จลาจลรัก
เมื่อ "เศรษฐายุ" เจ้าชายจอมเผด็จการผู้รับคำสั่งจากผู้เป็นพ่อเพื่อตามหาและแย่งชิงตัวเจ้าหญิงพลัดถิ่นกลับมาให้ได้
"บุษราคัม"เจ้าหญิงที่แสนจะดื้อรั้นกับเศรษฐายุเพราะคิดว่าเขางี่เง่าไร้เหตุผลและเข้าใจผิดมาตลอดว่าเขาเป็นเพียงองครักษ์จอมเผด็จการ

ภึมายุกร เจ้าชายผู้ช่วยเจ้าของลักยิ้มทรงเสน่ห์ที่ไม่มีใครล่วงรู้อีกเหตุผลที่ชักนำเขามาสู่เรื่องวุ่นวายเหล่านี้
คิริมา นักศึกษาแพทย์สาวผู้มีปมหลังและสาเหตุบางอย่างที่ทำให้เหม็นขี้หน้าคนช่างตื้ออย่างภีมมากถึงมากที่สุด

เมื่อการชิงตัวเจ้าหญิงยังคงดำเนินต่อไปและปัญหามากมายยังรายล้อม แต่กลับถักทอร้อยเรียงก่อเกิดความรู้สึกหวามไหวในหัวใจทั้งสี่ดวง
ความรักจะดำเนินไปอย่างไร ในเมื่อความเป็นจริง
ไม่ว่าเศรษฐจะเป็นองครักษ์ที่ระหว่างเขากับบุษราคัมมีคำว่าชนชั้นเป็นตัวกั้นขวาง หรือจะเป็นเจ้าชายผู้มีศักดิ์เป็นถึงพระญาติสนิทที่มีสายพระโลหิตเป็นสายใยกั้นกลาง...



อ่านต่อ : http://writer.dek-d.com/dek-d/writer/view.php?id=519954#ixzz1IQSdWwgZ
Tags: รักโรแมนติก เจ้าหญิงพลัดถิ่น เจ้าชาย

ตอน: เจ้าชาย เจ้าหญิง และนิทานหลอกเด็ก

ตอนที่ 4

‘...พาไปขาย’

“อ้าว! ช๊อคไปเลย” ภีมแซวกลั้วหัวเราะ นัยน์ตารื่นรมย์ มือขวาจับพวงมาลัยข้างเดียว มือซ้ายโบกหยอยๆ อยู่ตรงหน้าคนตัวเล็กที่นิ่งเป็นหินไปเสียแล้ว “...หน้าตาภีมนี่มันน่าเชื่อขนาดนั้นเลยหรอหืม?”

“อืม” คราวนี้คนถูกแกล้งเลยรวนกลับ ปากอิ่มเบ้น้อยๆ “เชื่อจริงๆ นะ”

“ผอมแห้งขนาดนี้ขายไปก็ไม่ได้ราคาหรอกน่า เชื่อภีมสิ โอ๊ย!” เขาแกล้งเอี้ยวตัวหลบฝ่ามือเล็ก แต่ยังคงประคองพวงมาลัยได้อย่างปลอดภัย

“ใช่สิ ใครจะไปหุ่นดีแถมยังสวยอีกเหมือนครีมล่ะว่ามะ?”
ภีมเหลือบมองเจ้าของคำถาม ดวงตากลมวาวใสคล้ายล้อเลียน แม้เขาจะไม่รู้ว่าเธอหมายถึงอะไรก็เถอะ แต่การเปลี่ยนเรื่องก็น่าจะดีกว่า “ว่าแต่...เขาเป็นแฟนครีมเหรอ ผู้ชายที่ชื่อคชานั่น”

“เฮ้ย! ไม่ใช่” หญิงสาวร้องเสียงหลง “นั่นน่ะพี่ชายครีมต่างหากเล่า”

“คนนั้นไม่ได้ชื่อคณิตหรอกหรือ” เขาถาม จำได้ว่าเคยได้ยินเบอร์รี่แซวถึงครั้งสองครั้ง แต่แววตาของคนข้างๆ ที่มองมาทำให้เขารู้ตัวว่าพูดอะไรบางอย่างผิดไปเสียแล้ว

“ฮั่นแน่...จำได้ทุกรายละเอียดเลยนะ” ไม่มีท่าทีเขินอายหรือส่อพิรุธว่าถูกจับได้ บุษราคัมยักไหล่ประมาณว่าไม่เป็นไร “ใช่ทั้งคู่นั่นแหละ แต่พี่คชาน่ะพี่แท้ๆ แต่พี่แม็ทเป็นพี่คนละแม่”

