คานน้อย คอยรัก (จบแล้วค่ะ)
คานน้อย คอยรัก
ในลักษณ์นั้นว่าประหลาด…………….คนบนคานนั้นว่าน่าประหลาด
เป็นเชื้อชาตินักรบกลั่นกล้า…………...เป็นเชื้อชาตินักรักผู้หาญกล้า
เหตุไฉนย่อท้อรอรา…………………..เหตุไฉนย่อท้อรอเวลา
ฤาจะกล้าแต่เพียงวาที…………………ฤาไม่กล้าบอกรักใครสักที
เห็นแก้วแวววับที่ดับจิต…………………เห็นคานแก้วแวววับสดับจิต
ใยไม่คิดอาจเอื้อมให้ถึงที่……………...ใยไม่คิดปีนไปให้ถึงที่
เมื่อไม่เอื้อมจะได้อย่างไรมี……………อย่ามัวรอจงขึ้นมาเร็วรี่
อันมณีฤาจะโลดไปถึงมือ………………บนคานนี้มีรักให้ฝึกปรือ
อันของสูงแม้ปองต้องจิต………………..คานเราสูงไม่เป็นรองของใครอื่น
ถ้าไม่คิดปีนป่ายจะได้ฤา………………..อย่าได้ขืนลงไปให้เสียชื่อ
มิใช่ของตลาดที่อาจซื้อ………………….มิใช่ทองตามตลาดที่อาจซื้อ
ฤาแย่งยื้อถือได้โดยไม่ยอม……………..เพราะเราถือความพอใจจึงลงไป
ไม่คิดสอยมัวคอยดอกไม้ร่วง……………ไม่คิดสอยมัวคอยให้คานทับ
คงชวดดวงบุปผาชาติสะอาดหอม………..รอให้ดับคาคานหรืออย่างไร
ดูแต่ภุมรินเที่ยวบินตอม…………………..ฤาต้องคอยรักแท้จนแก่ใช่ไหม
จึงได้ออมอบกลิ่นสุมาลี…………………..เกาะคานน้อยคอยรักต่อไป
…………………..........จนกว่าจะเจอคนที่ใช่…ใช่ไหมคาน………………
(อ้างอิงกลอนจากบทละครเรื่องท้าวแสนปม)
มาดูเหตุผลของคนที่ยังไม่ลงจากคานกันค่ะ...
อาจจะมีเหตุผลมากมายที่ไม่อยากลงจากคาน
หรืออาจมีเพียงแค่หนึ่งเหตุผลง่ายๆก็คือ...
...ไม่ใช่คนที่ใช่ก็ไม่ใช่...
หรือว่า
...โดนข้อหาหลายใจ เพราะเคยมีแฟนหลายหน...
หรืออาจเป็นเพรา
...เขาบอกให้รอ เราก็รอ...
หรือจริงๆแล้ว
...ขออยู่รอคนสุดท้ายคนนั้นได้ไหม...
หรือลึกลงไป
...กำลังรอเจ้าชายในฝันอยู่อย่างอดทนได้ทุกอย่าง...
หรือกำลังปลอบใจตัวเองว่า
...ครึ่งหนึ่งของฉันยังมาไม่ถึง...ซึ่งสักวันเขาจะมาอยู่ข้างกัน...
หรือกำลังหลอกตัวเองด้วยการปกปิดว่า
...ไม่หวั่นไหว หัวใจไม่ปรารถนา...
ทั้งๆที่จริงๆแล้ว
...อยากรัก อยากฝัน แต่เพราะกลัว ก็เลยไม่กล้ารักใคร...
หรือว่าอาจจะเป็นเหตผลสุดท้ายที่ไม่ค่อยมีใครกล้ายอมรับดังๆว่า
...ไม่เคยมีใครมาจีบ ไม่มีใครสน เรามันคนธรรมดาๆ...
แต่ไม่ว่าจะเหตุผลใด...
เราก็ยังหวังและยังคงรอคอยปาฏิหาริย์ว่าจะได้เจอคนที่ใช่ในสักวัน...
ในลักษณ์นั้นว่าประหลาด…………….คนบนคานนั้นว่าน่าประหลาด
เป็นเชื้อชาตินักรบกลั่นกล้า…………...เป็นเชื้อชาตินักรักผู้หาญกล้า
เหตุไฉนย่อท้อรอรา…………………..เหตุไฉนย่อท้อรอเวลา
ฤาจะกล้าแต่เพียงวาที…………………ฤาไม่กล้าบอกรักใครสักที
เห็นแก้วแวววับที่ดับจิต…………………เห็นคานแก้วแวววับสดับจิต
ใยไม่คิดอาจเอื้อมให้ถึงที่……………...ใยไม่คิดปีนไปให้ถึงที่
เมื่อไม่เอื้อมจะได้อย่างไรมี……………อย่ามัวรอจงขึ้นมาเร็วรี่
อันมณีฤาจะโลดไปถึงมือ………………บนคานนี้มีรักให้ฝึกปรือ
อันของสูงแม้ปองต้องจิต………………..คานเราสูงไม่เป็นรองของใครอื่น
ถ้าไม่คิดปีนป่ายจะได้ฤา………………..อย่าได้ขืนลงไปให้เสียชื่อ
มิใช่ของตลาดที่อาจซื้อ………………….มิใช่ทองตามตลาดที่อาจซื้อ
ฤาแย่งยื้อถือได้โดยไม่ยอม……………..เพราะเราถือความพอใจจึงลงไป
ไม่คิดสอยมัวคอยดอกไม้ร่วง……………ไม่คิดสอยมัวคอยให้คานทับ
คงชวดดวงบุปผาชาติสะอาดหอม………..รอให้ดับคาคานหรืออย่างไร
ดูแต่ภุมรินเที่ยวบินตอม…………………..ฤาต้องคอยรักแท้จนแก่ใช่ไหม
จึงได้ออมอบกลิ่นสุมาลี…………………..เกาะคานน้อยคอยรักต่อไป
…………………..........จนกว่าจะเจอคนที่ใช่…ใช่ไหมคาน………………
(อ้างอิงกลอนจากบทละครเรื่องท้าวแสนปม)
มาดูเหตุผลของคนที่ยังไม่ลงจากคานกันค่ะ...
อาจจะมีเหตุผลมากมายที่ไม่อยากลงจากคาน
หรืออาจมีเพียงแค่หนึ่งเหตุผลง่ายๆก็คือ...
...ไม่ใช่คนที่ใช่ก็ไม่ใช่...
หรือว่า
...โดนข้อหาหลายใจ เพราะเคยมีแฟนหลายหน...
หรืออาจเป็นเพรา
...เขาบอกให้รอ เราก็รอ...
หรือจริงๆแล้ว
...ขออยู่รอคนสุดท้ายคนนั้นได้ไหม...
หรือลึกลงไป
...กำลังรอเจ้าชายในฝันอยู่อย่างอดทนได้ทุกอย่าง...
หรือกำลังปลอบใจตัวเองว่า
...ครึ่งหนึ่งของฉันยังมาไม่ถึง...ซึ่งสักวันเขาจะมาอยู่ข้างกัน...
หรือกำลังหลอกตัวเองด้วยการปกปิดว่า
...ไม่หวั่นไหว หัวใจไม่ปรารถนา...
ทั้งๆที่จริงๆแล้ว
...อยากรัก อยากฝัน แต่เพราะกลัว ก็เลยไม่กล้ารักใคร...
หรือว่าอาจจะเป็นเหตผลสุดท้ายที่ไม่ค่อยมีใครกล้ายอมรับดังๆว่า
...ไม่เคยมีใครมาจีบ ไม่มีใครสน เรามันคนธรรมดาๆ...
แต่ไม่ว่าจะเหตุผลใด...
เราก็ยังหวังและยังคงรอคอยปาฏิหาริย์ว่าจะได้เจอคนที่ใช่ในสักวัน...
Tags: ดราม่า หวานซึ้ง อบอุ่น หมอรัง สิ้นรัก วายุ ปองขวัญ
ตอน: ยกที่ 83 มหาหึง
ยกที่ 83 มหาหึง
ความสุขอยู่กับส้ินรักเพียงไม่กี่วัน ก็ถึงวันที่ความทุกข์
เดินทางเข้ามาทักทายอีกระลอก…
เมื่อตอนบ่ายของวันหนึ่งซึ่งรังสิมันต์อยู่กับบ้าน
วันทั้งวันรังสิมันต์ทุ่มเทให้กับการช่วยภรรยาทำอาหาร รดน้ำต้นไม้ จัดบ้าน
กวาดห้อง ตกแต่งห้องใหม่…เพื่อต้อนรับสมาชิกเพิ่ม
…แต่อยู่ๆก็พบเข้ากับกล่องไม้เก่าๆที่ซ่อนอยู่ด้านในสุดของตู้เสื้อผ้า
กล่องไม้ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเจอตอนที่มีโอกาสได้เข้าไปในห้องนอนของสิ้นรัก
มันเคยวางอยู่บนหัวเตียงของสิ้นรักมาก่อน…เขาจำมันได้…
รังสิมันต์ค่อยๆดึงมันออกมาแล้วเปิดออก…
พบรูปถ่ายแฟนเก่าที่สิ้นรักเคยคบมาหลายต่อหลายคน…
และยังมีของที่ระลึกต่างๆซึ่งคงเป็นของอดีตแฟนเก่าให้เธอมามากมายเต็มกล่อง…
ทว่าหนึ่งในนั้นที่ทำเอารังสิมันต์ถึงกับอึ้งก็คือผ้าเช็ดหน้าสีฟ้าอ่อนที่ปักริมว่า ‘สายลม’
ซึ่งจำนวนของมันมีมากจนเขานับไม่ไหวพับซ้อนกันอย่างกับว่าเจ้าของกล่องไม้
ทะนุถนอมของดังกล่าวยิ่งกว่าของที่ระลึกชิ้นอื่น
เพราะมันถูกแยกวางไว้ต่างหากไม่เข้าปะปนกันกับของที่ระลึกชิ้นอื่น
และที่สำคัญ…เขาจำได้ดีว่าผ้าเช็ดหน้าสีนี้ ลักษณะอย่างนี้…
เป็นผ้าเช็ดหน้าของใคร…
คิดได้ดังนั้น ภาพวันเก่าๆตอนที่สิ้นรักกับวายุเป็นพี่รหัสน้องรหัสที่ซี้กันสนิทสนมกัน
จนใครๆอิจฉาก็ปรากฏฉายชัดขึ้นอีกครั้ง
…เขาว่าจะไม่คิดถึงเรื่องนี้แล้ว หากมันก็อดคิดไม่ได้…
ทั้งๆที่พยายามบอกกับตัวเองแล้วว่าระหว่างเพื่อนรักของเขากับสิ้นรัก
ไม่มีอะไรมากไปกว่าความเป็นพี่เป็นน้อง
หากมันก็ไม่อาจห้ามความคิดอีกด้านหนึ่งได้
ในเมื่อตอนอยู่มหาวิทยาลัย เขาต่างก็รู้และเห็นถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองที่ดูจะผูกพันกัน…
และเขารู้ว่าสิ้นรักรักและผูกพันธ์กับเพื่อนรักของเขามากแค่ไหน
…ขนาดผ้าเช็ดหน้า ภรรยาของเขายังเก็บเอาไว้อย่างดีมาตลอด
และอาจจะเก็บเอาไว้ทุกผืนด้วยซ้ำ…
และดูจากจำนวนผ้าเช็ดหน้าเหมือนเพื่อนของเขาก็ขยันส่งผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาสิ้นรัก
ซึ่งเป็นน้องรหัสเสียเหลือเกิน…
รังสิมันต์เอามันออกมาวางไว้บนเตียง สิ้นรักที่กำลังจัดดอกไม้วางไว้ที่ริมหน้าต่างห้องนอน
จึงหันมามอง ก่อนจะตกใจกับภาพตรงหน้า…
“พี่รัง…”เสียงของหญิงสาวเบาหวิว ด้วยกังวลใจว่าอีกฝ่ายจะไม่เข้าใจตัวเอง
“มันหมายความว่าไง…”รังสิมันต์ถามเสียงเย็น…สิ้นรักจึงรู้สึกชาไปทั้งตัว
กับแววตาที่หันมามองเธออย่างคาดคั้น…
“มันไม่มีอะไรอย่างที่พี่รังคิดนะคะ…”สิ้นรักกล่าวขณะเดินมาหาเขาแล้วนั่งลงบนเตียง…
“แล้วเธอรู้เหรอว่าพี่กำลังคิดอะไรอยู่…”สิ้นรักส่ายหน้า
“ไม่แน่ใจ…แต่รักอยากบอกว่าอะไรๆที่อยู่ในกล่องนั้น…มันเป็นแค่ความทรงจำ…
มันเป็นเพียงกล่องความทรงจำเท่านั้น…”
“ซึ่งเธอยังคงเก็บมันไว้อย่างดี…”สิ้นรักพยักหน้า
“รักไม่รู้จะทิ้งมันไปเพื่ออะไร…เพราะไม่ว่ามันจะมีหรือไม่มี
ถ้าเราไม่ได้ให้ค่ากับมันมากกว่าปัจจุบันที่เป็นอยู่ มันก็เป็นแค่อดีตที่จบไปแล้ว…”
รังสิมันต์พยักหน้า
“รวมทั้งผ้าเช็ดหน้าพวกนี้ด้วยรึเปล่า…”สิ้นรักมองผ้าเช็ดหน้าของวายุ
ที่เธอเก็บสะสมและรักษาเอาไว้อย่างดีในมือของรังสิมันต์แล้วลอบถอนใจ
เธอเหนื่อยเหลือเกินกับการที่ต้องพยายามอธิบายความรู้สึกของตัวเอง
และกับเรื่องราวของอดีตที่ผ่านมาให้กับคนที่เหมือนจะไม่เคยเชื่อใจเธอ
เขากังขาและข้องใจในตัวเธออยู่ตลอดเวลา…เขาไม่เคยเชื่อใจเธอจริงๆ
มันเป็นความผิดของเธอใช่มั้ยที่เคยมีแฟนหลายคน…
ใช่ว่าเธออยากให้มันเป็นอย่างนั้น แต่ที่ผ่านมาเธอเลือกไม่ได้
ในเมื่อคนที่ผ่านมาไม่ใช่คนที่ใช่…
“ไม่รวมค่ะ…เพราะผ้าเช็ดหน้าพวกนี้ไม่เคยเป็นอดีตที่จบไปแล้ว…
พี่ลม เจ้าของผ้าเช็ดหน้าพวกนี้เป็นทั้งอดีต ปัจจุบันและเป็นอนาคต…
จากวันแรกที่เจอจนวันนี้…พี่ลมยังคงเป็นคนซับน้ำตาให้รักด้วยผ้าเช็ดหน้าสีฟ้า
ที่ปักริมคำว่าสายลม…”
รังสิมันต์มองหน้าคนพูดแล้วขยุ้มผ้าเช็ดหน้าในมือโดยไม่รู้ตัว…
ทำเอาสิ้นรักมองภาพนั้นอย่างเคืองๆ…
“ขอมันคืนให้รักเถอะนะคะ…”
“มันมีค่ากับเธอมากเลยรึไง…”สิ้นรักพยักหน้า
“มากค่ะ…เพราะมันคอยเตือนให้รักรู้ว่าเวลารักเสียใจ มีใครคอยปลอบ
คอยให้กำลังใจรัก…ซึ่งคนๆนั้นก็คือพี่ลม…”รังสิมันต์กัดกรามแน่น
สิ้นรักมองสีหน้าท่าทางและแววตาของเขาก็เข้าใจ จึงกล่าวต่อว่า
“แต่ก็ไม่มีอะไรจะมีค่ามากไปกว่าหัวใจของพี่รัง…พี่ลมเป็นพี่ชาย
พี่รังเข้าใจใช่มั้ยคะ…ว่าสำหรับรัก…พี่ลมคือพี่ชาย…ที่รักรักไม่น้อยไปกว่าพี่รัง…
เพียงแต่เป็นรักในคนละแบบ…ถ้าถามว่าจะให้รักเลือก
ให้ใครตายระหว่างพี่รังกับพี่ลม…รักก็คงเลือกไม่ได้…แต่ถ้าถามว่า
รักจะเลือกใช้ชีวิตรักกับใคร รักก็ตอบได้เต็มปากว่าพี่รัง…”รังสิมันต์ส่ายหน้า
“ถ้าเธอไม่คิดอะไรกับแฟนเก่าหรือบอกว่าไม่เหลือเยื่อใยให้แฟนเก่าอีกแล้ว…
แล้วทำไมยังเก็บของพวกนี้ไว้…และถ้าไอ้ลมมันเป็นแค่พี่ชายจริงๆในความรู้สึกของเธอ…
งั้นก็แสดงว่า ของพวกนี้ก็ไม่ได้มีค่ามีความหมายอะไรมากนัก…”
สิ้นรักกระตุกคิ้วด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ และยิ่งไม่เข้าใจเมื่อคนตรงหน้ายกกล่องไม้ของเธอ
แล้วถือออกนอกห้องไป…
สิ้นรักจึงวิ่งตามไปพร้อมเสียงร้องเรียก
ทว่าคนตัวโตเดินเร็วกว่าเธอหลายเท่านัก…
เนื่องจากตอนนี้เขาไม่ได้มีภาระต้องแบกลูกน้อยอย่างเธอ...
“พี่รังจะไปไหน…จะทำอะไรคะ…”รังสิมันต์เดินลงมายังโกดังเก็บของใต้ถุนเรือน
หยิบแกนลอนขนาดเล็กที่บรรจุน้ำมันติดมือออกมาพร้อมกับกล่องไม้ขีดไฟ…
ก่อนจะเดินมายังที่โล่งกว้างแล้วราดน้ำมันลงไปในกล่องไม้นั่น
สิ้นรักมองภาพนั้นจากที่ไกลๆเพราะเดินไม่คล่องตัว
จะวิ่งไปก็กลัวจะหกล้มทำให้ลูกน้อยเดือดร้อนจนอาจจะต้องออกมาดูโลกก่อนเวลาอันควร
ทว่าไม่ทันแล้ว เพราะตอนนี้ไม้ขีดได้ถูกจุดแล้วถูกโยนลงไปในกล่องไม้
ที่มีเชื้อไฟอย่างน้ำมันที่พร้อมจะลุกโชนเผาผลาญความทรงจำพิเศษของเธอ
…อะไรๆในกล่องนั่นเธอไม่ได้หวงหรือเสียดายมันอีกแล้วนอกจากผ้าเช็ดหน้าพวกนั้น…
ผ้าเช็ดหน้าของพี่ลมซึ่งตอนนี้กำลังโดนไฟเผาผลาญต่อหน้าต่อตาของเธอ…
สิ้นรักมองรังสิมันต์ด้วยน้ำตาอาบแก้ม…แววตาตัดพ้อต่อว่า
“พี่รังไม่เคยเข้าใจอะไรเลย…ไม่เคยเลย…”
สิ้นรักต่อว่ารังสิมันต์ทั้งน้ำตาด้วยความเสียใจ…
“ก็ในเมื่อมันไม่ได้มีค่ามีความหมายกับเธอแล้ว
พี่จะเผามันไปก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาไม่ใช่เหรอ…”สิ้นรักกัดปากตัวเอง…
แล้วเหมือนนึกขึ้นได้ จึงรีบเดินอุ้มท้องอุ้ยอ้าย
เพื่อเอาน้ำมารดกล่องไม้ดังกล่าว ทว่าโดนรังสิมันต์ขัดขวาง…
“จะได้ไม่มีความทรงจำอะไรหลงเหลือให้รื้อฟื้นกันอีก…”
สิ้นรักทุบเข้าที่อกของคนพูดติดๆกันหลายครั้งแล้วร้องไห้โฮ…
ก่อนจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งขึ้นห้องไป
รังสิมันต์หันกลับมามองกล่องความทรงจำที่ไฟกำลังเผาอยู่อย่างโล่งอก
อย่างน้อยก็ไม่มีอะไรคอยระแคะระคายหัวใจหรือขัดหูขัดตาเขาอีกต่อไป
ทว่าเพียงไม่นานก็เห็นร่างอุ้ยอ้ายเดินลงมาพร้อมกับอะไรบางอย่างในมือ
รังสิมันต์ตกใจเมื่อเห็นว่าอะไรอยู่ในมือของสิ้นรัก…
“เธอเอามันมาได้ยังไง…”รังสิมันต์ถามด้วยแววตาประหลาดใจ…
“พี่รังทำกับรักยังไง รักก็จะทำกับพี่อย่างนั้น…”
สิ้นรักพูดจบก็ฉีกสมุดบันทึกของรังสิมันต์ที่เขียนบันทึกถึงอากิโกะออกทีละแผ่น
แล้วขยุ้มส่งลงไปในกองไฟ รังสิมันต์พยายามยื้อยุดฉุดกระชากเอาของคืน
ทว่าอีกฝ่ายไวกว่าโยนสมุดเล่มดังกล่าวลงไปในกองเพลิง
ที่โหมกระพืออยู่ทันทีด้วยแววตาสะใจที่ได้เห็นอีกฝ่ายเจ็บปวดบ้าง…
“จะได้ไม่มีความทรงจำอะไรหลงเหลือให้รื้อฟื้นอีกไงล่ะคะ…”
สิ้นรักกล่าวถ้อยคำที่รังสิมันต์กล่าวกับเธอก่อนหน้านี้ด้วยแววตาที่คลอไปด้วยน้ำตา
…ใช่ว่าเธออยากจะทำกับเขาแบบนี้…แต่สิ่งที่เขาทำกับเธอมันมากเกินไป…
มากเกินที่เธอจะทนได้
…เขาไม่เคยไว้ใจเธอ ไม่เคยเชื่อใจเธอ…ไม่ยอมฟังเธอ แถมยังหึงเธออย่างไร้เหตุผลสิ้นดี…
ทั้งๆที่เธอก็ยืนยันความบริสุทธิ์ใจให้เขาฟังซ้ำๆครั้งแล้วครั้งเล่า
ทว่าเขาไม่เคยเชื่อ ไม่เคยเลย…
ส่วนรังสิมันต์ได้แต่มองสมุดบันทึกนิ่ง ก่อนจะหาไม้ที่อยู่แถวๆนั้นมาเขี่ยมันออก
สิ้นรักมองภาพสามีของตัวเองเขี่ยซากสมุดเล่มนั้นออกมาจากกองไฟ
ด้วยน้ำตาของความเจ็บปวด…ก่อนจะปาดน้ำตาแล้วเดินเข้าบ้านไปอย่างเงียบๆ
…แต่กลับสวนทางกับหญิงชราผู้เป็นแม่นม…
“เกิดอะไรขึ้นหนูรัก…”น้ำเสียงนั้นฟังดูห่วงใย สิ้นรักจึงเดินเข้าไป
แล้วสวมกอดหญิงชราเอาไว้แน่น…น้ำตาร่วงลงมาอีกระลอก…
หญิงชราจึงได้แต่ลูบหลังสิ้นรักเบาๆ…พร้อมกับมองภาพของนายน้อยของตน
ที่กำลังนั่งคุกเข่าสนใจอยู่กับอะไรบางอย่างข้างๆกองไฟ…
“รักไม่อยากทนอีกแล้วค่ะนม…ไม่อยากทนอีกแล้ว…”
“ไม่เอานะคะ…มีอะไรก็ควรจะพูดจากันดีๆ…ใจเย็นๆ…”
“เย็นไม่ไหวแล้วค่ะ…ไม่ไหวแล้วจริงๆ…”หญิงชราลอบถอนใจ
ก่อนจะดึงร่างนั้นออกแล้วกล่าวว่า
“เราควรจะรักษาความรักที่มีให้ดีที่สุดก่อนจะสาย…ถ้าหนูรักรักนายน้อย
หนูรักก็ต้องอดทน…ไม่มีอะไรจะชนะความอดทนได้…”
สิ้นรักยกมือปาดน้ำตาแล้วกล่าวว่า
“รักจะกลับไปหาพ่อบันค่ะนม…”
“จะกลับไปได้ไงคะ…นี่ก็ใกล้กำหนดคลอดแล้ว…”
หญิงชราค้านด้วยน้ำเสียงนิ่มนวล…ทว่าอีกฝ่ายกลับส่ายหน้า
“ไม่รู้ล่ะค่ะ…ถ้ารักไม่ไปตอนนี้…รักกับพี่รังอาจแตกหักกันเลยก็ได้…”
หญิงชราลูบบ่าของสิ้นรักเบาๆขณะกล่าวว่า
“ยามที่ผู้หญิงเราคลอด…มีอยู่สามอย่างที่เราจะนึกถึง…
หนึ่งคือพระเจ้า สองคือแม่ของเรา และสามก็คือสามีซึ่งเป็นพ่อของลูกเรา”
สิ้นรักถึงกับนิ่งเมื่อได้ฟังดังนั้น…
“เชื่อนมเถอะนะคะ…ถึงตอนนั้น หนูรักอาจต้องการนายน้อย…อย่าเพิ่งไปเลยนะคะ…”
พูดพลางประคองร่างสิ้นรักเดินกลับขึ้นเรือนแล้วพาไปยังเตียงนอน…
“พักผ่อนก่อนนะคะ…เดี๋ยวพอตื่นขึ้นมา ทุกอย่างจะดีขึ้นเอง…
นมจะอยู่ตรงนี้ จะไม่ให้นายน้อยมาคอยกวนใจ…”หญิงชรากล่าวอย่างรู้ใจ
ทำเอาสิ้นรักถึงกับยิ้มบาง…
“ขอบคุณค่ะนม…”พูดจบสิ้นรักก็พยายามหลับตาลง…
พยายามไม่ให้คิดถึงเรื่องที่เพิ่งเจอมา…พยายามมองให้เรื่องพวกนั้นเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ
ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร…เพียงไม่นาน ลมหายใจของเธอก็เริ่มสม่ำเสมอ
หญิงชรามองภาพหญิงสาวที่ใบหน้ายังคงเปื้อนคราบน้ำตาอย่างห่วงๆ
เรื่องนี้หล่อนคงต้องปรึกษากับนายหญิงแพรวาเสียแล้ว…
จะปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปคงไม่ได้…
เพราะอีกไม่กี่วันพ่อของสิ้นรักก็จะเดินทางมาหาลูกสาวที่นี่แล้ว…
หล่อนไม่อยากให้พ่อของสิ้นรักรับรู้เรื่องราวเหล่านี้นัก…
ด้วยรู้ดีว่าอีกฝ่ายคงไม่ชอบใจนักถ้าได้รู้ว่าลูกสาวต้องจมกองน้ำตาแบบนี้…
“นมไม่อยากให้นายน้อยทำแบบนี้…ไม่ควรทำให้เมียตัวเองต้องร้องไห้ถึงขนาดนี้…
มันจะส่งผลถึงลูกของนายน้อยด้วยนะคะ...นายน้อยเป็นหมอน่าจะรู้ดี...”
