คานน้อย คอยรัก (จบแล้วค่ะ)
คานน้อย คอยรัก

ในลักษณ์นั้นว่าประหลาด…………….คนบนคานนั้นว่าน่าประหลาด
เป็นเชื้อชาตินักรบกลั่นกล้า…………...เป็นเชื้อชาตินักรักผู้หาญกล้า
เหตุไฉนย่อท้อรอรา…………………..เหตุไฉนย่อท้อรอเวลา
ฤาจะกล้าแต่เพียงวาที…………………ฤาไม่กล้าบอกรักใครสักที

เห็นแก้วแวววับที่ดับจิต…………………เห็นคานแก้วแวววับสดับจิต
ใยไม่คิดอาจเอื้อมให้ถึงที่……………...ใยไม่คิดปีนไปให้ถึงที่
เมื่อไม่เอื้อมจะได้อย่างไรมี……………อย่ามัวรอจงขึ้นมาเร็วรี่
อันมณีฤาจะโลดไปถึงมือ………………บนคานนี้มีรักให้ฝึกปรือ

อันของสูงแม้ปองต้องจิต………………..คานเราสูงไม่เป็นรองของใครอื่น
ถ้าไม่คิดปีนป่ายจะได้ฤา………………..อย่าได้ขืนลงไปให้เสียชื่อ
มิใช่ของตลาดที่อาจซื้อ………………….มิใช่ทองตามตลาดที่อาจซื้อ
ฤาแย่งยื้อถือได้โดยไม่ยอม……………..เพราะเราถือความพอใจจึงลงไป

ไม่คิดสอยมัวคอยดอกไม้ร่วง……………ไม่คิดสอยมัวคอยให้คานทับ
คงชวดดวงบุปผาชาติสะอาดหอม………..รอให้ดับคาคานหรืออย่างไร
ดูแต่ภุมรินเที่ยวบินตอม…………………..ฤาต้องคอยรักแท้จนแก่ใช่ไหม
จึงได้ออมอบกลิ่นสุมาลี…………………..เกาะคานน้อยคอยรักต่อไป
…………………..........จนกว่าจะเจอคนที่ใช่…ใช่ไหมคาน………………
(อ้างอิงกลอนจากบทละครเรื่องท้าวแสนปม)

มาดูเหตุผลของคนที่ยังไม่ลงจากคานกันค่ะ...
อาจจะมีเหตุผลมากมายที่ไม่อยากลงจากคาน
หรืออาจมีเพียงแค่หนึ่งเหตุผลง่ายๆก็คือ...

...ไม่ใช่คนที่ใช่ก็ไม่ใช่...

หรือว่า

...โดนข้อหาหลายใจ เพราะเคยมีแฟนหลายหน...

หรืออาจเป็นเพรา

...เขาบอกให้รอ เราก็รอ...

หรือจริงๆแล้ว

...ขออยู่รอคนสุดท้ายคนนั้นได้ไหม...

หรือลึกลงไป

...กำลังรอเจ้าชายในฝันอยู่อย่างอดทนได้ทุกอย่าง...

หรือกำลังปลอบใจตัวเองว่า

...ครึ่งหนึ่งของฉันยังมาไม่ถึง...ซึ่งสักวันเขาจะมาอยู่ข้างกัน...

หรือกำลังหลอกตัวเองด้วยการปกปิดว่า

...ไม่หวั่นไหว หัวใจไม่ปรารถนา...

ทั้งๆที่จริงๆแล้ว

...อยากรัก อยากฝัน แต่เพราะกลัว ก็เลยไม่กล้ารักใคร...

หรือว่าอาจจะเป็นเหตผลสุดท้ายที่ไม่ค่อยมีใครกล้ายอมรับดังๆว่า

...ไม่เคยมีใครมาจีบ ไม่มีใครสน เรามันคนธรรมดาๆ...

แต่ไม่ว่าจะเหตุผลใด...

เราก็ยังหวังและยังคงรอคอยปาฏิหาริย์ว่าจะได้เจอคนที่ใช่ในสักวัน...


Tags: ดราม่า หวานซึ้ง อบอุ่น หมอรัง สิ้นรัก วายุ ปองขวัญ

ตอน: ยกที่ 83 มหาหึง

ยกที่ 83 มหาหึง

ความสุขอยู่กับส้ินรักเพียงไม่กี่วัน ก็ถึงวันที่ความทุกข์
เดินทางเข้ามาทักทายอีกระลอก…

เมื่อตอนบ่ายของวันหนึ่งซึ่งรังสิมันต์อยู่กับบ้าน
วันทั้งวันรังสิมันต์ทุ่มเทให้กับการช่วยภรรยาทำอาหาร รดน้ำต้นไม้ จัดบ้าน
กวาดห้อง ตกแต่งห้องใหม่…เพื่อต้อนรับสมาชิกเพิ่ม

…แต่อยู่ๆก็พบเข้ากับกล่องไม้เก่าๆที่ซ่อนอยู่ด้านในสุดของตู้เสื้อผ้า
กล่องไม้ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเจอตอนที่มีโอกาสได้เข้าไปในห้องนอนของสิ้นรัก
มันเคยวางอยู่บนหัวเตียงของสิ้นรักมาก่อน…เขาจำมันได้…

รังสิมันต์ค่อยๆดึงมันออกมาแล้วเปิดออก…
พบรูปถ่ายแฟนเก่าที่สิ้นรักเคยคบมาหลายต่อหลายคน…
และยังมีของที่ระลึกต่างๆซึ่งคงเป็นของอดีตแฟนเก่าให้เธอมามากมายเต็มกล่อง…

ทว่าหนึ่งในนั้นที่ทำเอารังสิมันต์ถึงกับอึ้งก็คือผ้าเช็ดหน้าสีฟ้าอ่อนที่ปักริมว่า ‘สายลม’
ซึ่งจำนวนของมันมีมากจนเขานับไม่ไหวพับซ้อนกันอย่างกับว่าเจ้าของกล่องไม้
ทะนุถนอมของดังกล่าวยิ่งกว่าของที่ระลึกชิ้นอื่น

เพราะมันถูกแยกวางไว้ต่างหากไม่เข้าปะปนกันกับของที่ระลึกชิ้นอื่น

และที่สำคัญ…เขาจำได้ดีว่าผ้าเช็ดหน้าสีนี้ ลักษณะอย่างนี้…
เป็นผ้าเช็ดหน้าของใคร…

คิดได้ดังนั้น ภาพวันเก่าๆตอนที่สิ้นรักกับวายุเป็นพี่รหัสน้องรหัสที่ซี้กันสนิทสนมกัน
จนใครๆอิจฉาก็ปรากฏฉายชัดขึ้นอีกครั้ง

…เขาว่าจะไม่คิดถึงเรื่องนี้แล้ว หากมันก็อดคิดไม่ได้…
ทั้งๆที่พยายามบอกกับตัวเองแล้วว่าระหว่างเพื่อนรักของเขากับสิ้นรัก
ไม่มีอะไรมากไปกว่าความเป็นพี่เป็นน้อง

หากมันก็ไม่อาจห้ามความคิดอีกด้านหนึ่งได้

ในเมื่อตอนอยู่มหาวิทยาลัย เขาต่างก็รู้และเห็นถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองที่ดูจะผูกพันกัน…
และเขารู้ว่าสิ้นรักรักและผูกพันธ์กับเพื่อนรักของเขามากแค่ไหน

…ขนาดผ้าเช็ดหน้า ภรรยาของเขายังเก็บเอาไว้อย่างดีมาตลอด
และอาจจะเก็บเอาไว้ทุกผืนด้วยซ้ำ…

และดูจากจำนวนผ้าเช็ดหน้าเหมือนเพื่อนของเขาก็ขยันส่งผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาสิ้นรัก
ซึ่งเป็นน้องรหัสเสียเหลือเกิน…

รังสิมันต์เอามันออกมาวางไว้บนเตียง สิ้นรักที่กำลังจัดดอกไม้วางไว้ที่ริมหน้าต่างห้องนอน
จึงหันมามอง ก่อนจะตกใจกับภาพตรงหน้า…

“พี่รัง…”เสียงของหญิงสาวเบาหวิว ด้วยกังวลใจว่าอีกฝ่ายจะไม่เข้าใจตัวเอง

“มันหมายความว่าไง…”รังสิมันต์ถามเสียงเย็น…สิ้นรักจึงรู้สึกชาไปทั้งตัว
กับแววตาที่หันมามองเธออย่างคาดคั้น…

“มันไม่มีอะไรอย่างที่พี่รังคิดนะคะ…”สิ้นรักกล่าวขณะเดินมาหาเขาแล้วนั่งลงบนเตียง…

“แล้วเธอรู้เหรอว่าพี่กำลังคิดอะไรอยู่…”สิ้นรักส่ายหน้า

“ไม่แน่ใจ…แต่รักอยากบอกว่าอะไรๆที่อยู่ในกล่องนั้น…มันเป็นแค่ความทรงจำ…
มันเป็นเพียงกล่องความทรงจำเท่านั้น…”

“ซึ่งเธอยังคงเก็บมันไว้อย่างดี…”สิ้นรักพยักหน้า

“รักไม่รู้จะทิ้งมันไปเพื่ออะไร…เพราะไม่ว่ามันจะมีหรือไม่มี
ถ้าเราไม่ได้ให้ค่ากับมันมากกว่าปัจจุบันที่เป็นอยู่ มันก็เป็นแค่อดีตที่จบไปแล้ว…”
รังสิมันต์พยักหน้า

“รวมทั้งผ้าเช็ดหน้าพวกนี้ด้วยรึเปล่า…”สิ้นรักมองผ้าเช็ดหน้าของวายุ
ที่เธอเก็บสะสมและรักษาเอาไว้อย่างดีในมือของรังสิมันต์แล้วลอบถอนใจ

เธอเหนื่อยเหลือเกินกับการที่ต้องพยายามอธิบายความรู้สึกของตัวเอง
และกับเรื่องราวของอดีตที่ผ่านมาให้กับคนที่เหมือนจะไม่เคยเชื่อใจเธอ

เขากังขาและข้องใจในตัวเธออยู่ตลอดเวลา…เขาไม่เคยเชื่อใจเธอจริงๆ

มันเป็นความผิดของเธอใช่มั้ยที่เคยมีแฟนหลายคน…

ใช่ว่าเธออยากให้มันเป็นอย่างนั้น แต่ที่ผ่านมาเธอเลือกไม่ได้
ในเมื่อคนที่ผ่านมาไม่ใช่คนที่ใช่…

“ไม่รวมค่ะ…เพราะผ้าเช็ดหน้าพวกนี้ไม่เคยเป็นอดีตที่จบไปแล้ว…
พี่ลม เจ้าของผ้าเช็ดหน้าพวกนี้เป็นทั้งอดีต ปัจจุบันและเป็นอนาคต…
จากวันแรกที่เจอจนวันนี้…พี่ลมยังคงเป็นคนซับน้ำตาให้รักด้วยผ้าเช็ดหน้าสีฟ้า
ที่ปักริมคำว่าสายลม…”

รังสิมันต์มองหน้าคนพูดแล้วขยุ้มผ้าเช็ดหน้าในมือโดยไม่รู้ตัว…
ทำเอาสิ้นรักมองภาพนั้นอย่างเคืองๆ…

“ขอมันคืนให้รักเถอะนะคะ…”

“มันมีค่ากับเธอมากเลยรึไง…”สิ้นรักพยักหน้า

“มากค่ะ…เพราะมันคอยเตือนให้รักรู้ว่าเวลารักเสียใจ มีใครคอยปลอบ
คอยให้กำลังใจรัก…ซึ่งคนๆนั้นก็คือพี่ลม…”รังสิมันต์กัดกรามแน่น
สิ้นรักมองสีหน้าท่าทางและแววตาของเขาก็เข้าใจ จึงกล่าวต่อว่า

“แต่ก็ไม่มีอะไรจะมีค่ามากไปกว่าหัวใจของพี่รัง…พี่ลมเป็นพี่ชาย
พี่รังเข้าใจใช่มั้ยคะ…ว่าสำหรับรัก…พี่ลมคือพี่ชาย…ที่รักรักไม่น้อยไปกว่าพี่รัง…
เพียงแต่เป็นรักในคนละแบบ…ถ้าถามว่าจะให้รักเลือก
ให้ใครตายระหว่างพี่รังกับพี่ลม…รักก็คงเลือกไม่ได้…แต่ถ้าถามว่า
รักจะเลือกใช้ชีวิตรักกับใคร รักก็ตอบได้เต็มปากว่าพี่รัง…”รังสิมันต์ส่ายหน้า

“ถ้าเธอไม่คิดอะไรกับแฟนเก่าหรือบอกว่าไม่เหลือเยื่อใยให้แฟนเก่าอีกแล้ว…
แล้วทำไมยังเก็บของพวกนี้ไว้…และถ้าไอ้ลมมันเป็นแค่พี่ชายจริงๆในความรู้สึกของเธอ…
งั้นก็แสดงว่า ของพวกนี้ก็ไม่ได้มีค่ามีความหมายอะไรมากนัก…”

สิ้นรักกระตุกคิ้วด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ และยิ่งไม่เข้าใจเมื่อคนตรงหน้ายกกล่องไม้ของเธอ
แล้วถือออกนอกห้องไป…

สิ้นรักจึงวิ่งตามไปพร้อมเสียงร้องเรียก
ทว่าคนตัวโตเดินเร็วกว่าเธอหลายเท่านัก…
เนื่องจากตอนนี้เขาไม่ได้มีภาระต้องแบกลูกน้อยอย่างเธอ...