“คนละแม่?” เขาทวนคำ ไม่มั่นใจว่าที่เมืองไทยเป็นครอบครัวที่อนุญาตให้ผู้ชายมีภรรยาได้หลายคนจริงหรือไม่ อย่างที่อุรัศยาก็นิยมระบบผัวเดียวเมียเดียว แต่อาจยกเว้นท่านพ่อของเขาที่มีเยอะเสียหน่อย เพราะเป็นธรรมเนียมของกษัตริย์

“ใช่...คนละแม่ แต่แม่พี่แม็ทใจดีมากนะ ไม่เหมือน...”

“ไม่เหมือนอะไร?” เขากระตุ้นถามเมื่อเห็นคนเล่าเงียบไป

“เปล่า ไม่มีอะไร” บุษราคัมรีบปฏิเสธเมื่อรู้ว่าไม่ควรเอาเรื่องของเพื่อนมาพูด โดยเฉพาะหากผู้ฟังเป็นคนที่คิริมาไม่ใคร่ถูกชะตาด้วยแล้ว “หูย นั่นตึกอะไรน่ะทั้งสูงทั้งสวย”

แม้จะรู้ว่ายัยตัวเล็กตั้งใจเนียนเพื่อเปลี่ยนเรื่อง แต่เขาก็ฉลาดพอที่จะไม่ซักไซ้ไล่เรียงอะไรอีก หนึ่งคือบุษราคัมจะได้เลิกทำท่ากรุ้มกริ่มใส่เขาเสียที และสอง...การที่เขาจะได้ข้อมูลมานั้นง่ายกว่าการเค้นถามบุษราคัมเยอะ

แต่...เขาจะอยากรู้ไปทำไมกัน

“ตึกกระจกสีดำนั้นสวยดีนะ เข้าใจคิด แต่คงสะท้อนแสงจนแสบตาน่าดู”

ชายหนุ่มมองตามนิ้วเล็กๆ ตึกสูงสีดำมันปลาบปรากฏไม่ไกลนัก ตัวตึกทรงกลมความสูงไม่น่าต่ำกว่า 80 ชั้น รอบตึกเป็นกระจกยาวล้อประกายกับแสงแดด ซึ่งเขามองนานไม่ได้เพราะแสงที่สะท้อนเข้าตาอาจทำให้ความปลอดภัยในการขับขี่ลดลง

“ชั้น 75 มีภัตราคารลอยฟ้าด้วยนะ ผัดผักสี่สหายอร่อยอย่างนี้” เขาคุยโวพลางชูนิ้วโป้งการันตี

“อย่างนี้ต้องหาโอกาสไปกินบ้าง”

“ไม่ต้องหรอก”

“อ้าว แล้วไหนว่าอร่อย” คนตัวเล็กทำหน้างง ไม่ทันสังเกตว่ารถเต่าเขียวกำลังหมุนพวงมาลัยเข้าตึกทรงกลมสวยที่มีป้ายหินสีเดียวกับตัวตึกเขียนว่า ‘ฐายุกรุ๊ป’ เสียแล้ว

ภีมหันมายิ้มเจ้าเล่ห์เป็นครั้งที่สองของวัน ก่อนจะเอ่ย “ก็ไม่ต้องหาโอกาสไง เพราะภีมกำลังจะพาสิ่งที่เรียกว่าโอกาสมาให้เจ้าหญิงตัวเล็กในไม่ช้า...ทีนี้การตัดสินใจทั้งหมดก็เป็นของเธอแล้วนะบุษราคัม”

‘เจ้าหญิงตัวเล็ก’ ส่ายหน้าขำๆ ก่อนจะรู้สึกถึงความมืดในลานจอดรถ บุษราคัมได้แต่สงสัย แต่อย่างไรก็ตามไม่ว่าวันนี้เพื่อนใหม่จะมาไม้ไหนและโอกาสที่ว่านั่นคืออะไร เธอก็พร้อมจะตั้งรับอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีของกินตกถึงท้องก่อนก็เยี่ยมไปเลย

“จะเลี้ยงป่ะเนี่ย?” นี่ล่ะเรื่องสำคัญ

“ไม่ต้องห่วง มีเจ้ามือ”





ไหนเจ้ามือ?