หญิงชรากล่าวกับรังสิมันต์ตอนที่อยู่ด้วยกันในห้องรับแขก
“ก่อนหน้านี้นมไม่รู้ แต่ตั้งแต่นมมาอยู่ที่นี่…หลายๆครั้งนมเห็นแววตาเศร้าๆ
และดวงตาบวมเป่งเพราะร้องไห้มาอย่างหนักของหนูรัก
หญิงสาวที่นมเคยเห็นร่าเริงสดใสเหมือนได้หายไปตั้งแต่แต่งงาน…”
รังสิมันต์ก้มหน้านิ่ง…
“นมไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นระหว่างนายน้อยกับหนูรัก แต่ถ้านายน้อยรักหนูรัก
ก็น่าจะทำให้เธอย้ิมสดใส ไม่ใช่จมอยู่กับกองน้ำตาแบบนี้…
พ่อของเธอฝากเธอให้นายน้อยดูแล นายน้อยก็น่าจะทำหน้าที่ให้ดีกว่านี้
นมไม่อยากยุ่ง แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้…”หญิงชรามองหน้ารังสิมันต์
หรือนายน้อยของตัวเองด้วยแววตาห่วงใย
ทำไมหล่อนจะไม่รู้จักคนตรงหน้า ในเมื่อหล่อนเป็นคนเลี้ยงดูมาตั้งแต่ยังแบเบาะ…
แม้ภายนอกนายน้อยของหล่อนจะดูใจเย็น แววตาอ่อนโยน
หากลึกลงไป นายน้อยของหล่อนก็ไม่ต่างจากเด็กชายรังสิมันต์เมื่อตอนยังเยาว์
ที่แม้จะเป็นผู้เสียสละให้กับน้องชายและคนรอบข้างจนดูเจนตา
ทว่าจริงๆแล้ว นายน้อยของหล่อนก็ไม่ได้ต่างจากคนทั่วไป
ที่ยังไม่อาจละความรักความหวงในสิ่งที่คิดว่าเป็นของตนได้จริงๆ…
ของอื่นๆนายน้อยของหล่อนอาจจะยอมเสียสละให้น้องชายได้…
แต่ถ้าเป็นของใช้ส่วนตัวอย่างผ้าเช็ดตัว นายน้อยของหล่อน
ไม่เคยยอมให้น้องชายยืมใช้แม้แต่นิด และดูจะหวงเสียยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด…
โดยให้เหตุผลว่า ของอย่างอื่นถ้าอยากได้ก็เอาไป
แต่ของใช้ส่วนตัวพี่ไม่ยอมให้ใครใช้ร่วมแน่ๆ…และเหมือนน้องชายตัวดีจะหมั่นหาเรื่องแกล้งพี่ชาย
โดยการนำผ้าเช็ดตัวของพี่ชายไปซ่อนเอาไว้ในห้องของตัวเองบ้าง
จนทำให้เกิดเรื่องราวทะเลาะกันใหญ่โต จนบ้านแทบลุกเป็นไฟ
เมื่อนายน้อยของหล่อนเข้าไปเจอผ้าเช็ดตัวของตัวเองแขวนอยู่ในห้องน้ำของน้องชาย…
ตอนนั้นนายน้อยของหล่อนอาละวาดบ้านแตก
และต่อว่าน้องชายเสียจนน้องชายไม่กล้าหือ…ก่อนจะเอาผ้าเช็ดตัวคืน
พร้อมกับสั่งเสียงเข้มว่าอย่ามายุ่งกับผ้าเช็ดตัวของพี่อีก…ไม่งั้นเจอดี…
บทจะเอาจริง นายน้อยของหล่อนก็ทำได้ไม่หยอกเลย…
สำหรับคนอื่นอาจจะมองเป็นเรื่องเล็กๆจนไม่น่าจะนำมาเป็นประเด็นให้ต้องทะเลาะกัน
จนบ้านลุกเป็นไฟ...แต่สำหรับนายน้อยของเธอแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่
ที่จะยอมให้กันไม่ได้เลย...
ซึ่งหลังจากนั้นนายน้อยของเธอก็เอาผ้าเช็ดตัวไปขัดแล้วขัดอีก ซักอยู่ไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ
แล้วนำไปผึ่งแดด พอแห้งก็นำมาซักอีก ผึ่งแดดอีก
ทำอยู่อย่างนั้นไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ…
หล่อนเองยังเคยแนะนำให้ใช้ผืนใหม่ แต่เจ้าตัวกลับไม่ยอม บอกว่าผืนใหม่ไม่เอา
ผืนนี้เป็นของเขา เขาจะไม่ยอมทิ้งมันเพียงเพราะมันโดนน้องชายแอบย่องเอาไปใช้
แค่ชั่วคราวแน่ๆ…ทั้งๆที่ความจริงแล้วน้องชายของนายน้อยไม่ได้แตะต้องมันเลยสักนิด
เพียงแค่นึกสนุกอยากแกล้งพี่ชายเล่นก็เท่านั้น…
“เรื่องระหว่างผมกับหนูรักของนมมันมีอะไรมากกว่าที่นมเห็น…
และผมเองก็ยังทำใจกับเรื่องราวที่ผมอยากจะลืมมันไปไม่ได้…
ผมเองก็อยากให้แน่ใจว่าคนที่ผมรัก จะรับในตัวตนของผมจริงๆได้…
ผมก็แค่คนธรรมดาๆคนหนึ่ง ไม่ใช่เจ้าชาย ไม่ใช่เทพบุตร…
วันนี้เธออาจจะยอมทุกอย่างเพื่อผม…แต่บางที…วันที่เธอได้รู้ว่าผมไม่ใช่คนที่เธอฝัน…
และต้องอยู่กับความรู้สึกที่ต้องฝืนทน…เธออาจจะรับไม่ได้…
นมก็รู้ว่าหนูรักของนมเป็นผู้หญิงช่างฝัน…ผมอาจเป็นดั่งภาพฝัน
อันแสนสวยงามให้เธอได้ไม่ดีก็ได้…แล้ววันนึงเธออาจจะทิ้งผมไป…
ผมเองก็ไม่อยากให้วันนั้นมาถึง…แต่ผมก็ไม่อาจสร้างภาพฝัน
ให้เธอมีความสุขไปวันๆได้ตลอดเวลา…ผมไม่เก่งขนาดนั้น…
ผมไม่เก่งเท่าพ่อบันของเธอ…นมก็เห็นว่าผมพยายามแค่ไหน
ไม่ให้เธอรับรู้ในเรื่องที่ชวนให้เครียด…ไม่ให้เธอได้รับรู้เรื่องที่อยู่
นอกประตูหน้าต่างของบ้าน…”ด้วยภาระหน้าที่ของเขา มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย
แต่ไม่เคยเลยสักครั้งที่เขาจะนำเรื่องเหล่านั้นเข้ามากวนใจเธอในบ้าน…
เพราะไม่อยากให้เธอทุกข์กังวลไปกับปัญหาของเขาที่เข้ามาหาเขาไม่เว้นแต่ละวัน
…เขายินดีที่จะแบกปัญหาและความทุกข์ใจเหล่านั้นไว้คนเดียว…
ทว่าทั้งหมดที่เขาทำมันไม่ช่วยให้เธอยิ้มสดใสได้อย่างที่เขาคาดหวังไว้…
“นมจะให้ผมทำยังไง…ในเมื่อผมก็เป็นแค่คนธรรมดาคนนึง…
ที่เจ็บปวดเป็น เสียใจเป็นเหมือนกัน…”
หญิงชราได้แต่นั่งนิ่ง มองคนตรงหน้าอย่างเห็นอกเห็นใจ…
“แล้วเรื่องหนูอากิล่ะคะ…นายน้อยยัง…”หญิงชราหยุดไว้แค่นั้น…
เพราะกระดากที่จะพูดต่อ…รังสิมันต์มองหน้าคนถามแล้วส่ายหน้า
“ผมยอมรับว่ารักอากิมาก รักจนสามารถเอาชีวิตเข้าแลกได้…
เพราะรักของผมที่มีต่อเธอ มันเกิดขึ้นมาจากความเห็นอกเห็นใจ
ผมสงสารเธอ อยากให้เธอพ้นจากความทุกข์ อยากเห็นเธอยิ้มได้ มีความสุข…
เวลาเธอทุกข์ ผมก็อยากแบ่งเบาความทุกข์นั้นจากเธอบ้าง
ถ้าจะพูดจากใจ ผมก็พูดได้เต็มปากว่ารักนั้นยังคงอยู่ เพียงแต่มันไม่ใช่ความรักแบบชู้สาว
เป็นความรักความห่วงใย ความเห็นอกเห็นใจ
ผมไม่ได้อยากครอบครองร่างกายและจิตใจของเธอ…แต่ก็ยังห่วงใยเธอเสมอมาไม่มีเปลี่ยน…”
“แล้วกับหนูรักล่ะคะ…”รังสิมันต์นิ่งไปครู่นึงก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า
“สำหรับหนูรักของนม มันมากกว่านั้น เธอเป็นมากกว่ารัก…
มันเป็นความรักความผูกพัน…เราโตมาด้วยกัน ผ่านเรื่องดีร้ายมาด้วยกัน
ให้คำปรึกษา ปลอบใจกันและกันมา…ด้วยความผูกพันมันเกินกว่ารัก…
เวลาที่เธอร้องไห้เรียกหาผม ผมก็อยากคอยเป็นคนดูแลอยู่ข้างๆ…
และตั้งใจ หวังไว้เสมอว่าจะเป็นคนคอยดูแลเธอ…ยิ่งต้องพลัดพรากจากกัน
ก็ยิ่งทำให้คิดถึง…”รังสิมันต์หยุดนิดนึง นึกถึงภาพวันเก่าๆที่ยังคงตรึงตราอยู่ในหัวใจไม่ลืมเลือน…
“สายสัมพันธ์ที่มีระหว่างเรามันมากกว่ารัก มากเกินกว่าคำว่ารัก…
มากกว่าจะเอ่ยออกมาเป็นคำพูดไหน…”
“ยิ่งได้เห็นว่าเธอกลับมา ผมก็อยากจะทวงวันเวลาเก่าๆให้กลับมาอีกครั้ง
ตั้งใจไว้ว่าจะดูแลเธอให้ดีที่สุด…ยิ่งผมได้ใช้ชีวิตคู่กับเธอ ผมก็ยิ่งรักเธอเพิ่มขึ้น
เธอเป็นยิ่งกว่าหัวใจของผม…นมจะให้ผมยกหัวใจผมให้ใครได้ล่ะครับ…
นมเองก็รู้ดีว่าผมเป็นคนหวงของใช้ส่วนตัวแค่ไหน…
และสำหรับตำแหน่งเมีย…มันยิ่งกว่าของใช้ส่วนตัว…”
“รักแต่ทำไมต้องทำให้ร้องไห้ล่ะคะ…”หญิงชราติง…
“ผมก็ไม่ได้อยากทำให้เธอร้องไห้ แต่บางครั้งมันก็มีบางเรื่องที่เราก็ควบคุมไม่ได้…”
รังสิมันต์กล่าวด้วยแววตาเจ็บปวด…
หัวใจเป็นอะไรที่ควบคุมได้ยากเหลือเกิน…
โดยเฉพาะการพยายามควบคุมให้อยู่ในทิศทางที่ควรจะเป็น…
สิ้นรักตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าเป็นเวลาย่ำเย็น…หญิงสาวพยายามมองหาแม่นมไปรอบๆห้อง
ทว่ากลับไม่พบ เธอจึงลุกขึ้นเข้าห้องน้ำ
อาบน้ำให้ร่างกายสดชื่นแล้วกลับออกมาอีกครั้งก็ไม่พบใคร แม้แต่สามีของตัวเอง…
สิ้นรักจึงค่อยๆเดินไปยังห้องรับแขก…
พบเพียงผักหวานที่กำลังจัดโต๊ะอาหารเย็น…
“คนอื่นๆล่ะผักหวาน…”
“นายหัวกับยายฝากบอกว่านายหญิงแพรวาเป็นลมเข้าโรงพยาบาล
ทั้งสองก็เลยกลับไปดูอาการที่อ่าวพระนางน่ะค่ะ…และบอกว่า
ให้ผักหวานอยู่เป็นเพื่อนนายหญิง…อย่าให้นายหญิงตามออกไปเด็ดขาด”
สิ้นรักพยักหน้าเข้าใจ
“แล้วอาการท่านหนักมากมั้ย…”
“ผักหวานก็ไม่ทราบค่ะ…”สิ้นรักลอบถอนใจอย่างหนักหน่วงและแอบต่อว่าทั้งสอง
ที่ไปโดยไม่บอกเธอสักคำ เธอจะได้ติดตามไปด้วย…
สิ้นรักจึงยกหูโทรศัพท์โทรหาทางโน้น แต่ไม่มีใครรับสายเลย…
เธอจึงออกอาการร้อนรนนั่งไม่ติด เดินไปเดินมาจนต้องโทรไปหาเวนไตยที่อยู่ที่เกาะชิงชัง…
“พ่อบันอยู่มั้ยครูครุฑ…”
“อยู่ครับ…คุณหนูอยากคุยกับท่านเหรอ…”
“เปล่าหรอก…แค่โทรมาถามข่าวคราวว่าท่านเป็นยังไงบ้าง
แล้วจะมาเกาะรังรักวันไหน…”
“เห็นท่านบอกว่าจะไปหาคุณหนูสัปดาห์หน้าครับ…”
“งั้นดีเลย…ตอนนี้เธอว่างมั้ย…”คนทางโน้นถึงกับขมวดคิ้วนิดนึง
กับคำถามดังกล่าว เพราะถ้าถามเช่นนี้แสดงว่าต้องมีอะไรให้เขาทำเป็นแน่
“มีอะไรให้ผมช่วยครับ…”
“มารับพี่หน่อยสิ…พี่อยากไปอ่าวพระนาง แต่ทางนี้ไม่ยอมให้ไป…”
“ทำไมล่ะครับ…”
“ก็พี่รังกับนมน่ะสิแอบหนีพี่ไปเยี่ยมดูอาการแม่แพรวโดยไม่บอกกันสักคำ
แถมยังสั่งกำชับไม่ให้ใครพาพี่ไปที่นั่นด้วย…แต่พี่อยากไป…
พี่ร้อนใจน่ะ…ช่วยพี่หน่อยนะครูครุฑ…พี่ขอร้องล่ะ…”
“ตอนนี้น่ะเหรอครับ…”
“ใช่…ไม่งั้นพี่นอนไม่หลับแน่…”
“แต่มืดๆค่ำๆแบบนี้มันอันตราย…”
“พี่ถึงได้ขอร้องเธอไง เพราะรู้ว่าเธอไว้ใจได้ และพี่จะปลอดภัยถ้าไปกับเธอ
อย่าปฏิเสธพี่เลยนะ…แล้วอย่าบอกเรื่องนี้กับพ่อบันเด็ดขาด
เดี๋ยวท่านจะตื่นตกใจ เอาไว้พี่จะเป็นคนบอกท่านทีหลังเอง…”
เวนไตยถึงกับลอบถอนใจให้กับความเอาแต่ใจของลูกสาวคนเดียวของคุณป๋าของเขา…
แต่ก็พอเข้าใจ…จึงตกปากรับคำไปทั้งๆที่รู้ว่าอาจจะมีปัญหาตามมาภายหลังหากนายหัวรังรู้เรื่องเข้า…
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา เวนไตยจึงมาหยุดอยู่ที่ท่าเรือของเกาะรังรัก…
ซึ่งมีสิ้นรักยืนแอบอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว…ร่างอุ้ยอ้ายรีบย่องขึ้นเรือของเวนไตย…
ทว่าไม่พ้นสายตาของเจ้าท่า…
“นายหญิงจะไปไหนครับ…”สายตาของเจ้าท่าจับไปที่เรือของเวนไตย
ก่อนจะเข้ามาเทียบท่าเสียด้วยซ้ำ แต่เพราะรู้ว่าเป็นเรือของคนคุ้นเคย
จึงปล่อยให้ผ่านน่านน้ำเข้ามาเทียบท่าได้อย่างง่ายดาย…
“ไปอ่าวพระนาง…”สิ้นรักตอบเสียงตะกุกตะกัก
“แต่นายหัวสั่งห้ามไม่ให้นายหญิงไปไหน…”
“นายเม่นก็เห็นว่าฉันไปกับใคร…และใครก็ห้ามฉันไม่ได้ด้วย…
เอาไว้เรื่องนี้ฉันจะเป็นคนเคลียร์กับนายหัวของนายเม่นเอง…ไปกันเถอะครูครุฑ…”
พูดจบก็หันไปบอกกับคนขับทันที เวนไตยจึงหันไปยิ้มให้เจ้าท่านิดนึงก่อนจะออกเรือ…
“นายหัวเอาแกตายแน่งานนี้ไอ้เม่นเอ้ย…”เจ้าท่าถึงกับเกาหัวแกรกๆอย่างกังวลใจ…
สิ้นรักมุ่งไปยังบ้านที่อ่าวพระนางเป็นอันดับแรก เพราะไม่แน่ใจว่า
มารดาของสามีอยู่โรงพยาบาลไหนและอยู่ตึกไหนกันแน่…
เธอจึงตั้งใจจะไปถามข่าวคราวจากคนที่นั่นก่อน…ทว่าพอไปถึง
กลับไม่เจอใครเลยนอกจากแม่บ้านกับยาม…
“คนในบ้านไปไหนกันหมด…”สิ้นรักถามแม่บ้าน
“ไปโรงพยาบาลกันหมดค่ะ…เว้นแต่คุณรัก เธอไปต่างประเทศตั้งแต่ตอนเช้า…
ก็เลยยังไม่ทราบข่าวนายหญิงแพรวาน่ะค่ะ”
สิ้นรักพยักหน้า…แสดงว่าบ้านนี้ก็มีสมาชิกเพียงแค่อากิโกะกับลูกๆซึ่งตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล
“นี่ก็ดึกมากแล้ว…ปริมว่านายหญิงขึ้นไปพักข้างบนก่อนดีกว่านะคะ…
เอาไว้ค่อยไปเยี่ยมดูอาการนายหญิงแพรวาพรุ่งนี้เช้าดีกว่า…
เพราะปริมได้ข่าวมาแล้วว่าท่านไม่เป็นอะไรมากค่ะ…
แต่หมอให้นอนดูอาการอีกสักนิดที่โรงพยาบาล…”สิ้นรักรู้สึกโล่งใจที่ได้ยินเช่นนั้น…
จึงพยักหน้าก่อนจะหันไปทางเวนไตยแล้วหันมาทางแม่บ้าน…
“จัดห้องให้เวนไตยด้วยนะ…”
“ค่ะนายหญิง…”สิ้นรักยิ้มให้เวนไตยขณะกล่าวขอบคุณ
“ขอบคุณมากเลยนะครูครุฑที่ช่วยพาพี่มาที่นี่…พี่รบกวนจริงๆ…”
“ไม่เป็นไรครับ…”พูดจบเวนไตยก็ถูกพาไปยังห้องพักซึ่งเป็นห้องพักของแขก...
