น้ำค้างกลางจันทร์
ความลับสำคัญที่เธอไม่อาจบอกใครๆ
มันชื่นฉ่ำอยู่เหมือนน้ำค้างกลางดวงใจ
แม้ในความเป็นจริงจะแห้งเหือดหาย
แต่เธอก็ยังเฝ้าติดตามหา

แล้ววันนี้
วันที่ต้นธารแห่งหยาดน้ำค้างนั้นหวนคืนมา
เขาจะรู้สึกกับเธอ
เหมือนอย่างที่เธอรู้สึกกับเขาอีกหรือไม่
Tags: น้ำค้าง กลางจันทร์ รัก โรแมนติต ดราม่า นิยายน่าอ่าน เรื่องดีๆ พิศวาส ซ่อนเร้น

ตอน: 017

017




ปริยัติโทร.เข้ามาก่อนเวลา บอกว่าเขาจะนั่งรออยู่ที่ส่วนต้อนรับ แล้วก็โทร.เข้ามาอีกครั้งทันทีที่ได้เวลาเลิกงาน ครั้งนี้บอกอินทุอรด้วยความสุภาพอย่างยิ่งว่า จะไปเลื่อนรถออกมารอรับที่หน้าสำนักงาน ทำราวกับเป็นสารถีผู้ซื่อสัตย์ของเจ้าหญิงโฉมงามก็ไม่ปาน

เพื่อนในแผนกตามลงมาเป็นพรวน เพราะต่างรู้ว่าใครจะมารับอินทุอร ก็น้องจอยสาวน้อยผู้ช่วยของอินทุอรนั่นละ เป็นผู้กระจายข่าว

ในกลุ่มที่ลงลิฟท์มาด้วยกัน มีศรันย์รวมอยู่ด้วย ตอนแรกเขาทำเป็นเดินผ่านมาแถวห้องที่ทำงานของอินทุอร แล้วก็เลยไถลตามลงมา ตามคำแกล้งสัพยอกชักชวนของน้องจอยคนเดิม

ตัวอินทุอรเองก็อึดอัดอยู่ไม่ใช่น้อย แต่ความปลอดโปร่งเพราะตัดสินใจได้เด็ดขาดแน่วแน่นั้นมีมากกว่า ทำให้ยังพอจะยิ้มรับถ้อยคำหยอกล้อของบรรดาเพื่อนร่วมบริษัทได้อยู่

ส่วนคนที่มีสีหน้าเคร่งเครียดบึ้งตึง จนน้องจอยอดออกปากแซวไม่ได้ว่า ไม่ลงมาเสียยังจะดีกว่า ก็คือศรันย์ หนุ่มรุ่นน้องที่มาตกหลุมรักอินทุอรนั่นเอง

“ข้างบนส้วมเต็มหรือคะ ถึงต้องลงมาใช้ห้องน้ำข้างล่าง”

อินทุอรได้ยินแว่วๆ ว่าสาวน้อยผู้ช่วยของเธอแกล้งกระแนะกระแหนเขาดังนั้น

“ลงมาหากาแฟกินสักถ้วยหรอกครับ คืนนี้ผมต้องเคลียร์งานอีกมหาศาลเลย”

“อ้อ... จะทำงานย้อมใจงั้นสินะคะ หรือว่าจะเร่งเมคมันนี่เอาไว้ขอเจ้าสาว”

ประตูลิฟท์เปิดออกพอดีตอนที่จ้องจอยเอ่ยถึงคำสุดท้าย อินทุอรรีบเดินนำตรงแน่วไปยังประตูทางออก เลยไม่เห็นว่า ศรันย์รั้งตัวของน้องจอยเอาไว้ให้ล้าหลัง ส่วนจะพูดจาอะไรกันอีกนั้น เธอยิ่งไม่ได้ยิน

ปริยัติรออินทุอรด้วยอาการยืนพิงอยู่กับรถยุโรปคันสวย ที่ไม่ใช่อย่างใหญ่โตเทอะทะ แต่เป็นคันขนาดกะทัดรัด รูปทรงโฉบเฉี่ยวล้ำสมัย ชนิดที่อาจหาคันอื่นอีกไม่ได้บนถนนหนทางในกรุงเทพ

เขายิ้มให้เธอเต็มที่ ตอนขยับมือไปเปิดประตูรถ ท่าทางนั้นดูรู้ว่าฝึกฝนมาอย่างดี สำหรับบริการให้สุภาพสตรีทุกคนประทับใจ

“ลงมาเร็วดีจังเลยอินทุ์ ผมจองร้านอร่อยไว้แล้วละ เชิญขึ้นรถเลยครับที่รัก”

น้ำเสียงเขาก็นุ่มนวล ขณะพูดก็ยิ้มได้ทั้งหน้าทั้งตา ทั้งหมดที่เป็นเขา ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอนี่ละ ที่ทำให้ผู้หญิงทั้งประเทศอยากจะได้มาครอบครอง

