ทะเลหวาน
หนึ่งคน... อยู่ในความทรงจำ ที่ฝังลึกอยู่ข้างในใจไม่ห่างหาย
หากอีกหนึ่งคน... มีตัวตน คอยเตือนเธอให้ลืมคนในอดีตอยู่เสมอ

การตัดสินใจอาจไม่ยากเย็น หากหัวใจเธอไม่ถูกปิดไปพร้อมกับอดีตที่ยังวนเวียนอยู่ไม่ไปไหน
Tags: เรื่องยาว ทะเล

ตอน: ตอนที่ 6

เมทินีขอตัวออกมาเดินหน้าบ้านรับลมยามตะวันตกดินบ้าง หลังจากอาหารมื้อค่ำผ่านไปพร้อมเสียงหัวเราะและการพูดคุยที่ดูดีขึ้นมากระหว่างนฤมลเพื่อนสาวกับลูกชายเจ้าของรีสอร์ต ทำเอาเธอนึกสะกิดใจภาพที่เห็นพร้อมกับเพื่อนอีกสองคนในเหตุการณ์บนเรือ

การพูดคุยที่ดูเหมือนเป็นเรื่องปกติสำหรับคนที่ไม่สนิทหรือรู้จักนฤมลดีพอ แต่สำหรับเพื่อนอย่างพวกเธอแล้ว รู้สึกได้ทันทีว่าเพื่อนของเธอกำลังเปิดใจให้คนที่นั่งพูดอยู่ข้างๆ ทีละนิด โดยที่เจ้าตัวอาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยภาพที่เห็นก็ทำให้เมทินีเบาใจขึ้นเล็กน้อย เธอคิดว่าเพื่อนไม่ปิดกั้นตัวเองเหมือนอย่างหลายปีก่อน ที่ผ่านมานฤมลเอาแต่จมจ่ออยู่กับความรู้สึกเดิมๆ อย่างที่ไม่ยอมดึงตัวเองขึ้นมาจากความเศร้า หลังจากปีเตอร์จากไปพร้อมกับอุบัติเหตุทางรถยนต์คราวนั้น...

หญิงสาวลากเท้ามาจนถึงหน้าประตูบ้าน เหลือบเห็นเพื่อนชายอีกสองคนกำลังเดินคุยกันอยู่ริมชายหาด เท้าเล็กจึงรีบก้าวตามไป ก่อนจะเปลี่ยนฝีเท้ากลายเป็นวิ่งแล้วถีบตัวเองขึ้นสูง เล็งเป้าไปที่ไหล่กว้างของณัฐแล้วกดตัวเองลงอย่างเต็มแรง ทำเอาคนที่เป็นฐานให้นักกระโดดสาวถลาลงไปกองที่พื้นอย่างช่วยไม่ได้ ทำเอาชายหนุ่มหน้าไถลไปกับพื้นทรายอย่างช่วยไม่ได้

“เล่นบ้าอะไรวะ ไอ้อ้วน” ณัฐตะโกนถามเสียงดังราวกับคนให้คำตอบอยู่ไกลลิบทั้งๆ ที่นอนทับอยู่แค่ข้างบนหลังเขา ส่วนเมทินีก็ทำเพียงนอนแน่นิ่งอยู่บนตัวเขาแถมผงกหัวขึ้นมาด้วยรอยยิ้มกว้างอย่างไม่มีความรู้สึกผิดให้เห็นสักนิด “ลงไปเดี๋ยวนี้เลย ตัวหนักชิบเป๋ง”

‘คนตัวหนัก’ ยังคงทำเป็นหูทวนลมนอนทับนิ่งอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว ณัฐไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขารู้สึกไปเองหรือเปล่าที่อยู่ๆ เหมือนแรงกดมันเพิ่มขึ้นมากกว่าในตอนแรก “ไอ้อ้วน นับหนึ่งถึงสาม ถ้ายังไม่ลุกขึ้นหรือลงไปจากตัวฉันได้เห็นดีกันแน่ หนึ่ง” ณัฐเริ่มนับเสียงเข้ม แต่กับคนที่คบกันมาหลายปีเช่นเมทินีแล้ว ไม่มีความรู้สึกหวาดกลัวกับคำขู่นั้นเลยสักนิด หญิงสาวยังคงหัวเราะ ส่งรอยยิ้มให้คนนับราวกับไม่ใช่ความผิดเธอ

“สอง... สาม!” คราวนี้ไม่เว้นช่วงนานเหมือนเช่นตอนนับหนึ่ง ณัฐนับสองแล้วสามทันที ทำเอาคนที่อยู่ข้างบนไม่ทันตั้งตัว ถูกพลิกตัวให้กลับมาอยู่ข้างล่างอย่างผู้แพ้ เมทินีพยายามดิ้นให้หลุดจากการใช้กำลังกดเธอไว้กับทรายของณัฐ แต่ไม่ได้ผล... มือใหญ่กดข้อมือที่เล็กกว่าไว้แน่น อย่างที่รู้ว่าถ้าหากปล่อยไปตัวเขาคงโดนทุบไม่เหลืออย่างแน่นอน

“ไอ้ณัฐ ปล่อย” พอดิ้นสู้แรงผู้ชายไม่ได้ คราวนี้เมทินีเลยต้องใช้เสียงข่มเหมือนที่เคยใช้อยู่เป็นประจำแทน แต่กลับไม่ได้ผล ทั้งที่ปกติเวลาเธอขึ้นเสียงทีไร ณัฐจะยอมเธอเสียทุกครั้ง สิ่งนั้นมันทำให้เธอได้ใจ แต่คราวนี้ชายหนุ่มกลับไม่ฟังเธอเหมือนเคย “ไอ้ณัฐ ทรายมันเลอะนะโว้ย ปล่อยฉัน ไอ้วัตช่วยด้วยดิวะ ยืนมองอยู่ได้”

ศตวรรษที่ยืนมองอยู่นานทำเพียงแค่เลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถามว่าตกลงนี่เขาต้องช่วยด้วยหรือ หากเป็นเหตุการณ์ปกติเมทินีคงมีการเข้าไปทำร้ายร่างกายกันบ้าง แต่ตอนนี้แค่จะทำตัวเองให้หลุดจากที่ณัฐดึงไว้ยังยาก

“18+ แบบนี้ เด็กอย่างกูเสพของพวกนี้เยอะไม่ได้หรอกนะ เดี๋ยวจะเสียเด็ก”

ว่าแล้วก็เดินจากไปเงียบๆ ปล่อยให้สายลมที่ยังคงพัดอยู่รอบๆ อยู่เป็นเพื่อนเมทินีที่ยังคงดิ้นอยู่ใต้ร่างของณัฐ ยิ่งพอเจอมุกเด็กอายุไม่ถึงสิบแปดเข้าไป ที่นี้คนตกเป็นรองเลยเหมือนโดนค้อนทุบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับมาโวยวายเอากับคนที่ยังคงตั้งหน้าตั้งตาเอาคืนเธอ ไม่ยอมผ่อนแรงที่จับแขนเธอเสียที