อยู่ไม่ไกลกับห้องของรังสิมันต์ที่สิ้นรักจะขึ้นไปพัก…
ไม่กี่นาทีต่อมา…เสียงเครื่องยนต์ก็ดังขึ้น ทำให้สิ้นรักที่อาบน้ำ
ชำระคราบเหนียวเหนอะของทะเลเสร็จพอดีจึงรีบสวมชุดนอน
เดินออกมาที่ระเบียงห้องนอนเพื่อดูว่าใช่รถของสามีของเธอหรือเปล่า…
เห็นภาพรังสิมันต์เปิดประตูรถให้อากิโกะแล้วอุ้มร่างของเด็กสาวตัวน้อยขึ้นแบก
โดยที่เด็กชายตัวน้อยเดินงัวเงียมีแม่คอยประคองปีก…
สิ้นรักรีบออกจากห้องนอนหวังจะเดินไปถามไถ่อาการของมารดาสามี
และตั้งใจจะออกไปจัดหาอะไรร้อนๆให้ทั้งหมดทาน…เพราะดึกขนาดนี้
แม่บ้านคงกลับไปนอนที่ห้องพักเรียบร้อยแล้วแน่ๆ…
ทว่ายังไม่ทันออกจากห้องก็ได้ยินเสียงคนกำลังเดินขึ้นบันไดมา…
สิ้นรักที่นึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองทำผิดจึงยังไม่กล้าเปิดเผยตัวเอง
เพราะว่าแอบหนีมาจึงได้แต่แง้มประตูมองรังสิมันต์ที่อุ้มหลานสาวเข้าห้องไป
พร้อมๆกับอากิโกะ…
ไม่นานทั้งสองก็เดินออกมาจากห้องแล้วเดินลงไปข้างล่าง
สิ้นรักค่อยๆย่องตามไปไม่ให้ทั้งสองรู้ตัว…เห็นทั้งสองเดินไปยังห้องครัว
เสียงดังก๊อกแก๊กออกมาจากในนั้น ทำให้สิ้นรักย่องเข้าไปแอบยืนดู
เห็นภาพทั้งสองกำลังอุ่นอาหารนั่งทานด้วยกันอยู่…
หูแว่วได้ยินบทสนทนาระหว่างทั้งสอง
“ผมว่าจะพาทุกคนไปอยู่ด้วยกันที่เกาะ เพราะตอนนี้ที่นี่ไม่มีใคร
มีแต่ผู้หญิงทั้งนั้น…มันไม่ค่อยปลอดภัย…เรื่องเรียนของเจ้าแฝดก็ไม่น่าจะมีปัญหา
เพราะว่าเป็นช่วงปิดเทอม กว่านายรักจะกลับก็อีกหลายวัน…”
อากิโกะออกจะหนักใจนิดๆ เพราะว่าสามีของเธอไปติดต่องานแทนพี่ชายคนโตของเธอ
ที่ยังไม่พร้อมเดินทางไกล…และคงไปหลายวัน
ทั้งๆที่เธอเองก็อยากให้สามีอยู่ด้วยกันในช่วงนี้ สามีของเธอเองก็ต้องการเช่นนั้น
เพราะเปรยๆว่าตอนเจ้าแฝดคลอดเขาไม่ได้อยู่ด้วย
ลูกคนนี้เขาก็เลยอยากอยู่ด้วย…แต่ก็มีงานเข้ามา…
ทำให้ต้องไปต่างประเทศหลายวัน นี่เธอเองก็พ้นกำหนดคลอดมาหลายวันแล้วด้วย…
“แล้วคุณแม่ว่าไงล่ะคะ…”
“คุยกันแล้วก่อนจะกลับมานี่…ท่านเห็นด้วย…เห็นบอกว่าอยากเห็นหลานทั้งสองคลอดออกมา…
อยู่ด้วยกันทั้งหมดก็ดีเหมือนกัน…”อากิโกะจึงได้พยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม…
ก่อนจะก้มหน้าตักอาหารใส่ปาก…เนื่องจากยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย…
รังสิมันต์เห็นหญิงสาวกินน้อยก็เลยตักอาหารบริการให้…
“กินอีกสักนิดสิ…”
“ขอบคุณค่ะ…”
“คุณขึ้นไปนอนเถอะ เดี๋ยวทางนี้ผมจะเป็นคนจัดการเอง…”รังสิมันต์อาสา
เมื่อเห็นอากิโกะเก็บจานชาม…
“ได้ไงคะ…ปล่อยให้เป็นเรื่องของผู้หญิงเถอะค่ะ…”รังสิมันต์ไม่สนใจ
แย่งจานชามจากมือของหญิงสาวแล้วนำไปล้างอย่างหน้าตาเฉย…
“งั้นเอางี้แล้วกันนะคะ…คุณหมอล้างจานไป เดี๋ยวฉันเก็บกวาดเอง”
แต่ยังเดินไปไม่ทันถึงไม้กวาด หญิงสาวก็เกือบหน้าคะมำด้วยเพราะพื้นลื่น
ทว่ารังสิมันต์หันมารับร่างนั้นไว้ได้ทัน…ทำเอาหัวจิตหัวใจของอากิโกะหล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่ม…
ร่างอุ้ยอ้ายจึงตกอยู่ในวงแขนของรังสิมันต์
ทำเอาคนที่แอบดูอยู่ถึงกับอ้าปากค้าง ตาโตกับภาพดังกล่าว
จนแทบจะเดินออกไปปรากฏกายต่อหน้าท้ังสอง ทว่าโดนเวนไตย
ที่เดินตามมาลากกลับเข้าไปยังที่เดิมเสียก่อน…
“อย่าเพิ่งเอะอะไปคุณหนู…รีบขึ้นห้องแล้วแกล้งนอนหลับซะจะได้ไม่เป็นเรื่อง…”
เวนไตยแนะนำด้วยเสียงกระซิบแผ่วเบา
เพราะเขาเองก็ยังไม่อยากมีเรื่องกับใครตอนนี้…โดยเฉพาะกับนายหัวรัง…
สิ้นรักไม่ขัดข้อง ทว่าก่อนไปยังแง้มหน้าไปมองคนในห้องครัว
ก็เห็นว่าสถานการณ์ทุกอย่างดีขึ้นกว่าเมื่อครู่…ทั้งสองช่วยกันเก็บกวาดห้องครัวอยู่…
กว่ารังสิมันต์จะกลับเข้าห้องก็อีกสักครู่ใหญ่ๆ ทำให้สิ้นรัก
ที่นอนคอยอยู่ถึงกับนอนถอนหายใจฮึดฮัดด้วยสีหน้าไม่ชอบใจพลางบ่นอุบอิบ…
“มัวทำอะไรอยู่นะ…”ร่างบางทำท่าจะลุกขึ้นไปดูอย่างใจคิด
ทว่าเสียงฝีเท้าหนักๆเดินมาหยุดอยู่หน้าประตูห้อง ทำให้เธอต้องกลับลงไปนอนอีกครั้ง
พยายามข่มตาหลับ…หูก็เฝ้าฟังเสียงประตูที่ถูกเปิดออก
ไฟในห้องสว่างโร่หากสิ้นรักยังคงแสร้งหลับต่อไป…
รังสิมันต์ประหลาดใจกับภาพตรงหน้า
ก่อนจะเดินไปที่เตียงเพื่อดูให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้ตาฝาด…
และเป็นจริงดังที่เขาเห็น…ภรรยาของเขากำลังนอนหลับพริ้มอยู่บนเตียง
โดยที่เขาอดแปลกใจไม่ได้ว่าเธอมาอยู่ที่นี่ตอนนี้ได้ยังไงและตั้งแต่ตอนไหน…
รังสิมันต์ยิ้มที่มุมปากนิดนึงก่อนจะค่อยๆก้มลงจุมพิตสิ้นรักที่หน้าผากเบาๆ
ก่อนจะปัดปอยผมที่ปรกหน้าให้อย่างเบามือแล้วเดินไปหยิบชุดนอนเข้าห้องน้ำไป…
สิ้นรักที่หลับตาอยู่ลืมตาปรือทันทีก่อนจะระบายยิ้มออกมา…
สัมผัสอ่อนโยนเมื่อครู่ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นอย่างบอกไม่ถูก…
สักพักเสียงน้ำก็หยุดลง ก่อนที่เสียงฝีเท้าจะเดินเข้ามาใกล้เตียงนอน
สิ้นรักรู้สึกถึงเบาะที่ยุบตัวลง กลิ่นอ่อนๆของสบู่แตะจมูกของเธอ
ไม่นานวงแขนของเขาก็รวบร่างของเธอเข้าไปกอด…
จมูกโด่งของเขาฝังลงที่พวงแก้มของเธอพร้อมกับเสียงกระซิบข้างๆหูเธอเบาๆว่า…
“เด็กดื้อ…”น้ำเสียงและถ้อยคำนั้นทำให้คนที่แกล้งหลับอยู่ลืมตาตื่นขึ้นมาทันที
รังสิมันต์ยิ้มที่มุมปากก่อนจะกล่าวว่า
“พี่รู้ว่าเธอแกล้งหลับเพ่ืออำพรางความผิด…”
“รักไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย…”สิ้นรักแก้
“มากับใครบอกพี่ได้มั้ย…”เสียงทุ้มถามชิดหู
“กับครูครุฑ…”รังสิมันต์พยักหน้า
“ช่างกล้า…ไม่กลัวจะโดนดีบ้างรึไง…”
“ไม่กลัว เพราะครูครุฑเก่ง…”หญิงสาวเชิดหน้าตอบ…
“ตอนแรกพี่กะจะนอนกับเจ้าแฝดซะแล้ว กะว่าจะกลับเข้าห้องเพื่อจะอาบน้ำ
แต่พอมาเจอเธอนอนรอพี่อยู่…พี่ก็เลยเปลี่ยนใจ…กอดเด็กไหนจะอุ่นเท่ากอดเมีย…”
พูดจบก็หอมแก้มสิ้นรักอีกฟอดใหญ่
“รักก็นึกว่าจะนอนกอดแม่เด็กซะอีก…เห็นไม่ยอมเข้าห้องสักที…”
รังสิมันต์ถึงกับชะงักกับถ้อยคำและน้ำเสียงราวกับประชดประชันเขา
“แม่เด็กกอดไม่ได้ เพราะเขามีสามีแล้ว…”รังสิมันต์พูดเสียงอ้อน
“กอดไม่ได้…ฮึ…”สิ้นรักทำเสียงขึ้นจมูกก่อนจะหลุดคำพูดออกมาว่า
“ก็เห็นๆอยู่ว่ายืนกอดกันกลมในห้องครัว…”
รังสิมันต์ตกใจกับถ้อยคำดังกล่าวที่หลุดจากปากของสิ้นรัก…
“มันเป็นอุบัติเหตุ…ถ้าเธอเฝ้ามองอยู่ตลอดเวลาก็น่าจะรู้ว่ามันเป็นอุบัติเหตุมากกว่าจงใจ…”
แต่เธอรับไม่ได้นี่…สิ้นรักตอบในใจ
“รู้ว่าเป็นอุบัติเหตุ แต่แววตาของพี่มันฟ้องอีกอย่าง…”
“หาเรื่องพี่แล้ว…”รังสิมันต์แก้เสียงหลง…
“ไม่ได้หาเรื่อง แต่ภาพมันชวนให้คิด…”
“อากิไม่ใช่ผู้หญิงแบบนั้น…”
“แล้วพี่รังล่ะ…เป็นผู้ชายแบบไหน…”สิ้นรักถามกลับ…
“แล้วเธอเห็นพี่เป็นผู้ชายแบบไหนล่ะ…”เมื่อโดนถามกลับบ้าง
สิ้นรักจึงได้แต่อ้ำอึ้งพูดไม่ออก…
“ไม่เอาไม่พูดแล้ว…”สิ้นรักตัดบทเสีย…
“หันหน้ามาทางพี่นี่…”รังสิมันต์รั้งร่างบางให้หันหน้ามาทางเขา
และเมื่อหันมา สิ้นรักก็พบกับแววตาสีนิลเป็นประกายหวานซึ้ง
“จำตอนที่เธอแกล้งพี่สมัยเรียนมหาลัยได้มั้ย…ตอนที่เธอแกล้งเอาผ้าขนหนูของพี่
ที่เธอแอบเอาไปเช็ดตัวให้แมวมาให้พี่ในห้องน้ำน่ะ…”
สิ้นรักถึงกับยิ้มเขินเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อนานมาแล้ว…
“เธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้พี่รู้สึกว่าอยากจูบ…แล้วก็เป็นคนแรกและคนเดียวที่พี่จูบ”
สิ้นรักเบิกตากว้าง เพราะแทบไม่เชื่อว่าตอนนั้นพี่รังจะอยากจูบเธอจริงๆ…
เขาเป็นคนบอกเองว่าไม่มีทางทำอะไรแบบนั้นกับคนอย่างเธอแน่ๆ…
“แสดงว่าถ้าพี่ลมไม่มาเสียก่อน พี่รังจะจูบรักจริงๆเหรอ…”รังสิมันต์อมยิ้ม
“ไม่แน่…เพราะตอนนั้นเธอน่าจูบไม่ต่างจากตอนนี้เลย…
คิดแล้วก็ยังเสียดายที่ตอนนั้นไม่ทันได้จูบเธอ ไอ้ลมก็มาขัดคอเสียก่อน”
พูดจบรังสิมันต์ก็จุมพิตริมฝีปากนุ่มนั้นอย่างรักใคร่เนิ่นนาน…
สิ้นรักจึงจูบตอบอย่างเต็มอกเต็มใจ…
“พอนึกย้อนกลับไป…พี่คิดว่าเธอคือรักแรกของพี่นะ…
เพราะถ้าไม่รักพี่คงไม่อยากจูบ…ไม่อยากกอด…”
“สำหรับรักพี่เป็นจูบแรก เป็นคนแรก…และจะเป็นคนสุดท้าย…”
“พี่เองก็อยากให้เป็นแบบนั้นเหมือนกัน…”รังสิมันต์กล่าวพลาง
ปัดปอยผมออกแล้วจุมพิตหน้าผากนั้นหนักๆหนึ่งครั้ง…
“พี่ดีใจที่คืนนี้พี่ไม่ต้องนอนคนเดียว…”
“รักก็ไม่อยากนอนคนเดียวเหมือนกันค่ะ…”
"พ่อขอกอดแม่แน่นๆหน่อยนะลูกนะ..."รังสิมันต์พูดขณะที่มือก็ลูบหน้าท้อง
ของสิ้นรักไปด้วย ทำเอาคนเป็นแม่ของลูกยิ้มบาง...
แม้ก่อนหน้านี้จะทะเลาะกันรุนแรง ขัดแย้งจนเราต้องลาเลิกกันไป
แต่ไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้ตอนนี้เธอได้มานอนกอดเขาแน่นได้อย่างนี้...
ณ คฤหาสน์หลังงามกลางกรุง…
“พ่ออยากให้แกช่วยสืบหาลูกไอ้กุมพลให้เจอ…”ขุนศึกมองหน้าบิดา
พร้อมกับเลิกคิ้วสูง
“ผมไม่เข้าใจว่าผู้หญิงคนนั้นมีความสำคัญอะไรนักหนา
พ่อถึงได้ต้องการเอาชีวิตเธอ…ทั้งๆที่เธอก็เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาๆ…
จะพิเศษก็ตรงที่เป็นลูกสาวของนายกุมพล…ซึ่งนายกุมพลก็ถูกเด็ดหัวไปตั้งนานแล้ว…
ผู้หญิงที่ดูไร้พิษสงคนนั้นมีอะไรกันแน่ครับ…”คนถูกถามถอนใจยาว…
“ไอ้กุมพลมันตายไปพร้อมกับหลักฐานบางอย่างที่พ่อก็ไม่แน่ใจว่า
มันจะมีน้ำหนักพอที่จะทำลายชีวิตพ่อและลุงของแกรึเปล่า…
และเพื่อให้แน่ใจ พ่อต้องการหลักฐานชิ้นนั้น…และคนที่น่าสงสัยที่สุด
ก็คือลูกสาวของมัน…”ขุนศึกส่ายหน้า
“ผมไม่คิดว่านายกุมพลจะทำแบบนั้น…เขาคงไม่อยากให้ลูกสาวตัวเอง
ต้องตกอยู่ในอันตราย…”จอมทัพพยักหน้า
“มันก็น่าคิด…แต่พ่อเชื่ออยู่ลึกๆว่าลูกสาวของมันต้องมี จะรู้ตัวหรือไม่
หลักฐานนั้นก็ต้องอยู่ที่ลูกสาวของมัน…หรือต่อให้ไม่มี พ่อก็อยากให้แน่ใจ
ว่าจะไม่มีใครเอาหลักฐานชิ้นนั้นมาเปิดเผยได้อีก…
เราต้องถอนรากถอนโคนมันให้หมด…”ขุนศึกนิ่งด้วยกำลังครุ่นคิดอย่างหนัก…
“ผมไม่ได้ข่าวคราวเธออีกเลย…ไม่แน่ใจว่าเธอยังอยู่เมืองไทยอีกรึเปล่า”
“ก็ทำให้แน่ใจสิ…ว่าเธออยู่ในเมืองไทยแน่ๆ…”
ณ อิศฟาฮาน ประเทศอิหร่าน…
“อิศฟาฮาน เนสฟิญาฮาน”
เสียงทุ้มกล่าวขึ้นเมื่อเดินมาถึงจตุรัสกลางเมืองอิศฟาฮาน
“หมายความว่าไงเหรอคะ…”ซาเนียถามชายหนุ่มเป็นภาษาไทย
ด้วยเพราะอีกฝ่ายต้องการฝึกฝนภาษาไทยท่ีดูจะแข็งแรงขึ้นมากกว่าแต่ก่อนแล้ว…
“แปลว่า อิศฟาฮานคือครึ่งหนึ่งของโลก กวีเคยบรรยายเอาไว้แบบนั้นครับ”
ซาเนียชักเริ่มเห็นด้วยกับถ้อยคำดังกล่าว เพราะจะว่าไปแล้วเมืองนี้
ดูจะมีร่องรอยของความเจริญรุ่งเรืองในอดีต…อย่างที่ปัจจุบันยังไม่อาจเทียบเทียมได้
เมื่อนึกย้อนกลับไปว่าอะไรที่ทำให้คนในอดีตคิดค้นสิ่งก่อสร้างได้อลังการณ์
และสวยงามสง่าได้เช่นนี้…
“ที่นี่ Naqsh-e Jahan…แปลว่าต้นแบบของโลก…”
ชายหนุ่มกล่าวถึงจตุรัสกลางเมืองที่พวกเขากำลังเดินอยู่…
“ชื่อเท่จัง…”ซาเนียเอ่ยชมพร้อมสายตาท่ีกวาดมองไปรอบๆ…
ทั้งสองเดินชมสถานที่และสิ่งก่อสร้างรวมทั้งวิถีชีวิตของผู้คน
จนมาจบที่มัสยิดชัยค์ฏุุลฟุลลอฮ์ ซึ่งมีความน่าทึ่งอีกอย่างหนึ่ง
นั่นก็คือ เมื่อเข้าไปข้างในแล้วมองขึ้นไปบนเพดาน
ถ้ามีแสงก็จะได้เห็นนกยูงรำแพนหางอยู่บนนั้นอย่างสวยงามสง่า
แต่พอเอากล้องส่องขึ้นไปดูถึงที่มาหรือต้นตอของเจ้านกยูงตัวดังกล่าว
ก็ต้องแปลกใจที่พบว่า ‘นกยูง’ ที่ว่าเป็นเพียงแค่แป้นไม้เล็กๆที่ห้อยลงมาจากเพดานเท่านั้น
…ไม่มีอะไรที่เหมือนนกยูงเลยแม้แต่น้อย
แต่เมื่อมองด้วยตาเปล่า แสงที่กระทบทำให้ไม่ว่าจะมองอย่างไร
หรือดูยังไงก็เห็นเป็นนกยูงกำลังรำแพนหางอย่างงดงามแวววาวจริงๆ
“แปลกจังเลยนะคะ…ทำไมมันถึงได้เหมือนนกยูงกำลังรำแพนหาง
ทั้งๆที่ไม่มีอะไรเหมือนนกยูงเลยสักนิดเดียว…”ซาเนียพึมพำออกมา
ขณะที่เงยหน้าขึ้นมองไปบนเพดาน…
“นกยูงรำแพน?...”เสียงนั้นย้ำเป็นเชิงถามด้วยแววตาอยากรู้
“ค่ะ…ภาษาไทยเรียก peafawl ว่านกยูง และการร่ายรำของมัน
เราเรียกว่ารำแพนค่ะ…พ่อชอบเรียกซาเนียว่านกยูง…เพราะแม่ของซาเนียชื่อมยุเรศ…
ซึ่งแปลว่านกยูงค่ะ…”
ซาเนียกล่าวพร้อมรอยยิ้ม แล้วเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้…
เมื่ออยู่ๆภาพบิดาของเธอกับถ้อยคำสุดท้ายของท่าน…
‘นกยูงเป็นสัตว์ที่สร้างความสดใส รื่นเริงให้โลกเราเต็มไปด้วยชีวิตชีวา
มีเสียงร้องอันไพเราะ…มีปีกหลากสีสัน…เป็นสัญลักษณ์แห่งความงาม
ที่สำคัญ…ยังถูกยกให้เป็นนกที่สวยงามและสง่างามที่สุดในโลก
จนได้เป็นราชินีของนกทั้งปวง…พ่อตกแต่งห้องให้ลูกเป็นของขวัญวันสำเร็จการศึกษา…
หวังว่าลูกจะชอบ…’
ตอนนั้นเธอได้แต่ปลื้มปีติที่ได้ห้องนกยูงทองที่กำลังรำแพน
…เพราะลายบนฝาผนังแม้จะไม่เป็นตัวของนกยูงเสียทีเดียว
แต่ลวดลายหรือลายเส้นของมันตัดกันไปมา
ทำให้มองยังไงก็เหมือนนกยูงทอง จนเธออดยอมรับไม่ได้
ว่านั่นคือนกยูงทองกำลังรำแพนอยู่ในห้องของเธอ…
‘มันเป็นลวดลายที่แม่ของลูกเคยออกแบบเอาไว้…พ่อไปเจอเข้าก็เลยเกิดไอเดีย
ให้ช่างเอาแบบนั้นมาลงไว้ที่ฝาผนัง…ลูกคงรู้ใช่มั้ยว่า…ทำไมพ่อถึงเรียกลูกว่านกยูง…’
ซาเนียพยักหน้า
‘ค่ะ…เพราะแม่เป็นคนตั้งชื่อเล่นให้นกยูงว่านกยูง…’
ซาเนียจะแทนตัวเองว่านกยูงกับผู้เป็นบิดาเท่านั้น…
เพราะนอกจากบิดามารดาของเธอแล้วก็ไม่มีใครเรียกเธอว่านกยูง…
และน้อยคนจะรู้ว่าเธอมีชื่อเล่นว่านกยูง…