ไม่ต้องถามถึงเจ้ามือด้วยซ้ำ ใครก็ได้บอกเธอทีเถอะว่าภัตตาคารวิวสวยนี่มันเปิดหรือยัง ถึงแม้ว่าโต๊ะทุกตัวจะจัดได้สวยงามลงตัว โคมไฟห้อยระย้ามีแสงน้อยๆ ไม่บดบังแสงอรุณยามเย็นที่สามารถมองเห็นได้จากกระจกรอบตึก บริกรที่พร้อมรับรายการอาหาร แต่ก็ไร้สิ่งมีชีวิตคนอื่นๆ ที่ควรมี หากที่นี่อร่อยจริงสมคำร่ำลือเวลายามเย็นอย่างนี้น่าจะมีลูกค้าบ้างแล้ว

พนักงานต้อนรับที่แต่งตัวดีกว่าเธอด้วยซ้ำโค้งให้เธอกับภีมจนหัวแทบจะทิ่มพื้น

หรือราคามันจะแพงเกิน...ตายแล้ว

“บอกอีกทีว่าไม่มีเงิน” หญิงสาวกระซิบบอก ขณะที่เพื่อนหนุ่มเลื่อนเก้าอี้ให้เธอ ทั้งที่ไม่มีความจำเป็นจะต้องกระซิบ ไม่มีใครหน้าไหนได้ยินบทสนทนาของเธอกับภีมอยู่แล้ว

“ไม่ใช่ปัญหา บอกแล้วไงว่ามีคนเลี้ยง” เขาว่าพลางขยิบตา

“ไหนล่ะคน...เห็นแต่บริกรเนี่ย”

“สั่งเถอะ เดี๋ยวก็รู้”

“แล้วพลอยรู้จักเขาหรือเปล่า อยู่ๆ จะให้มาเลี้ยงอย่างนี้ไม่ดีมั้ง...เกรงใจ”
แทนคำตอบ ภีมยื่นเมนูมาให้ บุษราคัมรับไว้แล้วเปิดดู น้ำลายข้นขึ้นจนแทบกลืนไม่ลงเมื่อเห็นราคา จนต้องก้มลงมองสภาพตัวเองช้าๆ

ชุดนักศึกษาเสื้อพอดีตัวไม่ถึงกับเล็กกับกระโปรงพลีทแม้จะสะอาดสะอ้านแต่ก็ให้ความรู้สึกไม่ต่างจากเด็กกะโปโล ต่างกับภีมที่แม้จะอยู่ในชุดนักศึกษาเหมือนกันแต่กลับมีรัศมีของความดูดีเปล่งประกายออกมาจากตัวเขาเสมอ

เฮ้อ...จะต้องล้างจานกี่เดือนถึงจะพอค่าอาหารมื้อนี้ล่ะนี่

“ไม่สั่งแล้ว”

“อ้าว...” ภีมอุทานขำๆ สายตามองมาอย่างรู้ทันในความคิด “แล้วอย่ามาเสียใจทีหลังล่ะ”

ชายหนุ่มปิดเมนูลงเช่นกัน ก่อนจะเรียกบริกรชายมาแล้วร่ายรายการอาหารคล้ายกับว่ามาบ่อยจนจำได้ขึ้นใจ “ออเดิร์ฟร้อน ผัดผักสี่สหาย หูฉลามฮ่องเต้สามกษัตริย์ เป๋าฮื้อสดเจี๋ยนน้ำมันหอย แมงกะพรุนฮ่องกงน้ำมันงา หมูหันฮ่องกง ป๋วยเล้งราดเนื้อปู เห็ดหอมน้ำแดง อ้อ...เครื่องดื่มอะไรดียัยตัวเล็ก”

ไม่มีเสียงเล็ดรอดจากปากที่อ้าค้างของเธอ ภีมแอบขำแล้วแกล้งทำเป็นไม่สนใจ “งั้นเอาเป็นชาอูหลงแล้วกัน ส่วนของหวานสั่งทีเดียวเลยแล้วกันเอารังนกแปะก๊วยกะทิตุ๋นในมะพร้าวไม่ต้องหวานมากนะแค่นี้ล่ะ อ๋อ...ความจริงที่นี่มีอาหารฝรั่งด้วยนะอยากได้อะไรเพิ่มไหม”

บุษราคัมกระพริบตาปริบๆ อยากจะตอบเพื่อนสนิทเหลือเกิน ติดที่ว่าขากรรไกรมันคงแข็งเกร็งไปทั้งสองข้างแล้ว

