ภูตคราม
ภูธรา ภูตป่าที่ดำรงเผ่าพันธุ์และยังชีพด้วยการสูบพลังวิญญาณของสิ่งมีชีวิต
มนุษย์ สรรพสัตว์ทั้งหลายหรือแม้แต่พืชพรรณไม้นานา
การปรากฏตัวของพิมมาดา หญิงสาวผู้มีดวงจิตอันบริสุทธิ์
รักแรกพบจึงเกิดขึ้น
ความรักของทั้งสองจะเป็นเช่นไรเมื่อฝ่ายหนึ่งเป็นสิ่งไร้ตัวตน
พวกเขาจะต้องทำอย่างไรจึงจะได้ครองคู่กัน


Tags: ภูต

ตอน: บทที่ 9 ภูตร้ายหรือองครักษ์

บทที่ 9 ภูตร้ายหรือองครักษ์

เช้าวันรุ่งขึ้น สิ่งแรกที่พิมมาดาทำทันทีเมื่อลืมตาตื่นขึ้นคือกวาดตามองไปรอบห้อง เมื่อแน่ใจว่าไม่พบต้นเหตุแห่งความกังวลแล้วหญิงสาวจึงถอนใจออกมาอย่างโล่งอกแต่ก็สบายใจได้อยู่ไม่นานนักเมื่อเสียงของภูตหนุ่มเอ่ยทัก

“อรุณสวัสดิ์”

พิมมาดาสะดุ้งสุดตัวและรีบดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตามสัญชาตญาณ เธอหันไปมองภูธราที่กำลังยืนยิ้มอยู่ข้างหน้าต่างพร้อมกับพูดเสียงขุ่น

“ท่านมายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”

อีกฝ่ายเลิกคิ้วเล็กน้อย

“ข้าไม่เคยห่างจากเจ้าเลยต่างหาก”

คราวนี้หญิงสาวต้องนิ่วหน้า เธอกระชับผ้าให้แนบตัวมากกว่าเดิมและมองอีกฝ่ายอย่างระแวง

“หมายความว่านายยืนดูฉันตลอดเวลา” ใบหน้าของเธอเข้มขึ้นเมื่อเห็นภูตหนุ่มผงกศีรษะรับ “นายต้องเป็นภูตโรคจิตแน่ๆถึงได้ยืนมองผู้หญิงตลอดทั้งคืน”

“ข้าทำเพราะเป็นห่วงเจ้าต่างหาก” ภูธราตอบพร้อมกับขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจเมื่อเห็นใบหน้าของฝ่ายหญิงแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงจัด”ดูเหมือนเจ้าจะไม่พอใจ”

“แน่นอน โดนผู้ชายมองทั้งคืนแบบนี้ใครไม่โกรธก็บ้าแล้ว”พิมมาดาพูดเสียงห้วน ถ้าเป็นมนุษย์ ภูตหนุ่มคงยกมือขึ้นเกาศีรษะด้วยความงงว่าเขาทำอะไรผิด แต่ด้วยนิสัยของภูตครามที่ไม่เคยมีเล่ห์เหลี่ยมกับผู้ใด เขาจึงตอบไปตามตรง

“ก็แค่คอยดูแลเจ้าในยามหลับ”

“นั่นแหละที่ไม่ดี ท่านอนของผู้หญิงเป็นของต้องห้ามถ้าไม่สนิทกันจริงๆเขาไม่ให้เห็นกันหรอก ที่สำคัญถ้าเกิดระหว่างนั้นนายเกิดคิดไม่ซื่อขึ้นมาล่ะ”

ภูตหนุ่มทำหน้างง

“หมายความว่าอะไร”

“ก็หมายความว่า...”คำพูดถูกกลืนหายเข้าไปลำคอด้วยความอาย หญิงสาวสะบัดหน้าหนีไปอีกด้านพร้อมกับพูด “เอาเป็นว่าฉันไม่ชอบสิ่งที่นายทำ”

สีหน้าของภูธราสลดลงเล็กน้อย

“หากเป็นความต้องการของเจ้า ข้ารับปากว่าจะไม่เข้ามาในห้องนี้อีก จนกว่าจะได้รับอนุญาต”

“ดีมาก” พิมมาดาพูดด้วยน้ำเสียงที่สบายใจขึ้นพลางก้าวลงจากเตียงเพื่อจัดเก็บที่นอน เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วหญิงสาวจึงเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัว แต่ก่อนที่จะก้าวออกจากห้องเธอหันกลับมามองภูธราเหมือนกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

“นายเคยตามฉันเข้าไปในห้องน้ำด้วยหรือเปล่า”

ภูตหนุ่มพยักหน้ารับและรีบถามเมื่อเห็นดวงตาลุกวาวของเธอ

“ไม่ได้หรือ”

“ไม่ได้!” พิมมาดาตะโกนลั่น “”ต่อไปนี้ห้ามนายเข้าใกล้ห้องน้ำกับห้องนอนอย่างเด็ดขาด ไม่อย่างงั้นล่ะก็ได้เห็นดีกันแน่”

หญิงสาวขู่ด้วยน้ำเสียงจริงจังก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องโดยมีสายตาของภูธรามองตามพร้อมรอยยิ้ม

“ข้าอยากรู้จังว่าเจ้าจะทำอะไรกับข้า”

ร่างสูงใหญ่เคลื่อนผ่านพื้นซีเมนต์ลงไปยังด้านล่างและพรางตัวไม่ให้พิมมาดาเห็นจนกระทั่งเธออาบน้ำแต่งตัวเดินลงมาชงกาแฟเขาจึงปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง แม้จะเริ่มชินอยู่บ้างแต่หญิงสาวก็อดสะดุ้งไม่ได้ เธอค้อนภูธราวงใหญ่พร้อมกับบ่นเบาๆ

“ทำตัวอย่างกับผี”

“ข้าเป็นภูต” อีกฝ่ายรีบแก้ หญิงสาวจึงตอบโดยไม่หันไปมองหน้า

“จะภูตหรือผีก็น่ากลัวพอกัน” เธอล้างถ้วยกาแฟและคว่ำจนเรียบร้อยจากนั้นจึงเดินไปหยิบกระเป๋าก้าวออกจากบ้านเพื่อไปทำงาน แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าภูธราเฝ้าติดตามตลอดเวลาแต่หญิงสาวก็ทำเป็นไม่ใส่ใจ เธอเดินอย่างไม่เร่งร้อนไปตามทางย่อยจนกระทั่งถึงถนนหลักแต่ดูเหมือนวันนี้จะโชคไม่ดีนักเพราะแม้จะเดินมาจนเกือบถึงกลางซอยก็ยังไม่มีรถจักรยานยนต์รับจ้างผ่านมาสักคัน หญิงสาวจึงคิดว่าอาจจะเป็นเพราะเธอออกจากบ้านเช้ากว่าปรกติรถจึงมีจำนวนน้อย ระหว่างที่กำลังคิดอะไรเพลินๆอยู่นั้นเธอก็เห็นรถมูลนิธิคันหนึ่งวิ่งผ่านไป ถึงจะแปลกใจอยู่บ้างแต่หญิงสาวก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนักเพราะเดี๋ยวนี้รถของพวกหน่วยกู้ภัยไม่ได้ทำหน้าที่เพียงแค่วิ่งไปรับศพ บางครั้งเขาก็ได้รับแจ้งให้ไปช่วยจับงูหรือตีรังต่อตามบ้านพักอาศัย โดยเฉพาะชุมชนที่มีสวนผลไม้ขนาดใหญ่แบบนี้นอกจากงูแล้วยังมีสัตว์เลื้อยคลานอีกหลายชนิดให้คนต้องขนลุก