‘จำไว้นะนกยูง…ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น…ลูกจะอดทน เข้มแข็ง…
และเมื่อไหร่ที่ลูกต้องการอิสรภาพ…ให้นึกถึงนกยูงทอง…เพราะนกมีปีก…
สามารถบินไปไหนก็ได้ด้วยปีกของตัวเอง
…และราชินีของนกจะต้องปกป้องมงกุฏของตัวเองแล้วบินฝ่าโพยภัยนานาไปให้ได้…
แล้วลูกจะพบกับฟ้าที่สวยงาม…’
นึกมาถึงตรงนี้ ทำให้ซาเนียต้องแหงนหน้าขึ้นมองเพดานมัสยิดชัยค์ฏุลฟุลลอฮ์อีกครั้ง
ก่อนจะหันไปทางนากีส
“ฉันต้องกลับเมืองไทยค่ะนากีส…”ชายหนุ่มถึงกับตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน
“หมายความว่าไงครับ…”
“พ่อของฉันเหมือนจะบอกอะไรฉันบางอย่างก่อนท่านจะจากฉันไป…
และนั่นอาจจะหมายถึงอิสรภาพของฉัน…ฉันจะหามันให้เจอค่ะ…
ว่าพ่อต้องการบอกอะไรฉัน…เพราะฉันต้องการโบยบินอย่างอิสระ
โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกนายพรานตามล่่าเอาชีวิตอีกต่อไป…”
คนฟังได้แต่ยืนงงเพราะเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง
หากซาเนียก็มิได้อธิบายอะไรมากไปกว่านั้นอีก
…สิ่งที่เธอเฝ้าครุ่นคิดในตอนนี้ก็คือ
เธอจะต้องกลับไปที่บ้าน กลับไปที่ห้องนกยูงทองของเธอ!!!…
ณ บ้านหลังงาม จังหวัดกระบี่…
“หาเจอมั้ย…”
“ไม่เจออะไรที่น่าจะใช่เลยครับ…”
“งั้นจะรออะไร…เผามันเลย…”
เสียงการสนทนาระหว่างลูกน้องกับเจ้านายที่ถูกว่าจ้างให้บุกบ้านของกุมพล
ในช่วงกลางดึกของวัน ทำให้เวรยามที่เฝ้าดูแลบ้านอยู่ถูกวางยาสลบไม่รับรู้เรื่องราว
เพลิงไฟลุกไหม้อย่างรวดเร็วเพราะเชื้อเพลิงอย่างน้ำมันที่ถูกราดไปทั่วบริเวณบ้าน…
ทำให้บ้านที่เคยสวยงามจมอยู่ในกองเพลิง นานกว่าที่ชาวบ้านละแวกใกล้เคียงจะรับรู้…
เสียงรถดับเพลิงและเสียงเอะอะโวยวายของชาวบ้านที่มามุงดู
บ้านหลังงามที่กำลังจะกลายเป็นซาก…
หญิงสาวในชุดแซกสีดำตัวยาวปกปิดรูปร่าง ผิวกาย และศีรษะด้วยผ้าคลุมผืนใหญ่
รวมทั้งผ้าปิดหน้าเหลือแต่ดวงตาอย่างหญิงชาวอาหรับกำลังนั่งทรุดเข่ามองบ้านหลังงาม
ที่บัดนี้เหลือเพียงแค่เศษซากด้วยแววตาที่คลอไปด้วยน้ำตา…
ดอกไม้ ประตู แจกัน ต้นไม้ใหญ่ โคมไฟที่เธอทำเอง จากพื้นดินจนเพดาน
ทุกอย่างที่รวมเป็นบ้าน บัดนี้กลับไม่เหลืออะไรให้เธอได้ระลึกถึงอีกแล้ว
ไม่มีเหลือ…สิ่งที่เหลืออยู่ก็เพียงแค่ภาพความทรงจำ…
บ้านในมโนภาพเท่านั้นที่ยังคงอยู่…แม่…พ่อ…ได้จากไป…
ทิ้งไว้แค่สถานที่แห่งความทรงจำให้เธอได้กลับมาสูดกลิ่นไอของวันเก่าๆ
ที่มีเราอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน…ที่พักพิงพักใจหายวับไปกับตาราวกับฝันร้าย…
หญิงสาวยืนหลบมุมตรงมุมที่เธอเคยสามารถมองเห็นบ้านได้ชัดเจนที่สุดด้วยเสียงสะอื้นไห้
…ความหวัง ความฝันราวกับดับสูญไปต่อหน้า…
ไม่เคยคิด ไม่เคยฝัน ว่าทุกอย่างจะเป็นเช่นนี้…
ไม่คิดว่าคนเหล่านั้นจะพรากสิ่งมีค่าไม่กี่อย่างในชีวิตเธอไปจนหมด…
ขนาดบ้านหลังนี้…พวกเขาก็ไม่ยกเว้น…
หญิงสาวได้แต่ก้มหน้าร้องไห้ก่อนจะสะดุ้งตกใจเมื่ออยู่ๆก็มีมือหนึ่งแตะลงตรงบ่า…
ซาเนียหันขวับไปยังด้านหลังก่อนจะรู้สึกตัวชา…
“ไม่คิดว่าเธอจะกลับมา…”เสียงนั้นราบเรียบหากเจือไปด้วยแววแห่งความยินดี…
“จากนี้ไป…คงไม่มีเหลือ…ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว…พวกเขาเอามันไปหมดแล้ว…”
ชายหนุ่มอยากจะคว้าร่างนั้นเข้ามาสวมกอดแล้วปลอบประโลม แต่ก็ทำไม่ได้…
“เหลือสิ…เธอยังเหลือพี่…เธอยังมีพี่อยู่ทั้งคน…”
ซาเนียเงยหน้าขึ้นมองหน้าเจ้าของน้ำเสียงผู้ซึ่งมีร่่างกายอันแข็งแกร่งราวกับภูผา
ท่ีคอยปกป้องเธอมาตลอด…
“พี่ดีใจที่เราได้เจอกันอีกครั้ง…”ซาเนียยิ้มกว้าง
ดูเหมือนคนตรงหน้าจะกลับมาหาเธอทุกครั้งที่เธอต้องการ…
“แต่ตอนนั้นนายเลือกที่จะทิ้งฉันมา…”เวนไตยส่ายหน้า
“พี่ไม่เคยทิ้งเธอ…ครั้งนั้นที่เราจากกัน พี่ยังคอยดูคอยห่วงใย
ไม่เคยไกลจากเธอเลย…และจะกลับมาทุกครั้งที่เธอต้องการ…ไม่มีวันจะทิ้งเธอไป…”
ใช่…เขาไม่เคยทิ้งผู้หญิงตรงหน้าเขาได้เลยสักครั้ง
ไม่เคยมีวันไหนที่เขาจะไกลจากใจเธอ เขาติดตามข่าวคราวของเธออยู่ตลอดเวลา…
แค่ไม่เคยปรากฏกายต่อหน้าเธอเท่านั้น…
เพราะเขาไม่อาจตัดเยื่อใยแห่งความห่วงใยให้ขาดลงไปได้…
วันนี้เขาถึงได้รู้ว่าเธอจะกลับมา และรู้ว่าเธอจะหลบอยู่ตรงมุมไหน…
“พวกนั้นได้เผาอิสรภาพของฉันไปแล้ว…นายได้ยินมั้ยว่าอิสรภาพของฉัน
ได้หายไปกับบ้านแล้ว…นายเห็นมั้ย…ตรงโน้นไง…บ้านของพ่อแม่ฉัน…
บ้านของเราพ่อแม่ลูก…”ซาเนียร่ำไห้ออกมาด้วยแววตาเจ็บปวด
“ที่เธอบอกว่าอิสรภาพ…มันหมายความว่าไง…”ซาเนียยกมือปาดน้ำตา
“เมื่อก่อน…ฉันเคยคิดมาตลอดว่าทำไมพวกนั้นถึงต้องตามล่าเอาชีวิตฉันนัก…
ฉันเพียงแค่คิดว่า พวกนั้นคงต้องการฆ่าล้างโคตร
แต่ฉันนึกอะไรบางอย่างได้เมื่อไม่กี่วันก่อน…
ก่อนตายพ่อเหมือนพยายามบอกอะไรฉันบางอย่าง…
และฉันเชื่อว่าพ่อมีอะไรบางอย่างที่พวกนั้นต้องการ…
และพวกนั้นคงเชื่อว่ามันอยู่ที่ฉัน
นี่อาจเป็นแผนที่พวกมันจัดขึ้นเพื่อต้องการจับนกยูงที่หลบซ่อนตัวอยู่ให้ออกมา…
คนเลวมันไม่คิดอะไรมากไปกว่าผลประโยชน์ที่มันจะได้รับ
แม้แต่เผาป่าทั้งป่าเพื่อล่าสัตว์เพียงตัวเดียวที่มันต้องการ…มันก็ทำได้…”
น้ำเสียงและแววตาเจ็บแค้นนั้นทำให้คนฟังถึงกับครุ่นคิดตาม…
“แล้วทำไมเธอถึงยอมกลับมา…ไม่กลัวเหรอ…”ซาเนียส่ายหน้า
“ฉันจะกลับมาทวงอิสรภาพคืน…และฉันจะต้องรู้ให้ได้ว่าอะไร
ที่พวกมันต้องการนั้นอยู่ที่ไหน…ฉันจะไม่ยอมหมดหวังหรอก…
บางที…มันอาจไม่ได้ซ่อนอยู่ในบ้านก็ได้…ถ้าพ่อมีอะไรอย่างที่ฉันคิดไว้จริงๆล่ะก็…
ฉันนี่แหล่ะจะทำลายพวกนั้นด้วยมือของฉันเอง…
ฉันจะไม่หนีอีกต่อไปแล้ว...ฉันจะสู้ จะปกป้องมงกุฎให้ได้...”
เวนไตยวางมือบนบ่าของซาเนีบแล้วยิ้มบาง…
“พี่จะช่วยเธออีกแรง…”หญิงสาวยิ้มทั้งน้ำตาด้วยความรู้สึกอบอุ่นใจ
แปลกใจตัวเองทุกครั้งที่อยู่ใกล้เขาแล้วรู้สึกอบอุ่น…ปลอดภัย…
“แต่ฉันไม่รู้เลยว่าจะเริ่มจากไหน…เมื่อไม่มีบ้าน…”เสียงนั้นอ่อนลง
“แล้วคุณลุงพูดกับเธอว่าไงบ้าง…”
“พ่อย้ำกับฉันว่า ให้นึกถึงนกยูงทอง…ให้ฉันปกป้องมงกุฏของตัวเอง…”
พูดพลางก็นึกไปพลาง…
“มงกุฏของตัวเองเหรอ…”เวนไตยพึมพำแล้วถามต่อว่า…
“หมายความว่าไง…”ซาเนียส่ายหน้าขณะกล่าวว่า
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน…”
“งั้นก็อย่าเพิ่งคิดตอนนี้เลย…พี่ว่าเธอควรจะพักผ่อนก่อน…
บางที…เมื่อเราได้พักผ่อนอย่างเต็มที่…เราอาจคิดอะไรดีๆออกก็ได้”
เวนไตยแนะนำด้วยแววตาห่วงใย หญิงสาวยิ้มบางก่อนจะพยักหน้า
“ถ้าไม่รังเกียจ…ไปพักกับพี่ที่เกาะชิงชังก็ได้นะ…”
คำว่าเกาะชิงชังทำให้ขาที่กำลังจะขยับถึงกับชะงัก…
และเหมือนเวยไตยจะเข้าใจกับท่าทีดังกล่าวของหญิงสาว
“ตอนนี้เกาะชิงชังได้เปลี่ยนไปแล้ว…ตั้งแต่คุณป๋าของพี่ไปพักอยู่ที่นั่น
ทุกคนต่างก็เข้าใจกับเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นบนเกาะ…ทุกคนเข้าใจเธอแล้ว
พี่อยากให้เธอกลับไปหาพวกเขา…พวกเขากำลังรอเธอกลับไปสานต่อ
ความฝันของพวกเขาอยู่นะ…แล้วเธอจะรู้ว่าพี่ทำอะไรเพื่อเธอได้มากกว่าที่เธอคิด
…เพราะพี่เช่ือว่า…นากีสจะไม่มีทางบังคับเธอให้แต่งงานกับเขาแน่ๆ…
เขาเป็นลูกผู้ชายพอที่จะไม่ทำร้ายผู้หญิงที่เขารัก…
และพี่ก็เชื่อว่า…สักวันหนึ่งเธอจะกลับมา…หัวใจพี่มันบอกว่าให้รอ…”
ซาเนียถึงกับยิ้มด้วยความซาบซึ้งใจ…และยิ่งปลื้มปีติเมื่อกลับมาพบว่า
ที่เขาพูดเอาไว้นั้นเป็นความจริง…
...โปรดติดตามตอนต่อไป....
เอามาเสริฟให้กันในวันหยุดแล้วจ้าาาาาา...
ไม่รู้ว่าคุณบัวขาว ผู้มอบรอยยิ้มพิมพ์ใจให้โยมาตลอดยังคงอ่านเรื่องนี้อยู่อีกรึเปล่า
ถ้ายังอยู่ ส่งเสียงให้โยได้ยินบ้างนะคะ....ด้วยความเป็นห่วงค่ะ
ว่าแล้วก็ขอคุยกับนักอ่านนิดนึง
1.คุณหมีสีชมพู....ยังไม่ทันคลอด พี่รังเราก็ก่อดราม่าอีกแล้วค่ะ...
อย่างที่หมอรังบอกค่ะ...ตำแหน่งเมีย...มันยิ่งกว่าของใช้ส่านตัว...อิอิ
2.คุณพัชรี....ดีใจจังเลยค่ะที่คุณพัชรียังคงติดตามอ่านอยู่...
ขอบคุณนะคะ...ซึ่งต่อจากนี้ จะมีเรื่องมาให้หัวใจของนักอ่านพลิกหงายพลิกคว่ำ
ได้เรื่อยๆค่ะ...เฮะๆ
3.คุณsupayalak...ขอบคุณสำหรับบทเพลงที่มอบให้เต่าโยค่ะ...
โยก็กะว่าจะให้หักตอนยกที่ 100 นะคะ...แต่มันดูยาววววววววไป(รึเปล่า)อิอิ
แต่ถ้าเป็นยกสั้นๆ ก็น่าจะถึง 100 ค่ะ...เลยคิดว่า อาจจะมาแบบสั้นๆ
ไม่ยาวเหยียดเหมือนก่อนหน้านี้นัก เพราะว่าจะปั่นทีละยาวๆแบบนั้น
เหมือนว่าตอนนี้จะไร้ความสามารถไปแล้วค่ะ...เนื่องจากคิวงานตอนนี้
ยาวไปจนเลยสงกราต์โน่นแหน่ะค่ะ...เห็นคิวงานแล้วหวาดเสียว
ว่าจะโดนนักอ่านค้อนให้รึเปล่า(หากหายหัวไปบ้างน่ะค่ะ)
ปล.ส่วนเรื่องความสามารถในการปั่นลูกแฝดนั้นจะมีแค่ปองขวัญรึเปล่า
ต้องมาลุ้นดูค่ะ...อิอิอิ
4.คุณnasa...นั่นน่ะสิคะ...หมอรังไม่คิดจะสืบค้นความจริงบ้างเลยหรือ...
มันดูผิดวิสัยคนที่ฉลาดเป็นกรดแบบนั้นอยู่ไม่น้อย...อิอิ
ปล.หมอรังเขาเป็นคนช่างสังเกต หูตาเป็นสับปะรดนะคะ
(ถ้าอารมณ์แรงหึงไม่บังตาไปซะก่อน) อิอิอิ...
5.คุณgoldrnsun...ขุนศึกเขาประกาศกับสิ้นรักไปแล้วขนาดนั้น
คงไม่หยุดอยู่ง่ายๆแน่ๆค่ะ...แถมตอนนี้ยังมีเรื่องซาเนียเข้ามาอีก...
ต้องมาดูกันว่า ซาเนียจะปกป้องมงกุฎที่พ่อบอกได้รึเปล่า
แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า มงกุฏราชินีแห่งนกนั้นคืออะไร และอยู่ที่ไหนน่ะสิคะ...อิอิ
6.คุณviolette....พี่รังเขาก็คงไม่อยากเป็นพญาเทครัวเหมือนกันน่ะค่ะ...อิอิอิ
แต่อะไรๆมันก็ไม่แน่...เฮะๆ...โยบอกได้แค่ว่า...พระนางคู่นี้ไม่ธรรมดาค่ะ...
อาจมีฉากให้ทั้งสองได้เชือดเฉือนกันบ้างเพื่อสีสันของชีวิตคู่น่ะค่ะ...อิอิ
ไม่แน่ว่าศัครูอาจเป็นคู่ชีวิตของเราก็ได้...เฮะๆ
7.คุณsai...ได้ยินอย่างนี้แล้วค่อยหน้าบานได้หน่อยค่ะ...อิอิ
คนทำงานมักจะเข้าใจกันค่ะ...งานมันเยอะ...แต่ก็ต้องทำมันค่ะ...
เพื่อประทังชีวิต...ฮ่าๆๆๆ...พูดซะให้ชีวิตดูดราม่าๆหน่อย...
นักอ่านจะได้เห็นใจเวลาหายไปนานๆ...อิอิอ...
ปล.หายไปเพื่อ...(หาทางลงจากคานน้อย) รึเปล่าคะ...อิอิอิ...
8.คุณkonhin...ต่อไปนักอ่านอาจจะต้องมานั่งสงสารพระเอกของโยบ้างก็ได้นะคะ...
ไม่อยากบอกเลยว่า....หมอรังของโยอาจโดนนางเอกของเราทำร้ายจิตใจกันแบบไม่ทันตั้งตัวก็ได้
อย่างที่เคยเกริ่นๆไปน่ะค่ะว่า....นางเอกคนนี้ไม่ค่อยจะธรรมดา...อิอิอิ
9.คุณตุ๊งแช่...ยังค่ะ...ยังไม่คลอด...อิอิ...
โยว่านะคะ แค่ก่อหวอด ก่อม็อบ หรือคว่ำบาตรมันยังน้อยหน้าไปนิดนึง...
อย่างนางเอกเรามันต้อง....อิอิอิ
10.คุณใบบัวน่ารัก...สงสัยจะผีเข้าผีออกอย่างนี้ไปอีกสักพักค่ะ...อิอิอิ...
เหมือนว่าทั้งสองคนยังปรับตัวเข้าหากันได้ไม่สมูทพอ...คลื่นลมจะยังคงพัดไปพัดมา
อีกสักพักใหญ่ๆน่ะค่ะ....เฮะๆ
11.คุณpattisa...นั่นน่ะสิคะ...ลูกผู้หญิงหรือลูกผู้ชายกันน้า...อิอิ
ต้องมาดูกันต่อค่ะ...
12.คุณแม่มดน้อย...ใครบอกล่ะคะ...เต่าโยโคตรจะรักพี่รังเลย...อิอิอิ...
แต่ก็ต้องเขียนเรื่องไปตามพล็อตที่ได้วางไว้ค่ะ...นักอ่านต้องอ่านจนจบน่ะค่ะ
ถ้าหยุดอ่านเพียงแค่นี้ คงได้เกลียดพี่รังไปเลย...
เนื่องจาก มันมีปมบางอย่างที่คนฉลาดเป็นกรดอย่างพี่รังต้องคลี่มันออกมาให้ได้ด้วยน่ะค่ะ
เนื่องจากปัญหาชีวิตทั้งเรื่องงาน เรื่องรัก ก็โดนมาไม่ยั้งจากศัตรูคนเดียวกัน...
ดังนั้น....(โยยังเผยไม่ได้ในตอนนี้) เดี๋ยวเรื่องจะจืดไป...อิอิอิ...
พี่รังเขาเป็นคนซับซ้อนนะคะ...ซับซ้อนทั้งการกระทำและความคิดค่ะ...
ปล.คอมเม้นท์ช้าไม่ว่ากันค่ะ...เพราะรู้ว่าที่ญี่ปุ่นกำลังหนาวได้ใจเลยทีเดียว...
พี่ที่รู้จักเพิ่งกลับมาค่ะ...เอาขนมโตเกียวบานาน่ามาฝากด้วย อร่อยมากมายเลยค่ะ...
หากมีโอกาสลองหาซื้อดูนะคะ...มันอร่อยจริงๆค่ะ...(หรือว่าโยจะมาบอกช้าไปก็ไม่รู้สิ) อิอิ
13.คุณPat...เรื่องนี้มีปมเยอะค่ะ...และตอนนี้ก็ดันมาถึงตอนท้้ายๆแล้วด้วย
เวลาโยจะขมวดปมและคลี่ปมไปพร้อมๆกัน มันเลยอาจทำให้นักอาจเครียดนิดนึง...อิอิ
แต่อะไรก็ไม่เท่ากับ "แผนการ"ของแต่ละคนที่คิดวางเอาไว้ในหัวค่ะ...
มันเลยเป็นที่มาที่ทำให้คนเขียนปวดหัว เมื่อเอาแผนของแต่ละคนมาไว้ในหัวตัวเอง
แล้วก็จัดการมันซะ...อิอิอิ...ดังนั้น...เรื่องความงี่เง่าของคู่พระนางคู่นี้ไม่น่าจะมีนะคะ
ส่วนใหญ่ที่ทำให้ดูงี่เง่า เป็นเพราะอารมณ์ล้วนๆ...ซึ่งลึกลงไป...มันมีอะไรที่ซับซ้อนกว่านั้น
เพราะพี่รังของเต่าโยไม่ชอบกินหญ้าค่ะ...อิอิอิ...ส่วนนางเอกอย่างสิ้นรักก็อย่าได้ชะล่าใจไปนะคะ
เห็นบ๊องๆอย่างนั้น...ลึกลงไป...ใครจะหยั่งถึง...เฮะๆ...งานนี้ไม่แผนใครก็แผนใครล่ะค่ะ
ที่ต้องพัง แต่จะมีแค่แผนเดียวเท่านั้นที่จะมาเหนือเมฆ...อิอิ...
ปล."ตากล้อง"ที่ว่า...คงหนีไม่พ้น...นายขุนพลล่ะค่ะ...
ดังนั้น...ในเรื่องนี้ใครจะอยู่ใครจะไปไม่ว่ากัน แต่ขุนพลต้องอยู่เป็นพระเอกของโย
ในเรื่องต่อไปค่ะ...อิอิอิ...
สุดท้ายไม่ท้ายสุด...
ขอบคุณทุกไลค์ ทุกกำลังใจและทุกๆคนที่เข้ามาแวะเวียนทักทาย
และติดตามอ่านเรื่องนี้กันนะคะ
หากมาช้าก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยเน้อ...
...อย่าเพิ่งเจ็บแค้นเคืองโกรธพระเอกของเต่าโยไปเลยนะคะ...
...พี่แกเป็นคนซับซ้อน เรื่องมันเลยซ่อนเงื่อนด้วยประการฉะนี้แล...อิอิอิ
...รักษาสุขภาพนะคะ...
