นาน
ก็ถึงกับไม่ชินหูกับน้ำเสียงของฉันแล้วรึไง…ไอ้เรามันคนป่าคนเถื่อน
หวานไม่เป็น คงจะพูดหวานๆแบบที่ไอ้หนุ่มคนนั้นพูดกับเธอไม่ได้อ่ะนะ…”
ซาเนียเริ่มชักสีหน้าเมื่อเห็นแววตาและสีหน้าท่าทางของคนพูด
“รู้ตัวก็ดีแล้วนี่…เสร็จธุระของนายแล้วใช่มั้ย…”
ซาเนียกัดปากก่อนจะสบัดหน้าหันหนีเพื่อจะเดินเลี่ยงไปอีกทาง
ทว่ากลับโดนเวนไตยเดินมาขวางทางไว้
“ออกไปนะ ฉันจะไปหาพี่รัง…”
“เดี๋ยวสิ เรายังคุยกันไม่จบเลย…หรือว่าที่ผ่านมา เธอไม่ได้คิดถึงฉันเลย”
ซาเนียถึงกับหน้าแดง พูดไม่ถูก
“ใคร…ใครเขาจะคิดถึงนาย…”
“ก็ไหนเคยบอกว่าคงคิดถึงฉันแย่ไงล่ะ…”หญิงสาวมือไม้อยู่ไม่สุข
เมื่อเจอกับถ้อยและแววตาของคนพูด
“ฉันก็พูดของฉันไปอย่างนั้นแหล่ะ แต่ตอนนี้ฉันขอยืนยัน
ว่าฉันไม่ได้คิดถึงนายเลยสักนิดเดียว…”
หญิงสาวกล่าวขณะพยายามซ่อนแววตาที่ไม่ตรงกับใจให้พ้นจากแววตาเหยี่ยว
ที่จ้องมองมา
“ฉันไม่เชื่อหรอก…ว่าเธอจะลืมอะไรๆได้ง่ายๆ…”
“ก็ไม่เห็นจะยากเย็นอะไรกับการลืมคนอย่างนาย…
ไม่เหมือนนายหรอกที่ยังรักฝังใจอยู่กับคนในอดีต…”
เวนไตยกัดปากจ้องหน้าเจ้าของน้ำคำที่กำลังบาดใจเขานิ่ง
“อยู่กับอดีตของนายต่อไปเถอะ…”พูดจบซาเนียก็หันหลัง
จะเดินไปหารังสิมันต์ที่อยู่ตรงที่สว่างกลางงานเลี้ยง
“แล้วทำไมไม่ตอบตกลงเป็นแฟนกับไอ้หนุ่มหน้ามนคนนั้นไปล่ะ…”
ฝีเท้าที่กำลังเดินหยุดชะงัก พร้อมกับลำแขนที่ถูกกระชากจากทางด้านหลัง
ให้เดินไปอีกทางที่เงียบและปราศจากผู้คน…
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ…”ซาเนียสั่งให้เวนไตยหยุดลากเธอพร้อมกับพยายามรั้งแขนกลับ
ชายหนุ่มจึงจับหญิงสาวตรึงกับต้นสนก่อนจะก้มลงแล้วพูดลอดไรฟันว่า
“เพิ่งรู้ว่านอกจากเธอจะลืมง่ายแล้ว เธอยังใจง่ายด้วย…”
ซาเนียถึงกับน้ำตาคลอเมื่อได้ฟังคำด่าจากปากของคนตรงหน้า
ถ้าเธอไม่รักไม่แคร์เขา เธอก็คงไม่เจ็บปวดกับถ้อยคำเหล่านี้นักหรอก…
แต่นี่…เขากำลังดูถูกเธอชัดๆ…แถมยังตรึงแขนของเธอให้ไร้อิสระ
เพราะถ้ามันเป็นอิสระ ปากของเขาก็คงไม่มีทางได้ต่อว่าเธอซ้ำอย่างนี้อีกเป็นแน่…
“รักง่ายหน่ายเร็ว…คงสนุกนักใช่มั้ยที่ได้ยั่วให้ผู้ชายหลงรักหัวปักหัวปำ
แล้วทิ้งไปง่ายๆแบบนี้…”
ซาเนียกัดปากตัวเองก่อนจะพูดด้วยแววตาเจ็บปวดและสุดทานทนว่า
“ใช่…ฉันมันใจง่าย รักใครง่ายไปจริงๆอย่างนายว่า
ทั้งๆที่รู้ว่าเขาไม่ชอบก็ยังไปมอบหัวใจให้เขาง่ายๆ แค่เขาทำดีกับเราก็รักเขาง่ายดาย
คิดไปเองว่าเขาคงชอบเรา คิดเองเออเองทั้งนั้น…
แต่ต่อไป ผู้หญิงใจง่าย ขี้หวั่นไหว ใจอ่อนคนนี้จะไม่ยอมอ่อนแอ
ให้นายข่มเหงหัวใจแบบนี้ได้อีกแล้ว…”
หญิงสาวกล่าวออกมาพร้อมกับน้ำตาอาบแก้ม เจ็บกายที่เขากำลังใช้อุ้งมือ
บีบลำแขนทั้งสองข้างของเธอเสียแน่นไม่เท่าเจ็บใจที่โดนเขาด่าว่าใจง่าย…
“สรุปว่าเธอรักใครกันแน่ซาเนีย…บอกฉันได้มั้ยว่าเธอจะรักใคร…”
เวนไตยรู้สึกแปลกใจตัวเองทุกครั้งที่จ้องตาผู้หญิงคนนี้ทีไรแล้ว
ไม่อาจควบคุมหัวใจของตัวเองไม่ให้สั่นและหวั่นไหวได้ ราวกับเธอมีบางสิ่ง
ที่ทำให้เขาหวั่นไหว ร้อนรนเหมือนจับไข้และไม่แน่ใจ ไม่มั่นใจตัวเองเลย
“ปล่อยนะ ฉันเจ็บ…”หญิงสาวน้ำตาเล็ดด้วยความเจ็บ เวนไตยเริ่มรู้ตัวจึงคลายแรงลง
ทว่ายังคงยืนกรานที่จะให้ได้คำตอบจากปากของหญิงสาว
หากซาเนียที่วันนี้โดนบีบคั้นจากผู้ชายสองคนถึงกับจุกอกด้วยความอีดอัด
คับแน่นในหัวใจจนอยากไปให้พ้นจากสถานการณ์เช่นนี้ที่สุด
“นายจะเดือดร้อนทำไมว่าฉันจะรักใคร…ในเมื่อฉันจะรักใครมันก็เรื่องของฉัน
ทีฉันยังไม่เคยอยากรู้เลยว่านายจะรักใคร…
เพราะนายจะรักใครมันก็เรื่องของนาย ไม่เกี่ยวกับฉันอีกแล้ว…
ได้ยินมั้ยว่าไม่เกี่ยวกับฉันสักนิด…”
สิ้นคำเท่านั้น ริมฝีปากบางของหญิงสาวก็ถูกครอบครองด้วยริมฝีปากหนา
ระเรื่อยไปยังพวงแก้ม ซอกคอด้วยแรงอารมณ์ต่างๆที่ผสมปนเปกันของชายหนุ่ม
จนทำให้ซาเนียถึงกับร้องไห้น้ำตาไหลพรากด้วยความเจ็บปวดที่หัวใจ…
และเพราะท่าทางที่ไร้การตอบสนอง ไร้การดิ้นรนผลักใสในตอนท้ายของหญิงสาว
ทำให้คนที่กำลังโดนอารมณ์โกรธเข้าครอบงำ
หยุดการกระทำลงแล้วก้มมองสีหน้าของหญิงสาวตรงหน้าแล้วให้รู้สึกผิด…
“ฉัน…ฉัน…ขอ”เวนไตยกลืนน้ำลายลงคอเมื่อรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวด
ที่สื่อผ่านแววตาคู่นั้นของหญิงสาวตรงหน้าเขา
“ไม่ต้องขอโทษฉันหรอก...นายไม่ผิด…ฉันผิดเอง…ฉันทำตัวไร้ค่าเอง
ที่ผ่านมาฉันง่ายเอง…ก็สมแล้วที่จะโดนแบบนี้…”หญิงสาวปาดน้ำตา
หลังจากที่ลำแขนทั้งสองข้างได้รับอิสรภาพแล้ว
“ขอบคุณที่สอนให้ฉันรู้ ว่าต่อไปนี้ ฉันควรทำตัวยังไง…”
พูดจบหญิงสาวก็วิ่งไปยังเรือนหลังเล็กที่เธอพักอาศัยอยู่ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่ตรงนี้นัก
เพราะคงไม่อาจกลับไปยังงานเลี้ยงในสภาพเช่นนี้ได้อีก
“ซาเนีย…”เวนไตยเรียกหญิงสาวพลางวิ่งตามไป แต่ไม่ทันแล้ว
เมื่อเธอหายเข้าไปในตัวบ้านเรียบร้อยแล้ว…
ชายหนุ่มยกมือทั้งสองขึ้นลูบหน้า ก่อนจะมองไปยังห้องที่ซาเนียพักอาศัย