ความที่เดินมาไกลประกอบกับอากาศที่ร้อนอบอ้าวตั้งแต่เช้าทำให้พิมมาดาจำต้องแวะซื้อน้ำที่ร้านขายของชำกลางซอย ช่วงที่กำลังรอเงินทอนอยู่นั้นเสียงลูกค้าอีกคนก็ถามขึ้น

“รถมูลนิธิเข้ามาทำไมน่ะ”

“เขาเข้ามาเก็บศพคนงานท้ายซอย” เจ้าของร้านตอบทั้งที่มือยังนับเศษเหรียญ ลูกค้าคนนั้นทำหน้าแปลกใจ

“คนงานไหน แล้วเขาเป็นอะไรตาย”

“ที่เข้ามาซ่อมบ้านเฮียเอกไง เห็นว่าเสพยาจนหัวใจวายตายทั้งสองคนเลย”

“ไอ๊ย่า สองคนเลยเหรอ แบบนี้ผีดุตายโหง”เสียงลูกค้าคนเดิมพูด ฝ่ายเจ้าของร้านหัวเราะ
“ผีเผอมีจริงที่ไหนกันอาเฮีย เอ้านี่ซีอิ๊วกับเงินทอน” เขาพูดพลางส่งถุงพลาสติกให้จากนั้นจึงหันมายื่นเหรียญให้พิมมาดา”เงินทอนครับ”

“ขอบคุณค่ะ”หญิงสาวยื่นมือไปรับพลางนึกเถียงในใจว่าผีมีจริง เพราะตอนนี้เธอกำลังถูกสิ่งที่เรียกว่าภูตคอยติดตาม เมื่อเดินต่อไปได้อีกสักระยะเสียงแตรรถจักรยานยนต์ก็ดังมาจากทางด้านหลัง เธอจึงหยุดและนั่งรถคันนั้นออกไปจนถึงปากซอย

“เท่าไร่คะ” เธอถามเพราะไม่เคยนั่งรถในระยะนี้ คนขับฉีกยิ้ม

“สิบบาทก็พอครับคุณพิม”

หญิงสาวจึงหยิบเหรียญสิบบาทส่งให้ ความที่เห็นว่าอีกฝ่ายมาจากซอยที่เกิดเรื่องเธอจึงเอ่ยปากถาม

“ฉันเห็นรถมูลนิธิ”

“อ๋อ คนงานก่อสร้างตายน่ะครับ ตอนแรกตำรวจสันนิษฐานว่าเสพยาเกินขนาดแต่พอหมอมาตรวจกลับบอกว่าสองคนนั่นตายเพราะอาการช็อคตกใจสุดขีด แต่ผมว่าน่าจะเสพยาจนเห็นภาพหลอนเลยหัวใจวายมากกว่า”

คนขับรถคงพูดอะไรอีกยืดยาวถ้าเพื่อนร่วมวินไม่ตะโกนเรียก พิมมาดาจึงถือโอกาสเดินแยกตัวออกมาและตัดสินใจโบกรถแท็กซี่ไปที่ทำงาน ระหว่างที่นั่งอยู่บนรถ เธอก็หวนนึกถึงคนร้ายที่บุกเข้าไปในบ้านเมื่อคืน ด้วยจำนวนและทิศทางการหนีเป็นทางเดียวกันทำให้หญิงสาวต้องเม้มปากแน่นเพราะนึกสังหรณ์ใจว่าอาจจจะเป็นคนกลุ่มเดียวกัน ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็แสดงว่าการตายของพวกเขาไม่ได้เกิดจากยาเสพติด แต่เป็นฝีมือของภูตคราม

เมื่อนึกได้แบบนี้หญิงสาวก็ต้องขนลุกซู่ ดวงตาเหลือบมองสองข้างตัวอย่างระแวงเพราะรู้อยู่แก่ใจดีกว่าตอนนี้ภูธราอยู่ใกล้เธอตลอดเวลา พิมมาดาบีบมือตัวเองแน่นและพูดพึมพำ

“เขาอาจจะไม่ได้ทำก็ได้”

เธอถอนใจออกมาเบาๆและบอกให้คนขับจอดรถหน้าบริษัท เมื่อชำระค่าโดยสารแล้วหญิงสาวจึงเดินขึ้นไปยังชั้นสองเพื่อทำงานตามปรกติแต่พอโผล่พ้นประตูเข้าไปเท่านั้นนิลเนตรก็ลากเธอเข้าไปเตือนทันที

“คุณองอาจเรียกเธอเข้าพบ”

น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกังวลแต่พิมมาดากลับไม่รู้สึกวิตกอะไรนัก เพราะคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องที่ถูกมอบหมายให้จับตาดูพนักงานในบริษัท แต่สีหน้ากับน้ำเสียงของเพื่อนทำให้เธอต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ

“ทำไม มีเรื่องอะไรเหรอ”

“ฉันเห็นคุณองอาจหงุดหงิดมากกว่าทุกวัน ไม่รู้ว่ายายนงนภัสไปใส่ไฟอะไรเธอไว้บ้าง ยังไงก็เตรียมรับสถานการณ์เอาไว้ด้วย”

พูดได้เท่านั้นนิลเนตรก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงนายองอาจดังมาจากโทรศัพท์ติดต่อภายใน

“พิมมาดามาหรือยัง”

เลขานุการสาวรีบกดปุ่มและกรอกคำพูดลงไป

“มาแล้วค่ะ”

“บอกให้เขาเข้ามาหาผมด้วย”

พูดแค่นั้นสายก็ถูกตัด นิลเนตรกลืนน้ำลายลงคอก่อนหันไปทางพิมมาดา

“สงสัยจะงานช้าง ระวังตัวให้ดีนะเพื่อน”

อีกฝ่ายพยักหน้ารับและเดินตรงไปยังห้องทำงานของเจ้านาย แต่ก่อนที่จะเปิดประตูหญิงสาวรีบเอ่ยปากพูดเบาๆเหมือนต้องการให้ใครบางคนได้ยิน

“คุณองอาจเป็นเจ้านายของฉัน ห้ามทำอะไรเขาโดยเด็ดขาด”