“จะปล่อยได้หรือยัง แค่กระโดดทับทำไมต้องเอาคืนแรงขนาดนี้วะ” ในที่สุดณัฐก็ยอมคลายมือออกจากข้อมือของเพื่อน พร้อมกับลุกขึ้นเดินตามศตวรรษไปอย่างเงียบๆ ราวกับเมื่อครู่เขากับเมทินีไม่ได้มีเรื่องกัน

เมทินีรีบวิ่งขึ้นไปให้ทันเพื่อนที่เดินเลียบชายหาดแต่ยังรักษาระยะห่างไม่ให้ตนเองปะทะกับณัฐโดยตรง เพราะยังเข็ดกับเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่หาย หญิงสาวชวนศตวรรษคุยอย่างออกรสชาติในหัวข้อของนฤมลที่ต่างคนต่างสงสัยในการแสดงออกกับลูกชายเจ้าของรีสอร์ต แม้ไม่ชัดเจนนักแต่การเป็นเพื่อนกันมานานต่างรู้ดี การแสดงไหนพิเศษหรือไม่พิเศษ ปล่อยให้ณัฐรับฟังเงียบๆ อย่างผู้ฟังที่ดี

ณัฐยังคงจมอยู่กับเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาเมื่อครู่ ตอนที่เมทินีล้มตัวลงทับอยู่บนตัวเขา ซึ่งความจริงแล้วรูปร่างอย่างเมทินีไม่ได้สร้างความลำบากให้เขาเลยแม้แต่น้อย แต่ที่ต้องโวยวายออกมาเพื่อให้หญิงสาวรีบลุกขึ้นยืน เหตุมาจากเสื้อคอกว้างที่เธอใส่และขยับตัวอย่างไม่ระมัดระวัง มันเป็นอีกครั้งที่เขาเห็นบางอย่างภายใต้เครื่องแต่งกายของเพื่อนอย่างไม่ได้ตั้งใจ อาจไม่ใช่เรื่องใหญ่ ถ้าไม่มีความรู้สึกแปลกๆ ที่ก่อตัวขึ้นเงียบๆ ข้างในตัวเขา คราวนี้หนักกว่าเดิม ตรงที่ความรู้สึกที่มีบวกกับภาพที่เห็น มันทำให้เขารู้สึกมวนท้องและใจเต้นถี่ขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ จนต้องรีบแก้ไขสถานการณ์ให้เธอรู้สึกหวาดกลัวเขาไว้บ้าง จะได้ไม่ทำอะไรแปลกๆ อีก

อีกส่วนมันก็อยู่ที่ว่าเขาจะห้ามใจได้มากแค่ไหน ในเมื่อเพื่อนเขามีคนรักอยู่แล้ว

“ไอ้ณัฐ ไอ้ณัฐ” เสียงเรียกดังอยู่ข้างหลังเขา ชายหนุ่มหันไปหาที่มาของเสียงนั้น เห็นเมทินียืนเท้าเอวอยู่ ส่วนศตวรรษก็เพ่งมองมาที่เขาอย่างสงสัย “จะเดินไปไหน นี่มันสุดหาดแล้วนะ”

คราวนี้ณัฐถึงได้รู้ตัวและมองไปรอบๆ ทะเลสีดำสนิทมีคลื่นสาดเป็นระยะตามแรงลมในตอนดึก ตรงหน้าที่เขายืนอยู่เป็นป่าที่พอมองลึกเข้าไปไม่เห็นอะไรนอกจากเงาดำมืด และกิ่งไม้ที่ไหวตามลม ชายหนุ่มยืนนิ่งอยู่จุดนั้นอีกครู่หนึ่งก่อนจะเดินกลับมายังจุดที่เพื่อนยืนอยู่

“โทดที คิดอะไรเพลินไปหน่อย”

ศตวรรษเลิกคิ้วกับคำตอบเพื่อนที่คิดอะไรเพลินไปหน่อยจนไม่มองทางข้างหน้า แสดงว่าระหว่างทางที่พูดกันมามันคงไม่รู้เรื่องเลยสักนิดว่าเขากับเมทินีพูดเรื่องอะไรกันอยู่ นึกอยากถามบางอย่าง ที่ดูเหมือนพักนี้ณัฐมักแสดงออกมาให้เห็นอย่างไม่ตั้งใจ

“ออกมานานแล้ว ฉันว่าฉันกลับดีกว่าว่ะ เดี๋ยวไอ้มลมันจะสงสัยว่าหายไปไหน”

“มันจะสนเร้อ ป่านนี้หัวเราะเริงร่าอยู่กับคุณซีหรือเปล่า”

บทสนทนาระหว่างศตวรรษและเมทินี ทำให้ณัฐจับทางได้ไม่ยากว่าเพื่อนกำลังพูดถึงเรื่องอะไรกันอยู่ เพราะก่อนหน้านี้เขาก็สังเกตเห็นหลายสิ่งหลายอย่างที่เปลี่ยนไปของเพื่อนสาวไม่น้อยเลยทีเดียว

“ไอ้มลมันลืมไอ้พีทได้แล้วเหรอวะ” คำถามทะลุปล้องขึ้นมา ทำเอาคนที่พูดกันอยู่ถึงกลับเงียบหรี่ตามองคนถามอย่างที่ชอบทำเวลาจิกกัดเพื่อนในกลุ่ม

“ตกลงที่เดินพูดกันมานี่ ไม่ได้ฟังเลยใช่ไหม หืม... ไอ้ณัฐ” เมทินีหันมาเอาเรื่องเพื่อนที่คราวแรกทำราวกับเป็นผู้ฟังที่ดีแต่ไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆ แต่พอเอาเข้าจริงแล้วเพื่อนเธอกลับไม่ได้ฟังสิ่งที่เธอกับศตวรรษพูดกันเลยสักนิด “ทำตัวไร้ประโยชน์มากกกก” ผู้หญิงคนเดียวในตอนนี้ลากเสียงคำว่ามากให้อีกสองคนที่เหลือรับรู้ว่ามากจริงๆ ทำเอาคนถูกว่าคันปาก นึกอยากตอบโต้กลับไป

“ใครจะไปเหมือนแก ยุ่งได้ทุกเรื่อง เรื่องตัวเองก็ไม่ใช่”

“นะ นี่ นี่แกหาว่าฉันชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านหรือไอ้ณัฐ หนอย ไอ้นี่วอนซะแล้ว”

คนถูกหาว่าชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านถลกแขนเสื้อตัวเองขึ้น ทำเหมือนจิ๊กโก๋สาวพร้อมจะมีเรื่อง แต่ปากไวหาได้เกรงกลัวไม่ ชายหนุ่มยื่นหน้าเข้าไปใกล้ลอยหน้าลอยตาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรู้ตัวว่าทั้งหมดได้เดินมาถึงบ้านเจ้าของรีสอร์ตเรียบร้อยแล้ว

ทั้งหมดหยุดเดินกระทันหัน เมื่อมองเข้าไปในสนามหญ้าหน้าบ้าน เห็นสองหนุ่มสาวที่พูดถึงเมื่อครู่กำลังเดินพูดคุยกันอยู่ เดาว่าคงเป็นเรื่องตลกอะไรสักอย่างเพราะทั้งสามได้ยินนฤมลหัวเราะเสียงดังมาจนถึงที่พวกเขายืนอยู่ ไหนจะรอยยิ้มทั้งปากทั้งตาอย่างที่ไม่ได้เห็นมานานนั่นอีก ทั้งสามมองหน้ากันด้วยสายตาอย่างรู้กันดี... เรื่องน่ายินดีคงกำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า