"เต่าโย"
ความสุขอยู่กับส้ินรักเพียงไม่กี่วัน ก็ถึงวันที่ความทุกข์
เดินทางเข้ามาทักทายอีกระลอก…
เมื่อตอนบ่ายของวันหนึ่งซึ่งรังสิมันต์อยู่กับบ้าน
วันทั้งวันรังสิมันต์ทุ่มเทให้กับการช่วยภรรยาทำอาหาร รดน้ำต้นไม้ จัดบ้าน
กวาดห้อง ตกแต่งห้องใหม่…เพื่อต้อนรับสมาชิกเพิ่ม
…แต่อยู่ๆก็พบเข้ากับกล่องไม้เก่าๆที่ซ่อนอยู่ด้านในสุดของตู้เสื้อผ้า
กล่องไม้ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเจอตอนที่มีโอกาสได้เข้าไปในห้องนอนของสิ้นรัก
มันเคยวางอยู่บนหัวเตียงของสิ้นรักมาก่อน…เขาจำมันได้…
รังสิมันต์ค่อยๆดึงมันออกมาแล้วเปิดออก…
พบรูปถ่ายแฟนเก่าที่สิ้นรักเคยคบมาหลายต่อหลายคน…
และยังมีของที่ระลึกต่างๆซึ่งคงเป็นของอดีตแฟนเก่าให้เธอมามากมายเต็มกล่อง…
ทว่าหนึ่งในนั้นที่ทำเอารังสิมันต์ถึงกับอึ้งก็คือผ้าเช็ดหน้าสีฟ้าอ่อนที่ปักริมว่า ‘สายลม’
ซึ่งจำนวนของมันมีมากจนเขานับไม่ไหวพับซ้อนกันอย่างกับว่าเจ้าของกล่องไม้
ทะนุถนอมของดังกล่าวยิ่งกว่าของที่ระลึกชิ้นอื่น
เพราะมันถูกแยกวางไว้ต่างหากไม่เข้าปะปนกันกับของที่ระลึกชิ้นอื่น
และที่สำคัญ…เขาจำได้ดีว่าผ้าเช็ดหน้าสีนี้ ลักษณะอย่างนี้…
เป็นผ้าเช็ดหน้าของใคร…
คิดได้ดังนั้น ภาพวันเก่าๆตอนที่สิ้นรักกับวายุเป็นพี่รหัสน้องรหัสที่ซี้กันสนิทสนมกัน
จนใครๆอิจฉาก็ปรากฏฉายชัดขึ้นอีกครั้ง
…เขาว่าจะไม่คิดถึงเรื่องนี้แล้ว หากมันก็อดคิดไม่ได้…
ทั้งๆที่พยายามบอกกับตัวเองแล้วว่าระหว่างเพื่อนรักของเขากับสิ้นรัก
ไม่มีอะไรมากไปกว่าความเป็นพี่เป็นน้อง
หากมันก็ไม่อาจห้ามความคิดอีกด้านหนึ่งได้
ในเมื่อตอนอยู่มหาวิทยาลัย เขาต่างก็รู้และเห็นถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองที่ดูจะผูกพันกัน…
และเขารู้ว่าสิ้นรักรักและผูกพันธ์กับเพื่อนรักของเขามากแค่ไหน
…ขนาดผ้าเช็ดหน้า ภรรยาของเขายังเก็บเอาไว้อย่างดีมาตลอด
และอาจจะเก็บเอาไว้ทุกผืนด้วยซ้ำ…
และดูจากจำนวนผ้าเช็ดหน้าเหมือนเพื่อนของเขาก็ขยันส่งผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาสิ้นรัก
ซึ่งเป็นน้องรหัสเสียเหลือเกิน…
รังสิมันต์เอามันออกมาวางไว้บนเตียง สิ้นรักที่กำลังจัดดอกไม้วางไว้ที่ริมหน้าต่างห้องนอน
จึงหันมามอง ก่อนจะตกใจกับภาพตรงหน้า…
“พี่รัง…”เสียงของหญิงสาวเบาหวิว ด้วยกังวลใจว่าอีกฝ่ายจะไม่เข้าใจตัวเอง
“มันหมายความว่าไง…”รังสิมันต์ถามเสียงเย็น…สิ้นรักจึงรู้สึกชาไปทั้งตัว
กับแววตาที่หันมามองเธออย่างคาดคั้น…
“มันไม่มีอะไรอย่างที่พี่รังคิดนะคะ…”สิ้นรักกล่าวขณะเดินมาหาเขาแล้วนั่งลงบนเตียง…
“แล้วเธอรู้เหรอว่าพี่กำลังคิดอะไรอยู่…”สิ้นรักส่ายหน้า
“ไม่แน่ใจ…แต่รักอยากบอกว่าอะไรๆที่อยู่ในกล่องนั้น…มันเป็นแค่ความทรงจำ…
มันเป็นเพียงกล่องความทรงจำเท่านั้น…”
“ซึ่งเธอยังคงเก็บมันไว้อย่างดี…”สิ้นรักพยักหน้า
“รักไม่รู้จะทิ้งมันไปเพื่ออะไร…เพราะไม่ว่ามันจะมีหรือไม่มี
ถ้าเราไม่ได้ให้ค่ากับมันมากกว่าปัจจุบันที่เป็นอยู่ มันก็เป็นแค่อดีตที่จบไปแล้ว…”
รังสิมันต์พยักหน้า
“รวมทั้งผ้าเช็ดหน้าพวกนี้ด้วยรึเปล่า…”สิ้นรักมองผ้าเช็ดหน้าของวายุ
ที่เธอเก็บสะสมและรักษาเอาไว้อย่างดีในมือของรังสิมันต์แล้วลอบถอนใจ
เธอเหนื่อยเหลือเกินกับการที่ต้องพยายามอธิบายความรู้สึกของตัวเอง
และกับเรื่องราวของอดีตที่ผ่านมาให้กับคนที่เหมือนจะไม่เคยเชื่อใจเธอ
เขากังขาและข้องใจในตัวเธออยู่ตลอดเวลา…เขาไม่เคยเชื่อใจเธอจริงๆ
มันเป็นความผิดของเธอใช่มั้ยที่เคยมีแฟนหลายคน…
ใช่ว่าเธออยากให้มันเป็นอย่างนั้น แต่ที่ผ่านมาเธอเลือกไม่ได้
ในเมื่อคนที่ผ่านมาไม่ใช่คนที่ใช่…
“ไม่รวมค่ะ…เพราะผ้าเช็ดหน้าพวกนี้ไม่เคยเป็นอดีตที่จบไปแล้ว…
พี่ลม เจ้าของผ้าเช็ดหน้าพวกนี้เป็นทั้งอดีต ปัจจุบันและเป็นอนาคต…
จากวันแรกที่เจอจนวันนี้…พี่ลมยังคงเป็นคนซับน้ำตาให้รักด้วยผ้าเช็ดหน้าสีฟ้า
ที่ปักริมคำว่าสายลม…”
รังสิมันต์มองหน้าคนพูดแล้วขยุ้มผ้าเช็ดหน้าในมือโดยไม่รู้ตัว…
ทำเอาสิ้นรักมองภาพนั้นอย่างเคืองๆ…
“ขอมันคืนให้รักเถอะนะคะ…”
“มันมีค่ากับเธอมากเลยรึไง…”สิ้นรักพยักหน้า
“มากค่ะ…เพราะมันคอยเตือนให้รักรู้ว่าเวลารักเสียใจ มีใครคอยปลอบ
คอยให้กำลังใจรัก…ซึ่งคนๆนั้นก็คือพี่ลม…”รังสิมันต์กัดกรามแน่น
สิ้นรักมองสีหน้าท่าทางและแววตาของเขาก็เข้าใจ จึงกล่าวต่อว่า
“แต่ก็ไม่มีอะไรจะมีค่ามากไปกว่าหัวใจของพี่รัง…พี่ลมเป็นพี่ชาย
พี่รังเข้าใจใช่มั้ยคะ…ว่าสำหรับรัก…พี่ลมคือพี่ชาย…ที่รักรักไม่น้อยไปกว่าพี่รัง…
เพียงแต่เป็นรักในคนละแบบ…ถ้าถามว่าจะให้รักเลือก
ให้ใครตายระหว่างพี่รังกับพี่ลม…รักก็คงเลือกไม่ได้…แต่ถ้าถามว่า
รักจะเลือกใช้ชีวิตรักกับใคร รักก็ตอบได้เต็มปากว่าพี่รัง…”รังสิมันต์ส่ายหน้า
“ถ้าเธอไม่คิดอะไรกับแฟนเก่าหรือบอกว่าไม่เหลือเยื่อใยให้แฟนเก่าอีกแล้ว…
แล้วทำไมยังเก็บของพวกนี้ไว้…และถ้าไอ้ลมมันเป็นแค่พี่ชายจริงๆในความรู้สึกของเธอ…
งั้นก็แสดงว่า ของพวกนี้ก็ไม่ได้มีค่ามีความหมายอะไรมากนัก…”
สิ้นรักกระตุกคิ้วด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ และยิ่งไม่เข้าใจเมื่อคนตรงหน้ายกกล่องไม้ของเธอ
แล้วถือออกนอกห้องไป…
สิ้นรักจึงวิ่งตามไปพร้อมเสียงร้องเรียก
ทว่าคนตัวโตเดินเร็วกว่าเธอหลายเท่านัก…
เนื่องจากตอนนี้เขาไม่ได้มีภาระต้องแบกลูกน้อยอย่างเธอ...
“พี่รังจะไปไหน…จะทำอะไรคะ…”รังสิมันต์เดินลงมายังโกดังเก็บของใต้ถุนเรือน
หยิบแกนลอนขนาดเล็กที่บรรจุน้ำมันติดมือออกมาพร้อมกับกล่องไม้ขีดไฟ…
ก่อนจะเดินมายังที่โล่งกว้างแล้วราดน้ำมันลงไปในกล่องไม้นั่น
สิ้นรักมองภาพนั้นจากที่ไกลๆเพราะเดินไม่คล่องตัว
จะวิ่งไปก็กลัวจะหกล้มทำให้ลูกน้อยเดือดร้อนจนอาจจะต้องออกมาดูโลกก่อนเวลาอันควร
ทว่าไม่ทันแล้ว เพราะตอนนี้ไม้ขีดได้ถูกจุดแล้วถูกโยนลงไปในกล่องไม้
ที่มีเชื้อไฟอย่างน้ำมันที่พร้อมจะลุกโชนเผาผลาญความทรงจำพิเศษของเธอ
…อะไรๆในกล่องนั่นเธอไม่ได้หวงหรือเสียดายมันอีกแล้วนอกจากผ้าเช็ดหน้าพวกนั้น…
ผ้าเช็ดหน้าของพี่ลมซึ่งตอนนี้กำลังโดนไฟเผาผลาญต่อหน้าต่อตาของเธอ…
สิ้นรักมองรังสิมันต์ด้วยน้ำตาอาบแก้ม…แววตาตัดพ้อต่อว่า
“พี่รังไม่เคยเข้าใจอะไรเลย…ไม่เคยเลย…”
สิ้นรักต่อว่ารังสิมันต์ทั้งน้ำตาด้วยความเสียใจ…
“ก็ในเมื่อมันไม่ได้มีค่ามีความหมายกับเธอแล้ว
พี่จะเผามันไปก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาไม่ใช่เหรอ…”สิ้นรักกัดปากตัวเอง…
แล้วเหมือนนึกขึ้นได้ จึงรีบเดินอุ้มท้องอุ้ยอ้าย
เพื่อเอาน้ำมารดกล่องไม้ดังกล่าว ทว่าโดนรังสิมันต์ขัดขวาง…
“จะได้ไม่มีความทรงจำอะไรหลงเหลือให้รื้อฟื้นกันอีก…”
สิ้นรักทุบเข้าที่อกของคนพูดติดๆกันหลายครั้งแล้วร้องไห้โฮ…
ก่อนจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งขึ้นห้องไป
รังสิมันต์หันกลับมามองกล่องความทรงจำที่ไฟกำลังเผาอยู่อย่างโล่งอก
อย่างน้อยก็ไม่มีอะไรคอยระแคะระคายหัวใจหรือขัดหูขัดตาเขาอีกต่อไป
ทว่าเพียงไม่นานก็เห็นร่างอุ้ยอ้ายเดินลงมาพร้อมกับอะไรบางอย่างในมือ
รังสิมันต์ตกใจเมื่อเห็นว่าอะไรอยู่ในมือของสิ้นรัก…
“เธอเอามันมาได้ยังไง…”รังสิมันต์ถามด้วยแววตาประหลาดใจ…
“พี่รังทำกับรักยังไง รักก็จะทำกับพี่อย่างนั้น…”
สิ้นรักพูดจบก็ฉีกสมุดบันทึกของรังสิมันต์ที่เขียนบันทึกถึงอากิโกะออกทีละแผ่น
แล้วขยุ้มส่งลงไปในกองไฟ รังสิมันต์พยายามยื้อยุดฉุดกระชากเอาของคืน
ทว่าอีกฝ่ายไวกว่าโยนสมุดเล่มดังกล่าวลงไปในกองเพลิง
ที่โหมกระพืออยู่ทันทีด้วยแววตาสะใจที่ได้เห็นอีกฝ่ายเจ็บปวดบ้าง…
“จะได้ไม่มีความทรงจำอะไรหลงเหลือให้รื้อฟื้นอีกไงล่ะคะ…”
สิ้นรักกล่าวถ้อยคำที่รังสิมันต์กล่าวกับเธอก่อนหน้านี้ด้วยแววตาที่คลอไปด้วยน้ำตา
…ใช่ว่าเธออยากจะทำกับเขาแบบนี้…แต่สิ่งที่เขาทำกับเธอมันมากเกินไป…
มากเกินที่เธอจะทนได้
…เขาไม่เคยไว้ใจเธอ ไม่เคยเชื่อใจเธอ…ไม่ยอมฟังเธอ แถมยังหึงเธออย่างไร้เหตุผลสิ้นดี…
ทั้งๆที่เธอก็ยืนยันความบริสุทธิ์ใจให้เขาฟังซ้ำๆครั้งแล้วครั้งเล่า
ทว่าเขาไม่เคยเชื่อ ไม่เคยเลย…
ส่วนรังสิมันต์ได้แต่มองสมุดบันทึกนิ่ง ก่อนจะหาไม้ที่อยู่แถวๆนั้นมาเขี่ยมันออก
สิ้นรักมองภาพสามีของตัวเองเขี่ยซากสมุดเล่มนั้นออกมาจากกองไฟ
ด้วยน้ำตาของความเจ็บปวด…ก่อนจะปาดน้ำตาแล้วเดินเข้าบ้านไปอย่างเงียบๆ
…แต่กลับสวนทางกับหญิงชราผู้เป็นแม่นม…
“เกิดอะไรขึ้นหนูรัก…”น้ำเสียงนั้นฟังดูห่วงใย สิ้นรักจึงเดินเข้าไป
แล้วสวมกอดหญิงชราเอาไว้แน่น…น้ำตาร่วงลงมาอีกระลอก…
หญิงชราจึงได้แต่ลูบหลังสิ้นรักเบาๆ…พร้อมกับมองภาพของนายน้อยของตน
ที่กำลังนั่งคุกเข่าสนใจอยู่กับอะไรบางอย่างข้างๆกองไฟ…
“รักไม่อยากทนอีกแล้วค่ะนม…ไม่อยากทนอีกแล้ว…”
“ไม่เอานะคะ…มีอะไรก็ควรจะพูดจากันดีๆ…ใจเย็นๆ…”
“เย็นไม่ไหวแล้วค่ะ…ไม่ไหวแล้วจริงๆ…”หญิงชราลอบถอนใจ
ก่อนจะดึงร่างนั้นออกแล้วกล่าวว่า
“เราควรจะรักษาความรักที่มีให้ดีที่สุดก่อนจะสาย…ถ้าหนูรักรักนายน้อย
หนูรักก็ต้องอดทน…ไม่มีอะไรจะชนะความอดทนได้…”
สิ้นรักยกมือปาดน้ำตาแล้วกล่าวว่า
“รักจะกลับไปหาพ่อบันค่ะนม…”
“จะกลับไปได้ไงคะ…นี่ก็ใกล้กำหนดคลอดแล้ว…”
หญิงชราค้านด้วยน้ำเสียงนิ่มนวล…ทว่าอีกฝ่ายกลับส่ายหน้า
“ไม่รู้ล่ะค่ะ…ถ้ารักไม่ไปตอนนี้…รักกับพี่รังอาจแตกหักกันเลยก็ได้…”
หญิงชราลูบบ่าของสิ้นรักเบาๆขณะกล่าวว่า
“ยามที่ผู้หญิงเราคลอด…มีอยู่สามอย่างที่เราจะนึกถึง…
หนึ่งคือพระเจ้า สองคือแม่ของเรา และสามก็คือสามีซึ่งเป็นพ่อของลูกเรา”
สิ้นรักถึงกับนิ่งเมื่อได้ฟังดังนั้น…
“เชื่อนมเถอะนะคะ…ถึงตอนนั้น หนูรักอาจต้องการนายน้อย…อย่าเพิ่งไปเลยนะคะ…”
พูดพลางประคองร่างสิ้นรักเดินกลับขึ้นเรือนแล้วพาไปยังเตียงนอน…
“พักผ่อนก่อนนะคะ…เดี๋ยวพอตื่นขึ้นมา ทุกอย่างจะดีขึ้นเอง…
นมจะอยู่ตรงนี้ จะไม่ให้นายน้อยมาคอยกวนใจ…”หญิงชรากล่าวอย่างรู้ใจ
ทำเอาสิ้นรักถึงกับยิ้มบาง…
“ขอบคุณค่ะนม…”พูดจบสิ้นรักก็พยายามหลับตาลง…
พยายามไม่ให้คิดถึงเรื่องที่เพิ่งเจอมา…พยายามมองให้เรื่องพวกนั้นเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ
ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร…เพียงไม่นาน ลมหายใจของเธอก็เริ่มสม่ำเสมอ
หญิงชรามองภาพหญิงสาวที่ใบหน้ายังคงเปื้อนคราบน้ำตาอย่างห่วงๆ
เรื่องนี้หล่อนคงต้องปรึกษากับนายหญิงแพรวาเสียแล้ว…
จะปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปคงไม่ได้…
เพราะอีกไม่กี่วันพ่อของสิ้นรักก็จะเดินทางมาหาลูกสาวที่นี่แล้ว…
หล่อนไม่อยากให้พ่อของสิ้นรักรับรู้เรื่องราวเหล่านี้นัก…
ด้วยรู้ดีว่าอีกฝ่ายคงไม่ชอบใจนักถ้าได้รู้ว่าลูกสาวต้องจมกองน้ำตาแบบนี้…
“นมไม่อยากให้นายน้อยทำแบบนี้…ไม่ควรทำให้เมียตัวเองต้องร้องไห้ถึงขนาดนี้…
มันจะส่งผลถึงลูกของนายน้อยด้วยนะคะ...นายน้อยเป็นหมอน่าจะรู้ดี...”
หญิงชรากล่าวกับรังสิมันต์ตอนที่อยู่ด้วยกันในห้องรับแขก
“ก่อนหน้านี้นมไม่รู้ แต่ตั้งแต่นมมาอยู่ที่นี่…หลายๆครั้งนมเห็นแววตาเศร้าๆ
และดวงตาบวมเป่งเพราะร้องไห้มาอย่างหนักของหนูรัก
หญิงสาวที่นมเคยเห็นร่าเริงสดใสเหมือนได้หายไปตั้งแต่แต่งงาน…”
รังสิมันต์ก้มหน้านิ่ง…
“นมไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นระหว่างนายน้อยกับหนูรัก แต่ถ้านายน้อยรักหนูรัก
ก็น่าจะทำให้เธอย้ิมสดใส ไม่ใช่จมอยู่กับกองน้ำตาแบบนี้…
พ่อของเธอฝากเธอให้นายน้อยดูแล นายน้อยก็น่าจะทำหน้าที่ให้ดีกว่านี้
นมไม่อยากยุ่ง แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้…”หญิงชรามองหน้ารังสิมันต์
หรือนายน้อยของตัวเองด้วยแววตาห่วงใย
ทำไมหล่อนจะไม่รู้จักคนตรงหน้า ในเมื่อหล่อนเป็นคนเลี้ยงดูมาตั้งแต่ยังแบเบาะ…
แม้ภายนอกนายน้อยของหล่อนจะดูใจเย็น แววตาอ่อนโยน
หากลึกลงไป นายน้อยของหล่อนก็ไม่ต่างจากเด็กชายรังสิมันต์เมื่อตอนยังเยาว์
ที่แม้จะเป็นผู้เสียสละให้กับน้องชายและคนรอบข้างจนดูเจนตา
ทว่าจริงๆแล้ว นายน้อยของหล่อนก็ไม่ได้ต่างจากคนทั่วไป
ที่ยังไม่อาจละความรักความหวงในสิ่งที่คิดว่าเป็นของตนได้จริงๆ…
ของอื่นๆนายน้อยของหล่อนอาจจะยอมเสียสละให้น้องชายได้…
แต่ถ้าเป็นของใช้ส่วนตัวอย่างผ้าเช็ดตัว นายน้อยของหล่อน
ไม่เคยยอมให้น้องชายยืมใช้แม้แต่นิด และดูจะหวงเสียยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด…
โดยให้เหตุผลว่า ของอย่างอื่นถ้าอยากได้ก็เอาไป
แต่ของใช้ส่วนตัวพี่ไม่ยอมให้ใครใช้ร่วมแน่ๆ…และเหมือนน้องชายตัวดีจะหมั่นหาเรื่องแกล้งพี่ชาย
โดยการนำผ้าเช็ดตัวของพี่ชายไปซ่อนเอาไว้ในห้องของตัวเองบ้าง
จนทำให้เกิดเรื่องราวทะเลาะกันใหญ่โต จนบ้านแทบลุกเป็นไฟ
เมื่อนายน้อยของหล่อนเข้าไปเจอผ้าเช็ดตัวของตัวเองแขวนอยู่ในห้องน้ำของน้องชาย…
ตอนนั้นนายน้อยของหล่อนอาละวาดบ้านแตก
และต่อว่าน้องชายเสียจนน้องชายไม่กล้าหือ…ก่อนจะเอาผ้าเช็ดตัวคืน
พร้อมกับสั่งเสียงเข้มว่าอย่ามายุ่งกับผ้าเช็ดตัวของพี่อีก…ไม่งั้นเจอดี…
บทจะเอาจริง นายน้อยของหล่อนก็ทำได้ไม่หยอกเลย…
สำหรับคนอื่นอาจจะมองเป็นเรื่องเล็กๆจนไม่น่าจะนำมาเป็นประเด็นให้ต้องทะเลาะกัน
จนบ้านลุกเป็นไฟ...แต่สำหรับนายน้อยของเธอแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่
ที่จะยอมให้กันไม่ได้เลย...