อินทุอรอดคิดไม่ได้ว่า ตนโง่เกินไปหรือเปล่าก็ไม่รู้ ที่คิดจะปฏิเสธการแต่งงานนี้

แต่คำ “ที่รัก” ตรงท้ายประโยคนั่นละ ที่ทำให้กลับมั่นใจในการตัดสินใจของตนเองขึ้นมาอีกครั้ง ก็เธอไม่ได้รักเขาสักนิด แล้วอินทุอรก็เชื่อว่า เขาเองก็ไม่ได้รักใคร่อะไรเธอนักหนา หรือไม่... ลองเธอยอมเป็นของเขา ตั้งแต่เมื่อตอนที่เขาพยายามขอนั่น ป่านนี้คงไม่รู้ว่าเขาจะกำลังไปฟาดไปฟันอยู่กับใครๆ




ร้านอาหารสุดหรูอยู่บนยอดตึก ไกลห่างจากที่ทำงานของอินทุอรมาทางริมแม่น้ำ ผู้มาใช้บริการจะรู้สึกประหนึ่งเป็นผู้มีเกียรติยศล้นฟ้า ตั้งแต่ก้าวลงจากรถ ที่มีพนักงานรี่เข้ามาเปิดประตูให้อย่างนบนอบ แล้วยังผ่านแถวพนักงานต้อนรับอีกหลายคน ที่ต่างก็ส่งรอยยิ้มแบบเดียวกัน ที่ในวงการของอินทุอรให้คำจำกัดความว่า “เป็นรอยยิ้มแบบยินดีบริการ” โดยมีวงเล็บต่อท้ายคือ “ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม”

ส่วนคนที่พามานั่นเล่า ก็แทบจะตระกองกอด ประคับประคองเธอผ่านหมู่พนักงานเหล่านั้นไป ทำคล้ายกับกลัวว่าเธอจะหลงไปทางไหน หรือไม่ก็กำลังเป็นไข้หนักขนาดจะเดินเองยังไม่ไหว

อินทุอรต้องก้าวเท้าให้เร็วขึ้น ให้พ้นจากอ้อมแขนที่กำลังพยายามโอบจากทางด้านหลังนั้น

“หิวหรือครับ”

คำถามสุภาพยิ่ง แต่ก็ทำให้คนเร่งเดินสะดุดกึก หวนนึกถึงมรรยาทอันควรได้ทันที

แล้วก้าวต่อไป อินทุอรก็ต้องฝืนใจเดินให้ช้าลง ซึ่งนั่นหมายความว่าต้องตกอยู่ในอ้อมโอบปริยัตโดยปริยาย

“เดินไปเฉยๆ ก็ได้ค่ะ ไม่ต้อง...”

แต่เธอยังพยายามปฏิเสธ

“ไม่ได้สิครับ เรารักกัน ก็ต้องแสดงออกให้ใครๆ เขารับรู้”

“หรือคะ”

อินทุอรถึงกับทำน้ำเสียงให้เขารู้ชัดๆ ว่า ไม่เชื่อถ้อยคำนั้นแน่ๆ

“หรือว่าคุณอินทุ์ไม่รักผมเลยสักนิด”

คราวนี้ ไม่ทันได้ตอบคำ ทั้งสองก็เดินมาถึงลิฟท์ที่เปิดรออยู่แล้ว มีพนักงานประจำลิฟท์ที่แต่งเครื่องแบบคล้ายๆ กับพวกข้างหน้า ยืนยิ้มรับแบบ “ยินดีบริการ” อยู่อีกคนหนึ่ง

ไม่ต้องบอกเลยด้วยซ้ำ ว่าจุดหมายของทั้งคู่คือที่ไหน เพราะความพรักพร้อมชำนาญการของการบริการชั้นเลิศนั่นเอง ที่ทำให้ทุกส่วนงานประสานงานกันได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง

ในลิฟท์ไม่กว้างนัก แต่กรุกระจกไว้รายรอบ ทำให้ดูปลอดโปร่งกว้างขวาง ไม่ว่าจะเหลือบชำเลืองไปทางไหน ก็สามารถเห็นเงาสะท้อนของทุกคนได้ในทุกแง่มุม โดยเฉพาะท่าทางสุภาพยิ่งของพนักงานลิฟท์นั่น แม้จะยืนสำรวมท่าทีอยู่เต็มที่ หากอินทุอรลองมองตามสายตาที่หลุบลงต่ำนั้น ก็สามารถจับสังเกตได้ว่า เขาใช้มุมมองอันแยบยล ของภาพสะท้อนไปมาในกระจก ซอกแซกสอดส่อง ลอบจับตาดูว่าลูกค้าสำคัญทั้งคู่ที่ยืนเยื้องไปด้านหลังของเขานั้น กำลังเกาะแกะกอดเกี่ยวกันอยู่ในขั้นไหน

ทำให้อินทุอรต้องรีบปลดมือปริยัติออกจากการโอบรอบสะเอว แต่เขาก็ยังใช้สิทธิของคู่หมั้น กุมมือข้างที่อยู่ชิดใกล้กันนั้นเอาไว้ได้อยู่นั่นเอง