ด้วยแววตาเสียใจ…แล้วรัวหมัดไปที่ต้นสนด้วยความรู้สึกเจ็บใจตัวเอง
เขาไม่น่าปล่อยให้อารมณ์ใฝ่ต่ำทำลายความรู้สึกของซาเนียเลย…
เวนไตยก้มมองพื้นทรายก่อนจะทรุดเข่าลง หลังพิงต้นสน
รสชาติของลิปสติกยังติดอยู่ตรงปลายลิ้นของเขาอยู่เลย…
ความเงียบเข้าครอบคลุม ชายหนุ่มจึงเริ่มเคลียร์กับตัวเองให้กระจ่าง
เกี่ยวกับทุกอย่างระหว่างเขากับซาเนีย…
เขาเริ่มรู้ตัวว่าของขึ้นทุกครั้งเวลาเห็นซาเนียเดินไปกับไอ้หนุ่มหน้ามน
ยิ่งเห็นยืนพูดคุยสนิทสนม แล้วยิ้มให้กัน ยิ่งของขึ้นยกกำลังสอง
เมื่อก่อนอาจจะเป็นห่วงเธอ แต่เดี๋ยวนี้มันมีคำว่าหวงเข้ามาเพิ่ม
เลยทนไม่ได้ที่จะเห็นเธอไปเป็นของใคร…
อย่างไรเขาก็ทนไม่ได้แน่ๆที่จะเสียเธอไป…แต่จะทำอย่างไรดี
ในเมื่อเขาทำลายความรู้สึกของเธอไปแล้วแบบนั้น…ไม่น่าเลยจริงๆ…
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เขาจะครองสติให้มากกว่านี้…แต่ให้ตายเถอะ
เขาอยากจะเตะตัวเองที่สุด…ทำไมเขาถึงได้โง่ขนาดนี้นะ…
เธอทั้งพูดและแสดงออกขนาดนั้นแล้ว ทำไมเขายังต้องคาดคั้นเธออีกว่าเธอรักใคร
…นี่เขาไม่แน่ใจในตัวเธอหรือจริงๆแล้วเขาไม่แน่ใจตัวเองกันแน่…
ถ้าซาเนียรักไอ้หนุ่มหน้ามนคนนั้นจริง เธอคงตอบรับไอ้หมอนั่นไปแล้ว…
คงไม่เลี่ยงเมื่อได้โอกาสแบบนั้นหรอก
…นี่แหล่ะพิษของลมหึง ที่พัดทำลายทุกสิ่งเพียงชั่วครู่เสร็จ
ก็เหลือทิ้งซากแห่งความเสียใจเอาไว้เบื้องหลัง…ทำลายได้แม้กระทั่งคนที่เรารักสุดหัวใจ…
ทางด้านงานเลี้ยงที่ทุกคนกำลังสนุกสนาน
“ซาเนียไปไหน ใครเห็นซาเนียบ้างรึเปล่า…”รังสิมันต์ออกอาการแปลกใจ
ที่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของซาเนีย ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้
เขาเห็นเธอเดินวนเวียนช่วยงานเลี้ยงอย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย
“นั่นน่ะสิคะ…เมื่อกี้ยังเห็นยืนคุยอยู่กับนายปุ๊อยู่เลย…”สิ้นรักตั้งข้อสังเกต
“คงจะอยู่ตรงมุมไหนสักมุมในงานนี่แหล่ะค่ะพี่รัง…เพราะพี่ปุ๊ก็หายไปเหมือนกัน…”
ปองขวัญให้ความเห็นก่อนจะหันไปยิ้มให้กับเจ้าบ่าวของตนที่ยืนอยู่ข้างๆ
ทว่าสิ้นรักกลับไม่คิดเช่นนั้น
“ครูครุฑก็หายไปด้วยนะไอ้ปอง…”คำพูดของสิ้นรักทำให้รังสิมันต์กับวายุ
หันมาจ้องหน้ากันทันทีโดยมิได้นัดหมาย สัญชาตญาณลูกผู้ชาย
ทำให้ทั้งสองพอจะดูอะไรบางอย่างออก…
“โน่นไงคะ…พี่ปุ๊เดินมาโน่นแล้ว…”ปองขวัญยิ้มกว้างเมื่อเห็นพี่ชายฝาแฝด
เดินมาทางตนพอดี แต่ดูจากสีหน้าแล้วของพี่ชายแล้ว รอยยิ้มที่พลันหุบลง
“มีอะไรเหรอคะพี่ปุ๊…”เต็มกมลส่ายหน้า
“ไม่มีอะไรหรอก…”
“ว่าแต่นายเห็นซาเนียบ้างรีเปล่าปุ๊…”รังสิมันต์มิวายถามขึ้นทันที
ที่สพโอกาส
“กลับเรือนไปแล้วครับ…เห็นบอกว่าเพลียๆ ก็เลยขอตัวกลับไปพักผ่อนที่เรือน…
พี่รังไม่ต้องห่วงหรอกครับ…น้องซาเนีย
เค้ามีบอดีการ์ดคอยปกป้องดูแลอยู่แล้วทั้งคน…”
ถ้อยคำกับน้ำเสียงเหงาๆของคนพูดทำให้คนฟังถึงกับพูดอะไรไม่ออก
โดยเฉพาะปองขวัญที่ปกติมักจะหยอกเย้าพี่ชายเป็นธรรมดายังไม่กล้า
พูดอะไรออกไปในตอนนี้ นอกจากยิ้มเท่านั้น…
ปองขวัญได้แต่มองสีหน้าพี่ชายฝาแฝดแล้วพอจะเข้าใจอะไรบางอย่าง
อยากจะปลอบแต่คงไม่ใช่ตอนนี้
วายุกระชับและกำมือของปองขวัญเอาไว้แน่นก่อนจะหันมายิ้มให้
“พี่ชายเธอไม่เป็นไรหรอก…เชื่อพี่…”วายุกล่าวกับปองขวัญเมื่อเต็มกมล
ปลีกตัวไปทางอื่นแล้ว…
“แต่ปองไม่เคยเห็นพี่ปุ๊เป็นแบบนี้มาก่อนเลย…มันดูแปลกๆค่ะพี่ลม…”
“คิดมากไปรึเปล่า…ไป ไปช่วยพี่ส่งแขกกันดีกว่า…”
วายุได้ทีจึงลากเจ้าสาวของตัวเองก่อนจะหันไปพยักพเยิดกับรังสิมันต์และสิ้นรัก…
บ่าวสาวสองคู่จึงนำของชำร่วยซึ่งทำเป็นรูปเค้กแต่งงานจำลองอันเล็ก
สลักชื่อของรังสิมันต์กับสิ้นรัก พร้อมด้วยของชำร่วย
ที่ทำเป็นรูปช็อกโกแลตหัวใจสองดวงจำลองอันเล็กจิ๋วซึ่งสลักชื่อวายุกับปองขวัญ
ให้กับแขกที่มาร่วมงาน…
“งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา…”สิ้นรักกล่าวขึ้นเมื่อทั้งเธอและรังสิมันต์
มีโอกาสได้อยู่กันตามลำพังตรงระเบียงห้องหอมองดูดวงดาวและเกลียวคลื่นด้วยกัน
…วันนี้เธอมีความสุขเหลือคณา คนข้างกายทำให้เธอประหลาดใจจนตั้งตัวตั้งใจไม่ทัน
เขามอมยาสลบเธอกับปองขวัญแล้วช่วยกันจัดงานแต่งงาน
ที่เธอกับปองขวัญเคยวาดฝันกันเอาไว้ก่อนหน้านี้
แม้ที่ผ่านมาจะพบกับความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แต่เมื่ออดทนมาถึงวันนี้ เธออดยอมรับไม่ได้ว่่า
ผลลัพธ์ที่ได้จากการอดทนรอคอย มันช่างงดงามล้ำค่าและน่าจดจำ
ไปจนชีวิตจะหาไม่…เธอจะจดจำค่ำคืนนี้ตลอดไป…
เพราะรู้ว่าชีวิตหลังจากคืนนี้ คือจุดเริ่มต้นของสิ่งใหม่ที่ไม่คุ้นเคยอีกมากมาย
ให้เธอต้องเผชิญไปพร้อมๆกับคนข้างกายของเธอ…
เมื่อการรอคอยบางอย่างสิ้นสุดลง การเริ่มต้นของบางอย่างต่อจากนี้
ก็มาถึงและปรากฏขึ้น…ในเมื่อการเดินทางของหัวใจยังคงดำเนินต่อไป
“แต่รักเราจะไม่มีวันเลิกรา…”รังสิมันต์ต่อให้…สิ้นรักจึงเลิกสนใจดวงดาว