“พรุ่งนี้คงกลับได้แบบสบายแล้วสิ ไอ้เม” คนเป็นห่วงเพื่อนพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม อย่างน้อยนฤมลก็รู้จักที่จะยิ้มให้คนอื่นอย่างเต็มใจเสียที

เรือเฟอร์รี่ลอยจอดรอผู้โดยสารห่างออกจากหาดเล็กน้อย นักท่องเที่ยวที่มีกำหนดกลับวันนี้ต่างทยอยขึ้นเรืออย่างเป็นระเบียบแล้วรีบจับจองที่นั่งของตนเอง เพื่อรอเวลาเรือออก

นฤมลมองเพื่อนตาละห้อย เมื่อทั้งหมดยืนกันเตรียมพร้อมขึ้นเรือกลับขึ้นฝั่ง นานๆ ทีเธอจะได้มาเที่ยวกับเพื่อนเช่นนี้ และแม้จะได้อยู่กับเพื่อนเพียงไม่นานแต่มันก็ทำให้เธอหยิบเรื่องไม่สบายใจทิ้งไปได้พักใหญ่

“เดี๋ยวพอฉันกลับไปกรุงเทพฯ ฉันจะโทรหาพวกแกอีกทีนะ” หญิงสาวมองหน้าเพื่อนทั้งสาม ใจนึงอยากให้เพื่อนอยู่กับเธอต่อแล้วรอกลับพร้อมกัน แต่ในเมื่อต่างคนต่างมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ เธอไม่สามารถเห็นแก่ตัวดึงเพื่อนให้อยู่กับเธอได้ ณัฐพูดกับเธอสองสามคำก่อนจะกลับหลังหันเดินขึ้นเรือไป ตามด้วยเมทินีที่โผเข้ามากอดเธอแน่น หากไม่ติดว่าที่นี่คือชายหาดเป็นที่โล่งแจ้งแล้วล่ะก็ หญิงสาวสองคนคงปล่อยโฮกันอยู่ตรงนี้

คนสุดท้ายคือศตวรรษที่ทำเพียงแค่ส่งยิ้มให้เธอ แล้วกระชับกระเป๋าพร้อมขึ้นเรือไปอีกคน หากนฤมลไม่เรียกรั้งเขาไว้เสียก่อน

“เดี๋ยววัต...” นฤมลเรียกเพื่อนแล้วเงียบไปทำหน้าอย่างที่ไม่รู้จะเริ่มคำพูดตรงไหน “ฉันรู้ว่าแกรู้สึกเหมือนฉัน เรื่องไอ้ณัฐกับไอ้เม ฝากดูไอ้ณัฐด้วยนะ ปรามๆ มันบ้าง”

“เดี๋ยวแกก็กลับไปกรุงเทพฯ อยู่ดี แกก็พูดกับมันเองสิ จะมาฝากฉันทำไม”

“อย่างน้อยแกก็เป็นผู้ชาย คงเข้าใจกันมากกว่าฉันที่เป็นผู้หญิง” แว่นกันแดดที่อยู่บนใบหน้าศตวรรษถูกดึงออกเพื่อให้มองหน้าเพื่อนชัดเจน

“ตกลงนี่แกเปลี่ยนใจเป็นผู้หญิงไปแล้วจริงอ่ะ”

คำถามเดียวเท่านั้นที่ทำให้ความบรรยากาศซึ้งเมื่อครู่มลายหายไปหมดสิ้น นฤมลมองหน้าเพื่อนราวกับอยากจะกระโดดไปขย้ำคอเสียเดี๋ยวนั้น โทษฐานที่ชักใบให้เรือเสีย แต่ก็ทำได้เพียงไล่เพื่อนให้รีบขึ้นเรือก่อนที่นักท่องเที่ยวคนอื่นจะไม่พอใจ

คนติดเพื่อนยืนมองเรือที่พาเพื่อนทั้งสามออกจากเกาะเพื่อขึ้นฝั่งจนลับตา แล้วถึงหันกลับหลังเพื่อเดินไปยังบ้านที่ของตนที่จองไว้ แม้ว่าของต่างๆ จะยังอยู่ที่บ้านของกรกฎก็ตาม แต่ในเมื่อเพื่อนของเธอกลับกันหมดแล้ว หญิงสาวก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะยังอยู่ที่บ้านของเจ้าของรีสอร์ต เนื่องจากความใจดีของคุณอรทัยและคุณเวศน์มีมากเกินไป เธอไม่กล้ารับมันได้อย่างสบายใจนัก

หญิงสาวพาตัวเองเดินเอื่อยๆ มาจนถึงบ้านพักหลังที่เคยอยู่ก่อนหน้า แต่ต้องพบพนักงานทำความสะอาดที่กำลังจัดข้าวของให้เหมือนกับแขกเพิ่งเช็กอินไป พร้อมต้อนรับแขกชุดใหม่ที่กำลังจะเข้ามาพัก เธอเลิกคิ้วสงสัยเล็กน้อยก่อนจะก้าวฉับๆ เข้าไปยังตัวห้อง เป้าหมายเธอคือแม่บ้านที่กำลังดึงผ้าปูเตียงออกอย่างคล่องแคล่ว

“เอ่อ ขอโทษนะคะ ฉันไม่ได้แจ้งให้มาทำความสะอาดนี่คะ แล้วทำไม...” แม่บ้านมองหน้าคนถามแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อยกับสิ่งที่ลูกค้ากำลังสื่อกับเธอ ไหนผู้จัดการบอกว่าห้องนี้เช็คเอาต์ไปแล้วอย่างไรเล่า

“ห้องนี้แจ้งเช็คเอาต์ไปแล้วนี่คะคุณ ดิฉันก็เลยมาทำความสะอาด เพราะเดี๋ยวแขกที่จองไว้จะเข้าพักช่วงบ่าย”

“เอ๊ะ?...” หญิงสาวพูดได้เพียงแค่นั้น ทั้งที่ความสงสัยต่างๆ ยังไม่ถูกไขให้กระจ่างสักนิด เธอคิดว่านี่อาจเป็นการเข้าใจผิดอะไรบางอย่างของทางพนักงานต้อนรับ หญิงสาวจึงปล่อยให้แม่บ้านทำความสะอาดต่อไปตามหน้าที่ ส่วนตัวเธอตั้งใจจะไปถามพนักงานที่ดูแลเรื่องนี้ให้กระจ่าง แต่หากยังไม่ทันก้าวไปไหน กรกฎก็ก้าวเข้ามาในห้องเสียก่อน

“ผมเป็นคนบอกพนักงานเรื่องเช็คเอาต์ห้องนี้เอง”