อินทุอรอยากจะประกาศไปเสียตั้งแต่ตอนนี้เลยว่า ฉันจะถอนหมั้นกับคุณ

แต่ระบบลิฟท์ชั้นดี ที่เงียบสงบราวไม่ได้เคลื่อนที่ไปชั้นไหน ก็ส่งสัญญาณดังขึ้นเสียก่อน ยังไม่ถึงชั้นที่ต้องการหรอก แต่มีลูกค้าของโรงแรมนี้อีกห้าคนเข้ามาสมทบ

พวกเขาคงรู้สึกราวกับเป็นเจ้าของที่นี้ จึงคุยกันโขมงโดยไม่คิดจะเกรงใจใคร กลิ่นน้ำหอมและกลิ่นตัวนั้นปะปนกันคละคลุ้ง ด้วยว่าเป็นชาวชาติตะวันออกกลางด้วยกันทั้งหมด

จนออกจากลิฟท์และต่างแยกย้ายกันเข้ามาในภัตตาคารสุดหรูหรานี้แล้ว เสียงของพวกเขากลุ่มนั้นก็ยังไม่จางหาย ดีว่าโต๊ะที่ปริยัติจองไว้ ค่อนข้างเป็นมุมส่วนตัว สงบ และมีทิวทัศน์ของยามอาทิตย์อัสดงอันยอดเยี่ยม ทำให้ความน่ารำคาญของคนพวกนั้น จางหายไปอย่างรวดเร็ว




ดวงตะวันยอแสงลงแล้ว เมื่อยามเย็นมาย่ำเยือน แสงสั่งฟ้าผันเปลี่ยนพลิ้วพรายเล่นล้ออยู่กับหมู่เมฆ สีทองสุกปลั่งสาดไล้ตามขอบเมฆา แรเงาให้เกิดมิติอันหลากหลายและน่าพิศวง สมกับเป็นยามย่างสู่สนธยากาล

มันคงเป็นบรรยากาศอันชวนหม่นหมองยิ่งนัก หากไม่มีแสงรุ่งของพรุ่งนี้ ให้ผู้คนผลัดความหวังไปวางไว้ในวันใหม่

อินทุอรทอดสายตามองออกไป แล้วก็อดคิดไม่ได้ว่า ช่วงเวลาอันหมองหม่นของตน ก็คงจะได้จบลงไปเสียที เช่นกันกับแสงสั่งฟ้าในวันนี้ ที่พอพ้นผ่านยามราตรี ก็จะได้พบกับวันพรุ่งนี้อันสดใส

“ผมสั่งอาหารไว้ให้แล้ว หวังว่าอินทุ์คงชอบ”

ปริยัติเอ่ยขึ้น หลังจากปล่อยให้อินทุอรดื่มด่ำกับภาพวิวทิวทัศน์อยู่ครู่หนึ่ง

“วิวกลางคืนสวยกว่านี้ ถ้าอินทุ์ถูกใจ เราเหมาที่นี่เป็นที่จัดเลี้ยงงานแต่งงานของเราก็ได้”

ประโยคท้ายนี้เองที่ทำให้อินทุอรเหมือนถูกกระตุกกลับมาสู่สถานการณ์ตรงหน้า

“อินทุ์ยังไม่พร้อมค่ะคุณปริยัติ ที่จริง... ตั้งแต่ตอนหมั้นกันนั่นแล้ว”

อะไรก็ไม่รู้ ทำให้อินทุอรยิงตรงเข้าสู่เป้าหมายของตนเองได้ทันที

ใจเต้นระทึก ตอนที่เห็นอาการตะลึง และนิ่งอึ้งไปของคนตรงหน้า

เขากำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรออกมาอยู่แล้ว แต่ดันมีสายเรียกเข้าของโทรศัพท์เขาดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน

ปริยัติแลดูนิดหนึ่งว่าใครเป็นคนโทร.มา แววตาเหี้ยมเกรียมฉายกราดขึ้นแวบหนึ่ง ขณะรับสายอยู่สองสามคำ ก่อนที่จะกดตัดสายทิ้งอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องสลักสำคัญอะไร

ที่พูดกับปลายสายนั้น ก็มีถ้อยคำเพียงแค่ว่า

“ใช่... ใช่... ใช่ครับ”




พิมพิกายังอกสั่นขวัญแขวนอยู่ไม่หาย กับการที่กว่าจะเอาตัวรอดมาได้จากไอ้พวกนั้น พวกมันกักขฬะหยาบโลนจนเกินบรรยาย ท่าทางข่มขู่และพร้อมจะข่มเหงได้ทุกวินาทีนั่น ต่อให้เป็นผู้หญิงก๋ากั่นกร้านโลกขนาดไหน ก็ต้องรู้สึกว่าตกอยู่ในระหว่างความเป็นความตายไม่แตกต่างกัน

ดีที่มีลูกค้าขาจรของพวกเขา แวะเข้าไปติดต่อสอบถาม ทำให้หล่อนสามารถหลบหลีกออกมาได้อย่างไม่บุบสลายจนเกินไปนัก แล้วก็ขับรถมุ่งตรงกลับบ้าน โดยตนเองก็ยังไม่แน่ใจ ว่าอาการใจหายใจคว่ำที่ยังคงอยู่นี้ พาตัวกลับมาถึงที่นี่ได้ยังไง

อีกนิดเดียวจริงๆ ที่หล่อนจะถูกรุม...