หันมาจ้องแววตาแวววับจับตาของคนข้างๆที่กำลังโอบกอดเธอเอาไว้แทน
“ขอบคุณนะคะพี่รัง…ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง…ขอบคุณค่ะ
ที่ทำให้ฝันของรักเป็นจริง…”รังสิมันต์ยิ้มกว้างก่อนจะก้มลงจุมพิต
ตรงหน้าผากมนนั่นอย่างรักใคร่เอ็นดู
“พี่ยอมรับนะว่าเมื่อก่อนเธออาจไม่ใช่คนที่พี่เคยใฝ่ฝัน
ไม่ไช่นางเอกที่พี่หวังไว้ในใจ…ไม่ได้ดีมากไปกว่าใคร…”
สิ้นรักที่ฟังมาถึงตรงนี้ก็ถึงกับหน้ามุ่ยทันที ใช่สิ เธอมันทั้งตัวเล็ก
รูปร่างไม่ได้ปราดเปรียวเรียวสวยเหมือนนางเอกในโทรทัศน์
ไม่ได้สวยสง่าเหมือนนางแบบบนแคทวอล์คนี่ แค่ยืนกับพี่เขา
เธอยังรู้สึกถึงความไม่เหมาะสมกันเลยด้วยซ้ำ ก็พี่เขาทั้งสูง หล่อ
บุคลิกดีเหมือนเทพบุตร เป็นพระเอกได้สบายๆ…
“อย่าเพิ่งทำหน้าแบบนี้สิ พี่ยังพูดไม่จบเลยนะ…”รังสิมันต์ที่จ้องหน้า
สิ้นรักอยู่ถึงกับอมยิ้มกับสีหน้าท่าทางของคนตรงหน้า…
ไม่รู้สิ เขาชอบดูเธอเวลาที่เธอทำหน้ามึนงง ตกใจแบบนี้มากที่สุด
ก็เลยชอบหาเรื่องล้อเธอเล่น…
“ถึงแม้เธอจะไม่ได้เป็นนางเอกที่พี่เคยวาดไว้ในใจ แต่สิ่งดีๆ
เล็กๆน้อยๆของเธอมันกลับเติมเต็มภาพวาดที่ขาดหายไปของพี่ให้สมบูรณ์ได้…
ไม่ว่าใครจะมองอย่างไร แต่สำหรับพี่ เธอคือของขวัญล้ำค่าจากพระเจ้า…
เธอคือคนที่พี่รอคอยมานาน…
วันนี้พี่พูดได้เต็มปากว่าพี่แน่ใจว่ารักเธอ…เพราะไม่ว่าจะค้นใจสักกี่ครั้ง
คำตอบที่ได้ก็คือพี่รักเธอ ถ้าไม่ใช่เธอก็ไม่มีวันจะรักใครอีกแล้ว…”
สิ้นรักถึงกับซาบซึ้ง มิใช่เพราะถ้อยคำที่เขากล่่าว
แต่เป็นเพราะแววตาคู่นั้นต่างหากที่กำลังบอกว่ารักเธออย่างจริงใจแค่ไหน
“รักเองอาจจะเจ็บกับความรักมาไม่รู้กี่ครั้งแล้วก็จริงนะคะ…แต่วันนี้วินาทีนี้
รักเองก็แน่ใจแล้วเหมือนกันว่ารักเลือกรักคนไม่ผิด…รักเลือกแล้ว
รักเลือกพี่รังที่หัวใจ ไม่ว่าจะเกิดอะไรก็จะรักแค่พี่รังคนเดียว…
ไม่เผื่อให้ใครคนไหนอีกแล้วค่ะ…รักไม่กลัวอีกแล้วไม่ว่าจะเจอกับอะไร
และพร้อมจะเผชิญเสมอขอแค่มีพี่รัง จะเจ็บอีกสักกี่ครั้งรักก็ยอมรับได้ค่ะ…
ต่อให้วันหนึ่งพี่รังจะทิ้งรักไป…รักก็ไม่กลัวที่จะเจ็บ
เพราะรักรักพี่…ต่อให้เจ็บสักกี่ครั้งก็ไม่เป็นไรค่ะ…หรือต่อให้ต้องเป็นตัวแทนใคร
เป็นเงาของใคร รักก็ไม่ไหวหวั่น…จะดื้อรักพี่อย่างนี้ตลอดไปค่ะ…”
สิ้นรักถ่ายทอดความรู้สึกต่างๆผ่านถ้อยคำและแววตาที่ซื่อตรงจริงใจ
ดวงตาแวววาวเพราะน้ำตาเอ่อคลออยู่นั้นส่งให้
รังสิมันต์ถึงกับจ้องมองอย่างหลงใหล จึงค่อยๆก้มลงชิดใบหน้างาม
ที่อยู่ในครอบผ้าคลุมศีรษะตามแบบฉบับสาวมุสลิม
หญิงสาวที่ได้กลายเป็นภรรยาของเขาโดยอนุมัติของพระเจ้าแล้ว
ไม่มีสิ่งใดที่จะปิดกั้นเขากับเธอได้อีกต่อไป…
และเขาพร้อมที่จะมอบความรักที่เขามีให้กับเธออย่างเต็มภาคภูมิ
โดยมิต้องหวาดกลัวกับความผิดบาปใดๆอีกแล้ว
รังสิมันต์จึงอุ้มเจ้าสาวของเขาเข้าห้องก่อนจะวางเธอลงบนเตียงนุ่ม
อย่างเบามือที่สุด…
“อย่าเพิ่งสิคะพี่รัง…”สิ้นรักปรามเสียงอ้อยอิ่ง
“ทำไมล่ะครับ…”ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ยังไม่ได้อาบน้ำแปรงฟันเลย…อีกอย่าง ชุดนี้มันไม่ใช่ชุดนอนสักหน่อย
พี่รังจะให้รักนอนทั้งชุดนี้เลยเหรอคะ…”หน้าตาออดอ้อนของคนพูด
ยามแย้มปากทำเอาคนมองชักหมั่นเขี้ยวขึ้นมา
“ก็พี่กำลังจะเปลี่ยนชุดให้อยู่นี่ไงครับ…เอาเป็นชุดนอนที่ใส่ในวันเกิดดีมั้ยครับ…
พี่อยากเห็น…ว่าเวลาเราใส่มันจะสวยขนาดไหน…”
ไม่พูดเปล่า เจ้าบ่าวของเราค่อยๆทำการเปลี่ยนชุดเจ้าสาวให้อย่างขมีขมัน…
“ไม่เอาค่ะ…รักเปลี่ยนใจแล่้ว…ใส่ชุดนี่้นอนทั้งคืนก็ได้…สวยดี
เวลาฝันจะได้ฝันดี ฝันเห็นตัวเองสวยๆ…”และที่สำคัญชุดนี้มันมิดชิดดี
แขนก็ยาว ตัวกะโปรงก็ย้าวยาว แถมคอเสื้อก็ปิดมิดชิด
แค่คิดจะถอดชุด เจ้าบ่าวอย่างพี่รังก็คงเหงื่อตกแล้วล่ะ…ฮ่าๆๆ
สิ้นรักคิดและหัวเราะอยู่ในใจ โดยหารู้ไม่ว่า อีกฝ่ายกำลังมองเธอด้วยแววตาเช่นไร…
“แล้วจะไม่อาบน้ำสักหน่อยเหรอครับ…ุถ้าเกิดคันหลังขึ้นมาตอนดีกๆดื่นๆจะแย่เอานา…”
สิ้นรักตาโต ใช่สิ มือเธอสั้น คันหลังทีไรก็เกาไม่ทั่วถึง
ที่สำคัญ เธอไม่ได้เอาที่เกาหลังติดมือมาด้วย…
ชุดเจ้าสาวที่ทั้งหนาและมิดชิดขนาดนี้ คงทำให้เธอทรมานยามไม่ได้เกาตรงที่คันแน่ๆเชียว…
ยิ่งน้ำไม่อาบยิ่งต้องคันอย่างมิต้องสงสัย
งั้นเราคงต้องหาลู่ทางไปห้องน้ำดีกว่า…ว่าแต่มันอยู่ทางไหนนา
สายตากลมโตวาดไปรอบๆรัศมีที่ดวงตาส่งไปถึงโดยไม่รู้เล้ย
ว่าคนตัวโตที่กึ่งนั่งกึ่งนอนคล่อมร่างเธออยู่กำลังอมยิ้มด้วยแววตาเจ้าเล่ห์
“ห้องน้ำอยู่ทางโน้นครับ…จะให้พี่ช่วยถูหลังให้ก็ได้นะครับ
วินาทีนี้บริการฟรี ไม่คิดตังค์…”สิ้นรักกลอกตาไปมาราวกับกำลังคิดหนัก
บอกตามตรงว่าวินาทีนี้เธอยังไม่พร้อมจะรับบริการฟรีที่คงมาพร้อมกับ
โปรโมชั่นพิเศษเผลอๆอาจได้โบนัสเพิ่มโดยไม่ทันตั้งตัวก็ได้…
“เอ่อ…งั้นพี่รังช่วยเคลียร์ทางให้รักไปห้องน้ำหน่อยสิคะ…
แหม…คล่อมไว้ทั้งตัวอย่างนี้ รักก็ไปไม่ได้กันพอดีสิ…”
รังสิมันต์ยิ้มพร้อมกับทำตามที่เจ้าสาวของเขาต้องการ