“พี่รังจะไปไหน…จะทำอะไรคะ…”รังสิมันต์เดินลงมายังโกดังเก็บของใต้ถุนเรือน
หยิบแกนลอนขนาดเล็กที่บรรจุน้ำมันติดมือออกมาพร้อมกับกล่องไม้ขีดไฟ…
ก่อนจะเดินมายังที่โล่งกว้างแล้วราดน้ำมันลงไปในกล่องไม้นั่น

สิ้นรักมองภาพนั้นจากที่ไกลๆเพราะเดินไม่คล่องตัว
จะวิ่งไปก็กลัวจะหกล้มทำให้ลูกน้อยเดือดร้อนจนอาจจะต้องออกมาดูโลกก่อนเวลาอันควร

ทว่าไม่ทันแล้ว เพราะตอนนี้ไม้ขีดได้ถูกจุดแล้วถูกโยนลงไปในกล่องไม้
ที่มีเชื้อไฟอย่างน้ำมันที่พร้อมจะลุกโชนเผาผลาญความทรงจำพิเศษของเธอ

…อะไรๆในกล่องนั่นเธอไม่ได้หวงหรือเสียดายมันอีกแล้วนอกจากผ้าเช็ดหน้าพวกนั้น…

ผ้าเช็ดหน้าของพี่ลมซึ่งตอนนี้กำลังโดนไฟเผาผลาญต่อหน้าต่อตาของเธอ…

สิ้นรักมองรังสิมันต์ด้วยน้ำตาอาบแก้ม…แววตาตัดพ้อต่อว่า

“พี่รังไม่เคยเข้าใจอะไรเลย…ไม่เคยเลย…”
สิ้นรักต่อว่ารังสิมันต์ทั้งน้ำตาด้วยความเสียใจ…

“ก็ในเมื่อมันไม่ได้มีค่ามีความหมายกับเธอแล้ว
พี่จะเผามันไปก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาไม่ใช่เหรอ…”สิ้นรักกัดปากตัวเอง…
แล้วเหมือนนึกขึ้นได้ จึงรีบเดินอุ้มท้องอุ้ยอ้าย
เพื่อเอาน้ำมารดกล่องไม้ดังกล่าว ทว่าโดนรังสิมันต์ขัดขวาง…

“จะได้ไม่มีความทรงจำอะไรหลงเหลือให้รื้อฟื้นกันอีก…”
สิ้นรักทุบเข้าที่อกของคนพูดติดๆกันหลายครั้งแล้วร้องไห้โฮ…
ก่อนจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งขึ้นห้องไป

รังสิมันต์หันกลับมามองกล่องความทรงจำที่ไฟกำลังเผาอยู่อย่างโล่งอก
อย่างน้อยก็ไม่มีอะไรคอยระแคะระคายหัวใจหรือขัดหูขัดตาเขาอีกต่อไป

ทว่าเพียงไม่นานก็เห็นร่างอุ้ยอ้ายเดินลงมาพร้อมกับอะไรบางอย่างในมือ
รังสิมันต์ตกใจเมื่อเห็นว่าอะไรอยู่ในมือของสิ้นรัก…

“เธอเอามันมาได้ยังไง…”รังสิมันต์ถามด้วยแววตาประหลาดใจ…

“พี่รังทำกับรักยังไง รักก็จะทำกับพี่อย่างนั้น…”
สิ้นรักพูดจบก็ฉีกสมุดบันทึกของรังสิมันต์ที่เขียนบันทึกถึงอากิโกะออกทีละแผ่น
แล้วขยุ้มส่งลงไปในกองไฟ รังสิมันต์พยายามยื้อยุดฉุดกระชากเอาของคืน
ทว่าอีกฝ่ายไวกว่าโยนสมุดเล่มดังกล่าวลงไปในกองเพลิง
ที่โหมกระพืออยู่ทันทีด้วยแววตาสะใจที่ได้เห็นอีกฝ่ายเจ็บปวดบ้าง…

“จะได้ไม่มีความทรงจำอะไรหลงเหลือให้รื้อฟื้นอีกไงล่ะคะ…”

สิ้นรักกล่าวถ้อยคำที่รังสิมันต์กล่าวกับเธอก่อนหน้านี้ด้วยแววตาที่คลอไปด้วยน้ำตา

…ใช่ว่าเธออยากจะทำกับเขาแบบนี้…แต่สิ่งที่เขาทำกับเธอมันมากเกินไป…
มากเกินที่เธอจะทนได้

…เขาไม่เคยไว้ใจเธอ ไม่เคยเชื่อใจเธอ…ไม่ยอมฟังเธอ แถมยังหึงเธออย่างไร้เหตุผลสิ้นดี…
ทั้งๆที่เธอก็ยืนยันความบริสุทธิ์ใจให้เขาฟังซ้ำๆครั้งแล้วครั้งเล่า
ทว่าเขาไม่เคยเชื่อ ไม่เคยเลย…

ส่วนรังสิมันต์ได้แต่มองสมุดบันทึกนิ่ง ก่อนจะหาไม้ที่อยู่แถวๆนั้นมาเขี่ยมันออก
สิ้นรักมองภาพสามีของตัวเองเขี่ยซากสมุดเล่มนั้นออกมาจากกองไฟ
ด้วยน้ำตาของความเจ็บปวด…ก่อนจะปาดน้ำตาแล้วเดินเข้าบ้านไปอย่างเงียบๆ

…แต่กลับสวนทางกับหญิงชราผู้เป็นแม่นม…

“เกิดอะไรขึ้นหนูรัก…”น้ำเสียงนั้นฟังดูห่วงใย สิ้นรักจึงเดินเข้าไป
แล้วสวมกอดหญิงชราเอาไว้แน่น…น้ำตาร่วงลงมาอีกระลอก…

หญิงชราจึงได้แต่ลูบหลังสิ้นรักเบาๆ…พร้อมกับมองภาพของนายน้อยของตน
ที่กำลังนั่งคุกเข่าสนใจอยู่กับอะไรบางอย่างข้างๆกองไฟ…

“รักไม่อยากทนอีกแล้วค่ะนม…ไม่อยากทนอีกแล้ว…”

“ไม่เอานะคะ…มีอะไรก็ควรจะพูดจากันดีๆ…ใจเย็นๆ…”

“เย็นไม่ไหวแล้วค่ะ…ไม่ไหวแล้วจริงๆ…”หญิงชราลอบถอนใจ
ก่อนจะดึงร่างนั้นออกแล้วกล่าวว่า

“เราควรจะรักษาความรักที่มีให้ดีที่สุดก่อนจะสาย…ถ้าหนูรักรักนายน้อย
หนูรักก็ต้องอดทน…ไม่มีอะไรจะชนะความอดทนได้…”
สิ้นรักยกมือปาดน้ำตาแล้วกล่าวว่า

“รักจะกลับไปหาพ่อบันค่ะนม…”

“จะกลับไปได้ไงคะ…นี่ก็ใกล้กำหนดคลอดแล้ว…”
หญิงชราค้านด้วยน้ำเสียงนิ่มนวล…ทว่าอีกฝ่ายกลับส่ายหน้า

“ไม่รู้ล่ะค่ะ…ถ้ารักไม่ไปตอนนี้…รักกับพี่รังอาจแตกหักกันเลยก็ได้…”
หญิงชราลูบบ่าของสิ้นรักเบาๆขณะกล่าวว่า

“ยามที่ผู้หญิงเราคลอด…มีอยู่สามอย่างที่เราจะนึกถึง…
หนึ่งคือพระเจ้า สองคือแม่ของเรา และสามก็คือสามีซึ่งเป็นพ่อของลูกเรา”
สิ้นรักถึงกับนิ่งเมื่อได้ฟังดังนั้น…

“เชื่อนมเถอะนะคะ…ถึงตอนนั้น หนูรักอาจต้องการนายน้อย…อย่าเพิ่งไปเลยนะคะ…”
พูดพลางประคองร่างสิ้นรักเดินกลับขึ้นเรือนแล้วพาไปยังเตียงนอน…

“พักผ่อนก่อนนะคะ…เดี๋ยวพอตื่นขึ้นมา ทุกอย่างจะดีขึ้นเอง…
นมจะอยู่ตรงนี้ จะไม่ให้นายน้อยมาคอยกวนใจ…”หญิงชรากล่าวอย่างรู้ใจ
ทำเอาสิ้นรักถึงกับยิ้มบาง…

“ขอบคุณค่ะนม…”พูดจบสิ้นรักก็พยายามหลับตาลง…
พยายามไม่ให้คิดถึงเรื่องที่เพิ่งเจอมา…พยายามมองให้เรื่องพวกนั้นเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ
ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร…เพียงไม่นาน ลมหายใจของเธอก็เริ่มสม่ำเสมอ

หญิงชรามองภาพหญิงสาวที่ใบหน้ายังคงเปื้อนคราบน้ำตาอย่างห่วงๆ

เรื่องนี้หล่อนคงต้องปรึกษากับนายหญิงแพรวาเสียแล้ว…
จะปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปคงไม่ได้…
เพราะอีกไม่กี่วันพ่อของสิ้นรักก็จะเดินทางมาหาลูกสาวที่นี่แล้ว…
หล่อนไม่อยากให้พ่อของสิ้นรักรับรู้เรื่องราวเหล่านี้นัก…
ด้วยรู้ดีว่าอีกฝ่ายคงไม่ชอบใจนักถ้าได้รู้ว่าลูกสาวต้องจมกองน้ำตาแบบนี้…




“นมไม่อยากให้นายน้อยทำแบบนี้…ไม่ควรทำให้เมียตัวเองต้องร้องไห้ถึงขนาดนี้…
มันจะส่งผลถึงลูกของนายน้อยด้วยนะคะ...นายน้อยเป็นหมอน่าจะรู้ดี...”
หญิงชรากล่าวกับรังสิมันต์ตอนที่อยู่ด้วยกันในห้องรับแขก

“ก่อนหน้านี้นมไม่รู้ แต่ตั้งแต่นมมาอยู่ที่นี่…หลายๆครั้งนมเห็นแววตาเศร้าๆ
และดวงตาบวมเป่งเพราะร้องไห้มาอย่างหนักของหนูรัก
หญิงสาวที่นมเคยเห็นร่าเริงสดใสเหมือนได้หายไปตั้งแต่แต่งงาน…”
รังสิมันต์ก้มหน้านิ่ง…

“นมไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นระหว่างนายน้อยกับหนูรัก แต่ถ้านายน้อยรักหนูรัก
ก็น่าจะทำให้เธอย้ิมสดใส ไม่ใช่จมอยู่กับกองน้ำตาแบบนี้…

พ่อของเธอฝากเธอให้นายน้อยดูแล นายน้อยก็น่าจะทำหน้าที่ให้ดีกว่านี้
นมไม่อยากยุ่ง แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้…”หญิงชรามองหน้ารังสิมันต์
หรือนายน้อยของตัวเองด้วยแววตาห่วงใย

ทำไมหล่อนจะไม่รู้จักคนตรงหน้า ในเมื่อหล่อนเป็นคนเลี้ยงดูมาตั้งแต่ยังแบเบาะ…

แม้ภายนอกนายน้อยของหล่อนจะดูใจเย็น แววตาอ่อนโยน
หากลึกลงไป นายน้อยของหล่อนก็ไม่ต่างจากเด็กชายรังสิมันต์เมื่อตอนยังเยาว์
ที่แม้จะเป็นผู้เสียสละให้กับน้องชายและคนรอบข้างจนดูเจนตา

ทว่าจริงๆแล้ว นายน้อยของหล่อนก็ไม่ได้ต่างจากคนทั่วไป
ที่ยังไม่อาจละความรักความหวงในสิ่งที่คิดว่าเป็นของตนได้จริงๆ…

ของอื่นๆนายน้อยของหล่อนอาจจะยอมเสียสละให้น้องชายได้…
แต่ถ้าเป็นของใช้ส่วนตัวอย่างผ้าเช็ดตัว นายน้อยของหล่อน
ไม่เคยยอมให้น้องชายยืมใช้แม้แต่นิด และดูจะหวงเสียยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด…

โดยให้เหตุผลว่า ของอย่างอื่นถ้าอยากได้ก็เอาไป
แต่ของใช้ส่วนตัวพี่ไม่ยอมให้ใครใช้ร่วมแน่ๆ…และเหมือนน้องชายตัวดีจะหมั่นหาเรื่องแกล้งพี่ชาย
โดยการนำผ้าเช็ดตัวของพี่ชายไปซ่อนเอาไว้ในห้องของตัวเองบ้าง
จนทำให้เกิดเรื่องราวทะเลาะกันใหญ่โต จนบ้านแทบลุกเป็นไฟ
เมื่อนายน้อยของหล่อนเข้าไปเจอผ้าเช็ดตัวของตัวเองแขวนอยู่ในห้องน้ำของน้องชาย…

ตอนนั้นนายน้อยของหล่อนอาละวาดบ้านแตก
และต่อว่าน้องชายเสียจนน้องชายไม่กล้าหือ…ก่อนจะเอาผ้าเช็ดตัวคืน
พร้อมกับสั่งเสียงเข้มว่าอย่ามายุ่งกับผ้าเช็ดตัวของพี่อีก…ไม่งั้นเจอดี…

บทจะเอาจริง นายน้อยของหล่อนก็ทำได้ไม่หยอกเลย…
สำหรับคนอื่นอาจจะมองเป็นเรื่องเล็กๆจนไม่น่าจะนำมาเป็นประเด็นให้ต้องทะเลาะกัน
จนบ้านลุกเป็นไฟ...แต่สำหรับนายน้อยของเธอแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่
ที่จะยอมให้กันไม่ได้เลย...

ซึ่งหลังจากนั้นนายน้อยของเธอก็เอาผ้าเช็ดตัวไปขัดแล้วขัดอีก ซักอยู่ไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ
แล้วนำไปผึ่งแดด พอแห้งก็นำมาซักอีก ผึ่งแดดอีก
ทำอยู่อย่างนั้นไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ…

หล่อนเองยังเคยแนะนำให้ใช้ผืนใหม่ แต่เจ้าตัวกลับไม่ยอม บอกว่าผืนใหม่ไม่เอา
ผืนนี้เป็นของเขา เขาจะไม่ยอมทิ้งมันเพียงเพราะมันโดนน้องชายแอบย่องเอาไปใช้
แค่ชั่วคราวแน่ๆ…ทั้งๆที่ความจริงแล้วน้องชายของนายน้อยไม่ได้แตะต้องมันเลยสักนิด
เพียงแค่นึกสนุกอยากแกล้งพี่ชายเล่นก็เท่านั้น…

“เรื่องระหว่างผมกับหนูรักของนมมันมีอะไรมากกว่าที่นมเห็น…
และผมเองก็ยังทำใจกับเรื่องราวที่ผมอยากจะลืมมันไปไม่ได้…
ผมเองก็อยากให้แน่ใจว่าคนที่ผมรัก จะรับในตัวตนของผมจริงๆได้…

ผมก็แค่คนธรรมดาๆคนหนึ่ง ไม่ใช่เจ้าชาย ไม่ใช่เทพบุตร…
วันนี้เธออาจจะยอมทุกอย่างเพื่อผม…แต่บางที…วันที่เธอได้รู้ว่าผมไม่ใช่คนที่เธอฝัน…
และต้องอยู่กับความรู้สึกที่ต้องฝืนทน…เธออาจจะรับไม่ได้…

นมก็รู้ว่าหนูรักของนมเป็นผู้หญิงช่างฝัน…ผมอาจเป็นดั่งภาพฝัน
อันแสนสวยงามให้เธอได้ไม่ดีก็ได้…แล้ววันนึงเธออาจจะทิ้งผมไป…

ผมเองก็ไม่อยากให้วันนั้นมาถึง…แต่ผมก็ไม่อาจสร้างภาพฝัน
ให้เธอมีความสุขไปวันๆได้ตลอดเวลา…ผมไม่เก่งขนาดนั้น…
ผมไม่เก่งเท่าพ่อบันของเธอ…นมก็เห็นว่าผมพยายามแค่ไหน
ไม่ให้เธอรับรู้ในเรื่องที่ชวนให้เครียด…ไม่ให้เธอได้รับรู้เรื่องที่อยู่
นอกประตูหน้าต่างของบ้าน…”ด้วยภาระหน้าที่ของเขา มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย
แต่ไม่เคยเลยสักครั้งที่เขาจะนำเรื่องเหล่านั้นเข้ามากวนใจเธอในบ้าน…
เพราะไม่อยากให้เธอทุกข์กังวลไปกับปัญหาของเขาที่เข้ามาหาเขาไม่เว้นแต่ละวัน

…เขายินดีที่จะแบกปัญหาและความทุกข์ใจเหล่านั้นไว้คนเดียว…

ทว่าทั้งหมดที่เขาทำมันไม่ช่วยให้เธอยิ้มสดใสได้อย่างที่เขาคาดหวังไว้…

“นมจะให้ผมทำยังไง…ในเมื่อผมก็เป็นแค่คนธรรมดาคนนึง…
ที่เจ็บปวดเป็น เสียใจเป็นเหมือนกัน…”
หญิงชราได้แต่นั่งนิ่ง มองคนตรงหน้าอย่างเห็นอกเห็นใจ…

“แล้วเรื่องหนูอากิล่ะคะ…นายน้อยยัง…”หญิงชราหยุดไว้แค่นั้น…
เพราะกระดากที่จะพูดต่อ…รังสิมันต์มองหน้าคนถามแล้วส่ายหน้า

“ผมยอมรับว่ารักอากิมาก รักจนสามารถเอาชีวิตเข้าแลกได้…
เพราะรักของผมที่มีต่อเธอ มันเกิดขึ้นมาจากความเห็นอกเห็นใจ
ผมสงสารเธอ อยากให้เธอพ้นจากความทุกข์ อยากเห็นเธอยิ้มได้ มีความสุข…
เวลาเธอทุกข์ ผมก็อยากแบ่งเบาความทุกข์นั้นจากเธอบ้าง

ถ้าจะพูดจากใจ ผมก็พูดได้เต็มปากว่ารักนั้นยังคงอยู่ เพียงแต่มันไม่ใช่ความรักแบบชู้สาว
เป็นความรักความห่วงใย ความเห็นอกเห็นใจ
ผมไม่ได้อยากครอบครองร่างกายและจิตใจของเธอ…แต่ก็ยังห่วงใยเธอเสมอมาไม่มีเปลี่ยน…”

“แล้วกับหนูรักล่ะคะ…”รังสิมันต์นิ่งไปครู่นึงก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า

“สำหรับหนูรักของนม มันมากกว่านั้น เธอเป็นมากกว่ารัก…
มันเป็นความรักความผูกพัน…เราโตมาด้วยกัน ผ่านเรื่องดีร้ายมาด้วยกัน
ให้คำปรึกษา ปลอบใจกันและกันมา…ด้วยความผูกพันมันเกินกว่ารัก…

เวลาที่เธอร้องไห้เรียกหาผม ผมก็อยากคอยเป็นคนดูแลอยู่ข้างๆ…
และตั้งใจ หวังไว้เสมอว่าจะเป็นคนคอยดูแลเธอ…ยิ่งต้องพลัดพรากจากกัน
ก็ยิ่งทำให้คิดถึง…”รังสิมันต์หยุดนิดนึง นึกถึงภาพวันเก่าๆที่ยังคงตรึงตราอยู่ในหัวใจไม่ลืมเลือน…

“สายสัมพันธ์ที่มีระหว่างเรามันมากกว่ารัก มากเกินกว่าคำว่ารัก…
มากกว่าจะเอ่ยออกมาเป็นคำพูดไหน…”

“ยิ่งได้เห็นว่าเธอกลับมา ผมก็อยากจะทวงวันเวลาเก่าๆให้กลับมาอีกครั้ง
ตั้งใจไว้ว่าจะดูแลเธอให้ดีที่สุด…ยิ่งผมได้ใช้ชีวิตคู่กับเธอ ผมก็ยิ่งรักเธอเพิ่มขึ้น
เธอเป็นยิ่งกว่าหัวใจของผม…นมจะให้ผมยกหัวใจผมให้ใครได้ล่ะครับ…
นมเองก็รู้ดีว่าผมเป็นคนหวงของใช้ส่วนตัวแค่ไหน…
และสำหรับตำแหน่งเมีย…มันยิ่งกว่าของใช้ส่วนตัว…”

“รักแต่ทำไมต้องทำให้ร้องไห้ล่ะคะ…”หญิงชราติง…

“ผมก็ไม่ได้อยากทำให้เธอร้องไห้ แต่บางครั้งมันก็มีบางเรื่องที่เราก็ควบคุมไม่ได้…”
รังสิมันต์กล่าวด้วยแววตาเจ็บปวด…

หัวใจเป็นอะไรที่ควบคุมได้ยากเหลือเกิน…
โดยเฉพาะการพยายามควบคุมให้อยู่ในทิศทางที่ควรจะเป็น…




สิ้นรักตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าเป็นเวลาย่ำเย็น…หญิงสาวพยายามมองหาแม่นมไปรอบๆห้อง
ทว่ากลับไม่พบ เธอจึงลุกขึ้นเข้าห้องน้ำ
อาบน้ำให้ร่างกายสดชื่นแล้วกลับออกมาอีกครั้งก็ไม่พบใคร แม้แต่สามีของตัวเอง…

สิ้นรักจึงค่อยๆเดินไปยังห้องรับแขก…
พบเพียงผักหวานที่กำลังจัดโต๊ะอาหารเย็น…

“คนอื่นๆล่ะผักหวาน…”

“นายหัวกับยายฝากบอกว่านายหญิงแพรวาเป็นลมเข้าโรงพยาบาล
ทั้งสองก็เลยกลับไปดูอาการที่อ่าวพระนางน่ะค่ะ…และบอกว่า
ให้ผักหวานอยู่เป็นเพื่อนนายหญิง…อย่าให้นายหญิงตามออกไปเด็ดขาด”
สิ้นรักพยักหน้าเข้าใจ