พอรู้สึกว่าหายใจได้ทั่วท้องขึ้น และตั้งสติได้บ้างแล้ว พิมพิกาก็ต่อสายถึงปริยัติทันที

“ปอนด์แค่ล้อกันเล่นใช่ไหมคะ... คิดว่าพิมพิ์จะยอมแพ้งั้นหรือ นี่จะไม่ให้โอกาสแก้ตัวอีกแล้วหรือไงคะ...”

ปลายสายตอบว่าใช่ไปเสียทุกคำถาม ก่อนจะตัดสายทิ้งอย่างไม่ไยดี พิมพิกาปาโทรศัพท์ทิ้งเต็มแรง แต่อารมณ์ขุ่นข้องเคียดแค้นก็ยังไม่อาจบรรเทาลง

คุณสาวิกาค่อยเลียบเคียงเข้ามาพร้อมแก้วน้ำส้มคั้นหน้าตาน่าชื่นใจ

ค่อยทรุดนั่งลงบนโซฟาตัวถัดไป ก่อนจะเอ่ยขึ้นเบาๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“ดื่มน้ำส้มก่อนนะคะคุณหนู...”

พิมพิกาค้อนขวับ อยากจะปัดแก้วนั้นให้กระเด็น แต่สายตาเย็นๆ ของคุณแม่บ้าน ที่ได้ชื่อว่าดูแลหล่อนมาแต่เล็กแต่น้อยเหมือนกัน ก็ยับยั้งความคิดอันนั้นเอาไว้ได้

“ขอปืนสักกระบอกดีกว่าค่ะคุณสา”

ท่าทางเหี้ยมเกรียมของคุณหนูคนเล็กของบ้านนั้นจริงจัง แต่คุณสาวิกาก็ยังพยายามใช้น้ำเย็นเข้าลูบ ที่จริงก็ได้ยินทั้งหมดตั้งแต่แรก ว่าเมื่อครู่พิมพิกาเพิ่งคุยโทรศัพท์อยู่กับใคร

“ปืนผาหน้าไม้ไม่ดีหรอกค่ะ คนเราวู่วามไปก็เท่านั้น จะคิดจะทำอะไร หากค่อยๆ คิด ค่อยๆ ทำไป ผลที่ตามมามันก็จะนุ่มนวลแนบเนียนกว่ากันมาก”

“อย่ามาพูดให้อ้อมค้อมวกวนอยู่เลยน่ะ คุณสาไม่เคยเจอกับตัว ไม่เจออย่างที่พิมพ์เจอ ไม่มีวันรู้หรอกว่า กับบางคนน่ะแค่ลูกกระสุนเจาะหน้าผากแค่นัดเดียวมันยังน้อยเกินไป”

“พอเถอะค่ะคุณหนู อย่าพูดเล่นอย่างนี้เลย ดื่มน้ำส้มให้ชื่นใจเสียก่อน ประเดี๋ยวจะให้เด็กไปเตรียมผสมน้ำอุ่นรอไว้นะคะ”

แล้วคุณสาก็ล่าถอยออกไป ด้วยรู้ทันท่วงที ว่าอาการอย่างนี้ สู้ปล่อยให้ค่อยบรรเทาด้วยการได้อยู่นิ่งๆ คนเดียวจะดีกว่า แต่ก็ทั้งนี้ ไม่ลืมจะเก็บชิ้นเล็กชิ้นน้อยของโทรศัพท์มือถือรุ่นล่าสุดติดมือไปด้วย

ครู่หนึ่ง อีกสองคนที่มีสีหน้าเคร่งเครียด ไม่แพ้กับคนที่นั่งบึ้งตึงมาก่อนแล้วพักใหญ่ ก็พากันผ่านเข้ามาด้วยอาการเหมือนกำลังตกอยู่ในห้วงทุกข์ด้วยกันทั้งคู่

พอพันธกานต์เห็นหน้าน้องสาว ก็หันขวับกลับไปทางมารดา

คุณโสภาพรรณ ซึ่งมีสีหน้าบอกบุญไม่รับมาตั้งแต่แรกเดินเข้ามา ยิ่งทำหน้านิ่ว ส่ายหน้าอึกอักอึดอัดอยู่เป็นอึดใจ กว่าจะได้นั่งลงข้างๆ กันกับบุตรสาว

“ไปขับรถชนใครเข้าหรือคะ ถึงทำหน้าเหมือนเพิ่งฆ่าใครตาย”

พิมพิกากระทบใส่พี่ชาย เพราะอารมณ์ยังกรุ่นอยู่ไม่รู้คลาย

พันธกานต์ยังนิ่งอั้น ไม่ต่อความใดๆ

“เรื่องพี่ปอนด์ คุณแม่ต้องจัดการให้พิมพิ์นะคะ”