สิ้นรักยิ้มกว้างแบบใจดีสู้เสือพร้อมกับทำตาปริบๆเมื่อต้องกล่าว
ขณะที่ลุกขึ้นยืนได้สำเร็จเรียบร้อยแล้วว่า
“อีกอย่างรักคงลืมเตือนพี่รังไปว่า…รักเป็นคนบ้าจี้ค่ะ…ใครแตะตัวนะ
เป็นต้องโดนรักไม่เตะก็ศอก หรือหนักหน่อยก็ถึบเลยล่ะค่ะพี่รัง…
รักเกรงว่าอาจทำให้พี่รังบาดเจ็บโดยไม่ได้ตั้งใจ…
ก็เลยคงต้องงดใช้บริการของพี่รังไปก่อนนะคะ…เอาไว้เลิกบ้าจี้เมื่อไหร่
ค่อยพิจารณาอีกทีค่ะ…แบบว่่ารักถือตามสุภาษิตของญี่ปุ่นที่ว่่า
ทาดะโยริ โมโนกะนาอิ…ไม่มีอะไรแพงกว่าของฟรีค่ะ…
อุ๋ยปวดฉี่แล้ว ขอตัวไปห้องน้ำก่อนนะคะพี่รังขา…”
พูดจบก็รีบชิ่งหนี…รังสิมันต์ที่นอนเอามือข้างขวายันศีรษะมองสิ้นรักอยู่
ถึงกับอมยิ้มกับมุกของเจ้าหล่อน
ก่อนจะตะโกนตามหลังเจ้าสาวที่รีบโกยชายกะโปรงเผ่นเข้าห้องน้ำไปว่า
“ให้พี่ช่วยถอดชุดให้เถอะน่า…ถอดคนเดียวมันยากและก็ช้านา…
เดี๋ยวฉี่รดชุดเจ้าสาวสวยๆขึ้นมามันไม่ดีนะครับ พี่เสียดาย…”
แล้วก็มีเสียงตอบกลับมาว่า
“ไม่เป็นไรค่ะ รักดีไซน์มาเองกับมือ ถึงไม่ได้ใส่เองแต่ถอดเองได้
สบายหายห่วงค่ะพี่รัง…พี่รังนอนหลับล่วงหน้าไปก่อนได้เลยนะคะ
ไม่ต้องรอรักก็ได้…เพราะรักคงอาบน้ำนานค่ะ…”
กะจะอาบจนเช้าเลยด้วยซ้ำค่ะพี่รังขา…สิ้นรักแอบต่อในใจ
เพราะคืนนี้อย่างไรหัวใจของเธอก็ไม่พร้อมจะรับศึกแน่ๆ
มันยังห่วงและหวงความสดที่เพิ่งถูกความโสดสลัดทิ้งไปในศาลาสีชมพูมาหมาดๆนี่นา
…คิดดูสิ ไม่กี่วินาทีที่ตกปากรับเขาเป็นสามี ชีวิตเธอก็เปลี่ยนไปเลย
จากที่โสดและสดมานานอยู่ๆก็มีคำว่า ‘ไม่’ มายืนนำหน้าคำว่า ‘โสด’ ไปเสียแล้ว
ยังดีที่ตอนนี้ยังพอเหลือความสด (แม้จะสดแบบเลยเลขสามสิบมาแล้ว) ให้ภาคภูมิใจอยู่
ต่อให้ใครไม่ภูมิใจแต่เธอภูมิใจของเธอนี่
คิดดู จะมีสักกี่คนที่จะประคับประคองความสด
มาจนสามสิบบวกได้อย่างเธอบ้าง (น้อยนะขอบอก)
มันจึงเป็นความพยายามที่สร้างความภูมิใจให้หญิงไทยอย่างเธอ…
ที่ไม่ยอมเสียเอกราชให้กับชายชาติชาตรีใดก่อนวัยอันควร
ขนาดวันอันควรอย่างวันนี้เธอยังไม่อยากสูญเสียมันไปเลยด้วยซ้ำ…
แม้ความโสดจะจากลาเธอไปแล้ว แต่เธอก็ยังอยากประคองความสด
ไว้เป็นเพื่อนปลอบใจอีกสักสองสามคืน…
และจากที่ในห้องเคยมีเธอเป็นใหญ่แค่คนเดียว แต่จากที่ดูเมื่อกี้
เห็นได้ชัดว่าเขาดูใหญ่โตคับห้องจนเธอรู้สึกเหมือนตัวเองเล็กลงไปถนัดตา
แล้วจากที่เตียงนอนเคยมีหมอนแค่ใบเดียววางอยู่ตรงกลาง
แต่เมื่อกี้เธอแอบเห็นนะว่ามีคนแอบเอาหมอนอีกใบมาวางเพิ่ม
ชนิดที่ไม่มีหมอนข้างวางไว้อย่างแต่ก่อน รู้เลยว่านักออกแบบ
ที่วางแผนตกแต่งภายในห้องหอคือผู้ใด…
แถมไอ้พี่รังยังแอบนอนจองที่ทางเอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วย…
แล้วที่สำคัญ…ความเป็นส่วนตัวที่เคยเป็นมิตรกันมานานแสนนาน
ดูจะเริ่มกระซิบกระซาบบอกเธอเบาๆราวกับกลัวเธอจะโกรธว่า
มันกำลังจะทิ้งเธอไปทีละนิดทีละหน่อยในไม่ช้านี้อยู่ด้วย…
โอ้…ชีวิตโสด…เจ้าช่างน่าพิสมัย ฉันไม่น่าทิ้งเจ้าไป
แล้วนำใครคนนั้นเข้ามาแทนที่เลย…
เมื่อหมกมุ่นครุ่นคิดเพียงลำพังด้วยความหวงและห่วงความสด
ที่ผ่านร้อนหนาวมายาวนานด้วยกันอยู่ในห้องน้ำนานจนไม่รู้ว่าจะขัดอะไรอีกต่อไป
เพราะนอกจากเจ้าสาวของเราจะขัดเนื้อขัดตัว สระผม แช่เท้า
แล้วจบด้วยการนั่งตีเท้าในน้ำที่เต็มอ่างเล่นแล้ว เจ้าหล่อนยังใช้เวลาที่แสนเหลือเฟือ
ไปกับการขัดห้องน้ำที่สะอาดจนไม่รู้ว่าจะสะอาดอย่างไรแล้วนั้น
เจ้าหล่อนก็นึกขึ้นได้ว่า ป่านนี้เจ้าบ่าวของเจ้าหล่อนคงนอนหลับไปแล้วแน่นอน
แล้วเรื่องอะไรที่เจ้าหล่อนจะต้องมานั่งขัดตาหลับขับตานอนด้วยการขัดห้องน้ำด้วย
สู้ย่องออกไปนอนบนเตียงนุ่มๆไม่ดีกว่าหรือ…
คิดได้ดังนั้น สิ้นรักก็หยิบผ้าขนหนูขึ้นมานุ่งพันกาย
เพราะด้วยความรีบร้อนก่อนหน้านี้จึงทำให้ลืมหยิบชุดนอนติดมือมาด้วย
เสียงประตูห้องน้ำดังเพียงนิดพร้อมด้วยฝืเท้าที่เหมือนตีนแมว
แววตาที่สอดส่องไปรอบๆห้องราวกับหนูระวังงู
เมื่อไม่เห็นงูนอนอยู่บนเตียง เจ้าหนูตีนแมวก็ย้ิมกว้างปนประหลาดใจ
...งูไปไหนหว่า…
แต่เพราะสัญชาตญาณของผู้ถูกล่าทำให้เจ้าหล่อนพยายามสอดส่ายสายตา
มองไปรอบๆกายอีกครั้ง สำรวจห้องนอนอย่างถี่ถ้วน ก็ไม่พบแม้แต่เงาของงู
แม้จะสงสัยว่างูไปไหน แต่หนูก็อดโล่งใจไม่ได้
ที่อย่างน้อยๆคืนนี้เธอคงรอดไปได้สักคืนก่อน
คืนต่อไปค่อยวางแผนใหม่ เพราะแผนขัดห้องน้ำคงนำมาใช้ซ้ำไม่ได้แน่
ใครจะหาว่าเธอไม่กล้านอนกับเจ้าบ่่าวแต่ริอาจแต่งงานก็ช่างสิ
ก็มันยังไม่พร้อมนี่นา ให้ทำไง
…ก็แค่อยากขอจองพี่รังเป็นสามีไว้ก่อน เรื่องหลับนอนไม่ได้คิดนี่…
สิ้นรักพ่นลมหายใจออกก่อนจะเดินไปยังโต๊ะเครื่องแป้ง
คลี่ผมที่เปียกหมาดๆออกจากผ้าขนหนูที่ขมวดเป็นปมไว้บนศีรษะออก
แล้วเป่าด้วยที่เป่าผมจนแห้งภายในไม่กี่นาที
หลังจากนั้นก็ค่อยๆสางผม เมื่อเห็นว่าผมแห้งและเป็นอิสระจากพันธนาการต่างๆแล้ว
หญิงสาวจึงวางหวีลงแล้วเดินไปยังตู้เสื้อผ้า กะจะหยิบชุดนอนออกมา
ทว่ากลับไปพบชุดนอนหรือชุดใดๆในตู้เสื้อผ้าแม้แต่ชุดเดียว!