“แล้วอาการท่านหนักมากมั้ย…”

“ผักหวานก็ไม่ทราบค่ะ…”สิ้นรักลอบถอนใจอย่างหนักหน่วงและแอบต่อว่าทั้งสอง
ที่ไปโดยไม่บอกเธอสักคำ เธอจะได้ติดตามไปด้วย…

สิ้นรักจึงยกหูโทรศัพท์โทรหาทางโน้น แต่ไม่มีใครรับสายเลย…
เธอจึงออกอาการร้อนรนนั่งไม่ติด เดินไปเดินมาจนต้องโทรไปหาเวนไตยที่อยู่ที่เกาะชิงชัง…

“พ่อบันอยู่มั้ยครูครุฑ…”

“อยู่ครับ…คุณหนูอยากคุยกับท่านเหรอ…”

“เปล่าหรอก…แค่โทรมาถามข่าวคราวว่าท่านเป็นยังไงบ้าง
แล้วจะมาเกาะรังรักวันไหน…”

“เห็นท่านบอกว่าจะไปหาคุณหนูสัปดาห์หน้าครับ…”

“งั้นดีเลย…ตอนนี้เธอว่างมั้ย…”คนทางโน้นถึงกับขมวดคิ้วนิดนึง
กับคำถามดังกล่าว เพราะถ้าถามเช่นนี้แสดงว่าต้องมีอะไรให้เขาทำเป็นแน่

“มีอะไรให้ผมช่วยครับ…”

“มารับพี่หน่อยสิ…พี่อยากไปอ่าวพระนาง แต่ทางนี้ไม่ยอมให้ไป…”

“ทำไมล่ะครับ…”

“ก็พี่รังกับนมน่ะสิแอบหนีพี่ไปเยี่ยมดูอาการแม่แพรวโดยไม่บอกกันสักคำ
แถมยังสั่งกำชับไม่ให้ใครพาพี่ไปที่นั่นด้วย…แต่พี่อยากไป…
พี่ร้อนใจน่ะ…ช่วยพี่หน่อยนะครูครุฑ…พี่ขอร้องล่ะ…”

“ตอนนี้น่ะเหรอครับ…”

“ใช่…ไม่งั้นพี่นอนไม่หลับแน่…”

“แต่มืดๆค่ำๆแบบนี้มันอันตราย…”

“พี่ถึงได้ขอร้องเธอไง เพราะรู้ว่าเธอไว้ใจได้ และพี่จะปลอดภัยถ้าไปกับเธอ
อย่าปฏิเสธพี่เลยนะ…แล้วอย่าบอกเรื่องนี้กับพ่อบันเด็ดขาด
เดี๋ยวท่านจะตื่นตกใจ เอาไว้พี่จะเป็นคนบอกท่านทีหลังเอง…”

เวนไตยถึงกับลอบถอนใจให้กับความเอาแต่ใจของลูกสาวคนเดียวของคุณป๋าของเขา…
แต่ก็พอเข้าใจ…จึงตกปากรับคำไปทั้งๆที่รู้ว่าอาจจะมีปัญหาตามมาภายหลังหากนายหัวรังรู้เรื่องเข้า…

ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา เวนไตยจึงมาหยุดอยู่ที่ท่าเรือของเกาะรังรัก…
ซึ่งมีสิ้นรักยืนแอบอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว…ร่างอุ้ยอ้ายรีบย่องขึ้นเรือของเวนไตย…
ทว่าไม่พ้นสายตาของเจ้าท่า…

“นายหญิงจะไปไหนครับ…”สายตาของเจ้าท่าจับไปที่เรือของเวนไตย
ก่อนจะเข้ามาเทียบท่าเสียด้วยซ้ำ แต่เพราะรู้ว่าเป็นเรือของคนคุ้นเคย
จึงปล่อยให้ผ่านน่านน้ำเข้ามาเทียบท่าได้อย่างง่ายดาย…

“ไปอ่าวพระนาง…”สิ้นรักตอบเสียงตะกุกตะกัก

“แต่นายหัวสั่งห้ามไม่ให้นายหญิงไปไหน…”

“นายเม่นก็เห็นว่าฉันไปกับใคร…และใครก็ห้ามฉันไม่ได้ด้วย…
เอาไว้เรื่องนี้ฉันจะเป็นคนเคลียร์กับนายหัวของนายเม่นเอง…ไปกันเถอะครูครุฑ…”

พูดจบก็หันไปบอกกับคนขับทันที เวนไตยจึงหันไปยิ้มให้เจ้าท่านิดนึงก่อนจะออกเรือ…

“นายหัวเอาแกตายแน่งานนี้ไอ้เม่นเอ้ย…”เจ้าท่าถึงกับเกาหัวแกรกๆอย่างกังวลใจ…




สิ้นรักมุ่งไปยังบ้านที่อ่าวพระนางเป็นอันดับแรก เพราะไม่แน่ใจว่า
มารดาของสามีอยู่โรงพยาบาลไหนและอยู่ตึกไหนกันแน่…

เธอจึงตั้งใจจะไปถามข่าวคราวจากคนที่นั่นก่อน…ทว่าพอไปถึง
กลับไม่เจอใครเลยนอกจากแม่บ้านกับยาม…

“คนในบ้านไปไหนกันหมด…”สิ้นรักถามแม่บ้าน

“ไปโรงพยาบาลกันหมดค่ะ…เว้นแต่คุณรัก เธอไปต่างประเทศตั้งแต่ตอนเช้า…
ก็เลยยังไม่ทราบข่าวนายหญิงแพรวาน่ะค่ะ”

สิ้นรักพยักหน้า…แสดงว่าบ้านนี้ก็มีสมาชิกเพียงแค่อากิโกะกับลูกๆซึ่งตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล

“นี่ก็ดึกมากแล้ว…ปริมว่านายหญิงขึ้นไปพักข้างบนก่อนดีกว่านะคะ…
เอาไว้ค่อยไปเยี่ยมดูอาการนายหญิงแพรวาพรุ่งนี้เช้าดีกว่า…
เพราะปริมได้ข่าวมาแล้วว่าท่านไม่เป็นอะไรมากค่ะ…
แต่หมอให้นอนดูอาการอีกสักนิดที่โรงพยาบาล…”สิ้นรักรู้สึกโล่งใจที่ได้ยินเช่นนั้น…
จึงพยักหน้าก่อนจะหันไปทางเวนไตยแล้วหันมาทางแม่บ้าน…

“จัดห้องให้เวนไตยด้วยนะ…”

“ค่ะนายหญิง…”สิ้นรักยิ้มให้เวนไตยขณะกล่าวขอบคุณ

“ขอบคุณมากเลยนะครูครุฑที่ช่วยพาพี่มาที่นี่…พี่รบกวนจริงๆ…”

“ไม่เป็นไรครับ…”พูดจบเวนไตยก็ถูกพาไปยังห้องพักซึ่งเป็นห้องพักของแขก...
อยู่ไม่ไกลกับห้องของรังสิมันต์ที่สิ้นรักจะขึ้นไปพัก…

ไม่กี่นาทีต่อมา…เสียงเครื่องยนต์ก็ดังขึ้น ทำให้สิ้นรักที่อาบน้ำ
ชำระคราบเหนียวเหนอะของทะเลเสร็จพอดีจึงรีบสวมชุดนอน
เดินออกมาที่ระเบียงห้องนอนเพื่อดูว่าใช่รถของสามีของเธอหรือเปล่า…

เห็นภาพรังสิมันต์เปิดประตูรถให้อากิโกะแล้วอุ้มร่างของเด็กสาวตัวน้อยขึ้นแบก
โดยที่เด็กชายตัวน้อยเดินงัวเงียมีแม่คอยประคองปีก…

สิ้นรักรีบออกจากห้องนอนหวังจะเดินไปถามไถ่อาการของมารดาสามี
และตั้งใจจะออกไปจัดหาอะไรร้อนๆให้ทั้งหมดทาน…เพราะดึกขนาดนี้
แม่บ้านคงกลับไปนอนที่ห้องพักเรียบร้อยแล้วแน่ๆ…

ทว่ายังไม่ทันออกจากห้องก็ได้ยินเสียงคนกำลังเดินขึ้นบันไดมา…
สิ้นรักที่นึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองทำผิดจึงยังไม่กล้าเปิดเผยตัวเอง
เพราะว่าแอบหนีมาจึงได้แต่แง้มประตูมองรังสิมันต์ที่อุ้มหลานสาวเข้าห้องไป
พร้อมๆกับอากิโกะ…

ไม่นานทั้งสองก็เดินออกมาจากห้องแล้วเดินลงไปข้างล่าง

สิ้นรักค่อยๆย่องตามไปไม่ให้ทั้งสองรู้ตัว…เห็นทั้งสองเดินไปยังห้องครัว
เสียงดังก๊อกแก๊กออกมาจากในนั้น ทำให้สิ้นรักย่องเข้าไปแอบยืนดู

เห็นภาพทั้งสองกำลังอุ่นอาหารนั่งทานด้วยกันอยู่…
หูแว่วได้ยินบทสนทนาระหว่างทั้งสอง


“ผมว่าจะพาทุกคนไปอยู่ด้วยกันที่เกาะ เพราะตอนนี้ที่นี่ไม่มีใคร
มีแต่ผู้หญิงทั้งนั้น…มันไม่ค่อยปลอดภัย…เรื่องเรียนของเจ้าแฝดก็ไม่น่าจะมีปัญหา
เพราะว่าเป็นช่วงปิดเทอม กว่านายรักจะกลับก็อีกหลายวัน…”

อากิโกะออกจะหนักใจนิดๆ เพราะว่าสามีของเธอไปติดต่องานแทนพี่ชายคนโตของเธอ
ที่ยังไม่พร้อมเดินทางไกล…และคงไปหลายวัน
ทั้งๆที่เธอเองก็อยากให้สามีอยู่ด้วยกันในช่วงนี้ สามีของเธอเองก็ต้องการเช่นนั้น
เพราะเปรยๆว่าตอนเจ้าแฝดคลอดเขาไม่ได้อยู่ด้วย
ลูกคนนี้เขาก็เลยอยากอยู่ด้วย…แต่ก็มีงานเข้ามา…
ทำให้ต้องไปต่างประเทศหลายวัน นี่เธอเองก็พ้นกำหนดคลอดมาหลายวันแล้วด้วย…

“แล้วคุณแม่ว่าไงล่ะคะ…”

“คุยกันแล้วก่อนจะกลับมานี่…ท่านเห็นด้วย…เห็นบอกว่าอยากเห็นหลานทั้งสองคลอดออกมา…
อยู่ด้วยกันทั้งหมดก็ดีเหมือนกัน…”อากิโกะจึงได้พยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม…
ก่อนจะก้มหน้าตักอาหารใส่ปาก…เนื่องจากยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย…
รังสิมันต์เห็นหญิงสาวกินน้อยก็เลยตักอาหารบริการให้…

“กินอีกสักนิดสิ…”

“ขอบคุณค่ะ…”

“คุณขึ้นไปนอนเถอะ เดี๋ยวทางนี้ผมจะเป็นคนจัดการเอง…”รังสิมันต์อาสา
เมื่อเห็นอากิโกะเก็บจานชาม…

“ได้ไงคะ…ปล่อยให้เป็นเรื่องของผู้หญิงเถอะค่ะ…”รังสิมันต์ไม่สนใจ
แย่งจานชามจากมือของหญิงสาวแล้วนำไปล้างอย่างหน้าตาเฉย…

“งั้นเอางี้แล้วกันนะคะ…คุณหมอล้างจานไป เดี๋ยวฉันเก็บกวาดเอง”