อยากสิ...อยากได้ยาดมน่ะ





หลังจากที่เธอบ่นภีมไปยกใหญ่แล้ว ชายหนุ่มก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ร่างบอบบางลุกขึ้น เหลียวมองรอบกายมีเพียงบริกรคนเดิมและโคมไฟระย้าที่เริ่มจะสว่างขึ้นเพราะดวงอาทิตย์ใกล้ลาลับขอบฟ้าแล้ว

อดใจไม่ได้ หญิงสาวเขยิบไปใกล้ผนังกระจกที่มุมโค้งหนึ่งของตึกทรงกลมนี้ แสงอาทิตย์สุดท้ายของวันน่าหลงใหลเชื้อเชิญให้ยืนทอดอารมณ์เฝ้ามองมันโดยไม่หวั่นว่านี่คือตึกสูงชั้น 75 ณ ใจกลางเมือง และที่สำคัญเธอก็กลัวความสูงมากเสียด้วยจนไม่กล้าที่จะมองลงไป

แสงสีแดงเหลืองส้มกระเจิงเต็มท้องฟ้า ทำให้คนมองอดคิดถึงแคร่ไม้ไผ่ที่บ้านสวนที่นานๆ ทีจะได้กลับไม่ได้ ภาพที่คุณตานั่งสูบยาเส้นเล่นกับเจ้าด่างหมาที่บ้านคุณยายที่นั่งตำน้ำพริกกะปิของโปรดทำให้ดวงตากสมโตฉาบไปด้วยประกายแห่งความสุข ทั้งที่เมื่ออาทิตย์ก่อนเองที่พอจะมีเวลาว่างและได้กลับบ้าน แต่นับจากนี้ก็คงอีกนานเลยทีเดียว

บ้านของเธอ ครอบครัวของเธอมีเพียงคุณตาคุณยายที่คอยเลี้ยงดูมาตั้งแต่จำความได้ คุณยายบอกว่าแม่ตายหลังจากคลอดเธอได้ไม่นานด้วยอุบัติเหตุ ส่วนคนเป็นพ่อนั้นแทบไม่เคยถูกพูดถึง เพราะเธอรู้ดีว่าคุณตาจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟทุกครั้ง สิ่งเดียวที่รู้เกี่ยวกับพ่อคือเขาเป็นคนที่ทำให้แม่ต้องตาย บุษราคัมไม่ใช่คนหัวอ่อนหรือเชื่ออะไรง่ายๆ แต่ต้องยอมรับว่าป่วยการณ์ที่จะพิสูจน์ ไม่มีเหตุผลที่คุณตากับคุณยายจะต้องโกหก และไม่มีความจำเป็นเลยที่เธอจะต้องถามในสิ่งที่ทำให้ผู้มีพระคุณทั้งสองต้องเจ็บช้ำกับอดีตที่ไม่มีใครสามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขได้

ความมืดแทบจะครอบคลุมผืนฟ้าแล้ว รอเพียงแสงสุดท้ายหมดไป กลิ่นอาหารหอมหวนลอยมาแตะจมูก ทำให้นึกว่าเพื่อนหนุ่มไปเข้าห้องน้ำนานเกินไปแล้ว คิดได้อย่างนั้นร่างบอบบางจึงหันหลัง เตรียมตัวไปตามเพื่อนให้มาจัดการอาหารมื้อหนักที่เจ้าตัวสั่งแบบไม่ยั้ง

ขาเล็กๆ แข็งทื่ออยู่กับที่เมื่อหันไป ดวงตากลมโตปะทะกับสายตานิ่งเรียบดั่งพญาเหยี่ยวที่คล้ายจะจ้องมองอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว บุษราคัมกวาดสายตามองไปรอบๆ ไม่มีวี่แววของภีมหรือบริกรชายคนเดิม ทั้งฟลอร์กว้างขวางมีเพียงเธอและเขา...ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ผิวสีแทน สวมสูทสีดำสนิท โครงหน้าได้รูปรับกับสันกราม คิ้วดกเข้มพาดผ่านเหนือนัยน์ตารัตติกาล จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากหยักโค้งไม่มีแม้รอยยิ้ม แต่กระนั้นบุษราคัมไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าผู้ชายตรงหน้าหล่อเหลาเอาการเลยทีเดียว