ดวงตากลมโตเบิกกว้างอย่างประหลาดใจ
ก่อนจะค้นดูทุกซอกทุกมุมของห้องก็ไม่พบชุดอะไรที่พอจะสวมใส่ได้
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย…หรือว่า…”ไวเท่าความคิด สิ้นรักเดินไปรอบๆห้อง
มองหาเจ้าของห้องอีกคนก็ไม่พบ
“พี่รังต้องหาเรื่องแกล้งเราแน่ๆ…”สิ้นรักบ่นพึมพำ…
“ทำไงดีเนี่ย…”เมื่อทำอะไรไม่ได้ สิ้นรักจึงเดินหน้ามุ่ยไปยังโต๊ะเครื่องแป้ง
หยิบแป้งเด็กขึ้นมาทาหน้าและลำคอ
ในเมื่อไม่มีชุดนอน ก็นอนมันทั้งชุดนี้แหล่ะ…
คิดได้อย่างนั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปลงได้อย่างที่คิด
เพราะชีวิตไม่เคยนอนหลับโดยปราศจากกางเกงในแบบนี้
…นี่ขนาดกางเกงในของเธอเขาก็ยังเอามันไปซ่อน น่าเคืองที่สุด!
สิ้นรักเลยยืนมองตัวเองในกระจก เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันที่เจ้าบ่าวของเธอแกล้งเธอ
ให้นอนในสภาพเช่นนี้ แถมไม่รู้ว่ามุดหัวไปอยู่ที่ไหนอีก
…จะให้เธอออกไปหาเขาข้างนอกเพื่อทวงถามชุดนอนพร้อมกางเกงใน
ด้วยสภาพที่มีแต่ผ้าขนหนูผืนเดียวติดตัวแค่นี้ เธอคงทำไม่ได้แน่…
“พี่รังนะพี่รัง…ฮึ่มๆ…”
“เรียกพี่ทำไมครับ…”
เสียงนั้นทำเอาคนที่กำลังเอาแต่ก้มหน้าประทุษร้ายโต๊ะเครื่องแป้งด้วยหวีอยู่
ถึงกับสะดุ้งโหยงสุดตัว…
ยิ่งลมหายใจร้อนๆที่กำลังเป่ารดต้นคอของเธออยู่ทำเอาลมหายใจของเธอสะดุด
หัวใจเต้นแรง มือของเขาที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน ตอนนี้มันได้ตวัดโอบรอบเอวเธอ
จากทางด้านหลังไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว…
สิ้นรักเงยหน้ามองกระจกก็พบกับแววตาหวานซึ้งปนขี้เล่นของรังสิมันต์
ที่กำลังจ้องหน้าเธออยู่พอดี
ยิ้มของเขาพุ่งชนหัวใจเธอจนทำให้ใจสั่นแปลกๆ เขาเดินเข้ามาจากทางไหน
ทำไมเธอไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของเขาเลยสักนิดเดียวล่ะ…
“พี่รังแกล้งรัก…”เสียงนั้นพยายามเปล่งออกมาให้มั่นคงที่สุดหากก็ยังสั่นอยู่ดี
“ไหนขอพี่พิสูจน์หน่อยซิว่่าคุ้มค่ากับเวลาที่เสียไปรึเปล่า…
เห็นขัดอยู่ตั้งนาน…นึกว่าจะขัดถึงเช้าซะแล้วนะเนี่ย
ก็เลยตั้งใจว่าจะงัดประตูเข้าไปช่วยขัดให้อยู่พอดีเชียว”
พูดพลางจมูกโด่งและปากหยักสวยก็ไต่ไปตามบ่าและซอกคอของสิ้นรัก
ทำเอาหญิงสาวถึงกับขนลุกซู่ เสียวซ่าน สั่นสะท้านไปทั้งใจ
“หอมจัง…”คำชมยิ่งทำเอาผิวหน้าของสิ้นรักแดงราวกับลูกตำลึงสุก
“ขอ…ชุดนอนค่ะ…”สิ้นรักพยายามหาสติด้วยการทวงชุดนอนของเธอ
“ไม่เห็นจำเป็นต้องใส่เลย ใส่ไปเดี๋ยวก็ต้องถอดอยู่ดี…”
รังสิมันต์กล่าวขณะที่สูดดมกลิ่นหอมจากกลุ่มผมแล้วปัดป่าย
มายังใบหน้าหวานซึ้งสีน้ำผึ้ง
“ได้โปรดค่ะ…พี่รัง…”เสียงนั้นขาดเป็นห้วงๆเมื่อรังสิมันต์เล่นจุมพิตไปตาม
ซอกคอระเรื่อยไปยังแผ่นหลังของเธอ
“ได้ครับ…”พูดจบรังสิมันต์ก็ใช้สองมือขึ้นหมายจะแกะปมผ้าขนหนู
ทว่าสิ้นรักคว้ามันเอาไว้ได้ทัน ก่อนจะอุทานออกมาด้วยความตกใจ
“อุ้ย…”รังสิมันต์ใช้คางเกยบนบ่าของสื้นรักโดยใช้สายตาจ้องมองเธอผ่านกระจกข้างหน้า
ก่อนจะฉีกยิ้มกระชากใจพร้อมกระชับวงแขนที่โอบรอบเอวเล็กเอาไว้แน่นกว่าเดิม
“ก็เธออยากได้ชุดนอน…พี่ก็กำลังจะจัดชุดนอนให้อยู่นี่ไง…”
“พี่รังบ้า…”สิ้นรักก้มหน้างุดไม่กล้าสบตาเขา เพราะมันดูร้อนเร่า
จนทำให้หัวใจเธอสั่นสะท้านแทบหลอมละลายราวเทียนโดนไฟเผา…
“ก็ใครหาเรื่องแกล้งพีี่ก่อน…”รังสิมันต์เอ่ยด้วยน้ำเสียงหวานนุ่ม
“ไม่รักพี่เหรอครับ…”
“รัก…ค่ะ…แต่…”สิ้นรักยังคงก้มหน้าตอบ รังสิมันต์จึงรวบผมนุ่มลื่นของเธอ
มาไว้ข้างหลังแล้วจับบ่าทั้งสองให้หันมาทางเขา…สิ้นรักตกใจ
เมื่อเห็นว่าเขาอยู่ในชุดนอนเรียบร้อยแล้วแถมเนื้อกายของเขายังได้กลิ่นสบู่อ่อนๆด้วย
…นี่ก็แสดงว่าพี่รังอาบน้ำแล้ว…
แล้วเขาหนีไปอาบน้ำที่ไหนมา
“แต่อะไรครับ…”รังสิมันต์ก้มหน้าแล้วเชยคางคนตัวเล็กขึ้นมาขณะถาม
“คือว่า…รัก…รักยังไม่พร้อ…”แล้วถ้อยคำสุดท้ายก็หายไปพร้อมกับ
ริมฝีปากหยักที่ประกบริมฝีปากบางสวยได้รูป ก่อนจะค่อยๆมอบสัมผัสรัก
ด้วยการจุมพิตอันแสนดูดดื่มให้กับเจ้าหล่อน
มีหรือที่เขาจะยอมปล่อยให้เธอปฏิเสธ ในเมื่อเขารอวันนี้มานาน