ซึ่งหลังจากนั้นนายน้อยของเธอก็เอาผ้าเช็ดตัวไปขัดแล้วขัดอีก ซักอยู่ไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ
แล้วนำไปผึ่งแดด พอแห้งก็นำมาซักอีก ผึ่งแดดอีก
ทำอยู่อย่างนั้นไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ…
หล่อนเองยังเคยแนะนำให้ใช้ผืนใหม่ แต่เจ้าตัวกลับไม่ยอม บอกว่าผืนใหม่ไม่เอา
ผืนนี้เป็นของเขา เขาจะไม่ยอมทิ้งมันเพียงเพราะมันโดนน้องชายแอบย่องเอาไปใช้
แค่ชั่วคราวแน่ๆ…ทั้งๆที่ความจริงแล้วน้องชายของนายน้อยไม่ได้แตะต้องมันเลยสักนิด
เพียงแค่นึกสนุกอยากแกล้งพี่ชายเล่นก็เท่านั้น…
“เรื่องระหว่างผมกับหนูรักของนมมันมีอะไรมากกว่าที่นมเห็น…
และผมเองก็ยังทำใจกับเรื่องราวที่ผมอยากจะลืมมันไปไม่ได้…
ผมเองก็อยากให้แน่ใจว่าคนที่ผมรัก จะรับในตัวตนของผมจริงๆได้…
ผมก็แค่คนธรรมดาๆคนหนึ่ง ไม่ใช่เจ้าชาย ไม่ใช่เทพบุตร…
วันนี้เธออาจจะยอมทุกอย่างเพื่อผม…แต่บางที…วันที่เธอได้รู้ว่าผมไม่ใช่คนที่เธอฝัน…
และต้องอยู่กับความรู้สึกที่ต้องฝืนทน…เธออาจจะรับไม่ได้…
นมก็รู้ว่าหนูรักของนมเป็นผู้หญิงช่างฝัน…ผมอาจเป็นดั่งภาพฝัน
อันแสนสวยงามให้เธอได้ไม่ดีก็ได้…แล้ววันนึงเธออาจจะทิ้งผมไป…
ผมเองก็ไม่อยากให้วันนั้นมาถึง…แต่ผมก็ไม่อาจสร้างภาพฝัน
ให้เธอมีความสุขไปวันๆได้ตลอดเวลา…ผมไม่เก่งขนาดนั้น…
ผมไม่เก่งเท่าพ่อบันของเธอ…นมก็เห็นว่าผมพยายามแค่ไหน
ไม่ให้เธอรับรู้ในเรื่องที่ชวนให้เครียด…ไม่ให้เธอได้รับรู้เรื่องที่อยู่
นอกประตูหน้าต่างของบ้าน…”ด้วยภาระหน้าที่ของเขา มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย
แต่ไม่เคยเลยสักครั้งที่เขาจะนำเรื่องเหล่านั้นเข้ามากวนใจเธอในบ้าน…
เพราะไม่อยากให้เธอทุกข์กังวลไปกับปัญหาของเขาที่เข้ามาหาเขาไม่เว้นแต่ละวัน
…เขายินดีที่จะแบกปัญหาและความทุกข์ใจเหล่านั้นไว้คนเดียว…
ทว่าทั้งหมดที่เขาทำมันไม่ช่วยให้เธอยิ้มสดใสได้อย่างที่เขาคาดหวังไว้…
“นมจะให้ผมทำยังไง…ในเมื่อผมก็เป็นแค่คนธรรมดาคนนึง…
ที่เจ็บปวดเป็น เสียใจเป็นเหมือนกัน…”
หญิงชราได้แต่นั่งนิ่ง มองคนตรงหน้าอย่างเห็นอกเห็นใจ…
“แล้วเรื่องหนูอากิล่ะคะ…นายน้อยยัง…”หญิงชราหยุดไว้แค่นั้น…
เพราะกระดากที่จะพูดต่อ…รังสิมันต์มองหน้าคนถามแล้วส่ายหน้า
“ผมยอมรับว่ารักอากิมาก รักจนสามารถเอาชีวิตเข้าแลกได้…
เพราะรักของผมที่มีต่อเธอ มันเกิดขึ้นมาจากความเห็นอกเห็นใจ
ผมสงสารเธอ อยากให้เธอพ้นจากความทุกข์ อยากเห็นเธอยิ้มได้ มีความสุข…
เวลาเธอทุกข์ ผมก็อยากแบ่งเบาความทุกข์นั้นจากเธอบ้าง
ถ้าจะพูดจากใจ ผมก็พูดได้เต็มปากว่ารักนั้นยังคงอยู่ เพียงแต่มันไม่ใช่ความรักแบบชู้สาว
เป็นความรักความห่วงใย ความเห็นอกเห็นใจ
ผมไม่ได้อยากครอบครองร่างกายและจิตใจของเธอ…แต่ก็ยังห่วงใยเธอเสมอมาไม่มีเปลี่ยน…”
“แล้วกับหนูรักล่ะคะ…”รังสิมันต์นิ่งไปครู่นึงก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า
“สำหรับหนูรักของนม มันมากกว่านั้น เธอเป็นมากกว่ารัก…
มันเป็นความรักความผูกพัน…เราโตมาด้วยกัน ผ่านเรื่องดีร้ายมาด้วยกัน
ให้คำปรึกษา ปลอบใจกันและกันมา…ด้วยความผูกพันมันเกินกว่ารัก…
เวลาที่เธอร้องไห้เรียกหาผม ผมก็อยากคอยเป็นคนดูแลอยู่ข้างๆ…
และตั้งใจ หวังไว้เสมอว่าจะเป็นคนคอยดูแลเธอ…ยิ่งต้องพลัดพรากจากกัน
ก็ยิ่งทำให้คิดถึง…”รังสิมันต์หยุดนิดนึง นึกถึงภาพวันเก่าๆที่ยังคงตรึงตราอยู่ในหัวใจไม่ลืมเลือน…
“สายสัมพันธ์ที่มีระหว่างเรามันมากกว่ารัก มากเกินกว่าคำว่ารัก…
มากกว่าจะเอ่ยออกมาเป็นคำพูดไหน…”
“ยิ่งได้เห็นว่าเธอกลับมา ผมก็อยากจะทวงวันเวลาเก่าๆให้กลับมาอีกครั้ง
ตั้งใจไว้ว่าจะดูแลเธอให้ดีที่สุด…ยิ่งผมได้ใช้ชีวิตคู่กับเธอ ผมก็ยิ่งรักเธอเพิ่มขึ้น
เธอเป็นยิ่งกว่าหัวใจของผม…นมจะให้ผมยกหัวใจผมให้ใครได้ล่ะครับ…
นมเองก็รู้ดีว่าผมเป็นคนหวงของใช้ส่วนตัวแค่ไหน…
และสำหรับตำแหน่งเมีย…มันยิ่งกว่าของใช้ส่วนตัว…”
“รักแต่ทำไมต้องทำให้ร้องไห้ล่ะคะ…”หญิงชราติง…
“ผมก็ไม่ได้อยากทำให้เธอร้องไห้ แต่บางครั้งมันก็มีบางเรื่องที่เราก็ควบคุมไม่ได้…”
รังสิมันต์กล่าวด้วยแววตาเจ็บปวด…
หัวใจเป็นอะไรที่ควบคุมได้ยากเหลือเกิน…
โดยเฉพาะการพยายามควบคุมให้อยู่ในทิศทางที่ควรจะเป็น…
สิ้นรักตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าเป็นเวลาย่ำเย็น…หญิงสาวพยายามมองหาแม่นมไปรอบๆห้อง
ทว่ากลับไม่พบ เธอจึงลุกขึ้นเข้าห้องน้ำ
อาบน้ำให้ร่างกายสดชื่นแล้วกลับออกมาอีกครั้งก็ไม่พบใคร แม้แต่สามีของตัวเอง…
สิ้นรักจึงค่อยๆเดินไปยังห้องรับแขก…
พบเพียงผักหวานที่กำลังจัดโต๊ะอาหารเย็น…
“คนอื่นๆล่ะผักหวาน…”
“นายหัวกับยายฝากบอกว่านายหญิงแพรวาเป็นลมเข้าโรงพยาบาล
ทั้งสองก็เลยกลับไปดูอาการที่อ่าวพระนางน่ะค่ะ…และบอกว่า
ให้ผักหวานอยู่เป็นเพื่อนนายหญิง…อย่าให้นายหญิงตามออกไปเด็ดขาด”
สิ้นรักพยักหน้าเข้าใจ
“แล้วอาการท่านหนักมากมั้ย…”
“ผักหวานก็ไม่ทราบค่ะ…”สิ้นรักลอบถอนใจอย่างหนักหน่วงและแอบต่อว่าทั้งสอง
ที่ไปโดยไม่บอกเธอสักคำ เธอจะได้ติดตามไปด้วย…
สิ้นรักจึงยกหูโทรศัพท์โทรหาทางโน้น แต่ไม่มีใครรับสายเลย…
เธอจึงออกอาการร้อนรนนั่งไม่ติด เดินไปเดินมาจนต้องโทรไปหาเวนไตยที่อยู่ที่เกาะชิงชัง…
“พ่อบันอยู่มั้ยครูครุฑ…”
“อยู่ครับ…คุณหนูอยากคุยกับท่านเหรอ…”
“เปล่าหรอก…แค่โทรมาถามข่าวคราวว่าท่านเป็นยังไงบ้าง
แล้วจะมาเกาะรังรักวันไหน…”
“เห็นท่านบอกว่าจะไปหาคุณหนูสัปดาห์หน้าครับ…”
“งั้นดีเลย…ตอนนี้เธอว่างมั้ย…”คนทางโน้นถึงกับขมวดคิ้วนิดนึง
กับคำถามดังกล่าว เพราะถ้าถามเช่นนี้แสดงว่าต้องมีอะไรให้เขาทำเป็นแน่
“มีอะไรให้ผมช่วยครับ…”
“มารับพี่หน่อยสิ…พี่อยากไปอ่าวพระนาง แต่ทางนี้ไม่ยอมให้ไป…”
“ทำไมล่ะครับ…”
“ก็พี่รังกับนมน่ะสิแอบหนีพี่ไปเยี่ยมดูอาการแม่แพรวโดยไม่บอกกันสักคำ
แถมยังสั่งกำชับไม่ให้ใครพาพี่ไปที่นั่นด้วย…แต่พี่อยากไป…
พี่ร้อนใจน่ะ…ช่วยพี่หน่อยนะครูครุฑ…พี่ขอร้องล่ะ…”
“ตอนนี้น่ะเหรอครับ…”
“ใช่…ไม่งั้นพี่นอนไม่หลับแน่…”
“แต่มืดๆค่ำๆแบบนี้มันอันตราย…”
“พี่ถึงได้ขอร้องเธอไง เพราะรู้ว่าเธอไว้ใจได้ และพี่จะปลอดภัยถ้าไปกับเธอ
อย่าปฏิเสธพี่เลยนะ…แล้วอย่าบอกเรื่องนี้กับพ่อบันเด็ดขาด
เดี๋ยวท่านจะตื่นตกใจ เอาไว้พี่จะเป็นคนบอกท่านทีหลังเอง…”
เวนไตยถึงกับลอบถอนใจให้กับความเอาแต่ใจของลูกสาวคนเดียวของคุณป๋าของเขา…
แต่ก็พอเข้าใจ…จึงตกปากรับคำไปทั้งๆที่รู้ว่าอาจจะมีปัญหาตามมาภายหลังหากนายหัวรังรู้เรื่องเข้า…
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา เวนไตยจึงมาหยุดอยู่ที่ท่าเรือของเกาะรังรัก…
ซึ่งมีสิ้นรักยืนแอบอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว…ร่างอุ้ยอ้ายรีบย่องขึ้นเรือของเวนไตย…
ทว่าไม่พ้นสายตาของเจ้าท่า…
“นายหญิงจะไปไหนครับ…”สายตาของเจ้าท่าจับไปที่เรือของเวนไตย
ก่อนจะเข้ามาเทียบท่าเสียด้วยซ้ำ แต่เพราะรู้ว่าเป็นเรือของคนคุ้นเคย
จึงปล่อยให้ผ่านน่านน้ำเข้ามาเทียบท่าได้อย่างง่ายดาย…
“ไปอ่าวพระนาง…”สิ้นรักตอบเสียงตะกุกตะกัก
“แต่นายหัวสั่งห้ามไม่ให้นายหญิงไปไหน…”
“นายเม่นก็เห็นว่าฉันไปกับใคร…และใครก็ห้ามฉันไม่ได้ด้วย…
เอาไว้เรื่องนี้ฉันจะเป็นคนเคลียร์กับนายหัวของนายเม่นเอง…ไปกันเถอะครูครุฑ…”
พูดจบก็หันไปบอกกับคนขับทันที เวนไตยจึงหันไปยิ้มให้เจ้าท่านิดนึงก่อนจะออกเรือ…
“นายหัวเอาแกตายแน่งานนี้ไอ้เม่นเอ้ย…”เจ้าท่าถึงกับเกาหัวแกรกๆอย่างกังวลใจ…
สิ้นรักมุ่งไปยังบ้านที่อ่าวพระนางเป็นอันดับแรก เพราะไม่แน่ใจว่า
มารดาของสามีอยู่โรงพยาบาลไหนและอยู่ตึกไหนกันแน่…
เธอจึงตั้งใจจะไปถามข่าวคราวจากคนที่นั่นก่อน…ทว่าพอไปถึง
กลับไม่เจอใครเลยนอกจากแม่บ้านกับยาม…
“คนในบ้านไปไหนกันหมด…”สิ้นรักถามแม่บ้าน
“ไปโรงพยาบาลกันหมดค่ะ…เว้นแต่คุณรัก เธอไปต่างประเทศตั้งแต่ตอนเช้า…
ก็เลยยังไม่ทราบข่าวนายหญิงแพรวาน่ะค่ะ”
สิ้นรักพยักหน้า…แสดงว่าบ้านนี้ก็มีสมาชิกเพียงแค่อากิโกะกับลูกๆซึ่งตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล
“นี่ก็ดึกมากแล้ว…ปริมว่านายหญิงขึ้นไปพักข้างบนก่อนดีกว่านะคะ…
เอาไว้ค่อยไปเยี่ยมดูอาการนายหญิงแพรวาพรุ่งนี้เช้าดีกว่า…
เพราะปริมได้ข่าวมาแล้วว่าท่านไม่เป็นอะไรมากค่ะ…
แต่หมอให้นอนดูอาการอีกสักนิดที่โรงพยาบาล…”สิ้นรักรู้สึกโล่งใจที่ได้ยินเช่นนั้น…
จึงพยักหน้าก่อนจะหันไปทางเวนไตยแล้วหันมาทางแม่บ้าน…
“จัดห้องให้เวนไตยด้วยนะ…”
“ค่ะนายหญิง…”สิ้นรักยิ้มให้เวนไตยขณะกล่าวขอบคุณ
“ขอบคุณมากเลยนะครูครุฑที่ช่วยพาพี่มาที่นี่…พี่รบกวนจริงๆ…”
“ไม่เป็นไรครับ…”พูดจบเวนไตยก็ถูกพาไปยังห้องพักซึ่งเป็นห้องพักของแขก...
อยู่ไม่ไกลกับห้องของรังสิมันต์ที่สิ้นรักจะขึ้นไปพัก…
ไม่กี่นาทีต่อมา…เสียงเครื่องยนต์ก็ดังขึ้น ทำให้สิ้นรักที่อาบน้ำ
ชำระคราบเหนียวเหนอะของทะเลเสร็จพอดีจึงรีบสวมชุดนอน
เดินออกมาที่ระเบียงห้องนอนเพื่อดูว่าใช่รถของสามีของเธอหรือเปล่า…
เห็นภาพรังสิมันต์เปิดประตูรถให้อากิโกะแล้วอุ้มร่างของเด็กสาวตัวน้อยขึ้นแบก
โดยที่เด็กชายตัวน้อยเดินงัวเงียมีแม่คอยประคองปีก…
สิ้นรักรีบออกจากห้องนอนหวังจะเดินไปถามไถ่อาการของมารดาสามี
และตั้งใจจะออกไปจัดหาอะไรร้อนๆให้ทั้งหมดทาน…เพราะดึกขนาดนี้
แม่บ้านคงกลับไปนอนที่ห้องพักเรียบร้อยแล้วแน่ๆ…
ทว่ายังไม่ทันออกจากห้องก็ได้ยินเสียงคนกำลังเดินขึ้นบันไดมา…
สิ้นรักที่นึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองทำผิดจึงยังไม่กล้าเปิดเผยตัวเอง
เพราะว่าแอบหนีมาจึงได้แต่แง้มประตูมองรังสิมันต์ที่อุ้มหลานสาวเข้าห้องไป
พร้อมๆกับอากิโกะ…
ไม่นานทั้งสองก็เดินออกมาจากห้องแล้วเดินลงไปข้างล่าง
สิ้นรักค่อยๆย่องตามไปไม่ให้ทั้งสองรู้ตัว…เห็นทั้งสองเดินไปยังห้องครัว
เสียงดังก๊อกแก๊กออกมาจากในนั้น ทำให้สิ้นรักย่องเข้าไปแอบยืนดู
เห็นภาพทั้งสองกำลังอุ่นอาหารนั่งทานด้วยกันอยู่…
หูแว่วได้ยินบทสนทนาระหว่างทั้งสอง
“ผมว่าจะพาทุกคนไปอยู่ด้วยกันที่เกาะ เพราะตอนนี้ที่นี่ไม่มีใคร
มีแต่ผู้หญิงทั้งนั้น…มันไม่ค่อยปลอดภัย…เรื่องเรียนของเจ้าแฝดก็ไม่น่าจะมีปัญหา
เพราะว่าเป็นช่วงปิดเทอม กว่านายรักจะกลับก็อีกหลายวัน…”
อากิโกะออกจะหนักใจนิดๆ เพราะว่าสามีของเธอไปติดต่องานแทนพี่ชายคนโตของเธอ
ที่ยังไม่พร้อมเดินทางไกล…และคงไปหลายวัน
ทั้งๆที่เธอเองก็อยากให้สามีอยู่ด้วยกันในช่วงนี้ สามีของเธอเองก็ต้องการเช่นนั้น
เพราะเปรยๆว่าตอนเจ้าแฝดคลอดเขาไม่ได้อยู่ด้วย
ลูกคนนี้เขาก็เลยอยากอยู่ด้วย…แต่ก็มีงานเข้ามา…
ทำให้ต้องไปต่างประเทศหลายวัน นี่เธอเองก็พ้นกำหนดคลอดมาหลายวันแล้วด้วย…
“แล้วคุณแม่ว่าไงล่ะคะ…”
“คุยกันแล้วก่อนจะกลับมานี่…ท่านเห็นด้วย…เห็นบอกว่าอยากเห็นหลานทั้งสองคลอดออกมา…
อยู่ด้วยกันทั้งหมดก็ดีเหมือนกัน…”อากิโกะจึงได้พยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม…
ก่อนจะก้มหน้าตักอาหารใส่ปาก…เนื่องจากยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย…
รังสิมันต์เห็นหญิงสาวกินน้อยก็เลยตักอาหารบริการให้…
“กินอีกสักนิดสิ…”
“ขอบคุณค่ะ…”
“คุณขึ้นไปนอนเถอะ เดี๋ยวทางนี้ผมจะเป็นคนจัดการเอง…”รังสิมันต์อาสา
เมื่อเห็นอากิโกะเก็บจานชาม…
“ได้ไงคะ…ปล่อยให้เป็นเรื่องของผู้หญิงเถอะค่ะ…”รังสิมันต์ไม่สนใจ
แย่งจานชามจากมือของหญิงสาวแล้วนำไปล้างอย่างหน้าตาเฉย…
“งั้นเอางี้แล้วกันนะคะ…คุณหมอล้างจานไป เดี๋ยวฉันเก็บกวาดเอง”
แต่ยังเดินไปไม่ทันถึงไม้กวาด หญิงสาวก็เกือบหน้าคะมำด้วยเพราะพื้นลื่น
ทว่ารังสิมันต์หันมารับร่างนั้นไว้ได้ทัน…ทำเอาหัวจิตหัวใจของอากิโกะหล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่ม…
ร่างอุ้ยอ้ายจึงตกอยู่ในวงแขนของรังสิมันต์
ทำเอาคนที่แอบดูอยู่ถึงกับอ้าปากค้าง ตาโตกับภาพดังกล่าว
จนแทบจะเดินออกไปปรากฏกายต่อหน้าท้ังสอง ทว่าโดนเวนไตย
ที่เดินตามมาลากกลับเข้าไปยังที่เดิมเสียก่อน…
“อย่าเพิ่งเอะอะไปคุณหนู…รีบขึ้นห้องแล้วแกล้งนอนหลับซะจะได้ไม่เป็นเรื่อง…”
เวนไตยแนะนำด้วยเสียงกระซิบแผ่วเบา
เพราะเขาเองก็ยังไม่อยากมีเรื่องกับใครตอนนี้…โดยเฉพาะกับนายหัวรัง…
สิ้นรักไม่ขัดข้อง ทว่าก่อนไปยังแง้มหน้าไปมองคนในห้องครัว
ก็เห็นว่าสถานการณ์ทุกอย่างดีขึ้นกว่าเมื่อครู่…ทั้งสองช่วยกันเก็บกวาดห้องครัวอยู่…
กว่ารังสิมันต์จะกลับเข้าห้องก็อีกสักครู่ใหญ่ๆ ทำให้สิ้นรัก
ที่นอนคอยอยู่ถึงกับนอนถอนหายใจฮึดฮัดด้วยสีหน้าไม่ชอบใจพลางบ่นอุบอิบ…
“มัวทำอะไรอยู่นะ…”ร่างบางทำท่าจะลุกขึ้นไปดูอย่างใจคิด
ทว่าเสียงฝีเท้าหนักๆเดินมาหยุดอยู่หน้าประตูห้อง ทำให้เธอต้องกลับลงไปนอนอีกครั้ง
พยายามข่มตาหลับ…หูก็เฝ้าฟังเสียงประตูที่ถูกเปิดออก
ไฟในห้องสว่างโร่หากสิ้นรักยังคงแสร้งหลับต่อไป…
รังสิมันต์ประหลาดใจกับภาพตรงหน้า
ก่อนจะเดินไปที่เตียงเพื่อดูให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้ตาฝาด…
และเป็นจริงดังที่เขาเห็น…ภรรยาของเขากำลังนอนหลับพริ้มอยู่บนเตียง
โดยที่เขาอดแปลกใจไม่ได้ว่าเธอมาอยู่ที่นี่ตอนนี้ได้ยังไงและตั้งแต่ตอนไหน…
รังสิมันต์ยิ้มที่มุมปากนิดนึงก่อนจะค่อยๆก้มลงจุมพิตสิ้นรักที่หน้าผากเบาๆ
ก่อนจะปัดปอยผมที่ปรกหน้าให้อย่างเบามือแล้วเดินไปหยิบชุดนอนเข้าห้องน้ำไป…
สิ้นรักที่หลับตาอยู่ลืมตาปรือทันทีก่อนจะระบายยิ้มออกมา…
สัมผัสอ่อนโยนเมื่อครู่ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นอย่างบอกไม่ถูก…
สักพักเสียงน้ำก็หยุดลง ก่อนที่เสียงฝีเท้าจะเดินเข้ามาใกล้เตียงนอน
สิ้นรักรู้สึกถึงเบาะที่ยุบตัวลง กลิ่นอ่อนๆของสบู่แตะจมูกของเธอ
ไม่นานวงแขนของเขาก็รวบร่างของเธอเข้าไปกอด…
จมูกโด่งของเขาฝังลงที่พวงแก้มของเธอพร้อมกับเสียงกระซิบข้างๆหูเธอเบาๆว่า…
“เด็กดื้อ…”น้ำเสียงและถ้อยคำนั้นทำให้คนที่แกล้งหลับอยู่ลืมตาตื่นขึ้นมาทันที
รังสิมันต์ยิ้มที่มุมปากก่อนจะกล่าวว่า
“พี่รู้ว่าเธอแกล้งหลับเพ่ืออำพรางความผิด…”
“รักไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย…”สิ้นรักแก้
“มากับใครบอกพี่ได้มั้ย…”เสียงทุ้มถามชิดหู
“กับครูครุฑ…”รังสิมันต์พยักหน้า
“ช่างกล้า…ไม่กลัวจะโดนดีบ้างรึไง…”
“ไม่กลัว เพราะครูครุฑเก่ง…”หญิงสาวเชิดหน้าตอบ…
“ตอนแรกพี่กะจะนอนกับเจ้าแฝดซะแล้ว กะว่าจะกลับเข้าห้องเพื่อจะอาบน้ำ
แต่พอมาเจอเธอนอนรอพี่อยู่…พี่ก็เลยเปลี่ยนใจ…กอดเด็กไหนจะอุ่นเท่ากอดเมีย…”
พูดจบก็หอมแก้มสิ้นรักอีกฟอดใหญ่
“รักก็นึกว่าจะนอนกอดแม่เด็กซะอีก…เห็นไม่ยอมเข้าห้องสักที…”
รังสิมันต์ถึงกับชะงักกับถ้อยคำและน้ำเสียงราวกับประชดประชันเขา
“แม่เด็กกอดไม่ได้ เพราะเขามีสามีแล้ว…”รังสิมันต์พูดเสียงอ้อน
“กอดไม่ได้…ฮึ…”สิ้นรักทำเสียงขึ้นจมูกก่อนจะหลุดคำพูดออกมาว่า
“ก็เห็นๆอยู่ว่ายืนกอดกันกลมในห้องครัว…”
รังสิมันต์ตกใจกับถ้อยคำดังกล่าวที่หลุดจากปากของสิ้นรัก…
“มันเป็นอุบัติเหตุ…ถ้าเธอเฝ้ามองอยู่ตลอดเวลาก็น่าจะรู้ว่ามันเป็นอุบัติเหตุมากกว่าจงใจ…”
แต่เธอรับไม่ได้นี่…สิ้นรักตอบในใจ
“รู้ว่าเป็นอุบัติเหตุ แต่แววตาของพี่มันฟ้องอีกอย่าง…”
“หาเรื่องพี่แล้ว…”รังสิมันต์แก้เสียงหลง…
“ไม่ได้หาเรื่อง แต่ภาพมันชวนให้คิด…”
“อากิไม่ใช่ผู้หญิงแบบนั้น…”
“แล้วพี่รังล่ะ…เป็นผู้ชายแบบไหน…”สิ้นรักถามกลับ…
“แล้วเธอเห็นพี่เป็นผู้ชายแบบไหนล่ะ…”เมื่อโดนถามกลับบ้าง
สิ้นรักจึงได้แต่อ้ำอึ้งพูดไม่ออก…
“ไม่เอาไม่พูดแล้ว…”สิ้นรักตัดบทเสีย…
“หันหน้ามาทางพี่นี่…”รังสิมันต์รั้งร่างบางให้หันหน้ามาทางเขา
และเมื่อหันมา สิ้นรักก็พบกับแววตาสีนิลเป็นประกายหวานซึ้ง
“จำตอนที่เธอแกล้งพี่สมัยเรียนมหาลัยได้มั้ย…ตอนที่เธอแกล้งเอาผ้าขนหนูของพี่
ที่เธอแอบเอาไปเช็ดตัวให้แมวมาให้พี่ในห้องน้ำน่ะ…”
สิ้นรักถึงกับยิ้มเขินเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อนานมาแล้ว…
“เธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้พี่รู้สึกว่าอยากจูบ…แล้วก็เป็นคนแรกและคนเดียวที่พี่จูบ”
สิ้นรักเบิกตากว้าง เพราะแทบไม่เชื่อว่าตอนนั้นพี่รังจะอยากจูบเธอจริงๆ…
เขาเป็นคนบอกเองว่าไม่มีทางทำอะไรแบบนั้นกับคนอย่างเธอแน่ๆ…
“แสดงว่าถ้าพี่ลมไม่มาเสียก่อน พี่รังจะจูบรักจริงๆเหรอ…”รังสิมันต์อมยิ้ม
“ไม่แน่…เพราะตอนนั้นเธอน่าจูบไม่ต่างจากตอนนี้เลย…
คิดแล้วก็ยังเสียดายที่ตอนนั้นไม่ทันได้จูบเธอ ไอ้ลมก็มาขัดคอเสียก่อน”
พูดจบรังสิมันต์ก็จุมพิตริมฝีปากนุ่มนั้นอย่างรักใคร่เนิ่นนาน…
สิ้นรักจึงจูบตอบอย่างเต็มอกเต็มใจ…
“พอนึกย้อนกลับไป…พี่คิดว่าเธอคือรักแรกของพี่นะ…
เพราะถ้าไม่รักพี่คงไม่อยากจูบ…ไม่อยากกอด…”
“สำหรับรักพี่เป็นจูบแรก เป็นคนแรก…และจะเป็นคนสุดท้าย…”
“พี่เองก็อยากให้เป็นแบบนั้นเหมือนกัน…”รังสิมันต์กล่าวพลาง
ปัดปอยผมออกแล้วจุมพิตหน้าผากนั้นหนักๆหนึ่งครั้ง…
“พี่ดีใจที่คืนนี้พี่ไม่ต้องนอนคนเดียว…”
“รักก็ไม่อยากนอนคนเดียวเหมือนกันค่ะ…”
"พ่อขอกอดแม่แน่นๆหน่อยนะลูกนะ..."รังสิมันต์พูดขณะที่มือก็ลูบหน้าท้อง
ของสิ้นรักไปด้วย ทำเอาคนเป็นแม่ของลูกยิ้มบาง...