พอเห็นพี่ชายไม่ตอบคำ หล่อนก็หันไปทางมารดา

“ทำไม เรื่องของเธอทำไมไปเกี่ยวอะไรกับไอ้นั่น”

แต่พันธกานต์กลับตวาดถาม ทั้งที่ปกติกับน้องกับแม่ เขาจะสุภาพกว่านี้มากนัก

“มันก็เรื่องของพิมพิ์อีกนั่นแหละค่ะ ไม่เกี่ยวกับพี่พันธ์”

“ทำพองขนเข้าไปเถอะพิมพิ์ สักวันหนึ่งเธอจะรู้สึก แล้วก็คงอีกไม่นานนี้ด้วย ใช่ไหมครับคุณแม่”

“นั่งลงก่อนเถอะพันธ์ นี่คุยกันมาตลอดทางยังไม่รู้เรื่องกันอีกหรือยังไงล่ะ ยังไงๆ เราก็เป็นคนบ้านนี้ ยัยหนูพิมพิ์ก็ใช้นามสกุลคุณอิศรา ตัวพันธ์เองคุณอิศราเขาก็รักยังกับลูกแท้ๆ”

“นั่นเพราะเขาคิดว่าผมกำพร้า พ่อแท้ๆ ตายไปตั้งแต่ผมยังแบเบาะไม่ใช่หรือ”

พันธกานต์ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตัวตรงกันข้าม สีหน้ายังเคร่งเครียดไม่เปลี่ยนแปลง

“แล้วมันต่างกันยังไงล่ะ”

คุณโสภาพรรณก็ยังคงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงขุ่นๆ อยู่ไม่คลาย

“คุณแม่ไม่น่าพาผมไป”

“แกจะได้ไม่ต้องมากล่าวหาแม่เสียๆ หายๆ ยังไงล่ะ”

พิมพิกามองหน้าคนนั้นคนนี้อยู่จนทนต่อไปไม่ได้ หล่อนผุดลุก ขยับมานั่งเสียให้ไกลจากมารดา เมื่อเห็นว่าสองคนยังไม่มีท่าทีไยดีกับปัญหาของหล่อน ก็ต้องเกรี้ยวกราดแทรกแซงเข้าไปบ้าง

“อะไรกันคะ อะไรกัน! คุยกันเรื่องอะไร มันยุ่งยากนักหรือยังไงล่ะ ถึงได้ไม่สนใจเรื่องของพิมพิ์เลย”

หล่อนอยากจะกรี๊ดใส่ แต่พอเห็นสีหน้าของทั้งสองคน ก็ค่อยๆ รู้ได้เองว่า เวลานี้จะใช้แต่เสียงหรืออารมณ์ร้อนๆ อย่างเดียวไม่ได้

“แล้วเรื่องของน้องพิมพิ์...”

“แม่... ไม่แน่ใจ...”

“ก็ไหนว่าคุณแม่เลิกกับ... แล้วคุณพ่อ... ผม... เอ่อ... หมายถึงคุณพ่ออิศรา ก็รู้จักคบหากับคุณแม่มาก่อน”

“พันธ์ก็เข้าใจถูกทุกอย่าง”

“แล้วทำไมคุณแม่... ไม่แน่ใจเรื่องน้องพิมพิ์”

น้ำเสียงของสองคนที่สนทนากันอยู่นี้ ยิ่งเคร่งเครียดหนักขึ้น ทั้งหมดที่พูดกันอยู่น่า เป็นเรื่องของหล่อนไม่ใช่หรือ แต่ทำไมถึงทำเหมือนหล่อนไม่มีตัวตนอยู่ตรงนั้น

“อย่าหาอะไรมาสุมให้อีกนะคะ พิมพิ์บอกเสียก่อนว่า อย่ามาเจ้ากี้เจ้าการจับคู่อะไรให้พิมพิ์อีก พิมพิ์ขอประกาศไว้ตรงนี้เลยว่า พิมพิ์จะแต่งกับพี่ปอนด์คนเดียวเท่านั้น”

“เธอรักเขางั้นรึ!”

พี่ชายหันมาถามสั้นๆ สีหน้าเย็นชาเต็มที

ทำให้พิมพิกายิ่งเดือด จนต้องหันไปใส่เอากับคนเป็นแม่

“ไม่รู้ละค่ะ คุณแม่ต้องจัดการเรื่องนี้ คุณแม่ก็รู้ว่าพิมพิ์กับพี่ปอนด์เป็นอะไรกัน”

“เราเคยคุยเรื่องนี้กันแล้วนะหนูพิมพิ์ นายนั่นมันชั่วมันเลวอย่างไร เราก็รู้กันอยู่แก่ใจ อย่ามัวแต่คิดจะเอาชนะยัยอินทุ์อยู่อย่างเดียว”