ไม่มีวันที่เขาจะปล่อยให้คืนส่งตัวผ่านไปโดยที่เขาไม่ได้ตักตวงความหอมหวาน
จากเกสรดอกไม้ดอกนี้เป็นแน่…เขาทั้งอดทนและรอคอยให้ดอกไม้ดอกนี้
เป็นกรรมสิทธิ์ของเขาอย่างถูกต้องมานาน
เขาไม่ได้ต้องการเป็นแค่หนอนผีเสื้อที่ได้แต่มองดูดอกไม้ที่แสนหอมและเย้ายวน
ชวนให้หลงใหลด้วยความชื่นชมอย่างเดียว หากเขาอยากเป็นผีเสื้อ
อยากเป็นเจ้าของดอกไม้ดอกนี้แต่เพียงผู้เดียว…
“ดอกกุหลาบขาวของพี่…”รังสิมันต์รำพันออกมา
เมื่อผละออกจากริมฝีปากหอมหวานตรงหน้านั้น
…สิ้นรักที่ได้สติลืมตาขึ้นก็เห็นแววตาดำสนิทตรงหน้าที่ตรึงใจเธอ
มิให้หันไปทิศทางใดได้อีกในยามนี้
“อย่าเพิ่งปฏิเสธพี่เลยนะครับคนดีของพี่…”เสียงหวานนุ่มนั้นทำเอา
คนฟังถึงกับฝันเคลิ้มจนลืมสิ้นทุกอย่าง แม้แต่อาการบ้าจี้
ที่ได้เตือนเจ้าบ่าวของเธอไปก่อนหน้านี้
สุดแล้วแต่เขาจะนำพาเธอไปยังที่ใด
รังสิมันต์เห็นทีท่านิ่งนั้นก็ยิ้มกว้างหลังจากนั้นจึงอุ้มร่างเล็กไปวางไว้บนเตียง
ก่อนจะค่อยๆก้มลงจุมพิตหน้าผากมนระเรื่อยลงมาตามสันจมูกโค้งงอนสวย
แล้วจึงลิ้มรสริมฝีปากนั้นอย่างสุขสำราญอีกครั้ง
แต่ยังไม่ทันไร เสียงระฆังก็ดังขึ้นเสียก่อน
“ก็อกๆๆ”ทั้งสองหลุดจากภวังค์รักด้วยแววตาตกใจ รังสิมันต์ตั้งสติ
ถามออกไปว่า
“มีอะไร…”
“โกดังของเราระเบิดครับนายหัว ตอนนี้ไฟลามไปถึงบ้านพักคนงานแล้วครับ…”
เสียงนั้นดังมาจากหน้าประตูห้องหอ
รังสิมันต์ตกใจก่อนจะก้มลงมองคนตัวเล็กที่แววตาตระหนกตกใจไม่น้อยไปกว่าเขาเลย
ชายหนุ่มจึงก้มลงจุมพิตหนักๆที่ริมฝีปากนั้น
แล้วผละออกมาด้วยความอาลัยอาวรณ์
“พี่ขอโทษนะครับ…”พูดพลางก็รีบลุกขึ้นสวมเสื้อที่เพิ่งถอดออกไปเมื่อครู่
ก่อนจะหันมาสั่งกำชับกับสิ้นรักที่ลุกขึ้นนั่งบนเตียงแล้วว่า
“เสื้อผ้าของเธอกับของพี่เก็บอยู่ในห้องทำงานของพี่ แล้วอยู่ในนี้
อย่าออกไปไหนเด็ดขาดนะครับคนดีของพี่ แล้วพี่จะกลับมา…”
ก่อนไปรังสิมันต์หันมาหอมแก้มทั้งสองข้างของเธอก่อนจะจุมพิตที่หน้าผากมน
แล้วจบที่ริมฝีปากอย่างรักใคร่อีกครั้ง…
“ระวังตัวด้วยนะคะ…”น้ำเสียงและแววตาห่วงใยนั้นทำให้รังสิมันต์ยิ้มกว้าง
“ครับ…พี่จะระวังและจะกลับมาหาเธอแน่นอน…แม่ดอกกุหลาบขาวของพี่”
......โปรดติดตามตอนต่อไป....
รู้นะคะว่านักอ่านกำลังลุ้นจนไส้พุงมากองรวมกัน..อิอิ...
แต่แล้วก็ต้องหลุดลอย...ฮ่่าๆๆๆ
น่าเห็นใจพี่รังจริงๆ อุตส่าห์จัดการทุกอย่างเอาไว้อย่างดี...
กะจะลวงหนูให้ลงรูได้สำเร็จแล้วเชียว...แล้วดูๆไปแล้ว หนูของเรา
เขาจะยอมให้งูรัดด้วยความเต้มใจซะด้วย แต่โชคดันไม่ช่วย...
ฮ่าๆๆๆ
โยเอาตอนที่คิดว่านักอ่านหลายท่านกำลังรอมานาน มาให้อ่านแล้วนะคะ
แต่ขอย้ำ ย้ำค่ะว่า...
...เรื่องนี้ยังไม่จบลงง่ายๆแค่ฉากงานแต่งแน่ๆค่ะ...อิอิอิ...
...มันยังอีกยาววววววววววววค่ะ....
ขอคุยกับนักอ่านเมื่อสองยกก่อนหน้าค่ะ...
1.คุณkonhin...ขอบคุณค่ะสำหรับแรงใจที่ส่งมาเชียร์คู่ของเวนไตย...อิอิ
จุ๊บๆค่ะ...ปล.และแล้วก็ถูกจับยัดเข้าห้องหอสำเร็จเสร็จสิ้นพิธีการที่รอกันมา
อย่างยาวนานค่ะ...อิอิอิ...
ต่อไปก็คงต้องมาลุ้นวิธีเคี้ยวหญ้าไม่ค่อยอ่อนของหมอรังกันค่ะ...อิอิอิ
2.คุณบัวขาว...ได้ข่าวมาว่าเจ้าเหมียวเริ่มกินข้าวได้แล้วค่ะ...
ไม่ง้องแง้งแล้ว...เพราะมันเคยรอดตายมาได้สองครั้งแล้วค่ะ...
รถชนแล้วมดลูกมีเลือดออกด้วย...ตอนนั้นมันไม่กินอะไรเป็นสัปดาห์ๆเลยค่ะ
แม้แต่น้ำก็ไม่กิน นึกว่าจะตายแล้ว แต่ก็รอดมาได้ค่ะ...หวังว่ารอบนี้คงรอดจริงๆนะคะ
ปล.โยเอาตอนที่คิดว่านักอ่านน่าจะรอกันมานานให้อ่านกันแล้วนะคะ...
ขอบคุณนะคะที่มาส่งกำลังใจให้เต่าโยบ่อยๆ...จุ๊บๆค่ะ
ปล.อีกที...ตอนที่แล้วสั้นจริงๆค่ะ...เพราะใจความของตอนนั้นมันแค่นั้น
แต่ตอนนี้ใจความสุดยอดแห่งความยาววววววค่ะ...อิอิอิ...
ใช่แล้วค่ะ...อีกอึดใจก็จะได้กลับไปบ้านเรา...รักรออยู่...สู่อ้อมใจของบ้านเก่า
สู่ลำเนาแต่ก่อนมา...รักษาสุขภาพเช่นกันนะคะ...
3.คุณsai...ที่บอกว่ามองอะไรได้กว้างๆๆๆๆๆนั้น...หมายความว่าเห็นอะไรบนคานน้อย
มากขึ้นแล้วใช่มั้ยคะ...อิอิอิ...
4.คุณsupayalak...ดีนะคะที่เรื่องราวยาวเหยียดเฉียดแค่เมืองตรัง
เพราะจริงๆแล้วโยว่ามันยาวไปถึงสถานีรถไฟบัตเตอร์เวร์ธเลยนะคะ...อิอิอิ...