แม้ก่อนหน้านี้จะทะเลาะกันรุนแรง ขัดแย้งจนเราต้องลาเลิกกันไป
แต่ไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้ตอนนี้เธอได้มานอนกอดเขาแน่นได้อย่างนี้...
ณ คฤหาสน์หลังงามกลางกรุง…
“พ่ออยากให้แกช่วยสืบหาลูกไอ้กุมพลให้เจอ…”ขุนศึกมองหน้าบิดา
พร้อมกับเลิกคิ้วสูง
“ผมไม่เข้าใจว่าผู้หญิงคนนั้นมีความสำคัญอะไรนักหนา
พ่อถึงได้ต้องการเอาชีวิตเธอ…ทั้งๆที่เธอก็เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาๆ…
จะพิเศษก็ตรงที่เป็นลูกสาวของนายกุมพล…ซึ่งนายกุมพลก็ถูกเด็ดหัวไปตั้งนานแล้ว…
ผู้หญิงที่ดูไร้พิษสงคนนั้นมีอะไรกันแน่ครับ…”คนถูกถามถอนใจยาว…
“ไอ้กุมพลมันตายไปพร้อมกับหลักฐานบางอย่างที่พ่อก็ไม่แน่ใจว่า
มันจะมีน้ำหนักพอที่จะทำลายชีวิตพ่อและลุงของแกรึเปล่า…
และเพื่อให้แน่ใจ พ่อต้องการหลักฐานชิ้นนั้น…และคนที่น่าสงสัยที่สุด
ก็คือลูกสาวของมัน…”ขุนศึกส่ายหน้า
“ผมไม่คิดว่านายกุมพลจะทำแบบนั้น…เขาคงไม่อยากให้ลูกสาวตัวเอง
ต้องตกอยู่ในอันตราย…”จอมทัพพยักหน้า
“มันก็น่าคิด…แต่พ่อเชื่ออยู่ลึกๆว่าลูกสาวของมันต้องมี จะรู้ตัวหรือไม่
หลักฐานนั้นก็ต้องอยู่ที่ลูกสาวของมัน…หรือต่อให้ไม่มี พ่อก็อยากให้แน่ใจ
ว่าจะไม่มีใครเอาหลักฐานชิ้นนั้นมาเปิดเผยได้อีก…
เราต้องถอนรากถอนโคนมันให้หมด…”ขุนศึกนิ่งด้วยกำลังครุ่นคิดอย่างหนัก…
“ผมไม่ได้ข่าวคราวเธออีกเลย…ไม่แน่ใจว่าเธอยังอยู่เมืองไทยอีกรึเปล่า”
“ก็ทำให้แน่ใจสิ…ว่าเธออยู่ในเมืองไทยแน่ๆ…”
ณ อิศฟาฮาน ประเทศอิหร่าน…
“อิศฟาฮาน เนสฟิญาฮาน”
เสียงทุ้มกล่าวขึ้นเมื่อเดินมาถึงจตุรัสกลางเมืองอิศฟาฮาน
“หมายความว่าไงเหรอคะ…”ซาเนียถามชายหนุ่มเป็นภาษาไทย
ด้วยเพราะอีกฝ่ายต้องการฝึกฝนภาษาไทยท่ีดูจะแข็งแรงขึ้นมากกว่าแต่ก่อนแล้ว…
“แปลว่า อิศฟาฮานคือครึ่งหนึ่งของโลก กวีเคยบรรยายเอาไว้แบบนั้นครับ”
ซาเนียชักเริ่มเห็นด้วยกับถ้อยคำดังกล่าว เพราะจะว่าไปแล้วเมืองนี้
ดูจะมีร่องรอยของความเจริญรุ่งเรืองในอดีต…อย่างที่ปัจจุบันยังไม่อาจเทียบเทียมได้
เมื่อนึกย้อนกลับไปว่าอะไรที่ทำให้คนในอดีตคิดค้นสิ่งก่อสร้างได้อลังการณ์
และสวยงามสง่าได้เช่นนี้…
“ที่นี่ Naqsh-e Jahan…แปลว่าต้นแบบของโลก…”
ชายหนุ่มกล่าวถึงจตุรัสกลางเมืองที่พวกเขากำลังเดินอยู่…
“ชื่อเท่จัง…”ซาเนียเอ่ยชมพร้อมสายตาท่ีกวาดมองไปรอบๆ…
ทั้งสองเดินชมสถานที่และสิ่งก่อสร้างรวมทั้งวิถีชีวิตของผู้คน
จนมาจบที่มัสยิดชัยค์ฏุุลฟุลลอฮ์ ซึ่งมีความน่าทึ่งอีกอย่างหนึ่ง
นั่นก็คือ เมื่อเข้าไปข้างในแล้วมองขึ้นไปบนเพดาน
ถ้ามีแสงก็จะได้เห็นนกยูงรำแพนหางอยู่บนนั้นอย่างสวยงามสง่า
แต่พอเอากล้องส่องขึ้นไปดูถึงที่มาหรือต้นตอของเจ้านกยูงตัวดังกล่าว
ก็ต้องแปลกใจที่พบว่า ‘นกยูง’ ที่ว่าเป็นเพียงแค่แป้นไม้เล็กๆที่ห้อยลงมาจากเพดานเท่านั้น
…ไม่มีอะไรที่เหมือนนกยูงเลยแม้แต่น้อย
แต่เมื่อมองด้วยตาเปล่า แสงที่กระทบทำให้ไม่ว่าจะมองอย่างไร
หรือดูยังไงก็เห็นเป็นนกยูงกำลังรำแพนหางอย่างงดงามแวววาวจริงๆ
“แปลกจังเลยนะคะ…ทำไมมันถึงได้เหมือนนกยูงกำลังรำแพนหาง
ทั้งๆที่ไม่มีอะไรเหมือนนกยูงเลยสักนิดเดียว…”ซาเนียพึมพำออกมา
ขณะที่เงยหน้าขึ้นมองไปบนเพดาน…
“นกยูงรำแพน?...”เสียงนั้นย้ำเป็นเชิงถามด้วยแววตาอยากรู้
“ค่ะ…ภาษาไทยเรียก peafawl ว่านกยูง และการร่ายรำของมัน
เราเรียกว่ารำแพนค่ะ…พ่อชอบเรียกซาเนียว่านกยูง…เพราะแม่ของซาเนียชื่อมยุเรศ…
ซึ่งแปลว่านกยูงค่ะ…”
ซาเนียกล่าวพร้อมรอยยิ้ม แล้วเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้…
เมื่ออยู่ๆภาพบิดาของเธอกับถ้อยคำสุดท้ายของท่าน…
‘นกยูงเป็นสัตว์ที่สร้างความสดใส รื่นเริงให้โลกเราเต็มไปด้วยชีวิตชีวา
มีเสียงร้องอันไพเราะ…มีปีกหลากสีสัน…เป็นสัญลักษณ์แห่งความงาม
ที่สำคัญ…ยังถูกยกให้เป็นนกที่สวยงามและสง่างามที่สุดในโลก
จนได้เป็นราชินีของนกทั้งปวง…พ่อตกแต่งห้องให้ลูกเป็นของขวัญวันสำเร็จการศึกษา…
หวังว่าลูกจะชอบ…’
ตอนนั้นเธอได้แต่ปลื้มปีติที่ได้ห้องนกยูงทองที่กำลังรำแพน
…เพราะลายบนฝาผนังแม้จะไม่เป็นตัวของนกยูงเสียทีเดียว
แต่ลวดลายหรือลายเส้นของมันตัดกันไปมา
ทำให้มองยังไงก็เหมือนนกยูงทอง จนเธออดยอมรับไม่ได้
ว่านั่นคือนกยูงทองกำลังรำแพนอยู่ในห้องของเธอ…
‘มันเป็นลวดลายที่แม่ของลูกเคยออกแบบเอาไว้…พ่อไปเจอเข้าก็เลยเกิดไอเดีย
ให้ช่างเอาแบบนั้นมาลงไว้ที่ฝาผนัง…ลูกคงรู้ใช่มั้ยว่า…ทำไมพ่อถึงเรียกลูกว่านกยูง…’
ซาเนียพยักหน้า
‘ค่ะ…เพราะแม่เป็นคนตั้งชื่อเล่นให้นกยูงว่านกยูง…’
ซาเนียจะแทนตัวเองว่านกยูงกับผู้เป็นบิดาเท่านั้น…
เพราะนอกจากบิดามารดาของเธอแล้วก็ไม่มีใครเรียกเธอว่านกยูง…
และน้อยคนจะรู้ว่าเธอมีชื่อเล่นว่านกยูง…
‘จำไว้นะนกยูง…ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น…ลูกจะอดทน เข้มแข็ง…
และเมื่อไหร่ที่ลูกต้องการอิสรภาพ…ให้นึกถึงนกยูงทอง…เพราะนกมีปีก…
สามารถบินไปไหนก็ได้ด้วยปีกของตัวเอง
…และราชินีของนกจะต้องปกป้องมงกุฏของตัวเองแล้วบินฝ่าโพยภัยนานาไปให้ได้…
แล้วลูกจะพบกับฟ้าที่สวยงาม…’
นึกมาถึงตรงนี้ ทำให้ซาเนียต้องแหงนหน้าขึ้นมองเพดานมัสยิดชัยค์ฏุลฟุลลอฮ์อีกครั้ง
ก่อนจะหันไปทางนากีส
“ฉันต้องกลับเมืองไทยค่ะนากีส…”ชายหนุ่มถึงกับตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน
“หมายความว่าไงครับ…”
“พ่อของฉันเหมือนจะบอกอะไรฉันบางอย่างก่อนท่านจะจากฉันไป…
และนั่นอาจจะหมายถึงอิสรภาพของฉัน…ฉันจะหามันให้เจอค่ะ…
ว่าพ่อต้องการบอกอะไรฉัน…เพราะฉันต้องการโบยบินอย่างอิสระ
โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกนายพรานตามล่่าเอาชีวิตอีกต่อไป…”
คนฟังได้แต่ยืนงงเพราะเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง
หากซาเนียก็มิได้อธิบายอะไรมากไปกว่านั้นอีก
…สิ่งที่เธอเฝ้าครุ่นคิดในตอนนี้ก็คือ
เธอจะต้องกลับไปที่บ้าน กลับไปที่ห้องนกยูงทองของเธอ!!!…
ณ บ้านหลังงาม จังหวัดกระบี่…
“หาเจอมั้ย…”
“ไม่เจออะไรที่น่าจะใช่เลยครับ…”
“งั้นจะรออะไร…เผามันเลย…”
เสียงการสนทนาระหว่างลูกน้องกับเจ้านายที่ถูกว่าจ้างให้บุกบ้านของกุมพล
ในช่วงกลางดึกของวัน ทำให้เวรยามที่เฝ้าดูแลบ้านอยู่ถูกวางยาสลบไม่รับรู้เรื่องราว
เพลิงไฟลุกไหม้อย่างรวดเร็วเพราะเชื้อเพลิงอย่างน้ำมันที่ถูกราดไปทั่วบริเวณบ้าน…
ทำให้บ้านที่เคยสวยงามจมอยู่ในกองเพลิง นานกว่าที่ชาวบ้านละแวกใกล้เคียงจะรับรู้…
เสียงรถดับเพลิงและเสียงเอะอะโวยวายของชาวบ้านที่มามุงดู
บ้านหลังงามที่กำลังจะกลายเป็นซาก…
หญิงสาวในชุดแซกสีดำตัวยาวปกปิดรูปร่าง ผิวกาย และศีรษะด้วยผ้าคลุมผืนใหญ่
รวมทั้งผ้าปิดหน้าเหลือแต่ดวงตาอย่างหญิงชาวอาหรับกำลังนั่งทรุดเข่ามองบ้านหลังงาม
ที่บัดนี้เหลือเพียงแค่เศษซากด้วยแววตาที่คลอไปด้วยน้ำตา…
ดอกไม้ ประตู แจกัน ต้นไม้ใหญ่ โคมไฟที่เธอทำเอง จากพื้นดินจนเพดาน
ทุกอย่างที่รวมเป็นบ้าน บัดนี้กลับไม่เหลืออะไรให้เธอได้ระลึกถึงอีกแล้ว
ไม่มีเหลือ…สิ่งที่เหลืออยู่ก็เพียงแค่ภาพความทรงจำ…
บ้านในมโนภาพเท่านั้นที่ยังคงอยู่…แม่…พ่อ…ได้จากไป…
ทิ้งไว้แค่สถานที่แห่งความทรงจำให้เธอได้กลับมาสูดกลิ่นไอของวันเก่าๆ
ที่มีเราอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน…ที่พักพิงพักใจหายวับไปกับตาราวกับฝันร้าย…
หญิงสาวยืนหลบมุมตรงมุมที่เธอเคยสามารถมองเห็นบ้านได้ชัดเจนที่สุดด้วยเสียงสะอื้นไห้
…ความหวัง ความฝันราวกับดับสูญไปต่อหน้า…
ไม่เคยคิด ไม่เคยฝัน ว่าทุกอย่างจะเป็นเช่นนี้…
ไม่คิดว่าคนเหล่านั้นจะพรากสิ่งมีค่าไม่กี่อย่างในชีวิตเธอไปจนหมด…
ขนาดบ้านหลังนี้…พวกเขาก็ไม่ยกเว้น…
หญิงสาวได้แต่ก้มหน้าร้องไห้ก่อนจะสะดุ้งตกใจเมื่ออยู่ๆก็มีมือหนึ่งแตะลงตรงบ่า…
ซาเนียหันขวับไปยังด้านหลังก่อนจะรู้สึกตัวชา…
“ไม่คิดว่าเธอจะกลับมา…”เสียงนั้นราบเรียบหากเจือไปด้วยแววแห่งความยินดี…
“จากนี้ไป…คงไม่มีเหลือ…ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว…พวกเขาเอามันไปหมดแล้ว…”
ชายหนุ่มอยากจะคว้าร่างนั้นเข้ามาสวมกอดแล้วปลอบประโลม แต่ก็ทำไม่ได้…
“เหลือสิ…เธอยังเหลือพี่…เธอยังมีพี่อยู่ทั้งคน…”
ซาเนียเงยหน้าขึ้นมองหน้าเจ้าของน้ำเสียงผู้ซึ่งมีร่่างกายอันแข็งแกร่งราวกับภูผา
ท่ีคอยปกป้องเธอมาตลอด…
“พี่ดีใจที่เราได้เจอกันอีกครั้ง…”ซาเนียยิ้มกว้าง
ดูเหมือนคนตรงหน้าจะกลับมาหาเธอทุกครั้งที่เธอต้องการ…
“แต่ตอนนั้นนายเลือกที่จะทิ้งฉันมา…”เวนไตยส่ายหน้า
“พี่ไม่เคยทิ้งเธอ…ครั้งนั้นที่เราจากกัน พี่ยังคอยดูคอยห่วงใย
ไม่เคยไกลจากเธอเลย…และจะกลับมาทุกครั้งที่เธอต้องการ…ไม่มีวันจะทิ้งเธอไป…”
ใช่…เขาไม่เคยทิ้งผู้หญิงตรงหน้าเขาได้เลยสักครั้ง
ไม่เคยมีวันไหนที่เขาจะไกลจากใจเธอ เขาติดตามข่าวคราวของเธออยู่ตลอดเวลา…
แค่ไม่เคยปรากฏกายต่อหน้าเธอเท่านั้น…
เพราะเขาไม่อาจตัดเยื่อใยแห่งความห่วงใยให้ขาดลงไปได้…
วันนี้เขาถึงได้รู้ว่าเธอจะกลับมา และรู้ว่าเธอจะหลบอยู่ตรงมุมไหน…
“พวกนั้นได้เผาอิสรภาพของฉันไปแล้ว…นายได้ยินมั้ยว่าอิสรภาพของฉัน
ได้หายไปกับบ้านแล้ว…นายเห็นมั้ย…ตรงโน้นไง…บ้านของพ่อแม่ฉัน…
บ้านของเราพ่อแม่ลูก…”ซาเนียร่ำไห้ออกมาด้วยแววตาเจ็บปวด
“ที่เธอบอกว่าอิสรภาพ…มันหมายความว่าไง…”ซาเนียยกมือปาดน้ำตา
“เมื่อก่อน…ฉันเคยคิดมาตลอดว่าทำไมพวกนั้นถึงต้องตามล่าเอาชีวิตฉันนัก…
ฉันเพียงแค่คิดว่า พวกนั้นคงต้องการฆ่าล้างโคตร
แต่ฉันนึกอะไรบางอย่างได้เมื่อไม่กี่วันก่อน…
ก่อนตายพ่อเหมือนพยายามบอกอะไรฉันบางอย่าง…
และฉันเชื่อว่าพ่อมีอะไรบางอย่างที่พวกนั้นต้องการ…
และพวกนั้นคงเชื่อว่ามันอยู่ที่ฉัน
นี่อาจเป็นแผนที่พวกมันจัดขึ้นเพื่อต้องการจับนกยูงที่หลบซ่อนตัวอยู่ให้ออกมา…
คนเลวมันไม่คิดอะไรมากไปกว่าผลประโยชน์ที่มันจะได้รับ
แม้แต่เผาป่าทั้งป่าเพื่อล่าสัตว์เพียงตัวเดียวที่มันต้องการ…มันก็ทำได้…”
น้ำเสียงและแววตาเจ็บแค้นนั้นทำให้คนฟังถึงกับครุ่นคิดตาม…
“แล้วทำไมเธอถึงยอมกลับมา…ไม่กลัวเหรอ…”ซาเนียส่ายหน้า
“ฉันจะกลับมาทวงอิสรภาพคืน…และฉันจะต้องรู้ให้ได้ว่าอะไร
ที่พวกมันต้องการนั้นอยู่ที่ไหน…ฉันจะไม่ยอมหมดหวังหรอก…
บางที…มันอาจไม่ได้ซ่อนอยู่ในบ้านก็ได้…ถ้าพ่อมีอะไรอย่างที่ฉันคิดไว้จริงๆล่ะก็…
ฉันนี่แหล่ะจะทำลายพวกนั้นด้วยมือของฉันเอง…
ฉันจะไม่หนีอีกต่อไปแล้ว...ฉันจะสู้ จะปกป้องมงกุฎให้ได้...”