“เฮ้ยคุณ คุณทำแบบนี้ได้ยังไงแล้วทีนี้ฉันจะไปนอนที่ไหน” นฤมลถามคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าหน้ามุ่ย นึกไม่ชอบใจเลยสักนิดที่อยู่ๆ เขาก็เข้ามาเจ้ากี้เจ้าการในส่วนของเธอทั้งที่เพิ่งรู้จักกันแท้ๆ “ไม่รู้ล่ะ คุณต้องรับผิดชอบด้วย แม่บ้านบอกว่าห้องนี้จะมีแขกเข้ามาตอนบ่าย เพราะฉะนั้นในเมื่อไม่ใช่หลังนี้ฉันก็ต้องได้หลังใหม่เพื่อซุกหัวนอน”

เมื่อได้เริ่มโวยวาย นฤมลมักจะไม่หยุดเพียงแค่นั้น โดยเฉพาะเสียงของเธอที่ตอนนี้แม่บ้านที่เปลี่ยนผ้าปูเสร็จเรียบร้อย หนีเข้าไปหลบภัยในห้องน้ำปล่อยให้ชายหนุ่มเจ้าของรีสอร์ตจัดการกับปัญหาตรงหน้าแทน

กรกฏมองหน้าคนโวยวายเล็กน้อยก่อนเบือนหน้าไปอีกทางราวกับเข้ามาตรวจดูความเรียบร้อยก่อนแขกมาเพียงเท่านั้น สิ่งที่นฤมลพูดออกไปทั้งหมดไม่ได้เข้าหูเขาเพื่อผ่านไปประมวลผลเลยแม้แต่น้อย

“นี่คุณ ฟังฉันอยู่หรือเปล่า ฉันบอกว่าฉันต้องได้ห้อง เดี๋ยวนี้!”

“จะเอะอะอะไรนักหนา” กรกฎเอ่ยเสียงเนือย จนคนที่ปรี๊ดอยู่นึกอยากกรี๊ดหรือตะโกนใส่หูให้ได้รู้สึกตื่นเต้นบ้าง เลือดลมจะได้สูดฉีด เผื่อชายหนุ่มจะมีความรู้สึกขึ้นมาบ้าง “ห้องก็มีอยู่แล้วจะเอาอะไรอีก”

เอ๊ะ... ตานี่พูดไม่รู้เรื่อง ก็เขาเป็นคนบอกให้เช็คเอาต์ห้องนี้ แล้วเธอจะมีห้องที่ไหนให้นอนได้อีก

นฤมลขัดใจกับไอ้ท่าทางของคนตรงหน้าที่ทำเหมือนโลกทั้งใบอยู่ในมือเขาเสียเหลือเกิน ทีแรกนึกว่าความสัมพันธ์ของเธอกับกรกฎคงไม่ต้องมานั่งทะเลาะกันเหมือนคราวแรกๆ ที่เจอกันอีกแล้ว แต่ที่ไหนได้พอเพื่อนเธอกลับไปก็ได้เรื่องอีกจนได้ บ้าเอ๊ย!

“จะเอาบ้านพักไปทำไมอีก คุณก็อยู่ที่บ้านผมไปสิ ห้องนี้ก็ให้ลูกค้าเขาอยู่ไป”

ประโยคที่บอกให้เธอกลับไปอยู่ที่บ้านของเขาทำเอาเธอต้องเบิกตากว้างกับการพูดอะไรไม่ระวังของชายหนุ่ม เขาลืมหรือไงว่าลูกน้องเขายังอยู่ในห้องน้ำ ยังไม่ออกไปจากห้องนี้ และหากนฤมลไม่ได้คิดไปเอง หญิงสาวได้ยินเหมือนจะมีของร่วงในห้องน้ำอีกด้วย

คงเป็นความบังเอิญ... เธอคิดอย่างคนโลกสวย คงไม่ใช่เพราะประโยคที่ตาบ้านั่นพูดออกมาเหมือนเป็นเรื่องปกตินั่นหรอกนะ

“คุณจะบ้าหรือไง พูดแบบนี้เดี๋ยวคนอื่นเข้าใจผิดกันพอดี”

“เข้าใจผิด? เข้าใจผิดอะไร คุณก็ไปนอนบ้านผมตั้งสองคืนแล้ว ไม่เห็นมีอะไร” อีกครั้งที่นฤมลได้ยินเสียงของร่วงในห้องน้ำ หญิงสาวอยากกรี๊ดออกมาให้รู้แล้วรู้รอดไป เธอเพลียกับการที่ไม่ว่าคนตรงหน้าพูดอะไรออกมาล้วนแล้วแต่ทำให้คนฟังนำไปคิดต่อได้อีกไกลเลยทีเดียว

คราวนี้เป็นหญิงสาวเองที่ทนไม่ไหว นฤมลเดินไปจับข้อมือแข็งแล้วลากออกมาจากบ้านพักเพื่อหาที่เงียบๆ คุยกันตามลำพัง มากกว่าที่จะให้ใครที่ไหนได้ยินแล้วนำไปพูดต่อในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง

“เอาล่ะ ฉันจะเอาบ้านพักของฉันคืน” หญิงสาวแทบจะพูดเน้นทีละคำเพื่อให้ชายหนุ่มไม่เข้าใจผิดพลาดอีกเป็นครั้งที่สองหรือสาม “กรุณาหาบ้านพักให้ฉันด้วย เพราะตอนนี้ไม่มีที่นอน”

“ก็บอกแล้วว่าจะไม่มีได้ยังไง คุณก็นอนห้องที่บ้านผมเหมือนเดิมไง แค่นี้คิดไม่ออกหรือไง”

“ไม่เอา ฉันจะเอาบ้านพัก ฉันเกรงใจคุณลุงคุณป้าไม่อยากรบกวนท่าน”

กรกฎทำหน้าเมื่อย คำว่าไม่อยากรบกวนกลับมาอีกครั้ง รู้สึกผู้หญิงตรงหน้าช่างเป็นคนขี้เกรงใจเสียจริง ถ้าเธอไม่เริ่มเรื่องกล้องจนต้องมายึดของเขาไปใช้ เขาคงเชื่อจริงๆ ว่าเธอเป็นคนแบบนี้ ผู้หญิงพูดขวานผ่าซากแต่ขี้เกรงใจกับผู้ใหญ่ แต่กับเขาที่อายุมากกว่าคำว่าเคารพยังไม่มีสักนิด คิดแล้วมันน่าแกล้งให้นอนที่ชายหาดเสียให้เข็ด

“ไม่อยากรบกวนพ่อกับแม่ผม แต่ตะโกนให้ผมหาบ้านให้ปาวๆ เนี่ยนะ สองมาตรฐานชัดๆ” คนถูกหาว่าสองมาตรฐานกำลังจะอ้าปากเถียงอีกครั้งแต่ต้องงับไว้เช่นเดิม เมื่อนิ้วชี้ของกรกฎชี้เป้ามาตรงหน้าเธอเป็นเชิงออกคำสั่ง “แล้วก็หยุดพูดด้วย ทุกอย่างลงตัวที่คุณต้องนอนที่ห้องเดิมในบ้านผม โอเคนะ เลิกเถียงเลิกพูดมาก แล้วก็กลับไปทานข้าวเที่ยงที่บ้านด้วยล่ะอย่าลืม”