แถมไม่ใช่รถด่วนพิเศษอะไรซะด้วยสิ...ฮ่าๆๆๆ...
5.คุณviolette...ขอบคุณค่ะสำหรับกำลังใจและการติดตาม....
ที่น่าสงสารที่สุดใช่เจ้าลูกแก้วรึเปล่าคะ...แต่ยกนี้โยเอามาให้ชื่นฉ่ำหัวใจกันแล้วนะคะ
ปล.ขอให้งานออกไวๆนะคะ โยเองก็คาดว่างานจะออกก่อนสิ้นปี...
ตอนนี้ไร้เรี่ยวแรงค่ะ...กะจะกลับบ้านไปเอากำลังใจมาสักเข่งสองเข่งเลยค่ะ...อิอิอิ...
6.คุณAprilSK...โยเองก็เครียดถึงจุดเดือดเช่นกันค่ะ...แต่งานมันก็คืองานค่ะ
ทำแล้วได้อะไรหลายๆอย่างที่มากกว่าการได้เงินน่ะค่ะ...อิอิ
ปล.คุณAprilSK...เดาถูกเลยทีเดียวค่ะ เรื่องที่สองหนุ่มนั่นกะจะเซอร์ไพร้สาวๆ...อิอิ
7.คุณgoldensun...เห็นได้ชัดว่าหมอรังไม่ยอมง้อแต่ขอทำเซอร์ไพร้แทน...
งานนี้นางเอกเราคิดมากจนเก็บเอาไปฝันเป็นตุเป็นตะเลยทีเดียว...
แถมยังฝันซ้อนฝันอีก...สงสัยคงคิดมากว่าจะไม่ได้ลงจากคานจนถึงขั้นหมกมุ่น...อิอิอิ
ปล.โยเห็นด้วยค่ะว่า งานเยอะดีกว่าไม่มีงาน เพราะส่วนตัวแล้ว ไม่ว่างานจะยุ่งแค่ไหน
โยสู้ไหวนะคะ ขออย่างเดียว อย่าวุ่นวายด้วยเป็นพอค่ะ...เพราะงานยุ่ง กับวุ่นวายนี้
มันคนละอย่างกันเลยค่ะ...อิอิ...เนื่องจากพอมีคนมาวุ่นวายด้วยแล้ว
งานที่ยุ่งอยู่แล้วก็จะยิ่งยุ่งวุ่นวายไปหมดเลยน่ะค่ะ...สรุปคือ..สู้ต่อไป ทาเคชิ!!!
อิอิอิ...
8.คุณใบบัวน่ารัก...ใช่แล้วค่ะ...คนเราไม่ว่าจะดีจะชั่ว
ล้วนแล้วแต่มีสาเหตุและที่มาของมันค่ะ...ที่สำคัญเลยก็คือ พื้นฐานความคิดน่ะค่ะ
ระหว่างคิดบวกกับคิดลบด้วย...บางคนเผชิญหน้ากับเรื่องเดียวกัน สถานการณ์เดียวกัน
แต่กลับคิดได้แตกต่างกัน พอคิดต่างกัน ผลของการกระทำก็ย่อมต่างกัน...เป็นธรรมดาค่ะ...
ปล.ตอนก่อนหน้านี้ดูเหมือนซาเนียจะดูงี่เง่าไปบ้าง ตามประสาอาการของคนกำลัง
ตกอยู่ในห้วงรักและกำลังสับสนน่ะค่ะ...อารมณ์เลยแกว่งไปแกว่งมา...ไม่เสถียร...เฮะๆ
9.คุณหมีสีชมพู...หมอกานต์ใช่รึเปล่าคะ...อิอิอิ...หมอกานต์บทไม่เยอะค่ะ...
แค่เป็นหนึ่งในผู้ช่วยพ่อบันของนางเอกเราเท่านั้นเองค่ะ...อิอิ...
และแล้วงานรอบที่สามก็ถูกจัดขึ้นโดยไม่บอกให้เจ้าสาวรู้เนื้อรู้ตัว
หรือให้ได้ตั้งตัวกันก่อนเลย...ตุณหมีสีชมพูคงยิ้มได้แล้วใช่มั้ยคะ
เพราะนางเอกเราย่างขาลงจากคานน้อยแล้ว...ฮ่า่ๆๆๆๆ
10.คุณnasa...ขอบคุณค่ะสำหรับคำแซว...อิอิ
แต่เต่าโยขอยืนยันที่จะใช้ชื่อเดิมนะคะ...ฮ่าๆๆ
ไม่ใช่เพราะอะไรหรอกค่ะ...เพราะชื่อเรื่องมันบอกอยู่แล้วว่า "คานน้อย คอยรัก"
วันใดที่นักอ่านอ่านเรื่องนี้จบ ก็จะเข้าใจว่าทำไมเรื่องนี้ต้องชื่ออย่างนี้...
เพราะนางเอกเรา ชื่อ"รัก"ค่ะ...อิอิอิ...และคานที่ว่าก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่อลังการณ์เลย
แค่ "คานน้อย" ซึ่งพร้อมจะหักได้ทุกเมื่อ อิอิอิ...ไม่แปลกเลยค่ะที่แต่ละคนที่อยู่บนคานน้อย
ถึงอยากลงมาจากบนนั้นกัน...เพียงแค่ได้ยินเสียงรถด่วนขบวนสุดท้ายดังเท่านั้นค่ะ...
คานน้อยที่ว่าก็สั่นสะท้านแล้ว...เฮะๆ...ว่ามั้ยคะ...ส่วนคู่เอกอย่างคู่หมอรัง
โยเก็บเอาไว้คู่หลังสุด เพราะเป็นคู่เอกนี่แหล่ะค่ะ...มันมีจุดสำคัญที่สุดของเรื่องที่
โยอยากเขียน และคู่หมอรังจะเป็นผู้ถ่ายทอดมันน่ะค่ะ....
11.คุณPampam...โยว่าหนูสิ้นของคุณPampam ก็ออกอาการงอนไปแล้วนะคะ
แต่หมอรังเขาไม่ได้ง้อเท่านั้นเอง...แต่จัดงานแต่งให้โดยไม่บอกไม่กล่าว
ให้เจ้าสาวรู้ล่วงหน้าเท่านั้นเอง...เลยได้แต่งสมใจเลยคราวนี้...อิอิอิ
12.คุณตุ๊งแช่...ดีใจจังเลยค่ะที่ได้เห็นคุณตุ๊งแช่ส่งเสียงมาให้กำลังใจเต่าโย...
ดีใจที่รู้ว่ามีนักอ่านติดตามอ่านมาหลายปี ยอมรับเลยค่ะว่าโยเขียนเรื่องนี้หลายปีจริงๆ
เพราะกะจะทิ้งทวนให้เรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้าย เนื่องจาก ณ ตอนนั้นกะจะไม่เขียน
นิยายต่อจากเรื่องนี้แล้ว แต่สุดท้้ายก็ยังติดใจ เลยมีเรื่องอื่นๆตามมาอีก
ส่วนเรื่องนี้เลยยาวเพราะพล็อตที่ได้วางเอาไว้มันยาวน่ะค่ะ...ตัดให้สั้นไม่ได้แล้วค่ะ...
ถึงคนเขียนจะหอบแฺฮกๆกับเรื่องนี้สักแค่ไหน ก็ยังจะเขียนต่อไปจนจบค่ะ...
เพราะตั้งใจไว้แล้ว....ผูกเรื่องเอาไว้มาตั้งแต่เดิม จะให้ตัดให้สั้น
มันลำบากสำหรับปัจจุบันมากเลยทีเดียวค่ะ...
ทางเดียวก็คือ เขียนให้จบ แม้จะยาวววววววววววไปจนสุดสายปลายทางสถานีบัตเตอร์เวร์ธ
ซึ่งอยู่อีกประเทศหนึ่งก็ตามค่ะ...ฮ่าๆๆๆ...หวังว่านักอ่านจะรออ่านจนจบ
เหมือนคนเขียนก็พยายามจะเขียนจนจบนะคะ...จุ๊บๆค่ะ...
ปล.อาจไม่ใช่แค่ข้ามปีนี้ก็ได้นะคะ...อิอิอิ...
อ่ะๆๆๆ โยล้อเล่นนะคะ ถ้าไม่มีอะไรติดขัด ชีวิตปกติสุขดี
ต้นปีหน้าก็คงจะจบค่ะ...สำหรับเรื่องนี้...อิอิอิ...