อย่างกับเจ้าชาย...เธอคิด

เฮ้ย...พักนี้ดูเธอจะหมกมุ่นกับนิทานเจ้าชายเจ้าหญิงมากเกินไปแล้ว หญิงสาวเหลือบมองเขาอีกที เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่เคยรู้จักกันจึงรู้สึกว่าคนตรงหน้าเสียมารยาทที่มายืนจ้องเธอเขม็งอย่างนี้ ลืมไปเลยว่าเมื่อครู่เธอเองกแอบลอบสังเกตเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าเช่นกัน

เมื่อสติมา ขาที่เคยแข็งก็ค่อยขยับได้ ร่างเล็กทำท่าจะเดินเลี่ยงไปอีกทาง หากเสียงทุ้มจะไม่เอ่ยขึ้นเสียก่อน

“ภีมายุกรกลับไปแล้ว แต่เธอ...ฉันไม่อนุญาต”

เผด็จการ!

บุษราคัมตวัดสายตาไม่พอใจขึ้นมอง ความหน้าตาดีของคนตรงหน้าติดลบฮวบ พลางเอ่ยเสียงดังฟังชัด “แล้วคุณเป็นใคร มีสิทธิอะไรมาสั่งฉัน”

“ฉัน...เศรษฐายุ”

คนตัวเล็กเท้าเอว อีกมือแทบทึ้งหัวตัวเอง ทั้งสงสัยระคนคันปากอยากถามต่อใจจะขาด

โอ๊ย...แล้วฉันจะรู้จักไหมเล่าพ่อพระเอกลิเก!!!






“บ้าไปแล้ว!” สาวนักศึกษาร้างลั่น หันซ้ายขวาหาเพื่อนสนิทท่าทางตื่นตระหนก

ภีมบอกพลอยทีว่าไอ้เรื่องเจ้าชาย เจ้าหญิง กับนิทานปรัมปรานี่มันก็แค่ตลกร้ายประจำวัน

“ในเมื่ออยากรู้เ ก็ต้องรู้จักยอมรับกับความจริง” เศรษฐายุพ๔ดเสียงเรียบ นัยน์ตายังไม่ละไปจากใบหน้ายุ่งยากใจจนใกล้บ้าของเด็กผู้หญิงตรงหน้า

เด็ก...ทั้งหน้าตา ท่าทาง และนิสัย

“ฉันไม่วันยอมรับเรื่องบ้าๆ แบบนี้เด็ดขาด” ให้ตายเถอะ ใครก็ได้รีบแสดงตัวออกมาว่านี่มันแค่รายการแกล้งอำในโทรทัศน์ “...บ้าชัดๆ”

“ไม่มีอะไรที่บ้า”

“บ้า!”

เสียงใสที่แหวออกมาอย่างใกล้สติแตกเต็มทน เรียกแววตาไม่พอใจของคนฟังให้แสดงตัวออกจากความเงียบสงบอันเป็นเอกลักษณ์ที่หาผู้ใดเสมอเหมือนยากนักของผู้ดำรงยศเจ้าชายแห่งอุรัศยาพระองค์นี้

“ฉันจะกลับบ้าน”

“หยุด!” เสียงเรียบแต่มีอำนาจ พาลทำให้แข้งขาแข็งเอาทื่อๆ หญิงสาวกลอกตาขึ้นฟ้า แล้วหันกลับไปเผชิญหน้ากับเขา “ยอมรับเสียเถิดบุษราคัมว่าเธอ...”

“เป็นเจ้าหญิง!” เธอต่อให้เพราะไม่อยากฟังคำๆ นี้จากปากของเขาอีกแล้ว เพราะว่ามัน “ไร้สาระทั้งเพ ฉันจะบอกให้คุณรู้ไว้ ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร มีจุดประสงค์อะไรในการกระทำครั้งนี้ แต่ขอให้รู้ไว้ว่าอย่าดึงฉันเข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะฉันไม่มีทางเป็นเจ้าหญิงของคุณได้ ทั้งชีวิตของฉันมีแต่คุณตาคุณยาย ไม่รู้จักพ่อแม่ เป็นแค่เด็กบ้านสวน เติบโตมากับชีวิตธรรมดาๆ มา 20 ปีแล้ว และก็พูดภาษาไทยชัดเจนเพราะว่าฉันเป็นคนไทย ไม่ใช่คน...” ประโยคยาวชะงัก ไม่ใช่เพราะขาดอากาศ แต่มันนึกไม่ออก “...เมืองนั้นของคุณ”

“อุรัศยา”

“นั่นแหละ ฉันเป็นคนไทย”