แหม... สั่งเป็นพ่อเลย นฤมลคิดอย่างขวางๆ นึกอยากโพล่งออกไปเหมือนตอนพูดกับเพื่อนเหมือนกัน แต่ก็ได้แค่คิดไม่กล้าพูดออกไป เกรงว่าหลายวันต่อจากนี้จะไม่มีที่ซุกหัวนอน หญิงสาวจึงทำได้เพียงเบ้ปากไล่หลัง เมื่อเขาเดินไปทางสำนักงานของรีสอร์ต คงเข้าไปดูความเรียบร้อยแทนคุณเวศน์ที่วันนี้พักผ่อนอยู่ที่บ้าน


นฤมลเดินเลียบชายหาดไปจนถึงหมู่บ้านชาวประมงที่เดิม เธอหยุดยืนอยู่ที่บ้านหลังคุ้นเคย บ้านของดอกแก้ว... หญิงสาวยืนเรียกเจ้าของบ้านอยู่พักหนึ่ง เมื่อเห็นว่าบ้านทั้งหลังเงียบเหมือนไม่มีคนอยู่ จึงตัดสินใจเดินกลับทางเดิม แต่เมื่อก้าวไปได้เล็กน้อยเธอก็ได้ยินเสียงโครมครามดังขึ้นมาจากในตัวบ้าน ทำให้คนที่กำลังจะกลับชะงักเล็กน้อยแล้วตัดสินใจหันกลับไปหาตัวบ้านอีกครั้ง ถือวิสาสะเดินขึ้นไปเองอย่างไม่ต้องรอให้ใครอนุญาต

ภาพที่หญิงสาวเห็นทำเอาร้องไม่ออก เด็กหญิงชมจันทร์นั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่บนพื้นข้างดอกแก้วผู้เป็นแม่นอนสลบไม่ได้สติ ใบหน้ามีร่องรอยการถูกทำร้ายอย่างชัดเจน นฤมลรีบก้าวเข้าไปหาหนูน้อยก่อนเป็นอันดับแรก เธอไม่อาจเดาได้ว่าเด็กน้อยเจอและเห็นอะไรบ้าง แต่ดูจากสภาพมารดาของเด็กแล้วคงเป็นภาพที่ทำร้ายจิตใจเด็กไม่น้อยเลยทีเดียว

ชมจันทร์มีท่าทีหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัดเมื่อนฤมลขยับเข้าไปใกล้ ร่างเล็กที่สั่นราวกับลูกนกพยายามถอยห่างออกไปแต่ด้วยความเป็นเด็กไม่เคยห่างผู้เป็นแม่ การขยับหลีกหนีจากนฤมลทำให้เด็กน้อยมีสายตาลังเล คอยเหลือบมองหญิงสาวไปพลางแล้วเหลือบมองแม่ตัวเองไปพลาง ราวกับกลับว่าใครจะมาทำร้ายแม่อีก

“ไม่ต้องกลัวนะชมจันทร์พี่มลไงคะ จำพี่ได้ไหม” เธอบอกพร้อมรอยยิ้ม เวลานี้ควรให้เด็กไว้ใจเธอเป็นอันดับแรก ก่อนที่จะจัดการเรื่องอื่น “พี่มาช่วยหนูนะคะ มาหาพี่มาคนเก่ง”

ไม่รู้เป็นเพราะรอยยิ้มจริงใจที่นฤมลส่งให้ หรือเด็กน้อยเกิดจำพี่สาวที่เคยมากินข้าวที่บ้านได้ก็สุดรู้ เด็กหญิงโผเข้าหาหญิงสาวราวกับต้องการหลักยึด น้ำหูน้ำตายังคงไหลพร้อมกับเสียงสะอื้นที่ดังอย่างเสียขวัญ เด็กน้อยไม่พูดอะไรเลยนอกจากคำว่า ‘แม่’ ราวกับต้องการจะสื่อให้เธอหันไปดูแม่ของเด็กที่สลบอยู่อย่างที่เธอไม่สามารถบอกได้ว่าดอกแก้วหมดสติไปนานแค่ไหน

นฤมลคิดอะไรไม่ออก เสียงร้องไห้ของเด็กหญิงชมจันทร์ยังคงดังอยู่ข้างหู การช่วยเหลือสองแม่ลูกยังคงเป็นไปได้ยากเมื่อคนนึงหมดสติอีกคนนึงก็เด็กเกินกว่าจะมีสติฟังเธอ หญิงสาวกัดปากฉับตั้งสมาธิเพื่อใช้ความคิด คอยคิดหาวิธีการแก้ไขในเรื่องนี้ แม้จะไม่รู้ที่มาที่มาของปัญหาที่คนที่หมดสติอยู่คงให้คำตอบเธอได้เมื่อฟื้น หญิงหยิบโทรศัพท์มือถือตนเองมาต่อสายไปยังรีสอร์ตของกรกฎ นึกเสียใจอยู่ลึกๆ ที่ไม่เคยบันทึกเบอร์ติดต่อของชายหนุ่มไว้เพราะไม่คิดว่าตนต้องมาเจอเรื่องเช่นนี้ ตอนนี้จึงทำได้เพียงภาวนาขอให้พนักงานจะต่อสายเขาให้เธอเพื่อขอความช่วยเหลือ

นับว่าโชคดียังเหลืออยู่บ้าง เมื่อพนักงานที่รับสายต่อสายกรกฎให้กับเธอแม้มีคำถามเล็กน้อยแต่ก็ต้องยอมรับว่าพนักงานทำไปตามหน้าที่ พอกรกฎรับสายหญิงสาวจึงยิ้มออกมาได้บ้าง หญิงสาวรีบเล่าเรื่องราวที่เธอเห็นให้กรกฎฟังแล้วขอความช่วยเหลือในทันที เพราะไม่รู้ว่าดอกแก้วที่หมดสติอยู่โดนอะไรมาบ้าง

มือบางกดวางสายหลังจากชายหนุ่มรับปากเธอว่าจะรีบมาให้เร็วที่สุด รวมถึงการติดต่อหมอเพื่อดูอาการคนป่วยทางกายอย่างดอกแก้วและผู้ป่วยทางใจอย่างลูกสาวเธอ

‘คุณ ตั้งสตินะใจเย็นๆ อย่าเพิ่งวู่วามทำอะไร ผมกำลังจะออกไปเดี๋ยวนี้แหละ’ เธอไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะประโยคนี้หรือเปล่า ความกลัวที่เคยมีอยู่ลดลงไปเกือบครึ่ง


ชมจันทร์ยังคงร้องไห้อย่างต่อเนื่องไม่ว่าเธอจะปลุกปลอบแค่ไหน หลอกล่อด้วยนิทานก็แล้ว ร้องเพลงกล่อมเด็กก็แล้ว ไหนจะใช้โอกาสถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ดูเหมือนเด็กน้อยจะเสียขวัญกับเหตุการณ์อยู่มาก จึงไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดออกจากริมฝีปากนอกจากเสียงร้องไห้ จนนฤมลถึงกับต้องถอนหายใจนั่งรอการมาของกรกฎเผื่ออะไรๆ จะดีขึ้น