13.คุณLittlewitch...เหมือนจะรู้นะคะว่าโยจะเอาฉากงานแต่งมาให้ในยกนี้
แสดงว่าตัดชุดมาร่วมงานแต่งเรียบร้อยแล้วใช่มั้ยคะนั่น...อิอิอิ...
ปล.เวนไตยเขาพญาครุฑค่ะ ส่วนซาเนียก็พญานาค คนละสปีชีส์กัน
คนนึงก็พยายามเจาะถ้ำอยู่ ส่วนอักคนก็ลอยล่องเวหา...
ก็เลยพูดกันคนละภาษาน่ะค่ะ...ฮ่าๆๆๆ...ขอบคุณนะคะที่แวะมาส่งกำลังใจ
ให้เต่าโย หลังจากที่ปล่อยให้เต่าโยมองหาชื่อนี้อยู่หลายยก...เฮะๆ
สุดท้ายไม่ท้ายสุด...
ขอบคุณทุกไลค์ ทุกกำลังใจ และทุกๆคนที่เข้ามาอ่านมาแวะทักทายเยี่ยมเยือนกันนะคะ...
...แล้วเจอกันยกหน้าค่ะ...
...รักษาสุขภาพกันทุกคนด้วยนะคะ...
"เต่าโย"
yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 ธ.ค. 2555, 22:57:15 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 ธ.ค. 2555, 23:03:08 น.
จำนวนการเข้าชม : 2513
<< ยกที่ 73 My all | ยกที่ 75 รักคือการ(ไม่)ให้ >> |
หมีสีชมพู 20 ธ.ค. 2555, 23:33:55 น.
ไม่รู้จะสงสารหรือสมน้ำหน้าพี่รังดี
ไม่รู้จะสงสารหรือสมน้ำหน้าพี่รังดี
konhin 20 ธ.ค. 2555, 23:37:05 น.
หึๆๆ ในที่สุดก็ได้แต่ง แต่อดเข้าหอซะงั้น หมอรังผู้น่าสงสาร เฮ้อ
หึๆๆ ในที่สุดก็ได้แต่ง แต่อดเข้าหอซะงั้น หมอรังผู้น่าสงสาร เฮ้อ
violette 20 ธ.ค. 2555, 23:59:42 น.
กรี๊ดดดดด หมอรังค้างงงงง ฮ่าๆๆๆๆ ระทึกมากค่ะ
พ่อพญาครุฑทำหนูซาเนียเราเสียใจ
กรี๊ดดดดด หมอรังค้างงงงง ฮ่าๆๆๆๆ ระทึกมากค่ะ
พ่อพญาครุฑทำหนูซาเนียเราเสียใจ
sai 21 ธ.ค. 2555, 00:37:34 น.
ตอนนี้อยู่บนคานน้อยอยู่ค่ะ เลยเห็นอะไรกว้างขึ้นเพราะมองจากมุมสูง
ปล.พี่รังไม่ได้เข้าหอ น่าสงสารจังเลย
ตอนนี้อยู่บนคานน้อยอยู่ค่ะ เลยเห็นอะไรกว้างขึ้นเพราะมองจากมุมสูง
ปล.พี่รังไม่ได้เข้าหอ น่าสงสารจังเลย
pattisa 21 ธ.ค. 2555, 08:06:17 น.
อ๊ายยยยยย ยังอุส่ามีอุปสรรคอีก 5555
อ๊ายยยยยย ยังอุส่ามีอุปสรรคอีก 5555
ใบบัวน่ารัก 21 ธ.ค. 2555, 10:02:37 น.
ทำตัวดีๆหน่อยซาเนียเดียวโดนดีแน่
นี่ก็อีก อะไรกัน จะเข้าห้องหอดีๆไม่ได้ใช่ไหม
ทำตัวดีๆหน่อยซาเนียเดียวโดนดีแน่
นี่ก็อีก อะไรกัน จะเข้าห้องหอดีๆไม่ได้ใช่ไหม
Pampam 21 ธ.ค. 2555, 11:25:44 น.
ได้แต่งแล้วนู๋สิ้นกับนู๋ปอง ดีใจด้วยเจงๆ
ได้แต่งแล้วนู๋สิ้นกับนู๋ปอง ดีใจด้วยเจงๆ
ตุ๊งแช่ 21 ธ.ค. 2555, 14:43:07 น.
เอ่อ เม้น์เราซะยาวเลย แบบว่าถ้าไม่คุ้นจะไม่ค่อยเม้นท์คะ เข้าใจ คนเขียนอยากอ่านคอมเม้นท์แต่ บางที อาจเม้นท์ไม่ถูกใจเลย ไม่เม้นท์ดีกว่า นอกจาก รู้จักกันค่ะ
จริงเนื้อเรื่องชวนติดตามค่ะ แต่ แอบข้ามบ้าง ช่วงที่เคยอ่านแล้ว ปมเยอะซะจนบางทีคนอ่านจำไม่ได้ว่าใครเป็นชนวนของเรื่องหรือใครพัวพันกับใคร แต่ก็ลุ้นๆให้ลงเอย ถึงไม่ลงเอย ก็อย่าตายอีกเลย ไม่รู้คนเขียนจะเพิ่มอีกกี่ศพ เดาใจ ไม่ถูกเพราะแนวเรื่อง เหมือนต้องมีการสูญเสีย
แต่ชอบสุดคู่ ลมกับปอง และอย่างอ่านลูกๆของคู่ตามกับตะวัน 55 เผื่อคนเขียนจะจใจอ่อนให้คู่นี้แต่งซะที แก่แล้วเดี๋ยวมีลูกไม่ทันใช้
ส่วนคู่รัก นี่ ชีวิตถ้าจะยังไม่พ้นมรสุม
เอ่อ ข้ามปีแน่ใช่ไหมค่ะ งั้น จบก่อนสงกรานต์ไหวไหมค่ะ
เอ่อ เม้น์เราซะยาวเลย แบบว่าถ้าไม่คุ้นจะไม่ค่อยเม้นท์คะ เข้าใจ คนเขียนอยากอ่านคอมเม้นท์แต่ บางที อาจเม้นท์ไม่ถูกใจเลย ไม่เม้นท์ดีกว่า นอกจาก รู้จักกันค่ะ
จริงเนื้อเรื่องชวนติดตามค่ะ แต่ แอบข้ามบ้าง ช่วงที่เคยอ่านแล้ว ปมเยอะซะจนบางทีคนอ่านจำไม่ได้ว่าใครเป็นชนวนของเรื่องหรือใครพัวพันกับใคร แต่ก็ลุ้นๆให้ลงเอย ถึงไม่ลงเอย ก็อย่าตายอีกเลย ไม่รู้คนเขียนจะเพิ่มอีกกี่ศพ เดาใจ ไม่ถูกเพราะแนวเรื่อง เหมือนต้องมีการสูญเสีย
แต่ชอบสุดคู่ ลมกับปอง และอย่างอ่านลูกๆของคู่ตามกับตะวัน 55 เผื่อคนเขียนจะจใจอ่อนให้คู่นี้แต่งซะที แก่แล้วเดี๋ยวมีลูกไม่ทันใช้
ส่วนคู่รัก นี่ ชีวิตถ้าจะยังไม่พ้นมรสุม
เอ่อ ข้ามปีแน่ใช่ไหมค่ะ งั้น จบก่อนสงกรานต์ไหวไหมค่ะ
goldensun 21 ธ.ค. 2555, 21:44:30 น.
เปิดตอนมาซะสิ้นรักน่าสงสารเชียว ที่แท้ก็คิดมากจนฝันฟุ้งไปเอง
หมอรังกับพี่ลมทำเซอไพรส์ได้ทันใจจัง ทำฝันของเจ้าสาวทั้งสองให้เป็นจริง
เวนไตยสิ หึงจนปากเสีย ทำซาเนียถอดใจเลย
พี่น้องจอมปลวกกระชากหมอรังตกวิมานซะแล้วป
เปิดตอนมาซะสิ้นรักน่าสงสารเชียว ที่แท้ก็คิดมากจนฝันฟุ้งไปเอง
หมอรังกับพี่ลมทำเซอไพรส์ได้ทันใจจัง ทำฝันของเจ้าสาวทั้งสองให้เป็นจริง
เวนไตยสิ หึงจนปากเสีย ทำซาเนียถอดใจเลย
พี่น้องจอมปลวกกระชากหมอรังตกวิมานซะแล้วป
supayalak 22 ธ.ค. 2555, 20:52:01 น.
บอกได้คำเดียว เสียดายยยยยยยยยยยยยยยยยยย
บอกได้คำเดียว เสียดายยยยยยยยยยยยยยยยยยย