แต่ยังเดินไปไม่ทันถึงไม้กวาด หญิงสาวก็เกือบหน้าคะมำด้วยเพราะพื้นลื่น
ทว่ารังสิมันต์หันมารับร่างนั้นไว้ได้ทัน…ทำเอาหัวจิตหัวใจของอากิโกะหล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่ม…
ร่างอุ้ยอ้ายจึงตกอยู่ในวงแขนของรังสิมันต์
ทำเอาคนที่แอบดูอยู่ถึงกับอ้าปากค้าง ตาโตกับภาพดังกล่าว
จนแทบจะเดินออกไปปรากฏกายต่อหน้าท้ังสอง ทว่าโดนเวนไตย
ที่เดินตามมาลากกลับเข้าไปยังที่เดิมเสียก่อน…

“อย่าเพิ่งเอะอะไปคุณหนู…รีบขึ้นห้องแล้วแกล้งนอนหลับซะจะได้ไม่เป็นเรื่อง…”

เวนไตยแนะนำด้วยเสียงกระซิบแผ่วเบา
เพราะเขาเองก็ยังไม่อยากมีเรื่องกับใครตอนนี้…โดยเฉพาะกับนายหัวรัง…

สิ้นรักไม่ขัดข้อง ทว่าก่อนไปยังแง้มหน้าไปมองคนในห้องครัว
ก็เห็นว่าสถานการณ์ทุกอย่างดีขึ้นกว่าเมื่อครู่…ทั้งสองช่วยกันเก็บกวาดห้องครัวอยู่…


กว่ารังสิมันต์จะกลับเข้าห้องก็อีกสักครู่ใหญ่ๆ ทำให้สิ้นรัก
ที่นอนคอยอยู่ถึงกับนอนถอนหายใจฮึดฮัดด้วยสีหน้าไม่ชอบใจพลางบ่นอุบอิบ…

“มัวทำอะไรอยู่นะ…”ร่างบางทำท่าจะลุกขึ้นไปดูอย่างใจคิด
ทว่าเสียงฝีเท้าหนักๆเดินมาหยุดอยู่หน้าประตูห้อง ทำให้เธอต้องกลับลงไปนอนอีกครั้ง
พยายามข่มตาหลับ…หูก็เฝ้าฟังเสียงประตูที่ถูกเปิดออก
ไฟในห้องสว่างโร่หากสิ้นรักยังคงแสร้งหลับต่อไป…

รังสิมันต์ประหลาดใจกับภาพตรงหน้า
ก่อนจะเดินไปที่เตียงเพื่อดูให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้ตาฝาด…

และเป็นจริงดังที่เขาเห็น…ภรรยาของเขากำลังนอนหลับพริ้มอยู่บนเตียง
โดยที่เขาอดแปลกใจไม่ได้ว่าเธอมาอยู่ที่นี่ตอนนี้ได้ยังไงและตั้งแต่ตอนไหน…

รังสิมันต์ยิ้มที่มุมปากนิดนึงก่อนจะค่อยๆก้มลงจุมพิตสิ้นรักที่หน้าผากเบาๆ
ก่อนจะปัดปอยผมที่ปรกหน้าให้อย่างเบามือแล้วเดินไปหยิบชุดนอนเข้าห้องน้ำไป…

สิ้นรักที่หลับตาอยู่ลืมตาปรือทันทีก่อนจะระบายยิ้มออกมา…
สัมผัสอ่อนโยนเมื่อครู่ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นอย่างบอกไม่ถูก…

สักพักเสียงน้ำก็หยุดลง ก่อนที่เสียงฝีเท้าจะเดินเข้ามาใกล้เตียงนอน
สิ้นรักรู้สึกถึงเบาะที่ยุบตัวลง กลิ่นอ่อนๆของสบู่แตะจมูกของเธอ
ไม่นานวงแขนของเขาก็รวบร่างของเธอเข้าไปกอด…
จมูกโด่งของเขาฝังลงที่พวงแก้มของเธอพร้อมกับเสียงกระซิบข้างๆหูเธอเบาๆว่า…

“เด็กดื้อ…”น้ำเสียงและถ้อยคำนั้นทำให้คนที่แกล้งหลับอยู่ลืมตาตื่นขึ้นมาทันที
รังสิมันต์ยิ้มที่มุมปากก่อนจะกล่าวว่า

“พี่รู้ว่าเธอแกล้งหลับเพ่ืออำพรางความผิด…”

“รักไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย…”สิ้นรักแก้

“มากับใครบอกพี่ได้มั้ย…”เสียงทุ้มถามชิดหู

“กับครูครุฑ…”รังสิมันต์พยักหน้า

“ช่างกล้า…ไม่กลัวจะโดนดีบ้างรึไง…”

“ไม่กลัว เพราะครูครุฑเก่ง…”หญิงสาวเชิดหน้าตอบ…

“ตอนแรกพี่กะจะนอนกับเจ้าแฝดซะแล้ว กะว่าจะกลับเข้าห้องเพื่อจะอาบน้ำ
แต่พอมาเจอเธอนอนรอพี่อยู่…พี่ก็เลยเปลี่ยนใจ…กอดเด็กไหนจะอุ่นเท่ากอดเมีย…”
พูดจบก็หอมแก้มสิ้นรักอีกฟอดใหญ่

“รักก็นึกว่าจะนอนกอดแม่เด็กซะอีก…เห็นไม่ยอมเข้าห้องสักที…”
รังสิมันต์ถึงกับชะงักกับถ้อยคำและน้ำเสียงราวกับประชดประชันเขา

“แม่เด็กกอดไม่ได้ เพราะเขามีสามีแล้ว…”รังสิมันต์พูดเสียงอ้อน

“กอดไม่ได้…ฮึ…”สิ้นรักทำเสียงขึ้นจมูกก่อนจะหลุดคำพูดออกมาว่า

“ก็เห็นๆอยู่ว่ายืนกอดกันกลมในห้องครัว…”
รังสิมันต์ตกใจกับถ้อยคำดังกล่าวที่หลุดจากปากของสิ้นรัก…

“มันเป็นอุบัติเหตุ…ถ้าเธอเฝ้ามองอยู่ตลอดเวลาก็น่าจะรู้ว่ามันเป็นอุบัติเหตุมากกว่าจงใจ…”
แต่เธอรับไม่ได้นี่…สิ้นรักตอบในใจ

“รู้ว่าเป็นอุบัติเหตุ แต่แววตาของพี่มันฟ้องอีกอย่าง…”

“หาเรื่องพี่แล้ว…”รังสิมันต์แก้เสียงหลง…

“ไม่ได้หาเรื่อง แต่ภาพมันชวนให้คิด…”

“อากิไม่ใช่ผู้หญิงแบบนั้น…”

“แล้วพี่รังล่ะ…เป็นผู้ชายแบบไหน…”สิ้นรักถามกลับ…

“แล้วเธอเห็นพี่เป็นผู้ชายแบบไหนล่ะ…”เมื่อโดนถามกลับบ้าง
สิ้นรักจึงได้แต่อ้ำอึ้งพูดไม่ออก…

“ไม่เอาไม่พูดแล้ว…”สิ้นรักตัดบทเสีย…

“หันหน้ามาทางพี่นี่…”รังสิมันต์รั้งร่างบางให้หันหน้ามาทางเขา
และเมื่อหันมา สิ้นรักก็พบกับแววตาสีนิลเป็นประกายหวานซึ้ง

“จำตอนที่เธอแกล้งพี่สมัยเรียนมหาลัยได้มั้ย…ตอนที่เธอแกล้งเอาผ้าขนหนูของพี่
ที่เธอแอบเอาไปเช็ดตัวให้แมวมาให้พี่ในห้องน้ำน่ะ…”
สิ้นรักถึงกับยิ้มเขินเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อนานมาแล้ว…

“เธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้พี่รู้สึกว่าอยากจูบ…แล้วก็เป็นคนแรกและคนเดียวที่พี่จูบ”

สิ้นรักเบิกตากว้าง เพราะแทบไม่เชื่อว่าตอนนั้นพี่รังจะอยากจูบเธอจริงๆ…
เขาเป็นคนบอกเองว่าไม่มีทางทำอะไรแบบนั้นกับคนอย่างเธอแน่ๆ…

“แสดงว่าถ้าพี่ลมไม่มาเสียก่อน พี่รังจะจูบรักจริงๆเหรอ…”รังสิมันต์อมยิ้ม

“ไม่แน่…เพราะตอนนั้นเธอน่าจูบไม่ต่างจากตอนนี้เลย…
คิดแล้วก็ยังเสียดายที่ตอนนั้นไม่ทันได้จูบเธอ ไอ้ลมก็มาขัดคอเสียก่อน”

พูดจบรังสิมันต์ก็จุมพิตริมฝีปากนุ่มนั้นอย่างรักใคร่เนิ่นนาน…
สิ้นรักจึงจูบตอบอย่างเต็มอกเต็มใจ…

“พอนึกย้อนกลับไป…พี่คิดว่าเธอคือรักแรกของพี่นะ…
เพราะถ้าไม่รักพี่คงไม่อยากจูบ…ไม่อยากกอด…”

“สำหรับรักพี่เป็นจูบแรก เป็นคนแรก…และจะเป็นคนสุดท้าย…”

“พี่เองก็อยากให้เป็นแบบนั้นเหมือนกัน…”รังสิมันต์กล่าวพลาง
ปัดปอยผมออกแล้วจุมพิตหน้าผากนั้นหนักๆหนึ่งครั้ง…

“พี่ดีใจที่คืนนี้พี่ไม่ต้องนอนคนเดียว…”

“รักก็ไม่อยากนอนคนเดียวเหมือนกันค่ะ…”

"พ่อขอกอดแม่แน่นๆหน่อยนะลูกนะ..."รังสิมันต์พูดขณะที่มือก็ลูบหน้าท้อง
ของสิ้นรักไปด้วย ทำเอาคนเป็นแม่ของลูกยิ้มบาง...

แม้ก่อนหน้านี้จะทะเลาะกันรุนแรง ขัดแย้งจนเราต้องลาเลิกกันไป
แต่ไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้ตอนนี้เธอได้มานอนกอดเขาแน่นได้อย่างนี้...






ณ คฤหาสน์หลังงามกลางกรุง…

“พ่ออยากให้แกช่วยสืบหาลูกไอ้กุมพลให้เจอ…”ขุนศึกมองหน้าบิดา
พร้อมกับเลิกคิ้วสูง

“ผมไม่เข้าใจว่าผู้หญิงคนนั้นมีความสำคัญอะไรนักหนา
พ่อถึงได้ต้องการเอาชีวิตเธอ…ทั้งๆที่เธอก็เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาๆ…
จะพิเศษก็ตรงที่เป็นลูกสาวของนายกุมพล…ซึ่งนายกุมพลก็ถูกเด็ดหัวไปตั้งนานแล้ว…
ผู้หญิงที่ดูไร้พิษสงคนนั้นมีอะไรกันแน่ครับ…”คนถูกถามถอนใจยาว…

“ไอ้กุมพลมันตายไปพร้อมกับหลักฐานบางอย่างที่พ่อก็ไม่แน่ใจว่า
มันจะมีน้ำหนักพอที่จะทำลายชีวิตพ่อและลุงของแกรึเปล่า…

และเพื่อให้แน่ใจ พ่อต้องการหลักฐานชิ้นนั้น…และคนที่น่าสงสัยที่สุด
ก็คือลูกสาวของมัน…”ขุนศึกส่ายหน้า

“ผมไม่คิดว่านายกุมพลจะทำแบบนั้น…เขาคงไม่อยากให้ลูกสาวตัวเอง
ต้องตกอยู่ในอันตราย…”จอมทัพพยักหน้า