“แม่เธอเป็นคนไทย” เขาแก้ให้ ไม่สนใจนัยน์ตาขุ่นคลั่กของคนตรงหน้า “แต่พ่อของเธอคือองค์ราชันแห่งอุรัศยา”

บุษราคัมถอนหายใจแรงๆ นิ้วเล็กๆ ม้วนปลายผมอย่างติดเป็นนิสัย ร่างบอบบางพิงตัวไปกับโต๊ะใกล้ๆ อย่างอ่อนแรง การพูดกับผู้ชายมาดนิ่งคนนี้ทำให้เธอเสียพลังงานไปมากโขราวกับถูกสูบวิญญาณ ทั้งที่อีกฝ่ายทำเพียงยืนนิ่งๆ พูดจานับคำได้ เท่านั้น!

“พิสูจน์ให้ฉันเชื่อสิ” เธอท้า “ไม่ใช่แค่ลมปากของคนแปลกหน้า...ทำให้ฉันเชื่อคุณ”

ถ้อยคำท้าทายของคนตรงหน้าไม่สามารถยุเขาขึ้น เศรษฐายุมองอย่างประเมิน แล้วตัดสินใจตอบ “ไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องรู้”

“เหอะ!”

ชายหนุ่มปรายตามองท่าทางแค่นหัวเราะลอยหน้าลอยตาด้วยความไม่ชอบใจเป็นที่สุด

...อวดเก่ง...

“ไม่ต้องรู้...พูดง่ายนี่คุณ” บุษราคัมโต้ สิ่งที่รู้มีเพียงสองอย่างคือ หนึ่ง เธอเป็นเจ้าหญิงของอุรัศยา และ สอง เธอต้องกลับไปกับเขา “ฉันไม่ใช่หมานะที่คุณอยากจูงไปไหนก็ได้”

“ฉันจะบอกเหตุผล” เขาเอ่ยเสียงเรียบยากแก่การประเมิน “ก็ต่อเมื่อเธออยู่ที่นี่”

“อ้อ...จะให้ง้องั้นสิ” เจ้าหล่อนตีรวน “งั้นไม่อยากรู้แล้ว เพราะฉัน-จะ-กลับ”

“ตามใจ” เสียงทุ้มกล่าวง่ายๆ แต่ทรงพลังพอที่จะหยุดฝีเท้าที่ก้าวยาวๆ จนแทบกลายเป็นวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตของเธอได้ “แต่ฉันไม่รับประกันความปลอดภัยของตายายเธอ”

“คุณจะทำอะไร!” ร่างเล็กปราดเข้ามาหาเขาราวกับมีแม่เหล็กดึงดูด สีหน้าร้อนรนของคนไม่เก็บอาการทำให้เศรษฐายุรู้ว่ามาถูกทาง รอยยิ้มสมใจลึกๆ ถูกซ่อนไว้อย่างมิดชิดภายใต้หน้ากากเย็นชาเร่งให้คนมองยิ่งร้อนรุ่ม “บอกฉันมานะ คุณจะทำอะไรตายายฉัน”

ชายหนุ่มยิ้มเย็น มือใหญ่ปลดมือเล็กที่อาจหาญมาจิกแขนเสื้อเขาไว้ออก ตาสบตาอย่างที่ไม่มีใครเป็นฝ่ายหลบก่อน เป็นครั้งแรกทีบุษราคัมรู้สึกว่าผู้ชายตรงหน้าน่ากลัวเกินกว่าที่คิดและคำพูดของเขาก็ไม่เหมือนคำขู่แม้แต่น้อย เพราะหล่อนสัมผัสได้ถึงความเอาจริงและน่าเกรงขามที่แผ่ออกมาโอบล้อมทั้งเขาและเธอ

“ถ้าอยากรู้...” เขาทอดเสียงขรึมยั่วเย้าอารมณ์คนฟัง นัยน์ตารัตติกาลยังไม่ละจากดวงตากลมโตเอาเรื่อง ขณะที่มือใหญ่จับแขนเสื้อสูทให้เรียบกริบเหมือนเดิม “ก้าวเท้าออกไปจากตึกนี้สิ”

“อะไรนะ?”