พูดจบเธอจึงเคาะประตูห้องและก้าวเข้าไปด้านในเมื่อได้ยินเสียงอนุญาต หลังจากปิดประตูเป็นที่เรียบร้อยแล้วหญิงสาวจึงเดินไปหยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะนายองอาจ คิ้วสวยขมวดเข้าหากันด้วยความแปลกใจเมื่อไม่เห็นนงนภัสนั่งอยู่ด้วยเหมือนทุกครั้ง ขณะที่คิดหาคำอธิบายถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน นายองอาจก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกับพูดเสียงห้วน

“นั่งก่อนสิ”

หญิงสาวกล่าวคำขอบคุณพลางหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ซึ่งอยู่ด้านตรงกันข้ามกับเจ้านาย ยังไม่ทันจะขยับตัวให้เรียบร้อยเสียงนายองอาจก็ถามขึ้น

“เมื่อวานคุณพูดอะไรกับนงนภัส”

“เธอเข้าไปรื้อเอกสารการเงิน ฉันจึงบอกให้เธอออกจากห้อง”

“คุณใช้คำพูดแบบไหน” ผู้เป็นนายถามพร้อมกับจ้องหน้าพิมมาดาเขม็งเหมือนต้องการจะจับผิด หญิงสาวระบายลมหายใจออกมาเบาๆก่อนจะอธิบาย

“เมื่อวานตอนที่ฉันกำลังยืนคุยเรื่องงานกับนิลเนตร คณนงนภัสได้เข้าไปในห้องและรื้อเอกสารการเงินออกมาอ่าน ฉันขอให้เธอออกจากห้องแต่โดยดีแต่คุณนงนภัสไม่ยอมฟัง ฉันจึงจำเป็นต้องเสียงดังกับเธอ”

“แค่เสียงดังเท่านั้นหรือ” นายองอาจถามย้ำ พิมมาดาผงกศีรษะรับ

“ค่ะ แค่เสียงดังกว่าปรกติเล็กน้อยเท่านั้น ไม่มีคำหยาบคายด้วย”

น้ำเสียงและสีหน้าจริงจังของเธอทำให้นายองอาจเอนตัวพิงพนักเก้าอี้และนิ่งคิดอยู่ราวอึดใจ ในที่สุดเขาจึงวางมือลงบนโต๊ะพร้อมกับพูด

“ผมเชื่อ แต่ครั้งหน้าล็อคกุญแจหลังออกจากห้องทุกครั้ง จะได้ไม่มีปัญหาแบบนี้เกิดขึ้นอีก” มือเลื่อนไปเปิดลิ้นชักด้านข้างและดึงเอกสารชุดหนึ่งออกมา”เมื่อวานผมสั่งให้คนไปติดตั้งกล้องวงจรปิดไว้ในโกดังเก็บของแล้ว นี่คือวิธีการใช้ ส่วนนี่เป็นรายละเอียดค่าใช้จ่าย”

พิมมาดารับเอกสารทั้งหมดมาเปิดอ่านและถามด้วยความสงสัย

“ของมาส่งตั้งแต่เมื่อไหร่คะ ดิฉันไม่ทราบเรื่องเลย”

“ผมไม่อยากให้รู้เรื่องการติดตั้งกล้อง เลยให้เขาไปส่งที่บ้าน ส่วนการติดตั้งก็ให้ช่างมาทำตอนกลางคืน คนที่รู้เรื่องนี้มีแค่สิทธิศักดิ์ นิลเนตรแล้วก็คุณ ไม่ต้องห่วงผมให้เขาติดตั้งในมุมที่มองจากด้านล่างไม่เห็น ทั้งหมดห้าจุดรับรองได้เลยว่าคราวนี้เราต้องได้ตัวคนร้ายแน่”

หญิงสาวขมวดคิ้วและละสายตาจากคู่มือการใช้กล้องวงจรปิดพร้อมกับเอ่ยปากถามอย่างนึกเอะใจ

“แล้วท่านให้ส่งสัญญาณภาพไปที่ไหนเหรอคะ”

นายองอาจชี้นิ้วไปที่เธอ หญิงสาวมองอีกฝ่ายอย่างงงงัน

“ทำไม”

“อย่างที่รู้ นงเข้ามาวุ่นวายในห้องทำงานของผมเกือบตลอดเวลา ห้องทำงานของสิทธิศักดิ์ก็อยู่ด้านล่างแถมคนเข้าออกวุ่นวายตลอด ส่วนนิลเนตรก็มีแค่โต๊ะทำงานดังนั้นจึงเหลือแต่ห้องการเงินซึ่งนอกจากผมกับคุณเท่านั้นที่ถือกุญแจ”

เขาลดเสียงลงและพูดอย่างระวัง

“ด้วยเหตุนี้ผมจึงต้องขอให้คุณมาทำงานเช้ากว่าปรกติเพื่อตรวจดูภาพโกดังในแต่ละคืน และถ้าไม่สะดวกในด้านการเดินทางผมจะอนุมัติเงินพิเศษให้ ช่วงแรกอาจจะลำบากไปนิดแต่ก็ขอให้อดทน เพราะผมคิดว่าไม่นานคนร้ายจะต้องปรากฏตัว คิดว่าพอจะทำได้ไหมคุณพิม”

“ได้ค่ะ” หญิงสาวตอบ “ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายคุณองอาจไม่จำเป็นต้องอนุมัติเงินพิเศษหรอกค่ะเพราะฉันถือว่าเป็นงานของบริษัท แต่เรื่องราคากล้อง ฉันขอเสนอให้รอไว้จนกว่าเรื่องจะจบ เพราะถ้าขืนทำเรื่องค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ออกมา คนรู้กันทั้งบริษัทแน่”

“แล้วแต่ดุลพินิจของคุณ” นายองอาจพูดและหยิบเช็คออกมา “และผมขอยืนยันเรื่องเงินพิเศษสำหรับการเดินทาง ไม่ต้องกังวลมันเป็นเงินส่วนตัวของผมไม่เกี่ยวกับบริษัท ที่สำคัญนี่เป็นความคิดของคุณนวล”

ชื่อนายหญิงของบริษัททำให้พิมมาดาแย้งอะไรไม่ออก เธอรับเช็คเงินสดมาจากนายองอาจและกล่าวขอบคุณเบาๆ อีกฝ่ายส่งยิ้มให้กับเธอ

“หมดเรื่องแล้วคุณกลับไปทำงานเถอะ อ้อพยายามอย่าปะทะคารมกับนงนภัส เพราะผมไม่อยากปวดหัวกับเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับงาน”

“ค่ะ” พิมมาดารับคำและออกจากห้อง ทันทีที่โผล่พ้นประตูนิลเนตรก็โดดมาคว้าแขนเพื่อนพร้อมกับถามด้วยความเป็นห่วง

“เป็นไง คุณองอาจต่อว่าอะไรเธอบ้าง”

“แค่เตือนนิดหน่อย นอกนั้นก็คุยเรื่องงาน”พิมมาดาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย นิลเนตรทำตาโต

“เหลือเชื่อ ก็เมื่อเช้าฉันเห็นท่านหงุดหงิดออกขนาดนั้น” เธอหยุดและเปิดยิ้ม “งานนี้ถ้ายายนงนภัสรู้มีหวังกรี๊ดลั่นบริษัทแน่”