“มันก็น่าคิด…แต่พ่อเชื่ออยู่ลึกๆว่าลูกสาวของมันต้องมี จะรู้ตัวหรือไม่
หลักฐานนั้นก็ต้องอยู่ที่ลูกสาวของมัน…หรือต่อให้ไม่มี พ่อก็อยากให้แน่ใจ
ว่าจะไม่มีใครเอาหลักฐานชิ้นนั้นมาเปิดเผยได้อีก…
เราต้องถอนรากถอนโคนมันให้หมด…”ขุนศึกนิ่งด้วยกำลังครุ่นคิดอย่างหนัก…

“ผมไม่ได้ข่าวคราวเธออีกเลย…ไม่แน่ใจว่าเธอยังอยู่เมืองไทยอีกรึเปล่า”

“ก็ทำให้แน่ใจสิ…ว่าเธออยู่ในเมืองไทยแน่ๆ…”







ณ อิศฟาฮาน ประเทศอิหร่าน…

“อิศฟาฮาน เนสฟิญาฮาน”
เสียงทุ้มกล่าวขึ้นเมื่อเดินมาถึงจตุรัสกลางเมืองอิศฟาฮาน

“หมายความว่าไงเหรอคะ…”ซาเนียถามชายหนุ่มเป็นภาษาไทย
ด้วยเพราะอีกฝ่ายต้องการฝึกฝนภาษาไทยท่ีดูจะแข็งแรงขึ้นมากกว่าแต่ก่อนแล้ว…

“แปลว่า อิศฟาฮานคือครึ่งหนึ่งของโลก กวีเคยบรรยายเอาไว้แบบนั้นครับ”

ซาเนียชักเริ่มเห็นด้วยกับถ้อยคำดังกล่าว เพราะจะว่าไปแล้วเมืองนี้
ดูจะมีร่องรอยของความเจริญรุ่งเรืองในอดีต…อย่างที่ปัจจุบันยังไม่อาจเทียบเทียมได้
เมื่อนึกย้อนกลับไปว่าอะไรที่ทำให้คนในอดีตคิดค้นสิ่งก่อสร้างได้อลังการณ์
และสวยงามสง่าได้เช่นนี้…

“ที่นี่ Naqsh-e Jahan…แปลว่าต้นแบบของโลก…”
ชายหนุ่มกล่าวถึงจตุรัสกลางเมืองที่พวกเขากำลังเดินอยู่…

“ชื่อเท่จัง…”ซาเนียเอ่ยชมพร้อมสายตาท่ีกวาดมองไปรอบๆ…

ทั้งสองเดินชมสถานที่และสิ่งก่อสร้างรวมทั้งวิถีชีวิตของผู้คน
จนมาจบที่มัสยิดชัยค์ฏุุลฟุลลอฮ์ ซึ่งมีความน่าทึ่งอีกอย่างหนึ่ง
นั่นก็คือ เมื่อเข้าไปข้างในแล้วมองขึ้นไปบนเพดาน

ถ้ามีแสงก็จะได้เห็นนกยูงรำแพนหางอยู่บนนั้นอย่างสวยงามสง่า
แต่พอเอากล้องส่องขึ้นไปดูถึงที่มาหรือต้นตอของเจ้านกยูงตัวดังกล่าว
ก็ต้องแปลกใจที่พบว่า ‘นกยูง’ ที่ว่าเป็นเพียงแค่แป้นไม้เล็กๆที่ห้อยลงมาจากเพดานเท่านั้น

…ไม่มีอะไรที่เหมือนนกยูงเลยแม้แต่น้อย

แต่เมื่อมองด้วยตาเปล่า แสงที่กระทบทำให้ไม่ว่าจะมองอย่างไร
หรือดูยังไงก็เห็นเป็นนกยูงกำลังรำแพนหางอย่างงดงามแวววาวจริงๆ

“แปลกจังเลยนะคะ…ทำไมมันถึงได้เหมือนนกยูงกำลังรำแพนหาง
ทั้งๆที่ไม่มีอะไรเหมือนนกยูงเลยสักนิดเดียว…”ซาเนียพึมพำออกมา
ขณะที่เงยหน้าขึ้นมองไปบนเพดาน…

“นกยูงรำแพน?...”เสียงนั้นย้ำเป็นเชิงถามด้วยแววตาอยากรู้

“ค่ะ…ภาษาไทยเรียก peafawl ว่านกยูง และการร่ายรำของมัน
เราเรียกว่ารำแพนค่ะ…พ่อชอบเรียกซาเนียว่านกยูง…เพราะแม่ของซาเนียชื่อมยุเรศ…
ซึ่งแปลว่านกยูงค่ะ…”

ซาเนียกล่าวพร้อมรอยยิ้ม แล้วเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้…
เมื่ออยู่ๆภาพบิดาของเธอกับถ้อยคำสุดท้ายของท่าน…

‘นกยูงเป็นสัตว์ที่สร้างความสดใส รื่นเริงให้โลกเราเต็มไปด้วยชีวิตชีวา
มีเสียงร้องอันไพเราะ…มีปีกหลากสีสัน…เป็นสัญลักษณ์แห่งความงาม

ที่สำคัญ…ยังถูกยกให้เป็นนกที่สวยงามและสง่างามที่สุดในโลก
จนได้เป็นราชินีของนกทั้งปวง…พ่อตกแต่งห้องให้ลูกเป็นของขวัญวันสำเร็จการศึกษา…
หวังว่าลูกจะชอบ…’

ตอนนั้นเธอได้แต่ปลื้มปีติที่ได้ห้องนกยูงทองที่กำลังรำแพน
…เพราะลายบนฝาผนังแม้จะไม่เป็นตัวของนกยูงเสียทีเดียว
แต่ลวดลายหรือลายเส้นของมันตัดกันไปมา
ทำให้มองยังไงก็เหมือนนกยูงทอง จนเธออดยอมรับไม่ได้
ว่านั่นคือนกยูงทองกำลังรำแพนอยู่ในห้องของเธอ…

‘มันเป็นลวดลายที่แม่ของลูกเคยออกแบบเอาไว้…พ่อไปเจอเข้าก็เลยเกิดไอเดีย
ให้ช่างเอาแบบนั้นมาลงไว้ที่ฝาผนัง…ลูกคงรู้ใช่มั้ยว่า…ทำไมพ่อถึงเรียกลูกว่านกยูง…’
ซาเนียพยักหน้า

‘ค่ะ…เพราะแม่เป็นคนตั้งชื่อเล่นให้นกยูงว่านกยูง…’

ซาเนียจะแทนตัวเองว่านกยูงกับผู้เป็นบิดาเท่านั้น…
เพราะนอกจากบิดามารดาของเธอแล้วก็ไม่มีใครเรียกเธอว่านกยูง…
และน้อยคนจะรู้ว่าเธอมีชื่อเล่นว่านกยูง…

‘จำไว้นะนกยูง…ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น…ลูกจะอดทน เข้มแข็ง…
และเมื่อไหร่ที่ลูกต้องการอิสรภาพ…ให้นึกถึงนกยูงทอง…เพราะนกมีปีก…
สามารถบินไปไหนก็ได้ด้วยปีกของตัวเอง

…และราชินีของนกจะต้องปกป้องมงกุฏของตัวเองแล้วบินฝ่าโพยภัยนานาไปให้ได้…
แล้วลูกจะพบกับฟ้าที่สวยงาม…’

นึกมาถึงตรงนี้ ทำให้ซาเนียต้องแหงนหน้าขึ้นมองเพดานมัสยิดชัยค์ฏุลฟุลลอฮ์อีกครั้ง
ก่อนจะหันไปทางนากีส

“ฉันต้องกลับเมืองไทยค่ะนากีส…”ชายหนุ่มถึงกับตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน

“หมายความว่าไงครับ…”

“พ่อของฉันเหมือนจะบอกอะไรฉันบางอย่างก่อนท่านจะจากฉันไป…
และนั่นอาจจะหมายถึงอิสรภาพของฉัน…ฉันจะหามันให้เจอค่ะ…
ว่าพ่อต้องการบอกอะไรฉัน…เพราะฉันต้องการโบยบินอย่างอิสระ
โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกนายพรานตามล่่าเอาชีวิตอีกต่อไป…”

คนฟังได้แต่ยืนงงเพราะเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง
หากซาเนียก็มิได้อธิบายอะไรมากไปกว่านั้นอีก

…สิ่งที่เธอเฝ้าครุ่นคิดในตอนนี้ก็คือ


เธอจะต้องกลับไปที่บ้าน กลับไปที่ห้องนกยูงทองของเธอ!!!…






ณ บ้านหลังงาม จังหวัดกระบี่…

“หาเจอมั้ย…”

“ไม่เจออะไรที่น่าจะใช่เลยครับ…”

“งั้นจะรออะไร…เผามันเลย…”

เสียงการสนทนาระหว่างลูกน้องกับเจ้านายที่ถูกว่าจ้างให้บุกบ้านของกุมพล
ในช่วงกลางดึกของวัน ทำให้เวรยามที่เฝ้าดูแลบ้านอยู่ถูกวางยาสลบไม่รับรู้เรื่องราว

เพลิงไฟลุกไหม้อย่างรวดเร็วเพราะเชื้อเพลิงอย่างน้ำมันที่ถูกราดไปทั่วบริเวณบ้าน…
ทำให้บ้านที่เคยสวยงามจมอยู่ในกองเพลิง นานกว่าที่ชาวบ้านละแวกใกล้เคียงจะรับรู้…

เสียงรถดับเพลิงและเสียงเอะอะโวยวายของชาวบ้านที่มามุงดู
บ้านหลังงามที่กำลังจะกลายเป็นซาก…


หญิงสาวในชุดแซกสีดำตัวยาวปกปิดรูปร่าง ผิวกาย และศีรษะด้วยผ้าคลุมผืนใหญ่
รวมทั้งผ้าปิดหน้าเหลือแต่ดวงตาอย่างหญิงชาวอาหรับกำลังนั่งทรุดเข่ามองบ้านหลังงาม
ที่บัดนี้เหลือเพียงแค่เศษซากด้วยแววตาที่คลอไปด้วยน้ำตา…

ดอกไม้ ประตู แจกัน ต้นไม้ใหญ่ โคมไฟที่เธอทำเอง จากพื้นดินจนเพดาน
ทุกอย่างที่รวมเป็นบ้าน บัดนี้กลับไม่เหลืออะไรให้เธอได้ระลึกถึงอีกแล้ว

ไม่มีเหลือ…สิ่งที่เหลืออยู่ก็เพียงแค่ภาพความทรงจำ…

บ้านในมโนภาพเท่านั้นที่ยังคงอยู่…แม่…พ่อ…ได้จากไป…
ทิ้งไว้แค่สถานที่แห่งความทรงจำให้เธอได้กลับมาสูดกลิ่นไอของวันเก่าๆ
ที่มีเราอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน…ที่พักพิงพักใจหายวับไปกับตาราวกับฝันร้าย…

หญิงสาวยืนหลบมุมตรงมุมที่เธอเคยสามารถมองเห็นบ้านได้ชัดเจนที่สุดด้วยเสียงสะอื้นไห้

…ความหวัง ความฝันราวกับดับสูญไปต่อหน้า…

ไม่เคยคิด ไม่เคยฝัน ว่าทุกอย่างจะเป็นเช่นนี้…

ไม่คิดว่าคนเหล่านั้นจะพรากสิ่งมีค่าไม่กี่อย่างในชีวิตเธอไปจนหมด…

ขนาดบ้านหลังนี้…พวกเขาก็ไม่ยกเว้น…

หญิงสาวได้แต่ก้มหน้าร้องไห้ก่อนจะสะดุ้งตกใจเมื่ออยู่ๆก็มีมือหนึ่งแตะลงตรงบ่า…
ซาเนียหันขวับไปยังด้านหลังก่อนจะรู้สึกตัวชา…

“ไม่คิดว่าเธอจะกลับมา…”เสียงนั้นราบเรียบหากเจือไปด้วยแววแห่งความยินดี…

“จากนี้ไป…คงไม่มีเหลือ…ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว…พวกเขาเอามันไปหมดแล้ว…”
ชายหนุ่มอยากจะคว้าร่างนั้นเข้ามาสวมกอดแล้วปลอบประโลม แต่ก็ทำไม่ได้…