“คุณ คุณ” นฤมลสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงเรียก แม้คำเรียกจะไม่ระบุชื่อแต่เธอจำเจ้าของเสียงได้ขึ้นใจ... กรกฎมาแล้ว หญิงสาวยิ้มออก ยกตัวเด็กหญิงที่นั่งร้องไห้จนหลับอยู่บนตักเธอเปลี่ยนเป็นนอนบนที่นอนนุ่มที่ห่างออกไปไม่มาก ก่อนจะออกไปชะเง้อมองหาเจ้าของเสียง “คุณยังอยู่หรือเปล่า”

หญิงสาวโผล่หน้าออกไปมอง เห็นร่างสูงของกรกฎยืนอยู่ข้างกายเขามีบุคคลที่เธอไม่รู้จักใส่เสื้อคลุมสีขาวยืนอยู่ด้วย คงเป็นหมอประจำเกาะนี้.. ความกังวลใจที่มีถูกแทนที่ด้วยความโล่งใจทันที เมื่อกรกฎรีบก้าวเท้าเดินขึ้นมายังบนบ้านที่สภาพราวกับผ่านสมรภูมิรบมาก็ไม่ปาน

“เป็นยังไงบ้าง” เสียงทุ้มเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง ทำเอาน้ำตานฤมลแทบร่วง เมื่อคิดย้อนกลับไป หากเธอเจอเหตุการณ์นี้เพียงลำพัง ไม่มีคนรู้จักใดๆ ที่เธอมั่นใจว่าสามารถพึ่งพาได้ เธอจะทำอย่างไรต่อไปเมื่อเห็นดอกแก้วนอนหมดสตินิ่งอยู่แบบนี้ราวกับไม่มีชีวิต ไม่หายใจ

“ไม่เป็นไร คุณหมอรีบดูดอกแก้วก่อนเถอะค่ะ ไม่รู้หมดสติไปนานแค่ไหนเหมือนกัน พอฉันเข้ามาก็อย่างที่คุณหมอเห็นนี่แหละค่ะ”

คนเป็นหมอมองคนไข้ที่ถูกจัดให้นอนอยู่ในท่านอนหงายอย่างเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะหันมองรอบห้องที่ยังคงกระจัดกระจายไปด้วยสิ่งของต่างๆ ก่อนหน้านี้คงมีการต่อสู้เกิดขึ้น รอยฟกช้ำที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนว่ามีการต่อสู้เกิดขึ้นจริง แม้ไม่มีเลือดตกยางออกให้ตกใจ แต่ก็มากเกินกว่าที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะรับไหว

กรกฎและนฤมลปล่อยให้แพทย์ประจำเกาะตรวจดูอาการของสองแม่ลูก ส่วนตัวเองเดินลงมาคุยกันข้างล่าง เพื่อไม่ให้รบกวนคนป่วยและหมอ เธอเล่าให้คนมาทีหลังฟังถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่เธอเจอกับดอกแก้วในวันที่เขาทำเธอตกทะเล เรื่อยมาจนถึงวันนี้วันที่เกิดเหตุ

“คุณบอกว่าคุณเคยเจอพ่อของเด็กอย่างนั้นหรือ” หญิงสาวพยักหน้า ทำหน้าตานึกไปถึงวันที่เธอได้เจอกับนายชิด พ่อของชมจันทร์ “เขาเป็นคนแบบไหนคุณ เกี่ยวข้องกับพวกเหล้าหรือยาเสพติดหรือเปล่า”

หญิงสาวตอบไม่ได้ นฤมลเคยเจอนายชิดเพียงเล็กน้อยน่าจะซักสองชั่วโมง การพูดคุยกับถึงอนาคตของชมจันทร์ก็น่าจะเป็นตัวบอกได้ประมาณหนึ่งว่าอย่างน้อยนายชิดก็ยังมีความรักให้กับลูก ส่วนการแสดงออกกับดอกแก้วครั้งที่เธอเห็นก็นับได้ว่าเป็นสามีภรรยาที่รักกันดีคู่หนึ่ง ไม่น่ามีอะไรมาทำลายความรักคนทั้งคู่ได้

“เท่าที่จำได้ นายชิดดูเป็นคนเอาการเอางาน ขยันทำงานหาเงินเพื่อเก็บไว้ให้ชมจันทร์เรียน เขายังเคยบอกฉันเลยนะคุณว่าจะให้ชมจันทร์เรียนบนเกาะให้จบประถมแล้วถึงจะย้ายลูกไปเรียนบนฝั่ง”

กรกฏครุ่นคิด หากเดาทางกันไม่ถูกอย่างนี้ คงต้องรอให้เจ้าทุกข์ฟื้นขึ้นมาเสียก่อน ถึงจะถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ว่าเป็นมายังไง ทำไมอยู่ๆ ถึงโดนทำร้ายจนสลบเช่นนี้

ขณะช่วยกันคิดหาสาเหตุกันอยู่นั้น คุณหมอประจำเกาะก็เดินออกมาจากตัวบ้านพร้อมกระเป๋าใส่อุปกรณ์ต่างๆ พอแจ้งผลตรวจให้กับสองหนุ่มสาวที่ยืนรอฟังผลอยู่ว่าคนไข้ไม่ได้เป็นอะไรมาก เพียงแค่มีบาดแผลฟกช้ำที่ใบหน้าแล้วหมดสติไปเท่านั้น

“ยาในถุงนี้มีทั้งยาทาและกินนะครับ แผลบนหน้าคงต้องใช้ระยะเวลาสักพักถึงจะกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม แล้วถ้าคนไข้ฟื้นขึ้นมาก็ให้กินยาแก้ปวดบรรเทาอาการไปก่อนเลยนะครับ เพราะดูเหมือนจะมีรอยฟกช้ำอยู่ที่บริเวณเอวด้วยอีกที่หนึ่ง” คนเป็นหมอยื่นถุงยาให้นฤมล เมื่อกำชับเจ้าของไข้ครบถ้วนและมั่นใจแล้วจึงขอตัวกลับก่อน ทีแรกกรกฎทำท่าจะไปส่งเพราะพาหมอมาก็ต้องมีหน้าที่พากลับด้วย แต่คนเป็นหมอกลับห้ามไว้ บอกชายหนุ่มว่าต้องไปดูคนไข้อีกบ้านหนึ่งไม่ไกลจากตรงนี้ เขาจึงทำเพียงแค่ยกมือไหว้กล่าวขอบคุณและลาในคราวเดียว

นฤมลเดินสำรวจรอบบ้าน ได้กาละมังกับผ้าขนหนูมาอย่างละหนึ่ง ก่อนจะจัดการตวงน้ำแล้วยกไปวางไว้ใกล้ๆ คนป่วยที่ยังนอนไม่รู้เรื่องเพื่อเช็ดหน้าเช็ดตาให้ดูสดชื่นขึ้นบ้าง หญิงสาวถอนหายใจเบาๆ กับใบหน้าที่มีแต่รอยช้ำนึกสงสารดอกแก้วอยู่ไม่น้อย หญิงสาวพยายามเช็ดให้เบามือมากที่สุดเท่าที่จะทำได้เกรงว่าหากหนักมือใบรอยที่มีอยู่จะเพิ่มจำนวนขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ

ระหว่างนั้นเธอก็แอบหันไปดูเด็กหญิงที่นั่งเงียบอยู่บนตักของกรกฎเป็นระยะ ชายหนุ่มพยายามพูดคุยกับเด็กหญิง ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะไม่เคยคุยกันเลยก็ตาม เห็นลักษณะกรกฏเหมือนพ่อมือใหม่หัดเลี้ยงลูกแล้วหญิงสาวก็นึกขำ ยังดีอยู่บ้างที่ชายหนุ่มมีน้องสาว การคุยกับเด็กผู้หญิงจึงไม่น่าเป็นอุปสรรค

นฤมลกับกรกฎที่นั่งเฝ้าดอกแก้วอยู่เริ่มสะกิดกันให้หันไปมองคนนอนนิ่ง เมื่อสังเกตเห็นเปลือกตาที่ปิดสนิทมีการขยับเคลื่อนไหวเล็กน้อย ก่อนดอกแก้วจะลืมตาขึ้นมา กระพริบสองสามทีเพื่อปรับโฟกัส

“น้องมล” คนป่วยเอ่ยออกมาช้าๆ รู้สึกริมฝีปากแห้งผากจึงแลบลิ้นเลียหวังให้ดีขึ้นตามสัญชาตญาณ ก่อนจะมองไปรอบๆ บ้างตัวเองเห็นลูกสาวนั่งยิ้มอยู่บนตักของชายหนุ่มสักคนที่เธอไม่คุ้นหน้า

“พี่ดอกแก้ว” นฤมลร้องออกมาอย่างยินดี หันไปส่งยิ้มให้ชายหนุ่มคนเดียวในบ้านให้ได้รับรู้ว่าคนป่วยฟื้นแล้ว หลังจากนั้นหญิงสาวจึงได้เห็นเด็กหญิงวิ่งตึงๆ ปากก็ร้องเรียกหาแม่ไปด้วย “เป็นยังไงบ้างคะ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” ดอกแก้วไม่ตอบ แต่น้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้มนั้นเป็นตัวสื่อสารได้ดีว่าคนป่วยเจ็บแน่นอน แต่ที่เธอไม่รู้คือ เจ็บที่กายหรือเจ็บที่ใจ... เท่านั้นเอง

“พี่ดอกแก้ว...”

“ชิด... ไอ้พี่ชิด”

ดอกแก้วพูดได้แค่นั้นแล้วร้องไห้โฮออกมาอย่างไม่อายใคร หญิงสาวพูดแต่ชื่อสามีวนไปวนมาอย่างนั้น จนนฤมลกับกรกฎหันมองหน้ากันอย่างเข้าใจในความหมายได้ไม่ยาก นายชิดคงเป็นคนทำร้ายภรรยาเสียเอง... หนำซ้ำยังต่อหน้าคนเป็นลูก

“พี่ชิดทำร้ายพี่ทำไมคะ ทะเลาะเรื่องอะไรกันรุนแรงขนาดนี้”

“เมื่อตอนเช้ามืด ไอ้พี่ชิดมันเมาเข้าบ้านมา” ดอกแก้วเปิดปากเล่าด้วยเสียงกระท่อนกระแท่น “มันมาขอเงินพี่... ไปกินเหล้า แต่พอพี่ไม่ให้มันก็เข้ามาตบพี่ แล้วก็ซ้อมจนเป็นสภาพอย่างที่น้องมลเห็นนี่แหละจ้ะ”

“สามีพี่เขาดื่มเหล้าเมาแบบนี้ประจำเลยหรือครับ” กรกฎถามบ้าง หลังจากปล่อยหนูน้อยมานั่งใกล้ๆ แม่แล้วเขยิบตัวเองเข้ามานั่งข้างนฤมล

“ไม่หรอกจ้ะ ปกติเขาก็ไม่กิน จะมีจิบๆ บ้างเวลานั่งอยู่กับเพื่อนแต่พี่ไม่เคยเห็นเมาเหมือนเมื่อเช้าสักที”

ว่ายังไม่ทันขาดคำ เสียงโครมครามก็ดังจากหน้าบ้านเรียกความสนใจจากทุกคนให้หันไปมอง นฤมลเป็นคนแรกที่วิ่งไปที่ประตู เห็นนายชิดกำลังเดินโงนเงนพยายามจะถอดรองเท้าอยู่หน้าบ้าน แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ถอดไม่ได้สักที คงเป็นเพราะสติที่มีไม่สมบูรณ์เหมือนตอนที่ไม่มีแอลกอฮอล์อยู่ในสายเลือด คนที่เธอเคยคิดว่าใจดีคุยง่าย กลายเป็นผู้ชายขี้โวยวาย เสียงดัง และช่างทำลายข้าวของ

ไม่นานกรกฎก็ได้ยินเสียงเดินปึงๆ ขึ้นบันไดมาพร้อมกับนฤมลที่กลับมานั่งที่เดิมจากที่ลุกออกไปเมื่อครู่ เธอกระซิบบอกชายหนุ่มเบาๆ ว่าสามีของคนป่วยกลับมาแล้ว ในสภาพที่ไม่ปกตินัก

“เมียจ๋า แม่ดอกแก้วของพี่” นายชิดตะโกนเสียงอ้อแอ้เข้ามาในตัวบ้านตั้งแต่ยังไม่เห็นตัว แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นบุคคลอื่นนอกจากภรรยาและลูกสาวของตัวเองนั่งอยู่ด้วย “อ้าวน้องมลคนสวย มาหาพี่หรือจ๊ะหนู” สายตากรุ้มกริ่มอย่างเปิดเผยนั้น ทำเอานฤมลทำหน้าไม่ถูกจนต้องหันไปขอความช่วยเหลือจากชายหนุ่มนั่งข้างๆ แต่กรกฏกลับไม่ได้พูดอะไรนอกจากบอกให้เธอนิ่งไว้ก่อน

“พี่ดอกแก้วไม่สบายค่ะ มลเลยมาช่วยดู”

“จุ๊ๆๆๆๆ น้องมล หน้าตาดีแล้วน้ำใจยังงามอีกนะ ไหนๆ มาให้พี่ชื่นใจเป็นรางวัลหน่อยซิ” เสียงอ้อแอ้ลากเท้าเดินเข้ามาหานฤมลทำท่าจะลวนลาม แต่หากไม่ได้ทำอย่างใจคิดเพราะกรกฎลุกมาขวางไว้เสียก่อน

“จะทำอะไรอะไรมลครับคุณ”

“ใครวะเนี่ย มายืนขวางเดี๋ยวปั๊ดก้านคอเลยดีไหม หลีกไปไอ้น้องพี่สุดหล่อคนนี้จะไปหาน้องมลคนสวย”

หากแรงคนเมาหรือจะสู้คนสติครบสมบูรณ์ได้ นายชิดถูกกรกฎผลักอย่างแรงเพื่อไม่ให้เข้ามายุ่งกับนฤมล คนไม่มีสติแบบนี้กล้าทำได้ทุกอย่างบางครั้งอาจจะไม่ใช่แค่พยายามเข้ามาลวนลามเช่นนี้

“เฮ้ย มึงเป็นใครวะ กล้าทำกูขนาดนี้เดี๋ยวเถอะมึง” คนเมาพยายามจะดันตัวลุกขึ้นมาแล้วพุ่งเข้าไปต่อสู้แต่กลับกลายเป็นล้มลงที่เดิมโดยที่ไม่มีใครไปทำอะไร