“แล้วจะไปบอกให้เขารู้ทำไม” พิมมาดาพูดและทำท่าจะเดินเข้าห้องแต่นิลเนตรกลับรั้งเธอเอาไว้พร้อมกับถาม

“แล้วเรื่องนั้นล่ะเป็นยังไง”

หญิงสาวเลิกคิ้วด้วยความฉงน

“เรื่องไหน”

“ก็ภูตที่ตามมาจากเขาใหญ่ไง เมื่อวานนี้เขามารบกวนเธออีกเหรือเปล่า”

พิมมาดาขยับเตรียมจะตอบแต่เสียงเอะอะโวยวายของนงนภัสที่ดังมาจากชั้นล่างทำให้เธอต้องหยุด เมื่อได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงของอีกฝ่ายกำลังก้าวขึ้นบันไดหญิงสาวจึงรีบพูดตัดบท

“ฉันขอตัวไปทำงานก่อนนะนิล”

นิลเนตรพยักหน้ารับและเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงานของเธอ ฝ่ายนงนภัสซึ่งทันเห็น
พิมมาดาเดินหายเข้าไปในห้อง ความผยองทำให้เข้าใจว่าหญิงสาวกำลังหลบหน้า ริมฝีปากสีแดงสดเหยียดยิ้มเยาะออกมาทันที

“ให้มันรู้ซะบ้างว่าใครเป็นใคร”

ดวงตาที่แต่งแต้มสีสันจนเข้มจัดปรายมาทางนิลเนตรเหมือนต้องการจะหาเรื่อง เธอจึงแสร้งทำเป็นเปิดลิ้นชักโต๊ะเพื่อหาของอย่างวุ่นวาย เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ต่อปากต่อคำนงนภัสจึงเบะปากอย่างดูถูกและเปิดประตูห้องนายองอาจโดยไม่มีการเคาะพร้อมกับร้องเรียกเสียงหวาน

“คุณองอาจขา”

บานประตูปิดลงกั้นสำเนียงภายในห้องไม่ให้เล็ดลอดออกมา นิลเนตรจึงถอนใจออกมาอย่างโล่งอกที่ไม่ต้องมานั่งทนฟังเสียงแสบแก้วหูของเจ้าหล่อน เมื่อหมดตัวก่อกวนหญิงสาวจึงนั่งทำงานของเธอต่อไปจนกระทั่งถึงเวลาพักเธอจึงออกไปรับประทานมื้อเที่ยงพร้อมพิมมาดา เช่นเดียวกับทุกวันที่ร้านอาหารทุกแห่งอัดแน่นไปด้วยผู้คน ทั้งสองจึงเดินต่อไปอีกนิดเพื่อไปยังร้านที่นั่งประจำ ระหว่างที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้นเสียงใครคนหนึ่งก็ตะโกนขึ้น

“ระวัง!”

ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะได้เห็นคนร้องก็มีเสียงดังโพล้ะเหมือนภาชนะดินเผาแตก ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของแม่ค้าผลไม้ คนที่ยืนอยู่บริเวณนั้นต่างหันมามองพิมมาดาเป็นตาเดียว สีหน้าของพวกเขาทำให้หญิงสาวต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจแต่ข้อสงสัยทุกอย่างก็หายไปเมื่อนิลเนตรสะกิดเธอพร้อมกับชี้ไปที่กระถางต้นไม้ที่แตกละเอียดอยู่ข้างตัว ยังไม่ทันที่จะได้พูดหรือถามอะไรออกมา หญิงวัยกลางคนที่อาศัยอยู่ในอาคารหลังนั้นก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหาพร้อมกับพูด

“ขอโทษด้วยค่ะพอดีมือมันลื่น เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”

เธอละล่ำละลักถามด้วยใบหน้าซีด พิมมาดาจึงรู้ว่ากระถางต้นไม้นั้นมาจากที่ใด ยังไม่ทันจะได้พูดนิลเนตรก็ชิงต่อว่าออกมาเสียก่อน

“ทำไมถึงได้ซุ่มซ่ามแบบนี้ ถ้ากระถางตกใส่หัวฉันจะว่ายังไง”

“ขอโทษค่ะ”เจ้าของกระถางยกมือไหว้และทำท่าจะร้องไห้ พิมมาดาจึงตัดบทด้วยความสงสาร

“ช่างเถอะนิล” เธอหันไปทางหญิงคนนั้น”ฉันไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ แต่ครั้งต่อไปช่วยระวังให้มากกว่านี้หน่อย”

หญิงสาวเดินต่อเมื่อพูดจบ ทิ้งให้เจ้าของกระถางยืนยกมือไหว้พร้อมพูดพร่ำคำขอโทษไว้ข้างหลัง เมื่อเห็นว่าพิมมาดากับนิลเนตรห่างไปพอสมควรแล้วแม่ค้าผลไม้จึงหันไปพูดกับคนขายของจุกจิกที่อยู่ข้างกัน

“เธอเห็นหรือเปล่า”

“อะไร” อีกฝ่ายถาม แม่ค้าชำเลืองตาไปทางพิมมาดาก่อนจะเล่าต่อด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“ก็กระถางต้นไม้นั่นน่ะสิ ตอนที่มันร่วงลงมาฉันนึกว่าคงจะลงหัวแม่คนนั้นแน่ๆ แต่ที่ไหนได้มันกลับกระเด็นลงไปตกข้างๆเหมือนมีคนปัด” น้ำเสียงลดลงจนเกือบจะกลายเป็นกระซิบ “หรือผู้หญิงคนนั้นเลี้ยงกุมารทอง”

“ถ้าจริงก็ดีน่ะสิจะได้ขอหวยซะเลย”

คนขายของพูดพร้อมกับหัวเราะเสียงดัง แม่ค้าผลไม้ค้อนขวับพร้อมกับบ่นพึมพำเมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่เออออด้วยแต่ความสนใจทั้งหมดก็ถูกลืมเลือนไปเมื่อมีลูกค้าจำนวนหนึ่งเดินเข้ามาเลือกซื้อผลไม้กันอย่างวุ่นวาย

ด้านนิลเนตร เมื่อเข้าไปในร้านและจัดการสั่งอาหารจนเป็นที่พอใจแล้วเธอจึงวกกลับไปถามเรื่องที่อยากรู้อีกครั้ง

“เธอยังไม่ได้เล่าให้ฉันฟังเลยนะพิม”

“เรื่องอะไร” พิมมาดาถามพลางดูดชามะนาวเข้าไปอึกใหญ่ อีกฝ่ายเอียงตัวเข้าไปหาพร้อมกับลดเสียงลง

“ก็เรื่องภูตครามไง”

“ภูธราน่ะเหรอ เมื่อวานเขาก็มา ตอนเช้าก็ยังเจอ อ้อจริงสิ เขาฝากมาบอกเธอด้วยว่าเขาเป็นภูตไม่ใช่ผี ให้เลิกคิดเรื่องจับลงหม้อถ่วงน้ำไปได้เลย”