“เหลือสิ…เธอยังเหลือพี่…เธอยังมีพี่อยู่ทั้งคน…”

ซาเนียเงยหน้าขึ้นมองหน้าเจ้าของน้ำเสียงผู้ซึ่งมีร่่างกายอันแข็งแกร่งราวกับภูผา
ท่ีคอยปกป้องเธอมาตลอด…

“พี่ดีใจที่เราได้เจอกันอีกครั้ง…”ซาเนียยิ้มกว้าง
ดูเหมือนคนตรงหน้าจะกลับมาหาเธอทุกครั้งที่เธอต้องการ…

“แต่ตอนนั้นนายเลือกที่จะทิ้งฉันมา…”เวนไตยส่ายหน้า

“พี่ไม่เคยทิ้งเธอ…ครั้งนั้นที่เราจากกัน พี่ยังคอยดูคอยห่วงใย
ไม่เคยไกลจากเธอเลย…และจะกลับมาทุกครั้งที่เธอต้องการ…ไม่มีวันจะทิ้งเธอไป…”

ใช่…เขาไม่เคยทิ้งผู้หญิงตรงหน้าเขาได้เลยสักครั้ง
ไม่เคยมีวันไหนที่เขาจะไกลจากใจเธอ เขาติดตามข่าวคราวของเธออยู่ตลอดเวลา…
แค่ไม่เคยปรากฏกายต่อหน้าเธอเท่านั้น…

เพราะเขาไม่อาจตัดเยื่อใยแห่งความห่วงใยให้ขาดลงไปได้…
วันนี้เขาถึงได้รู้ว่าเธอจะกลับมา และรู้ว่าเธอจะหลบอยู่ตรงมุมไหน…

“พวกนั้นได้เผาอิสรภาพของฉันไปแล้ว…นายได้ยินมั้ยว่าอิสรภาพของฉัน
ได้หายไปกับบ้านแล้ว…นายเห็นมั้ย…ตรงโน้นไง…บ้านของพ่อแม่ฉัน…
บ้านของเราพ่อแม่ลูก…”ซาเนียร่ำไห้ออกมาด้วยแววตาเจ็บปวด

“ที่เธอบอกว่าอิสรภาพ…มันหมายความว่าไง…”ซาเนียยกมือปาดน้ำตา

“เมื่อก่อน…ฉันเคยคิดมาตลอดว่าทำไมพวกนั้นถึงต้องตามล่าเอาชีวิตฉันนัก…
ฉันเพียงแค่คิดว่า พวกนั้นคงต้องการฆ่าล้างโคตร

แต่ฉันนึกอะไรบางอย่างได้เมื่อไม่กี่วันก่อน…
ก่อนตายพ่อเหมือนพยายามบอกอะไรฉันบางอย่าง…
และฉันเชื่อว่าพ่อมีอะไรบางอย่างที่พวกนั้นต้องการ…

และพวกนั้นคงเชื่อว่ามันอยู่ที่ฉัน

นี่อาจเป็นแผนที่พวกมันจัดขึ้นเพื่อต้องการจับนกยูงที่หลบซ่อนตัวอยู่ให้ออกมา…

คนเลวมันไม่คิดอะไรมากไปกว่าผลประโยชน์ที่มันจะได้รับ
แม้แต่เผาป่าทั้งป่าเพื่อล่าสัตว์เพียงตัวเดียวที่มันต้องการ…มันก็ทำได้…”

น้ำเสียงและแววตาเจ็บแค้นนั้นทำให้คนฟังถึงกับครุ่นคิดตาม…

“แล้วทำไมเธอถึงยอมกลับมา…ไม่กลัวเหรอ…”ซาเนียส่ายหน้า

“ฉันจะกลับมาทวงอิสรภาพคืน…และฉันจะต้องรู้ให้ได้ว่าอะไร
ที่พวกมันต้องการนั้นอยู่ที่ไหน…ฉันจะไม่ยอมหมดหวังหรอก…

บางที…มันอาจไม่ได้ซ่อนอยู่ในบ้านก็ได้…ถ้าพ่อมีอะไรอย่างที่ฉันคิดไว้จริงๆล่ะก็…
ฉันนี่แหล่ะจะทำลายพวกนั้นด้วยมือของฉันเอง…
ฉันจะไม่หนีอีกต่อไปแล้ว...ฉันจะสู้ จะปกป้องมงกุฎให้ได้...”
เวนไตยวางมือบนบ่าของซาเนีบแล้วยิ้มบาง…

“พี่จะช่วยเธออีกแรง…”หญิงสาวยิ้มทั้งน้ำตาด้วยความรู้สึกอบอุ่นใจ
แปลกใจตัวเองทุกครั้งที่อยู่ใกล้เขาแล้วรู้สึกอบอุ่น…ปลอดภัย…

“แต่ฉันไม่รู้เลยว่าจะเริ่มจากไหน…เมื่อไม่มีบ้าน…”เสียงนั้นอ่อนลง

“แล้วคุณลุงพูดกับเธอว่าไงบ้าง…”

“พ่อย้ำกับฉันว่า ให้นึกถึงนกยูงทอง…ให้ฉันปกป้องมงกุฏของตัวเอง…”
พูดพลางก็นึกไปพลาง…

“มงกุฏของตัวเองเหรอ…”เวนไตยพึมพำแล้วถามต่อว่า…

“หมายความว่าไง…”ซาเนียส่ายหน้าขณะกล่าวว่า

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน…”

“งั้นก็อย่าเพิ่งคิดตอนนี้เลย…พี่ว่าเธอควรจะพักผ่อนก่อน…
บางที…เมื่อเราได้พักผ่อนอย่างเต็มที่…เราอาจคิดอะไรดีๆออกก็ได้”
เวนไตยแนะนำด้วยแววตาห่วงใย หญิงสาวยิ้มบางก่อนจะพยักหน้า

“ถ้าไม่รังเกียจ…ไปพักกับพี่ที่เกาะชิงชังก็ได้นะ…”

คำว่าเกาะชิงชังทำให้ขาที่กำลังจะขยับถึงกับชะงัก…
และเหมือนเวยไตยจะเข้าใจกับท่าทีดังกล่าวของหญิงสาว

“ตอนนี้เกาะชิงชังได้เปลี่ยนไปแล้ว…ตั้งแต่คุณป๋าของพี่ไปพักอยู่ที่นั่น
ทุกคนต่างก็เข้าใจกับเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นบนเกาะ…ทุกคนเข้าใจเธอแล้ว
พี่อยากให้เธอกลับไปหาพวกเขา…พวกเขากำลังรอเธอกลับไปสานต่อ
ความฝันของพวกเขาอยู่นะ…แล้วเธอจะรู้ว่าพี่ทำอะไรเพื่อเธอได้มากกว่าที่เธอคิด

…เพราะพี่เช่ือว่า…นากีสจะไม่มีทางบังคับเธอให้แต่งงานกับเขาแน่ๆ…
เขาเป็นลูกผู้ชายพอที่จะไม่ทำร้ายผู้หญิงที่เขารัก…

และพี่ก็เชื่อว่า…สักวันหนึ่งเธอจะกลับมา…หัวใจพี่มันบอกว่าให้รอ…”

ซาเนียถึงกับยิ้มด้วยความซาบซึ้งใจ…และยิ่งปลื้มปีติเมื่อกลับมาพบว่า
ที่เขาพูดเอาไว้นั้นเป็นความจริง…



...โปรดติดตามตอนต่อไป....


เอามาเสริฟให้กันในวันหยุดแล้วจ้าาาาาา...

ไม่รู้ว่าคุณบัวขาว ผู้มอบรอยยิ้มพิมพ์ใจให้โยมาตลอดยังคงอ่านเรื่องนี้อยู่อีกรึเปล่า
ถ้ายังอยู่ ส่งเสียงให้โยได้ยินบ้างนะคะ....ด้วยความเป็นห่วงค่ะ

ว่าแล้วก็ขอคุยกับนักอ่านนิดนึง

1.คุณหมีสีชมพู....ยังไม่ทันคลอด พี่รังเราก็ก่อดราม่าอีกแล้วค่ะ...
อย่างที่หมอรังบอกค่ะ...ตำแหน่งเมีย...มันยิ่งกว่าของใช้ส่านตัว...อิอิ

2.คุณพัชรี....ดีใจจังเลยค่ะที่คุณพัชรียังคงติดตามอ่านอยู่...
ขอบคุณนะคะ...ซึ่งต่อจากนี้ จะมีเรื่องมาให้หัวใจของนักอ่านพลิกหงายพลิกคว่ำ
ได้เรื่อยๆค่ะ...เฮะๆ

3.คุณsupayalak...ขอบคุณสำหรับบทเพลงที่มอบให้เต่าโยค่ะ...
โยก็กะว่าจะให้หักตอนยกที่ 100 นะคะ...แต่มันดูยาววววววววไป(รึเปล่า)อิอิ
แต่ถ้าเป็นยกสั้นๆ ก็น่าจะถึง 100 ค่ะ...เลยคิดว่า อาจจะมาแบบสั้นๆ
ไม่ยาวเหยียดเหมือนก่อนหน้านี้นัก เพราะว่าจะปั่นทีละยาวๆแบบนั้น
เหมือนว่าตอนนี้จะไร้ความสามารถไปแล้วค่ะ...เนื่องจากคิวงานตอนนี้
ยาวไปจนเลยสงกราต์โน่นแหน่ะค่ะ...เห็นคิวงานแล้วหวาดเสียว
ว่าจะโดนนักอ่านค้อนให้รึเปล่า(หากหายหัวไปบ้างน่ะค่ะ)
ปล.ส่วนเรื่องความสามารถในการปั่นลูกแฝดนั้นจะมีแค่ปองขวัญรึเปล่า
ต้องมาลุ้นดูค่ะ...อิอิอิ

4.คุณnasa...นั่นน่ะสิคะ...หมอรังไม่คิดจะสืบค้นความจริงบ้างเลยหรือ...
มันดูผิดวิสัยคนที่ฉลาดเป็นกรดแบบนั้นอยู่ไม่น้อย...อิอิ
ปล.หมอรังเขาเป็นคนช่างสังเกต หูตาเป็นสับปะรดนะคะ
(ถ้าอารมณ์แรงหึงไม่บังตาไปซะก่อน) อิอิอิ...

5.คุณgoldrnsun...ขุนศึกเขาประกาศกับสิ้นรักไปแล้วขนาดนั้น
คงไม่หยุดอยู่ง่ายๆแน่ๆค่ะ...แถมตอนนี้ยังมีเรื่องซาเนียเข้ามาอีก...
ต้องมาดูกันว่า ซาเนียจะปกป้องมงกุฎที่พ่อบอกได้รึเปล่า
แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า มงกุฏราชินีแห่งนกนั้นคืออะไร และอยู่ที่ไหนน่ะสิคะ...อิอิ

6.คุณviolette....พี่รังเขาก็คงไม่อยากเป็นพญาเทครัวเหมือนกันน่ะค่ะ...อิอิอิ
แต่อะไรๆมันก็ไม่แน่...เฮะๆ...โยบอกได้แค่ว่า...พระนางคู่นี้ไม่ธรรมดาค่ะ...
อาจมีฉากให้ทั้งสองได้เชือดเฉือนกันบ้างเพื่อสีสันของชีวิตคู่น่ะค่ะ...อิอิ
ไม่แน่ว่าศัครูอาจเป็นคู่ชีวิตของเราก็ได้...เฮะๆ

7.คุณsai...ได้ยินอย่างนี้แล้วค่อยหน้าบานได้หน่อยค่ะ...อิอิ
คนทำงานมักจะเข้าใจกันค่ะ...งานมันเยอะ...แต่ก็ต้องทำมันค่ะ...
เพื่อประทังชีวิต...ฮ่าๆๆๆ...พูดซะให้ชีวิตดูดราม่าๆหน่อย...
นักอ่านจะได้เห็นใจเวลาหายไปนานๆ...อิอิอ...
ปล.หายไปเพื่อ...(หาทางลงจากคานน้อย) รึเปล่าคะ...อิอิอิ...