เวนไตยวางมือบนบ่าของซาเนีบแล้วยิ้มบาง…
“พี่จะช่วยเธออีกแรง…”หญิงสาวยิ้มทั้งน้ำตาด้วยความรู้สึกอบอุ่นใจ
แปลกใจตัวเองทุกครั้งที่อยู่ใกล้เขาแล้วรู้สึกอบอุ่น…ปลอดภัย…
“แต่ฉันไม่รู้เลยว่าจะเริ่มจากไหน…เมื่อไม่มีบ้าน…”เสียงนั้นอ่อนลง
“แล้วคุณลุงพูดกับเธอว่าไงบ้าง…”
“พ่อย้ำกับฉันว่า ให้นึกถึงนกยูงทอง…ให้ฉันปกป้องมงกุฏของตัวเอง…”
พูดพลางก็นึกไปพลาง…
“มงกุฏของตัวเองเหรอ…”เวนไตยพึมพำแล้วถามต่อว่า…
“หมายความว่าไง…”ซาเนียส่ายหน้าขณะกล่าวว่า
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน…”
“งั้นก็อย่าเพิ่งคิดตอนนี้เลย…พี่ว่าเธอควรจะพักผ่อนก่อน…
บางที…เมื่อเราได้พักผ่อนอย่างเต็มที่…เราอาจคิดอะไรดีๆออกก็ได้”
เวนไตยแนะนำด้วยแววตาห่วงใย หญิงสาวยิ้มบางก่อนจะพยักหน้า
“ถ้าไม่รังเกียจ…ไปพักกับพี่ที่เกาะชิงชังก็ได้นะ…”
คำว่าเกาะชิงชังทำให้ขาที่กำลังจะขยับถึงกับชะงัก…
และเหมือนเวยไตยจะเข้าใจกับท่าทีดังกล่าวของหญิงสาว
“ตอนนี้เกาะชิงชังได้เปลี่ยนไปแล้ว…ตั้งแต่คุณป๋าของพี่ไปพักอยู่ที่นั่น
ทุกคนต่างก็เข้าใจกับเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นบนเกาะ…ทุกคนเข้าใจเธอแล้ว
พี่อยากให้เธอกลับไปหาพวกเขา…พวกเขากำลังรอเธอกลับไปสานต่อ
ความฝันของพวกเขาอยู่นะ…แล้วเธอจะรู้ว่าพี่ทำอะไรเพื่อเธอได้มากกว่าที่เธอคิด
…เพราะพี่เช่ือว่า…นากีสจะไม่มีทางบังคับเธอให้แต่งงานกับเขาแน่ๆ…
เขาเป็นลูกผู้ชายพอที่จะไม่ทำร้ายผู้หญิงที่เขารัก…
และพี่ก็เชื่อว่า…สักวันหนึ่งเธอจะกลับมา…หัวใจพี่มันบอกว่าให้รอ…”
ซาเนียถึงกับยิ้มด้วยความซาบซึ้งใจ…และยิ่งปลื้มปีติเมื่อกลับมาพบว่า
ที่เขาพูดเอาไว้นั้นเป็นความจริง…
...โปรดติดตามตอนต่อไป....
เอามาเสริฟให้กันในวันหยุดแล้วจ้าาาาาา...
ไม่รู้ว่าคุณบัวขาว ผู้มอบรอยยิ้มพิมพ์ใจให้โยมาตลอดยังคงอ่านเรื่องนี้อยู่อีกรึเปล่า
ถ้ายังอยู่ ส่งเสียงให้โยได้ยินบ้างนะคะ....ด้วยความเป็นห่วงค่ะ
ว่าแล้วก็ขอคุยกับนักอ่านนิดนึง
1.คุณหมีสีชมพู....ยังไม่ทันคลอด พี่รังเราก็ก่อดราม่าอีกแล้วค่ะ...
อย่างที่หมอรังบอกค่ะ...ตำแหน่งเมีย...มันยิ่งกว่าของใช้ส่านตัว...อิอิ
2.คุณพัชรี....ดีใจจังเลยค่ะที่คุณพัชรียังคงติดตามอ่านอยู่...
ขอบคุณนะคะ...ซึ่งต่อจากนี้ จะมีเรื่องมาให้หัวใจของนักอ่านพลิกหงายพลิกคว่ำ
ได้เรื่อยๆค่ะ...เฮะๆ
3.คุณsupayalak...ขอบคุณสำหรับบทเพลงที่มอบให้เต่าโยค่ะ...
โยก็กะว่าจะให้หักตอนยกที่ 100 นะคะ...แต่มันดูยาววววววววไป(รึเปล่า)อิอิ
แต่ถ้าเป็นยกสั้นๆ ก็น่าจะถึง 100 ค่ะ...เลยคิดว่า อาจจะมาแบบสั้นๆ
ไม่ยาวเหยียดเหมือนก่อนหน้านี้นัก เพราะว่าจะปั่นทีละยาวๆแบบนั้น
เหมือนว่าตอนนี้จะไร้ความสามารถไปแล้วค่ะ...เนื่องจากคิวงานตอนนี้
ยาวไปจนเลยสงกราต์โน่นแหน่ะค่ะ...เห็นคิวงานแล้วหวาดเสียว
ว่าจะโดนนักอ่านค้อนให้รึเปล่า(หากหายหัวไปบ้างน่ะค่ะ)
ปล.ส่วนเรื่องความสามารถในการปั่นลูกแฝดนั้นจะมีแค่ปองขวัญรึเปล่า
ต้องมาลุ้นดูค่ะ...อิอิอิ
4.คุณnasa...นั่นน่ะสิคะ...หมอรังไม่คิดจะสืบค้นความจริงบ้างเลยหรือ...
มันดูผิดวิสัยคนที่ฉลาดเป็นกรดแบบนั้นอยู่ไม่น้อย...อิอิ
ปล.หมอรังเขาเป็นคนช่างสังเกต หูตาเป็นสับปะรดนะคะ
(ถ้าอารมณ์แรงหึงไม่บังตาไปซะก่อน) อิอิอิ...
5.คุณgoldrnsun...ขุนศึกเขาประกาศกับสิ้นรักไปแล้วขนาดนั้น
คงไม่หยุดอยู่ง่ายๆแน่ๆค่ะ...แถมตอนนี้ยังมีเรื่องซาเนียเข้ามาอีก...
ต้องมาดูกันว่า ซาเนียจะปกป้องมงกุฎที่พ่อบอกได้รึเปล่า
แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า มงกุฏราชินีแห่งนกนั้นคืออะไร และอยู่ที่ไหนน่ะสิคะ...อิอิ
6.คุณviolette....พี่รังเขาก็คงไม่อยากเป็นพญาเทครัวเหมือนกันน่ะค่ะ...อิอิอิ
แต่อะไรๆมันก็ไม่แน่...เฮะๆ...โยบอกได้แค่ว่า...พระนางคู่นี้ไม่ธรรมดาค่ะ...
อาจมีฉากให้ทั้งสองได้เชือดเฉือนกันบ้างเพื่อสีสันของชีวิตคู่น่ะค่ะ...อิอิ
ไม่แน่ว่าศัครูอาจเป็นคู่ชีวิตของเราก็ได้...เฮะๆ
7.คุณsai...ได้ยินอย่างนี้แล้วค่อยหน้าบานได้หน่อยค่ะ...อิอิ
คนทำงานมักจะเข้าใจกันค่ะ...งานมันเยอะ...แต่ก็ต้องทำมันค่ะ...
เพื่อประทังชีวิต...ฮ่าๆๆๆ...พูดซะให้ชีวิตดูดราม่าๆหน่อย...
นักอ่านจะได้เห็นใจเวลาหายไปนานๆ...อิอิอ...
ปล.หายไปเพื่อ...(หาทางลงจากคานน้อย) รึเปล่าคะ...อิอิอิ...
8.คุณkonhin...ต่อไปนักอ่านอาจจะต้องมานั่งสงสารพระเอกของโยบ้างก็ได้นะคะ...
ไม่อยากบอกเลยว่า....หมอรังของโยอาจโดนนางเอกของเราทำร้ายจิตใจกันแบบไม่ทันตั้งตัวก็ได้
อย่างที่เคยเกริ่นๆไปน่ะค่ะว่า....นางเอกคนนี้ไม่ค่อยจะธรรมดา...อิอิอิ
9.คุณตุ๊งแช่...ยังค่ะ...ยังไม่คลอด...อิอิ...
โยว่านะคะ แค่ก่อหวอด ก่อม็อบ หรือคว่ำบาตรมันยังน้อยหน้าไปนิดนึง...
อย่างนางเอกเรามันต้อง....อิอิอิ
10.คุณใบบัวน่ารัก...สงสัยจะผีเข้าผีออกอย่างนี้ไปอีกสักพักค่ะ...อิอิอิ...
เหมือนว่าทั้งสองคนยังปรับตัวเข้าหากันได้ไม่สมูทพอ...คลื่นลมจะยังคงพัดไปพัดมา
อีกสักพักใหญ่ๆน่ะค่ะ....เฮะๆ
11.คุณpattisa...นั่นน่ะสิคะ...ลูกผู้หญิงหรือลูกผู้ชายกันน้า...อิอิ
ต้องมาดูกันต่อค่ะ...
12.คุณแม่มดน้อย...ใครบอกล่ะคะ...เต่าโยโคตรจะรักพี่รังเลย...อิอิอิ...
แต่ก็ต้องเขียนเรื่องไปตามพล็อตที่ได้วางไว้ค่ะ...นักอ่านต้องอ่านจนจบน่ะค่ะ
ถ้าหยุดอ่านเพียงแค่นี้ คงได้เกลียดพี่รังไปเลย...
เนื่องจาก มันมีปมบางอย่างที่คนฉลาดเป็นกรดอย่างพี่รังต้องคลี่มันออกมาให้ได้ด้วยน่ะค่ะ
เนื่องจากปัญหาชีวิตทั้งเรื่องงาน เรื่องรัก ก็โดนมาไม่ยั้งจากศัตรูคนเดียวกัน...
ดังนั้น....(โยยังเผยไม่ได้ในตอนนี้) เดี๋ยวเรื่องจะจืดไป...อิอิอิ...
พี่รังเขาเป็นคนซับซ้อนนะคะ...ซับซ้อนทั้งการกระทำและความคิดค่ะ...
ปล.คอมเม้นท์ช้าไม่ว่ากันค่ะ...เพราะรู้ว่าที่ญี่ปุ่นกำลังหนาวได้ใจเลยทีเดียว...
พี่ที่รู้จักเพิ่งกลับมาค่ะ...เอาขนมโตเกียวบานาน่ามาฝากด้วย อร่อยมากมายเลยค่ะ...
หากมีโอกาสลองหาซื้อดูนะคะ...มันอร่อยจริงๆค่ะ...(หรือว่าโยจะมาบอกช้าไปก็ไม่รู้สิ) อิอิ
13.คุณPat...เรื่องนี้มีปมเยอะค่ะ...และตอนนี้ก็ดันมาถึงตอนท้้ายๆแล้วด้วย
เวลาโยจะขมวดปมและคลี่ปมไปพร้อมๆกัน มันเลยอาจทำให้นักอาจเครียดนิดนึง...อิอิ
แต่อะไรก็ไม่เท่ากับ "แผนการ"ของแต่ละคนที่คิดวางเอาไว้ในหัวค่ะ...
มันเลยเป็นที่มาที่ทำให้คนเขียนปวดหัว เมื่อเอาแผนของแต่ละคนมาไว้ในหัวตัวเอง
แล้วก็จัดการมันซะ...อิอิอิ...ดังนั้น...เรื่องความงี่เง่าของคู่พระนางคู่นี้ไม่น่าจะมีนะคะ
ส่วนใหญ่ที่ทำให้ดูงี่เง่า เป็นเพราะอารมณ์ล้วนๆ...ซึ่งลึกลงไป...มันมีอะไรที่ซับซ้อนกว่านั้น
เพราะพี่รังของเต่าโยไม่ชอบกินหญ้าค่ะ...อิอิอิ...ส่วนนางเอกอย่างสิ้นรักก็อย่าได้ชะล่าใจไปนะคะ
เห็นบ๊องๆอย่างนั้น...ลึกลงไป...ใครจะหยั่งถึง...เฮะๆ...งานนี้ไม่แผนใครก็แผนใครล่ะค่ะ
ที่ต้องพัง แต่จะมีแค่แผนเดียวเท่านั้นที่จะมาเหนือเมฆ...อิอิ...
ปล."ตากล้อง"ที่ว่า...คงหนีไม่พ้น...นายขุนพลล่ะค่ะ...
ดังนั้น...ในเรื่องนี้ใครจะอยู่ใครจะไปไม่ว่ากัน แต่ขุนพลต้องอยู่เป็นพระเอกของโย
ในเรื่องต่อไปค่ะ...อิอิอิ...
สุดท้ายไม่ท้ายสุด...
ขอบคุณทุกไลค์ ทุกกำลังใจและทุกๆคนที่เข้ามาแวะเวียนทักทาย
และติดตามอ่านเรื่องนี้กันนะคะ
หากมาช้าก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยเน้อ...
...อย่าเพิ่งเจ็บแค้นเคืองโกรธพระเอกของเต่าโยไปเลยนะคะ...
...พี่แกเป็นคนซับซ้อน เรื่องมันเลยซ่อนเงื่อนด้วยประการฉะนี้แล...อิอิอิ
...รักษาสุขภาพนะคะ...
"เต่าโย"
yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 ม.ค. 2556, 12:40:30 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 ม.ค. 2556, 12:57:58 น.
จำนวนการเข้าชม : 2843
<< ยกที่ 82 นิทานหิ่งห้อย | ยกที่ 84 คำถามที่ต้องตอบ (100%) >> |
ใบบัวน่ารัก 19 ม.ค. 2556, 14:27:45 น.
เบื่อคุณหมอมากน่าเบื่อ
ซาเนียอีก นกยูงอีก
หนีไปเถอะรัก เดี๋ยวก็ทะเลาะกันอีก
ไม่ได้ดั่งใจ ชิ
เบื่อคุณหมอมากน่าเบื่อ
ซาเนียอีก นกยูงอีก
หนีไปเถอะรัก เดี๋ยวก็ทะเลาะกันอีก
ไม่ได้ดั่งใจ ชิ
พัชรี 19 ม.ค. 2556, 15:47:46 น.
เบื่อพี่รังแล้ง เชียร์ ซาเนียกะครูครุฆดีก่า น่ารักกว่าเยอะ
เบื่อพี่รังแล้ง เชียร์ ซาเนียกะครูครุฆดีก่า น่ารักกว่าเยอะ
ปอยอะนะ 19 ม.ค. 2556, 16:36:01 น.
รู้สึกเหมือนคุณหมอจะผีเข้าผีออกชอบกล
รู้สึกเหมือนคุณหมอจะผีเข้าผีออกชอบกล
ตุ๊งแช่ 19 ม.ค. 2556, 17:54:17 น.
อาการหึงเมียนี่ เป็นอการแพ้ท้องขั้นรุนแรงป่าวหว่า
อาการหึงเมียนี่ เป็นอการแพ้ท้องขั้นรุนแรงป่าวหว่า
จิรารัตน์ 19 ม.ค. 2556, 21:04:09 น.
มาอ่านจ้าน้องโย
มาอ่านจ้าน้องโย
บัวขาว 19 ม.ค. 2556, 21:53:27 น.
=^_^=
ขอบคุณมากค่ะที่ยังคิดถึงกัน
ติดตาม/มารออ่านทุกวันค่ะ
.. ไม่สบาย (มาก) อีกรอบ
ตั้งแต่ปีใหม่ ยังไม่หายค่ะ :(
บวกกับงานยุ่งมาก
=^_^=
ขอบคุณมากค่ะที่ยังคิดถึงกัน
ติดตาม/มารออ่านทุกวันค่ะ
.. ไม่สบาย (มาก) อีกรอบ
ตั้งแต่ปีใหม่ ยังไม่หายค่ะ :(
บวกกับงานยุ่งมาก
บัวขาว 19 ม.ค. 2556, 21:55:46 น.
ปล. เกลียดหมอรังแล้วค่ะ
ปล. เกลียดหมอรังแล้วค่ะ
konhin 19 ม.ค. 2556, 22:01:16 น.
เราเชื่อว่าความเชื่อใจเป็นเรื่องใหญ่ของการอยู่ด้วยกัน หมอรังตายหยังเขียด ไม่ผ่านอย่างแรง
เราเชื่อว่าความเชื่อใจเป็นเรื่องใหญ่ของการอยู่ด้วยกัน หมอรังตายหยังเขียด ไม่ผ่านอย่างแรง
goldensun 19 ม.ค. 2556, 23:02:50 น.
ใจเขา ใจเรา หมอรังจะรู้จักคำนี้บ้างมั้ยคะ เชื่อแต่ความคิดตัวเอง ไม่ยอมรับความคิดของสิ้นรักบ้างเลย
ไม่อยากคิดเลย ว่าลูกที่คลอดออกมา จะเป็นยังไง แม่เครียด เศร้า แทบตลอด
ซาเนียกลับมาแล้ว พาใจสู้มาด้วย เวนไตยคงช่วยเต็มที่
ใจเขา ใจเรา หมอรังจะรู้จักคำนี้บ้างมั้ยคะ เชื่อแต่ความคิดตัวเอง ไม่ยอมรับความคิดของสิ้นรักบ้างเลย
ไม่อยากคิดเลย ว่าลูกที่คลอดออกมา จะเป็นยังไง แม่เครียด เศร้า แทบตลอด
ซาเนียกลับมาแล้ว พาใจสู้มาด้วย เวนไตยคงช่วยเต็มที่
supayalak 19 ม.ค. 2556, 23:08:10 น.
เย้!!!!! พี่รังกะน้องรักกลับมาแย้ว แต่อ่านไปก็เคืองพี่รังไป อะไรจะไรเหตุผลขนาดนั้น สมน้ำหน้าเป็นงัยหล่ะเค้าถึงว่าเวลาหยิกคนอื่นเราจะไม่รู้สึกเจ็บแต่หากเป็นเราที่โดนหยิกบ้างเมื่อนั้นเราภึงจะรู้สึก แค่นี้ยังน้อยไปนะพี่รัก ถ้าเป็นเดี๊ยนละก้อสวยยิ่งกว่านี้อีก (มาแนวเจ็บแค้นมากกกกแทนน้องรัก)แล้วจะคอยลุ้นคะว่าเหนือเมฆพี่รังกะน้องรักที่นำเสนอมาจะทำให้คนอ่านหงานตึงได้ขนาดไหน จะนับวันรอนะตะเต่าโย
ปล. เอออ เต่าโยค่ะขอแบบจัดเต็ม จัดหนักให้พี่รังได้ไหมค่ะ รู้สึกเกลียดพี่รังมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นการส่วนตัวแต่่ทำอะไรไม่ได้ ฝากเต่าโยจัดการให้แทนน้องรักกะเดี๊ยนด้วยนะคะ ขอแบบเบาะแค่ร้องให้ 3 เดือนทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ เพราะหาน้องรักไม่เจอก็พอ
เย้!!!!! พี่รังกะน้องรักกลับมาแย้ว แต่อ่านไปก็เคืองพี่รังไป อะไรจะไรเหตุผลขนาดนั้น สมน้ำหน้าเป็นงัยหล่ะเค้าถึงว่าเวลาหยิกคนอื่นเราจะไม่รู้สึกเจ็บแต่หากเป็นเราที่โดนหยิกบ้างเมื่อนั้นเราภึงจะรู้สึก แค่นี้ยังน้อยไปนะพี่รัก ถ้าเป็นเดี๊ยนละก้อสวยยิ่งกว่านี้อีก (มาแนวเจ็บแค้นมากกกกแทนน้องรัก)แล้วจะคอยลุ้นคะว่าเหนือเมฆพี่รังกะน้องรักที่นำเสนอมาจะทำให้คนอ่านหงานตึงได้ขนาดไหน จะนับวันรอนะตะเต่าโย
ปล. เอออ เต่าโยค่ะขอแบบจัดเต็ม จัดหนักให้พี่รังได้ไหมค่ะ รู้สึกเกลียดพี่รังมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นการส่วนตัวแต่่ทำอะไรไม่ได้ ฝากเต่าโยจัดการให้แทนน้องรักกะเดี๊ยนด้วยนะคะ ขอแบบเบาะแค่ร้องให้ 3 เดือนทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ เพราะหาน้องรักไม่เจอก็พอ
violette 20 ม.ค. 2556, 00:07:24 น.
หมอรังเป็นผู้ชายที่ไม่น่ารักเลยนะคะ
ไม่ไหวกับแกมากๆจริงๆ รู้สึกแย่กับหมอรังมาหลายตอนแล้ว ตอนนี้ก็ยังรู้สึกอยู่ค่ะ
ทุกคนอยากให้จัดหนักหมอรังกันหมดเลยเนอะ อิอิ ดีใจ
หมอรังเป็นผู้ชายที่ไม่น่ารักเลยนะคะ
ไม่ไหวกับแกมากๆจริงๆ รู้สึกแย่กับหมอรังมาหลายตอนแล้ว ตอนนี้ก็ยังรู้สึกอยู่ค่ะ
ทุกคนอยากให้จัดหนักหมอรังกันหมดเลยเนอะ อิอิ ดีใจ
violette 20 ม.ค. 2556, 00:07:54 น.
ปล.ใช่ค่ะสงสารลูกในท้องจริงๆ
ปล.ใช่ค่ะสงสารลูกในท้องจริงๆ
หมีสีชมพู 20 ม.ค. 2556, 01:47:29 น.
รังสอบตกในการใช้ชีวิตคู่ แต่สะใจจริงๆ ที่สิ้นเผาสมุดบันทึกไปด้วย
รังสอบตกในการใช้ชีวิตคู่ แต่สะใจจริงๆ ที่สิ้นเผาสมุดบันทึกไปด้วย
sai 20 ม.ค. 2556, 11:25:31 น.
หมอรัง คิดมากมากกว่ารักอีกกก เห้อออ สงสารรักที่สุด
หมอรัง คิดมากมากกว่ารักอีกกก เห้อออ สงสารรักที่สุด
Littlewitch 24 ม.ค. 2556, 00:18:33 น.
สวัสดีค่า เห็นว่านานๆจะมาทีเลยไม่ได้วิ่งมารอทุกวัน แต่ก็ดีใจคะคืนนี่มาได้อ่าน ขนมได้ทานแล้วคะ มันน่ารักมากกว่าอร่อยคะ ^^ กลับมาแล้วคิดถึงอากาศเย็นๆและหิมะที่ญี่ปุ่นเลยคะ เสียดายมากว่าจะไปเฝ้าดูสาวน้อยในชุดกิโมโน ในพิธีก้าวเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่ แต่วันนั่นดันมีทั้งฝน ทั้งหิมะ เลยได้เห็นแค่บางคนเท่านั้น
สวัสดีค่า เห็นว่านานๆจะมาทีเลยไม่ได้วิ่งมารอทุกวัน แต่ก็ดีใจคะคืนนี่มาได้อ่าน ขนมได้ทานแล้วคะ มันน่ารักมากกว่าอร่อยคะ ^^ กลับมาแล้วคิดถึงอากาศเย็นๆและหิมะที่ญี่ปุ่นเลยคะ เสียดายมากว่าจะไปเฝ้าดูสาวน้อยในชุดกิโมโน ในพิธีก้าวเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่ แต่วันนั่นดันมีทั้งฝน ทั้งหิมะ เลยได้เห็นแค่บางคนเท่านั้น