นิลเนตรอ้าปากค้าง

“เขารู้ด้วยเหรอ”

“รู้สิก็เขาอยู่กับฉันตลอดเวลาเลยนี่นา ถึงตอนนี้ก็เหมือนกัน”

น้ำเสียงของหญิงสาวราบเรียบประหนึ่งสิ่งที่ธอพูดเป็นเรื่องปรกติธรรมดาต่างจากนิลเนตรที่มองซ้ายขวาหน้าหลังล่อกแล่ก

“อย่าล้อกันเล่นแบบนี้สิ”

“ฉันพูดเรื่องจริง” พิมมาดาพูดอย่างเคร่งขรึม อีกฝ่ายมองหน้าเธอด้วยความแปลกใจ

“เธอไม่กลัวเขาหรือ”

“กลัวสิแต่ทำไงได้เพราะขนาดออกปากไล่แล้วเขายังไม่ยอมไป ในเมื่อต้องอยู่ร่วมกันแล้วฉันก็ต้องพยายามทำใจให้ชิน”

“กับผีเนี่ยนะ”นิลเนตรพูดและทำหน้าเบ้”ฉันทำใจแบบเธอไม่ได้แน่”

“ขืนเอาแต่กลัวมีหวังได้เป็นบ้าไปก่อน ฉันเลยต้องแก้ปัญหาด้วยการเผชิญหน้ากับเขาให้รู้แล้วรู้รอดไป”พิมมาดาพูดและถอนใจออกมาค่อนข้างยาว”หวังว่าสักวันเขาคงเบื่อและยอมจากไปแต่โดยดี แต่เท่าที่ดูคงเป็นไปได้ยาก”

“ทำไมล่ะ” นิลเนตรถามด้วยความสงสัย อีกฝ่ายยิ้มน้อยๆ

“ก็ตอนนี้น่ะเขาตามติดฉันไปทุกที่แถมทำอะไรให้ตั้งหลายอย่าง เมื่อวานนี้ก็ทำให้ต้นไม้ออกดอกพร้อมกันทั้งสวน พอต่อว่าเขาก็อ้างว่าทำเพื่อฉัน”

เธอถอนใจออกมาอย่างกลัดกลุ้มในขณะที่นิลเนตรขมวดคิ้ว

“ดอกไม้ทั้งสวนเนี่ยนะ อะไรจะโรแมนติกขนาดนั้น”

“โรแมนติกอะไร เป็นลมตายก่อนล่ะไม่ว่า ลองคิดดูสิว่าบ้านฉันมีดอกไม้กี่ชนิด เล่นทำให้บานพร้อมกันแบบนั้นมันเลยกลายเป็นฉุนจนฉันแทบหายใจไม่ออก ไม่ใช่แค่นั้นนะเขายังสารภาพด้วยว่าเคยมองฉันตอนอาบน้ำและยืนเฝ้าอยู่ในห้องตอนหลับตลอดคืน”

เรื่องเล่าของพิมมาดาทำให้นิลเนตรผิวปาก

“ดูเธออาบน้ำด้วยเหรอ แหมร้ายไม่เบาเลยนะ”

“อย่าพูดเป็นเล่นได้ไหมยายนิล ฉันกลุ้มใจจะตายอยู่แล้ว ตอนแรกก็กลัวว่าจะถูกเขาจับกิน แต่พอถามจริงๆเขากลับบอกว่าที่ตามมาก็เพราะต้องการจะเห็นหน้าฉันเท่านั้น”

นิลเนตรทำหน้าเหมือนได้ฟังเรื่องน่าอัศจรรย์ใจที่สุด

“ว้าว พูดเหมือนเธอเป็นรักแรกพบของเขาเลย”

“อย่าพูดบ้าๆน่ะนิล รักแรกอะไรกัน เขาเป็นภูตกินคนนะ”

“แต่หล่อมาก”นิลเนตรพูดลากเสียงพลางย้อนนึกถึงตอนที่เห็นหน้าภูตหนุ่มในครั้งแรก แม้จะแค่แว่บเดียวแต่เธอก็จำได้แม่นว่าใบหน้าของเขาหล่อเหลาอย่างน่าประทับใจ ขณะกำลังนั่งนึกอยู่เพลินๆเธอก็ทำตาโตเหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

”จริงสิเมื่อกี้ฉันได้ยินเธอเรียกเขาว่าภูธรา”

“ก็เขาบอกว่าชื่อภูธรา” น้ำเสียงเจือความหงุดหงิดเล็กน้อยพลางหันหน้าไปยังด้านในสุดของร้านพร้อมกับบ่น”ทำไมวันนี้อาหารช้าจัง”

“อย่ามาทำเฉไฉเลยยายพิม ไหนเล่าให้ฟังหน่อยสิว่านอกจากการแนะนำตัวแล้วเขายังทำอะไรอีกบ้าง”

“เธอไม่กลัวเขาแล้วเหรอ” พิมมาดาย้อนถาม อีกฝ่ายยิ้มพร้อมกับยักไหล่

“กลัวแต่มันอยากรู้” เธอเคาะโต๊ะเบาๆ “เอ้าเล่ามาฉันอยากฟัง”

สีหน้าอยากรู้ของเพื่อนทำให้พิมมาดาต้องส่ายหน้าอย่างเอือมระอาจากนั้นก็เล่าเรื่องราวแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นกับเธอตั้งแต่โดนวิ่งราว ล้วงกระเป๋า เงาประหลาดที่ติดตามเธอไปทุกที่หรือแม้แต่กลิ่นดอกไม้ที่กรุ่นกระจายไปทั่วห้องทุกคืนก่อนนอนกระทั่งถึงเหตุการณ์ล่าสุดที่มีโจรบุกเข้ามาในบ้าน นิลเนตรนั่งฟังด้วยความตื่นเต้น

“แล้วเขาทำยังไงกับโจรสองคนนั่น”

“ฉันไม่รู้และก็ไม่อยากจะถามด้วย แต่เท่าที่เห็นเจ้าโจรสองคนนั่นเผ่นออกจากบ้านแทบไม่ทัน”

หญิงสาวยุติการเล่าไว้เพียงแค่นั้นโดยไม่พูดถึงการตายของคนงานก่อสร้างแถวบ้านเพราะตัวเธอเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะเป็นคนกลุ่มเดียวกันหรือไม่ แต่สำหรับการตายของคนร้ายวิ่งราวสองคนแรกหญิงสาวเริ่มแน่ใจแล้วว่าน่าจะเป็นฝีมือของภูธรา นิลเนตรพยักหน้าหงึกหงักและเลื่อนมือไปหยิบน้ำกระเจี๊ยบมาดูดเพื่อดับกระหายและคลายความสยอง

“ฟังแล้วเหมือนภูตคนนี้เป็นองครักษ์ประจำตัวเธอเลย”

หญิงสาวพูดทันทีที่ถอนปากออกจากหลอด พิมมาดาส่ายหน้า

“ไม่ไหวหรอก ถ้าเกิดวันไหนเขาอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาแล้วฉันจะทำยังไง”