8.คุณkonhin...ต่อไปนักอ่านอาจจะต้องมานั่งสงสารพระเอกของโยบ้างก็ได้นะคะ...
ไม่อยากบอกเลยว่า....หมอรังของโยอาจโดนนางเอกของเราทำร้ายจิตใจกันแบบไม่ทันตั้งตัวก็ได้
อย่างที่เคยเกริ่นๆไปน่ะค่ะว่า....นางเอกคนนี้ไม่ค่อยจะธรรมดา...อิอิอิ

9.คุณตุ๊งแช่...ยังค่ะ...ยังไม่คลอด...อิอิ...
โยว่านะคะ แค่ก่อหวอด ก่อม็อบ หรือคว่ำบาตรมันยังน้อยหน้าไปนิดนึง...
อย่างนางเอกเรามันต้อง....อิอิอิ

10.คุณใบบัวน่ารัก...สงสัยจะผีเข้าผีออกอย่างนี้ไปอีกสักพักค่ะ...อิอิอิ...
เหมือนว่าทั้งสองคนยังปรับตัวเข้าหากันได้ไม่สมูทพอ...คลื่นลมจะยังคงพัดไปพัดมา
อีกสักพักใหญ่ๆน่ะค่ะ....เฮะๆ

11.คุณpattisa...นั่นน่ะสิคะ...ลูกผู้หญิงหรือลูกผู้ชายกันน้า...อิอิ
ต้องมาดูกันต่อค่ะ...

12.คุณแม่มดน้อย...ใครบอกล่ะคะ...เต่าโยโคตรจะรักพี่รังเลย...อิอิอิ...
แต่ก็ต้องเขียนเรื่องไปตามพล็อตที่ได้วางไว้ค่ะ...นักอ่านต้องอ่านจนจบน่ะค่ะ
ถ้าหยุดอ่านเพียงแค่นี้ คงได้เกลียดพี่รังไปเลย...
เนื่องจาก มันมีปมบางอย่างที่คนฉลาดเป็นกรดอย่างพี่รังต้องคลี่มันออกมาให้ได้ด้วยน่ะค่ะ
เนื่องจากปัญหาชีวิตทั้งเรื่องงาน เรื่องรัก ก็โดนมาไม่ยั้งจากศัตรูคนเดียวกัน...
ดังนั้น....(โยยังเผยไม่ได้ในตอนนี้) เดี๋ยวเรื่องจะจืดไป...อิอิอิ...
พี่รังเขาเป็นคนซับซ้อนนะคะ...ซับซ้อนทั้งการกระทำและความคิดค่ะ...
ปล.คอมเม้นท์ช้าไม่ว่ากันค่ะ...เพราะรู้ว่าที่ญี่ปุ่นกำลังหนาวได้ใจเลยทีเดียว...
พี่ที่รู้จักเพิ่งกลับมาค่ะ...เอาขนมโตเกียวบานาน่ามาฝากด้วย อร่อยมากมายเลยค่ะ...
หากมีโอกาสลองหาซื้อดูนะคะ...มันอร่อยจริงๆค่ะ...(หรือว่าโยจะมาบอกช้าไปก็ไม่รู้สิ) อิอิ

13.คุณPat...เรื่องนี้มีปมเยอะค่ะ...และตอนนี้ก็ดันมาถึงตอนท้้ายๆแล้วด้วย
เวลาโยจะขมวดปมและคลี่ปมไปพร้อมๆกัน มันเลยอาจทำให้นักอาจเครียดนิดนึง...อิอิ
แต่อะไรก็ไม่เท่ากับ "แผนการ"ของแต่ละคนที่คิดวางเอาไว้ในหัวค่ะ...
มันเลยเป็นที่มาที่ทำให้คนเขียนปวดหัว เมื่อเอาแผนของแต่ละคนมาไว้ในหัวตัวเอง
แล้วก็จัดการมันซะ...อิอิอิ...ดังนั้น...เรื่องความงี่เง่าของคู่พระนางคู่นี้ไม่น่าจะมีนะคะ
ส่วนใหญ่ที่ทำให้ดูงี่เง่า เป็นเพราะอารมณ์ล้วนๆ...ซึ่งลึกลงไป...มันมีอะไรที่ซับซ้อนกว่านั้น
เพราะพี่รังของเต่าโยไม่ชอบกินหญ้าค่ะ...อิอิอิ...ส่วนนางเอกอย่างสิ้นรักก็อย่าได้ชะล่าใจไปนะคะ
เห็นบ๊องๆอย่างนั้น...ลึกลงไป...ใครจะหยั่งถึง...เฮะๆ...งานนี้ไม่แผนใครก็แผนใครล่ะค่ะ
ที่ต้องพัง แต่จะมีแค่แผนเดียวเท่านั้นที่จะมาเหนือเมฆ...อิอิ...

ปล."ตากล้อง"ที่ว่า...คงหนีไม่พ้น...นายขุนพลล่ะค่ะ...
ดังนั้น...ในเรื่องนี้ใครจะอยู่ใครจะไปไม่ว่ากัน แต่ขุนพลต้องอยู่เป็นพระเอกของโย
ในเรื่องต่อไปค่ะ...อิอิอิ...


สุดท้ายไม่ท้ายสุด...

ขอบคุณทุกไลค์ ทุกกำลังใจและทุกๆคนที่เข้ามาแวะเวียนทักทาย
และติดตามอ่านเรื่องนี้กันนะคะ

หากมาช้าก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยเน้อ...


...อย่าเพิ่งเจ็บแค้นเคืองโกรธพระเอกของเต่าโยไปเลยนะคะ...
...พี่แกเป็นคนซับซ้อน เรื่องมันเลยซ่อนเงื่อนด้วยประการฉะนี้แล...อิอิอิ

...รักษาสุขภาพนะคะ...

"เต่าโย"







yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 ม.ค. 2556, 12:40:30 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 ม.ค. 2556, 12:57:58 น.

จำนวนการเข้าชม : 2843





<< ยกที่ 82 นิทานหิ่งห้อย   ยกที่ 84 คำถามที่ต้องตอบ (100%) >>
ใบบัวน่ารัก 19 ม.ค. 2556, 14:27:45 น.
เบื่อคุณหมอมากน่าเบื่อ
ซาเนียอีก นกยูงอีก
หนีไปเถอะรัก เดี๋ยวก็ทะเลาะกันอีก
ไม่ได้ดั่งใจ ชิ


พัชรี 19 ม.ค. 2556, 15:47:46 น.
เบื่อพี่รังแล้ง เชียร์ ซาเนียกะครูครุฆดีก่า น่ารักกว่าเยอะ


ปอยอะนะ 19 ม.ค. 2556, 16:36:01 น.
รู้สึกเหมือนคุณหมอจะผีเข้าผีออกชอบกล


ตุ๊งแช่ 19 ม.ค. 2556, 17:54:17 น.
อาการหึงเมียนี่ เป็นอการแพ้ท้องขั้นรุนแรงป่าวหว่า


จิรารัตน์ 19 ม.ค. 2556, 21:04:09 น.
มาอ่านจ้าน้องโย


บัวขาว 19 ม.ค. 2556, 21:53:27 น.
=^_^=

ขอบคุณมากค่ะที่ยังคิดถึงกัน
ติดตาม/มารออ่านทุกวันค่ะ
.. ไม่สบาย (มาก) อีกรอบ
ตั้งแต่ปีใหม่ ยังไม่หายค่ะ :(
บวกกับงานยุ่งมาก



บัวขาว 19 ม.ค. 2556, 21:55:46 น.
ปล. เกลียดหมอรังแล้วค่ะ


konhin 19 ม.ค. 2556, 22:01:16 น.
เราเชื่อว่าความเชื่อใจเป็นเรื่องใหญ่ของการอยู่ด้วยกัน หมอรังตายหยังเขียด ไม่ผ่านอย่างแรง


goldensun 19 ม.ค. 2556, 23:02:50 น.
ใจเขา ใจเรา หมอรังจะรู้จักคำนี้บ้างมั้ยคะ เชื่อแต่ความคิดตัวเอง ไม่ยอมรับความคิดของสิ้นรักบ้างเลย
ไม่อยากคิดเลย ว่าลูกที่คลอดออกมา จะเป็นยังไง แม่เครียด เศร้า แทบตลอด
ซาเนียกลับมาแล้ว พาใจสู้มาด้วย เวนไตยคงช่วยเต็มที่


supayalak 19 ม.ค. 2556, 23:08:10 น.
เย้!!!!! พี่รังกะน้องรักกลับมาแย้ว แต่อ่านไปก็เคืองพี่รังไป อะไรจะไรเหตุผลขนาดนั้น สมน้ำหน้าเป็นงัยหล่ะเค้าถึงว่าเวลาหยิกคนอื่นเราจะไม่รู้สึกเจ็บแต่หากเป็นเราที่โดนหยิกบ้างเมื่อนั้นเราภึงจะรู้สึก แค่นี้ยังน้อยไปนะพี่รัก ถ้าเป็นเดี๊ยนละก้อสวยยิ่งกว่านี้อีก (มาแนวเจ็บแค้นมากกกกแทนน้องรัก)แล้วจะคอยลุ้นคะว่าเหนือเมฆพี่รังกะน้องรักที่นำเสนอมาจะทำให้คนอ่านหงานตึงได้ขนาดไหน จะนับวันรอนะตะเต่าโย
ปล. เอออ เต่าโยค่ะขอแบบจัดเต็ม จัดหนักให้พี่รังได้ไหมค่ะ รู้สึกเกลียดพี่รังมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นการส่วนตัวแต่่ทำอะไรไม่ได้ ฝากเต่าโยจัดการให้แทนน้องรักกะเดี๊ยนด้วยนะคะ ขอแบบเบาะแค่ร้องให้ 3 เดือนทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ เพราะหาน้องรักไม่เจอก็พอ


violette 20 ม.ค. 2556, 00:07:24 น.
หมอรังเป็นผู้ชายที่ไม่น่ารักเลยนะคะ
ไม่ไหวกับแกมากๆจริงๆ รู้สึกแย่กับหมอรังมาหลายตอนแล้ว ตอนนี้ก็ยังรู้สึกอยู่ค่ะ
ทุกคนอยากให้จัดหนักหมอรังกันหมดเลยเนอะ อิอิ ดีใจ


violette 20 ม.ค. 2556, 00:07:54 น.
ปล.ใช่ค่ะสงสารลูกในท้องจริงๆ


หมีสีชมพู 20 ม.ค. 2556, 01:47:29 น.
รังสอบตกในการใช้ชีวิตคู่ แต่สะใจจริงๆ ที่สิ้นเผาสมุดบันทึกไปด้วย


sai 20 ม.ค. 2556, 11:25:31 น.
หมอรัง คิดมากมากกว่ารักอีกกก เห้อออ สงสารรักที่สุด


Littlewitch 24 ม.ค. 2556, 00:18:33 น.
สวัสดีค่า เห็นว่านานๆจะมาทีเลยไม่ได้วิ่งมารอทุกวัน แต่ก็ดีใจคะคืนนี่มาได้อ่าน ขนมได้ทานแล้วคะ มันน่ารักมากกว่าอร่อยคะ ^^ กลับมาแล้วคิดถึงอากาศเย็นๆและหิมะที่ญี่ปุ่นเลยคะ เสียดายมากว่าจะไปเฝ้าดูสาวน้อยในชุดกิโมโน ในพิธีก้าวเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่ แต่วันนั่นดันมีทั้งฝน ทั้งหิมะ เลยได้เห็นแค่บางคนเท่านั้น


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account