ส่วนน้ำเสียงของคุณโสภาพรรณนั้น ทั้งเย็นชาทั้งเหี้ยมเกรียม แม้พันธกานต์จะรู้สึกได้ว่ามารดาหวังดีกับพิมพิกาขนาดไหน แต่พร้อมกันก็รู้สึกได้ว่า ในความคิดของคุณโสภาพรรณ คนอื่นทั้งโลกล้วนไม่สำคัญ นอกจากบุตรสาวคนเดียวของตนเองเพียงเท่านั้น

“คุณแม่ก็รู้ว่านายปริยัติมันไม่ใช่คนดี แล้วยังจะผลักไสน้องอินทุ์ไปให้มันอย่างนั้นหรือครับ”

“ก็หรือจะให้น้องสาวแกไปทรมานทั้งชีวิตกับมันล่ะ”

“แล้วน้องอินทุ์ล่ะครับ”

ทั้งที่พันธกานต์รู้อยู่แล้วว่าคุณโสภาพรรณไม่ไยดีกับอินทุอรเท่าไรนัก แต่การจะผลักไสให้ไปอยู่ในปากเสือปากจระเข้ ด้วยความเต็มอกเต็มใจขนาดนี้ เขาไม่เคยนึก

“ก็เรื่องของมัน รีบๆ แต่งออกไปซะ เรื่องยุ่งของเราจะได้จัดการได้ง่ายขึ้น”

“ผมยอมไม่ได้”

“พี่พันธ์หลงรักมันน่ะสิ”

พันธกานต์หันขวับ เงื้อเหมือนจะตบ แต่ก็ตัดใจลดมือลงได้เสียก่อน กัดฟันกรอด ข่มอารมณ์ของตนอยู่อีกเป็นอึดใจ กว่าจะเอ่ยออกมาได้

“พี่ก็ไม่เคยคิดจะแย่งของใคร”

ประโยคนั้น ตั้งใจจะกระทบน้องสาวให้รู้สึกสำนึกอะไรๆ เสียบ้าง

“จริงหรือคะ”

แต่พิมพิกากลับยังกล้าลอยหน้าต่อปากต่อคำ

“หยุดเถอะน่ะ ทั้งสองคนนั่นละ พิมพิ์... เรื่องของหนูเอาไว้พูดกันทีหลัง ตอนนี้มีเรื่องสำคัญกว่า นะพันธ์ช่วยแม่คิดก่อนว่าจะจัดการกับนังเมียใหม่ของพ่อพันธ์ได้ยังไง...”

“คุณแม่ว่ายังไงนะคะ พิมพิ์ฟังไม่เข้าใจ จะจัดการใคร ใคร... เมียใหม่ของพ่อพี่พันธ์ ก็... คุณพ่อ... ไหนว่าคุณพ่อพี่พันธ์ตายไปตั้งนานแล้วไงล่ะคะ”




ภาควัตเลี้ยวรถเข้าบ้านมาด้วยความไม่สบายใจนัก ตั้งแต่ตอนกลางวันมาแล้ว หลังจากที่เขาคุยแบบตรงไปตรงมากับลลิตาไปไม่กี่คำ แล้วก็หวังว่าหล่อนจะเข้าใจ

พรุ่งนี้ก็ยังมีอีกเรื่อง ที่จะต้องพูดจากันให้ชัด ถึงจะต้องยุ่งยากกันสักหน่อย เพราะลลิตาบอกมาว่า ที่แท้แล้วคุณนายโสภาพรรณ ที่เจ้ากี้เจ้าการจะจับคู่เขาให้กับลูกสาวของตนเองนั้น คือแม่เลี้ยงของอินทุอรนั่นเอง ดีไม่ดีมื้ออาหารพรุ่งนี้คงยุ่งเหยิงไม่ใช่น้อย หากเขาจะบอกไปว่า ที่สนใจนั้นไม่ใช่พิมพิกา แต่เป็นอินทุอร

รถคันเล็กที่คุ้นตา จอดหลบอยู่ใต้ร่มไม้ เขาจำได้ทันทีขับเข้าไปจอดเทียบ จนต้องระบายลมหายใจออกมาแรงๆ สบตากับสายตาของตนเองในกระจกมองหลัง นึกโมโหสายตาคู่ที่เพ่งมองกลับมานั้น พร้อมกับเอ่ยปากสมน้ำหน้า ว่ามันไม่น่าเล่นกับไฟ

ไฟที่ร้อนร้าย ที่ตอนนี้ลามเข้ามาถึงในบ้านเขาได้เสียแล้ว

เป็นรถคันเล็กของลลิตาที่จอดคอยอยู่ ตรงร่มไม้นี้ เจ้าตัวคงอยู่ในบ้าน คุณพ่อคงยังไม่น่าจะกลับจากที่ทำงาน เขาได้แต่ภาวนาให้คุณแวววิไลก็ออกไปธุระนอกบ้านด้วยเช่นกัน

พอผ่านประตูหน้าบ้านเข้าไป คำภาวนานั้นก็เป็นอันต้องพังทลาย เพราะลลิตากำลังนั่งหน้ารื่น สนทนาอยู่กับมารดาของเขา บนโต๊ะเตี้ยตัวกลาง ระหว่างทั้งคู่ มีแจกันสำหรับจัดดอกไม้บูชาพระหลายคู่ กับดอกบัวขาวบัวแดงอีกตะกร้าใหญ่