“ก็ปล่อยให้เขากินไปสิ เป็นฉันถ้าเจอภูตหล่อแบบนั้นต่อให้ต้องถูกกินสักร้อยครั้งก็ยอม”

นิลเนตรพูดทีเล่นทีจริงแต่พิมมาดากลับส่ายหน้า

“ฉันไม่เอาด้วยหรอก น่ากลัวจะตายไป”

กลิ่นหอมฉุยของอาหารที่ถูกบริกรนำเข้ามาทำให้เพื่อนรักทั้งสองเลิกสนทนากันเพียงแค่นั้น หลังจากรับประทานอาหารเรียบร้อยแล้วทั้งคู่จึงกลับเข้าทำงานซึ่งพิมมาดาได้เริ่มต้นดูภาพบันทึกจากกล้องวงจรปิดตามคำสั่งของนายองอาจซึ่งดูเหมือนจะไม่มีอะไรผิดปรกติ หญิงสาวเตรียมจะรายงานให้เจ้านายทราบแต่ก็ไม่ทันเพราะเขาโดนนงนภัสลากตัวออกไปตั้งแต่ยังไม่บ่ายสอง หญิงสาวจึงจำต้องบันทึกข้อมูลเอาไว้และจัดเตรียมการบันทึกในคืนต่อไปจนเสร็จเรียบร้อยซึ่งกว่าทุกอย่างจะเสร็จก็เลยเวลาทำงานไปกว่าครึ่งชั่วโมงแต่เธอก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนักเพราะคิดว่านี่เป็นหนึ่งในหน้าที่และเป็นผลประโยชน์ของพนักงานทุกคน

ขณะนั่งรถกลับบ้านพิมมาดาอดนึกถึงภูตหนุ่มขึ้นมาไม่ได้ เพราะแน่ใจว่าเขายังคงติดตามเธออยู่ตลอดเวลา แต่ที่น่าสงสัยก็คือระหว่างที่รถวิ่ง เขาจะทำยังไง เคลื่อนตัวตามเหมือนลมพัด นั่งบนหลังคาหรือห้อยอยู่ท้ายรถ พอนึกถึงตรงนี้หญิงสาวก็ขำพรวดออกมาเมื่อนึกถึงภาพภูตครามกำลังห้อยต่องแต่งอยู่ท้ายรถเมล์

เพราะออกจากที่ทำงานช้ากว่าทุกวันประกอบกับการจราจรติดขัดทำให้กว่าจะถึงบ้านเวลาก็เลยไปเกือบหนึ่งทุ่ม ความที่เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางทำให้หญิงสาวลืมนึกถึงภูธราไปชั่วขณะ จนเมื่อเธออาบน้ำรับประทานมื้อเย็นและไปนั่งเอนหลังในห้องรับแขกแล้วนั่นแหละเขาจึงปรากฏตัวออกมา แม้จะรู้สึกชินกับการโผล่มาอย่างปุบปับแต่พิมมาดาก็อดที่จะตกใจไม่ได้เหมือนกัน เธอสะดุ้งพร้อมกับอุทานเบาๆลงท้ายด้วยการบ่นออกมาสองสามคำ

“จะออกมาทั้งทีก็น่าจะให้สุ้มให้เสียงกันหน่อย”

“ขืนทำแบบนั้นเจ้าจะตกใจมากกว่า”ภูตหนุ่มตอบพลางเหลือบตามองไปยังภาพในโทรทัศน์”เจ้าดูอะไรอยู่”

“ข่าว ฉันอยากจะรู้เรื่องเมื่อเช้า”

“เจ้าหมายถึงชายสองคนนั่น”ภูตหนุ่มถาม พิมมาดามองหน้าเขาทันที

“หมายความว่าสองคนนั้นคือโจรที่บุกเข้าบ้านฉันเมื่อคืน นายเลยตามไปกินพวกเขาใช่ไหม”

“เรื่องแรกน่ะใช่ แต่ข้าแค่ไปเตือนเท่านั้น พวกเขาตกใจมากไปเลยตาย”

ภูธราพูดด้วยใบหน้านิ่งเหมือนไม่รู้สึกรู้สาในสิ่งที่เล่าเท่าใดนัก ต่างจากหญิงสาวที่มีสีหน้าตระหนก เธอขยับตัวถอยห่างจากเขาพร้อมกับพูด

“ฉันไมเชื่อ”

“ตามใจเจ้า แต่ข้าก็ยังยืนยันว่าไม่ได้ทำอะไรเขาอยู่ดี หนึ่งก็เพราะพวกมันขลาดเกินกว่าจะย้อนกลับมาหาเจ้าอีกครั้ง และสองตอนนี้ข้ายังไม่หิว”

พิมมาดาจ้องหน้าอีกฝ่ายเหมือนต้องการจะจับผิด แต่น้ำเสียงกับใบหน้าที่ดูจริงจังเหมือนจะยืนยันว่าสิ่งที่พูดเป็นเรื่องจริง หญิงสาวจึงจำต้องทำใจเชื่อเขาในที่สุด ดูเหมือนภูธราจะเดาความคิดของเธอออก ภูตหนุ่มยิ้มและพูดเบาๆ

“เชื่อข้าแล้วใช่ไหม”

รอยยิ้มจริงใจกับดวงตาฉายความอบอุ่นทำให้ใบหน้าของพิมมาดาร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างหาเหตุผลไม่ได้ หญิงสาวรีบแสร้งทำเป็นหันไปสนใจข่าวพร้อมกับพูดอุบอิบอยู่ในลำคอ

“ไม่ได้เชื่อแต่ไม่รู้จะเถียงอะไรต่างหาก”

เสียงหัวเราะเบาๆทำให้พิมมาดาหูผึ่งเพราะตั้งแต่เจอกันนอกจากรอยยิ้มที่นานๆจะผุดขึ้นบนใบหน้าแล้วภูตหนุ่มแทบไม่แสดงอารมณ์อะไรออกมาเลย เธอเหลือบมองภูธราที่ขณะนี้กำลังมองออกไปนอกหน้าต่าง หญิงสาวจึงถือโอกาสพิจารณาเขาอย่างละเอียด เมื่อไม่ได้ตกอยู่ในความกลัว เธอจึงสังเกตเห็นว่านอกจากแผ่นหนังที่ห่อหุ้มร่างกายท่อนล่างแล้วภูตหนุ่มผู้นี้ไม่มีอาภรณ์หรือประดับเครื่องตกแต่งอย่างอื่นอีกเลย