“ผมว่าคุณอยู่เฉยๆ ดีกว่านะ แล้วก็อย่ายุ่งกับมลแฟนผมอีก”

เหออออออออ... นฤมลอ้าปากหวอกับคำพูดของกรกฎที่ตีขลุมเอาเองโดยไม่ปรึกษาเธอก่อน เธอเคยไปตกลงเป็นแฟนเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เท่าที่จำได้มีแต่ทะเลาะกันไม่ใช่หรือไง

“ปัดโธ่ มีแฟนแล้วหรือ ไม่เป็นไรนะไม่เป็นไร พี่ไม่ถือพี่ก็มีเมียแล้วเหมือนกัน” ดอกแก้วได้ยินแล้วน้ำตาตก ยกมือขึ้นปิดหูลูกสาวที่อยู่ในอ้อมกอดไม่อยากให้ได้ยินถ้อยคำหยาบคายจากคนเป็นพ่อไปมากกว่านี้ ส่วนนายชิดที่พยายามจะเดินเข้าไปหานฤมลอีกครั้งถึงกลับไถลไปถามพื้นด้วยแรงถีบจากคนที่แต่งตั้งตัวเองเป็นแฟนกับหญิงสาว

“ผมบอกแล้วไง ว่าอย่ายุ่งกับแฟนผม ดอกแก้วภรรยาคุณก็นั่งอยู่นี่เกรงใจกันบ้างสิครับ”

นายชิดหันขวับเห็นเมียตัวเองนั่งกอดลูกน้อยอยู่ก็ส่งยิ้มหวานไปให้ ทำเอาคนเป็นเมียเสียวสันหลังวาบ “เมียจ๋า ผัวขอเงินไปกินเหล้าหน่อยสิจ๊ะ เงินที่เมียให้มาเมื่อเช้ามันหมดแล้ว”

ดอกแก้วขมวดคิ้ว พยายามนึกถึงเหตุการณ์เมื่อเช้า แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกว่าเธอเคยให้เงินสามีไปดื่มเหล้าตั้งแต่เมื่อไหร่ จำได้เพียงแค่นายชิดกลับบ้านมาพร้อมกับเสียงเอะอะโวยวายจะเอาเงินจากเธอให้ได้เพื่อไปกินเหล้าต่อกับเพื่อนที่ก๊งกันอยู่ตั้งแต่เมื่อคืน แต่เธอไม่ได้ให้... ตรงนี้เธอจำได้ พอไม่ให้นายชิดก็ลงไม้ลงมือกับเธอแล้วภาพทั้งหมดก็ตัดลงไปจนกระทั่งรู้สึกตัวเมื่อครู่

“ฉะ ฉัน ฉันไม่มี”

“โธ่เมียจ๋า จะไม่มีได้ยังไง ผัวเห็นเมียเก็บเงินไว้ตั้งเยอะ แบ่งมาให้พี่ใช้บ้างสิพี่ทำงานเหนื่อยสายตัวแทบขาด”

“เงินนั้นฉันเก็บไว้ให้ลูก ฉันให้พี่ไม่ได้หรอก”

“โธ่เว้ย อินี่” มือที่ง้างขึ้น เตรียมจะทำร้ายภรรยาอีกหน แต่ยังไม่ทันที่นายชิดจะถึงตัวดอกแก้วเขาเหยียบเข้ากับกระป๋องแป้งลูกสาวที่กลิ้งอยู่แถวนั้นตั้งแต่เขารื้อค้นเงินที่ภรรยาเก็บไว้ตั้งแต่เช้ามืด ร่างที่โงนเงนอยู่แล้วพอเหยียบสิ่งที่ทำให้ยืนไม่มั่นคงเข้าจึงทำให้เสียหลักล้มลงอย่างง่ายดาย นักเลงสุราหัวฟาดพื้นอย่างแรง เสียงตึงดังลั่นบ้านทำเอาดอกแก้วกรี๊ดออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ยิ่งเด็กหญิงที่อยู่ในอ้อมกอดแม่แล้ว ชมจันทร์น้ำตาไหลอีกครั้งเมื่อเห็นว่าพ่อนอนหลับตา เด็กหญิงดิ้นออกจากอกแม่เข้าไปเรียกพ่อเสียงดังพร้อมกับน้ำตา

ภาพที่เห็นทำเอานฤมลกับกรกฎพูดไม่ออก คำว่ากรรมตามทันยังคงใช้ได้กับทุกยุคทุกสมัย หญิงสาวเข้าไปประคองคนป่วยเพิ่งฟื้นให้ออกห่างจากสามีแถมเกี่ยวเอาลูกสาวตัวน้อยออกมาด้วย ส่วนนายชิดเธอปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกรกฎพาคนนอนสลบลงบ้านไปเพื่อไปอนามัยที่ตั้งอยู่ไม่ไกลมากนัก

“พี่ดอกแก้วคะ มลว่าพี่ดอกแก้วกลับไปอยู่บนฝั่งกับที่บ้านสักพักดีไหมคะ ตอนนี้พี่ชิดดูไม่ปกติ ถ้าพี่กับชมจันทร์ยังอยู่แบบนี้ ลูกสาวพี่จะเป็นอันตรายนะคะ”

ดอกแก้วมองหน้านฤมลอย่างขอบคุณ คนเพิ่งรู้จักกันแท้ๆ แต่กลับห่วงใจเธอขนาดนี้

“ขอบคุณจ้ะน้องมล แต่พี่ชิดเค้าเป็นสามีพี่ ภรรยาย่อมมีหน้าที่ต้องดูแลสามีและลูก”

“แต่...”

“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ถ้ามันแย่มากพี่จะให้ชมจันทร์ไปอยู่กับตายายบนฝั่ง พี่ชิดคงมีเรื่องคิดมากเลยหันมากินเหล้าแบบนี้ ขอพี่ลองคุยกันพี่ชิดตอนมีสติก่อนแล้วกันนะจ๊ะ ทุกอย่างน่าจะดีขึ้น”

ถึงไม่อยากยอมรับคำบอกเล่านั้น แต่นฤมลก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากพยักหน้ารับอย่างไรข้อโต้แย้ง ในเมื่อเป็นเรื่องในครอบครัวเธอคงพูดอะไรมากไม่ได้นอกจากคอยช่วยเหลืออยู่ห่างๆ เท่านั้น หญิงสาวถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะชักชวนให้ดอกแก้วและเด็กหญิงชมจันทร์ตามกรกฎที่พานายชิดล่วงหน้าไปที่อนามัยประจำเกาะก่อนแล้ว

==============================================
ยังไงจะพยายามลงให้จบภายในอาทิตย์นี้นะคะ หลังวันที่ 28 ไปคงไม่ได้อยู่กะโน้ตบุ๊คอีกนานเลยค่ะ แฮ่ๆๆ



มิณทิมา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 ก.ย. 2555, 23:17:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 ก.ย. 2555, 23:17:39 น.

จำนวนการเข้าชม : 1544





<< ตอนที่ 5   ตอนที่ 7 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account