เพราะยังสับสนกับอารมณ์ที่แปรเปลี่ยนตามผู้ชายคนนี้ไม่ทัน ทำให้เมื่อตั้งสดิได้ก็เกือบสายไปเสียแล้ว

“คุณ!” บุษราคัมตะโกรเรียก แต่ร่างสูงไม่แม้แต่จะหันกลับมา ร้อนถึงเธอที่ต้องวิ่งตามเขาไป

วิ่งตาม...แม้ไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าจะต้องเจอกับอะไร แต่เพื่อผู้มีพระคุณทั้งสองเธอก็ไม่กลัว

ร่างเล็กกระจ้อยบังอาจวิ่งไปขวางหน้าเขาไว้ไม่ให้ไปไหน ดวงตากลมโตดื้อดึง แต่ไม่ใช่เรื่องที่คนถือไพ่เหนือว่าจะต้องสนใจ ชายหนุ่มเอื้อมมือไปสัมผัสรูปวาดสีน้ำมันขนาดใหญ่ที่ติดบนผนังเรียบๆ ณ มุมเหนึ่งของภัตตาคารหรู แต่ภาพพระราชวังกรอบทองข้างหน้ากลับหมุนช้าๆ เผยให้เห็นช่องลับภายในดูคล้ายลิฟท์ ข้างหลังภาพมีแผงควบคุมอันจิ๋ว

“หยุดนะ! รอด้วย!” คนตัวเล็กวิ่งกระหืดกระหอบเข้าลิฟท์นั้นไปด้วย ไม่ทันสังเกตรอยยิ้มพึงพอใจบนใบหน้าหล่อเหล่าของเจ้าของตึก ขณะที่สมองฉลาดๆ ของเขากำลังวางแผนต่อไปอย่างแยบยล






พลาด!

นิยามเดียวที่บุษราคัมให้ตัวเองในขณะนี้ ตอนที่กำลังนั่งอารมณ์งุ่นง่านอยู่บนโซฟาสีน้ำเงินหม่นตัวยักษ์ในห้องกว้างขวาง แต่ไม่มีเวลาจะมาสำรวจความงามของห้องหับชั้นบนสุดของตึกสูงในเมื่อชายหนุ่มเจ้าของห้องนั่งอารมณ์ดีจิบกาแฟหอมกรุ่นใจเย็นยั่วอารมณ์เธอให้เดือดปุดๆ

“เราจะกลับอุรัศยาด้วยกัน”

“เพื่อะไร ฉันจะได้อะไร”

“ได้ในสิ่งที่ควรได้ สิ่งที่เป็นของเธอ” เศรษฐายุเอ่ยเนิบๆ ลดแก้วกาแฟลง ดวงตาเหยี่ยวโฉบมองร่างเล็กๆ ที่นั่งหลังตรงปราดเดียวก่อนเอ่ยต่อ “...เกียรติยศ เงินทอง เสื้อผ้า”

“ฉันไม่ต้องการ!” หล่อนผุดลุกขึ้น แก้มอิ่มแดงด้วยความโกรธ

กะอีแค่ไม่แต่งตัว ไม่ใช่ว่าเธอไม่มีเงินเสียหน่อย

เกลียดนัก...พวกชอบดูถูกคน”

“เก็บเงินของคุณไว้แล้วเอาไปจ้างคนอื่นให้เล่นบทเจ้าหญิงบ้าๆ นั่นดีกว่ามั้ง เพราะฉันไม่ต้องการ”

“แล้วอะไรที่เธอต้องการ”

“สิ่งที่คุณให้ฉันไม่ได้...อิสรภาพ” บุษราคัมย้ำ “ปล่อยฉันไป แล้วอย่าคิดเอาตายายมาขู่ฉัน”

“คนอย่างฉันไม่เคยขู่ใคร” ชายหนุ่มโต้กลับเสียงเย็น

“คนอย่างคุณไม่มีสิทธิทำร้ายใคร ตราบใดที่บ้านเมืองยังมีขื่อมีแปร”

“สิทธิ?” เขาย้อน “แล้วเธอจะรู้ว่าคนอย่างฉันมีสิทธิมากกว่าที่เธอคิดบุษราคัม และไม่ใช่แค่ฉันที่ได้สิทธินั้นเสียด้วยสิ”

“คุณ!” หญิงสาวร้องก่อนจะทิ้งตัวลงบนโซฟาตัวเดิมด้วยความโกรธที่พุ่งผ่านผิวแก้มเป็นริ้วๆ ทั้งที่รู้ว่าโกรธคือโง่ โมโหคือบ้า แต่ถ้าไม่โกรธไม่โมโหตอนนี้เธอก็คงต้องปรี่เข้าไปบีบคอเขาแทนนั่นแหละ

ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยขาดการควบคุมตัวเองขนาดนี้เลยให้ตายสิ!

บุษราคัมผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ แต่กระนั้นก็ทำได้ไม่ดีนัก จนต้องนั่งรอให้อัตราการเต้นของหัวใจช้าและเบาลงจนเกือบเข้าสู่สภาวะปกติ จึงเงยหน้ามองบุรุษตรงหน้าช้าๆ

บุรุษที่นั่งนิ่งๆ กลับยั่วให้เธอเป็นบ้าคนเดียวมาเกือบครึ่งชั่วโมง

เศรษฐายุ...เธอจะจำไว้ว่าผู้ชายคนนี้ร้ายกาจแค่ไหน

เมื่อพายุอารมณ์อันเกรี้ยวกราดผ่านพ้นไป ปลายอุโมงค์ความคิดปรากฏแสงสุดท้ายของความอยู่รอด หากเธอยังอยากมีชีวิตเพื่อสู้กับเขาในยกต่อไป

ต่างฝ่ายต่างไม่คิดจะหลบตา ฝ่ายหนึ่งเพียรจ้องหาความผิดปกติในดวงตาคมกล้าคู่นั้น อีกฝ่ายทำเพียงใช้สายตาอ่านยากปกปิดความคิดและประเมินสถานการณ์

เธอเกลียดแววตาเยือกเย็นซ่อนเร้นความจริงคู่นี้เหลือเกิน แต่ที่เกลียดยิ่งกว่าเห็นจะเป็นแววตาของตัวเธอเอง เพราะมันคงไม่สามารถปิดบังความรู้สึกนึกคิดของเธอจากบุรุษตรงหน้าได้

ความรู้สึกในส่วนลึกที่ร่ำร้องว่า ...เธอคือเจ้าหญิงที่เขาตามหา

“แค่กลับไป” เขาเอ่ยทำลายความเงียบ “กลับไปในฐานะเจ้าหญิงแห่งอุรัศยา แล้วแจ้งความประสงค์ของเธอ หากเวลานั้นมาถึงและเธอยังยืนยันว่าไม่ต้องการสิ่งที่ฉันเสนอในวันนี้”

“นานแค่ไหน...ฉันต้องอยู่ในสภาพนี้ไปอีกนานแค่ไหน”

“นาน...น้อยที่สุด”

“แล้วตายายของฉัน”

“ปลอดภัย” เขาสบตาไม่หลุกหลิก ให้สัญญาโดยไร้เสียงพูด “...ตราบเท่าที่เธอยังอยู่ที่นี่”

หญิงสาวนิ่งไป ‘อยู่ที่นี่’ งั้นหรือ? บนตึกสูง 80 ชั้นหรูหราโอ่ฮ่าแห่งนี้ ที่ไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตชนิดอีกนอกจาเธอกับเขา...เจ้าของที่นัยน์ตาดุ

“ถ้าฉันสัญญาว่าจะกลับไปกับคุณ เป็นไปได้ไหมว่าฉันจะได้กลับไปอยู่ที่คอนโด”

“ไม่ได้” คำตอบสั้นตามเคย แต่แฝงแววท้าทายไว้ในที “หรือว่า...กลัว?”

“เปล่า” คนตัวเล็กเถียงทันควัน ไม่สบอารมณ์ที่โดนสบประมาท “ไม่มีเหตุผลที่ฉันต้องกลัว”

“กลัวไว้หน่อยก็ดี” คนตัวสูงเตือน “เพราะต่อจากนี้ไปชีวิตของเธอคงไม่สงบเหมือนอย่างเคย”

คนปากดีเชิดหน้าขึ้นอย่างไว้ตัว แม้ในใจจะยังเคลือบแคลงในคำเตือนนั้น แต่มีหรือจะแสดงมันออกไปให้เขาเห็นจุดอ่อน หญิงสาวเมินหน้าหนีสายตาคมกริบไปยังท้องฟ้าสีดำสนิทไม่ต่างจากนัยน์ตาของเขา แล้วพูดอย่างมั่นใจจนคนฟังอดหมั่นไส้ไม่ได้

“ชีวิตฉันไม่สีสันเสมอ”



เจ้าชายน้อย
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 เม.ย. 2554, 10:27:02 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 เม.ย. 2554, 10:27:02 น.

จำนวนการเข้าชม : 1795





<< พาไปขาย   เจ้าหญิงจอมเปิ่น >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account