ครั้งนี้หญิงสาวได้พิจารณาภูธราเต็มตาเป็นครั้งแรกและยอมรับในความจริงที่ว่าเขาเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีมาก ไม่ใช่ในแบบพิมพ์นิยมที่สาวๆยุคนี้ชอบกัน แต่เป็นความหล่อแบบสุขุม เคร่งขรึมดุจนักรบโบราณ ประกอบกับเรือนร่างสูงใหญ่และแผงอกเปลือยเปล่าที่แน่นไปด้วยมัดกล้ามด้วยแล้วช่วยเสริมให้เขาน่ามองยิ่งขึ้น หากเป็นมนุษย์ภูตหนุ่มผู้นี้คงไม่พ้นตกเป็นอาหารอันโอชะของสาวๆ คิดพลางเลื่อนสายตาต่ำลงมาพิมมาดาก็ต้องเผลอตัวกลืนน้ำลายเมื่อเห็นมัดกล้ามเป็นลอนกับหน้าท้องราบเรียบ ไม่สงสัยเลยว่าทำไมนิลเนตรจึงออกอาการกรี๊ดกร๊าดตอนพูดถึงภูตหนุ่ม หญิงสาวคิดพลางไล่สายตาต่ำลงไปอีกใบหน้าเริ่มเข้มขึ้นเมื่อจินตนาการถึงสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้แผ่นหนังที่ปกปิดกายท่อนล่างเอาไว้ อาการเงียบผิดปรกติของเธอทำให้ภูธราหันกลับมามองและเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ

“เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่”

“ป...เปล่า”พิมมาดารีบแก้ตัวเป็นพัลวันพร้อมกับสะบัดหัวแรงๆเหมือนต้องการจะไล่ภาพร้อนฉ่าออกไป ภูตหนุ่มมองเธอด้วยความเป็นห่วง

“เจ้าหน้าแดง ไม่สบายหรือเปล่า”

“ฉันไม่เป็นไร แค่ร้อนนิดหน่อยเท่านั้นเอง” หญิงสาวรีบพูดและแกล้งทำเป็นยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม ภูธราจึงยกมือขึ้นกอดอกและมองเธอนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดขึ้น

“ผู้หญิงคนนั้น เพื่อนของเจ้าเป็นคนดี”

พิมมาดาชะงักและทำท่าคิด เมื่อนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงใครเธอจึงพยักหน้า

“อ๋อยายนิล รายนั้นน่ะเป็นพวกปากกับใจตรงกัน เห็นโผงผางแบบนั้นแต่เอาเข้าจริงเป็นคนใจอ่อนจะตาย”หญิงสาวหันไปมองภูตหนุ่ม”แล้วนายล่ะ”

“ข้า?ทำไม?” ภูธราถามกลับด้วยความงุนงง พิมมาดาคว้าหมอนอิงมากอดและเอนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย

“ก็พวกเพื่อนของนายน่ะ พวกเขาเป็นยังไงไม่เห็นเล่าให้ฟังบ้างเลย”

“ข้าไม่มีเพื่อน” ภูตหนุ่มตอบเสียงเรียบและหยุดนิ่งเหมือนนึกได้”ที่คุยด้วยก็มีแค่มฤตตนเดียวเท่านั้น แต่เราก็ไม่ได้สนิทพอที่จะเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนกัน”

“หมายความว่ายังไง”หญิงสาวถามด้วยความอยากรู้ ภูธราทำท่าคิดเหมือนต้องการจะหาคำพูดที่เหมาะสมมาอธิบาย

“การดำเนินชีวิตของภูตครามเป็นแบบต่างคนต่างอยู่ ถึงจะมีหัวหน้าเป็นผู้ดูแล แต่พวกเราจะไม่ยุ่งเกี่ยวต่อกัน สำหรับมฤตกับข้าที่พูดคุยกันก็เพราะเราสองคนถูกเลือกให้เป็นผู้ปกครองรุ่นต่อไป”

พิมมาดาทำตาโตและพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“โอ้โห เป็นหัวหน้าทั้งสองคนเลยเหรอ”

“แค่คนเดียวเท่านั้น แต่ข้าไม่สนใจเป็นผู้ปกครอง”

บอกเพียงแค่นั้นก็หยุดพูดไปเสียเฉยๆ หญิงสาวขมวดคิ้ว

“ทำไมล่ะ”

“ข้าอยากอยู่กับเจ้ามากกว่า”

คำพูดสั้นๆแต่ก็ทำให้แก้มของพิมมาดาแดงระเรื่อขึ้นมา หัวใจของหญิงสาวเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมาจากอก เธอต้องกระชับหมอนให้แน่นขึ้นเหมือนต้องการกดให้มันอยู่ในทรวงก่อนจะเลี่ยงไปพูดเรื่องอื่น

“แล้ว เอ้อ”เธอสูดลมหายใจเข้าเพื่อสะกดอารมณ์ที่กำลังวิ่งพล่าน”ถ้านายไม่มีเพื่อนก็น่าจะมีคนรักเอาไว้พูดคุยเล่นบ้าง”

“ภูตครามไม่มีผู้หญิง”

ภูธราตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่พิมมาดากลับเบิกตากว้าง

“ไม่มีผู้หญิง แล้วพวกพวกนายสืบเผ่าพันธุ์กันได้ยังไง”ใบหน้าแดงเหมือนนึกขึ้นได้ว่าไม่ควรหลุดประโยคนี้ออกมาก่อนจะรีบปรับแก้”ฉันหมายถึงพวกนายอยู่กันได้ยังไงน่ะ มีแต่ผู้ชาย”

“แล้วมันแปลกตรงไหนหรือ”ภูตหนุ่มย้อนถามพลางยื่นมือออกไปนอกหน้าต่างเพื่อรับกิ่งหอมเจ็ดชั้นที่ยื่นช่อดอกเข้ามาหา”ข้าเข้าใจเรื่องที่เจ้าพูดเมื่อครู่ดีว่าหมายถึงอะไร ดังนั้นจะบอกให้รู้ว่าภูตครามไม่ได้เกิดจากชายหญิงเหมือนสัตว์หรือมนุษย์หากแต่ถือกำเนิดมาจากพลังธรรมชาติของผืนป่า”

“ฉันไม่เข้าใจ” พิมมาดาทำหน้างง ภูธราจึงอธิบาย

“ป่าประกอบไปด้วยต้นไม้จำนวนมากมาย แต่ละชนิดมีจิตและพลังวิญญาณแอบแฝงอยู่แม้จะน้อยนิดหากเทียบกับสัตว์หรือมนุษย์แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายร้อยปีพลังที่ว่านั่นก็จะรวมตัวกันและเคลื่อนไปยังต้นไม้เก่าแก่ที่สุดในป่า หลังจากดูดกลืนอาหารแบบเดียวกับพืชพรรณอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งจิตวิญญาณเหล่านั้นก็จะเปลี่ยนสภาพและผุดออกมาจากต้นไม้ดุจหน่อไผ่ที่โผล่พ้นดิน ช่วงแรกภูตครามยังคงเป็นเพียงคลื่นพลังงานที่ลอยล่องไปทั่วป่า แต่พอได้สูบกินวิญญาณไปได้สักระยะเราก็จะมีรูปร่างที่เหมือนมนุษย์และแข็งแกร่งขึ้น จากนั้นสัญชาตญาณจะดึงพวกเราให้ไปรวมกัน”

“ฟังเหมือนพวกนายเกิดขึ้นได้ยากมาก”