“อ้าว! ทำไมวันนี้กลับแต่วัน แล้วนี่รู้จักกับหนูหลิวมาตั้งนาน ทำไมไม่เห็นพามาให้แม่รู้จักบ้างเลย”

คุณแวววิไลยิ้มชื่น ท่าทางคงคุยกันถูกคอกับลลิตาเป็นยิ่งนัก

“คุณมาได้ยังไง”

ภาควัตเอ่ยถามลลิตาเรียบๆ

“อย่าเสียมรรยาทสิจ๊ะลูก”

จนผู้มากวัยต้องเตือนเบาๆ

“ผ่านมาน่ะค่ะ เห็นภาคเคยเล่าว่าอยู่แถวๆ นี้ ก็เลยเสี่ยงมา ไม่นึกว่าจะหาง่าย ก็เลยถือโอกาสเข้ามาสวัสดีคุณแม่... เราคุยกันถูกคอเลยละค่ะภาค นี่นัดกันว่าวันพระหน้าจะชวนกันไปทำบุญที่วัดปทุมฯ”

ลลิตาพูดไปยิ้มไป สบตาคนนั้นคนนี้ ราวกับว่าเมื่อเที่ยง ไม่ได้ถูกลูกชายเจ้าของบ้าน ปฏิเสธความรักความรู้สึกของหล่อนเอาตรงๆ มาก่อน

“ผมปวดหัวนิดหน่อย ขอตัวนะครับ”

ภาควัตไม่อยากจะพูดอะไรอื่นอีก จึงได้แต่ขอตัวไปแค่นั้น

“ขึ้นไปพักสักหน่อยก่อนก็ได้จ้ะภาค เดี๋ยวพอกับข้าวกับปลาเสร็จแล้วแม่จะให้ขึ้นไปตาม นี่หนูหลิวเขาอาสาจะช่วยแม่ลงครัวทำมื้อเย็นด้วยนะ เห็นว่ามีสูตรปีกไก่น้ำแดงเด็ดๆ เมนูที่ภาคชอบนักไงเล่า”

คุณแวววิไลนั้นมีท่าทางถูกอกถูกใจลลิตาไม่ใช่น้อย ยิ่งได้คุยกันถูกคอ และคล้ายกับว่ารสนิยมหลายๆ อย่างจะสอดคล้องต้องกัน เลยยิ่งทำให้มารดาของภาควัตเปิดใจรับเพื่อนหญิงคนล่าสุดของลูกชายได้ไม่ยากเย็นนัก

“ขอโทษนะหลิว ผมขอตัวคุณแม่สักครู่”

ภาควัตจำต้องจูงมือมารดาออกมาพูดจากันที่ระเบียงหลังบ้าน โดยคุณแวววิไลยังไม่วายต้องหันไปขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ ในการเสียมรรยาทอีกครั้งของบุตรชาย

แต่พอมาถึงตรงที่จะได้คุยกันตามลำพัง ภาควัตก็กลับไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรเสียอีก

“คนนี้หรือเปล่าที่ทำให้ภาคมีท่าทางแปลกๆ มาหลายวันแล้ว”

“ก็ไม่เชิงหรอกฮะ”

“ยังไงกัน ก็ไม่เชิง ลองเธอกล้าบุกมาถึงที่บ้าน แม่ก็ว่าไม่น่าจะแค่ไม่เชิงหรอกนะ”

“ก็... คือไม่ใช่คนที่ทำให้ผมมีท่าทางแปลกๆ อะไรอย่างที่คุณแม่ว่านั่นไงฮะ แต่ก็ไม่ใช่จะไม่เกี่ยวเอาเสียเลย”

พอสองแม่ลูกระบายลมหายใจยาวออกมาพร้อมกัน ก็อดยิ้มให้กันไม่ได้ มารดานั้นรู้จักรู้นิสัยของบุตรชายเป็นอันดี ว่าเขาเป็นคนใจอ่อนขนาดไหน โดยเฉพาะกับเรื่องสาวๆ

“สรุปว่าคนนี้ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างไหนล่ะ อย่างที่อยากจะให้ใช่หรือไม่ใช่”

“อย่างหลังฮะ... คือผมแค่ ที่จริงผมมีเรื่องบางอย่างที่จะต้องเคลียร์กับเพื่อนของเธอ แต่ไม่มีทางอื่นที่จะได้เจอ นอกจากต้องทำความรู้จักกับเธอเสียก่อน”

“แล้วลูกเลยไปให้ความหวังกับหนูหลิวเขาไว้ละซี”

“เป็นความผิดของผมเอง”

“เคยตัวสิไม่ว่า”

“ก็คุณแม่สอนผมเอง ให้ทำตัวดีๆ กับผู้หญิง”

“อ้าว! กลับมาโทษกันเสียอีก ก่อนจะทำตัวดีๆ กับใครๆ ก็ต้องดูต้องเลือกเสียก่อนซีลูก ไม่ใช่หว่านไปทั่ว แล้วยังไงล่ะ รายนี้... สรุปว่าภาคทำให้เขาเข้าใจผิด ว่าภาคก็มีใจให้กับเขา"

“ผมเคลียร์กันไปแล้วนะฮะ ว่าชอบเพื่อนเขา”

“ใจร้าย...”