“และสูญสลายไปได้ยากเช่นเดียวกัน”ภูธราพูด “เมื่อมีภูตครามคนใหม่เข้ามา คนเก่าก็จะแตกสลายหายไป ถึงจะไม่ทันทีแต่ก็จะมีคนหนึ่งสูญสิ้นเมื่อถึงเวลา”

“นึกว่าพวกนายจะมีชีวิตเป็นอมตะ” พิมมาดาพึมพำ ภูตหนุ่มสั่นศีรษะ

“ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้าหรอก”

“แล้วนาย”หญิงสาวทำท่าลังเลก่อนตัดสินใจถาม”อายุเท่าไหร่”

“ข้าไม่เคยนับ แต่ถ้ามองจากช่วงเวลาแล้วน่าจะอยู่ในราวร้อยปี”

“ร้อยปี”พิมมาดาอุทานอย่างตื่นตะลึงและมองภูธราไล่ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าอย่างไม่เชื่อสายตาเพราะเท่าที่เห็นเหมือนเขาจะมีอายุประมาณ 25 ถึงจะมากกว่านั้นแต่ก็ไม่น่าจะเกิน 30 ปี

“ภูตครามเป็นแบบนี้เหมือนกันหมดทุกคนหรือเปล่า”

เธอถาม อีกฝ่ายผงกศีรษะรับ

“ส่วนใหญ่จะเป็นแบบนั้น พวกข้าถือกำเนิดในรูปลักษณ์นี้และสูญสิ้นด้วยลักษณะนี้เช่นเดียวกัน”

“น่าอิจฉา” หญิงสาวพึมพำ ภูธราเลิกคิ้ว

“จะอิจฉาทำไมในเมื่อพวกเจ้ามีทั้งอารมณ์และความรู้สึกนึกคิด อีกอย่างมนุษย์สามารถทำในสิ่งที่ภูตครามไม่อาจทำได้ หากไม่นับความเห็นแก่ตัวที่ฝังอยู่ในใจแล้วพวกเจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตที่แสนวิเศษกว่าสัตว์ทุกตัว และนั่นเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เราเลือกกินวิญญาณของมนุษย์”

“พูดเสียดิบดีลงท้ายก็กินคน” เสียงพิมมาดาบ่นอุบพลางขยับถอยห่างภูตหนุ่มออกไปอีกนิด “แล้วนายกินมนุษย์ด้วยวิธีไหน”

“กลัวแล้วยังอยากรู้”ภูธราพูดใบหน้าปนยิ้ม “พวกเราไม่ได้กินแบบเดียวกับสัตว์และไม่เหมือนพวกผีป่าที่สูบเลือดหรือกินชิ้นส่วนภายใน”

พูดพลางยื่นมือมาข้างหน้า

“แค่สัมผัสเบาๆวิญญาณของพวกเจ้าก็จะถูกดูดออกจากร่างจนหมด ใช้เวลาไม่นานหรอกแค่พริบตาเดียวเท่านั้น ข้ารับรองได้เลยว่าเหยื่อจะไม่รู้สึกเจ็บหรือทรมาน”

เขาดึงมือกลับเมื่อเห็นสีหน้าซีดเผือดของหญิงสาว เหมือนจะรู้ว่าเธอกำลังหวาดกลัวภูตหนุ่มรีบพูด

“ไม่ต้องกังวล ต่อให้หิวจนร่างสลายข้าก็จะไม่มีวันทำเช่นนั้นกับเจ้า”

“นายต้องรับปากนะ” ถึงจะไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจในสิ่งที่พูดหรือไม่แต่พิมมาดาก็อดที่จะร้องขอออกมาไม่ได้ แต่ภูธรากลับส่งยิ้มให้เธอ

“ข้ารับปากเจ้า”

หญิงสาวถอนใจอย่างโล่งอกแม้จะไม่มากนักแต่ก็ยังรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง เธอปิดโทรทัศน์และเดินไปปิดหน้าต่างหลังจากตรวจดูจนแน่ใจว่าทุกบานแน่นหนาดีแล้วเธอจึงไปที่บันไดแต่ก่อนจะก้าวหญิงสาวหันกลับไปที่ภูตหนุ่มอีกครั้งพร้อมกับพูด

“ห้ามย่องเข้าไปหาฉันตอนหลับอย่างเด็ดขาด”

ภูธรายิ้ม

“ลืมไปแล้วหรือว่าข้าแตะต้องเจ้าไม่ได้”

พิมมาดามองเขาอย่างชั่งใจและพยักหน้าในที่สุด

“งั้นราตรีสวัสดิ์”

เธอพูดก่อนจะวิ่งขึ้นไปยังชั้นบนโดยมีสายตาของภูตหนุ่มมองตาม เมื่อเห็นหญิงสาวปิดไฟทุกดวงหมดแล้วร่างของเขาจึงเลื่อนผ่านประตูออกไปด้านนอกและลอยไปหยุดอยู่ที่หน้าต่างห้องของพิมมาดาโดยเร้นกายเข้ากับความมืดเพื่อไม่ให้เธอต้องตกใจ เช่นเดียวกับทุกคืนเมื่อหญิงสาวล้มตัวลงนอน สายลมเย็นก็พัดพรูเข้าไปในห้องนำพากลิ่นหอมของดอกจำปีให้กำจายไปจนทั่วห้องสร้างความสุขต่อผู้ที่กำลังหลับไหลให้นิทราอย่างเป็นสุขตลอดทั้งคืน

*/*/*/*/*/*/*

พอดีมีเรื่องยุ่งนิดหน่อยเลยมาลงช้าไปนิด ต้องขออภัยผู้อ่านด้วยนะคะ ตอนนี้ภูตหนุ่มของเราเริ่มออกอาการหวานขึ้นมานิดๆแล้ว น้ำทิพย์จะใจอ่อนหรือเปล่า
ตอบคำถามค่า ^0^/
คุณอสิตา – ถ้ามีคนหล่อมาพูดแบบนี้มีหวังได้ละลายกองตรงนั้นแหง ต่อให้เป็นภูตก็เหอะ ...เนอะ
คุณดารานิล – เง่อใจเย็นค่า ^^”




มุนีรัตน์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 ก.ย. 2555, 20:08:38 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 ก.ย. 2555, 20:08:38 น.

จำนวนการเข้าชม : 1317





<< ภูตคราม บทที่ 8 ผู้เฝ้ามอง   บทที่ 10 น้ำตานาง >>
ใบบัวน่ารัก 25 ก.ย. 2555, 06:16:56 น.
ต้นไม้ที่อายุเยอะๆคงจะหายาก
ในไทย พิมเอ้ย หน้าตาดีก็น่าเสียดาย
รอไปก่อน นะ


ดารานิล 25 ก.ย. 2555, 22:56:25 น.
อ่านแล้วอยากได้แฟนเป็นภูธราอ่ะค่ะพี่มูนนี่ จะเอาทิวลิปมาปลูก รวยแน่งานนี้ 555555


pulala 27 ก.ย. 2555, 10:21:36 น.
น้ำทิพย์ ไผน้อ ~~


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account