“โธ่!...” ภาควัตถึงกับคราง “คุณแม่ครับ... แล้วจะให้ผมทำยังไง ถ้าไม่ตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลม”

“แต่คราวนี้ทั้งลมทั้งไฟมันแรงจัดน่ะสิลูก มันถึงได้ลุกลามเข้ามาถึงในบ้าน”

คุณแวววิไลระบายลมหายใจหนักๆ อีกคราว ก่อนจะจ้องหน้าลูกชายตรงๆ

“แล้วเมื่อกี้บอกว่าไปรักไปชอบกับใครเขาเข้าแล้วงั้นหรือ”

“ก็ต้นเหตุที่คุณแม่กล่าวหาว่าผมทำตัวแปลกๆ ไปนั่นละฮะ”

“เป็นอันว่าแม่ผิดไปเสียทุกเรื่องเลยสินะจ๊ะ”

มารดาอดค้อนให้บุตรชายไม่ได้ เพราะรู้ดีว่า พอภาควัตใช้ลูกไม้แบบนี้ ก็หมายความว่าตัวเขาเองก็อับจนหนทางแล้วจริงๆ

“ที่จริงน่ะ แม่ก็ถูกชะตากับหนูหลิวอยู่ไม่ใช่น้อยนะลูก ดูท่าทางก็เอาการเอางาน เป็นแม่เหย้าแม่เรือนดีอยู่...”

“แต่... พวกไอ้ยุตมันบอกว่า...”

“ไม่ต้อยเอ่ยถึงเรื่องนั้นหรอกลูก ลูกผู้ชายที่ถูกอบรมสั่งสอนกันมาดีๆ เขาจะไม่พูดถึงผู้หญิงในทางเสียหาย เอาเป็นว่า ถึงจะดีอย่างไร แต่การมาเยี่ยมเยือนถึงบ้านของฝ่ายชายโดยไม่ได้รับเชิญอย่างนี้ แม่เองก็ต้องขอคิดดูก่อน ต้องขอดูก่อนว่าเขาจะมาดีมาร้ายอย่างไร”

“แสดงว่าคุณแม่จะช่วยผม”

“ก็... ถ้าหนูหลิวเขาดีจริง แม่จะไปห้ามหวงอะไรได้”

คุณแวววิไลตอบบุตรชายของตนอย่างยิ้มๆ นึกอยากจะแกล้งให้เขาอัดอั้นอึดอัดเอาเสียบ้าง จะได้รู้ว่า ควรจะยับยั้งชั่งใจ ในเรื่องใด อย่างไร

“คุณแม่ครับ ผมน่ะไม่ใช่ภาควัตคนเดิมแล้วนะครับ แล้วนี่ก็ไม่ใช่ข้ออ้างให้คุณแม่ช่วยกันลลิตาออกไป”

“ถ้าไม่ใช่ข้ออ้าง แล้วจะให้แม่คิดเป็นข้อไหนล่ะจ๊ะ”

คุณแวววิไลยังล้อ

“ผมสารภาพก็ได้ครับ ว่าเคยได้ทำอะไรบางอย่างผิดพลาดไว้กับผู้หญิงคนหนึ่ง แล้วนั่นก็ทำให้ผมเป็นทุกข์เป็นร้อนมาตลอดปีที่ผ่านมา จนเมื่อไม่กี่วันก่อน ที่ผมกลับมาได้เจอเธออีกครั้ง ผมก็รู้แล้วว่าใจผมต้องการอย่างไร”

กับคำพูดเหล่านี้ สีหน้าท่าทางของภาควัตจริงจังอย่างที่ผู้เป็นมารดาไม่เคยเห็นมาก่อน จ้องมองให้ลึกซึ้งผ่านแววตาของบุตรชายอยู่อีกอึดใจหนึ่ง ก็ต้องเอ่ยออกมาเบาๆ

“เอาเถอะ... โบราณเขาว่า เป็นคู่กันแล้ว ก็ต้องไม่แคล้วไปจากกัน”



***********



นวลชมพู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 พ.ค. 2554, 21:24:44 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 พ.ค. 2554, 21:24:44 น.

จำนวนการเข้าชม : 1879





<< 016   018 >>
หมูบิน 15 พ.ค. 2554, 23:54:17 น.
=D


แพม 16 พ.ค. 2554, 10:28:09 น.
เอ้อ...ยังดีไม่ถูกรุมโทรม ยัยโสภา ออกลายเลวบริสุทธิ์จริง ๆ


ree 22 พ.ค. 2554, 20:19:52 น.
ตอนนี้น่าเหนื่อยใจแต๊ๆ แถมยังมีปมพ่อของพี่พันธ์ให้สงสัยต่อไปอีพ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account